Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ว่าวไทย สีสันบนท้องฟ้า และภูมิปัญญาที่ (ไม่ควร) เลือนหาย

ว่าวไทย สีสันบนท้องฟ้า และภูมิปัญญาที่ (ไม่ควร) เลือนหาย

Description: ว่าวไทย สีสันบนท้องฟ้า และภูมิปัญญาที่ (ไม่ควร) เลือนหาย

Search

Read the Text Version

ว่าวไทย: สีสันบนท้องฟ้า และภูมิปัญญาที่ (ไม่ควร) เลือนหาย

ว่าวไทย: สีสันบนท้องฟ้า และภูมิปัญญาที่ (ไม่ควร) เลือนหาย ผู้เขียน: นิชาพร ยอดมณี คนไทยนิยมเล่นว่าวตั้งแต่สมัยสุโขทัย สมัยอยุธยา เรื่อยมาจนถึงสมัย รัตนโกสินทร์ตอนต้น โดยในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 มีผู้นิยมเล่นกันมากจนทางการต้องออกประกาศใน จ.ศ. 1217 (พ.ศ. 2398) ให้ระมัดระวังการเล่นว่าว ความว่า \"...ให้นายอำเภอป่าวร้องประกาศข้าราชการ และราษฎรที่เป็น นักเลงว่าว เอาว่าวขึ้น ก็ให้เล่นแต่ตามท้องสนามหลวงที่ว่างเปล่า ไม่ห้ามปรามดอก ให้เล่นเถิด แต่อย่าให้สายป่านว่าวไปถูกเกี่ยวข้อง พระมหาปราสาทพระที่นั่งพุทไธสวรรย์ ช่อฟ้าใบระกา พระมหามณเฑียร พระที่นั่งในพระบรมมหาราชวัง พระบวรราชวัง และช่อฟ้าใบระกา วัดวาอารามให้หักพังได้ ถ้าผู้ใดชักว่าวไม่ระวัง ให้สายป่านพาดไปถูก ต้องของหลวงและวัดวาอารามให้หักพังยับเยินไป จะเอาตัวเจ้าของว่าว เป็นโทษตามรับสั่ง...\" แสดงให้เห็นว่ามีผู้นิยมเล่นว่าวเป็นจำนวนมากถึงกับต้องมีเอกสารราชการ ออกเตือนเจ้าของว่าวจะต้องรับโทษหากเล่นว่าวอย่างไม่ระมัดระวังจนทำให้ สถานที่สำคัญต่าง ๆ ของทางการเสียหาย

เดิมทีการเล่นว่าวไม่ได้มีระเบียบแบบแผน มีกติกาชัดเจน มาเริ่มมีกฎเกณฑ์ การเล่นขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 5 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงโปรดปรานการแข่งขันว่าวจุฬากับว่าวปักเป้ามาก โปรดให้จัดการแข่งขัน กลางแจ้งหน้าพระที่นั่งสวนดุสิตเป็นที่สนุกสนาน เมื่อเวลาที่ว่าวสายใดชนะ พระองค์ก็ทรงพระราชทานถ้วยรางวัลให้ การแข่งขันว่าวเริ่มมีมาตั้งแต่ พ.ศ. 2499 เป็นต้นมา โดยพระองค์เสด็จเป็นองค์ประธานในการแข่งขันเป็นประจำทุกปี จนสิ้นรัชสมัยของพระองค์ ในสมัยรัชกาลที่ 9 สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี (พระนามในขณะนั้น) ก็เสด็จฯ เป็นองค์ประธานการจัดงาน \"มหกรรมว่าวไทย\" ในปี พ.ศ. 2526 และ \"งานประเพณีว่าวไทย\" ในปี พ.ศ. 2527 ณ บริเวณท้องสนามหลวง ในงานครั้งนั้นมีการประกวดว่าวชนิดต่าง ๆ มากมาย ทั้งว่าวแผง ว่าวประเภทสวยงาม ประเภทความคิด และว่าวตลกขบขัน ส่วนสำคัญ คือการประกวดว่าวภาพและการแข่งขันว่าวจุฬากับว่าวปักเป้า นับว่าการเล่นว่าว เป็นกิจกรรมที่สถาบันพระมหากษัตริย์ไทยให้ความสำคัญและส่งเสริมเรื่อยมา สถานที่เล่นว่าวในเขตกรุงเทพมหานคร ที่เป็นที่รู้จักกันดีมาตั้งแต่สมัย ต้นรัตนโกสินทร์จนถึงปัจจุบันคือ ท้องสนามหลวง แต่ก็ไม่ได้เล่นที่ท้องสนามหลวง เท่านั้น เพราะโดยส่วนมากทางราชการสงวนไว้สำหรับเป็นสถานที่ประกอบ พระราชพิธีโดยเฉพาะ สนามว่าวในสมัยก่อนจึงอยู่ในที่ต่าง ๆ กัน หากมีการแข่งขัน ก็ตามแต่ตกลงกันระหว่างนายสนามและผู้เล่น ส่วนตามท้องถิ่นรวมถึงในต่างจังหวัด ก็นิยมเล่นตามที่โล่งกว้าง หรือตามท้องนาทั่วไปที่ไม่มีต้นไม้กีดขวางการเล่น ในสมัยก่อน “ย่านบางมด” ก็เป็นแห่งหนึ่งที่มีผู้นิยมเล่นว่าวกันเป็นจำนวนมาก เพราะภูมิประเทศเป็นท้องทุ่งนา มีลานกว้าง โล่ง เหมาะสำหรับการเล่นว่าว

สีสันบนท้องฟ้าในวันวานที่ย่านบางมด ย่านบางมด ที่เต็มไปด้วยตึกรามบ้านช่อง สถานศึกษา ตลาดร้านค้ามากมาย ในปัจจุบัน ทำให้แทบนึกไม่ออกเลยว่าเมื่อประมาณ 60 - 70 ปีก่อนบริเวณนี้ สามารถเล่นว่าวได้ ปราชญ์ชาวบ้านหลายท่านได้เล่าถึงการเล่นว่าวและการทำว่าวเล่น ในแถบนี้ว่าเป็นภูมิปัญญาที่สืบทอดมาจากรุ่นพ่อแม่อีกต่อหนึ่ง คุณเกษม แจ้งหิรัญ หรือที่ผู้คนในย่านนี้เรียกว่า “ลุงเกษม” เป็นผู้เชี่ยวชาญ การทำว่าวจุฬากับว่าวปักเป้า ปัจจุบันลุงเกษมเป็นกรรมการและประชาสัมพันธ์ ของชุมชนหลังสวนธนบุรีรมย์ คุณลุงเล่าว่า ในสมัยที่ลุงอายุราว ๆ 10 ปี ตอนนั้นทำนาอยู่กับพ่อ บริเวณฝั่งตรงข้ามศูนย์กีฬาเฉลิมพระเกียรติบางมด หลังจาก ทำนาเสร็จ พ่อมักจะทำว่าวเล่น พอลุงเห็นว่าวที่พ่อทำก็สนใจ อยากทำบ้างแต่ด้วยความที่ยังเด็กก็ไม่ได้จริงจังมากนัก ลุงเห็นพ่อ ทำว่าวมาตลอดก็เลยค่อย ๆ ศึกษาขั้นตอนการทำ สะสมความรู้ จากพ่ออยู่เรื่อย ๆ จนได้ลองมาทำว่าวเองบ้าง ตอนแรกว่าวของลุง ไม่สามารถชักให้ลอยขึ้นฟ้าได้หรอกนะ เพราะขั้นตอนการทำ ไม่ถูกต้อง ก็เลยทำใหม่ ลองแล้วลองอีก พยายามทำเรื่อย ๆ จนอายุราว 20 ปี ลุงมีโอกาสรื้อฟื้นการทำว่าวในช่วงวัยเด็ก ขึ้นมาอีกครั้ง และได้นำวิชาความรู้ของครูอีกหลาย ๆ ท่าน มาผสมผสานในให้เกิดเป็นว่าวของลุงเอง แล้วลุงก็สามารถ ทำให้ว่าวนั้นลอยอยู่บนฟ้าได้อย่างสวยงามมาจนถึงทุกวันนี้

คุณสมจิตร จุลมานะ หรือ “ลุงสมจิตร” เกษตรกรสวนส้มบางมดก็เป็น อีกท่านหนึ่งที่จดจำเรื่องราวเกี่ยวกับการเล่นว่าวในย่านบางมดได้ ลุงสมจิตรเล่าว่า เมื่อก่อนผู้คนในย่านบางมด นิยมเล่นว่าวในฤดูร้อน ช่วงเดือนมีนาคม เมษายน เพราะเป็นช่วงที่ลมดี ก็เหมือนคน ทั่วไปในถิ่นอื่น ๆ ที่เล่นกัน สมัยก่อนคนแถวบางมดยังทำนา กันเป็นหลักจึงมีทุ่งนามากมายเหมาะกับการเล่นว่าวมาก เพราะเป็นที่โล่งกว้าง คนแถวนี้เล่นว่าวกันเยอะเพราะไม่ต้อง เสียเงินมากนัก ทำว่าวกันเอง ตอนนั้นว่าวที่ทำกันส่วนมากก็ เป็นว่าวปักเป้าเพราะทำง่ายกว่าว่าวจุฬา ว่าวจุฬาต้องรู้สัดส่วน ละเอียด ขั้นตอนการทำมาก หากผิดพลาดก็ชักไม่ขึ้น ลุงก็ทำ ว่าวเล่นเองเหมือนกัน ใช้ไม้ไผ่ แล้วซื้อกระดาษฟางมาทำ ต่อมา พอมีกระดาษแก้วก็ใช้กระดาษแก้วมาทำว่าว ที่บางมดเล่นว่าวกัน เพื่อความสนุกสนานแต่ถ้าใครอยากแข่งขันก็ไปแข่งว่าวที่ สนามหลวงเพราะเป็นสถานที่หลักที่นักเลงว่าวจากทั่วสารทิศมา ประลองว่าวกัน คุณลุงสมจิตรเล่าอีกว่าการเล่นว่าวในย่านบางมดลดลงเมื่อที่นาค่อย ๆ กลายเป็นสวนส้ม สถานที่ที่เคยโล่งและเป็นลานกว้างหายไปทำให้การเล่น ว่าวลดลงตามไปด้วยเพราะเล่นลำบาก หากเล่นก็จะติดต้นไม้ทั้งต้นส้ม ต้นมะม่วง โดยเฉพาะต้นมะพร้าวที่เกษตรกรชาวสวนนิยมปลูกไว้ล้อมรอบพื้นที่สวนของตน เกร็ดความรู้ ลมว่าว หรือ ลมตะเภา เป็นลมที่พัดจากทิศใต้ไปทิศเหนือ ในฤดูร้อน และพัดจากทิศเหนือไปทิศใต้ในฤดูหนาว

ภูมิปัญญาการทำว่าวไทย หากจะกล่าวถึงว่าวไทยด้วยกันแล้ว ว่าวที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักมากที่สุด คือ ว่าวจุฬา กับ ว่าวปักเป้า แม้จะทำเล่นกันเฉพาะในภาคกลางก็อาจเรียกได้ว่า เป็นว่าวประจำชาติไทย เนื่องจากมีลักษณะแปลก ผิดแผกแตกต่างจากว่าวของ ชาติอื่นโดยสิ้นเชิง ทั้งรูปร่าง ทั้งการเคลื่อนไหวในอากาศ กล่าวคือเป็นว่าวที่สวยงาม ด้วยรูปทรงและฝีมือที่ประดิษฐ์อย่างประณีต ละเอียด แม่นยำ และสามารถ บังคับให้เคลื่อนไหวได้ด้วยอาการต่าง ๆ อย่างสง่างามและแคล่วคล่องว่องไว เนื่องจากสายป่านที่ชักว่าวนั้นมีเพียงสายเดียว ตรงข้ามกับว่าวนานาชาติ ที่มี ความสวยงาม มีสีสัน แต่ส่วนมากลอยลมอยู่เฉย ๆ ไม่อาจบังคับให้เคลื่อนไหว อย่างว่าวจุฬาและว่าวปักเป้า ว่าวจุฬาและว่าวปักเป้าจึงสามารถนำมาใช้ต่อสู้กันได้ ต่างจากว่าวของชาติอื่นที่มักเล่นเพื่อความสนุกสนานและชื่นชมความสวยงามมากกว่า ว่าวจุฬา จะมีลักษณะเป็น 5 แฉก คล้ายรูปดาวห้าแฉกหรือมะเฟืองผ่าฝาน มีขนาดใหญ่ ประกอบเป็นโครงขึ้นด้วยไม้ 5 อัน นักเล่นว่าวจะหาไม้ไผ่สีสุกที่มี ปล้องยาวเรียว เรียกว่า “เพชรไม้” มาเหลา อันกลางเรียกว่า “อก” เหลาปลายเรียว หัวท้าย 1 อัน อีก 2 อัน ผูกขนาบตัวปลายให้จรดกันเป็นปีก และอีก 2 อัน เป็นขาว่าวเรียกว่า “ขากบ” จากนั้นขึงด้ายเป็นตารางตลอดตัวว่าว เรียกว่า “ผูกสัก” แล้วใช้กระดาษสาปิดทับลงบนโครง สำเร็จเป็นว่าวจุฬา ถ้าหาก ไม่ถูกสัดส่วนแล้ว ว่าวจะไม่สามารถลอยตัวขึ้นได้

ว่าวปักเป้า จะมีลักษณะเป็นรูปสี่เหลี่ยมคล้ายขนมเปียกปูน มีขนาดเล็ก กว่าว่าวจุฬามาก มีลักษณะเช่นเดียวกับว่าวอีลุ้ม แต่ว่าไม้ส่วนโครงที่เป็นปีก จะแข็งกว่าปีกของว่าวอีลุ้มมาก จึงต้องมีหางที่ทำด้วยผ้า เป็นเส้นยาวถ่วงอยู่ที่ส่วนก้น เมื่อชักขึ้นไปลอยอยู่ ในอากาศแล้วจะไม่ลอยอยู่เฉย ๆ จะส่ายตัวไปมา น่าดูมากและเมื่อถูกคนชักกระตุกสายเชือกป่าน ตามวิธีการแล้ว ว่าวปักเป้าจะเคลื่อนไหวโฉบเฉี่ยว ไปมาท่าทางต่าง ๆ ตามต้องการ วัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ทำว่าวไทยคือไม้ไผ่สีสุกนั้น โบราณถือว่าเป็นไม้มงคล ชาวไร่ชาวนามักจะปลูก ไม้ไผ่สีสุกไว้รอบ ๆ บ้าน เวลาไถนาจะเอาไม้ไผ่สีสุก ตรงซอ (ลำไม้ไผ่ช่วงโคนที่เหลืออยู่ที่กอ) ซึ่งเหนียวและแข็งมาทำเป็นแอก เทียมควายไถนา เพราะแข็งแรง ยืดหยุ่น และหักยาก ไม้ไผ่สีสุกจึงเหมาะ ที่จะนำมาทำว่าวเนื่องจากมีความเหนียว มีสปริง และมีน้ำหนักเบา ยิ่งเป็นไม้ไผ่ ที่มีอายุ 7 ปี ก็จะยิ่งดีเพราะเป็นขนาดไม้ที่เหมาะมาทำว่าว ถ้าใช้ไม้แก่ไปก็จะ กระด้าง ใช้ไม้อ่อนไปก็จะไม่ทนทาน เกร็ดความรู้ มีการเปรียบเทียบว่า ว่าวจุฬา เป็นว่าวตัวผู้หรือผู้ชาย มีการเคลื่อนไหว แบบโฉบส่ายไปมาเหมือนนักเลงโต ส่วน ว่าวปักเป้า เป็นว่าวตัวเมียหรือผู้หญิง เนื่องจากตัวเล็กกว่า เคลื่อนไหวโฉบฉวัดเฉวียน อ่อนช้อยว่องไว ว่าวทั้งสองต่าง กันทั้งรูปร่าง ลีลา และเรี่ยวแรงการต่อสู้ ว่าวจุฬาจะเป็นฝ่ายพุ่งเข้าใส่อย่างหนัก แน่นด้วยน้ำหนักลำหักลำโค่น ส่วนว่าวปักเป้ามักจะใช้ลีลายั่วเย้า ล่อหลอก และ หลบหลีก สู้พลางถอยพลาง ทั้งว่าวจุฬาและว่าวปักเป้าต่างมีอาวุธร้ายแรงเท่า เทียมกันคนละอย่าง

ปัจจุบันแม้ว่าท้องนาที่ใช้เป็นสถานที่เล่นว่าวที่บางมดจะเป็นเพียงตำนาน แต่การทำว่าวยังคงมีลมหายใจอยู่ ชุมชนหลังสวนธนบุรีรมย์ แขวงบางมด เขตทุ่งครุ คือชุมชนที่พยายามต่อลมหายใจให้เรื่องเล่าของว่าวยังคงเล่าขานอยู่ ในท้องที่แห่งนี้ โดยมีกลุ่มผู้เกษียณอายุที่มีใจรักการทำว่าวราว 10 คน ได้รวมตัว แลกเปลี่ยนเรียนรู้วิธีการทำว่าวซึ่งกันและกันจากภูมิปัญญาของแต่ละบ้านที่ ถ่ายทอดกันมา คนในชุมชนแห่งนี้ยังคงสานต่อภูมิปัญญาการทำว่าวที่มีมาแต่เดิม ในวิถีทางต่าง ๆ ทั้งทำว่าวเล่นกันเอง ชักชวนเด็ก ๆ ในชุมชนให้เล่นว่าว พัฒนา ปรับปรุงว่าวให้ใช้งานจริงได้ดี บ้างก็ไปประกวดแข่งขันว่าวเมื่อมีโอกาสสำคัญ เป็นวิทยากรให้ความรู้ ณ สถาบันการศึกษาที่ต้องการเรียนรู้ภูมิปัญญาการทำว่าว จัดทำเพจเฟซบุ๊ก “ว่าวไทย ชุมชนหลังสวนธนบุรีรมย์” เพื่อรวบรวมเรื่องราวที่ น่าสนใจเกี่ยวกับว่าวและประชาสัมพันธ์งานหรือเหตุการณ์สำคัญต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับว่าว นอกจากนี้ชาวชุมชนยินดีสอนทำว่าวให้ผู้ที่สนใจโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย และยินดีต้อนรับ ผู้ที่สนใจทุกคนรวมถึงผู้ที่นิยมเล่นว่าวจากชุมชนอื่น ๆ เพื่อเข้ามาแลกเปลี่ยน เรียนรู้กันและกันด้วย

จุดประสงค์ในการทำว่าวของชุมชนแห่งนี้มุ่งเน้นการอนุรักษ์ภูมิปัญญา และเป็นแหล่งเรียนรู้ให้คนที่สนใจเป็นสำคัญ ไม่ได้ทำว่าวเพื่อการค้าเป็นหลัก ดังที่ ลุงเกษม ได้กล่าวไว้ว่า การทำว่าวสำหรับลุงไม่ได้เป็นสินค้าแต่เป็นการช่วยกัน อนุรักษ์ประเพณีและวัฒนธรรมของไทยเอาไว้เพื่อให้ลูกหลาน ได้เรียนรู้สืบต่อไป แต่ในกรณีที่มีคนสนใจอยากจะซื้อว่าวกับลุง ลุงจะถามจุดประสงค์ก่อนทุกครั้งว่าจะเอาไปใช้ทำอะไร ลุงบอกกับ ทุกคนที่จะซื้อว่าวกับลุงว่า ลุงขายให้ด้วย 3 เหตุผลนี้เท่านั้น อย่างแรกซื้อว่าวเพื่อนำไปเล่น สองซื้อว่าวเพื่อนำไปฝากเป็น ของขวัญให้กับคนที่รัก และสามซื้อว่าวเพื่อนำไปถวายพระใน ตอนที่ลูกหลานหรือครอบครัวเจ็บป่วย ถ้านอกเหนือจาก 3 เหตุผลนี้แล้วลุงจะไม่ขายให้ เพราะว่าราคาของว่าวนั้น ค่อนข้างสูง ต้องใช้ความอดทน ใช้เวลาลงมือทำ กว่าจะได้ ว่าวแต่ละตัวจึงมีคุณค่าทางจิตใจมาก ถ้าซื้อแล้วไม่ได้นำไป ใช้ประโยชน์จริงลุงก็จะไม่ขายให้ ว่าวสำหรับลุงเกษมได้เปลี่ยนบทบาทและหน้าที่ไปจากอุปกรณ์สำหรับ การละเล่นเพียงอย่างเดียว กลายเป็นของฝากหรือของขวัญให้คนที่รัก และ สามารถเป็นของถวายพระในยามที่ลูกหลานหรือคนในครอบครัวเกิดเจ็บป่วยได้ ด้วยเชื่อว่าว่าวเป็นสัญลักษณ์ในทางมงคลที่อาจทำให้ผู้ป่วยหายหรือฟื้นตัวดีขึ้น เหมือนว่าวที่ดีก็ต้องลอยขึ้นฟ้า เกร็ดความรู้ คนไทยเชื่อเรื่อง “ว่าวแก้บน” ว่าวแก้บน คือว่าวที่ทำขึ้นสำหรับคนที่อยากประสบ ความสำเร็จหรือคิดหวังให้ได้ผลตามที่ตนต้องการ โดยมักจะบนว่า “ถ้าสำเร็จตามที่ต้องการแล้ว ก็จะเอาว่าวมาถวาย......” บุคคลหรือสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ นอกจากนี้ในอดีตยังมี ความเชื่อเรื่องความมงคลของว่าวในฐานะเป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างบ้านแปงเมือง คนโบราณเชื่อว่าหากปล่อยว่าวให้ลอยไปตกในพื้นที่ใด พื้นที่แห่งนั้นจะมีความเจริญรุ่งเรือง ในอนาคต ว่าวจึงเป็นเครื่องมือสำคัญอย่างหนึ่งที่ผู้ปกครองในอดีตใช้เพื่อช่วยเลือกทำเล ก่อร่างสร้างเมือง

เมื่อสังคมพัฒนา ผู้คนมากขึ้น ทำให้สภาพในเมืองหลวงหรือตัวเมืองรวม ทั้งชานเมืองแทบทุกจังหวัดในประเทศไทยมีชุมชนแออัด สิ่งก่อสร้าง ตึกราม บ้านช่อง สายไฟต่าง ๆ ระโยงระยาง เป็นสิ่งกีดขวางการเล่นว่าว ประกอบกับ สภาพเศรษฐกิจที่ทำให้คนต้องดิ้นรนทำมาหากิน จึงไม่มีจิตใจที่จะคิดเล่นสนุกสนาน คิดอยากทำว่าว อยากไปชมการเล่นว่าวได้ดังแต่ก่อน เทคโนโลยีที่ก้าวหน้าทำให้ เด็กรุ่นใหม่สนใจกิจกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์หรือสื่อออนไลน์รูปแบบต่าง ๆ รวมถึง อากาศที่ร้อนระอุจากสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงไป บ้างก็ไม่ตรงตามฤดูกาล มลพิษทางอากาศและโรคภัยที่มีอยู่รอบตัวมนุษย์ทุกวันนี้ ล้วนแล้วแต่ทำให้ การเล่นว่าวค่อย ๆ เลือนหายไป คงเหลือแต่เรื่องเล่าในความทรงจำ “บางมด” ยังคงมีความทรงจำเรื่องว่าวหลงเหลืออยู่และยังต้องการการส่งเสริม ร่วมมือ จากทุกภาคส่วนให้เข้ามาศึกษา เรียนรู้ ต่อยอด และร่วมอนุรักษ์ภูมิปัญญา การละเล่นของชาติไทยนี้ไปด้วยกัน

บรรณานุกรม เกษม แจ้งหิรัญ. (เมษายน 2564). ผู้รู้เกี่ยวกับการทำว่าวหลังสวนธนบุรมย์. (พีรวัส อำไพเมือง, ผู้สัมภาษณ์) มูลนิธิสามารุกรมไทยสำหรับเยาวชน. (2555). สารานุกรมไทยสำหรับเยาวชนฯ เล่มที่ 37 เรื่องที่ 4 ว่าว. เข้าถึงได้จาก https://www.saranukromthai.or.th/ sub/book/book.php?book=37&chap=4&page=chap4.htm ว่าวไทย ชุมชนหลังสวนธนบุรีรมย์. (2556). เพจว่าวไทย ชุมชนหลังสวนธนบุรีรมย์. เข้าถึงได้จาก https://www.facebook.com/ThaiKiteLangSuanThon/ about_profile_transparency ว่าวไทย. (ม.ป.ป.). ประวัติความเป็นมาของว่าวไทย. เข้าถึงได้จาก https://sites.google.com/ site/kitethailand166/prawati-laea-khwam-pen-ma-khxng-waw-thiy สนับสนุน ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร. (2554). ตำนานว่าวไทย. เข้าถึงได้จาก https://www.youtube.com/watch?v=-Enwc7657vE สมจิตร จุลมานะ. (กันยายน 2564). ผู้รู้เกี่ยวกับว่าวในพื้นที่บางมด. (กษมาภรณ์ มณีขาว, ผู้สัมภาษณ์) สำนักบรรณสารสนเทศ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช. (ม.ป.ป.). ว่าวไทย มรดกแห่งสยาม. เข้าถึงได้จาก https://library.stou.ac.th/odi/ online/exhibition-wow/index.html อาวุโสสโมสร PPTV. (2557). ว่าวไทย ชุมชนหลังสวนธนบุรีรมย์. เข้าถึงได้จาก https://www.youtube.com/watch? v=62PsC8bRwTE&list=UUi_f9qZQNXIcdPWuQ42mJGg