พระพรหมคณุ าภรณ (ป. อ. ปยุตฺโต) ๙๓ใหคณุ ความดหี รอื คณุ สมบตั ทิ ดี่ เี จริญงอกงามขึ้นในคน ถา จะประกอบขึ้นเปนศัพทก เ็ รยี กวา บญุ สิกขา แตภาษาพระเปนพทุ ธพจนวา ปฺุ เมว โส สิกฺเขยยฺ แสดงวา บญุ เปน เรอื่ งของการศึกษา คอืการพัฒนาคณุ สมบตั ิทีด่ ีขนึ้ ในคน การจดั กิจกรรมทุกอยาง เปนเรอ่ื งของการทจ่ี ะมาชวยใหคนนัน้ ไดศ ึกษาย่ิงข้นึ ๆ ไป เราจะใชค ําวา พัฒนาคน ฝก คนอบรมคน อะไรก็แลว แต กเ็ รื่องเดยี วกนัตอ มา เม่อื คนมากนั มาก จะฟงธรรมก็ไมม สี ถานท่ีเหมาะสมเพยี งพอจึงตองสรา งอาคารขึน้ มาเปนศาลา การสรางอาคารอะไรตา งๆ เหลาน้ัน ซง่ึเดยี๋ วนเ้ี ปนงานที่เรียกวา สาธารณปู การ กเ็ ปนเร่ืองทม่ี ีข้นึ เพ่อื จดั สรรเออ้ื อาํ นวยใหเกดิ ความสะดวกสําหรับกจิ กรรมการศึกษาญาตโิ ยมมาทําบุญทํากศุ ล ก็เพ่อื จะใหก ําลังแกพ ระสงฆท ่ีจะไดเ ลาเรียนศกึ ษาใหเจรญิ ขน้ึ ในศีล สมาธิ ปญญา ฝา ยญาตโิ ยมเองมา ก็เพอื่ พฒั นาตัวใหเจรญิ ขนึ้ ใน ทาน ศลี ภาวนาทง้ั จติ ตภาวนา และปญ ญาภาวนาถา เรามองเรื่องราวและกจิ การงานทกุ อยา งในวดั ไมวา อะไรก็ตามตลอดจนบคุ คลและวัตถสุ ง่ิ ของทง้ั หลาย ใหเหน็ ใหถึงจุดหมายท่แี ทแ ลว ทุกอยางจะเปน เร่ืองเดยี วกนั หมด ถา เรามองไมเหน็ จดุ หมายนี้ ทุกอยา งกจ็ ะกระจดั กระจาย เปนตางชิน้ ตางอนั เปน คนละอยา ง และไปคนละทาง งานพระศาสนาทกุ อยางนั้น ตองจบั ใหไดว า ความหมายและความมุงหมายท่เี ปน ตวั แทของมันอยูทไี่ หน แลวมันมีความเปนอันหนึง่ อันเดียวกันอยา งไร ถา มองอยางน้ี ก็จะเหน็ สิง่ ทป่ี จจบุ นั เขาชอบเรียกวา องคร วม หรอืเปน บูรณาการ วามนั เปน เร่ืองเดียวกนั ทง้ั นนั้ถา มองเปนเรื่องเดียวไมได ก็เควง ควา งกระจดั กระจายแน เชนเรื่อง
๙๔ ชวี ติ ทส่ี รา งสรรค สดใสและสุขสันตกอ สราง ก็ไมร ูจะสรา งไปทาํ ไม แลวก็เขวไปวา ตอ งสรางใหใ หญโ ต เพอื่ โนนเพอ่ื น่ี เด๋ยี วก็มาลงท่ตี ัวตน กลายเปนเพื่อช่ือเสียง ความย่ิงใหญ ฯลฯ เถลไถลไป แมแตท ่ีวาเพ่ือศลิ ปวฒั นธรรม กไ็ มใชจ บในตัว แตทแ่ี ท ศลิ ปวฒั น-ธรรมนแ่ี หละ คอื ตัวหนุนตวั นาํ ใหญข องการศกึ ษาพฒั นาคน ฉะน้นั จะตอ งใหม าเจอตรงน้ใี หไ ด คือใหมาบรรจบเปนอันหนงึ่ อันเดียวกนั ทีห่ ลักการและความมุงหมาย และใหเ ห็นวา มนั กระจายออกไปไดอยา งไร ถามองเห็นระบบความสัมพันธท่ีเปน อนั หน่ึงอันเดียวกันได การคดิ ในเร่ืองงานกจ็ ะชัดวา เราทาํ อะไร คืออะไร เพ่ืออะไร แลวอนั น้ีไปโยงกบั อันอื่นอยา งไร เรยี กวา ตองมองทกุ อยา งในวัด และในพระศาสนา ใหสัมพันธกนัหมด เปนอนั หนึ่งอันเดยี ว นน่ั คือ เพื่อจดุ หมายทว่ี า จะทาํ อยา งไรใหค นเจรญิ ขน้ึ ไปเปน อริยสาวกเปน อริยชน เปนอริยบคุ คล เปนพระโสดาบนั สกทิ าคามี ฯลฯ เปนเสขะ -อเสขะ เรื่องทงั้ หมดก็มีอยเู ทา น้ี ลองขยายความหมายกนั ดู ท่ีพระสอนชาวบาน การสอนนั้นเราเรียกวา การเผยแผ แตการสอนท่เี ปน การเผยแผน ้ัน ก็คือการศึกษานั่นแหละ สอนชาวบานก็คอื ใหการศกึ ษาแกป ระชาชนในวงกวา งออกไป ความจรงิ การเผยแผก็เปนเร่ืองการศึกษาท้งั นั้น รวมแลว ก็เปน อันวา ในงานพระศาสนานั้น โดยเนือ้ หาสาระแลวการศึกษาหรือการศกึ ษาปฏิบตั ทิ เี่ รียกวา ไตรสิกขา นีแ้ หละ เปนเนอื้ แท แตทนี ี้ ทําอยา งไรจะใหก ารศึกษาครบระบบไตรสกิ ขาท่วี า นั้น คอื ใหไดท งั้ ศลี สมาธิ และปญญา
พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยตุ ฺโต) ๙๕- หนาทขี่ องผูท ํางานทางสังคม ตองนําคนเขามาหามรรค ทจี่ รงิ ทานมีเครื่องชว ยไวใหแลว ทจ่ี ะนําคนเขาสกู ารศกึ ษาในระบบไตรสกิ ขานัน้ แตต รงน้บี างทีเรามองขา ม หลกั การบอกอยแู ลววา เม่ือคนศกึ ษาดวยไตรสกิ ขา ก็จะกา วไปในทางดาํ เนินชวี ติ ถกู ตอ งดีงาม ทเี่ รียกวา มรรค ปญ หาท่เี รามองขา มกนั ไปกค็ ือวา ทาํ อยา งไรจะใหค นทยี่ งั ไมศ ึกษามาเริ่มศึกษา หรอื ทาํ อยางไรจะใหค นทย่ี งั อยูนอกทางหรอื ยังไมร จู ักทาง เขามาสมู รรคคือเขามาเดนิ ในทาง เรามองขา มขัน้ ตอนสําคญั นี้ไปเสีย จงึ พูดกนั แตวา พุทธศาสนาสอนใหเดินไปในมรรค แตท่ีจริงตอนแรกคนเขายงั อยนู อกทางนอกมรรค แลวกอนจะเดินไปในมรรค เขาจะมาเขามรรคไดอ ยา งไร ตอนน้เี ราตอ งเอาใจใสใหมาก น่แี หละคอื ทบ่ี อกวา ทา นมีเครือ่ งชว ยไวใ หแ ลว คอื พระพุทธเจา ไดตรัสบอกเครอื่ งชกั เครอ่ื งนําคนเขาสูท างหรอื วถิ ีแหง มรรคไวแ ลว คือองคธ รรมทเ่ี รยี กวา เปน บพุ นิมติ แหง มรรค พระพทุ ธเจาทรงเนนเรอ่ื งบุพนมิ ิตแหง มรรค และเรอื่ งปจจัยแหงสมั มาทิฏฐิ ใหรูวาสัมมาทิฏฐิท่ีเปนองคแรกของมรรคจะเกดิ ข้ึนไดอ ยา งไรมันมิใชเ กดิ ขน้ึ เฉยๆ ตรงน้แี หละเปน จดุ สาํ คัญ หนาทีข่ องผดู าํ เนนิ งานสาํ หรับสงั คมสว นใหญ เปน หนา ทใ่ี นการชักจงูหรือนําคนมาเขา สทู างทถ่ี ูกคอื มรรคนัน้ เพราะคนทวั่ ไปอาจจะยงั ไมไดเขามาทม่ี รรค หรือถา เขายงั อยูใ นทางคอื มรรคขน้ั ตน เรากต็ อ งใหกาํ ลงั เกื้อหนนุเขา เพราะฉะนนั้ ธรรมหรือปจ จัยทีจ่ ะนําเขา สูม รรค จึงสําคัญอยา งย่งิ แทนท่จี ะมวั มองแตมรรค ตอ งมองใหถึงตัวทีจ่ ะนําเขาสูมรรค ที่พระพทุ ธเจา ทรงเรียกวา บุพนิมิตแหง มรรค คอื ธรรมะขอ ที่วา เมอ่ื มนัเกิดขึ้นแลว ก็แนใจไดเ ลยวา บุคคลน้นั จะเขาไปสูมรรค หรือมรรคจะเกิดข้ึน
๙๖ ชีวิตที่สรางสรรค สดใสและสุขสนั ตแกเขา เหมอื นอยางที่พระพุทธองคตรสั วา เปรยี บเหมือนวา กอนทีด่ วงอาทติ ยจ ะอุทยั มีแสงอรุณขึ้นมากอนหรอืปรากฏใหเหน็ กอ น ฉนั ใด เม่ือมรรคจะเกิดขน้ึ แกบคุ คลหรอื แกภกิ ษุ กม็ ีธรรมเชน กลั ยาณมติ ตตา คือความมีกัลยาณมติ ร ปรากฏเกิดข้นึ มากอน ฉันนน้ั ธรรมะประเภทนี้ เราจะตอ งเอาใจใสกันใหม าก เพราะเมือ่ คนยงั อยูหา งไกล เขาไมรูจกั มรรค ยังไมเ จอมรรค ยังไมเขามาหามรรคเลย เขาจะเดินไปในมรรคไดอ ยางไร เหมือนคนเขายงั ไมร ูวาทางอยูท่ไี หน เรมิ่ ตน ท่ีไหน จะใหเ ขาเดนิ ทางไปไดอ ยางไร เพราะฉะน้ัน เราจงึ ตอ งพาเขาเขามาทม่ี รรคกอ น แลวทั้งหมดน้ีเราจะตองมองวา ทุกอยางท่ีมีท่ีจัดกันอยูในพระพุทธ-ศาสนา เปนสวนชักนํา เก้ือหนุน เก้ือกูล เพื่อใหคนมาเขาสูมรรค และเดินไปในมรรคนั้น ที่เขาจะกาวหนาไปๆ ดวยการฝกศึกษาพัฒนาตามระบบแหงไตรสิกขา จนกวาจะถึงจุดหมาย ถาเราทํางานเปนระบบ เรียกเตม็ วาเปน ระบบความสมั พนั ธ ทุกอยา งจะเช่ือมโยงกนั มจี ุดรว มรวมถงึ กนั และเปน ไปดว ยดี นี้เปนแงคดิ ประการหนง่ึ คือ การมองใหเ ห็นความเปน อนั หน่งึ อนั เดียวกนั เมอื่ มองเหน็ จุดรวมของงานพระศาสนา กเ็ หน็ ตัวพระพทุ ธศาสนาท้ังหมด แลว การทํางานก็จะชดั
ภาค ๒ มองคนใหถ ึงธรรม(ชาติ) -E-มนุษยเ ปนสัตวท ่ปี ระเสรฐิ ดวยการศึกษาหน่ึง ธรรมชาติพเิ ศษที่เปนสว นเฉพาะของมนุษย คอื เปน สตั วท ่ีฝกไดจะพดู วา เปนสัตวท พ่ี ัฒนาได เปน สัตวทศ่ี กึ ษาได หรอื เปน สตั วท่ีเรยี นรูไดกม็ คี วามหมายอยางเดียวกนั จะเรยี กวา เปน สัตวพเิ ศษก็ได คือแปลกจากสตั วอ ื่น ในแงท ีว่ าสัตวอน่ื ฝกไมได หรือฝกแทบไมได แตมนุษยนี้ฝกได และพรอมกันนั้นก็เปนสัตวที่ตองฝกดวย พดู สน้ั ๆ วา มนุษยเปน สตั วท ี่ฝก ได และตอ งฝก สตั วอ ื่นแทบไมตองฝก เพราะมันอยไู ดด วยสญั ชาตญาณ เกิดมาแลวเรยี นรูจากพอแมน ิดหนอ ย ไมนานเลย มนั ก็อยรู อดได อยางลกู ววั คลอดออกมาสกั ครหู นง่ึ กล็ ุกข้นึ เดินได ไปกบั แมแ ลว ลูกหานออกจากไขเ ชาวนัน้ัน พอสายหนอยก็วิง่ ตามแมลงไปในสระนํา้ วง่ิ ได วายนาํ้ ได หากนิ ตามพอแมของมันได แตม ันเรียนรูไดนดิ เดยี ว แคพ อกนิ อาหาร เปน ตน แลว ก็อยูดว ยสญั ชาตญาณไปจนตลอดชวี ิต เกิดมาอยางไรกต็ ายไปอยางนนั้ หมุนเวียนกันตอไป ไมสามารถสรา งโลกของมนั ตา งหากจากโลกของธรรมชาติหนึ่ง เนื้อหาแตน้ีไปจนจบหนังสือน้ี คัดจาก \"บทเพิ่มเติม: ชีวิตที่เปนอยูดี ดวยมี การศึกษาทั้ง ๓ ที่ทําใหพัฒนาครบ ๔ (มรรคมีองค ๘ Å สิกขา ๓ Æ ภาวนา ๔)\" ใน หนงั สอื พุทธธรรม ฉบับเดมิ (พิมพค รัง้ ท่ี ๑๐, ส.ค. ๒๕๔๔) หนา ๓๔๓–๓๗๔
๙๘ ชวี ติ ทีส่ รางสรรค สดใสและสขุ สันต แตมนุษยนต้ี องฝก ตองเรยี นรู ถาไมฝก ไมเ รียนรู ก็อยูไมได ไมตองพดู ถึงวาจะอยดู ี แมแตร อดกอ็ ยูไมไ ด มนษุ ยจึงตอ งอยกู ับพอ แมห รือผูเลย้ี ง เปนเวลานบั สิบป ระหวา งนี้ก็ตอ งฝก ตองหัดตอ งเรียนรไู ป แมแตกนิ นงั่นอน ขับถาย เดิน พดู ทุกอยางตองฝกท้งั น้ัน มองในแงนเี้ หมอื นเปน สตั วท ี่ดอย แตเ ม่อื มองในแงบวก วา ฝก ได เรียนรูได ก็กลายเปน แงเดน คอืพอฝก เร่ิมเรยี นรแู ลว คราวนีม้ นุษยกเ็ ดินหนา มปี ญ ญาเพม่ิ พนู ขึน้ พดู ไดส่ือสารได มีความคิดสรา งสรรค ประดษิ ฐอ ะไรๆ ได มคี วามเจรญิ ทงั้ ในทางนามธรรม และทางวัตถุธรรม สามารถพัฒนาโลกของวัตถุ เกิดเทคโนโลยีตางๆ มีศิลปวทิ ยาการ เกดิ เปน วัฒนธรรม อารยธรรม จนกระท่ังเกิดเปนโลกของมนษุ ยซอ นขน้ึ มา ทา มกลางโลกของธรรมชาติ สัตวอ่นื อยา งดี ที่ฝกพิเศษไดบาง เชน ชา ง มา ลิง เปนตน ก็ ๑. ฝก ตวั เองไมได ตอ งใหม นษุ ยฝกให ๒. แมมนษุ ยจะฝก ให ก็ฝก ไดในขอบเขตจาํ กัด แตมนุษยฝกตัวเองได และฝกไดแ ทบไมมีท่ีส้ินสดุ การฝกศึกษาพัฒนาตน จงึ ทาํ ใหมนุษยก ลายเปน สตั วท ปี่ ระเสรฐิ เลิศสูงสดุ ซง่ึ เปนความเลศิ ประเสริฐทีส่ ตั วทัง้ หลายอ่ืนไมมี หลักความจริงนี้สอนวา มนษุ ยมิใชจะประเสรฐิ ขน้ึ มาเองลอยๆ แตประเสรฐิ ไดด วยการฝก ถา ไมฝกแลวจะดอยกวาสตั วดริ จั ฉาน จะตา่ํ ทรามยิ่งกวา หรือไมก ็ทาํ อะไรไมเปนเลย แมจ ะอยรู อดก็ไมไ ด ความดเี ลิศประเสริฐของมนุษยนน้ั จงึ อยทู ก่ี ารเรียนรฝู ก ศึกษาพฒั นาตนขึ้นไป มนษุ ยจ ะเอาดไี มได ถาไมม กี ารเรียนรฝู ก ฝนพัฒนาตนเพราะฉะนั้น จึงตอ งพูดใหเ ตม็ วา “มนุษยเปนสัตวประเสริฐดวยการฝก”
พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยตุ ฺโต) ๙๙ ไมควรพูดแควา มนุษยเปนสัตวประเสริฐ ซึ่งเปนการพูดท่ีตกหลนบกพรอง เพราะวา มนุษยน ี้ ตอ งฝกจงึ จะประเสรฐิ ถา ไมฝ ก กไ็ มประเสริฐ คําวา “ฝก ” นี้ พูดตามคําหลกั แทๆ คอื สกิ ขา หรอื ศกึ ษา ถา พดูอยา งสมยั ใหม กไ็ ดแ กคําวา เรยี นรู และ พฒั นา พูดรวมๆ กันไปวาเรยี นรูฝก หดั พฒั นา หรือ เรยี นรูฝก ศกึ ษาพฒั นาศักยภาพของมนุษย คือจดุ เร่มิ ของพระพุทธศาสนาความจริงแหงธรรมชาติของมนุษยในขอท่ีวา มนุษยเปนสัตวที่ฝกไดน้ี พระพุทธศาสนาถือเปนหลักสําคัญ ซึ่งสัมพันธกับความเปนพระศาสดาและการทรงทาํ หนาท่ีของพระพทุ ธเจา ดงั ท่ไี ดเ นนไวใ นพทุ ธคุณบทท่ีวา อนตุ ฺตโร ปรุ สิ ทมมฺ สารถิ สตฺถา เทวมนสุ ฺสานํ “เปนสารถีฝกคนที่ควรฝก ผูยอดเยี่ยม เปนศาสดาของเทวะและมนุษยทงั้ หลาย” [ม . มู . ๑ ๒ /๙ ๕ /๖๗] มีพุทธพจนมากมาย ท่ีเนนยํ้าหลักการฝกฝนพัฒนาตนของมนุษยและเราเตือน พรอมทั้งสงเสริมกําลังใจ ใหทุกคนมุงมั่นในการฝกศึกษาพัฒนาตนจนถงึ ท่สี ดุ เชน วรมสสฺ ตรา ทนตฺ า อาชานยี า จ สนิ ฺธวา กุ ชฺ รา จ มหานาคา อตตฺ ทนฺโต ตโต วรํ “อัสดร สินธพ อาชาไนย กุญชร และชางหลวง ฝก แลว ลวนดีเลิศ แตค นที่ฝกตนแลวประเสริฐกวา (ทง้ั หมด) นัน้ ” [ขุ.ธ.๒๕/๓๓/๕๗]
๑๐๐ ชีวติ ทสี่ รางสรรค สดใสและสุขสนั ต ทนฺโต เสฏโ มนุสฺเสส.ุ “ในหมูม นุษย ผปู ระเสรฐิ สุด คอื คนที่ฝก แลว” [ข.ุ ธ.๒๕/๓๓/๕๗] วชิ ฺชาจรณสมฺปนฺโน โส เสฏโ เทวมานเุ ส. “ผูถึงพรอมดวยวิชชาและจริยะ เปนผูประเสริฐสุด ท้ังในหมูมนุษยแ ละมวลเทวา” [ส.ํ นิ.๑๖/๗๒๔/๓๓๑] อตตฺ า หิ อตฺตโน นาโถ โก หิ นาโถ ปโร สิยา อตตฺ นา หิ สุทนเฺ ตน นาถํ ลภติ ทลุ ลฺ ภํ “ตนแลเปนทพ่ี ่ึงของตน แทจ รงิ นนั้ คนอื่นใครเลาจะเปนท่ีพง่ึ ได มีตนที่ฝกดแี ลวนั่นแหละ คือไดทพ่ี ึ่งซง่ึ หาไดย าก” [ข.ุ ธ. ๒๕/๒๒/๓๖] มนุสสฺ ภูตํ สมพฺ ุทฺธํ อตฺตทนฺตํหนง่ึ สมาหิตํ . . . เทวาป ตํ นมสฺสนตฺ ิ . . . . . . . . . . . . . . “พระสัมพุทธเจา ท้ังท่ีเปนมนุษยนี่แหละ แตทรงฝกพระองคแลว มีพระหฤทัยซ่ึงอบรมถึงท่ีแลว แมเทพท้ังหลายกน็ อมนมัสการ” [องฺ.ปฺจก.๒๒/๓๑๔/๓๘๖] คาถาน้ีเปนการใหกําลังใจแกมนุษยวา มนุษยที่ฝกแลวนั้น เลิศประเสริฐ จนกระทัง่ แมแตเ ทวดาและพรหมกน็ อมนมัสการ ความหมายที่ตองการในท่ีนี้ ก็คือ การมองมนุษยวาเปนสัตวที่ฝกไดหน่ึง ทันตะ มาจาก ทมะ ท่ีแปลวา การฝก ซึ่งเปนอีกคําหนึ่งที่ใชแทนสิกขาได [ทันตะ คือ คนท่ีฝกหรือศึกษาแลว ถาเปนคนผูท่ีจะตอง(ไดรับการ)ฝก ก็เปน ทัมมะ (อยางในบท พุทธคณุ ท่ียกมาใหดูขา งตน)]
พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยุตฺโต) ๑๐๑และมคี วามสามารถในการฝก ตัวเองไดจนถึงท่ีสุด แตตองฝกจึงจะเปนอยางน้ันได และกระตุนเตือนใหเกิดจิตสํานึกตระหนักในการที่จะตองปฏิบัติตามหลักแหงการศึกษาฝก ฝนพัฒนาตนน้นั ถาใชคําศัพทสมัยปจจุบัน ก็พูดวา มนุษยมีศักยภาพสูง มีความสามารถท่ีจะฝกศึกษาพฒั นาตนไดจนถงึ ขนั้ เปนพุทธะ ศักยภาพนี้เรียกวา โพธิ ซ่ึงแสดงวาจุดเนนอยูที่ปญญา เพราะโพธินั้น แปลวา ปญญาตรัสรู คือปญญาทที่ าํ ใหม นุษยกลายเปน พุทธะ ในการศึกษาตามหลักพุทธศาสนาหรือการปฏิบัติธรรมน้ัน สิ่งสําคัญท่ีจะตองมีเปนจุดเร่ิมตน คือ ความเช่ือในโพธินี้ ที่เรียกวา โพธิศรัทธา ซ่ึงถอื วาเปน ศรัทธาพ้นื ฐาน เม่อื มนษุ ยเชื่อในปญญาที่ทําใหมนุษยเปนพุทธะไดแลว เขาก็พรอมท่ีจะศึกษาฝกฝนพฒั นาตนตอไป ตามที่กลาวมานี้จะเห็นวา คําวา โพธิ นั้น ใหจุดเนนท้ังในดานของศักย-ภาพท่ีมนุษยฝกไดจนถึงที่สุด และในดานของปญญา ใหเห็นวาแกนนําของการฝกศึกษาพัฒนานั้นอยูท่ีปญญา และศักยภาพสูงสุดก็แสดงออกที่ปญญา เพราะตัวแทนหรือจุดศูนยรวมของการพัฒนาอยูท่ีปญญา เพื่อจะใหโพธินี้ปรากฏข้ึนมา ทําบุคคลใหกลายเปนพุทธะ เราจึงตองมกี ระบวนการฝก หรือพัฒนาคน ท่ีเรียกวา สิกขา ซึง่ ก็คือ การศกึ ษา สิกขา คือกระบวนการการศึกษา ท่ีฝกหรือพัฒนามนุษย ใหโพธิปรากฏขึน้ จนในท่ีสุดทาํ ใหม นษุ ยน น้ั กลายเปน พุทธะ
๑๐๒ ชีวติ ที่สรางสรรค สดใสและสุขสนั ตชวี ติ ที่ดี คอื ชีวติ ทีศ่ ึกษาเมอื่ พัฒนาคนดว ยไตรสกิ ขา ชีวติ กก็ า วไปในอริยมรรคา ชีวิตนั้นเปนอันเดียวกันกับการศึกษา เพราะชีวิตคือการเปนอยู และการที่ชีวิตเปนอยูดําเนินไป ก็คือการที่ตองเคล่ือนไหว พบประสบการณใหมๆและเจอสถานการณใหมๆ ซึ่งจะตองรูจัก ตองเขาใจ ตองคิด ตองปฏิบัติหรือจัดการอยางใดอยางหนึ่ง หรือหาทางแกไขปญหาใหผานรอดหรือลุลวงไป ทาํ ใหตองมีการเรียนรู มีการพิจารณาแกปญหาตลอดเวลา ทั้งหมดน้ีพูดสนั้ ๆ ก็คอื สิกขา หรอื การศกึ ษา ดังน้ัน เม่ือยังมีชีวิตอยู ถาจะเปนอยูได หรือจะเปนอยูใหดี ก็ตองสิกขาหรือศึกษาตลอดเวลา พูดไดวา ชีวิตคือการศึกษา หรือ ชีวิตท่ีดีคือชีวติ ทมี่ กี ารศกึ ษา มีการเรียนรู หรือมกี ารฝก ฝนพัฒนาไปดว ย การศึกษาตลอดชีวิตในความหมายที่แท คืออยางน้ี ถาจะพูดใหหนักแนน กต็ องวา “ชีวติ คือการศกึ ษา” พูดอีกอยางหนึ่งวา การดําเนินชีวิตท่ีดี จะเปนชีวิตแหงสิกขาไปในตัวชีวิตขาดการศกึ ษาไมได ถาขาดการศึกษาก็ไมเปนชีวิตท่ีดี ท่ีจะอยูไดอยางดีหรอื แมแตจ ะอยูใหร อดไปได ตรงนเ้ี ปน การประสานเปนอนั เดยี วกนั ระหวาง การศึกษาพัฒนามนษุ ยหรอื การเรียนรฝู ก ฝนพฒั นาคน ทเี่ รยี กวาสิกขา กบั การดําเนินชีวติ ท่ดี ขี องมนษุ ย ท่ีเรยี กวามรรค คอื การดาํ เนินชวี ติ ชนิดท่มี กี ารศกึ ษาพฒั นาชีวิตไปดวยในตวั จงึ จะเปนชวี ติ ทด่ี ี สิกขา ก็คอื การพฒั นาตัวเองของมนษุ ย ใหดําเนินชีวติ ไดด งี ามถกู ตอ ง ทาํ ใหมีวิถีชีวิตทีเ่ ปนมรรค สว น มรรค ก็คือทางดําเนนิ ชวี ิต หรอื วิถีชีวติ ทถี่ กู ตอ งดีงามของมนุษย
พระพรหมคณุ าภรณ (ป. อ. ปยตุ โฺ ต) ๑๐๓ซึง่ เปน วถิ ชี วี ติ แหงการเรียนรฝู ก ฝนพฒั นาตนคอื สกิ ขา มรรค กับ สิกขา จึงประสานเปนอันเดียวกนัจึงใหความหมายไดวา สกิ ขา/การศึกษา คอื การเรยี นรทู ี่จะใหส ามารถเปนอยูไดอ ยางดี หรือฝกใหส ามารถมชี ีวิตทด่ี ีเปนอันวา ชีวิตคือการศึกษาน้ี เปนของแนนอน แตปญหาอยูท่ีวาเราจะศึกษาเปนหรือไม ถาคนไมรูจักศึกษา ก็มีชีวิตเปลาๆ หมายความวา พบประสบการณใหมๆ ก็ไมไดอะไร เจอสถานการณใหมๆ ก็ไมรูจะปฏิบัติอยางไรใหถูกตอง ไมมีการเรียนรู ไมมีการพัฒนา ไมมีการแกปญหา เปนชีวิตท่ีเลื่อนลอย เปนชีวิตที่ไมดี ไมมีการศึกษา ทางธรรมเรียกวา “พาล”แปลวา มชี วี ิตอยูเพียงแคด ว ยลมหายใจเขา ออก เพราะมองความจริงอยางน้ี ทางธรรมจึงจัดไวใหการศึกษา กับชวี ิตที่ดี เปน เรื่องเดียวกนั หรอื ตองไปดวยกัน ทานถือวา ชีวิตนี้เหมือนกับการเดินทางกาวไปๆ และในการเดินทางน้ันก็พบอะไรใหมๆ อยูเรื่อย จึงเรียกวา “มรรค” หรือ “ปฏิปทา” แปลวาทางดําเนินชวี ติ หรอื เรยี กวา “จริย/จรยิ ะ” แปลวา การดาํ เนินชีวติ มรรค หรือ ปฏิปทา จะเปนทางดําเนินชีวิต หรือวิถีชีวิตที่ดี จริยะจะเปนการดําเนินชีวิตท่ีดี ก็ตองมีสิกขา คือการศึกษา เรียนรู และพัฒนาตนเองตลอดเวลา ดังกลาวแลว มรรคท่ีถูกตอง เรียกวา “อริยมรรค” (มรรคาอันประเสริฐ หรือทางดําเนนิ ชวี ติ ท่ีประเสรฐิ ) ก็เปน จริยะที่ดี เรียกวา “พรหมจริยะ” (จริยะอยางประเสริฐ หรือการดําเนินชีวิตที่ประเสริฐ) ซึ่งก็คือมรรค และจริยะ ท่ีเกิดจากสกิ ขา หรือประกอบดวยสกิ ขาสิกขา ที่จะใหเกิดมรรค หรือจริยะอันประเสริฐ คือสิกขาที่เปนการ
๑๐๔ ชีวิตทีส่ รางสรรค สดใสและสุขสันตฝกฝนพัฒนาคนครบทั้ง ๓ ดานของชีวิต ซ่ึงเรียกวา ไตรสิกขา แปลวาการศึกษาทง้ั ๓ ที่จะกลา วตอไปชีวติ มี ๓ ดา น การฝกศกึ ษาก็ตอ งประสานกนั ๓ สว นพัฒนาคนแบบองคร วม จงึ เปนเรอ่ื งธรรมดาของการศึกษา ชีวิต และการดําเนนิ ชวี ิตของมนุษยน้ัน แยกไดเปน ๓ ดา น คือ ๑. ดานสัมพันธกับสิ่งแวดลอม การดําเนินชีวิตตองติดตอส่ือสารสมั พันธก ับโลก หรือสงิ่ แวดลอมนอกตัว โดยใช )אทวาร/ชองทางรบั รแู ละเสพความรูสกึ หน่งึ ทีเ่ รียกวา อินทรยี คือ ตาหู จมูก ลิน้ กาย (รวม ใจ ดว ยเปน ๖) )ב ** คือ กาย วาจา โดย ทํา และพูด (รวม ทวาร/ชองทางทํากรรม สองใจ-คิด ดว ยเปน ๓) ส่ิงแวดลอมท่ีมนุษยติดตอสื่อสารสัมพันธน้ัน แยกไดเปน ๒ประเภท คอื ๑) ส่งิ แวดลอ มทางสงั คม คอื เพือ่ นมนษุ ย ตลอดจนสรรพสัตว ๒) ส่ิงแวดลอมทางวัตถุ หรอื ทางกายภาพ มนุษยควรจะอยูรวมกับเพื่อนมนุษยและเพื่อนรวมโลกดวยดี อยางเก้ือกูลกัน เปนสวนรวมท่ีสรางสรรคของสังคม และปฏิบัติตอส่ิงแวดลอมทางวัตถุ ต้ังตนแตการใชตา หู ดู ฟง ทั้งดานการเรียนรู และการเสพอารมณใหไดผลดี รูจักกินอยู แสวงหา เสพบริโภคปจจัย ๔ เปนตน อยางฉลาด ใหเปนคณุ แกต น แกส ังคม และแกโ ลก อยา งนอ ยไมใหเปน การเบียดเบยี นหนง่ึ เรียกโดยศพั ทว า ผัสสทวาร หรือ สัมผัสสทวาร หรือ ปสาททวาร เรยี กโดยศพั ทว า กรรมทวาร (กาย และ วาจา มคี าํ เรียกเฉพาะอกี วา โจปนทวาร)** สอง
พระพรหมคณุ าภรณ (ป. อ. ปยุตโฺ ต) ๑๐๕๒. ดานจิตใจ ในการสัมพันธกับสิ่งแวดลอมหรือแสดงออกทุกครั้งจะมีการทํางานของจิตใจ และมีองคประกอบดานจิตเก่ียวของ เร่ิมแตตองมีเจตนา ความจงใจ ต้ังใจ หรือเจตจํานง และมีแรงจูงใจอยางใดอยางหน่ึงพรอ มท้งั มีความรูสกึ สขุ หรือทกุ ข สบาย หรือไมสบาย และปฏิกิริยาตอจากสุข-ทุกขน้ัน เชน ชอบใจ หรือไมชอบใจ อยากจะได อยากจะเอา หรืออยากจะหนี หรืออยากจะทาํ ลาย ซ่ึงจะมีผลชักนําพฤติกรรมทั้งหลาย ต้ังแตจะใหดูอะไร หรอื ไมด อู ะไร จะพดู อะไร จะพูดกับใคร วาอยา งไร ฯลฯ ๓. ดานปญญา ในการสัมพันธกับสิ่งแวดลอมหรือแสดงออกทุกคร้ังก็ตาม เมื่อมีภาวะอาการทางจิตใจอยางหน่ึงอยางใด ก็ตาม องคประกอบอีกดานหนึ่งของชีวิต คือ ความรูความเขาใจ ความคิด ความเชื่อถือ เปนตน ที่เรยี กรวมๆ วา ดานปญญา ก็เขา มาเกี่ยวขอ ง หรือมีบทบาทดวยเร่ิมต้งั แตวา ถามปี ญ ญา กแ็ สดงออกและมีภาวะอาการทางจิตอยางหน่ึงถาขาดปญญา ก็แสดงออกและมีภาวะอาการทางจิตอีกอยางหนึ่ง เรามีความรูความเขาใจเร่ืองน้ันแคไหน มีความเชื่อ มีทัศนคติ มีความยึดถืออยางไรเราก็แสดงออกหรือมองสิ่งนั้น ไปตามแนวคิด ความเขาใจ หรือแมกระท่ังคานิยมอยางน้ัน ทําใหชอบใจ ไมชอบใจ มีสุขมีทุกขไปตามน้ัน และเม่ือเรามองเห็น เรารู เขาใจอยางไร แคไหน เราก็แสดงออกหรือมีพฤติกรรมของเรา ไปตามความรคู วามเขา ใจ และภายในขอบเขตของความรูของเรานั้นถาปญญา ความรู ความเขาใจเกิดมากขึ้น หรือเราคิดเปน ก็ทําใหเราปรับแกพ ฤตกิ รรมและจติ ใจของเราใหม เชน เจอประสบการณท่ีไมดี เรารูสึกไมชอบใจ พอไมชอบใจ ก็ทุกข แตถาเกิดปญญาคิดไดข้ึนมาวา ส่ิงที่ไมดีหรือไมชอบน้ัน ถาเราเรียนรู เราก็ไดความรู พอมองในแงเรียนรู ก็กลายเปนได ความไมชอบใจหายไป กลายเปนชอบส่ิงท่ีเคยไมชอบ พอไดความรูก็เกดิ ความสขุ จากทุกขก็เปล่ียนเปนสุข ปฏิกิริยาที่แสดงออกมาทางพฤติกรรม
๑๐๖ ชวี ติ ท่ีสรา งสรรค สดใสและสุขสันตกเ็ ปลยี่ นไป ในชีวิตประจําวัน หรือในการประกอบอาชีพการงาน เม่ือเจอคนหนาบ้ึง พูดไมดี ถาเรามองตามความชอบใจ-ไมชอบใจ ไมใชปญญา เราก็โกรธแตพอใชโยนิโสมนสิการ มองตามเหตุปจจัย คิดถึงความเปนไปไดแงตางๆเชนวาเขาอาจจะมีเรื่องทุกข ไมสบายใจอยู เพียงคิดแคนี้ ภาวะจิตก็อาจจะพลิกเปลีย่ นไปเลย จากโกรธกก็ ลายเปนสงสาร อยากจะชวยเขาแกป ญ หา ปญญาเปนตัวช้ีนํา บอกทาง ใหแสงสวาง ขยายขอบเขต ปรับแกจิตใจและพฤติกรรม และปลดปลอ ยใหหลดุ พน หนาที่สําคัญของปญญา คือ ปลดปลอย ทําใหเปนอิสระ ตัวอยางงายๆ เพียงแคไปท่ีไหน เจออะไร ถาไมรูวาคืออะไร ไมรูจะปฏิบัติตอมันอยางไร หรือพบปญหา ไมรูวิธีแกไข จิตใจก็เกิดความอึดอัด รูสึกบีบค้ัน ไมสบายใจ นี่คือทุกข แตพอปญญามา รูวาอะไรเปนอะไร จะทําอยางไร ก็โลงทนั ที พฤติกรรมตดิ ตนั อยู พอปญญามา ก็ไปได จติ ใจอดั อนั้ อยู พอปญญามา ก็โลงไป องคประกอบของชีวิต ๓ ดานน้ี ทํางานไปดวยกัน ประสานกันไปและเปน เหตุปจ จยั แกก ัน ไมแ ยกตา งหากจากกนั การสัมพันธกับโลกดวยอินทรียและพฤติกรรมทางกายวาจา (ดานที่๑) จะเปนไปอยางไร ก็ขึ้นตอเจตนา ภาวะและคุณสมบัติของจิตใจ (ดานท่ี๒)และทําไดภ ายในขอบเขตของปญ ญา (ดานท่ี๓) ความตัง้ ใจและความตองการเปนตน ของจิตใจ (ดานท่ี๒) ตองอาศัยการสื่อทางอินทรียและพฤติกรรมกายวาจาเปนเครื่องสนอง (ดานที่๑) ตองถูกกําหนดและจํากัดขอบเขตตลอดจนปรับเปล่ียนโดยความเช่ือถือ ความคิดเหน็ และความรูค วามเขา ใจทมี่ ีอยแู ละทเี่ พ่ิมหรอื เปล่ียนไป (ดา นที่๓) ปญญาจะทํางานและจะพัฒนาไดดีหรือไม (ดานท่ี ๓) ตองอาศัย
พระพรหมคณุ าภรณ (ป. อ. ปยตุ โฺ ต) ๑๐๗อินทรีย เชน ดู ฟง อาศัยกายเคล่ือนไหว เชน เดินไป จับ จัด คน ฯลฯ ใชวาจาส่ือสารไถถามไดดีเพียงใด โดยมีทักษะแคไหน (ดานท่ี ๑) ตองอาศัยภาวะและคุณสมบัติของจิตใจ เชน ความสนใจ ใฝใจ ความมีใจเขมแข็งสูปญหา ความขยันอดทน ความรอบคอบ มีสติ ความมีใจสงบแนวแน มีสมาธิ หรอื ไมเ พยี งใด เปน ตน (ดานที่๒) น้ีคือการดําเนินไปของชีวิต ท่ีองคประกอบ ๓ ดานทํางานไปดวยกันอาศัยกัน ประสานกัน เปนปจจัยแกกัน ซ่ึงเปนความจริงของชีวิตน้ันตามธรรมดาของมัน เปนเรื่องของธรรมชาติ และจึงเปนเหตุผลท่ีบอกอยูในตัววาทาํ ไมจะตอ งแยกชีวิตหรือการดําเนนิ ชีวติ เปน ๓ ดา น จะแบงมากหรือนอยกวานีไ้ มไ ด เม่ือชีวติ ท่ดี ําเนนิ ไปมี ๓ ดา นอยา งนี้ การศึกษาท่ฝี กคนใหดําเนนิ ชีวิตไดด ี ก็ตองฝกฝนพฒั นาที่ ๓ ดานของชวี ิตนนั้ ดังนนั้ การฝกหรือศึกษา คือ สิกขา จึงแยกเปน ๓ สว น ดังท่ีเรียกวาไตรสิกขา เพ่ือฝกฝนพัฒนา ๓ ดานของชีวิตนั้น ใหตรงกัน แตเปนการพฒั นาพรอมไปดว ยกันอยางประสานเปน ระบบสัมพันธอนั หนึง่ อันเดยี วไตรสกิ ขา: ระบบการศกึ ษา ซ่ึงพัฒนาชีวิตทดี่ ําเนินไปท้งั ระบบ ในระบบการดาํ เนนิ ชีวติ ๓ ดา น ทกี่ ลาวแลวนั้น เมื่อศึกษาฝกชีวิต ๓ดานนั้นไปแคไหน ก็เปนอยูดําเนินชีวิตท่ีดีไดเทานั้น ฝกอยางไร ก็ไดอยางน้ัน หรอื สิกขาอยางไร กไ็ ดมรรคอยา งนนั้ สกิ ขา คอื การศึกษา ท่ฝี ก อบรมพัฒนาชีวิต ๓ ดานน้นั มีดงั นี้ ๑. สิกขา/การฝกศึกษา ดานสัมพันธกับส่ิงแวดลอม จะเปนส่ิงแวดลอมทางสังคม คือเพื่อนมนุษย ตลอดจนสรรพสัตว หรือสิ่งแวดลอมทางวัตถุ ก็ตาม ดวยอินทรีย (เชน ตา หู) หรือดวยกาย วาจา ก็ตาม เรียกวา
๑๐๘ ชีวิตท่สี รางสรรค สดใสและสขุ สนั ตศีล (เรยี กเตม็ วา อธสิ ีลสกิ ขา) ๒. สิกขา/การฝกศึกษา ดานจิตใจ เรียกวา สมาธิ (เรียกเต็มวาอธิจิตตสิกขา) ๓. สิกขา/การฝกศึกษา ดานปญญา เรียกวา ปญญา (เรียกเต็มวาอธิปญญาสกิ ขา) รวมความวา การฝกศึกษานั้น มี ๓ อยาง เรียกวา สิกขา ๓ หรือไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ ปญญา ซ่ึงพูดดวยถอยคําของคนยุคปจจุบันวาเปน ระบบการศึกษาท่ที าํ ใหบุคคลพัฒนาอยางมีบูรณาการ และใหมนุษยเปนองครวมทพี่ ฒั นาอยางมีดลุ ยภาพ เมื่อมองจากแงของสิกขา๓ จะเห็นความหมายของสิกขาแตละอยาง ดงั น้ี ๑. ศีล คอื สกิ ขาหรือการศึกษาที่ฝกในดานการสัมพันธติดตอปฏิบัติจัดการกับสิ่งแวดลอม ทั้งทางวัตถุและทางสังคม ทั้งดวยอินทรียตางๆ และดวยพฤติกรรมทางกาย-วาจา พูดอีกอยางหน่ึงวา การมีวิถีชีวิตท่ีปลอดเวรภัยไรก ารเบียดเบียน หรือการดาํ เนินชีวติ ทเี่ กือ้ กลู แกสงั คม และแกโลก ๒. สมาธิ คือ สิกขาหรือการศึกษาที่ฝกในดานจิต หรือระดับจิตใจไดแ กการพฒั นาคณุ สมบตั ติ า งๆ ของจติ ทงั้ – ในดานคุณธรรม เชน เมตตา กรณุ า ความมไี มตรี ความเห็นอกเห็นใจความเอ้ือเฟอเผื่อแผ ความสุภาพออนโยน ความเคารพ ความซ่ือสัตยความกตญั ู ในดานความสามารถของจิต เชน ความเขมแข็งม่ันคง ความเพียรพยายาม ความกลาหาญ ความขยัน ความอดทน ความรับผิดชอบ ความมุงมั่นแนว แน ความมีสติ สมาธิ และ ในดานความสุข เชน ความมีปติอ่ิมใจ ความมีปราโมทยราเริงเบิก
พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยตุ โฺ ต) ๑๐๙บานใจ ความสดช่นื ผองใส ความรสู กึ พอใจ พูดส้ันๆ วา พัฒนาคุณภาพ สมรรถภาพ และสขุ ภาพของจติ ๓. ปญญา คือ สิกขาหรือการศึกษาที่ฝกหรือพัฒนาในดานการรูความจรงิ เร่ิมตั้งแตความเช่ือที่มีเหตุผล ความเห็นที่เขาสูแนวทางของความเปนจริง การรูจักหาความรู การรูจักคิดพิจารณา การรูจักวินิจฉัย ไตรตรองทดลอง ตรวจสอบ ความรูเขาใจ ความหยั่งรูเหตุผล การเขาถึงความจริงการนําความรมู าใชแกไ ขปญ หา และคิดการตา งๆ เฉพาะอยางย่ิง เนน การรตู รงตามความเปน จรงิ หรือรูเ ห็นตามทมี่ นั เปนตลอดจนรูแจงความจริงท่ีเปนสากลของส่ิงทั้งปวง จนถึงขั้นรูเทาทันธรรมดาของโลกและชีวิต ที่ทําใหมีจิตใจเปนอิสระ ปลอดปญหา ไรทุกข เขาถึงอิสรภาพโดยสมบูรณ หลกั ทง้ั ๓ ประการแหง ไตรสิกขา ที่กลาวมาน้ี เปนการศึกษาท่ีฝกคนใหเจริญพัฒนาข้ึนไปในองคประกอบทั้ง ๓ ดานของชีวิตท่ีดีงาม ที่ไดกลาวแลว ขางตน ยาํ้ อกี ครั้งหนง่ึ วา การฝกศกึ ษาทจี่ ะใหมชี วี ิตทีด่ ีงาม เปน สิกขา ชีวิตดีงามทีเ่ กิดจากการฝก ศกึ ษาน้นั เปนมรรคระบบแหงสกิ ขา เรมิ่ ดว ยจัดปรับพ้ืนท่ีใหพ รอมท่จี ะทาํ งานฝกศกึ ษา ไตรสิกขา เปนการศึกษา ๓ ดาน ที่พัฒนาชีวิตไปพรอมกันทั้งระบบแตถามองหยาบๆ เปนภาพใหญ ก็มองเห็นเปนการฝกศึกษาท่ีดําเนินไปใน๓ ดาน/ขน้ั ตอน ตามลําดับ (มองไดท้งั ในแงประสานกันและเปน ปจ จัยตอกนั ) ศีล เปนเหมือนการจัดปรับพ้ืนท่ีและบริเวณแวดลอม ใหสะอาดหมด
๑๑๐ ชวี ติ ทีส่ รางสรรค สดใสและสขุ สันตจดเรยี บรอ ยราบรน่ื แนนหนาม่ันคง มสี ภาพทพ่ี รอ มจะทาํ งานไดค ลองสะดวก สมาธิ เปนเหมือนการเตรยี มตวั ของผทู ํางานใหมีเรี่ยวแรงกําลังความถนดั จัดเจนท่พี รอมจะลงมือทํางาน ปญญา เปน เหมอื นอปุ กรณท จ่ี ะใชท ํางานนน้ั ๆ ใหส าํ เร็จ เชน จะตัดตน ไม: ไดพ นื้ เหยยี บยันท่ีแนนหนามน่ั คง(ศีล) + มกี ําลังแขนแขง็ แรงจบั มีดหรือขวานไดถนัดม่ัน (สมาธิ) + อุปกรณคือมีดหรือขวานท่ีใชตัดน้ันไดขนาดมคี ุณภาพดีและลับไวค มกริบ (ปญญา) Æไดผลคือตัดไมสําเร็จโดยไมยาก อีกอุปมาหนึ่งท่ีอาจจะชวยเสริมความชัดเจน บานเรือนที่อยูที่ทํางาน ฝาผุพื้นขรุขระหลังคารั่ว รอบอาคารถนนหนทางรกรุงรัง ท้ังเปนถ่ินไมปลอดภัย(ขาดศีล) Æการจัดแตง ต้ังวางสิ่งของเครื่องใช จะเตรียมตัวอยูหรือทํางาน อึดอัดขัดของ ไมพรอม ไมสบาย ไมม่ันใจไปหมด (ขาดสมาธิ) Æการเปนอยูและทํางานคิดการทั้งหลาย ไมอาจดําเนนิ ไปไดด ว ยดี(ขาดปญ ญา) Æชีวิตและงานไมสัมฤทธิ์ลจุ ดุ หมาย เน่ืองจากไตรสิกขา เปนหลักใหญท่ีครอบคลุมธรรมภาคปฏิบัติทั้งหมด ในที่น้ีจึงมิใชโอกาสท่ีจะอธิบายหลักธรรมหมวดน้ีไดมาก โดยเฉพาะขั้นสมาธิและปญญาท่ีเปนธรรมละเอียดลึกซึ้ง จะยังไมพูดเพ่ิมเติมจากท่ีไดอธิบายไปแลว แตในข้ันศีลจะพูดเพ่ิมอีกบาง เพราะเก่ียวของกับคนท่ัวไปมาก และจะไดเปนตัวอยางแสดงใหเห็นความสัมพันธระหวางสิกขาทั้ง ๓ดา นน้นั ดวย การฝกศกึ ษาในขัน้ ศีล มีหลักปฏิบตั ทิ ่สี าํ คญั ๔ หมวด คือหน่ึงหน่งึ ศีล ๔ หมวดนี้ ตามปกติทานแสดงไวเปนขอปฏิบัติของพระภิกษุ เรียกวา ปาริสุทธิศีล
พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยตุ ฺโต) ๑๑๑ ๑. วินัยบัญญัติ เปนเคร่ืองมือสําคัญข้ันแรกที่ใชในการฝกข้ันศีล มีต้ังแตวินัยแมบท** ขหนึ่ง องชุมชนใหญนอย ไปจนถึงวินัยสวนตัวในชวี ติ ประจําวัน วินัยบัญญัติ คือการจัดต้ังวางระบบระเบียบแบบแผนเกี่ยวกับการดําเนินชีวิต และการอยูรวมกันของหมูมนุษย เพื่อจัดปรับเตรียมสภาพชีวิตสังคมและส่ิงแวดลอม รวมท้ังลักษณะแหงความสัมพันธตางๆ ใหอยูในภาวะที่เหมาะและพรอมท่ีจะเปนอยู ปฏิบัติกิจ และดําเนินการตางๆ เพ่ือเก้ือหนุนกันใหกาวหนาไปอยางไดผลดีที่สุด สูจุดหมายของชีวิต ของบุคคลขององคกร ของชุมชน ตลอดจนของสังคมท้ังหมดไมวาในระดับใดๆโดยเฉพาะสําคัญที่สุด เพื่อเอ้ือโอกาสใหแตละบุคคลฝกศึกษาพัฒนาชีวิตของเขาใหประณีตประเสริฐ ที่จะไดประโยชนสูงสุดที่จะพึงไดจากการที่ไดมีชีวิตเปน อยู วินัยพ้ืนฐานหรือขั้นตนสุดของสังคมมนุษย ไดแก ขอปฏิบัติที่จะไมใหมีการเบยี ดเบียนกนั ๕ ประการ คือ ๑. เวน การทาํ รายรางกายทําลายชวี ิต ๒. เวนการละเมิดกรรมสทิ ธใิ์ นทรพั ยส ิน ๓. เวน การประพฤตผิ ิดทางเพศและละเมิดตอ คคู รองของผูอ ืน่ ๔ มีช่ือท่ีเรียงตามลําดับ คือ ๑. ปาติโมกขสังวรสีล ๒. อินทรียสังวรสีล ๓. อาชีวปาริสุทธิสีล และ ๔. ปจจัยสันนิสสิตสีล หรือ ปจจัยปฏิเสวนสีล (เชน วิสุทฺธิ.๑/๑๘–๕๖) ท่ีทานเรียงขอ ๓. ไว กอนขอ ๔. น้ัน เห็นไดวาเปนไปตามลําดับที่เปนจริง คือ ขอ ๓. เปนเร่ืองของปจจัยปริเยสนา คือ การแสวงหาปจจัย ซ่ึงมากอนปจจัยปฏิเสวนา คือการเสพปจจัย แตในที่นี้ มุงใหคฤหัสถนํามา ปฏิบัติใหเหมาะกับตนดวย โดยเริ่มตั้งแตวัยเด็ก จึงเรียกโดยชื่อท่ีคุนแกคนท่ัวไป และเรียงอาชีวะ เปน ขอ สุดทาย** วินัยแมบทของพระภกิ ษุ เรียกวา ภิกขปุ าตโิ มกข (ภิกขปุ าฏโิ มกข ก็ใช) หนึง่
๑๑๒ ชวี ติ ทสี่ รางสรรค สดใสและสุขสันต ๔. เวนการพูดเทจ็ ใหรายหลอกลวง และ ๕. เวนการเสพสุรายาเมาสิ่งเสพติด ที่ทําลายสติสัมปชัญญะ แลวนําไปสูการกอกรรมช่ัวอยางอื่น เริ่มต้ังแตคุกคามตอความรูสึกมั่นคงปลอดภยั ของผรู ว มสังคม ขอปฏิบัติพื้นฐานชุดน้ี ซึ่งเรียกงายๆ วา ศีล ๕ เปนหลักประกันที่รักษาสังคมใหม่ันคงปลอดภัย เพียงพอที่มนุษยจะอยูรวมกันเปนปกติสุขและดําเนินชีวิตทํากิจการตางๆ ใหเปนไปไดดวยดีพอสมควร นับวาเปนวินัยแมบ ทของคฤหสั ถ หรอื ของชาวโลกทง้ั หมด ไมค วรมองวินยั วาเปนการบบี บังคับจํากดั แตพ ึงเขาใจวาวินัยเปนการจัดสรรโอกาส หรือจัดสรรส่ิงแวดลอมหรือสภาวะทางกายภาพใหเอื้อโอกาสแกการที่จะดําเนินชีวิตและกิจการตางๆ ใหไดผลดีท่ีสุด ตั้งแตเร่ืองงายๆเชน การจัดส่ิงของเคร่ืองใชเตียงตั่งโตะเกาอี้ในบานใหเปนท่ีเปนทางทําใหหยบิ งายใชคลอ งนงั่ เดนิ ยืนนอนสะดวกสบาย การจัดเตรียมวางสงเครื่องมือผาตัดของศัลยแพทย การจัดระเบียบจราจรบนทองถนน วินัยของทหารวินยั ของขา ราชการ ตลอดจนจรรยาบรรณของวิชาชีพตา งๆ ในวงกวาง ระบบเศรษฐกิจ ระบบสังคม ระบบการเมืองการปกครองตลอดจนแบบแผนทุกอยางที่อยูตัวกลายเปนวัฒนธรรม รวมอยูในความหมายของคาํ วา “วินยั ” ทั้งส้ิน สาระของวินัย(บัญญัติ) คือ การอาศัย(ความรูใน)ธรรมคือความจริงของส่ิงทั้งหลายตามที่มันเปนอยู มาจัดสรรต้ังวางระเบียบระบบตางๆ ขึ้นเพ่อื ใหมนุษยไ ดป ระโยชนส งู สดุ จากธรรมคือความจรงิ นัน้ พระพุทธเจาทรงมุงจะใหคนจํานวนมาก ไดประโยชนจากธรรมที่พระองคไดตรัสรู จึงทรงตั้งชุมชนเรียกวาสังฆะข้ึน โดยบัญญัติวินัย คือจัดตง้ั วางระเบยี บระบบตางๆ ท่จี ะใหส งั ฆะนั้นเปน แหลงท่ีผสู มัครเขามา ไดมี
พระพรหมคณุ าภรณ (ป. อ. ปยุตฺโต) ๑๑๓ความเปนอยู มีวิถีชีวิต มีกิจหนาท่ี มีระบบการอยูรวมกัน การดําเนินกิจการงาน การสัมพันธกันเองและสัมพันธกับบุคคลภายนอก มีวิธีแสวงหาจัดสรรแบงปนและบริโภคปจจัย ๔ และการจัดสรรสภาพแวดลอมทุกอยางท่ีเอื้อเกื้อกูลเหมาะกัน พรอมทั้งปดก้ันชองโหวโอกาสท่ีจะกอเกื้อแกการท่ีเสื่อมเสียหาย ทําทุกอยางใหอํานวยโอกาสมากท่ีสุด แกการที่แตละบุคคลจะฝกศึกษาพัฒนาตน ใหเจริญในไตรสิกขากาวหนาไปในมรรค และบรรลุผลท่ีพึงไดจากชีวิตท่ีดีงามประเสริฐ เขาถึงธรรมสูงสุด ท้ังวิชชา วิมุตติ วิสุทธิ สันตินิพพาน กบั ทั้งใหชุมชนแหงสงั ฆะน้ันเปนแหลงแผธรรมเพ่ือขยายประโยชนสขุ ใหกวา งขวางออกไปโดยรอบและทั่วไปในโลก พูดสั้นๆ การจัดตั้งวางระเบียบระบบแกชุมชนหรือสังฆะดังวาน้ี คือวินยั โดยนัยนี้ วินัย(บัญญัติ) จึงเปนจุดเร่ิมตนในกระบวนการฝกศึกษาพัฒนามนุษย เปนกระบวนการพื้นฐานในการฝกพฤติกรรมที่ดี และจัดสรรสภาพแวดลอม ท่ีจะปองกันไมใหมีพฤติกรรมที่ไมดี แตใหเอ้ือตอการมีพฤติกรรมที่ดีที่พึงประสงค พรอมท้ังฝกคนใหคุนกับพฤติกรรมที่ดี จนพฤตกิ รรมเคยชินทีด่ นี น้ั กลายเปน พฤติกรรมเคยชินและเปน วิถชี ีวิตของเขาตลอดจนการจัดระเบียบระบบทั้งหลายท้ังปวงในสังคมมนุษยเพื่อใหเกิดผลเชนนัน้ เม่ือใดการฝกศึกษาไดผล จนพฤติกรรมที่ดีตามวินัย กลายเปนพฤตกิ รรมเคยชิน อยตู ัว หรอื เปนวิถชี วี ติ ของบุคคล เมื่อน้ันกเ็ กิดเปนศลีชีวติ ทัง้ ๓ ดา น การศึกษาทั้ง ๓ ข้ัน ประสานพรอ มไปดวยกนั ๒. อินทรียสังวร แปลตามแบบวา การสํารวมอินทรีย หมายถึง
๑๑๔ ชีวติ ท่ีสรา งสรรค สดใสและสขุ สนั ตการใชอินทรีย เชน ตาดู หูฟง อยางมีสติ มิใหถูกความโลภ ความโกรธความแคนเคือง ความหลง ความริษยา เปนตน เขามาครอบงํา แตใชใหเปนใหไดประโยชน โดยเฉพาะใหเกดิ ปญ ญา รูความจริง และไดขอมูลขาวสารตรงตามสภาวะ ทจ่ี ะนําไปใชในการแกปญ หาและทําการสรางสรรคต า งๆ ตอไป ควรทราบวา เพ่อื ความเขาใจงายสาํ หรับคนท่วั ไป โดยสรปุ อนิ ทรยี คือ ตา หู จมกู ล้ิน กาย ใจ ทาํ หนา ที่ ๒ อยาง คือ ๑) หนา ที่รู คอื รับรูขอ มลู ขาวสาร เชน ตาดู รูวา เปนอะไร วา เปนนาฬิกา เปน กลอ งถา ยรูป เปนดอกไม ใบไมสเี ขียว สีแดง สเี หลือง รปู รางยาวสั้นใหญเ ล็ก หูไดย ินเสยี งวา ดัง เบา เปนถอ ยคาํ สื่อสารวาอยา งไร เปนตน ๒) หนาที่รูสึก หรือรับความรูสึก พรอมกับรับรูขอมูลเราก็มีความรูสกึ ดวย บางทตี วั เดนกลบั เปน ความรสู ึก เชน เห็นแลวรูสึกสบายหรือไมส บาย ถูกตาไมถ กู ตา สวยหรือนาเกลยี ด ถกู หูไมถกู หู เสียงนุมนวลไพเราะหรอื ดงั แสบแกวหูราํ คาญ เปนตน • หนา ทด่ี านรู เรยี กงายๆ วา ดา นเรียนรู หรือศกึ ษา • หนาทีด่ า นรสู ึก เรยี กงา ยๆ วา ดา นเสพ พูดสั้นๆ วา อินทรียทําหนาที่ ๒ อยา ง คือ ศึกษา กับ เสพ ถาจะใหชีวิตของเราพัฒนา จะตองใชอินทรียเพื่อรูหรือศึกษาใหมากมนุษยท่ีไมพัฒนา จะใชอินทรียเพื่อเสพความรูสึกเปนสวนใหญ บางทีแทบไมใชเพื่อการศึกษาเลย เมือ่ มุง แตจะหาเสพความรสู กึ ท่ถี กู หู ถกู ตา สวยงามสนุนสนานบันเทิง เปนตน ชีวิตก็วุนวายอยูกับการว่ิงไลหาส่ิงที่ชอบใจ และดิ้นรนหลีกหนีส่ิงท่ีไมชอบใจ วนเวียนอยูแคความชอบใจ-ไมชอบใจ รัก-ชังติดใจ-เกลียดกลัว หลงใหล-เบ่ือหนาย แลวก็ฝากความสุขความทุกขของตนไวใหข นึ้ กบั ส่งิ เสพบรโิ ภค
พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยุตโฺ ต) ๑๑๕ เม่อื เวลาผา นไป ชีวิตท่ีไมไดฝก ฝนพฒั นา กไ็ มเหน็ ประจักษศักยภาพที่ตนมี และไมมีอะไรที่จะใหแกโลกน้ี หรือแกสังคม การเกิดมาไดเสพกลายเปน ความสญู เปลา ถาไมมัวหลงติดอยกู ับการหาเสพความรสู ึก ทเ่ี ปน ไดแคน ักบริโภค แตรูจักใชอนิ ทรียเ พือ่ ศึกษา สนองความตองการรูหรือความใฝรู กจ็ ะใชตา หูเปนตน ไปในทางการเรยี นรู และจะพฒั นาไปเรื่อยๆ ปญญาจะเจริญงอกงามความใฝรูใ ฝสรางสรรคจ ะเกิดข้ึน กลายเปน นักผลิตนักสรา งสรรค และจะไดพบกบั ความสขุ อยา งใหมๆ ทพี่ ฒั นาขยายขอบเขตและประณีตย่งิ ขนึ้ พรอ มกับความใฝรูใฝส รางสรรคท กี่ าวหนา ไป เปน ผูมชี วี ติ ทด่ี ีงาม และมคี ณุ คาแกสังคม ๓. ปจจัยปฏิเสวนา คือการเสพบริโภคปจจัย ๔ รวมท้ังสิ่งของเครอื่ งใชท ้งั หลาย ตลอดจนเทคโนโลยี ศีลในเรื่องนี้ คือการฝกศึกษาใหรูจักใชสอยเสพบริโภคสิ่งตางๆ ดวยปญญาท่ีรูเขาใจคุณคาหรือประโยชนที่แทจริงของส่ิงน้ันๆ เร่ิมตั้งแตอาหาร ก็พิจารณารูเขาใจความจริงวา รับประทานเพื่อเปนเคร่ืองหลอเลี้ยงชีวิต ใหรางกายมสี ขุ ภาพแข็งแรง ชว ยใหสามารถดาํ เนนิ ชีวติ ทดี่ ีงาม อยางทตี่ รัสไวว า ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยน้ี พิจารณาโดยแยบคาย แลว จึงเสพ(นุงหม)จีวร เทาท่ีวา เพ่ือปองกันความหนาว รอน สัมผัสแหง เหลือบ ยุง ลม แดด และสัตวเล้ือยคลาน เทาที่วา เพ่ือ ปกปด อวัยวะทคี่ วรละอาย พิจารณาโดยแยบคายแลว จึงเสพ(ฉัน)อาหารบิณฑบาต มิใชเพ่ือสนุก มิใชเพ่ือมัวเมา มิใชเพื่อสวยงาม มิใชเพ่ือโออวด แตเสพ(ฉัน) เทาที่วา เพ่ือใหรางกายนี้ดํารงอยูได เพ่ือยังชีวิตให เปนไป เพื่อระงับความหิว เพ่ือเก้ือหนุนชีวิตที่ประเสริฐ ดวยการ ปฏิบัติดังน้ี เราจะกําจัดเวทนาเกา (ความไมสบายเพราะความหิว)
๑๑๖ ชีวิตท่ีสรางสรรค สดใสและสุขสนั ต เสียดวย จะไมใหเวทนาใหม (เชนความอึดอัด แนน จุกเสียด) เกิดข้นึ ดวย เรากจ็ ะมีชีวติ ดาํ เนินไป พรอมทั้งความไมม โี ทษ และ ความอยูผ าสกุ หนึ่ง การบริโภคดวยปญญาอยางนี้ ทานเรียกวาเปนการรูจักประมาณในการบริโภค หรือการบริโภคพอดี หรือกินพอดี เปนการบริโภคท่ีคุมคา ไดประโยชนอ ยางแทจริง ไมสิ้นเปลือง ไมสูญเปลา และไมเกิดโทษ อยางท่ีบางคนกนิ มาก จา ยแพง แตก ลับเปน โทษแกร างกาย เมื่อจะซ้ือหาหรือเสพบริโภคอะไรก็ตาม ควรฝกถามตัวเองวา เราจะใชมันเพ่ืออะไร ประโยชนที่แทจริงของส่ิงนี้คืออะไร แลวซ้ือหามาใชใหไดประโยชนท่ีแทจริงนั้น ไมบริโภคเพียงดวยตัณหาและโมหะ เพียงแคต่ืนเตนเห็นแกความโกเก เหิมเหอไปตามกระแสคานิยมเปนตน โดยไมไดใชปญญาเลย พึงระลึกไววา การเสพบริโภค และเร่ืองเศรษฐกิจท้ังหมด เปนปจจัยคือเปนเคร่ืองเกื้อหนุนการพัฒนาชีวิตที่ดีงาม ไมใชเปนจุดหมายของชีวิตชีวิตมใิ ชจบที่น่ี ชีวติ ไมใชอยูแคน ้ี เมื่อปฏิบัติถูกตองตามหลักนี้ ก็จะเปนคนท่ีกินอยูเปน เปนผูมีศีลอีกขอ หนง่ึ ๔. สัมมาอาชีวะ คือการหาเล้ียงชีพโดยทางชอบธรรม ซ่ึงเปนศีลขอ สาํ คัญอยา งหนงึ่ เม่ือนํามาจัดเขาชดุ ศีล ๔ ขอนี้ และเนนสําหรับพระภิกษุทานเรียกวา “อาชีวปาริสุทธิ” (ความบริสุทธ์ิแหงอาชีวะ) เปนเร่ืองของความสุจริตเกี่ยวกับ ปจจัยปริเยสนา คือการแสวงหาปจจัย (ตอเน่ืองกับขอ ๓ปจ จยั ปฏเิ สวนา คือการใชสอยเสพบรโิ ภคปจ จัย) ศีลขอน้ี ในขั้นพ้ืนฐาน หมายถึงการเวนจากมิจฉาชีพ ไมประกอบหน่งึ ม.มู.๑๒/๑๔/๑๗
พระพรหมคณุ าภรณ (ป. อ. ปยตุ โฺ ต) ๑๑๗อาชีพท่ผี ิดกฎหมาย ผดิ ศลี ธรรม แตหาเล้ยี งชีพโดยทางสจุ รติ วาโดยสาระ คือ ไมประกอบอาชีพท่ีเปนการเบียดเบียน กอความเดือดรอนเสียหายแกชีวิตอ่ืน และแกสังคม หรือที่จะทําชีวิต จิตใจ และสังคมใหเสื่อมโทรมตกต่ํา ดังน้ันสําหรับคฤหัสถ จึงมีพุทธพจนแสดงอกรณียวณิชชา คือการคาขายที่อุบาสกไมพึงประกอบ ๕ อยางหนึ่ง ไดแกการคาอาวุธ การคามนุษย การคาสัตวขายเพื่อฆาเอาเน้ือ การคาของเมา(รวมทง้ั สง่ิ เสพตดิ ทง้ั หลาย) และการคา ยาพษิ เม่ือเวนมิจฉาชีพ ก็ประกอบสัมมาชีพ ซึ่งเปนการงานที่เปนไปเพ่ือแกปญหาและชวยสรางสรรคเก้ือกูลแกชีวิตและสังคมอยางใดอยางหนึ่ง อันจะทําใหเกดิ ปติและความสุขไดทุกเวลา ไมวาระลึกนึกขึ้นมาคราวใด ก็อิ่มใจภูมิใจวาเราไดทําชีวิตใหมีคุณคาไมวางเปลา ซ่ึงจะเปนปจจัยหนุนใหเจริญกาวหนา ย่ิงขึน้ ไปในมรรค โดยเฉพาะระดับจิตใจหรอื สมาธิ สัมมาชีพ นอกจากเปนอาชีพการงานที่เปนประโยชนแกชีวิตและสังคมแลว ยังเปนประโยชนในดานการศึกษาพัฒนาชีวิตของตนเองดวย ซ่ึงผูทํางานควรต้ังใจใชเปนโอกาสในการพัฒนาตน เชน เปนแดนฝกฝนพัฒนาทักษะตางๆ ฝกกายวาจากิริยามารยาท พัฒนาความสามารถในการสื่อสารสัมพันธกับเพื่อนมนุษย ฝกความเขมแข็งขยันอดทน ความมีวินัย ความรับผิดชอบ ความมีฉันทะ มีสติ และสมาธิ พัฒนาความสุขในการทํางานและพัฒนาดานปญญา เรียนรูจากทุกสิ่งทุกเรื่องท่ีเกี่ยวของเขามา คิดคนแกไ ขปรับปรงุ การงาน และการแกป ญหาตางๆ ทั้งนี้ ในความหมายท่ีลึกลงไป การเลี้ยงชีวิตดวยสัมมาชีพ ทานรวมถึงความขยันหม่ันเพียร และการปฏิบัติใหไดผลดีในการประกอบอาชีพหน่ึง อง.ฺ ปฺจก.๒๒/๑๗๗/๒๓๓
๑๑๘ ชวี ิตท่สี รา งสรรค สดใสและสขุ สันตท่ีสจุ รติ เชน ทํางานไมใ หค่ังคา งอากลู เปน ตน ดวย อาชีพการงานน้ัน เปนกิจกรรมที่ครองเวลาสวนใหญแหงชีวิตของเราถาผูใดมีโยนิโสมนสิการ คิดถูก ปฏิบัติถูก ตออาชีพการงานของตนนอกจากไดบําเพ็ญประโยชนเปนอันมากแลว ก็จะไดประโยชนจากการงานนั้นๆ มากมาย ทําใหงานน้ันเปนสวนแหงสิกขา เปนเคร่ืองฝกฝนพัฒนาชีวิตของตนใหก าวไปในมรรคไดด วยดี การฝกศึกษาในดานและในขั้นศีล ๔ ประเภท ที่กลาวมานี้ จะตองเอาใจใสใหความสาํ คัญกันใหมาก เพราะเปนท่ีทรงตัวปรากฏตัวของวิถีชีวิตดีงามที่เรียกวามรรค และเปนพื้นฐานของการกาวไปสูสิกขาคือการศึกษาที่สูงข้ึนไปถาขาดพ้ืนฐานน้ีแลว การศึกษาขน้ั ตอ ไปก็จะงอ นแงนรวนเร เอาดีไดย าก สวนสิกขาดานจิตหรือสมาธิ และดานปญญา ท่ีเปนเรื่องลึกละเอียดกวา งขวางมาก จะยังไมก ลา วเพม่ิ จากทีพ่ ูดไปแลว กอนจะผานไป มีขอควรทําความเขาใจที่สําคัญในตอนนี้ ๒ ประการคอื ๑. ในแงไตรสิกขา หรือในแงความประสานกันของสิกขาท้ัง ๓ ไดกลาวแลววา ชีวิตคนทั้ง ๓ ดาน คือ การสัมพันธกับโลก จิตใจ และความรูความคิด ทํางานประสานเปนปจจัยแกกัน ดังนั้น การฝกศึกษาท้ัง ๓ ดานคือ ศีล สมาธิ และปญ ญา ก็จึงดําเนินไปดวยกนั ท่ีพูดวา สิกขา/ฝกศึกษาขั้นศีลน้ี มิใชหมายความวาเปนเรื่องของศีลอยางเดียว แตหมายความวา ศีลเปนแดนหรือดานท่ีเรากําลังเขามาปฏิบัติจัดการหรอื ทําการฝก อยใู นตอนน้ีขณะนี้ แตตัวทาํ งานหรือองคธ รรมท่ที ํางานในการฝก กม็ ีครบทง้ั ศีล สมาธิ และปญญา ถามองดูใหดี จะเห็นชัดวา ตัวทํางานสําคัญๆ ในการฝกศีลนี้ ก็คือ
พระพรหมคณุ าภรณ (ป. อ. ปยุตโฺ ต) ๑๑๙องคธรรมฝายจิตหรอื สมาธิ และองคธ รรมฝา ยปญ ญา ดูงายๆ ท่ีศีลขออินทรียสังวรน้ัน ตัวทํางานหลักก็คือสติ ซ่ึงเปนองคธรรมฝายจิตหรือหมวดสมาธิ และถาการฝกศึกษาตรงนี้ถูกตอง ก็ปญญานน่ั แหละท่ที าํ งานมาก มาใชประโยชนแ ละเดินหนา พูดดวยภาษางายๆ วา ในข้ันศีลน้ี ธรรมฝายจิต/สมาธิ และปญญามาทํางานกบั เร่อื งรูปธรรม ในแดนของศีล เพ่ือชวยกันฝกฝนพัฒนาศีล และในการทาํ งานนี้ ทั้งสมาธิและปญ ญาก็ฝก ศึกษาพัฒนาตัวมนั เองไปดวย ในขั้นหรือดานอ่ืนๆ ก็เชนเดียวกัน ท้ังศีล สมาธิ และปญญา ตางก็ชวยกันรว มกนั ทํางานประสานกันตามบทบาทของตนๆ ๒. ในแงมรรค หรือในแงคุณสมบัติภายในของชีวิต ขณะท่ีมีการฝกศึกษาดวยไตรสิกขานั้น ถามองเขาไปในชีวิตที่ดําเนินอยู คือมรรคท่ีรับผลจากการฝกศกึ ษาของสกิ ขา ก็จะเหน็ วา กระบวนธรรมของการดําเนินชีวิตก็กาวไปตามปกติของมัน โดยมีปญญาในช่ือวาสัมมาทิฏฐิเปนผูนํากระบวนของชีวิตน้ันทั้ง ๓ ดาน สัมมาทิฏฐินี้มองเห็นรูเขาใจอยางไรเทาไร ก็คิดพูดทําดาํ เนินชีวติ ไปในแนวทางนน้ั อยา งน้ัน และไดแคน้นั แตเม่ือการฝกศึกษาของไตรสิกขาดําเนินไป ปญญาชื่อสัมมาทิฏฐินั้นก็พัฒนาตัวมันเองดวยประสบการณท้ังหลายจากการฝกศึกษาน้ัน เฉพาะอยางย่ิงดวยการทํางานคิดวิจัยสืบคนไตรตรองของสัมมาสังกัปปะ ทําใหมองเห็นรูเขาใจกวางลึกชัดเจนทั่วตลอดถึงความจริงยิ่งขึ้นๆ แลวก็จัดปรับนํากระบวนธรรมกา วหนา ใหเปน มรรคท่ีสมบรู ณใ กลจดุ หมายย่งิ ข้ึนๆ ไปการศกึ ษาจะดําเนนิ ไป มีปจ จยั ชวยเกอื้ หนนุ ขอยอนย้ําวา มรรค คือการดําเนินชีวิตหรือวิถีชีวิตที่ดี แตจะดําเนินชีวิตดีไดก็ตองมีการฝกฝนพัฒนา ดังน้ันจึงตองมีการฝกศึกษาท่ีเรียกวา
๑๒๐ ชวี ิตที่สรา งสรรค สดใสและสขุ สนั ตสิกขา มรรค เปนจุดหมายของ สิกขา การที่ใหมีไตรสิกขา ก็เพื่อใหคนมีชีวติ ท่ีเปนมรรค และกาวไปในมรรคนั้น ดวยการฝกตามระบบแหงไตรสิกขา องค ๘ ของมรรคจะเกิดขึ้นเปนคุณสมบัติของคน และเจริญพัฒนา ทําใหมีชีวิตดี ที่เปนมรรค และกาวไปในมรรคนัน้ อยา งไรกด็ ี กระบวนการแหงสิกขา มิใชวาจะเร่ิมขึ้นมาและคืบหนาไปเองลอยๆ แตต องอาศยั ปจจยั เก้ือหนนุ หรือชว ยกระตนุ เนื่องจากปจจัยท่ีวานี้เปนตัวนําเขาสูสิกขา จึงจัดวาอยูในขั้นกอนมรรค และการนําเขาสูสิกขานี้เปนเรื่องสําคัญมาก ดวยเหตุน้ีจึงทําใหแบงกระบวนการแหงการศึกษาออกเปน ๒ ข้ันตอนใหญ คือ ข้ันนําเขาสูสิกขาและ ขนั้ ไตรสิกขา ๑. ข้ันนาํ สสู ิกขา หรือ การศกึ ษาจัดต้ัง ข้ันกอนท่ีจะเขาสูไตรสิกขา เรียกอีกอยางหนึ่งวา ข้ันกอนมรรคเพราะมรรค หรือเรียกใหเต็มวามรรคมีองค ๘ น้ัน ก็คือ วิถีแหงการดําเนินชีวิต ที่เกดิ จากการฝก ศึกษาตามหลักไตรสิกขาน่ันเอง เมื่อมองในแงของมรรค ก็เริ่มจากสัมมาทิฏฐิ คือความเห็นชอบ ซ่ึงเปนปญ ญาในระดบั หน่ึง ปญญาในข้ันนี้ เปนความเช่ือและความเขาใจในหลักการทั่วๆ ไปโดยเฉพาะความเชือ่ วาสง่ิ ทง้ั หลายเปน ไปตามเหตปุ จจัย หรือการถือหลักการแหงเหตุปจจัย ซึ่งเปนความเช่ือท่ีเปนฐานสําคัญของการศึกษา ท่ีจะทําใหมีการพัฒนาตอไปได เพราะเม่ือเช่ือวาสิ่งทั้งหลายเปนไปตามเหตุปจจัย พอมีอะไรเกิดขึ้น ก็ตองคิดคนสืบสาวหาเหตุปจจัย และตองปฏิบัติใหสอดคลอง
พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยตุ โฺ ต) ๑๒๑กับเหตปุ จจยั เชนทําเหตปุ จจยั ท่ีจะใหเ กดิ ผลท่ตี อ งการ การศึกษาก็เดินหนา ในทางตรงขาม ถามีทิฏฐิความคิดเห็นเช่ือถือท่ีผิด ก็จะตัดหนทางที่จะพัฒนาตอไป เชน ถาเช่ือวาส่ิงทั้งหลายจะเปนอยางไรก็เปนไปเองแลวแตโชค หรือเปนเพราะการดลบันดาล คนก็ไมตองศึกษาพัฒนาตน เพราะไมรูจะพัฒนาไปทาํ ไม ดังน้ัน ในกระบวนการฝกศึกษาพัฒนาคน เมื่อเริ่มตนจึงตองมีปญญาอยูบาง น่ันคือปญญาในระดับของความเชื่อในหลักการที่ถูกตอง ซึ่งเม่อื เชอ่ื แลว ก็จะนําไปสกู ารศึกษา คราวนี้ ส่ิงที่ตองพิจารณาตอไป ก็คือ สัมมาทิฏฐิ ซ่ึงเปนฐานหรือเปนจุดเร่ิมใหคนมีการศึกษาพัฒนาตอไปไดนี้ จะเกิดขึ้นในตัวบุคคลไดอยา งไร หรือทําอยา งไรจะใหบ คุ คลเกดิ มีสมั มาทฏิ ฐิ ในเรื่องน้ี พระพุทธเจาไดตรัสแสดง ปจจัยแหงสัมมาทิฏฐิ ๒ อยางหนงึ่คือ ๑. ปจจยั ภายนอก ไดแ ก ปรโตโฆสะ ๒. ปจจยั ภายใน ไดแ ก โยนโิ สมนสกิ าร ตามหลักการน้ี การมีสัมมาทิฏฐิอาจเริ่มจากปจจัยภายนอก เชน พอแม ครูอาจารย ผูใหญ หรือวัฒนธรรม ซ่ึงทําใหบุคคลไดรับอิทธิพลจากความเช่ือ แนวคดิ ความเขาใจ และภมู ธิ รรมภมู ปิ ญ ญา ท่ถี ายทอดตอกนั มา ถาสิ่งที่ไดรับจากการแนะนําส่ังสอนถายทอดมานั้นเปนส่ิงที่ดีงามถูกตอง อยูในแนวทางของเหตุผล ก็เปนจุดเร่ิมของสัมมาทิฏฐิ ที่จะนําเขาสูกระแสการพัฒนาหรือกระบวนการฝกศึกษา ในกรณีอยางน้ี สัมมาทิฏฐิเกิดจากปจ จยั ภายนอกท่เี รียกวา ปรโตโฆสะ ถาไมเชนนั้น บุคคลอาจเขาสูกระแสการศึกษาพัฒนาโดยเกิดปญญาหน่งึ อง.ฺ ทุก.๒๐/๓๗๑/๑๑๐
๑๒๒ ชีวิตท่ีสรา งสรรค สดใสและสขุ สนั ตท่ีเรียกวาสัมมาทิฏฐินั้น ดวยการใชโยนิโสมนสิการ คือการรูจักคิด รูจักพิจารณาดว ยตนเอง แตคนสวนใหญจะเขาสูกระแสการศึกษาพัฒนาดวยปรโตโฆสะเพราะคนท่ีมีโยนโิ สมนสกิ ารแตแ รกเรม่ิ นน้ั หาไดยาก “ปรโตโฆสะ” แปลวา เสยี งจากผอู ่นื คอื อทิ ธิพลจากภายนอก เปนคําท่ีมีความหมายกลางๆ คืออาจจะดีหรือช่ัว ถูกหรือผิดก็ได ถาปรโตโฆสะ นั้นเปนบุคคลท่ีดี เราเรียกวา กัลยาณมิตร ซ่ึงเปนปรโตโฆสะชนิดท่ีมีคุณภาพโดยเฉพาะที่ไดเลือกสรรกลนั่ กรองแลว เพ่อื ใหม าทํางานในดานการศกึ ษา ถาบุคคลและสถาบันท่ีมีบทบาทสําคัญมากในสังคม เชน พอแม ครูอาจารย ส่ือมวลชน และองคกรทางวัฒนธรรม เปนปรโตโฆสะที่ดี คือเปนกัลยาณมติ ร ก็จะนาํ เดก็ ไปสสู มั มาทฏิ ฐิ ซง่ึ เปนฐานของการพัฒนาตอไป อยางไรกต็ าม คนทีพ่ ัฒนาดีแลวจะมคี ณุ สมบตั ทิ ่ีสาํ คัญ คือ พ่ึงตนไดโดยมีอิสรภาพ แตคุณสมบัติน้ีจะเกิดข้ึนตอเมื่อเขารูจักใชปจจัยภายในเพราะถา เขายังตองอาศยั ปจจยั ภายนอก ก็คือ การที่ยังตองพ่ึงพา ยังไมเปนอิสระ จึงยงั ไมส ามารถพ่งึ ตนเองได ดังนน้ั จุดเนนจงึ อยูท่ปี จ จยั ภายใน แตเราอาศัยปจจัยภายนอกมาเปนสื่อในเบ้ืองตน เพื่อชวยจัดสรรสิ่งแวดลอมที่เอ้ือและปจจัยเก้ือหนุนทั้งหลาย โดยเฉพาะการที่จะชักนําใหผูเรยี นสามารถใชโ ยนิโสมนสกิ าร ทีเ่ ปน ปจจยั ภายในของตวั เขาเอง เม่ือรูหลกั น้ีแลว เราก็ดําเนินการพัฒนากัลยาณมิตรขึ้นมาชวยชักนําคนใหรจู ักใชโ ยนิโสมนสิการ นอกจากปรโตโฆสะท่ีเปนกัลยาณมิตร และโยนิโสมนสิการ ซึ่งเปนองคประกอบหลัก ๒ อยางน้ีแลว ยังมีองคประกอบเสริมที่ชวยเก้ือหนุนในข้นั กอนเขา สูมรรคอีก ๕ อยาง จึงรวมท้งั หมดมี ๗ ประการ
พระพรหมคณุ าภรณ (ป. อ. ปยุตโฺ ต) ๑๒๓ องคธรรมเก้ือหนุนทั้ง ๗ ท่ีกลาวมาน้ัน มีช่ือเรียกวาบุพนิมิตของมรรคหนง่ึ เพราะเปนเคร่ืองหมายบงบอกลวงหนาถึงการท่ีมรรคจะเกิดขึ้นหรือเปนจุดเร่ิมท่ีจะนําเขาสูมรรค อาจเรียกเปนภาษางายๆ วา แสงเงินแสงทองของ(วิถี)ชีวิตท่ีดีงาม หรือเรียกในแงสิกขาวา รุงอรุณของการศึกษา ดังน้ี ๑. กัลยาณมิตตตา (มีกัลยาณมิตร=แสวงแหลงปญญาและแบบอยา งทีด่ ี) ไดแก ปรโตโฆสะท่ีดี ซง่ึ เปนปจจยั ภายนอก ทีไ่ ดก ลาวแลว ๒. ศีลสัมปทา (ทําศีลใหถึงพรอม=มีวินัยเปนฐานของการพัฒนาชีวิต) คือ ประพฤติดี มีวินัย มีระเบียบในการดําเนินชีวิต ตั้งอยูในความสจุ รติ และมีความสมั พันธท างสงั คมทดี่ ที เี่ กือ้ กลู ๓. ฉันทสัมปทา (ทําฉันทะใหถึงพรอม=มีจิตใจใฝรูใฝสรางสรรค)คือ พอใจใฝรักในความรู อยากรูใหจริง และปรารถนาจะทําสิ่งท้ังหลายใหดี *งาม สอง ๔. อัตตสัมปทา (ทําตนใหถึงพรอม=มุงม่ันฝกตนจนเต็มสุดภาวะที่ความเปนคนจะใหถ ึงได) คอื การทําตนใหถ งึ ความสมบูรณแหงศักยภาพของความเปน มนษุ ย โดยมจี ติ สํานกึ ในการทีจ่ ะฝก ฝนพัฒนาตนอยเู สมอหนงึ่ ข.ุ ม.๑๙/๑๒๙-๑๓๗/๓๖–๓๗ (คําแปลแบบชวยจาํ นํามาจากหนงั สอื ธรรมนูญชีวิต พ.ศ.๒๕๔๒)ฉันทะ* เปนธรรมท่ีสําคัญยิ่งอยางหนึ่ง มีความหมายเปนภาษาบาลีวา “กตฺตุกมฺยตา” สองแปลวา ความเปนผใู ครเพอ่ื จะทํา คอื ตองการทํา หรืออยากทํา ไดแกการมีความปรารถนาดีตอทุกสิ่งทุกอยางท่ีพบเห็นเก่ียวของ และอยากจะทําใหสิ่งนั้นๆ ดีงามสมบูรณเต็มตามภาวะท่ีดที สี่ ุดของมันฉันทะ เปนธรรมท่ีพัฒนาโดยอาศัยปญญา และพึงพัฒนาข้ึนมาแทนท่ี หรืออยางนอยใหดุลกับ ตัณหา (ความอยากเกี่ยวกับตัวตน เชน อยากได อยากเสพ อยากเปน อยากคงอยตู ลอดไป อยากสญู สลายหรืออยากทาํ ลาย)
๑๒๔ ชวี ติ ทสี่ รางสรรค สดใสและสขุ สันต ๕. ทิฏฐิสัมปทา (ทําทิฏฐิใหถึงพรอม=ถือหลักเหตุปจจัยมองอะไรๆตามเหตุและผล) คือ มีความเช่ือท่ีมีเหตุผล ถือหลักความเปนไปตามเหตุปจจัย ๖. อัปปมาทสัมปทา (ทําความไมประมาทใหถึงพรอม=ตั้งตนอยูในความไมประมาท) คือ มีสติครองตัว เปนคนกระตือรือรน ไมเฉื่อยชา ไมปลอยปละละเลย โดยเฉพาะมีจิตสํานึกตระหนักในความเปล่ียนแปลง ซ่ึงทาํ ใหเ ห็นคุณคาของกาลเวลา และรูจ กั ใชเวลาใหเ ปน ประโยชน ๗.โยนิโสมนสิการสัมปทา (ทําโยนิโสมนสิการใหถึงพรอม=ฉลาดคิดแยบคายใหไดประโยชนและความจริง) รูจักคิด รูจักพิจารณา มองเปน คิดเปน เห็นส่ิงท้ังหลายตามที่มันเปนไป ในระบบความสัมพันธแหงเหตุปจจัยรูจักสอบสวนสืบคนวิเคราะหวิจัย ใหเห็นความจริง หรือใหเห็นแงดานที่จะทําใหเปนประโยชน สามารถแกไขปญหาและจัดทําดําเนินการตางๆ ใหสําเร็จไดดวยวิธีการแหงปญญา ที่จะทําใหพ่ึงตนเองและเปนท่ีพึ่งของคนอ่ืนได ในการศึกษานั้น ปจจัยตัวแรก คือกัลยาณมิตร อาจชวยชักนํา หรือกระตนุ ใหเ กิดปจ จยั ตัวอ่ืน ตง้ั แตต ัวที่ ๒ จนถึงตวั ที่ ๗ การที่จะมกี ลั ยาณมิตรนน้ั จดั แยกไดเ ปนการพัฒนา ๒ ขัน้ ตอน ขั้นแรก กัลยาณมิตรนั้นเกิดจากผูอ่ืนหรือสังคมจัดให ซ่ึงจะทําใหเดก็ อยูในภาวะท่ีเปนผรู ับ และยังมีการพ่งึ พามาก ข้ันท่ีสอง เมื่อเด็กพัฒนามากขึ้น คือรูจักใชโยนิโสมนสิการแลว เด็กจะมองเห็นคุณคาของแหลงความรู และนิยมแบบอยางที่ดี แลวเลือกหากัลยาณมิตรเอง โดยรูจักปรึกษาไตถาม เลือกอานหนังสือ เลือกชมรายการโทรทัศนท ดี่ มี ีประโยชน เปนตน
พระพรหมคณุ าภรณ (ป. อ. ปยุตโฺ ต) ๑๒๕ พัฒนาการในข้ันที่เด็กเปนฝายเลือกคบหากัลยาณมิตรเองน้ี เปนความหมายของความมีกัลยาณมิตรที่ตองการในท่ีน้ี และเมื่อถึงข้ันนี้แลวเด็กจะทําหนาที่เปนกัลยาณมิตรของผูอ่ืนไดดวย อันนับเปนจุดสําคัญของการทจี่ ะเปนผูมีสว นรว มในการสรางสรรคแ ละพัฒนาสงั คม ถาบุคคลมปี จ จยั ๗ ขอนแ้ี ลว ก็เช่อื ม่ันไดวา เขาจะมีชีวิตที่ดีงาม และกระบวนการศึกษาจะเกิดข้นึ อยางแนนอน เพราะปจจัยเหลาน้ีเปนสวนขยายของมรรค หรือของไตรสิกขานั้นเอง ท่ียื่นออกมาเช่ือมตอเพ่ือรับหรือดึงคนเขาสูกระบวนการฝกศึกษาพัฒนา โดยเปนทั้งตัวชักนําเขาสูไตรสิกขา และเปน ตวั เรง และคอยเสริมใหก ารฝกศึกษาของไตรสิกขาเดนิ หนาไปดว ยดีการศกึ ษา[ทส่ี งั คม]จดั ต้งั ตองไมบดบงั การศึกษาท่ีแทข องชวี ิต การศึกษาที่จัดทํากันอยางเปนงานเปนการ เปนกิจการของรัฐของสังคม ก็คือการยอมรับความสําคัญและดําเนินการในขั้นของ ปจจัยขอที่ ๑คอื ความมีกลั ยาณมติ ร ทีเ่ ปน ปจจยั ภายนอก น่นั เอง ปจจัยขอที่ ๑ น้ีเปนเรื่องใหญ มีความสําคัญมาก รัฐหรือสังคมน่ันเองทําหนาที่เปนกัลยาณมิตร ดวยการจัดสรรและจัดเตรียมบุคลากรท่ีจะดําเนินบทบาทของกัลยาณมิตร เชน ครูอาจารย ผูบริหาร พรอมท้ังอุปกรณและปจจัยเกอื้ หนุนตา งๆ ถงึ กบั ตองจัดเปนองคกรใหญโต ใชจายงบประมาณมากมาย ถา ไดกัลยาณมติ รที่ดี มีคุณสมบัติที่เหมาะ และมีความรูเขาใจชัดเจนในกระบวนการของการศกึ ษา สาํ นกึ ตระหนกั ตอหนาที่และบทบาทของตนในกระบวนการแหงสิกขาน้ัน มีเมตตา ปรารถนาดีตอชีวิตของผูเรียนดวยใจจริง และพรอมที่จะทําหนาท่ีของกัลยาณมิตร กิจการการศึกษาของสังคมก็จะประสบความสาํ เรจ็ ดว ยดี
๑๒๖ ชวี ติ ท่ีสรา งสรรค สดใสและสุขสันต ดังนั้น การสรางสรรจัดเตรียมกัลยาณมิตร จึงเปนงานใหญท่ีสําคัญยิง่ ซ่ึงควรดาํ เนินการใหถูกตอ ง อยางจริงจัง ดวยความไมป ระมาท อยางไรก็ดี จะตองระลึกตระหนักไวตลอดเวลาวา การพยายามจัดใหมีปรโตโฆสะที่ดี ดวยการวางระบบองคกรและบุคลากรกัลยาณมิตรข้ึนทั้งหมดนี้ แมจะเปนกิจการทางสังคมที่จําเปนและสําคัญอยางย่ิง และแมจะทําอยางดีเลิศเพียงใด ก็อยูในขั้นของการนําเขาสูการศึกษา เปนข้ันตอนกอนมรรคและเปน เรอื่ งของปจจัยภายนอกทัง้ น้ัน พดู ส้นั ๆ วา เปน การศึกษาจดั ต้ัง การศึกษาจดั ตัง้ กค็ อื กระบวนการชว ยชกั นําคนเขาสูการศึกษา โดยการดาํ เนนิ งานของกลั ยาณมิตร ในกระบวนการศึกษาจัดต้ังนี้ ผูทําหนาที่เปนกัลยาณมิตร และผูทํางานในระบบจัดสรรปรโตโฆสะ ทั้งหมด พึงระลึกตระหนักตอหลักการสําคัญบางอยาง เพ่ือความมั่นใจในการที่จะปฏิบัติใหถูกตอง และปองกันความผดิ พลาด ดังตอไปนี้ • โดยหลักการ กระบวนการแหงการศึกษาดําเนินไปในตัวบุคคลโดยสัมพันธกับโลก/สิ่งแวดลอม/ปจจัยภายนอก ทั้งในแงรับเขา แสดงออกและปฏสิ มั พันธ สําหรับคนสวนใหญ กระบวนการแหงการศึกษาอาศัยการโนมนําและเกื้อหนุนของปจจัยภายนอกเปนอยางมาก ถามีแตปจจัยภายนอกที่ไมเอื้อคนอาจจะหมกจมติดอยูในกระบวนการเสพความรูสึก และไมเขาสูการศึกษาเราจึงจัดสรรปจจัยภายนอก ที่จะโนมนําและเก้ือหนุนปจจัยภายในที่ดีใหพฒั นาขึ้นมา ซึง่ จะนาํ เขาเขา สกู ารศึกษา และกา วไปในทางชีวติ ที่เปน มรรค • โดยความมุงหมาย เราจัดสรรและเปนปจจัยภายนอกในฐานะกัลยาณมิตร ท่ีจะโนมนําใหปจจัยภายในท่ีดีพัฒนาข้ึนมาในตัวเขาเอง และเกอื้ หนนุ ใหกระบวนการแหงการศกึ ษาในตวั ของเขา พาเขากา วไปในมรรค
พระพรหมคณุ าภรณ (ป. อ. ปยุตฺโต) ๑๒๗ พูดสั้นๆ วา ตวั เราที่เปนปจจัยภายนอกน้ี จะตองตอหรือจุดไฟปจจัยภายในของเขาขึ้นมาใหได ความสําเร็จอยูท่ีเขาเกิดมีปจจัยภายใน (โยนิโส-มนสิการ และบุพนิมิตแหงมรรคขออื่นๆ อีก ๕) ซ่ึงจะนําเขาเขาสูกระบวนการแหงการศกึ ษา (ศีล สมาธิ ปญ ญา) ทีท่ ําใหเ ขากาวไปในมรรค ดว ยตวั เขาเอง • โดยขอบเขตบทบาท ระลึกตระหนักชัดตอตําแหนงหนาที่ของตนในฐานะกัลยาณมิตร/ปจจัยภายนอก ที่จะชวย(โนมนําเกื้อหนุน)ใหเขาศึกษาสิกขาอยูท่ีตัวเขา มรรคอยูในชีวิตของเขา เราตองจัดสรรและเปนปจจัยภายนอกท่ดี ที ีส่ ุด แตป จจยั ภายนอกทว่ี า “ดีท่สี ุด” นั้น อยูที่หนุนเสริมปจจัยภายในของเขาใหพ ัฒนาอยางไดผลท่ีสุด และใหเขาเดินไปไดเอง ไมใชวาดีจนกลายเปนทําใหเขาไมต อ งฝก ไมตองศึกษา ไดแตพึ่งพาปจจัยภายนอกเรื่อยไป คิดวาดีแตที่แทเปน การกา วกา ยกดี ขวางลว งลํ้าและครอบงําโดยไมรูต ัว • โดยการระวงั จดุ พลาด ระบบและกระบวนการแหงการศึกษา ที่รัฐหรือสังคมจัดข้ึนมาทั้งหมด เปนการศึกษาจัดตั้ง ความสําเร็จของการศึกษาจัดตั้งนี้ อยูท่ีการเช่ือมประสานหรือตอโยง ใหเกิดมีและพัฒนาการศึกษาแทข้นึ ในตวั บคุ คล อยางที่กลา วแลวขางตน เร่ืองน้ี ถาไมระวัง จะหลงเพลินวาได“จัด”การศึกษาอยางดีที่สุด แตการศึกษาก็จบอยูแคการจัดตั้ง การศึกษาท่ีแทไมพัฒนาขึ้นไปในเนื้อตัวของคน แมแตการเรียนอยางมีความสุข ก็อาจจะเปนความสุขแบบจัดตั้ง ท่ีเกิดจากการจัดสรรปจจัยภายนอก ในกระบวนการของการศึกษาจัดต้ัง ในชัน้ เรียนหรอื ในโรงเรียน เปน ตน ถึงแมนักเรยี นจะมคี วามสขุ จรงิ ๆ ในบรรยากาศและสภาพแวดลอมที่จดั ต้งั นั้น แตถ า เดก็ ยงั ไมเ กดิ มีปจจยั ภายในที่จะทาํ ใหเ ขาสามารถมีและสราง
๑๒๘ ชวี ติ ทีส่ รางสรรค สดใสและสุขสันตความสุขได เม่ือเขาออกไปอยูกับชีวิตจริง ในโลกแหงความเปนจริง ที่ไมเขาใครออกใคร ไมมีใครตามไปเอาอกเอาใจ หรือไปจัดสรรความสุขแบบจัดต้ังให เขาก็จะกลายเปนคนท่ีไมมคี วามสุข ซํา้ รา ยความสขุ ทเี่ กดิ จากการจัดตงั้ น้ัน อาจทําใหเ ขาเปน คนมคี วามสุขแบบพ่ึงพา ท่ีพึ่งตนเองไมไดในการที่จะมีความสุข ตองอาศัยการจัดตั้งอยูเร่ือยไป และกลายเปนคนที่มีความสุขไดยาก หรือไมสามารถมีความสุขไดในโลกแหงความปน จริง อาจกลาวถึงความสัมพันธระหวางการศึกษาจัดตั้งของสังคม กับการศึกษาท่ีแทของชีวิต ท่ีดูเหมือนยอนแยงกัน แตตองทําใหเปนอยางนั้นจรงิ ๆ ซึ่งเปน ตวั อยา งของขอ เตือนใจไวป อ งกนั ความผดิ พลาด ดงั นี้ ๑) (ปจจัยภายนอก) จัดสรรใหเด็กไดรับส่ิงแวดลอมและปจจัยเอ้ือทุกอยางท่ดี ที ่สี ดุ ๒) (ปจจัยภายใน) ฝกสอนใหเด็กสามารถเรียนรูอยูดีเฟนหาคุณคาประโยชนไดจ ากสิ่งแวดลอ มและสภาพทกุ อยา ง แมแ ตท่ีเลวรา ยท่ีสุด ๒. ขั้นไตรสกิ ขา หรือ กระบวนการศึกษาทแ่ี ทข องธรรมชาติ ข้นั ตอนน้ี เปน การเขาสูก ระบวนการฝกศึกษา ทีเ่ ปน กจิ กรรมแหงชีวติของแตละบุคคล ในระบบแหงไตรสิกขา คือ การฝกศึกษาพัฒนาความสมั พันธกับสิ่งแวดลอม พัฒนาจิตใจ และพัฒนาปญญา ตามหลักแหงศลี สมาธิ และปญญา ทีไ่ ดพ ูดไปกอ นนี้แลวระบบไตรสกิ ขาเพ่อื การพัฒนาอยางองคร วมในทุกกจิ กรรม ไดกลาวแลววา ในกระบวนการพัฒนาของไตรสิกขานั้น องคทั้ง ๓คือ ศีล สมาธิ ปญญา จะทํางานประสานโยงสงผลตอกัน เปนระบบและ
พระพรหมคณุ าภรณ (ป. อ. ปยตุ โฺ ต) ๑๒๙กระบวนการอนั หน่งึ อันเดยี ว แตเม่ือมองไตรสิกขาน้ี โดยภาพรวม ท่ีเปนระบบใหญของการฝก ก็จะเห็นองค ๓ นั้นเดนข้ึนมาทีละอยาง จากหยาบแลวละเอียดประณีตข้ึนไปเปน ชวงๆ หรือเปนข้นั ๆ ตามลาํ ดับ คือ ชวงแรก เดนออกมาขางนอก ทอ่ี ินทรยี และกายวาจา กเ็ ปน ขั้น ศลี ชว งท่สี อง เดน ดานภายใน ท่ีจติ ใจ ก็เปน ขัน้ สมาธิ ชวงท่ีสาม เดนท่คี วามรูค วามคดิ เขา ใจ กเ็ ปน ขนั้ ปญ ญา แตในทกุ ขัน้ นั้นเอง องคอ ีก ๒ อยา งกท็ าํ งานรวมอยูด ว ยโดยตลอด หลักการทั้งหมดนี้ ไดอธิบายขางตนแลว แตมีเร่ืองที่ขอพูดแทรกไวอยางหนึ่ง เพ่ือเสริมประโยชนในชีวิตประจําวัน คือ การทํางานของกระบวนการฝกศึกษาพัฒนา ท่ีองคทั้งสาม ทั้ง ศีล สมาธิ ปญญา ทํางานอยูด ว ยกัน โดยประสานสมั พันธเปน เหตปุ จ จยั แกกัน การปฏิบัติแบบท่ีวานี้ ก็คือ การนําไตรสิกขาเขาสูการพิจารณาของโยนิโสมนสิการ หรือการโยนิโสมนสิการในไตรสิกขา ซึ่งควรปฏิบัติใหไดเปน ประจาํ และเปนส่งิ ทป่ี ฏบิ ตั ิไดจริงโดยไมย ากเลย ดังน้ี ในการกระทําทุกครั้งทุกอยาง ไมวาจะแสดงพฤติกรรมอะไร หรือมีกิจกรรมใดๆ ก็ตาม เราสามารถฝกฝนพัฒนาตน และสํารวจตรวจสอบตนเอง ตามหลักไตรสิกขาน้ี ใหมีการศึกษาครบท้ัง ๓ อยาง ท้ัง ศีล สมาธิและปญญา พรอมกนั ไปทุกครงั้ ทกุ คราว คือ เมือ่ ทาํ อะไรก็พิจารณาดวู า พฤติกรรม กิจกรรม หรือการกระทําของเราครั้งน้ี จะเปนการเบียดเบียน ทําใหเกิดความเดอื ดรอนแกใครหรอื ไม จะกอ ใหเ กิดความเส่ือมโทรมเสียหายอะไรๆ บางไหม หรือวาเปนไปเพ่ือความเก้ือกูล ชวยเหลือสง เสรมิ และสรา งสรรค (ศีล) ในเวลาท่ีจะทํานี้ จิตใจของเราเปนอยางไร เราทําดวยจิตใจท่ีเห็นแกตัว
๑๓๐ ชีวิตที่สรา งสรรค สดใสและสุขสนั ตมุงรายตอใคร ทําดวยความโลภ โกรธ หลง หรือไม หรือทําดวยเมตตา มีความปรารถนาดี ทําดวยศรัทธา ทําดวยสติ มีความเพียร มีความรับผิดชอบเปนตน และในขณะท่ีทํา สภาพจิตใจของเราเปนอยางไร เรารอน กระวนกระวาย ขุนมัว เศราหมอง หรือวามีจิตใจที่สงบ ราเริง เบิกบาน เปนสุข เอิบอ่ิม ผอ งใส (สมาธ)ิ เรื่องท่ีทาํ ครงั้ นี้ เราทําดวยความรูความเขาใจชัดเจนดีแลวหรือไม เรามองเห็นเหตุผล รูเขาใจหลักเกณฑและความมุงหมาย มองเห็นผลดีผลเสียท่อี าจจะเกดิ ขน้ึ และหนทางแกไขปรบั ปรุงพรอมดีหรือไม (ปญญา) ดวยวิธีปฏิบัติอยางน้ี คนท่ีฉลาดจึงสามารถฝกศึกษาพัฒนาตน และสํารวจตรวจสอบวดั ผลการพัฒนาตนไดเสมอตลอดทุกครั้งทุกเวลา เปนการบําเพ็ญไตรสิกขาในระดับรอบเล็ก (คือครบสิกขาท้ังสาม ในพฤติกรรมเดียวหรือกิจกรรมเดียว) พรอมกันนั้น การศึกษาของไตรสิกขาในระดับขั้นตอนใหญ ก็คอยๆพัฒนาขึ้นไปทีละสวนดวย ซ่ึงเมื่อมองดูภายนอก ก็เหมือนศึกษาไปตามลาํ ดบั ทีละอยางทีละข้นั ยง่ิ กวา นน้ั ไตรสิกขาในระดับรอบเล็กนี้ ก็จะชวยใหก ารฝก ศกึ ษาไตรสกิ ขาในระดับข้ันตอนใหญย ่ิงกา วหนา ไปดวยดีมากข้ึน ในทางยอนกลับ การฝกศึกษาไตรสิกขาในระดับขั้นตอนใหญ ก็จะสงผลใหการฝกศึกษาไตรสกิ ขาในระดับรอบเล็ก มีความชัดเจนและสมบูรณย่งิ ขนึ้ ดวยเชน กนั ตามที่กลาวมาน้ี ตองการใหมองเห็นความสัมพันธอยางอิงอาศัยซ่ึงกันและกันขององคประกอบที่เรียกวาสิกขา ๓ ในกระบวนการศึกษาและพฒั นาพฤติกรรม เปนการมองรวมๆ อยา งสมั พนั ธถึงกนั หมด
พระพรหมคณุ าภรณ (ป. อ. ปยตุ ฺโต) ๑๓๑ระบบการฝกของไตรสกิ ขา ออกผลมาคอื วถิ ีชีวติ แหง มรรคหนง่ึ สรุปวา ในระบบการฝกศึกษา ท่ีจัดเปนชวงกวางๆ โดยมุงเอาส่ิงท่ีจะตองปฏิบัติเดนชัดเปนตอนๆ ซ่ึงเรียงลําดับในรูปที่เรียกวา ไตรสิกขา(the Threefold Training) คือ การศึกษา ท้ัง ๓ น้ัน มีหัวขอชอ่ื เต็มตามหลกั ดงั น้ี ๑. อธิศีลสิกขา การฝกศึกษาดานอินทรีย พฤติกรรมทางกายวาจาและอาชีพ ใหมีชีวิตสุจริตดีงามเก้ือกูล (Training in HigherMorality) ๒. อธิจิตตสิกขา การฝกศึกษาดานสมาธิ หรือพัฒนาจิตใจ ใหมีคุณธรรม ความสามารถ และความสุขย่ิงข้ึนไป (Training inHigher Mentality) ๓. อธิปญญาสิกขา การฝกศึกษาดานปญญา ใหรูคิดเขาใจมองเห็นตามเปนจริง มีจิตเปนอิสระ เปนอยูดวยปญญา (Training inHigherWisdom) ไตรสกิ ขาน้ี เม่ือนํามาแสดงเปนคําสอนในภาคปฏิบัติทั่วๆไป ไดปรากฏในหลักที่เรียกวา โอวาทปาติโมกข (พุทธโอวาทท่ีเปนหลักใหญ ๓ อยาง) *คอื สอง ๑. สพฺพปาปสสฺ อกรณํ การไมทาํ ความชัว่ ทัง้ ปวง (ศลี ) ๒. กสุ ลสสฺ ปู สมฺปทา ก า ร บํ า เ พ็ ญ ค ว า ม ดี ใ หเพยี บพรอ ม (สมาธ)ิหน่งึ เฉพาะหัวขอน้ี (๓ หนา) เปนสวนแทรกจาก พุทธธรรม ฉบับเดิม น้ันเอง หนา ๒๒๗–๒๒๘* ท.ี ม.๑๐/๕๔/๕๗; ขุ.ธ.๒๕/๒๔/๓๙; การจัดเขา ในไตรสิกขาอยา งน้ี ถือตาม วสิ ทุ ฺธ.ิ ๑/๖ สอง
๑๓๒ ชวี ิตท่ีสรางสรรค สดใสและสขุ สนั ต ๓. สจติ ตฺ ปรโิ ยทปนํ การทาํ จติ ของตนใหผองใส (ปญ ญา) ไตรสกิ ขาที่เอามรรคมาจดั ระบบขึ้นน้ี แสดงขอปฏบิ ัติพรอ มบรบิ ูรณทุกอยาง ที่จะใหเ กดิ ผลสาํ เร็จ ตามกระบวนการพัฒนาคน จนถึงจุดหมายที่ไรทกุ ข พูดใหเขาใจงายๆวา เอาองคประกอบท้ัง๘ ของมรรค จัดปรับใสเขาไปในระบบการศกึ ษาทค่ี รบองค ๓ ของไตรสกิ ขา เม่ือฝกคนใหศึกษา หรือคนศึกษาโดยฝกตน ตามหลักไตรสิกขา ก็ทาํ ใหชวี ติ ของเขาเจริญงอกงามกาวไปในทางถูกตอง ทเี่ รียกวามรรค พูดอยางภาพพจนวา เอาการศึกษาท้ัง ๓ ของไตรสิกขา ใสเขาไปในตัวคน (หรือเอาคนใสเขาไปในกระบวนการของไตรสิกขา) ผลออกมา คือการเดนิ หนาไปในทางหรือวิถีชีวิตดีงามแหงมรรค หรือในการดําเนินชีวิตอันประเสรฐิ คอื พรหมจริยะ พดู ใหง ายวา เอาคนใสก ารศึกษา ผลออกมาคือ ชวี ิตทเี่ ปน อยูดี พูดส้นั ท่สี ุดวา ฝกดว ยไตรสิกขา ชวี ิตกเ็ ดนิ หนาไปในมรรค ไตรสิกขาน้ี เรียกวาเปน“พหุลธัมมีกถา” คือคําสอนธรรมที่พระพุทธ-เจาทรงแสดงบอย และมีพุทธพจนแสดงความตอเนื่องกันของกระบวนการศกึ ษาฝก อบรมทีเ่ รียกวาไตรสกิ ขา ดงั น้ี ศีลเปนอยางนี้ สมาธิเปนอยางน้ี ปญญาเปนอยางน้ี; สมาธิ ที่ศีลบมแลว ยอมมีผลมาก มีอานิสงสมาก, ปญญาท่ีสมาธิบม แลว ยอมมีผลมาก มีอานิสงสมาก, จิตที่ปญญาบมแลว ยอม หลุดพนจากอาสวะโดยส้ินเชิง คือ จากกามาสวะ ภวาสวะ และ อวชิ ชาสวะหนึง่ความสัมพันธแบบตอเนื่องกันของไตรสิกขาน้ี มองเห็นไดงายแมในหนึ่ง ท.ี ม.๑๐/๑๑๑/๑๔๓
พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยตุ ฺโต) ๑๓๓ชีวิตประจาํ วนั กลาวคอื (ศีลÆสมาธิ) เม่ือประพฤติดี มีความสัมพันธงดงาม ไดทําประโยชน อยางนอ ยดําเนินชีวิตโดยสุจริต ม่ันใจในความบริสุทธิ์ของตน ไมตองกลัวตอการลงโทษ ไมสะดุงระแวงตอการประทุษรายของคูเวร ไมหว่ันหวาดเสียวใจตอเสียงตําหนิหรือความรูสึกไมยอมรับของสังคม และไมมีความฟุงซานวุนวายใจเพราะความรูสึกเดือดรอนรังเกียจในความผิดของตนเอง จิตใจก็เอิบอิ่ม ชื่นบานเปนสุข ปลอดโปรง สงบ และแนวแน มุงไปกบั สิ่งทคี่ ิด คําทพี่ ดู และการท่ีทาํ (สมาธÆิ ปญญา) ย่ิงจิตไมฟุงซาน สงบ อยูตัว ไรสิ่งขุนมัว สดใส มุงไปอยา งแนว แนเทาใด การรับรูการคดิ พนิ ิจพิจารณามองเหน็ และเขาใจสงิ่ ตา งๆกย็ ่ิงชดั เจน ตรงตามจรงิ แลน คลอง เปน ผลดใี นทางปญญามากขึน้ เทา น้นั อปุ มาในเรอื่ งนี้เหมือนวา- ตงั้ ภาชนะน้าํ ไวดวยดใี นทเ่ี รียบรอ ย ไมไปแกลง ส่ันหรอื เขยา มัน (ศีล)- เม่ือน้ําไมถูกกวน คน พดั หรอื เขยา สงบน่งิ ผงฝุนตางๆก็นอนกนหายขุน นํ้ากใ็ ส (สมาธ)ิ- เมื่อนา้ํ ใส ก็มองเห็นส่ิงตา งๆ ไดชัดเจน (ปญ ญา) ในการปฏิบัติธรรมสูงข้ึนไป ท่ีถึงข้ันจะใหเกิดญาณ อันรูแจงเห็นจริงจนกําจัดอาสวกิเลสได ก็ยิ่งตองการจิตที่สงบน่ิง ผองใส มีสมาธิแนวแนยิ่งข้ึนไปอีก ถึงขนาดระงับการรับรูทางอายตนะตางๆ ไดหมด เหลืออารมณหรือส่ิงที่กําหนดไวใชงานแตเพียงอยางเดียว เพื่อทําการอยางไดผล จนสามารถกําจัดกวาดลางตะกอนท่ีนอนกนไดหมดสิ้น ไมใหมีโอกาสขุนอีกตอ ไป การท่ีจัดวางระบบการศึกษาใหคนพัฒนาอยางน้ี ก็เปนไปตามธรรมชาติแหงชีวิตของมนุษย และการท่ีธรรมดาแหงความเปนมนุษยเอื้อท่ี
๑๓๔ ชวี ิตทส่ี รางสรรค สดใสและสขุ สนั ตจะใหเปนอยางนั้น ดังนั้น จึงจะตองเขาใจระบบการศึกษาดังกลาว บนฐานแหงการรูเขาใจความจริงแหง ธรรมชาติของมนษุ ย อยา งท่วี า มาปฏิบตั ิการฝก ศึกษาดว ยสิกขา แลว วัดผลดวยภาวนา ไดอธิบายแลวขางตนวา สิกขา ท่ีทานจัดเปน ๓ อยาง ดังที่เรียกวา“ไตรสกิ ขา” น้ัน ก็เพราะเปนไปตามความเปนจริงในการปฏิบัติ ซึ่งเปนเร่ืองธรรมดาแหงธรรมชาติของชีวิตน้ีเอง กลาวคือ ในเวลาฝกศึกษา สิกขา ๓ดาน จะทาํ งานประสานสัมพันธกนั ซ่งึ ในขณะหนึง่ ๆ (ในกรณีท่ีครบเต็มท่ีถึงขั้นออกมาสมั พันธก ับภายนอก) กม็ ี ๓ ดา น ดังเชน ในขณะท่ีสัมพันธกับสิ่งแวดลอม ไมวาจะเปนวัตถุหรือบุคคลไมวาจะดวยอนิ ทรีย เชน ตา หู หรือดว ยกาย-วาจา (ดา นศีล) ก็ตองมีเจตนาแรงจูงใจ และสภาพจิตอยางใดอยางหนึ่ง (ดานจิตหรือสมาธิ) และตองมีความคดิ เห็นเชอื่ ถอื รเู ขา ใจในระดบั ใดระดบั หนง่ึ (ปญ ญา) นี้เปนเรื่องของธรรมภาคปฏิบัติ ซ่ึงตองทําใหสอดลองตรงกันกับระบบความเปนไปของสภาวะในธรรมชาติ แตยังมีธรรมประเภทอ่ืน ซ่ึงแสดงไวดวยความมุงหมายที่ตางออกไปโดยเฉพาะที่โยงกับเรอื่ งสิกขา ๓ นี้ กค็ ือหลกั ภาวนา ๔ เมื่อปฏิบัติแลว ก็ควรจะมีการวัดหรือแสดงผลดวย เร่ืองการศึกษานี้ก็ทํานองน้ัน เมื่อฝกศึกษาดวยสิกขา ๓ แลว ก็ตามมาดวยหลักที่จะใชวดั ผล คอื ภาวนา ๔ ตอนปฏิบัติการฝก สิกขามี ๓ แตทําไมตอนวัดผล ภาวนามี ๔ ไมเทากัน ทําไม (ในเวลาทําการฝก) จึงจัดเปน สิกขา ๓ และ (ในเวลาวัดผลของคนทีไ่ ดร ับการฝก ) จึงจดั เปน ภาวนา ๔?
พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยตุ โฺ ต) ๑๓๕ อยางท่ีช้ีแจงแลววา ธรรมภาคปฏิบัติการ ตองจัดใหตรงสอดคลองกับระบบความเปนไปของธรรมชาติ แตตอนวัดผลไมตองจัดใหตรงกันก็ไดเพราะวัตถุประสงคอยูที่จะมองดูผลท่ีเกิดข้ึนแลว ซ่ึงมุงจะใหเห็นชัดเจนในแตละสวนแตละตอนทด่ี ู ตอนนถี้ า แยกละเอยี ดออกไป ก็จะยิ่งดี นี่แหละคือเหตุผลทวี่ า หลกั วัดผลคอื ภาวนา เพ่ิมเปน ๔ ขอใหดคู วามหมายและหัวขอของภาวนา ๔ นนั้ กอน “ภาวนา” แปลวา ทําใหเจริญ ทําใหเปนทําใหมีขึ้น หรือฝกอบรม ในภาษาบาลี ทานใหความหมายวา ภาวนา = “วฑฺฒนา” คือวัฒนา หรือพัฒนานนั่ เอง ภาวนานเ้ี ปนคําหนง่ึ ท่ีมีความหมายใชแ ทนกันไดกับ “สิกขา” ภาวนา จัดเปน ๔ อยา ง คือ ๑. กายภาวนา การพัฒนากาย คือ การมีความสัมพันธที่เกื้อกูลกับสิง่ แวดลอมทางกายภาพ หรือทางวตั ถุ ๒. ศีลภาวนา การพัฒนาศีล คือ การมีความสัมพันธที่เก้ือกูลกับส่งิ แวดลอมทางสงั คม คือเพ่ือนมนษุ ย ๓. จติ ภาวนา การพัฒนาจติ คือ การทําจิตใจใหเจริญงอกงามขึ้นในคณุ ธรรม ความดงี าม ความเขมแข็งม่ันคง และความเบิกบานผองใสสงบสุข ๔. ปญญาภาวนา การพัฒนาปญญา คือ การเสริมสรางความรูความคดิ ความเขา ใจ และการหยงั่ รคู วามจรงิ อยางที่กลาวแลววา ภาวนา ๔ นี้ ใชในการวัดผล เพ่ือดูวาดานตางๆของการพฒั นาชวี ติ ของคนน้ัน ไดรับการพัฒนาครบถวนหรือไม ดังนั้น เพ่ือจะดใู หชดั ทานไดแ ยกบางสว นละเอยี ดออกไปอีก สวนที่แยกออกไปอีกน้ี คือ สิกขาขอที่ ๑ (ศีล) ซ่ึงในภาวนา แบงออกไปเปนภาวนา ๒ ขอ คือ กายภาวนา และ ศีลภาวนา ทําไมจึงแบง สกิ ขาขอ ศลี เปนภาวนา ๒ ขอ ?
๑๓๖ ชีวิตทส่ี รางสรรค สดใสและสขุ สนั ต ท่จี ริง สกิ ขาดานที่ ๑ คอื ศีล นัน้ มี ๒ สวนอยแู ลวในตวั เม่อื จัดเปนภาวนา จึงแยกเปน ๒ ไดทันที คอื ๑. ศีล ในสวนที่สัมพันธกับส่ิงแวดลอมทางกาย (ท่ีเรียกวาส่ิงแวดลอมทางกายภาพ) ไดแกความสัมพันธกับวัตถุหรือโลกของวัตถุและธรรมชาติสวนอื่น ท่ีไมใชมนุษย เชน เรื่องปจจัย ๔ สิ่งที่เราบริโภคใชสอยทกุ อยา ง และธรรมชาติแวดลอ มทวั่ ๆ ไป สวนน้แี หละ ทแี่ ยกออกไปจัดเปน กายภาวนา ๒. ศีล ในสว นทส่ี มั พันธกับส่ิงแวดลอมทางสังคม คือบุคคลอ่ืนในสังคมมนุษยดวยกัน ไดแกความเก่ียวของสัมพันธอยูรวมกันดวยดีในหมูมนษุ ย ทจ่ี ะไมเบยี ดเบยี นกนั แตช ว ยเหลือเกอ้ื กลู กนั สว นน้ี แยกออกไปจัดเปน ศลี ภาวนา ในไตรสิกขา ศีลครอบคลุมความสัมพันธกับส่ิงแวดลอม ทั้งทางวตั ถุหรอื ทางกายภาพ และทางสงั คม รวมไวใ นขอ เดยี วกัน แตเมื่อจัดเปนภาวนา ทานแยกกันชัดออกเปน ๒ ขอ โดยยกเรื่องความสัมพันธกับสิ่งแวดลอมในโลกวัตถุ แยกออกไปเปนกายภาวนา สวนเรือ่ งความสมั พนั ธก ับเพือ่ นมนุษยใ นสังคม จัดไวในขอศีลภาวนา ทําไมตอนที่เปน สกิ ขาไมแ ยก แตต อนเปน ภาวนาจึงแยก? อยางที่กลาวแลววา ในเวลาฝกหรือในกระบวนการฝกศึกษา องคท้ัง๓ อยางของไตรสิกขา จะทาํ งานประสานไปดวยกัน ในศีลท่ีมี ๒ สวน คือ ความสัมพันธกับส่ิงแวดลอมดานกายภาพในโลกวัตถุ และความสัมพันธกับมนุษยในสังคมน้ัน สวนที่สัมพันธแตละคร้ังจะเปน อันใดอันหน่ึงอยา งเดยี ว ในกรณีหน่ึงๆ ศีลอาจจะเปนความสัมพันธดานที่ ๑ (กายภาพ)หรอื ดานท่ี ๒ (สงั คม) กไ็ ด แตต องอยา งใดอยางหนงึ่
พระพรหมคณุ าภรณ (ป. อ. ปยุตโฺ ต) ๑๓๗ ดังน้ัน ในกระบวนการฝกศึกษาของไตรสิกขา ท่ีมีองคประกอบท้ังสามอยางทํางานประสานเปนอันเดียวกันนั้น จึงตองรวมศีลท้ัง ๒ สวนเปนขอ เดยี ว ทําใหส กิ ขามีเพยี ง ๓ คือ ศลี สมาธิ ปญญา แตในภาวนาไมมีเหตุบังคับอยางนั้น จึงแยกศีล ๒ สวนออกจากกันเปนคนละขออยางชัดเจน เพ่ือประโยชนในการตรวจสอบ จะไดวัดผลดูจําเพาะใหชัดไปทีละอยางวา ในดานกาย ความสัมพันธกับสภาพแวดลอมทางวัตถุ เชนการบริโภคปจจัย ๔ เปนอยางไร ในดานศีล ความสัมพันธกับเพอ่ื นมนษุ ยเ ปนอยา งไร เปน อันวา หลกั ภาวนา นิยมใชในเวลาวัดหรือแสดงผล แตในการฝกศึกษาหรอื ตวั กระบวนการฝก ฝนพัฒนา จะใชเ ปน ไตรสกิ ขา เน่ืองจากภาวนาทานนิยมใชในการวัดผลของการศึกษาหรือการพัฒนาบุคคล รูปศัพทท่ีพบจึงมักเปนคําแสดงคุณสมบัติของบุคคล คือแทนท่ีจะเปน ภาวนา ๔ (กายภาวนา ศีลภาวนา จิตภาวนา และ ปญญาภาวนา) กเ็ ปลยี่ นเปน ภาวติ ๔ คือ ๑. ภาวิตกาย มีกายท่ีพัฒนาแลว (=มีกายภาวนา) คือ มีความสัมพันธกับส่ิงแวดลอมทางกายภาพในทางที่เก้ือกูลและไดผลดี เริ่มแตร จู กั ใชอ นิ ทรยี เชน ตา หู ดู ฟง เปนตน อยางมีสติ ดูเปน ฟงเปน ใหไดปญญา บริโภคปจจัย ๔ และสิ่งของเคร่ืองใช ตลอดจนเทคโนโลยี อยางฉลาด ไดผลตรงเต็มตามคุณคา ๒. ภาวิตศีล มีศีลท่ีพัฒนาแลว (=มีศีลภาวนา) คือ มีพฤติกรรมทางสังคมที่พัฒนาแลว ไมเบียดเบียนกอความเดือดรอนเวรภัย ตั้งอยูในวินัย และมีอาชีวะท่ีสุจริต มีความสัมพันธทางสังคมในลักษณะที่เก้ือกูลสรางสรรคและสงเสรมิ สนั ตสิ ุข ๓. ภาวิตจิต มีจิตที่พัฒนาแลว (=มีจิตภาวนา) คือ มีจิตใจที่
๑๓๘ ชีวติ ที่สรา งสรรค สดใสและสขุ สนั ตฝก อบรมดีแลว สมบูรณดวยคุณภาพจิต คือ ประกอบดวยคุณธรรม เชน มีเมตตากรุณา เออื้ อารี มมี ทุ ติ า มคี วามเคารพ ออ นโยน ซื่อสัตย กตัญู เปนตน สมบูรณดวยสมรรถภาพจิต คือ มีจิตใจเขมแข็งม่ันคง มีความเพียรพยายาม กลาหาญ อดทน รับผดิ ชอบ มีสติ มีสมาธิ เปน ตน และ สมบูรณดวยสุขภาพจิต คือ มีจิตใจท่ีราเริง เบิกบาน สดช่ืน เอิบอ่ิมผองใส และสงบ เปน สขุ ๔. ภาวิตปญญา มีปญญาที่พัฒนาแลว (=มีปญญาภาวนา) คือรูจักคิด รูจักพิจารณา รูจักวินิจฉัย รูจักแกปญหา และรูจักจัดทําดําเนินการตางๆ ดวยปญญาท่ีบริสุทธิ์ ซ่ึงมองดูรูเขาใจเหตุปจจัย มองเห็นส่ิงทั้งหลายตามเปนจริงหรือตามที่มันเปน ปราศจากอคติและแรงจูงใจแอบแฝง เปนผูท่ีกิเลสครอบงําบัญชาไมได เปนอยูดวยปญญารูเทาทันโลกและชีวิต เปนอิสระไรทกุ ขผูมภี าวนา ครบทัง้ ๔ อยา ง เปนภาวิต ท้ัง ๔ ดานนี้แลวโดยสมบูรณเรียกวา \"ภาวิตัตตะ\" แปลวาผูไดพัฒนาตนแลว ไดแกพระอรหันต เปนอเสขะ คอื ผจู บการศกึ ษาแลว ไมต องศกึ ษาอกี ตอ ไปกถํ ภควา ภาวิตตฺโต ฯ ภควา ภาวิตกาโย ภาวิตสีโลภาวติ จติ โฺ ต ภาวติ ปโฺ … [ข.ุ จ.ู ๓๐/๑๔๘/๗๑] “พระผูมีพระภาค ทรงเปนภาวิตัตต (มีพระองคที่ทรงเจริญหรือพัฒนาแลว) อยางไร? พระผูมีพระภาคทรงเปน ภาวิตกายภาวิตสีล ภาวิตจิต ภาวิตปญญา … (มีพระวรกาย มีศีล มีจิตมีปญ ญา … ที่เจรญิ พัฒนาแลว)”หนงึ่หนงึ่ ขยายความตอ ไปอกี วา ทรงเจริญโพธิปก ขยิ ธรรม ๓๗ ประการแลว
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146