ประวตั ิศาสตรจ์ งั หวดั น่าน สมยั กอ่ นกรงุ สุโขทยั ดนิ แดนจงั หวดั น่านปจั จุบนั ในโบราณสมยั เป็นอาณาจกั รเลก็ ๆ ส่วนหน่งึ ในลานนาไทย ตงั้ อย่ใู นอาณาจกั รใหญ่ท่มี จี านวนมากกว่า ทางทิศตะวนั ตกได้แก่ ลานนาไทย ซ่ึงมเี ชียงใหม่เป็น ราชธานีสาคัญ และพม่าซ่ึงอยู่ถัดต่อไปทางทิศ ตะวนั ตกเฉียงเหนือ ทางทิศเหนือและทิศ ตะวนั ออกเฉียงเหนอื มหี ลวงพระบางและสบิ สองปนั นา กบั มอี าณาจกั รสุโขทยั และกรงุ ศรอี ยธุ ยาอยทู่ าง ทศิ ใต้ ฉะนนั้ สภาพการของแควน้ น่านจงึ ตกอยดู่ ว้ ยเหตุผลวา่ ถ้าอาณาจกั รใดมอี านาจมาก แควน้ น่านก็ ตกไปอย่ใู นอานาจของอาณาจกั รนนั้ ท่จี ะตงั้ เป็นเอกราชโดยลาพงั ตนเองนนั้ เท่าทป่ี รากฏในประวตั ิ ความเป็นมา ทน่ี ้อยทส่ี ุด โดยถกู รงั้ กนั ไปรงั้ กนั มาอยู่ จนกระทงั ่ อาณาจกั รสยามได้รวบรวมอาณาจกั ร ลานนาไทยทงั้ หมดไว้เป็นอนั หน่ึงอนั เดียวกนั สมยั ใดท่ีแควน้ น่านตกอยู่ในความปกครองของ อาณาจกั รสยามหรอื ลานนาไทยดว้ ยกนั สมยั นนั้ ความร่งุ เรอื งร่มเยน็ เป็นสุขกม็ เี ป็นปกตอิ ยแู่ ก่บา้ นเมอื ง เพราะอาณาจกั รทงั้ สองน้ีปกครองด้วยความยุติธรรมและปรารถนาดี ปราศจากเสียซ่ึงการวหิ ิงสา เบยี ดเบยี น ถ้าเมอ่ื ใดต้องตกไปอยใู่ นความปกครองของพม่า บา้ นเมอื งกเ็ ดอื ดรอ้ นระส่าระสายเพราะ วธิ กี ารปกครองของพม่าไม่เป็นการสร้างสรรคม์ แี ต่จะทาลาย และกอบโกยหาผลประโยชน์ในเมอื งขน้ึ ดว้ ยลกั ษณะทารุณกรรมนานาประการ ซ่งึ ปรากฏเป็นพฤตกิ ารณ์อนั ขมข่นื เกดิ ขน้ึ แก่ชาตทิ งั้ ปวงท่ตี ก อยใู่ นสมยั ทพ่ี ม่ามอี านาจอย่ทู วั ่ ๆ กนั นอกจากน้ีแควน้ น่านยงั ถูกรุกรานราวจี ากเพ่อื นบา้ น ซง่ึ มาจาก ทางหลวงพระบางและสบิ สองปนั นา บางคราวกส็ ามารถตที พั เหล่าน้ีแตกไป บางคราวกพ็ าลเสีย บ้านเมอื งหรือต้องอพยพเข้าป่าถอยร่นไปตงั้ อย่ใู นเมอื งตอนเหนือบ้าง ตอนใต้บ้าง ไม่ใคร่เป็นปกติ นบั เป็นประวตั คิ วามเป็นมาของแควน้ น่านในยคุ โบราณกาล เมอื งน่านกบั อาณาจกั รลานนาไทย เบอ้ื งตน้ ก่อนทจ่ี ะกล่าวถึงประวตั ขิ องแควน้ ขอกลา่ วถึงอาณาจกั รลานนาไทยพอเป็นเคา้ มลู ก่อน กล่าวคอื วา่ เดมิ นบั แต่ชนชาตใิ นอาณาจกั รน่านเจา้ ซง่ึ ตงั้ อยใู่ นประเทศจนี ไดอ้ พยพจากเมอื ง เดิมลงมาส่พู ้นื ทท่ี างใต้และแยกย้ายกนั ไปตงั้ อย่ใู นภูมภิ าคต่างๆ แล้ว ส่วนหน่ึงของไทยเดมิ ได้ขา้ ม แมน่ ้าโขงลงมาส่แู ควน้ สยามสวุ รรณภมู ิ ตงั้ เมอื งเชยี งแสนหรอื นครโยนกขน้ึ เป็นราชธานี ภายหลงั ขอม ไดแ้ ผ่อานาจขยายอาณาเขตตอ่ ขน้ึ มาจนถงึ แควน้ โยนก และใช้กาลงั กองทพั ปราบปรามนครโยนกราบ คาบในราวกลางพทุ ธศตวรรษท่ี ๑๗ ขอมกเ็ ขา้ ปกครองแควน้ สยามสวุ รรณภมู ฝิ งั ่ ใตแ้ มน่ ้าโขงตลอดไป ตอ่ มาพระเจา้ พรหมมหาราชประมุขของชาวไทยในแควน้ โยนก ไดร้ ะดมกาลงั เขา้ ขบั ไล่ ขอมออกไปจากแควน้ โยนก และชงิ หวั เมอื งใหญ่น้อยของขอมไดเ้ ป็นอนั มาก แผ่อาณาเขตลงมาตลอด แดนทเ่ี รยี กวา่ “ลานนา” คอื ภาพพายพั ในปจั จบุ นั แลว้ สรา้ งนครชยั ปราการ (เมอื งฝาง) ขน้ึ เป็นราชธานี แห่งอาณาจกั รลานนาในราว พ.ศ. ๑๖๖๑ นครชยั ปราการดารงอสิ ระภาพมาจนราว พ.ศ. ๑๗๓๑ ถงึ สมยั พระเจา้ สริ ชิ ยั กถ็ กู ขา้ ศกึ (ซง่ึ ตามพงศาวดารตา่ งๆ กลา่ ววา่ เป็นมอญบา้ ง ไทยใหญ่บา้ ง) ยกทพั มาตดิ นครชยั ปราการ พระเจา้ สริ -ิ ชยั เหน็ เหลอื กาลงั ท่จี ะตา้ นทาน จงึ อพยพพลเมอื งและสมคั รพรรคพวกกนั ลงมาทางใตภ้ ายหลงั เชอ้ื วงศ์
๒ เชยี งรายจงึ ไดไ้ ปเป็นกษตั รยิ ส์ าคญั ขน้ึ ในกรุงสุโขทยั และเมอื งสุพรรณภูมเิ รยี กวา่ ”ราชวงศเ์ ชยี งราย” เป็นลาดบั ตอ่ ไป ฝา่ ยขา้ งอาณาจกั รลานนาตงั้ แตพ่ ระเจา้ สริ ชิ ยั ท้งิ นครชยั ปราการอพยพมาทางใตแ้ ลว้ จา- เนียรกาลตอ่ มาพวกไทยทเ่ี หลอื อยกู่ ค็ วบคุมกนั ตงั้ บ้านเมอื งขน้ึ หลายแห่ง ตา่ งฝา่ ยต่างตงั้ เป็นอสิ ระแก่ กนั ตลอดทงั้ อาณาจกั รในราวพุทธศตวรรษท่ี ๑๖ หวั เมอื งตา่ งๆ ทเ่ี ป็นนครใหญ่ทส่ี าคญั มี ๓ นคร คอื - นครเงนิ ยาง (เชยี งแสน) ตงั้ อยฝู่ า่ ยเหนือ - นครพะเยา ตงั้ อยตู่ อนกลาง - นครหรภิ ญุ ชยั ตงั้ อยฝู่ า่ ยใต้ และนครน่านกเ็ ชอ่ื วา่ ไดก้ าเนิดขน้ึ แลว้ ในยคุ นนั้ แต่เค้าเง่อื นตามพงศาวดารโยนกอนั กล่าวถงึ ตานานฝ่ายเหนือได้ความว่า ขอมซ่งึ ตงั้ อยู่ ณ เมอื งละโวไ้ ดม้ ามอี านาจปกครองอาณาจกั รลานนาทงั้ หมด โดยใหร้ าชธดิ าอนั มนี ามวา่ “พระ นางจามเทว”ี ขน้ึ ครองเมอื งหรภิ ุญชยั (เมอื งลาพนู ) ต่อมาในราว พ.ศ. ๑๖๐๐ เม่อื พระเจา้ อนุรุธราชา- ธริ าชแห่งกรุงพุกาม แผ่อาณาจกั รเขา้ มาในลุ่มน้าเจ้าพระยาขบั ไล่ขอมออกไป ต่อมาพวกลานนาได้ กลบั ตงั้ ตวั เป็นใหญ่ขน้ึ ทเ่ี มอื งเชยี งแสนอกี วาระหน่ึง ผ้ทู เ่ี ป็นปฐมกษตั รยิ ต์ ้นวงศน์ ้ี มนี ามว่า “จกั กราช” ซง่ึ มกี ษตั รยิ ส์ บื ราชวงศ์ครองเมอื งอยทู่ วั ่ อาณาจกั รลานนาทงั้ ปวง ตามตานานอนั วา่ ด้วยลาดบั วงศ์จกั - กราชขา้ งฝา่ ยเมอื งน่าน กย็ นื ยนั ไวว้ า่ กษตั รยิ ค์ รองเมอื งน่านในยคุ โบราณไดส้ บื มาจากวงศน์ ้ีดว้ ย กาเนิดของเมอื งน่าน ตามพงศาวดารเมอื งน่านกล่าววา่ เมอื งน่านไดม้ กี าเนิดเป็นหลกั ฐานครงั้ แรกทเ่ี มอื งวร- นคร (เมอื งปวั ) ซง่ึ เป็นอาเภอหน่ึงอยทู่ างทศิ เหนือของจงั หวดั น่านในปจั จบุ นั ตามพงศาวดารกล่าววา่ พระยาภคู าเจา้ เมอื งยา่ ง (อยใู่ นทอ้ งท่ตี าบลศลิ าเพชร อาเภอปวั ) มรี าชบุตร ๒ องค์ องคพ์ ่ชี ่อื “ขนุ นุ่น” องคน์ ้องชอ่ื “ขุนฟอง” เม่อื เจรญิ วยั ขน้ึ พระมหาเถรแตงไดส้ ร้างเมอื งทางฝงั ่ ตะวนั ออกแม่น้าโขงช่อื วา่ “จนั ทบุร”ี (หลวงพระบาง) ใหแ้ ก่ขนุ นุ่นผพู้ ่ี แลว้ สร้างเมอื งรมิ ฝงั ่ แมน่ ้าน่านช่อื วา่ “วรนคร” ใหแ้ กข่ นุ ฟองผนู้ ้องและปนั อาณาเขตของสองเมอื งขน้ึ คอื ฝา่ ยวรนครทศิ เหนอื ถงึ เมอื งทา่ นุ่นรมิ ฝงั ่ แม่น้าโขง ทศิ ใต้สดุ ศาลเมอื งลา่ ง (เขา้ ใจว่าเป็นเมอื งยา่ ง) เป็นแดน กาลเวลาดงั กล่าวตกอย่ใู นรชั สมยั ของพระเจา้ พ่อขนุ รามคาแหง แห่งกรุงสุโขทยั ทางอาณาจกั รลานนากม็ พี ระยางาเมอื งเป็นเจ้าเมอื งพะเยา และ พระยาเม็งรายเป็นเจ้านครเชียงราย ในขนั้ แรกท่สี รา้ งเมอื งน้ีขน้ึ นัน้ ไม่ปรากฏศกั ราชวา่ เป็นพุทธ- ศกั ราช ๑๘๖๕ ก็ต่อเม่อื เจ้าเมอื งวรนครได้ล่วงไปแล้วถงึ ๒ องค์ ถ้าจะคาดคะเนตามเหตุการณ์ใน พงศาวดารเมอื งน่านตอนน้ีและนับถอยหลงั หวนไปหาการตงั้ เมอื งวรนครแล้ว กไ็ ม่เกนิ ๔๐ ปี คือ ประมาณ พ.ศ. ๑๘๒๕ แต่ตามพงศาวดารโยนกทก่ี ล่าวตามตานานเมืองเชยี งแสนอนั ว่าด้วยลาดบั วงศ์จกั กรา ชซง่ึ เป็นปฐมกษตั รยิ ข์ องลานนาในเมอื งเชยี งราย กล่าววา่ นบั ตงั้ แต่ลาวจกั กราชไปได้ ๑๒ ชวั ่ กษตั รยิ ์ ถงึ พระยาลาวจงั กาเรอื นแกว้ กเ็ สยี เมอื งไชยวรนครเชยี งรายใหแ้ กพ่ ระยาน่านหรอื นนั ทบรุ ีผชู้ อ่ื วา่ “พระ ยากอื คาลา้ น” ราว พ.ศ. ๑๕๑๘ ประการหน่ึง
๓ กบั เม่อื ขนุ เจืองกษตั ริยเ์ มืองพะเยา ลาดบั ท่ี ๒ มอี ายไุ ด้ ๑๖ ปี คอื พ.ศ. ๑๖๕๗ ได้มา คล้องช้าง ณ เมอื งน่าน พระยาน่านผ้มู นี ามว่า “พลเทวะ” ยกราชธดิ านามว่า “พระนางจนั ทรเทว”ี ให้ เป็นภรรยาของขนุ เจอื งประการหน่ึง หรอื ในขนั้ หลงั ทส่ี ดุ เมอ่ื ขนุ เจอื งไดป้ ราบดาภเิ ษกครองเมอื งแกวได้ ๑๔ ปี คอื พ.ศ. ๑๖๙๑ มโี อรสกบั พระนางอแู่ กว้ ราชธดิ าพระยาแกว ๓ องค์ ผพู้ ช่ี ่อื “ทา้ วอา้ ยผาเรอื ง” ผกู้ ลางช่อื “ทา้ ว ยค่ี าหาว” ผู้น้องช่อื “ทา้ วสามชุมแสง” ครนั้ ราชกุมารทงั้ สามเจรญิ วยั แล้ว จงึ ยกราชสมบตั เิ มอื งแกว ให้แก่ท้าวอ้ายผาเรอื งผเู้ ป็นราชโอรสองคใ์ หญ่ แลว้ โอรสผู้กลางชอ่ื ทา้ วยค่ี าหาวใหไ้ ปเป็นพระยาครอง เมอื งลานชา้ ง และโอรสผนู้ ้องอนั ช่อื ทา้ วสามชุมแสงมาเป็นพระยาครองเมอื งนนทบุรี (น่าน) ดงั น้ี แมจ้ ะไม่ปรากฏหลกั ฐานชดั เจนวา่ เมอื งน่านเดมิ ไดต้ งั้ เป็นรากฐานขน้ึ ในครงั้ ใดกด็ แี ต่ตาม เร่อื งราวของเมอื งอน่ื ๆ ทเ่ี ก่ยี วขอ้ งกบั เมอื งน่านในสมยั ต่างๆ ขา้ งตน้ น้ี ทาใหเ้ หน็ ไดว้ ่าเมอื งน่านไดต้ งั้ มานานแลว้ เท่าๆ กบั หรอื เก่าแก่กวา่ เมอื งโบราณบางเมอื งในลานนาไทยดว้ ยกนั ซง่ึ ตอ้ งมหี ลกั ฐานมา ก่อนตงั้ ทเ่ี มอื งวรนครน้ี อน่ึง ในรชั สมยั ของพระเจา้ พ่อรามคาแหง (พ.ศ. ๑๘๒๐ - ๑๘๖๐) ปรากฏใน ศลิ าจารกึ วา่ เมอื งน่านเป็นเมอื งประเทศราช ขน้ึ แก่กรงุ สุโขทยั เมอื งหน่ึงจงึ เขา้ ใจวา่ เมอื งน่านในครงั้ นนั้ มใิ ช่แต่จะไดม้ กี าเนิดขน้ึ ดว้ ยอายอุ นั ชา้ นาน ยงั ไดร้ วมกนั ตงั้ อยู่เป็นบา้ นเมอื งมเี ขตแดนเป็นปึกแผน่ แลว้ อกี ดว้ ย แมจ้ ะยงั ไมก่ วา้ งขวางใหญ่โต แต่กค็ งเป็นเมอื งชนั้ ราชธานี จงึ จดั เขา้ อยใู่ นอนั ดบั วา่ เป็นเมอื ง ประเทศราชเช่นเดยี วกบั เมอื งใหญ่อน่ื ๆ ทข่ี น้ึ แก่กรงุ สุโขทยั นามเมอื ง นามเดมิ ปรากฏแต่เดมิ มาเรยี กว่า “เมอื งน่าน” บ้าง “เมืองนาน” บา้ ง “นันทบุร”ี บ้าง แต่ ตามศลิ าจารกึ ของพระเจ้าพ่อขุนรามคาแหง ราว พ.ศ. ๑๘๒๐ เศษ เรียกว่า “เมอื งน่าน” ส่วนนามท่ี เรยี กวา่ “เมอื งนาน” น้ี ปรากฏในตานานพระธาตุแช่แหง้ ว่าเป็นนามทไ่ี ด้มขี น้ึ โดยพุทธทานาย แตท่ งั้ น้ี สนั นิษฐานวา่ เกย่ี วดว้ ยความนิยมของชาวลานนาไทยในการแต่งตานานในอนั ทจ่ี ะสบื สาวราวเร่อื งใหเ้ ขา้ ไปต่อเน่ืองกบั สมยั พุทธกาลเป็นขอ้ ใหญ่ เพราะนาม “เมอื งน่าน” นนั้ มเี หตุผลเพยี งเพ่อื จะยกยอ่ งพระ ธาตุแช่แห้งอนั เป็นปชู นียสถานสาคญั ของบ้านเมืองให้มกี าเนิดข้นึ ในสมยั พุทธกาลเท่านัน้ และคาท่ี เรยี กวา่ ”เมอื งนาน” นนั้ กไ็ ม่ปรากฏเรยี กในพงศาวดารเมอื งน่านเลย นอกจากจะเรยี กกนั ในตานานพระ ธาตุแช่แหง้ อย่ชู วั ่ ขณะหน่ึงแล้วกห็ ายไป ส่วนนาม “นันทบุร”ี ปรากฏว่าเรยี กกนั อย่แู ทบทุกตานาน และเช่อื ว่าได้มกี าเนิดขน้ึ ในชนั้ หลงั ในสมยั มธั ยมประวตั ิ เพระครงั้ นนั้ ทางลานนามผี เู้ ช่ยี วชาญภาษา บาลมี าก เหตุแตไ่ ดม้ พี ระสงฆใ์ นลงั กามาสบื ศาสนาตดิ ต่อกบั ลานนาอยชู่ า้ นาน นาม “นนั ทบรุ ”ี ทต่ี งั้ ขน้ึ ใหม่กไ็ ม่จาเป็นจะต้องเอาความหมายจากนามเดมิ เพยี งแต่ใหม้ สี าเนียงสมั ผสั สอดคล้องกนั ไปกบั คา เดมิ เทา่ นนั้ แมว้ ่า “เมอื งน่าน” จะไดค้ าใหม่วา่ “นนั ทบุร”ี แลว้ กย็ งั มไิ ดท้ ง้ิ นามเดมิ เสยี ทเี ดยี วคงเรยี กคู่ กนั มาวา่ “นนั ทบรุ ี ศรนี ครน่าน” ซง่ึ ใชก้ นั ในทางราชการในสมยั โบราณและศุภอกั ษร นามเมอื ง “นนั ท บุร”ี เป็นนามทไ่ี พเราะและมคี วามหมายเป็นมงคลนาม แต่กม็ หี ลายพยางค์และเรยี กยาก ความทไ่ี ม่ นิยมในการทจ่ี ะตอ้ งเขยี นหรอื เรยี กกนั ยดื ยาว จงึ หนั กลบั มานยิ มนามเมอื งไปตามเดมิ วา่ “เมอื งน่าน” ตราบมาจนถงึ ปจั จุบนั
๔ อน่ึง ในตานานพระอฒั ภาค เรยี กช่อื เมอื งน่านวา่ “นนั ทสวุ รรณนคร” และในตานานชนิ - กาลมาลนิ ี เรยี กว่า “กาวราชนคร” นัยว่าเป็นแควน้ “กาว” ซ่งึ เลอื นมาจากคาวา่ “แกว, กอย, กอ้ และ กุ๊ย” ซ่งึ เป็นภาษาจนี แปลวา่ “ผ”ี หรอื “พวกดามดื ” (อนารยะ) อนั หมายถงึ ชนชาตทิ ่นี ่าอาศยั อย่ใู น แควน้ น่านแตด่ กึ ดาบรรพ์ ตานานเก่าๆ มกั เรยี กเมอื งน่านอกี คาหน่ึงวา่ “กาวน่าน” คาน้ีน่าจะถูกเรยี ก จากชนชาตทิ เ่ี จรญิ อนั อยทู่ างเหนอื เพราะคาวา่ “น่าน” มสี าเนยี งคลา้ ยกบั คาจนี วา่ “น่าง” ซง่ึ แปลวา่ ทศิ ใต้ ฉะนนั้ “กาวน่าน” กค็ อื “คนดาทอ่ี ย่ทู างทศิ ใต”้ นนั ่ เอง ความขอ้ น้ีอาจผดิ หรอื ถกู กไ็ ดแ้ ต่กป็ รากฏวา่ ไดม้ พี วก “กาว” หรอื “แกว” ฝ่ายตะวนั ออกอนั อย่ใู กล้เคียงกบั กาวฝา่ ยใต้อยอู่ ีกพวกหน่ึงคอื ญวนใน ปจั จุบนั และนามของแควน้ น่านเดมิ น่าจะมนี ามมาจาก “กาวน่าน” ตามตานานเก่าและเหตุผลท่กี ล่าว แล้ว น่าจะถูกต้องกว่านามอ่นื ๆ ต่อมาเม่อื ชนชาตพิ วกหน่ึงไดอ้ พยพตงั้ อย่ใู นแถบแควน้ กาวน่านแลว้ คาวา่ “กาว” จงึ ไดห้ ายไป คงเหลอื เฉพาะแตค่ าวา่ “น่าน” เป็นนามเมอื งมาจนถงึ ปจั จุบนั อยา่ งไรกต็ าม เป็นแต่เพยี งขอ้ สนั นษิ ฐานเทา่ นนั้ อาณาเขตเมืองน่านในสมยั โบราณ การทจ่ี ะทราบวา่ อาณาเขตเมอื งน่านในสมยั โบราณมเี พยี งไรนนั้ เป็นการท่ยี ากทจ่ี ะทราบ ได้ เพราะไม่มหี ลกั ฐานปรากฏพอทจ่ี ะจบั เอาเป็นเคา้ เง่อื นได้ มาทราบเร่อื งพอเป็นเลาๆ กต็ ่อเม่อื ตอน ตงั้ เมอื งท่ี “วรนคร” กล่าวคอื ไดร้ ะบอุ าณาเขตของวรนครไวด้ งั น้ี - ทศิ เหนือตดิ ต่อกบั เมอื งพระบาง เมอื งท่านุ่น อนั เป็นเมอื งเลก็ ๆ (หรอื ตาบล) อยู่ ณ ฝงั ่ ขวาของแม่น้าโขง - ทศิ ใต้ จดเมอื งยา่ ง - ทศิ ตะวนั ออกและตะวนั ตก ไม่ปรากฏ แตส่ าหรบั อาณาเขตทางทศิ ตะวนั ตกนนั้ พอจะทราบไดจ้ ากอาณาเขตของเมอื งพะเยาซ่งึ อยตู่ ดิ ตอ่ กนั และมอี าณาเขตซ่งึ กล่าวไวช้ ดั เจนในสมยั เดยี วกนั คอื กล่าววา่ \"หนหรดขี องพะเยา\" ตงั้ แต่ ดอยหลกั ไก่ ไต่สนั เขา ไปหนบูรพ ถึงห้วยผากาด, ตาดม่าน (ตาดแปลวา่ น้าตก), ปางซ่ีพนั , ไหม- สามเชอ้ื (สามอยา่ ง), สบหว้ ยน้ากู (สบหว้ ยคอื ปากหว้ ย), ล่องน้าพงุ ไปจบั น้ายม (จบั คอื พบถงึ ), ขน้ึ ตาม น้ายมไปจบั ปากน้าปนั , แลว้ ไปจบั ห้วยบ่อทอง, แล้วไต่ตามสนั เขาไปจบั ตาดเซาวา ฯลฯ ซ่งึ อาณา บรเิ วณตามลุ่มน้ายมท่กี ล่าวนัน้ เป็นดนิ แดนของอาเภอปงในปจั จุบนั และอาณาเขตของเมอื งพะเยา กบั วรนครน่าจะตดิ ต่อกนั ท่ที วิ เขาดอยภู่, ดอยวาว ซง่ึ อยรู่ ะหวา่ งอาเภอปงกบั อาเภอปวั นนั ่ เอง เพราะ ดอยทงั้ สองน้ีเป็นสนั เขาทก่ี นั้ พน้ื ทท่ี างลุม่ แมน่ ้ายมกบั พน้ื ทท่ี างฟากตะวนั ออกใหแ้ ยกออกจากกนั ภายหลงั เมอ่ื ไดต้ งั้ เมอื งใหม่ขน้ึ ทบ่ี า้ นหว้ ยไดค้ อื เมอื งน่านปจั จุบนั แลว้ ปรากฏวา่ ทางทศิ ใต้ มอี าณาเขตยาวไปจนถงึ อาเภอทา่ ปลา จงั หวดั อุตรดติ ถ์ ซง่ึ เขา้ ใจวา่ เป็นอาณาเขตของแควน้ น่านมาแต่ เดมิ และทางตะวนั ตกทอ้ งทใ่ี นแถบลมุ่ แมน่ ้ายมกเ็ ขา้ มารวมอยใู่ นเขตของอาเภอเมอื งน่าน แ ต่ อ า ณ า เขตทางทศิ เหนอื นนั้ น่าจะถูกรน่ มามาก เพราะในระยะหลงั ปรากฏวา่ ถูกแควน้ ล้านชา้ งและแกวรกุ ราน เขา้ มาจนถึงชานเวยี ง ฉะนัน้ อาณาเขตของเมอื งน่านจงึ ย่อมเอาเป็นยุตมิ ไิ ด้เลย เพราะเกย่ี วกบั การ ขยายและการแผอ่ านาจของบา้ นเมอื งใกลเ้ คยี งอยเู่ ป็นปกติ
๕ ตอ่ มาเมอ่ื หวั เมอื งใหญ่น้อยในลานนาไทยทงั้ ปวงไดต้ กเป็นอาณาเขตของพระราชอาณา- จกั รสยามแลว้ คอื เมอ่ื ครงั้ ทางการปกครองยงั ยกเมอื งใหญ่ๆ ในลานนาไทยใหเ้ ป็นเมอื งประเทศราชขน้ึ ตรงต่อกรุงเทพมหานครนนั้ ดว้ ยความสวามภิ กั ดแิ ์ ละความอุตสาหะวริ ยิ ภาพของเจา้ ผคู้ รองนครน่านได้ เป็นกาลงั สาคญั ในพระราชสงครามทางฟากแม่น้าโขงอยา่ งแขง็ แรงเป็นอนั ดไี ดเ้ พมิ่ พนู ดนิ แดนทต่ี ไี ดเ้ ขา้ มาอยใู่ นความปกครองของจงั หวดั น่านเป็นบาเหน็จรางวลั เป็นอนั มากและนับแต่ ร.ศ. ๑๒๒ มาจนถึง ระยะหลงั สุดกอ่ นถงึ ปจั จุบนั จงั หวดั น่านมอี าณาเขต ดงั น้ี - ทศิ เหนือ จดฝงั ่ แมน่ ้าโขง ทเ่ี มอื งเชยี งของ จงั หวดั เชยี งราย - ทศิ ตะวนั ตก โอบอาณาเขตบางส่วนของจงั หวดั เชยี งรายทางแมน่ ้าองิ เรอ่ื ยลงมาจนจด เขา้ ไปในเขตแม่น้ายมทอ้ งทอ่ี าเภอปง อาเภอเชยี งมว่ น จงั หวดั พะเยาและตดิ ต่อกบั จงั หวดั ลาปางและ จงั หวดั แพร่ - ทศิ ตะวนั ออก จากทศิ เหนือล่องตามฝงั ่ แม่น้าโขง ตดั ตรงลงมาทางเมอื งเชยี งลม เชยี ง ฮ่อน ไปเมอื งเงนิ แลว้ ไปจดทวิ เขาหลวงพระบาง ซง่ึ ทอดลงมาทางใต้ - ทศิ ใต้ เลยเขา้ ไปในจงั หวดั อุตรดติ ถ์ สน้ิ เขตทบ่ี า้ นผาเลอื ด อาเภอท่าปลา กบั มเี มอื ง สงิ ห,์ เมอื งนัง, เมอื งหลวงน้าทา, เมอื งภคู า, เมอื งเชยี งราบ, เมอื งเชยี งแขง็ ซง่ึ อยตู่ ามฟากแมน่ ้าโขงฝงั ่ ซา้ ยเป็นเมอื งขน้ึ อกี ดว้ ย สมยั กรงุ สุโขทยั เม่อื ประมาณ พ.ศ. ๑๘๒๐ มบี ุคคลสาคญั เกิดข้นึ ในลานนาไทย ๒ คน คือพระยา งาเมอื ง เจา้ เมอื งพระเยาองค์หน่ึง กบั พระยาเมง็ รายเจ้าเมอื งเชยี งรายองคห์ น่ึง ส่วนทางอาณาจกั ร สโุ ขทยั มพี ระเจา้ รามคาแหง เป็นพระมหากษตั รยิ ท์ เ่ี รอื งพระเดชานุภาพอยทู่ างทศิ ใตอ้ กี พระองคห์ น่ึง วาระแรกทป่ี รากฏในพงศาวดารเมอื งน่าน หลงั จากแควน้ น่านไดต้ งั้ วรนครขน้ึ แลว้ มชิ า้ พระยางาเมอื งเจา้ เมอื งพะเยากเ็ ขา้ มายดึ เมอื งวรนครเป็นเมอื งขน้ึ การเขา้ มาถอื เอาซง่ึ เมืองวรนครครงั้ น้ีเป็นการง่ายมาก มไิ ด้มกี ารรบพุ่งแตอ่ ยา่ งใด เพราะทางฝา่ ยวรนครไม่ทนั รตู้ วั เตรยี มการป้องกนั ไม่ ทนั ครงั้ นนั้ เจา้ เมอื งวรนครเป็นผหู้ ญงิ เป็นชายาของพระเจา้ เกา้ เถ่อื นเจ้าเมอื งวรนครอนั ดบั ท่ี ๒ ซง่ึ ได้ ละเมอื งวรนครไวใ้ หแ้ ก่ชายา แลว้ ไปครอบครองเมอื งย่างอย่อู กี ฝา่ ยหน่ึง การท่ีเสยี เมอื งวรนครให้แก่ แควน้ พะเยาครงั้ น้ี ไม่ปรากฏวา่ พระเจา้ เกา้ เถ่อื นทาการแกม้ อื แก่พระยางาเมอื งแต่ประการใด เหน็ จะไม่ มกี าลงั พอท่จี ะทาการตอบแทนนัน่ เอง ในพงศาวดารเมอื งน่านกล่าวว่า ในขณะท่พี ระยางาเมืองเขา้ มาถงึ วรนครนนั้ นางพระยาวรนครไดห้ นีออกไปจากเมอื งไดไ้ ปคลอดบุตรระหวา่ งทางเป็นชาย ภายหลงั เม่อื กมุ ารนนั้ มอี ายุ ๑๖ ปี ได้ถวายตวั อยใู่ นราชสานกั พระยางาเมอื ง และพระยางาเมอื งโปรดปรานให้ นามวา่ ขนุ ใสย่ ศ และใหไ้ ปครองเมอื งปราด ส่วนเมอื งวรนครนนั้ พระยางาเมอื งใหน้ างชายาผหู้ น่ึงช่อื ว่า อวั้ ลมิ กบั บุตรชายช่ือวา่ อามป้อมมาครอง ภายหลงั นางอวั้ ลมิ เกดิ ผดิ ใจกบั พระยางาเมอื งดว้ ยเร่อื งเป็น เชงิ วา่ พระยางาเมอื งระแวงในความจงรกั ภกั ดขี องนาง นางเจบ็ ใจจงึ รว่ มคดิ กบั ขนุ ใส่ยศ เจา้ เมอื งปราด แขง็ เมืองต่อพระงาเมอื งและมาตงั้ อย่ทู ่วี รนคร แล้วขุนใส่ยศกบั นางอวั้ ลมิ กส็ มส่อู ย่ดู ว้ ยกนั ฉันท์สามี ภรยิ า ความทงั้ น้ีทราบถงึ พระยางาเมอื งจงึ ยกกองทพั มาตวี รนคร ทางฝา่ ยเมอื งวรนครใหเ้ จา้ อามป้อม
๖ เป็นทพั ยกออกไปเม่อื กองทพั ทงั้ สองฝา่ ยได้ปะทะทาการรบกนั เพยี งเลก็ น้อย พระยางาเมอื งกเ็ ลกิ ทพั กลบั ไป นบั วา่ เกดิ ความสลดพระทยั ในการทบ่ี ดิ ากบั บุตรตอ้ งมาทาสงครามกนั ต่อจากน้ีขุนใส่ยศได้อภเิ ษกเป็นเจา้ เมอื งวรนคร มนี ามวา่ “พระยาผานอง” ในปี ๑๘๖๕ นบั แต่นนั้ มาการเกย่ี วขอ้ งระหว่างแควน้ พะเยากบั แควน้ น่านกข็ าดตอนไปเฉยๆ ไม่มเี รอ่ื งกล่าวถึงกนั อกี เลย ส่วนการเก่ยี วขอ้ งระหว่างเมืองน่านกบั กรุงสุโขทยั ได้ความตามศิลาจารกึ ของพ่อขุน รามคาแหงวา่ เมอื งน่านเป็นเมอื งประเทศราชของกรุงสโุ ขทยั ขอ้ ความทงั้ น้ีไม่มปี รากฏในพงศาวดาร เมอื งน่าน และไมท่ ราบวา่ ไปขน้ึ ในปีใด ศลิ าจารกึ น้เี ขา้ ใจวา่ จารกึ ในราว พ.ศ. ๑๘๓๕ พอ่ ขนุ รามคาแหง เสวยราชยเ์ ม่อื ราว พ.ศ. ๑๘๒๐ ถา้ คดิ อยา่ งไม่ละเอยี ดกต็ กอยใู่ นระหว่างรชั สมยั ของพอ่ ขนุ รามคาแหง ระยะ ๑๕ ปีน้ี ปญั หาจงึ มวี ่าเมอื งน่านไปขน้ึ แก่แคว้นพระเยาก่อนหรอื กรุงสุโขทยั ก่อน แต่ขอ้ น้ีเม่อื วจิ ารณ์ตามรชั สมยั ของกษตั รยิ ท์ งั้ สองพระองคน์ ้ี คอื พระยางาเมอื งเสวยราชยเ์ ม่อื พ.ศ. ๑๘๐๑ และพ่อ ขนุ ราม-คาแหงเสวยราชยเ์ ม่อื พ.ศ. ๑๘๒๐ โดยถอื วา่ เมอื งน่านคอื วรนครเป็นหลกั แลว้ กต็ อ้ งเขา้ ใจวา่ เมอื งน่านต้องขน้ึ แก่แควน้ พะเยาก่อน เพราะถ้าขน้ึ แก่กรุงสุโขทยั กอ่ นแล้ว พระยางาเมอื งจะมาตเี มอื ง น่านมไิ ด้เลย ดว้ ยเมอื งน่านขน้ึ แก่กรงุ สุโขทยั อยใู่ นระหวา่ ง พ.ศ. ๑๘๒๐ - ๑๘๓๕ และการทพ่ี ระยางา เมอื งจะมาชงิ เมอื งขน้ึ ของพ่อขนุ รามคาแหงนนั้ ย่อมเป็นไปไม่ได้ เพราะปรากฏวา่ แควน้ พะเยาในสมยั นนั้ ไมม่ กี าลงั พอทจ่ี ะแยง่ อานาจกบั เมอื งใหญ่ เช่น กรุงสโุ ขทยั ได้ แม้ว่าจะเป็นอนั ยุติว่า เมอื งน่านขน้ึ ต่อแควน้ พะเยาก่อนกรุงสุโขทยั แลว้ กด็ ี แต่เม่อื ได้ ใคร่ครวญถึงปีท่พี ระยาผานองแขง็ เมอื งต่อพระยางาเมอื ง และขน้ึ ครองเมอื งวรนคร ใน พ.ศ. ๑๘๖๕ แลว้ กท็ าใหฉ้ งนอกี เพราะเมอื งน่านขน้ึ แกก่ รงุ สโุ ขทยั ในระหวา่ ง พ.ศ. ๑๘๒๐ - ๑๘๓๑ ดงั กลา่ วแลว้ ถ้า เช่นนนั้ คาทป่ี รากฏในศลิ าจารกึ ว่าเมอื งน่านอาจไม่อยใู่ นวรนครกเ็ ป็นได้ เมอื งย่างเป็นเมืองเดมิ อย่ใู น แควน้ น่าน ส่วนวรนครเพง่ิ จะเกดิ ทหี ลงั ในราว พ.ศ. ๑๘๒๕ ชะรอยเมอื งน่านในศลิ าจารกึ นนั้ จะไดแ้ ก่ เมอื งยา่ งและคงจะไปขน้ึ แกก่ รุงสุโขทยั ก่อน พ.ศ. ๑๘๒๕ คอื ประมาณ พ.ศ. ๑๘๒๐ - ๑๘๒๔ ซง่ึ กอ่ น กาเนิดของเมอื งวรนคร เมอื งวรนครจงึ ตงั้ อยเู่ ป็นอสิ ระ แม้สองเมอื งน้ีภายหลงั จะเป็นเมอื งอนั หน่ึงอนั เดยี วกนั แตเ่ มอื งวรนครกเ็ พง่ิ จะตงั้ ขน้ึ ใหมเ่ ป็นเอกเทศ ซง่ึ พระยางาเมอื งกค็ งจะถือวา่ เมอื งวรนครเป็น เมอื งอสิ ระอยอู่ กี ส่วนหน่ึงต่างหาก จงึ ไดย้ กกาลงั เขา้ มาครอบครอง ฝา่ ยพระยาผานองเม่อื ไดม้ าตงั้ อยู่ ทว่ี รนครแขง็ เมอื งต่อแควน้ พะเยาแลว้ ในชนั้ น้ีเองทไ่ี ดเ้ ขา้ ไปสวามภิ กั ดขิ ์ อขน้ึ ตอ่ กรงุ สุโขทยั ดว้ ยเหตุน้ี เม่อื พระยางาเมอื งยกทพั มาปราบวรนคร จงึ ตอ้ งเลกิ ทพั กลบั ไป คงมใิ ชเ่ กดิ ความสลดใจทจ่ี ะตอ้ งทาการ รบกบั ลกู อกตญั ญเู ป็นแน่ ต่อมาเม่อื พระยาเก้าเถ่ือนเจ้าเมืองย่างถึงแก่พิราลยั แล้ว เมอื งย่างก็รวบเป็นเมือง เดยี วกบั วรนคร อนั ดบั กาลต่อไป ทางกรุงสุโขทยั เม่อื พ่อขนุ รามคาแหงสวรรคตแลว้ ราชโอรสได้ขน้ึ ครองราชยเ์ ป็นรชั กาลท่ี ๔ ทรงพระนามวา่ พระเจา้ ฤไทชยั เชษฐ์ หรอื พระเจ้าเลอไทในรชั กาลน้ีพระ เจ้าแสนเมอื งมงิ่ พระเจ้ากรุงเมาะตะมะแห่งราชวงศฟ์ ้ารวั ่ แขง็ เมือง แล้วยกกองทพั มาตเี มอื งทวาย เมืองตะนาวศรีของอาณาจกั รสุโขทยั ได้ในปี พ.ศ. ๑๘๖๑ พระเจ้าฤไทยชยั เชษฐ์แต่งกองทัพไป
๗ ปราบปรามกไ็ มส่ าเรจ็ แตน่ นั้ มาอาณาจกั รสโุ ขทยั กเ็ สอ่ื มลง เป็นเหตใุ หบ้ รรดาหวั เมอื งขน้ึ ชนั้ นอกพากนั กระดา้ งกระเดอ่ื งขน้ึ เป็นลาดบั ฝา่ ยทางอาณาจกั รลานนาไทยราชวงศพ์ ระยาเมง็ รายไดส้ บื ราชสมบตั ติ ่อกนั มาจนถงึ พระ- ยาคาฟู ไดร้ วบรวมแควน้ ลานนาอนั มเี มอื งหรภิ ุญชยั พะเยา และเงนิ ยางใหก้ ลบั รวมกนั เขา้ เป็นอาณา- จกั รอนั เดยี วกนั ต่อจากกษตั รยิ อ์ งคน์ ้ีมาอกี องคเ์ ดยี ว กย็ า้ ยราชธานจี ากเชยี งแสนไปตงั้ อย่ทู เ่ี ชยี งใหม่ ตามเดมิ สว่ นอาณาจกั รสุพรรณภมู อิ นั ตงั้ อยทู่ างทศิ ใต้ถดั จากอาณาจกั รสุโขทยั ลงไป เม่อื เจา้ เมอื ง อทู่ องถงึ แกพ่ ริ าลยั แลว้ เชอ้ื สายราชวงศเ์ ชยี งรายผเู้ ป็นบุตรเขยกไ็ ดส้ บื ตาแหน่งเป็นเจา้ เมอื งเป็น พระ เจา้ อทู่ องสบื ตอ่ มาภายหลงั พระเจา้ อทู่ องกย็ า้ ยราชธานมี าตงั้ ณ เมอื งอโยธยา เมอ่ื ปี พ.ศ. ๑๘๙๐ และ มอี านุภาพอยทู่ างใตอ้ กี ฝา่ ยหน่ึง ขณะเม่อื อาณาจกั รสุโขทยั อ่อนอานาจลงนนั้ ประเทศราชต่างๆ โดยมากกค็ ดิ ตงั้ ตวั เป็น เอกราช แต่กาลงั เมอื งประเทศราชทงั้ ปวงไม่สม่าเสมอกนั ทเ่ี ป็นเมอื งเลก็ เมอื งน้อยกเ็ หน็ จะพน้ วสิ ยั ก็ คงจะสงบนิง่ อยู่ ไม่ตอ้ งการอะไรยงิ่ ไปกวา่ ทจ่ี ะรกั ษาเอาตวั รอด แมเ้ มอื งอ่นื ๆ จะไดก้ ระดา้ งกระเดอ่ื งต่อ กรุงสุโขทยั ไปแลว้ เป็นอนั มาก แต่เมอื งน่านยงั คงสงบเป็นปกตอิ ยู่ ยงั มกี ารเกย่ี วขอ้ งกบั กรุงสุโขทยั โดย ฐานะเป็นเมอื งออกอยเู่ ป็นลาดบั มา เร่อื งน้ีปรากฏตามพงศาวดารเมอื งน่านต่อมาวา่ เม่อื พ.ศ. ๑๘๙๙ (ศกั ราชน้ีปรากฏใน ตานานพระธาตแุ ช่แหง้ ) วา่ พระยาการเมอื งสบื มาจากพระยาผานองไดเ้ ป็นเจา้ เมอื งวรนคร ในกาลครงั้ นนั้ พระยาโสปตั ตกนั ทิ เจา้ เมอื งสโุ ขทยั ไดใ้ ชม้ าเชญิ พระยาการเมอื งไปช่วยพจิ ารณาสรา้ งวดั หลวงอภยั ในกรุงสโุ ขทยั ครนั้ สรา้ งเสรจ็ แลว้ เจา้ เมอื งสโุ ขทยั ไดใ้ หพ้ ระบรมธาตุแกพ่ ระยาการเมอื ง อนั เป็นมลู เหตุ ของการประดษิ ฐานพระบรมธาตขุ องเมอื งน่านอกี เรอ่ื งหน่ึง โดยพระยาการเมอื งไดม้ าเลอื กชยั ภมู ใิ นอนั ทจ่ี ะประดษิ ฐานพระบรมธาตุ และเลอื กไดส้ ถานท่ี ณ ดอยภูเพยี งแช่แหง้ นยั วา่ เป็นท่เี คยบรรจุพระบรม ธาตุมาแต่กาลก่อนๆ ดอยภเู พยี งแช่แหง้ น้ีเป็นเนินผาเขาดนิ เตย้ี ๆ ตงั้ อยใู่ กลเ้ มอื งน้าเตยี นกบั แม่น้าลงิ ทางฟากตะวนั ออกของแม่น้าน่าน ตรงขา้ มกบั เมอื งน่านท่ยี า้ ยมาตงั้ ในชนั้ หลงั ๆ ห่างออกไปราว ๓ กโิ ลเมตร แล้วนาล้พี ลอญั เชญิ พระบรมธาตุมาบรรจุไว้ ณ ท่นี ้ี ต่อมาพระยาการเมอื งมีหทยั ศรทั ธา ปรารถนาใคร่ท่จี ะไดป้ ฏิบตั ริ กั ษาพระมหาธาตุแช่แหง้ อยเู่ ป็นนิตย์ จงึ ได้อพยพผูค้ นพลเมอื งลงมาตงั้ เมอื งอยู่ ณ ทแ่ี ชแ่ หง้ อนั มพี ระมหาธาตตุ งั้ อยภู่ ายในกาแพงเมอื ง เมอ่ื พ.ศ. ๑๙๐๒ แทจ้ รงิ พระยาการเมอื งคงจะมไิ ดม้ าตงั้ เมอื งใหม่ดว้ ยความศรทั ธาในพระมหาธาตแุ ตเ่ พยี ง อยา่ งเดยี ว หากแต่จะเป็นทพ่ี งึ พอใจในสถานทบ่ี รเิ วณน้ี ซง่ึ มที ร่ี าบกวา้ งใหญ่อยทู่ งั้ สองฟากของแม่น้า น่าน มภี มู ฐิ านอุดมดกี วา่ วรนครอกี ประการหน่ึงดว้ ย แต่การตงั้ เมืองอย่ทู ่ีแช่แห้งน้ีดารงได้เพยี ง ๑๐ ปี พระยาผากองซ่งึ เป็นเจ้าเมืองอนั ดบั ตอ่ มา กอ็ พยพขา้ มฟากแมน่ ้าน่านมาสรา้ งเมอื งขน้ึ ใหม่ทบ่ี า้ นหว้ ยไค้ คอื เมอื งทต่ี งั้ จงั หวดั น่านปจั จบุ นั อนั อยใู่ กลๆ้ กบั ลาแม่น้าน่าน เม่อื พ.ศ. ๑๙๑๑ ดว้ ยเหตุวา่ เมอื งแชแ่ หง้ กนั ดารน้า เพราะอยบู่ นเนินสูง และแม่น้าลงิ เป็นท่ตี งั้ เมอื งนัน้ เป็นแต่เพยี งลาธารเลก็ ๆ น้าย่อมเหือดแห้งไปในฤดูแลง้ เป็นความ อตั คตั กนั ดารอยเู่ ชน่ น้ีเสมอมา ซง่ึ เคยปรากฏเชน่ น้ีมาตงั้ แตต่ งั้ เมอื งใหม่ๆ แลว้
๘ ยอ้ นกลบั มากลา่ วถงึ พระยาโสปตั ตกนั ทเิ จา้ เมอื งสุโขทยั ในสมยั ดงั กล่าว เขา้ ใจวา่ เป็นพระ มหาธรรมราชาลไิ ท กษตั รยิ ร์ ชั กาลท่ี ๕ แหง่ กรุงสโุ ขทยั เพราะตกอยใู่ นรชั สมยั เดยี วกนั หากแต่พระนาม ทก่ี ล่าวในพงศาวดารเมอื งน่านเรยี กไปเสยี อกี อยา่ งหน่ึง การเปลย่ี นนามบุคคลและสถานทใ่ี หเ้ ป็นมคธ พากย์เช่นน้ี ปรากฏอยู่ในตานานของหวั เมอื งฝ่ายเหนือมากมาย รสู้ กึ ว่าเป็นท่นี ิยมกนั ทวั ่ ไปในยุค โบราณ ความเขา้ ใจทว่ี า่ พระยาโสปตั ตกนั ทเิ ป็นพระมหาธรรมราชาอนั เกย่ี วกบั ดว้ ยเรอ่ื งพระบรมธาตนุ ้ี มศี กั ราชปรากฏสมกบั เค้าเงอ่ื น๕ตามท่มี ใี นศลิ าจารกึ นครชุมวา่ พระมหาธรรมราชาไดพ้ ระบรมธาตุมา จากลงั กาทวปี จงึ ณ วนั ๖ ฯ ๓ ค่า ปีระกา พ.ศ. ๑๙๐๐ พระองคไ์ ด้บรรจุพระบรมธาตุได้ท่เี มอื ง นครชมุ (เมอื งเกา่ อยหู่ ลงั จงั หวดั กาแพงเพชรเดยี๋ วน้ี) และสรา้ งพระมหาธาตขุ น้ึ ไว้ ตามพงศาวดารเมืองน่านท่ีว่าสร้างวดั หลวงอภยั กเ็ ห็นจะเป็นการก่อสร้างก่อพระ มหาธาตุน่ีเอง ก็แลลกั ษณะการไปช่วยเหลอื การน้ีของพระยาการเมอื ง เม่อื พเิ คราะหด์ ตู ามขอ้ ความ และเหตุผลในพงศาวดารท่กี ล่าวมาแล้ว เหน็ ได้ว่าเป็นลกั ษณะการไปตามคาเรยี กร้องของผู้มอี านาจ มากกวา่ ท่จี ะเป็นการไปโดยเชอ้ื เชญิ ฐานเป็นเพ่อื นบา้ นเมอื งเคยี งกนั อน่ึงกรุงสุโขทยั ในระยะน้ีถึงจะ ออ่ นอานาจลง แต่ความเป็นไปภายในบา้ นเมอื งยงั คงมนั ่ คงอยู่ แมท้ างฝา่ ยกรุงศรอี ยุธยาซง่ึ เรอื งเดชา- นุภาพปรากฏขน้ึ ยงั สงบไม่รุกราน ครงั้ นนั้ กรุงสุโขทยั ยงั คงจะมเี มอื งขน้ึ เหลอื อยบู่ ้างแมจ้ ะมเี หลอื อยู่ น้อย แต่จานวนทเ่ี หลอื นนั้ ตอ้ งมเี มอื งน่านอยดู่ ว้ ยเมอื งหน่ึง เป็นธรรมดาวา่ เจา้ เมอื งประเทศราชจะตอ้ ง เขา้ ไปชว่ ยในการมหกรรมทก่ี ล่าวมาแลว้ ดงั ปรากฏตามทเ่ี จ้าเมอื งน่านไดไ้ ปนนั้ เพราะกจิ การในฝา่ ย พระศาสนาพระมหาธรรมราชาทรงถอื เป็นรฐั ประศาสนโยบายสาคญั ในการปกครองพระราชอาณาจกั ร ส่วนหน่ึงควรเทยี บไดว้ า่ พ่อขุนรามคาแหงทรงบาเพญ็ จกั รวรรดวิ ตั รแผ่พระราชอาณาจักรและพระราช อานาจดว้ ยการปกครองปราบปรามราชศตั รฉู นั ใด พระมหาธรรมราชาลไิ ทกท็ รงบาเพญ็ ในทางทจ่ี ะเป็น ธรรมราชา คอื ปกครองพระราชอาณาจกั รดว้ ยธรรมานุภาพเป็นสาคญั ฉนั นนั้ ในรชั สมยั น้ีจงั เป็นอนั ยตุ ิ ไดว้ า่ เมอื งน่านยงั คงเป็นเมอื งประเทศราชของกรงุ สโุ ขทยั อยตู่ ่อไป ตอ่ มา ปรากฏตามพระราชพงศาวดารฉบบั พระราชหตั ถเลขา ในแผน่ ดนิ สมเดจ็ พระบรม ราชาธริ าชท่ี ๑ วา่ “ศกั ราช ๗๓๘ ปีมะโรงอฐั ศก (พ.ศ. ๑๙๑๙) เสดจ็ ไปเอาเมอื งซากงั ราวไดพ้ ระยา กาแหงแลทา้ วผากองคดิ กนั วา่ จะยอทพั หลวงทามไิ ด้ท้าวผากองเลกิ ทพั หนี เสดจ็ ยกทพั ตามตที พั ทา้ ว ผากองแตก ไดท้ า้ วพระยาเสนาขนุ หมน่ื ครงั้ นนั้ มาก แลว้ ทพั หลวงเสดจ็ กลบั คนื ” เหตกุ ารณ์ในตอนน้ี เป็นรชั สมยั ของพระมหาธรรมราชาท่ี ๒ (พระมหาธรรมราชาไสลอื ไท) ซ่งึ ได้มสี งครามระหวา่ งกรุงศรอี ยุธยากบั กรุงสุโขทยั เกดิ ขน้ึ ประปรายแล้ว ขอ้ ความทป่ี รากฏจาก พระราชพงศาวดารขา้ งต้นน้ี คอื สมเดจ็ พระบรมราชาธริ าชท่ี ๑ ได้เสดจ็ ไปตเี มอื งกาแพงเพชร (ซากงั ราว) เป็นครงั้ ท่ี ๒ พระยากาแหงเจ้าเมืองกาแพงเพชรได้กองทพั ท้าวผากองมาช่วยรกั ษาเมือง กาแพงเพชรอกี ทพั หน่ึง ทพั ทา้ วผากองและเจา้ เมอื งกาแพงเพชรยกเขา้ ปะทะกับทพั ฝา่ ยกรุงศรอี ยธุ ยา สไู้ ม่ได้ทา้ วผากองจงึ เลกิ ทพั หนี สมเดจ็ พระบรมราชาธริ าชท่ี ๑ เสดจ็ ยกทพั ตามตที พั ทา้ วผากองแตก พ่ายไป แต่ยงั ตเี มอื งกาแพงเพชรไมไ่ ด้ ในระหว่างเหตุการณ์น้ี ทางฝ่ายเมืองน่าน พระยาผากองเป็นเจา้ เมือง ย้ายเมืองจาก แช่แห้งขา้ มแม่น้าน่านมาตงั้ เมอื งใหญ่ท่บี า้ นหว้ ยไค้ รชั สมยั ของพระยาผากองเรมิ่ ตงั้ แต่ พ.ศ. ๑๙๑๑
๙ ถึง พ.ศ. ๑๙๓๑ เม่อื ไดต้ รวจพงศาวดารทางฝา่ ยเมอื งเหนือสอบดแู ลว้ เหน็ วา่ เร่อื งน้ีเกย่ี วขอ้ งมาทาง น่านยงิ่ กวา่ เมอื งอ่นื ๆ ทางเหนือดว้ ยกนั เขา้ ใจวา่ ทา้ วผากองผ้ทู ไ่ี ปช่วยเจา้ เมอื งกาแพงเพชรรกั ษาเมอื ง นนั้ เป็นคนเดยี วกบั พระยาผากองเจา้ เมอื งน่านนนั ่ เอง พระศกั ราชและเหตุผลยุตลิ งตรงกนั คอื ใน พ.ศ. ๑๙๑๙ อย่ใู นระหว่างรชั สมยั ของพระยาผากองเจ้าเมอื งน่านและเวลานนั้ เมอื งน่านยงั เป็นเมอื งประเทศ ราชของกรุงสุโขทยั อยู่ อนั เป็นธรรมเนียมทเ่ี มอื งข้นึ จะต้องไปช่วยราชการทพั ศกึ ของเมอื งท่เี ป็นนาย ทางฝา่ ยเมอื งน่านเพงิ่ รสู้ กึ ขดั แยง้ ต่อกรงุ สโุ ขทยั กต็ อ่ เม่อื พระยาผากองไดไ้ ปเหน็ ความออ่ นแอในการทพั ศกึ ของฝ่ายกรุงสุโขทยั ทเ่ี มอื งกาแพงเพชรเป็นเบอ้ื งต้น ความตงั้ ใจทจ่ี ะตงั้ ตวั เป็นอสิ ระกค็ งจะเรมิ่ มขี น้ึ เม่อื คราวนัน้ และเม่อื สมเดจ็ พระบรมราชาธริ าชท่ี ๑ ปราบอาณาจกั รสุโขทยั ให้อ่อนน้อมเม่อื พ.ศ. ๑๙๒๑ ส้นิ เชงิ แลว้ จงึ เป็นช่องทางอนั งามท่จี ะเปิดให้เมอื งน่านเป็นอสิ ระ การขาดตอนจากอาณาจกั ร สุโขทยั และความเป็นเอกราชของเมอื งน่านจงึ น่าจะเขา้ ใจวา่ ไดก้ ลบั มขี น้ึ นบั แตก่ ารละนนั้ สมยั กรงุ ศรีอยุธยา เม่อื อาณาจกั รกรุงศรีอยุธยาและอาณาจกั รสุโขทยั รวมกนั เป็นอาณาจกั รสยามแล้ว ต่อไปน้ีในพน้ื สยามสวุ รรณภมู กิ ย็ งั เหลอื แต่อาณาจกั รลานนา ซง่ึ เป็นดนิ แดนของไทยเหนือตงั้ เป็นอสิ ระ อย่แู ต่ฝ่ายเดยี ว ไทยสยามกบั ไทยลานนาได้เรม่ิ ทาสงครามกนั ใน พ.ศ. ๑๙๒๓ อนั เป็นแผ่นดนิ ของ สมเดจ็ พระบรมราชาธริ าชท่ี ๑ เป็นตน้ ไป กาละน้ี แควน้ น่านได้เป็นอสิ ระอยใู่ นภาคลานนาส่วนหน่ึง อนั เรมิ่ แต่ราว พ.ศ. ๑๙๒๑ เป็นลาดบั มา ระหวา่ งกาลน้ียงั ไม่มใี ครเอาใจใส่กบั แควน้ น่านนกั เพราะสงครามชงิ อานาจและเขตแดน อาณาจกั รใหญ่ๆ ยงั กาลงั ตดิ พนั กนั อยู่ แควน้ น่านจงึ ไดป้ กครองตนเองโดยความเรยี บรอ้ ยมาไดห้ ลายปี ในสมยั กรงุ ศรอี ยธุ ยาเป็นราชธานีของอาณาจกั รสยามน้ี แควน้ น่านมเี หตกุ ารณ์เกย่ี วขอ้ ง อย่ดู ้วยเพยี งเลก็ น้อย แต่เกย่ี วขอ้ งกบั พม่าและลานนาดว้ ยกนั อย่จู นตลอดสมยั ประวตั กิ ารของแควน้ น่านในยคุ กรงุ ศรอี ยธุ ยาน้ี อาจแบ่งตามเหตุการณ์ไดเ้ ป็น ๒ ตอนคอื ๑. เมอื งน่านขน้ึ เชยี งใหม่ ๒. เมอื งน่านขน้ึ พมา่ เมอื งน่านขึ้นเชียงใหม่ แควน้ น่านไดด้ ารงอสิ ระมา ๗๒ ปี เจา้ เมอื งได้สบื สมบตั ผิ ลดั เปลย่ี นกนั ต่อๆ มาพอถึง เจา้ อนิ ต๊ะแกน่ ทา้ ว ใน พ.ศ. ๑๙๙๓ กเ็ สยี เมอื งแกพ่ ระเจา้ ตโิ ลกราชเจา้ นครเชยี งใหม่ มลู เหตุท่จี ะเกิดสงครามกบั เชยี งใหม่ขน้ึ คราวน้ี ได้ความตามพงศาวดารโยนกวา่ ท้าว- ลกราชบุตรท่ี ๖ แห่งเจ้าพระยาสามฝงั ่ แกนเจ้านครเชียงใหม่ ได้ชิงสมบัติจากพระราชบิดา ปราบดาภเิ ษกเป็นพระมหาศรสี ธุ รรมธโิ ลกราชขน้ึ ในนครเชยี งใหม่แลว้ ครนั้ ลว่ งมาถงึ จุลศกั ราชท่ี ๘๐๕ (พ.ศ. ๑๙๘๖) พระยาแกน่ ทา้ วเจา้ เมอื งน่านแต่งกลอบุ ายใหไ้ ปทลู พระเจา้ เชยี งใหมว่ า่ ศกึ แกว (ญวน) จกั มาตกเมอื งน่าน ขอกองทพั เมอื งนครเชยี งใหมม่ าช่วยรกั ษาเมอื ง พระเจา้ เมอื งเชยี งใหมไ่ ม่ระแวงพระทยั สาคญั วา่ จรงิ จงึ แต่งทพั ให้ยกมารกั ษาเมอื งน่าน ก็มไิ ด้มศี กึ แกวยกมาพระยาแก่นท้าวเจ้าเมืองน่าน กระทากลอุบายหลอกลวงตา่ งๆ
๑๐ พระเจา้ ตโิ ลกราชไดท้ รงทราบวา่ เจา้ เมอื งน่านหลอกลวง ดงั นนั้ กท็ รงพระพโิ รธจงึ เสดจ็ ยก กองทพั หลวงมาตเี มอื งน่าน ตงั้ ล้อมเมอื งขบั เค่ยี วกนั อยเู่ ป็นแรมปีจงึ ไดเ้ มอื ง พระยาแก่นท้าวเจา้ เมอื ง น่านหนีลงไปพง่ึ พระเจา้ กรงุ ศรอี ยธุ ยา พระเจา้ ตโิ ลกราชจงึ ตงั้ ใหท้ า้ วผาแสนผนู้ ้องพระยาแก่นทา้ วเป็น เจา้ เมอื งน่านตอ่ ไป ฝา่ ยขา้ งพงศาวดารเมอื งน่านกล่าววา่ ในปีจุลศกั ราช ๘๑๒ (พ.ศ. ๑๙๙๓) เจา้ อนิ ต๊ะแก่น ท้าวเจ้าเมืองน่านแต่งทูตให้นาเอาเกลอื บ่อมางไปเป็นบรรณาการถวายพระเจ้าติโลกราชยงั นคร เชยี งใหม่ ครนั้ ต่อมา พระเจา้ ตโิ ลกราชมพี ระทยั ปรารถนาใคร่ท่ไี ด้เมอื งน่านไปส่วยค้าเมอื งเชยี งใหม่ จงึ ยกกองทพั มาตดิ เมอื งและเสยี เมืองแก่พระเจา้ ตโิ ลกราชในปีนนั้ และเจา้ อนิ ต๊ะแกน่ ทา้ วหนีลงไปพง่ึ พระยาชะเลยี ง (พระยายทุ ธศิ ฐริ ) ขอ้ แตกต่างของสองตานานน้ีท่ีสาคัญก็คือ สาเหตุในการทาสงคราม ตานานทาง เชยี งใหม่วา่ ฝา่ ยน่านหลอกลวง แต่ฝา่ ยเมอื งน่านกว็ า่ เมอื งเชยี งใหม่ตอ้ งการเมอื งน่านไปเป็นเมอื งส่วย เกลอื ความจรงิ คงจะเป็นวา่ เจา้ อนิ ต๊ะแก่นทา้ วได้ส่งบรรณาการไปเมอื งเชยี งใหม่จรงิ แต่เพยี งเพ่อื ขอ ความพิทกั ษ์รกั ษาในยามท่จี ะมศี กึ มาติดเมืองน่าน ซ่งึ มขี ่าววแ่ี ววอย่บู ้าง ขอ้ น้ีเป็นความจรงิ เพราะ หลงั จากเมืองน่านไปข้นึ แก่เชียงใหม่แล้วไม่ช้า ก็มีศึกหลวงพระบางและแกวตกมาเมืองน่านใน ระยะใกล้ๆ กนั คงจะไมใ่ ช่หลอกลวงตามตานานเชยี งใหม่กล่าวเป็นแน่ เพราะอยดู่ ๆี จะไปหาเหตุมาสู่ บา้ นเมอื งกผ็ ดิ วสิ ยั นอกจากน้ีขอ้ ความอ่นื ๆ ยกเวน้ แต่ศกั ราช ซง่ึ ควรเช่อื ตามท่กี ลา่ วไวใ้ นพงศาวดาร เมอื งน่าน เพราะกล่าวไวช้ ดั เจนวา่ เมอื งเชยี งใหม่ปกครองเมอื งน่านในยคุ น้ี มขี อ้ ท่นี ่าสงั เกตคอื แต่เดมิ มาเมอื งน่านจดั การ ปกครองโดยพลการตนเองทกุ อยา่ ง ทเ่ี ป็นขอ้ สาคญั กค็ อื การสบื สมบตั เิ ป็นเจา้ เมอื ง กย็ อ่ มเป็นไปโดยสบื สนั ตวิ งศห์ รอื โดยความพรอ้ มใจของพลเมอื งอนั เชญิ ขน้ึ เป็นการภายในบา้ นเมอื งทัง้ สน้ิ แมจ้ ะตกไปเป็น เมืองขน้ึ ของเมืองอ่นื เช่น เม่อื ครงั้ กรุงสุโขทยั ก็เพียงแต่ส่งเคร่อื งราชบรรณาการเท่านัน้ ประเทศท่ี ปกครองมไิ ดย้ น่ื มอื เขา้ มาเกย่ี วขอ้ งกบั กจิ การภายในบา้ นเมอื งของเมอื งน่าน แตเ่ ม่อื พระเจา้ ตโิ ลกราชได้ ปกครองเมอื งน่านแลว้ ได้มกี ารเปลย่ี นแปลงเป็นครงั้ แรกในเร่อื งการตงั้ เจา้ เมอื งซง่ึ สุดแล้วแต่พระทยั ของพระเจา้ เชยี งใหม่จะเหน็ สมควรแต่งตงั้ ผใู้ ดผหู้ น่ึงเป็นประมาณ ฉะนนั้ ผดู้ ารงตาแหน่งเป็นเจา้ เมอื ง น่านในยคุ น้ี จงึ ไม่จากดั วา่ จะตอ้ งลงทางสายสกุลเจ้าเมอื งน่าน หรอื โดยความเหน็ ของชาวเมอื งหรอื ไม่ ความเป็นประเทศราชของเมอื งน่านไดถ้ ูกจากดั ลงอกี ชนั้ หน่ึง ในทานองท่จี ะคุมเมอื งน่านให้คงเป็น ดนิ แดนของเมอื งเชยี งใหม่โดยมนั ่ คง ส่วนการป้องกนั บ้านเมอื งนัน้ ไดร้ บั ความคุ้มครองทนั ท่วงทแี ละ เหตุการณ์ดขี น้ึ การพระศาสนาไดย้ า่ งขน้ึ ส่คู วามเจรญิ พระมหาธาตุแช่แห้งอนั เป็นปชู นียสถานประจา บา้ นเมอื ง ซง่ึ พระยาการเมอื งสรา้ งขน้ึ ภายหลงั เป็นทร่ี กรา้ งเล่อื นลอยไป กไ็ ด้บรู ณะปฏสิ งั ขรณ์ใหค้ นื ดี ขน้ึ ในสมยั นนั้
๑๑ เมอื งน่านไดอ้ ยใู่ นความปกครองของเมอื งเชยี งใหม่มาได้ ๑๐๘ ปี ใน พ.ศ. ๒๑๐๑ พม่า ปราบลานนาไทยราบคาบ เมอื งน่านกต็ กไปเป็นเมอื งขน้ึ ของพม่าสบื มาแตก่ าลนัน้ เมืองน่านขึน้ พมา่ ก่อนท่ีจะบรรยายถึงเหตุการณ์ตอนน้ี ควรนาความเป็นไปทางฝ่ายพม่ามากล่าวไว้ โดยสงั เขปกอ่ นคอื ฝา่ ยขา้ งเมอื งหงษาวดี เมอ่ื พระเจา้ ตะเบงชะเวต้ี (สุวรรณเอกฉตั ร) ทวิ งคตแลว้ หวั เมอื งในราชอาณาจกั รหงษาวดกี พ็ ากนั ตงั้ แขง็ เมอื งอย่ทู วั ่ ไป ทเ่ี มอื งหงษาวดเี องกม็ มี อญตงั้ ตวั ขน้ึ เป็น พระเจา้ หงษาวดบี ุเรงนอง (พระเชษฐาธริ าช) แลว้ ซง่ึ เป็นพเ่ี ขยของพระเจา้ ตะเบงชะเวตเ้ี หลอื กาลงั ทจ่ี ะ ปราบปรามได้กพ็ าสมคั รพรรคพวกหนีไปจากเมอื งหงษาวดี ภายหลงั เม่อื ไดซ้ ่องสุมผคู้ นไดเ้ ป็นกาลงั พอแลว้ กย็ กไปตเี มอื งทต่ี งั้ ตวั ขน้ึ ใหมๆ่ และทาการปราบปรามพวกน้อี ยู่ ๓ ปี จงึ สงบเรยี บรอ้ ย แลว้ กต็ งั้ ตวั ขน้ึ เป็นพระเจา้ หงษาวดี มพี ระนามวา่ พระเจา้ ศริ สิ ุธรรมราช ใน พ.ศ. ๒๐๙๖ หรอื อกี นยั หน่ึงเรยี กวา่ พระเจา้ บเุ รงนองหรอื พระเจา้ ชนะสบิ ทศิ เม่อื พระเจา้ บุเรงนองจดั การบ้านเมอื งเรยี บรอ้ ยแลว้ กย็ กไปตเี มอื งองั วะ ได้เมอื งองั วะ แลว้ กย็ กไปตเี มอื งไทยใหญ่และเชยี งใหมต่ อ่ ไปเป็นลาดบั เหตุการณ์ในตอนน้ี มพี ฤตกิ ารณ์เน่ืองมาจากพม่าไปตเี มอื งนาย คอื เมอื งไทยใหญ่ก่อน กลา่ วคอื ครงั้ นนั้ พระเจา้ เมกฏุ ไิ ทยใหญ่เมอื งนายมาครองเมอื งเชยี งใหม่ เมอ่ื พระเจา้ บเุ รงนองไปตเี มอื ง เจา้ นาย เจา้ เมอื งนายเป็นญาตกิ บั พระเจา้ นครเชยี งใหม่ จงึ ขอกองทพั เมอื งเชยี งใหม่ใหไ้ ปชว่ ย พระเจ้า เชยี งใหม่ไดแ้ ต่งกองทพั ส่งใหไ้ ป เม่อื พระเจา้ บุเรงนองไดเ้ มอื งนายแล้ว จงึ ถอื เอาเหตุทเ่ี มืองเชยี งใหม่ พม่าเขา้ ลอ้ มเมอื งเชยี งใหม่อยู่ ๓ วนั กเ็ ขา้ เมอื งเชยี งใหม่ไดใ้ น พ.ศ. ๒๑๐๑ เมอื งน่านและเมอื งอ่นื ๆ ใน ลานนาด้วยกนั ทข่ี น้ึ เชยี งใหม่ กต็ กไปเป็นเมอื งขน้ึ ของพม่าดว้ ยโดยปรยิ าย พมา่ คงตงั้ พระเจา้ เมกุฏเิ ป็น เจา้ เมอื งเชยี งใหม่อยตู่ ามเดมิ ฝ่ายทางเมอื งน่าน ในขณะทเ่ี มอื งเชยี งใหม่เสยี แก่พม่าแลว้ นนั้ เจ้าเมอื ง น่านหนไี ปจากเมอื ง พม่าจงึ ตงั้ พระยาหน่อคาไชยเสถยี รสงคราม (เขา้ ใจวา่ เป็นชาวเมอื งเชยี งใหม่) มา เป็นเจา้ เมอื งแทน ต่อมาเม่อื พ.ศ. ๒๑๐๗ พระเจ้าเมกุฏเิ จ้านครเชียงใหม่รว่ มคิดกบั พระยากมลเจา้ เมอื ง เชยี งแสน แขง็ เมอื งต่อกรงุ หงษาวดี เร่อื งน้ีไดค้ วามตามพงศาวดารพม่าวา่ ยงั มพี ระยาน่านและเจา้ เมอื ง อ่นื ๆ เป็นผู้สมรู้ร่วมคดิ อกี ด้วย พระเจ้าหงษาวดีจึงยกกองทพั มาตเี มืองเชียงใหม่ ครงั้ นัน้ พระเจ้า เชยี งใหม่เหน็ เหลอื กาลงั ท่จี ะสู้รบ จงึ ออกไปอ่อนน้อม ส่วนพระยาน่านกบั พวกอพยพหนีไปพ่งึ อย่กู บั พระไชยเชษฐา ณ กรุงศรสี ตั นาคนหตุ (พงศาวดารเมอื งน่านไมม่ ปี รากฏ) นบั แตก่ าลน้ีไป เมอื งน่านและเมอื งอน่ื ๆ ในลานนาไทยกถ็ กู ควบคุมใหอ้ ยใู่ นความ ปกครองของพมา่ ทเ่ี มอื งเชยี งใหม่ โดยใกลช้ ดิ กวดขนั มสี มั พนั ธภาพไม่ขาดตอนจากกนั อยกู่ ระทงั ่ สยาม ไดข้ บั ไลพ่ ม่าไปจากลานนาไทยสน้ิ เชงิ และรวมลานนาไทยเขา้ เป็นอนั หน่ึงอนั เดยี วกนั ในยคุ หลงั ในระหว่างกาลทล่ี านนาไทยไดต้ กอยใู่ นความปกครองของพม่านนั้ ไดข้ าดตอนจากพม่า ไปตกเป็นประเทศราชของกรงุ ศรอี ยธุ ยาอยู่ ๒ คราว ในวาระแรกเม่อื ในรชั สมยั ของสมเดจ็ พระนเรศวร ซง่ึ เป็นวรี กษตั รยิ ป์ ระเสรฐิ ของชาตไิ ทย อนั ทรงสรุ ภาพปราบปรามไปทวั ่ ทุกทศิ และในวาระท่ี ๒ เม่อื ใน
๑๒ รชั สมยั ของสมเดจ็ พระนารายณ์มหาราช แตก่ เ็ ป็นในชวั ่ เวลาอนั เลก็ น้อย พอส้นิ รชั สมยั พระมหากษตั รยิ ์ ทท่ี รงเดชานุภาพแลว้ ลานนาไทยกต็ กไปเป็นเมอื งขน้ึ ของพม่าตามเดมิ ครงั้ นนั้ พม่าตงั้ ศูนยก์ ลางการปกครองลานนาไทยทเ่ี มอื งเชียงใหม่ มกี องทพั ทหารและ ขา้ หลวงมาประจาสาหรบั คอยกากบั เจา้ เมอื งพม่าท่ปี ระจาอยตู่ ามเมอื งต่างๆ นนั้ มที งั้ พม่าและชาว พน้ื เมอื งท่เี ชยี งใหม่มเี จา้ พม่ามาปกครองอยเู่ ป็นเวลานาน ทเ่ี มอื งน่านเองกม็ พี มา่ มาเป็นเจา้ เมอื งหลาย คน ในชนั้ หลงั พมา่ ไดส้ ง่ กาลงั ทหารมาตงั้ อยทู่ เ่ี มอื งเชยี งแสนคุมเมอื งตอนเหนือไวอ้ กี ชนั้ หน่ึง เหตทุ พ่ี ม่า ควบคุมลานนาไทยไม่ทง้ิ เชน่ น้ี ลานนาไทยจงึ ตกเป็นของพม่าอยจู่ นตลอดสมยั กรงุ ศรอี ยธุ ยา เน่ืองแต่พมา่ ปกครองลานนาไทยดว้ ยความเหย้ี มโหดทารุณกรรม กดข่ี ขม่ เหง แก่ราษฎร พลเมอื งดว้ ยประการต่างๆ ลกั ษณะการเชน่ น้ีได้เป็นไปทกุ ระยะกาลสมยั ต่างไดร้ บั ความเดอื ดรอ้ นอยู่ ทวั ่ กนั เป็นสาหัส จนปรากฏว่าประชาชนชาวลานนาไทยมแี ต่ความตระหนกตกใจไหวหวนั ่ ด้วย ภยนั ตรายต่างๆ มไิ ด้วางใจเป็นปกตไิ ด้ เหตุด้วยพม่ารามญั มาประหตั ประหารปราบปรามย่ายดี ้วย อานาจดงั กล่าวมาแลว้ จนน้าใจคนวลิ านปลาส ได้เหน็ หรอื ไดย้ นิ อะไรทแ่ี ปลกประหลาดกห็ มายเอาว่า เป็นอุบาทวบ์ อกเหตลุ างรา้ ยทุกอยา่ งไป นบั แต่ยคุ โบราณประวตั ลิ งมา ชาวลานนาไทยกเ็ หน็ จะไดพ้ บรสชาตขิ องการปกครองทป่ี ่า เถ่อื นเช่นน้ีเป็นครงั้ แรก หวั ใจของชาวลานนาไทยต่างร่ารอ้ งคร่าครวญ ในเม่อื ไม่สามารถจะแกม้ อื แก้ เผด็ ตอบแทนแก่พมา่ ได้ และรอ้ นเรา่ ปานประหน่ึงจะลกุ เป็นไฟในเมอ่ื ความหยาบชา้ ทารุณนนั้ ไดแ้ ลน่ ขน้ึ ถงึ ขดี ทจ่ี ะทานทน จนมคี ากล่าวกนั อนั เป็นท่นี ่าเหน็ ใจนกั หนาในระหวา่ งชาวเมอื งกบั เจา้ นายวา่ “ครนั้ เจา้ จะเป็นมา่ น ตขู า้ ขอหนี ครนั้ เจา้ จะเป็นไทย ตขู า้ ขอรบมา่ น” เป็นอาทิ ฉะนนั้ เม่อื ความคบั แคน้ ใจมมี ากเขา้ อดั ไวม้ ากเขา้ จนลน้ อกลน้ ใจของทุกๆ คน ทนอยู่ ไม่ไดแ้ ลว้ การแขง็ เมอื งจะจราจลกบ็ งั เกดิ ขน้ึ เป็นไปตามกฎธรรมดา จงึ ในเมอื งน่าน เม่อื พ.ศ. ๒๑๔๓ เจา้ เจตบุตรพรมนิ ทรบุตรพระยาหน่อคาไชยเสถียร สงครามทพ่ี ม่าตงั้ เป็นเจา้ เมอื งไดร้ บั กาลงั สนบั สนุนจากพระหน่อแกว้ เจา้ กรงุ ศรสี ตั นาคนหตุ ยกทพั ไปตี เมอื งเชยี งใหม่ซง่ึ มพี มา่ เป็นเจา้ เมอื ง แต่ไม่สาเรจ็ เจา้ เจตบุตรตอ้ งหนีไปอยเู่ มอื งลา้ นชา้ ง๑ ภายหลงั ถูก พมา่ จบั ไปฆ่าทเ่ี มอื งเชยี งใหม่เมอ่ื ปี พ.ศ. ๒๑๔๖ ในปี พ.ศ. ๒๑๖๗ เจ้าอุ่นเมอื ง เจ้าเมอื งน่านแขง็ เมืองต่อพม่าแลว้ หนีไปเมอื งล้านช้าง ภายหลงั คุมผ้คู นกลบั มาตงั้ ทเ่ี มอื งน่านอกี เจา้ ฟ้าสุทโธเจา้ เมอื งเชยี งใหม่ (พมา่ ) ยกกองทพั มาตเี มอื ง น่านได้ เจา้ อนุ่ เมอื งหนีไปเมอื งลานชา้ ง ครงั้ นนั้ ชาวบา้ นชาวเมอื งแตกต่นื พากนั ซอกซอนหรไี ปอย่ตู าม ปา่ ตามเขาเป็นอนั มาก กองทพั พมา่ ไดก้ วาดเอาราษฎรทห่ี นีไม่ทนั และทรพั ยส์ นิ สมบตั กิ ลบั ไป ใน พ.ศ. ๒๒๔๖ เจา้ พระเมอื งราชา เจา้ เมอื งน่านแขง็ เมอื งต่อพม่า พมา่ ยกกองทพั มาเป็น อนั มาก เจ้าพระเมอื งราชาเหน็ เหลอื กาลงั ท่จี ะต่อสู้กอ็ พยพครอบครวั หนีไปเมอื งลานชา้ ง ราษฎรคง ๑ ตอนน้ี เจา้ นรธาชอ่ โอรสพระเจา้ หงษาวดบี เุ รงนอง เป็นเจ้านครเชยี งใหม่ ขน้ึ แกก่ รงุ ศรอี ยุธยา ในรชั สมยั สมเดจ็ พระ นเรศวร ตามอธบิ ายพระราชพงศาวดารของสมเดจ็ ฯ กรมพระยาดารงราชานุภาพกล่าวว่า เจา้ นครเชยี งใหมเ่ กดิ อรกิ บั พระหน่อแกว้ เจา้ กรงุ ศรสี ตั นาคนหุตฯ จงึ ยพุ ระยาน่านใหไ้ ปตเี มอื งเชยี งใหมด่ งั ปรากฏตามพงศาวดารเมือง น่านทกี่ ล่าวแลว้
๑๓ แตกต่นื หนีไปเท่ยี วซ่อนอยตู่ ามดงตามป่าเช่นเคย ครงั้ นัน้ พงศาวดารเมืองน่านกล่าวว่าป้อมปราการ บา้ นเรอื น วดั วาอาราม พระพุทธรปู พระธรรมคมั ภรี ์ เจดยี ส์ ถานตา่ งๆ พม่ากท็ าลายเผาเสยี สน้ิ จนจะ เหลอื ใหไ้ วแ้ ต่พน้ื แผน่ ดนิ เปลา่ ๆ เท่านนั้ ฝา่ ยทางเมอื งเชยี งใหม่นนั้ เลา่ เม่อื พ.ศ. ๒๒๗๑ เจา้ ทองคา ชาวลานชา้ งไดค้ รองเมอื ง เชยี งใหมด่ ว้ ยความรสู้ กึ อนั เดยี วกนั กแ็ ขง็ เมอื งขน้ึ กองทพั พม่ามารบราวบี า้ นเมอื งเดอื ดรอ้ นจลาจลอยู่ เสมอมา จนเสยี เมอื งเชยี งใหม่แก่ขา้ ศกึ ต่อจากนนั้ หวั เมอื งทงั้ หลายต่างกต็ งั้ ซอ่ งควบคุมกนั เป็นหม่เู ป็น เหล่าหลายพวกหลายหมู่ ต่างหมู่ต่างก็รบราฆ่าฟนั กันและกนั ไพร่บ้านพลเมืองกระจัดกระจาย ระส่าระสายจนหาความสขุ มไิ ด้ สมยั กรงุ ธนบุรี สภาพเชน่ น้ไี ดย้ นื ยงคงทนตอ่ มาชา้ นาน จนเมอ่ื ทางอาณาจกั รสยาม พระยาตาก (สนิ ) ได้ ตงั้ เมอื งธนบรุ ขี น้ึ เป็นราชธานี ตงั้ ตวั ขน้ึ เป็นกษตั รยิ ป์ กครองแผ่นดนิ สยามขน้ึ เม่อื พ.ศ. ๒๓๑๐ พระองค์ ไดท้ รงขบั ไล่พมา่ ทเ่ี ขา้ มาปกครองหวั เมอื งไทยออกไปจนสน้ิ เชงิ และปราบปรามเมอื งใหญ่ๆ ทต่ี งั้ ตวั เป็น กก๊ เป็นเหล่าราบคาบในไม่ชา้ ตงั้ แต่นนั้ มาเป็นเวลาท่ไี ทยทาสงครามกบั พม่าเพ่อื ทาลายอสิ รภาพของ ไทยเป็นหลายครงั้ และตพี ม่าปราชยั กลบั ไปทกุ คราว กาละน้ีแสงสวา่ งแหง่ สนั ตสิ ขุ รม่ เยน็ ไดจ้ บั ภมู ภิ าค แห่งสยามทวั ่ แลว้ และยงั จะทอแสงทอดมาสลู่ านนาไทยตอ่ ไป ในท่สี ุด พ.ศ. ๒๓๑๗ กไ็ ด้มาถึงสมเดจ็ พระเจ้ากรุงธนบุรี เสดจ็ กรฑี าทพั มาตไี ด้เมอื ง เชยี งใหม่ก่อนกาลทท่ี พั หลวงใกลจ้ ะมาถงึ ปรากฏในพระราชพงศาวดารวา่ พ้นื แผ่นดนิ ในลานนาไทยก็ ไหวหวนั ่ สะเทอื นเป็นเหตุประหน่ึงวา่ ธรณีลานนาจะทรงพม่าไวแ้ ต่เพยี งกาลจากดั เท่าน้ี และแลว้ ตอ่ มา กองทพั ไทยกข็ บั ไล่พมา่ หนอี อกไปจากลานนา เป็นอนั วา่ อาณาจกั รลานนาได้กลมกลนื เป็นอาณาจกั รอนั หน่ึงอนั เดยี วกบั อาณาจกั ร สยามดารงไวซ้ ง่ึ ชาติ “ไทย” ทต่ี า่ งแยกยา้ ยกนั อยใู่ หเ้ ป็นชาตไิ ทยบรบิ รู ณ์เหมอื นเชน่ เดมิ สบื มาแต่กาละ นนั้ ฝา่ ยขา้ งเมอื งน่าน ในระหวา่ งท่ที พั กรงุ ยกเขา้ ตเี มอื งเชยี งใหม่นนั้ เจา้ มโนเป็นเจา้ เมอื ง น่าน ได้ให้เจา้ น้อยวธิ ูรราชวงศ์เมอื งน่าน ไปในการทพั ของพม่าท่เี มอื งเชยี งใหม่ เม่อื กองทพั ไทยเขา้ เมอื งเชยี งใหม่ไดแ้ ลว้ ไดต้ วั เจา้ น้อยวธิ รู จงึ เกลย้ี กลอ่ มใหเ้ ขา้ สวามภิ กั ดิ ์แลว้ ตงั้ เป็นเจา้ เมอื งน่านขน้ึ ต่อ กรงุ ธนบรุ ตี ่อไป สมยั กรงุ รตั นโกสินทร์ ในตน้ รชั กาลท่ี ๑ พระบาทสมเดจ็ พระพุทธยอดฟ้าจฬุ าโลกมหาราช เมอื งน่านยงั มเี จา้ เมอื งเป็นสองฝา่ ยอยู่ คอื พระยามงคลวรยศเป็นเจา้ เมอื งฝา่ ยกรงุ เทพมหานคร ตงั้ อยทู่ ท่ี ่าปลา ฝา่ ยหน่ึง และเจา้ อตั ถวรปญั โญ (ภายหลงั โปรดเกลา้ ฯ ใหส้ ถาปนาเป็นเจา้ ฟ้า) ผเู้ ป็นหลาน เป็นเจา้ เมอื งฝา่ ย บุ รรตั นองั วะ ตงั้ อยทู่ เ่ี มอื งเทงิ อกี ฝา่ ยหน่ึง ทงั้ น้เี หตุดว้ ยครงั้ ทเ่ี มอื งน่านขน้ึ กรุงเทพฯ เจา้ อตั ถวรปญั โญตก อยใู่ นเมอื งเชยี งแสนกบั พมา่ ภายหลงั เม่อื พ.ศ. ๒๓๒๙ เจา้ อตั ถวรปญั โญลงไปหาพระยามงคลวรยศท่ี เมอื งท่าปลา ขอเขา้ พง่ึ พระบรมโพธสิ มภารในกรงุ เทพมหานคร พระยามงคลวรยศมคี วามยนิ ดี จงึ มอบ
๑๔ บ้านเมืองให้เจ้าอัตถวรปญั โญครองครอง ครงั้ ล่วงมาอีกปีหน่ึงเจ้าอัตถวรปญั โญก็ลงไปเฝ้ า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หวั ยงั กรุงเทพฯ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เจ้าอตั ถวรปญั โญดารง ตาแหน่งเจา้ -เมอื งน่านต่อไปตามเดมิ ในสมยั กรุงเทพมหานคร ตงั้ แต่ พ.ศ. ๒๓๒๕ เป็นต้นมา เมืองน่านมเี จา้ ผู้ครองนคร ๙ คน มรี ายนามดงั ต่อไปน้ี ๑. พระยามงคลวรยศเป็นเจา้ ผคู้ รองในรชั กาลท่ี ๑ เม่อื พ.ศ. ๒๓๒๕ ๒. พระยาอตั ถวรปญั โญ (หลาน ๑) เป็นเจา้ ผคู้ รองในรชั กาลท่ี ๑ เมอ่ื พ.ศ. ๒๓๒๙ ทรง สถาปนาเป็นเจา้ ฟ้าอตั ถวรปญั โญ เมอ่ื พ.ศ. ๒๓๔๗ ๓. พระยาสุมนเทวราช (น้า ๒) เป็นเจา้ ผคู้ รองในรชั สมยั รชั กาลท่ี ๒ เม่อื พ.ศ. ๒๓๕๓ - พ.ศ. ๒๓๖๘ ๔. พระมหามหายศ (บตุ ร ๒) เป็นเจา้ ผคู้ รองนครในรชั กาลท่ี ๓ เมอ่ื พ.ศ. ๒๓๖๘ - พ.ศ. ๒๓๗๘ ๕. พระยาอชติ วงศ์ (บุตร ๓) เป็นเจา้ ผคู้ รองในรชั กาลท่ี ๓ เมอ่ื พ.ศ. ๒๓๗๙ ครองราชย์ ๗ เดอื นกถ็ งึ แก่พริ าลยั ๖. พระยามหาวงศ์ (เป็นญาตทิ างฝา่ ยมารดา) เป็นเจา้ ผคู้ รองนครในรชั กาลท่ี ๓ เม่อื พ.ศ. ๒๓๘๑ - พ.ศ. ๒๓๙๔ ๗. พระยาอนนั ตยศ (บุตร ๒) เป็นเจา้ ผคู้ รองนครในรชั กาลท่ี ๔ ครองราชยร์ ะหวา่ ง พ.ศ. ๒๓๙๕ - พ.ศ. ๒๔๓๔ ทรงสถาปนาเป็นเจา้ อนนั ตวรฤทธเิ ดช เมอ่ื พ.ศ. ๒๓๙๙ ๘. เจา้ สุรยิ พงศ์ผรติ เดช (บุตร ๗) เป็นเจา้ ผคู้ รองในรชั กาลท่ี ๕ เม่อื พ.ศ. ๒๔๓๖ ทรง สถาปนาเป็นพระเจา้ สรุ ยิ พงษ์ผรติ เดช เมอ่ื พ.ศ. ๒๔๔๖ - พ.ศ. ๒๔๖๑ ๙. เจา้ มหาพรหมสุรธาดา (บุตร ๗) เป็นเจ้าผู้ครองนครในรชั กาลท่ี ๖ เม่อื พ.ศ. ๒๔๖๑ ถงึ แกพ่ ริ าลยั เมอ่ื พ.ศ. ๒๔๗๔ เจา้ ผ้ปู กครองน่านทุกท่าน ลว้ นแต่ไดป้ ฏบิ ตั ริ าชการในกรุงเทพมหานครมาแล้วดว้ ยดมี ี ความชอบปรากฏเหมาะสมทุกระยะกาลสมยั เป็นกาลงั ในการทพั ศกึ เสมอดว้ ยวรี ชนผกู้ ลา้ หาญทงั้ หลาย ประกอบด้วยความซ่อื สตั ยส์ ุจรติ ตงั้ มนั ่ อย่ใู นความกตญั ญูกตเวทีต่อพระมหากษัตรยิ แ์ ห่งกรุงรตั น- โกสนิ ทรอ์ ยเู่ ป็นลาดบั มาตลอดกาล การตงั้ เมืองน่านในปัจจบุ นั ไดก้ ลา่ วมาแลว้ ในตอนตน้ วา่ พระยาผากองไดส้ รา้ งเมอื งขน้ึ ใหม่ทบ่ี า้ นหว้ ยไค้ เม่อื พ.ศ. ๑๙๑๑ เมอื งน่านซ่งึ ตงั้ อยู่ ณ บ้านห้วยไค้ ในสมยั ต่อมามตี วั เมอื งเป็น ๒ แห่ง คอื เมอื งเก่า เรยี กว่า “เวยี งใต”้ ตงั้ อย่รู มิ แม่น้าน่านแห่งหน่ึง กบั เมอื งใหม่เรยี กวา่ “เวยี งเหนือ” ตงั้ อยบู่ นดอนขา้ งหลงั เวยี ง เกา่ ถดั ขน้ึ ไปอกี แห่งหน่ึง เหตุทม่ี ตี วั เมอื งสองแห่งนนั้ กลา่ วคอื เรม่ิ แต่พระยาผากองไดม้ าตงั้ เมืองทร่ี มิ แม่น้าน่านน้ีแลว้ เจา้ เมอื งน่านได้ผลดั เปลย่ี นครองเมอื งต่อๆ กนั มาหลายชวั ่ หลายวงศ์ อยมู่ าถึง พ.ศ. ๒๓๖๐ ในรชั กาลท่ี ๒ กรุงรตั นโกสนิ ทร์ เกดิ น้าทว่ มพดั กาแพงเมอื งและวดั วาอารามบา้ นเรอื นในเมอื ง
๑๕ เก่าหกั พงั ลงเป็นอนั มาก พระยาสุมนเทวราช เจา้ เมอื งน่านจงึ ไปสรา้ งเมอื งขน้ึ บนดอนมใิ ห้น้าท่วมถึง ยา้ ยไปอยเู่ มอื งใหมเ่ มอ่ื พ.ศ. ๒๓๖๒ ภมู ฐิ านเมอื งเก่าทป่ี รากฏในปจั จบุ นั ดา้ นตะวนั ออกตงั้ อยรู่ มิ ทอ้ งหลง (ลารางน้า) กาแพง เมอื งหา่ งจากทอ้ งหลง ๔ วา ทอ้ งหลงน้ีเป็นลาน้าน่านเกา่ มลี ารางไปบรรจบกบั แม่น้าน่าน ปจั จบุ นั ทาง ใตท้ บ่ี า้ นดอนและทางเหนือทบ่ี า้ นดอนแกว้ เม่อื ยา้ ยเมอื งจากเวยี งเหนอื กลบั คนื มาตงั้ ทเ่ี วยี งใต้ภายหลงั อกี นนั้ น่านจะเป็นดว้ ยน้าน่านไดก้ ลบั ไปเดนิ ในทางสายใหม่เดยี๋ วน้ีแลว้ ซ่งึ อาจเป็นโดยขุดทางน้าขน้ึ ใหม่กไ็ ด้ เพราะระยะทางท่นี ้าสายใหม่และสายเก่ามาบรรจบกนั นนั้ มรี ะยะเพียง ๑ กโิ ลเมตรเศษๆ เท่านนั้ เมอื งใหม่นนั้ ตงั้ อยทู่ บ่ี า้ นพระเนตร หา่ งจากเมอื งเกา่ ไป ๓ กโิ ลเมตร ตวั เมอื งทอดไปตาม ลาแมน่ ้าน่าน ห่างจากแมน่ ้าประมาณ ๘๐๐ เมตร มเี หตมุ ณฑลแหง่ คเู มอื ง คอื ดา้ นเหนือจดบา้ นน้าลอ้ ม ด้านตะวนั ออกยาวไปตามถนนสุมนเทวราชเดยี๋ วน้ี ด้านใต้จดทุ่งนารนิ ดา้ นตะวนั ตกยาวไปตามแนว ของขอบสนามบนิ ดา้ นนอก เวลาน้ีมแี ตเ่ พยี งซากเมอื งเท่านนั้ เจ้าเมืองน่านตงั้ อย่ทู ่ีเวยี งเหนือสบื กนั มาได้ ๓๖ ปี จนถึงในรชั กาลท่ี ๔ เม่อื พ.ศ. ๒๓๙๘ พระยาอนันตยศ (ภายหลงั ได้เลอ่ื นขน้ึ เป็นเจา้ อนนั ตวรฤทธเิ ดช เจา้ นครน่าน คอื บดิ าของพระ- เจ้าสุรยิ พงศ์ผรตเิ ดช และเจ้ามหาพรมสุรธาดา) จงึ ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตยา้ ยกลบั มา ตงั้ อยทู่ เ่ี มอื งเกา่ และยา้ ยมาเมอ่ื พ.ศ. ๒๔๐๐ เป็นทป่ี ระทบั ของเจา้ เมอื งน่านสบื กนั มาจนบดั น้ี ตวั เมืองน่าน ใน พ.ศ. ๒๔๐๐ กาแพงเมอื ง ตวั เมอื งน่านหนั หน้าเมอื งออกสแู่ มน่ ้าน่านซง่ึ เป็นเบ้อื งตะวนั ออก มกี าแพง ๔ ดา้ น ดา้ น ยาวทอดไปตามลาน้าน่านเป็นรปู สเ่ี หลย่ี มผนื ผา้ ตวั กาแพงสงู จากพน้ื ดนิ ประมาณ ๒ วา มเี ชงิ เทนิ กวา้ ง ๓ ศอก ประกอบดว้ ยในเสมาตรงมุมกาแพงก่อป้อมไวท้ งั้ ๔ แหง่ มปี ืนใหญ่ประจาป้อมๆละ ๔ กระบอก มปี ระตู ๗ ประตู ท่ปี ระตูก่อเป็นซุม้ ประกอบด้วยใบทวารแขง็ แรง กาแพงด้านตะวนั ออกมปี ระตูชยั , ประตูน้าเขม้ ด้านตะวนั ตกมปี ระตทู ่อน้า, ประตูหนองห่าน ดา้ นใตม้ ปี ระตเู ชยี งใหม่, ประตทู่ ่าล่ี มคี ลู อ้ ม ๓ ดา้ น เวน้ ดา้ นตะวนั ออกซง่ึ เป็นลาแม่น้าน่านเดมิ กนั้ อยู่ การก่อสร้างกาแพงเมอื งเม่อื ครงั้ แรกมาตงั้ เมอื งน้ี มเี ร่อื งเล่ากนั สบื มาเป็นทานองเทพ นิยายว่า ครงั้ นนั้ ตกอย่ใู นวสั สนั ตฤดู มโี คอศุภราชตวั หน่ึงวง่ิ ขา้ มแม่น้าน่านมาจากทางทศิ ตะวนั ออก ครนั้ มาถงึ ท่บี ้านห้วยไคก้ ถ็ ่ายมลู และเหยยี บพน้ื ดนิ ท้งิ รอยไว้ เรม่ิ แต่ประตูชยั บ่ายหน้าไปทศิ เหนือแล้ว วกไปทางทศิ ตะวนั ตกเป็นวงกลมสเ่ี หลย่ี มมาบรรจบรอยเดมิ ทป่ี ระตชู ยั แลว้ กน็ ิราศอนั ตรธานไป ลาดบั กาลนนั้ พระยาผากองดารทิ ่จี ะสรา้ งนครขน้ึ ใหม่ ครนั้ ไดป้ ระสบรอยโคอนั หากกระทาไวเ้ ป็นอศั จรรย์ พเิ คราะหด์ กู ท็ ราบแล้ววา่ สถานทบ่ี รเิ วณรอบโคนนั้ เป็นชยั ภมู ดิ ี สมควรทจ่ี ะตงั้ นครได้ จงึ ไดย้ า้ ยเมอื งมา ตงั้ ท่บี า้ นห้วยไคน้ ัน้ และก่อกาแพงฝงั รากลงตรงแนวทางทโ่ี คเดนิ ถ่ายมูลไวม้ ไิ ด้ท้งิ รอยแนวกาแพงจงึ มสิ ู้จะตรงนัก เพราะเป็นกาแพงโดยโคจร เร่อื งน้ีจะมคี วามจรงิ หรอื ไม่เพียงไรกต็ ามเหน็ วา่ เป็นเร่อื ง เก่ยี วกบั ประวตั ขิ องเมอื งน้ี ซง่ึ ชาวเมอื งกย็ งั นิยมเช่อื ถือว่าเป็นความจรงิ และนาเอาคตทิ เ่ี ช่อื วา่ โคเป็น ผบู้ นั ดาลเมอื งมาทารปู โคตดิ ไวต้ ามจวั ่ บา้ นเรอื นเพอ่ื เป็นศริ มิ งคลอยทู่ วั ่ ไป จงึ นามากลา่ วไวด้ ว้ ย
๑๖ ประตเู มอื งเป็นดา่ นสาคญั ชนั้ ในของเมอื ง ในเวลาทบ่ี า้ นเมอื งไมใ่ ครจ่ ะปกตริ าบคาบจงึ ตอ้ ง มกี ารรกั ษากนั แขง็ แรง ประตเู มอื งทงั้ ๗ น้ี มนี ายประตูเป็นผู้รกั ษา มหี น้าทใ่ี นการปิดเปิดประตูตาม กาหนดเวลา คอื ปิดเวลาประมาณ ๒๒.๐๐ น. และเปิดในเวลาประมาณ ๐๕.๐๐ น. ถา้ เป็นเวลาทป่ี ระตู ปิดตามกาหนดเวลาแลว้ จะเปิดใหผ้ หู้ น่ึงผูใ้ ดเขา้ ออกไม่ได้ และทงั้ มอี าชญาของเจ้าผคู้ รองบงั คบั เอา โทษแก่ผู้ท่ปี ีนข้ามกาแพงไว้ด้วย นายประตูเป็นผู้ท่เี จ้าผู้ครองได้แต่งตงั้ ไวไ้ ด้รบั ศกั ดเิ ์ ป็นแสนบ้าง ทา้ วบ้าง มบี ้านเรอื นประจาอยใู่ กล้ๆ ประตูนนั ่ เอง ใหม้ ผี ลประโยชน์คอื ในฤดเู ดอื นยห่ี รอื เดอื นสาม ซ่งึ เป็นฤดูเกบ็ เกย่ี วขา้ ว เจา้ นายทา้ วพญาและราษฎรภายในกาแพงเมอื งทงั้ ปวง เม่อื ขนขา้ วจากนาเขา้ มา ในเมอื งทางประตใู ด กใ็ หน้ ายประตนู นั้ มสี ทิ ธเิ กบ็ กกั ขา้ วจากผ้นู าเขา้ มาไดห้ าบละ ๑ แคลง (ประมาณ ๑ ทะนาน) นอกจากน้ี นายประตูยงั ไดส้ งิ่ ของโดยมากเป็นอาหารจากผทู้ ผ่ี ่านเขา้ ออกประตเู ป็นประจาวนั โดยนาตะกรา้ หรอื กระบงุ ไปแขวนไวท้ ห่ี น้าประตอู นั สดุ แลว้ แต่ใครจะใหอ้ กี ดว้ ย อาชญาของเมอื งทต่ี อ้ งมนี ายประตดู งั กลา่ วแลว้ น้ี ไดเ้ ลกิ ไปเม่อื สมยั พระเจา้ สุรยิ พงษผ์ รติ - เดชเป็นเจา้ เมอื ง ค้มุ - หอคา ตรงใจกลางเมอื งเป็นท่อี ยขู่ องเจา้ ผคู้ รองนคร เรยี กว่าคุ้มหลวงและหอคา “คุ้ม” ตรงกบั ภาษาไทยใตเ้ รยี กว่า “วงั ” คุม้ หลวง กค็ อื วงั ใหญ่นัน่ เอง และ “หอคา” นัน้ ตรงกบั ภาษาไทยใต้เรยี กว่า “ตาหนกั ทอง” อนั สรา้ งขน้ึ ไวใ้ นบรเิ วณคมุ้ หลวงเป็นเคร่อื งประดบั เกยี รตยิ ศ บรรดาเมอื งประเทศราชในลานนาไทยทงั้ ปวง ยอ่ มมบี รเิ วณท่คี มุ้ หลวงสาหรบั เมอื ง ใคร ไดเ้ ป็นเจา้ เมอื งจะเป็นโดยไดส้ บื ทายาทหรอื ไมก่ ต็ าม ยอ่ มยา้ ยจากบา้ นเดมิ ไปอยใู่ นคมุ้ หลวงทกุ คน แต่ ส่วนเหยา้ เรอื นในคุม้ หลวงนนั้ แต่กอ่ นสรา้ งเป็นเคร่อื งไม้ ถ้าเจา้ เมอื งคนใหม่ไม่พอใจจะอย่รู ว่ มเรอื นกบั เจ้าเมอื งคนเก่ากย็ ่อมจะให้รอ้ื ถอนเอาไปปลกู ถวายวดั (ยงั ปรากฏเป็นกุฏวิ หิ ารของวดั ท่เี มอื งน่านบาง แห่ง) แลว้ สงั ่ กะเกณฑใ์ หส้ รา้ งเรอื นขน้ึ อยตู่ ามชอบใจของตน ส่วนหอคานนั้ มไิ ดม้ ที ุกเมอื งประเทศราช เพราะหอคาเป็นเครอ่ื งประดบั เกยี รตพิ เิ ศษสาหรบั ตวั เจ้าผคู้ รอง ต่อเจ้าผคู้ รองเมอื งคนใดไดร้ บั เกยี รติ เศษสงู กวา่ เจา้ ผคู้ รองเมอื งโดยสามญั กส็ รา้ งหอคาขง้ึ เป็นทอ่ี ยเู่ ฉลมิ เกยี รตยิ ศ หอคาเมอื งน่าน เพง่ิ มขี น้ึ เม่อื พ.ศ. ๒๔๐๐ มเี ร่อื งปรากฏในพงศาวดารเมอื งน่านว่าเม่อื พระยาอนันตยศยา้ ยกลบั มาตงั้ อยทู่ เ่ี มอื งเก่าแลว้ ต่อมาอกี ปีหน่ึง พ.ศ. ๒๓๙๙ พระบาทสมเดจ็ พระ- จอมเกลา้ เจ้าอยหู่ วั ทรงพระกรุณาโปรดเกลา้ ฯ ให้สถาปนาพระยาอนันตยศเล่อื นขน้ึ เป็นเจา้ อนันต- วรฤทธเิ ดช เจา้ นครเมอื งน่านมเี กยี รตยิ ศสงู กวา่ เจา้ เมอื งน่านคนกอ่ นๆ ซง่ึ เคยมยี ศเป็นแตพ่ ระยา ฉะนนั้ ในปี พ.ศ. ๒๔๐๐ เจา้ อนนั ตวรฤทธเิ ดชจงึ สรา้ งหอคาขน้ึ และใหเ้ ปลย่ี นช่อื คมุ้ หลวงว่า “คมุ้ แกว้ ” เพ่อื ให้ วเิ ศษเป็นตามลกั ษณะของหอคา หอคาทส่ี ร้างขน้ึ ในครงั้ นนั้ ตวั เรอื นเป็นเคร่อื งไม้ เป็นตวั เรอื นรวมอยใู่ นคุม้ แกว้ ๗ หลงั โดยเฉพาะตวั เรอื นทเ่ี ป็นหอคามหี อ้ งโถงใหญ่ นบั วา่ เป็นทานองทอ้ งพระโรงสาหรบั เป็นทว่ี า่ ราชการ เมอ่ื เจา้ อนนั วรฤทธเิ ดชถงึ แกพ่ ริ าลยั แลว้ เจ้าสุรยิ พงศผ์ รติ เดชไดเ้ ป็นเจ้าผคู้ รองนครเม่อื พ.ศ. ๒๔๓๖ กเ็ ขา้ ไปอยใู่ นคุม้ แกว้ แต่ใหก้ ลบั เรยี กวา่ “คุ้มหลวง” เป็นไปตามเดมิ ครนั้ ล่วงเวลามาอกี ๑๐ ปี ถึง พ.ศ. ๒๔๔๖ พระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอย่หู วั ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้
๑๗ สถาปนาเจา้ สรุ ยิ พงศ์ผรติ เดช จงึ รอ้ื หอคาเกา่ ไปถวายวดั และสรา้ งหอคาเป็นตกึ ขน้ึ แทน ยงั ถาวรอย่มู า จนทุกวนั น้ี ซง่ึ ขณะน้ีทางราชการไดใ้ ชเ้ ป็นพพิ ธิ ภณั ฑส์ ถานแห่งชาตจิ งั หวดั น่าน ภายในบรเิ วณคมุ้ แกว้ มโี รงมา้ โรงแตก๊ โรงแต๊กนนั้ ถอื เป็นทเ่ี กบ็ เคร่อื งอาวธุ หอดาบ งา้ ว ปืนและกระสุนดนิ ดา อนั มไี วส้ าหรบั บา้ นเมอื งในอนั ทจ่ี ะใชใ้ นการทพั ศกึ ณ ลานหน้าคุ้มแก้วเป็นท่ตี งั้ โรงช้าง ซ่งึ เป็นพาหนะท่สี าคญั ของบ้านเมืองในสมยั นัน้ บา้ นเมอื งทเ่ี ป็นเมอื งชนั้ ราชธานี ยอ่ มจะรวบรวมสะสมชา้ งไวม้ ากทุกเมอื ง ยง่ิ เป็นทอ้ งทใ่ี นภาคพายพั น้ี แลว้ ชา้ งเป็นสงิ่ จาเป็นในการลาเลยี งและการทพั ศกึ ในสมยั นนั้ เป็นอนั มาก สนาม ณ เบอ้ื งขวาของคุ้ม ตรงขา้ ววดั พรหมมนิ ทรและทโ่ี รงเรยี นจุมปีวนิดาตงั้ อย่เู ดยี๋ วน้ีเป็น ทต่ี งั้ ศาลาวา่ การบา้ นเมอื ง เรยี กวา่ “สนาม” ถดั ไปเป็นศาลาสุรอยั การ ๒ หลงั (สรุ เพช็ ฌฆาต, อยั การ – คนใช,้ คนเวร) คอื เป็นทส่ี านักของพวกเพช็ ฌฆาต และเป็นทเ่ี กบ็ สรรพเอกสารของบา้ นเมอื ง ซ่งึ มคี น เวรอยปู่ ระจา ถดั ไปเป็นคอก (เรอื นจา) จะไดก้ ลา่ วต่อไปในเร่อื งการปกครอง ฉาง ณ ศาลากลางจงั หวดั เดมิ เป็นท่ตี งั้ ฉางของบา้ นเมอื ง มอี ยู่ ๒ โรงด้วยกนั สาหรบั เป็นท่ี เกบ็ เสบยี งและพสั ดุสง่ิ ของทใ่ี ชใ้ นกจิ การบา้ นเมอื ง เป็นตน้ วา่ จาพวกเสบยี งกม็ ี ขา้ ว เกลอื มะพรา้ ว พรกิ หอม กระเทียม ตลอดจนหมู เป็ด ไก่ ท่ีเป็นๆ สะสมไว้เป็นบางคราว และจาพวกเคร่อื งก็มี ขนั น้ามนั ยาง ขผ้ี ง้ึ ดนิ ประสวิ กระดาษ เป็นตน้ สงิ่ ของเหลา่ น้ีเป็นสง่ิ สาคญั ของบา้ นเมอื ง โดยเฉพาะเสบยี ง เป็นกาลงั ของรพ้ี ลสาหรบั ป้องกนั บา้ นเมอื ง ซง่ึ จะตอ้ งมใี หพ้ รกั พรอ้ มอยเู่ สมอ ทางบา้ นเมอื งไดก้ ะเกณฑ์ เอาสง่ิ ของเหล่าน้ีแก่พลเมอื ง เอามาขน้ึ ฉางไวท้ กุ ปี เรยี กวา่ “หลอ่ ฉาง” บา้ นเรือน ในยุคนัน้ ได้ความว่าเมอื งน่านมภี ูมิฐานบ้านเรอื นเป็นปึกแผ่นคบั คงั ่ แล้ว แต่ภายนอก กาแพงนัน้ เป็นป่ารกอยู่โดยมาก มบี ้านเรอื นเบาบางไม่อุ่นหนาฝาครงั ่ เหมือนภายในกาแพงเมอื งแต่ บา้ นเรอื นนนั้ ไม่ใคร่จะเป็นท่เี จรญิ นกั เพราะเครอ่ื งมอื ทจ่ี ะตดั ฟนั ไมไ้ ม่มมี ากเหมอื นเดยี๋ วน้ี จะทาอะไรก็ ไม่ใคร่สะดวก เป็นต้นว่ากระดานกต็ ้องถากเอาด้วยมดี และขวานเป็นพ้นื ไม่มเี ล่อื ยจะใช้ ราษฎรไม่มี กาลงั พอท่จี ะทาบ้านเรือนดว้ ยเคร่อื งไม้จรงิ ได้ จงึ ต้องทาด้วยไม้ไผ่ เวน้ แต่เจ้านายท้าวพญาผู้ซง่ึ มี อานาจใชก้ ะเกณฑผ์ คู้ นได้ จงึ จะปลกู บา้ นไดง้ ามๆ นอกจากน้ยี งั มกี ฎเกณฑห์ า้ มไวว้ า่ บา้ นเรอื นราษฎรท่ี อยภู่ ายในกาแพงเมอื งกด็ ี ภายนอกกด็ ี จะมุงหลงั คาด้วยกระเบ้อื งไม้ไม่ได้ด้วยถือว่าเป็นการกระทา เทยี บเคยี งหรอื ตเี สมอกบั เจา้ นาย มอี าชญาไวว้ า่ เป็นความผดิ ฉะนนั้ บา้ นเรอื นจงึ มงุ หลงั คาดว้ ยใบพลวง หรอื แฝกเป็นพน้ื วดั วดั วาอารามภายในกาแพงเมอื งครงั้ นัน้ คงมจี านวนเท่ากบั ปจั จุบนั น้ี แต่ส่วนมากเศร้า หมองไม่รุ่งเรอื ง มวี ดั ท่สี าคญั อยู่ ๒ วดั คอื วดั ชา้ งค้ากบั วดั ภมู นิ ทร์ แท้จรงิ กจิ การฝา่ ยพระศาสนาน้ี อาจกลา่ วไดว้ า่ ไดย้ า่ งขน้ึ ส่คู วามเจรญิ นบั แต่ พ.ศ. ๒๔๐๐ เป็นตน้ มา ปรากฏตามพงศาวดารเมอื งน่าน
๑๘ วา่ เจา้ อนนั ตวรฤทธเิ ดช เจา้ ผคู้ รองนครน่าน เป็นผมู้ ากดว้ ยศรทั ธาแกก่ ลา้ ดว้ ยการบรจิ าคในอนั ทจ่ี ะเชดิ ชูพระศาสนาให้รุ่งเรืองเป็นอย่างย่ิง ในชัว้ ชนมายุกาลของท่านจึงเต็มไปด้วยเร่ืองการสร้าง บรู ณะปฏสิ งั ขรณ์โบสถ์ วหิ าร เจดยี สถาน ตามวดั ทงั้ ในเมอื งและนอกเมอื ง และสรา้ งคมั ภรี พ์ ระสูตร พระธรรมขน้ึ ไวเ้ กอื บตลอดสมยั ความเจรญิ ในฝา่ ยพระศาสนาท่มี อี ยใู่ นปจั จุบนั น้ี ย่อมเป็นผลนบั เน่ือง ในเน้ือนาบญุ ของท่านทไ่ี ดป้ ลกู ฝงั ไวด้ ว้ ยดแี ลว้ ส่วนหน่ึง ตลาด การคา้ ขายแลกเปลย่ี นคงกระทากนั แต่ทก่ี าดมวั ่ (ตลาด) แหง่ เดยี วแทจ้ รงิ ทเ่ี รยี กวา่ ตลาด น้ี ยงั ไม่ถูกตอ้ งดี เพราะตลาดในครงั้ นนั้ ยงั ไม่มตี วั เรอื นโรง เพยี งแต่มขี า้ วของอะไรกน็ ามาวางขายกนั ตามสองฟากขา้ งถนนเท่านนั้ ตาบลทน่ี ดั ตลาดอยใู่ นกาแพงเมอื งทถ่ี นนผากองเดยี๋ วน้ีตรงหน้าคมุ้ ขา้ ง วดั ชา้ งค้า นดั ซอ้ื ขายกนั แต่เวลาเชา้ เวลาเดยี ว สง่ิ ของท่นี ามาขายกนั เป็นจาพวกกบั ขา้ วโดยมาก ส่วน รา้ นขายสง่ิ ของนนั้ ปรากฏวา่ ยงั ไมม่ เี ลย ถนน ถนนหนทางในครงั้ นัน้ เท่าท่ีมีควรจะเรียกว่าเป็นตรอกทางเดินมากกวา เพราะมี สว่ นกวา้ ง อยา่ งดกี แ็ ต่เพยี ง ๔ - ๕ ศอก ถนนชนดิ น้ีแต่ภายในกาแพงเมอื งซง่ึ ตดั จากประตหู น่ึงไปยงั อกี ประตหู น่ึง นอกจากน้ีกม็ แี ต่ทางเดนิ ธรรมดา การปกครอง การปกครองของแควน้ น่านสมยั โบราณจะดาเนินโดยวธิ ใี ดหาทราบไม่ นอกจากจะเป็นไป ในทางสนั นิษฐานแต่พอเช่อื ไดว้ า่ คงมคี ตกิ ารปกครองเป็นแบบทเ่ี รยี กวา่ “บดิ าปกครองบตุ ร” (Paternal Government) ข้อน้ีพงึ เหน็ ได้ตามลกั ษณะการท่ปี กครองวา่ ผู้เป็นประมุขวางตนเป็นดงั หน่ึงบดิ าของ ประชาชน เช่นหลกั การปกครองอยา่ งหน่ึงทต่ี กทอดสบื มาจนในชนั้ หลงั ปรากฏในอาณาจกั รหลกั คา (กฎหมายสาหรบั เมอื ง) วา่ ในครวั เรอื น ถ้ามบี ตุ รหลานเป็นคนหยาบชา้ กลา้ คะนอง มกั ประพฤตคิ วามชวั ่ ตา่ งๆ เป็นตน้ วา่ สูบฝ่ิน เสพสุรา เล่นการพนนั เป็นอาจณิ เม่อื หวั หน้าในครวั เรอื นหา้ มปรามสงั ่ สอนไม่ เช่ือฟงั หวั หน้าในครวั เรอื นนัน้ ตงั้ นาผูน้ ัน้ อายดั ให้แก่เจา้ หน้าทป่ี กครอง ให้กระทาการสงั ่ สอนขน้ึ ไป ตามลาดบั จนถงึ ผเู้ ป็นประมุขของบา้ นเมอื ง ดงั น้ีหลกั การปกครองเช่นน้ี แมย้ คุ สมยั จะไดล้ ่วงมาแลว้ ใน การต่างๆ ก็มิได้ลบเลือนไปเสีย ยงั ยนื ยงมาจนกระทัง่ เมืองน่านได้เป็นเมืองประเทศราชของ กรงุ เทพมหานคร เป็นท่นี ่าเสยี ดายท่ไี ม่สามารถจะค้นควา้ หาหลกั ฐานมาประกอบการบรรยายเร่อื งการ ปกครองสมยั โบราณน้ีได้ การปกครองทจ่ี ะนามากล่าว จงึ จาตอ้ งเรม่ิ แตใ่ นสมยั อนั ใกลก้ บั ปจั จบุ นั น้ี การปกครองก่อนการจดั ปันหวั เมืองเป็นมณฑลเทศาภิบาล (พ.ศ. ๒๓๒๕ - พ.ศ. ๒๔๓๕) การปกครองในสมยั ท่นี ามากลา่ วน้ี เป็นเร่อื งการปกครองในสมยั กรุงรตั นโกสนิ ทรอ์ นั เรมิ่ แต่พระยามงคลวรยศเป็นเจ้าผู้ครองเป็นต้นมา รูปของการปกครองเป็นเมืองประเทศราชข้นึ แก่ กรุงเทพมหานคร เจา้ ผคู้ รองนครมอี านาจในการบรหิ ารบา้ นเมอื งทกุ อยา่ ง ตลอดจนการออกกฎหมาย
๑๙ สาหรบั บ้านเมือง การเก็บผลประโยชน์รายได้ในเขตของภูมิภาค เวน้ แต่นโยบายการเมืองกับ ตา่ งประเทศเท่านนั้ ทจ่ี ะตอ้ งปฏบิ ตั ติ ามพระบรมราชโองการโปรดเกลา้ ฯ สงั ่ มา มหี น้าทช่ี ่วยเหลอื ในงาน พระราชสงครามและภายในกาหนด ๑ ปี ตอ้ งนาตน้ ไมท้ องเงนิ และเครอ่ื งราชบรรณาการไปน้อมเกลา้ ฯ ถวายแด่พระมหากษตั รยิ ย์ งั กรุงเทพมหานครครงั้ หน่ึง เพงิ่ มาเลกิ ประเพณีน้ีเสยี เม่อื พ.ศ. ๒๔๕๑ ใน รชั กาลท่ี ๕ น้ีเอง ส่วนการปกครองท้องทภ่ี ายในเขตเมืองนนั้ ได้แบ่งการปกครองออกเป็นหม่บู ้าน ซ่งึ มี แก่บา้ นเป็นหวั หน้า หลายๆหม่บู า้ นเป็นเมอื ง มพี อ่ เมอื งเป็นหวั หน้า และรวมเมอื งเลก็ ๆ เหลา่ น้ีขน้ึ แก่ สนาม ส่วนเมอื งขน้ึ ท่อี ยภู่ ายนอกเขตต่างปกครองตนเองเช่นเดียวกนั แต่เม่อื ครบปีตอ้ งนาส่วยมาส่ง เมอื งน่านเป็นคานบั การจดั ระเบียบการปกครอง ระเบยี บการปกครองฝา่ ยธุรการนนั้ ไดจ้ ดั เป็น “สนาม” เป็นท่วี า่ การบ้านเมอื งอนั มพี ญา แสนทา้ วคณะหน่ึงเป็นผบู้ รหิ าร การงานบ้านเมอื งทุกสงิ่ ทุกอย่าง กจิ การได้ดาเนินสาเรจ็ ไปด้วยการ ประชุมปรกึ ษาเป็นประมาณ การงานทป่ี ฏบิ ตั ใิ นสนามน้ีอาจแบง่ ออกได้เป็น ๒ ลกั ษณะ คอื การงานท่ี ตอ้ งเสนอเจา้ ผู้ครองนครเพ่อื วนิ ิจฉัยและบญั ชาการอย่างหน่ึง และการงานท่เี ป็นไปตามระเบยี บแบบ แผนอนั ไมม่ สี ารสาคญั สามญั สามารถทจ่ี ะกระทาเสรจ็ ไปไดท้ ส่ี นาม โดยไม่ต้องนาเสนอผคู้ รองอกี อยา่ ง หน่ึง คณบดขี องสนามเรยี กวา่ “พญาป๊ีน” คอื พญาผเู้ ป็นใหญ่ในสนาม ๔ นาย กบั ยงั มพี ญาแสนหลวง อน่ื ๆ อกี ซง่ึ เจา้ ผคู้ รองได้แต่งตงั้ ไว้ มศี กั ดจิ ์ ดั ไวเ้ ป็นทาเนียบมาทราบรายนามและจานวนแน่นอนเม่อื เจา้ อนนั ตวรฤทธเิ ดชเป็นผคู้ รองนคร วา่ มรี วมดว้ ยกนั ๑๒ นาย มรี ายนามดงั ต่อไปน้ี พญาปี๊ น ๑.พญาหลวงจ่าแสนราชาไชยอภยั นันทวรปญั ญาวสิ ุทธมิ งคล ปฐมอรรคมหาเสนาบดี เป็นผสู้ าเรจ็ ราชการบา้ นเมอื งทวั ่ ไป และเป็นประธานในขนุ สนามทงั้ ปวง ๒. พญาหลวงอามาตย์ เป็นรองผสู้ าเรจ็ ราชการ ๓. พญาหลวงมนตรี เป็นนายทะเบยี นพล (สุรสั วด)ี ๔. พญาหลวงราชธรรมดลุ ย์ เป็นนายฝา่ ยตลุ าการ พญาชนั้ รอง ๑. พญาหลวงนตั ตยิ ราชวงศา ชว่ ยวา่ การทวั ่ ไป ๒. พญาราชเสนา ชว่ ยวา่ การทวั ่ ไป ๓. พญาไชยสงคราม ช่วยวา่ การทวั ่ ไป ๔. พญาทพิ เนตร ชว่ ยวา่ การทวั ่ ไป ๕. พญาไชยราช ช่วยวา่ การทวั ่ ไป ๖. พญาหลวงราชบณั ฑติ เป็นโหรประจาเมอื ง ๗. พญาหลวงศภุ อกั ษร วา่ การฝา่ ย ๘. พญามรี นิ ทอกั ษร วา่ การฝา่ ย ๙. พญาสทิ ธธิ นสมบตั ิ วา่ การคลงั (เงนิ )
๒๐ ๑๐. พญาราชสาร วา่ การคลงั (เงนิ ) ๑๑. พญาหลวงคาลอื วา่ การคลงั (เงนิ ) ๑๒. พญาหลวงภกั ดี รกั ษาคลงั (พสั ดุ) ฉางขา้ วหลวง ๑๓. พญาราชโกฏ รกั ษาคลงั (พสั ดุ) ฉางขา้ วหลวง ๑๔. พญาราชรองเมอื ง รกั ษาคลงั (พสั ดุ) ฉางขา้ วหลวง ๑๕. พญาราชสมบตั ิ รกั ษาคลงั (พสั ดุ) ฉางขา้ วหลวง ๑๖. พญาอนิ ตะ๊ รกั ษา รกั ษาคลงั (พสั ดุ) ฉางขา้ วหลวง ๑๗. พญานาหลงั รกั ษาคลงั (พสั ดุ) ฉางขา้ วหลวง ๑๘. พญาสทิ ธมิ งคล รกั ษาคลงั (พสั ดุ) ฉางขา้ วหลวง ๑๙. พญาธนสมบตั ิ รกั ษาคลงั (พสั ดุ) ฉางขา้ วหลวง ๒๐. พญาพรหมอกั ษร รกั ษาคลงั (พสั ดุ) ฉางขา้ วหลวง ๒๑. พญาแขก รกั ษาคลงั (พสั ดุ) ฉางขา้ วหลวง ๒๒. พญาสทิ ธเิ ดช ตุลาการ ๒๓. พญานราสาร ตลุ าการ ๒๔. พญาไชยพพิ ธิ ตุลาการ ๒๕. พญาไชยปญั ญา ๒๖. พญานนั ต๊ะปญั ญา นายช่าง นายช่าง ๒๗. พญาธรรมราช ธรรมการ ธรรมการ ๒๘. แสนหลวงเมฆสาคร วา่ การเมอื งฝาย ทางฝา่ ยเจา้ ผคู้ รองนครในการบญั ชาการกจิ การบา้ นเมอื งกม็ คี ณะราชวงศ์ อนั ประกอบดว้ ย เจ้าหอหน้า (อุปราช) เจ้าราชวงศ์ เจ้าราชบุตร เจ้าบุรีรตั น์ ฯลฯ ซ่ึงเป็นเจ้าสัญญาบัตรตัง้ ใน กรุงเทพมหานคร เป็นทป่ี รึกษาอกี คณะหน่ึง มที ว่ี า่ การอยภู่ ายในหอคา เม่อื กจิ กรรมบา้ นเมอื งเร่อื งใด ตกมาถงึ คณะทป่ี รกึ ษาน้ีและยตุ โิ ดยบรหิ ารเหน็ ชอบของเจา้ ผ้คู รองแลว้ กเ็ ป็นอนั เดด็ ขาดบงั คบั ไปตาม กรณีนนั้ ๆ ไดท้ เี ดยี ว ลกั ษณะการจดั การบา้ นเมอื งในรอบกาลสมยั ทก่ี ล่าวน้ี ทส่ี มควรนามากลา่ วกค็ อื ๑. การทพั ๒. ผลประโยชน์ของบา้ นเมอื ง ๓. ทาส ๔. ตุลาการ ๑. การทพั หลกั การปกครองของบา้ นเมอื งมขี อ้ สาคญั อยู่ ๒ ขอ้ คอื อาชญาของเจา้ ผคู้ รองนครขอ้ หน่ึง กบั การทบ่ี งั คบั ใหบ้ รรดาชายฉกรรจใ์ หม้ าช่วยกนั ป้องกนั บา้ นเมอื งในเวลามศี กึ สงครามขอ้ หน่ึง อาชญา นนั้ มคี วามหมายตามทค่ี ตปิ กครองแบบน้ีวา่ เป็นคาสงั ่ คาบงั คบั บญั ชาของผเู้ ป็นประมุขทจ่ี ะใช้ในการ ปกครองบ้านเมอื งได้โดยใช้สทิ ธขิ าด อย่างท่เี รยี กว่า “อาชญาสทิ ธิ”์ ผู้ใดฝา่ ฝืนยอ่ มไดร้ บั โทษถงึ ๒
๒๑ ประการ คอื โทษอนั ผดิ ต่อกฎหมายของบา้ นเมอื งประการหน่ึง และโทษอนั ผดิ ตอ่ อาชญาของเจา้ ผคู้ รอง นครอนั มลี กั ษณะคล้ายพระบรมราชโองการของพระเจา้ แผ่นดนิ อกี ประการหน่ึง เหตุทเ่ี จา้ ผู้ครองนคร ทรงไวซ้ ง่ึ อาชญาและหน้าท่รี บั ผดิ ชอบในการรกั ษาบา้ นเมอื งเช่นน้ี หน้าทข่ี องพลเมอื งจงึ ตอ้ งเจรญิ รอย โดยบรหิ ารของผู้เป็นประมุขทุกประการ ส่วนท่สี าคญั ยงิ่ กค็ ือหน้าท่ใี นการป้องกนั บ้านเมอื ง ซ่งึ จะ หลกี เลย่ี งเสยี มไิ ด้ ฝ่ายชายฉกรรจ์มอี ายุได้ ๒๐ ปีบรบิ ูรณ์ต้องข้นึ ทะเบียนเป็น “ลูกจุ๊” เข้าสังกัดอย่ใู น เจา้ นายท้าวพญาคนใดคนหน่ึงจะลอยตวั อยไู่ ม่ได้ มหี น้าท่รี บั ใชส้ อยกจิ การในสงั กดั มูลนายของตนไป จนกวา่ อายุได้ ๖๐ ปี จงึ ปลด หรอื มฉิ ะนนั้ กต็ อ่ เม่อื มบี ุตรมารบั ใชก้ ารงานได้ ๓ คนแลว้ เม่อื ชายฉกรรจ์ เขา้ สงั กดั เป็นลกู จุ๊ของผนู้ นั้ อยตู่ ลอดไป จะยา้ ยมลู นายผตู้ น้ สงั กดั ไดก้ ต็ อ่ เมอ่ื ไดร้ บั อนุญาตจากสนาม บรรดาผู้ท่จี ะรบั เป็นลกู จุ๊เอามาเขา้ สงั กดั ในตนได้ โดยเฉพาะตอ้ งเป็นเจา้ นายหรอื ทา้ ว พญาในสนามเท่านนั้ ในเวลาปกตลิ กู จกุ๊ อ็ ยตู่ ามถิ่นฐานบา้ นช่องของตนไม่ตอ้ งเขา้ มาประจาทางานใน เมอื งมกี าหนดเวลาเป็นแน่นอน นอกจากบางคราวจะถกู มลู นายเรยี กมาใช้กจิ การเป็นครงั้ คราว การท่ี มูลนายจะใชล้ กู จุ๊ใหท้ ากจิ การนัน้ ไม่จากดั วา่ จะตอ้ งเป็นกจิ การฝา่ ยบา้ นเมอื งแต่อยา่ งเดยี ว ย่อมใชไ้ ด้ ตลอดถงึ การส่วนตวั ทกุ สง่ิ ทกุ อยา่ งดว้ ย เช่น ในการทานา ปลกู สรา้ งบา้ นเรอื น เป็นตน้ อกี ประการหน่ึง ควรกล่าวได้ว่า พวกลูกจุ๊ท่ีเป็นผลประโยชน์ของผู้เป็นมูลนายอย่างยงิ่ เพราะนอกจากจะได้อาศยั แรงงานของผลู้ กู จุ๊กไ็ ด้รบั ผลแต่เพยี งได้รบั ความคุม้ ครองของมูลนายในคราวเม่อื มที ุกขร์ อ้ น เช่น ถูก พวกอ่นื รบกวนเบยี ดเบยี นโดยไม่เป็นธรรม หรอื ในคราวท่มี คี ดคี วามเกดิ ขน้ึ เป็นตน้ ฉะนนั้ ผทู้ เ่ี ป็นมูล นายต้องตงั้ บุคคลอีกพวกหน่ึงเรยี กวา่ “หวั หมวด” ไวต้ ามละแวกถ่ินฐานทล่ี ูกจะ๊ ตงั้ บ้านเรอื น สาหรบั เรยี กลกู จุ๊ในเมอ่ื ตอ้ งการตวั ไดโ้ ดยสะดวกและพรกั พรอ้ ม ในเวลามกี ารทพั ศกึ เกดิ ขน้ึ เม่อื ต้องการกาลงั กองทพั เป็นจานวนคนเท่าใด เจา้ ผู้ครอง นครกเ็ กณฑค์ นเอาแก่มลู นายทม่ี ลี ูกจุ๊เฉลย่ี เอาตามส่วน ส่วนผทู้ ่จี ะคุมกองทพั นนั้ ถ้าเป็นการสาคญั เจา้ ผคู้ รองนครกเ็ ป็นผู้ไปเอง หรอื ถ้าไม่สาคญั กใ็ หเ้ จ้านายในวงศส์ กุลหรอื ทา้ วพญาผใู้ ดผ้หู น่ึงควบคุมไป ตามแตจ่ ะเหน็ สมควร เร่อื งของลกู จุ๊น้ี สาหรบั เจ้าผู้ครองนครไม่จาเป็นต้องมไี ว้ เพราะมอี าชญาเกณฑ์เอาได้ เวลาปกตเิ จา้ ผคู้ รองนครจงึ มคี นอกี จาพวกหน่งึ สาหรบั ใชส้ อยและอยเู่ วรยามรกั ษาคมุ้ โดยเฉพาะเรยี กว่า คน “เจา้ ใชก้ ารใน” ๒. ผลประโยชน์ของบา้ นเมอื ง การทามาหากนิ ของราษฎรในเมอื งน่านทก่ี ระทากนั มากและเป็นอาชพี สว่ นใหญ่กค็ อื การ ทานา แตท่ างบ้านเมอื งมไิ ดเ้ กบ็ อากรคา่ นา ฉะนนั้ ราษฎรในเขตเมอื งชนั้ ใน เม่อื ทานาได้ขา้ วจงึ ตอ้ งแบ่ง ขา้ วส่งมาขน้ึ ฉางหลวง เรยี กวา่ “หล่อฉาง” เพ่อื เกบ็ ไวเ้ ป็นเบยี งสาหรบั บา้ นเมอื งสารองไวใ้ นคราวเกดิ ทพั ศกึ และตอ้ นรบั แขกเมอื ง หรอื ใหพ้ ลเมอื งยมื ในปีทท่ี านาไม่ไดข้ า้ ว การเกบ็ ขา้ วเพ่อื หล่อฉางน้ี เกบ็ แต่ผทู้ ม่ี คี รอบครวั แลว้ เป็นขา้ วครอบครวั ละ ๓ หม่นื (สดั ) ส่วนราษฎรในเขตเมอื งชนั้ นอกอนั อยไู่ กลจะ ส่งขา้ วมาหล่อฉางเป็นความลาบากมาก แต่เพราะว่าเมอื งเหล่านนั้ เป็นท่เี กดิ หรอื มสี ่งิ ของบางอย่างท่ี บา้ นเมอื งตอ้ งการใช้ เช่น มูลค้างคาว ชนั น้ามนั ยาง กระดาษ เกลอื ฯลฯ จงึ เกณฑ์เอาสงิ่ ของเหล่าน้ี
๒๒ แก่ราษฎรในท้องท่นี นั้ ๆ ตามสมควร ส่งมาแทนขา้ ว เรยี กวา่ “ส่วยหล่อฉาง” หรอื “ส่วยบารุงเมอื ง” เมอื งน่านมสี ่วนเกลอื มาจากเมอื งบ่อปีละ ๗ ลา้ น ๗ แสน ๗ หมน่ื (น้าหนกั ๓๑๐ ๒/๕ หาบ) ส่วนดนิ ประสวิ จากเหมอื งยอดเมอื งสะเกนิ ปีละ ๒๐ หาบ เมอื งมนิ บ้านหวั เมอื ง (ท้องท่อี าเภอนาน้อย) ปีละ ๓๐ หาบ ส่วนเหลก็ จากเมอื งอวน ปีละ ๓๐ หาบ บ้านววั แดง (ท้องท่อี าเภอสา) ปีละ ๒๐ บาท (การตี เหลก็ เป็นอาวุธหอกและดาบและซอ่ มแซมอาวธุ เป็นหน้าท่ขี องราษฎรในบ้านกน้ ฝาย (ฝายมูล) ทอ้ งท่ี อาเภอท่าวงั ผาและบา้ นหว้ ยลบั มนื ทอ้ งทอ่ี าเภอสา นอกจากน้ียงั มสี ่วยขผ้ี ง้ึ จากเมอื งขน้ึ ทางฟากแม่น้า โขงอกี ปีละ ๑๒ หาบ กบั คน ๓๐๐ คน สาหรบั ทาฝายทุกเมอื ง ๓. ทาส ลกั ษณะการเป็นทาสมคี ตสิ บื เน่ืองมาจากคมั ภรี พ์ ระธรรมศาสตรอ์ นั โบราณราชกษตั รยิ ไ์ ด้ ทรงบญั ญตั ไิ วเ้ รยี กว่านาธงชยั ไปรบศกึ แล้วได้มาเป็นทาสเชลยหน่ึง ทาสซ่งึ ไถ่มาด้วยทรพั ย์หน่ึง ลกั ษณะทาสทม่ี อี ยใู่ นพน้ื เมอื งน่านกเ็ ป็นอยดู่ งั กล่าวมาแลว้ ดงั จะนามากล่าวพอเป็นเคา้ คอื ๓.๑) ทาสเชลย เป็นคนซ่งึ แต่ก่อนมาเจา้ นายและกรมการเมอื งไดไ้ ปรบตเี มอื งสบิ สอง ปนั นาเมอื งเวยี งจนั ทรไ์ ด้ แล้วกวาดตอ้ นครอบครวั มาแบง่ ปนั เป็นความชอบของแมท่ พั นายกองเรยี กวา่ “คา่ ปลายหอกงาชา้ ง” มบี ุตรหลานสบื ต่อมาเรยี กกนั วา่ “คา่ หอคนโรง” อนั ชอ่ื วา่ ทาสไดม้ าแต่ครงั้ ปแู่ ละ บดิ าสบื มา คา่ หอคนโรงเหล่าน้ีมอี ายุ ๑๐ ขวบขน้ึ ไปมคี ่าตวั ชาย ๖๒ รเู ปีย หญิง ๖๒ รเู ปีย ถ้าอายตุ ่า กวา่ ๑๐ ขวบ คดิ คนหน่ึงขวบละ ๕ รเู ปีย ตามจานวนอายผุ ู้เป็นนายถือวา่ เป็นกรรมสทิ ธเิ ์ ดด็ ขาดมี อานาจทจ่ี ะขายทาสเหลา่ น้ีไดท้ งั้ สน้ิ บรรดาทาสเชลยจะมบี ุตรหลานสบื ทอดออกไปอกี เท่าใดกด็ กี ค็ งเป็น ทาสเชลยทงั้ สน้ิ และผูเ้ ป็นนายกร็ บั มรดกกนั สบื มา ผู้ท่เี ป็นมูลนายจะยกทาสเชลยใหแ้ ก่ผ้ใู ดกไ็ ด้เม่อื ทาสเชลยไดน้ าเงนิ มาไถ่คา่ ตวั ตามราคาจงึ จะพน้ ความเป็นทาส ๓.๒) ทาสสินไถ่ คอื ทาสทน่ี ายเงนิ ไดอ้ อกมาไถ่ ถา้ ทาสไมม่ เี งนิ มาใหแ้ กน่ ายเงนิ ครบค่า แลว้ กไ็ มม่ เี วลาทจ่ี ะพ้นยากจากทุกขเ์ ป็นไทยได้ ฝา่ ยลกู ทาสทซ่ี ง่ึ เกดิ แต่ทาสสนิ ไถ่นนั้ ถ้าเกดิ ในเรอื น เบย้ี พอเกดิ มาในเรอื นทาสมคี ่าตวั อยเู่ รอ่ื ยไป ทาสทงั้ สองจาพวกน้ี ได้มวี ธิ กี ารลดหยอ่ นผ่อนผนั ให้เส่อื มคลายลง นับแต่ได้ทรงพระ กรุณาโปรดเกลา้ ฯ ให้ใช้พระราชบญั ญตั ทิ าสในมณฑลตะวนั ตกเฉียงเหนือ ร.ศ. ๑๑๙ ในรชั กาลท่ี ๕ และต่อมาไดท้ รงพระกรุณาโปรดเกลา้ ฯ ตราพระราชบญั ญตั ทิ าส ร.ศ. ๑๒๔ ขน้ึ อกี เป็นคารบสอง และ การทเ่ี ป็นทาสไดเ้ ลกิ เดด็ ขาดไปเมอ่ื หลงั แตไ่ ดป้ ระกาศพระราชบญั ญตั นิ ้ีในมณฑลพายพั ในรชั กาลท่ี ๖ ร.ศ. ๑๓๑ แลว้ เป็นลาดบั มา ทงั้ น้ีเป็นพระมหากรณุ าธคิ ุณแก่ประชาชนชาวไทยเป็นลน้ เกลา้ ฯ ๔. การตลุ าการ กฎหมายทบ่ี ญั ญตั ขิ น้ึ ไวใ้ ชส้ าหรบั ภายในบา้ นเมอื งเรยี กว่า “อาณาจกั รหลกั คา” แต่เดมิ มาได้ทราบว่าเคยใช้คมั ภรี พ์ ระธรรมศาสตรแ์ ละราชศาสตร์ ซ่งึ เป็นหลกั กฎหมายในอนิ เดยี เหมอื นกนั อาณาจกั รหลกั คาเพงิ่ จะมาตงั้ ขน้ึ ในชนั้ หลงั โดยถือหลกั จากกฎหมายทก่ี ล่าวแล้วบ้าง กบั เหตุการณ์ท่ี เกดิ ขน้ึ ตามสภาพบ้านเมืองบ้าง แต่แปลกท่มี ีบทบญั ญตั บิ ทลงโทษและคาสงั ่ สอนรวมคละปะปนไป ดว้ ยกนั แต่อยา่ งไรกด็ ี กฎหมายน้ีศกั ดสิ ์ ทิ ธทิ ์ ส่ี ดุ เพราะแม้แต่ความผดิ เลก็ น้อยอาจถกู ประหารชวี ติ ได้
๒๓ ปรากฏว่าเมืองน่านในยุคนัน้ สงบเรียบร้อยเป็นอย่างดี อาจกล่าวได้ว่าได้เป็นนิสยั ปจั จยั สืบต่อมา จนกระทงั ่ บดั น้ี วธิ พี จิ ารณาในประเภทความอาชญาอกุ ฉกรรจค์ งดาเนนิ อย่างวธิ ที จ่ี ะแคะไคเ้ อาความจรงิ ดว้ ยการทรมานให้สารภาพตามลกั ษณะท่เี รยี กวา่ “จารตี นครบาล” เหมอื นอย่างเมืองทงั้ ปวงในสมยั เดยี วกนั เม่อื คดตี กถงึ สนาม ขนุ สนาม ๓๒ นาย พจิ ารณาเป็นรปู เร่อื งเหน็ วา่ ใครผดิ ใครถูกแพ้ชนะกนั อยา่ งไรแล้ว กพ็ รอ้ มกนั ลงความเหน็ ในการทจ่ี ะปฏบิ ตั ใิ หเ้ ป็นไปตามผลทไ่ี ดพ้ จิ ารณาตามบทบญั ญตั ใิ น อาณาจกั รหลกั คาลงในพบั ดา (สมุดดา) หรอื แผน่ กระดาษดา แลว้ นาขน้ึ ไปอ่านถวายเจา้ ผคู้ รองนครอนั พรอ้ มดว้ ยคณะทป่ี รกึ ษาหอคา เมอ่ื เจา้ ผคู้ รองนครและคณะไดพ้ จิ ารณาเหน็ ว่าจะควรชโ้ี ดยสถานใดแลว้ เจา้ ผคู้ รองนครกช็ ข้ี าดบญั ชาใหบ้ งั คบั เป็นไปตามดว้ ยสถานนนั้ ๆ ส่วนความแพ่งนนั้ วธิ พี จิ ารณาคงดาเนนิ ไปในทางอนั เดยี วกนั เวน้ แต่การไต่สวนไม่ใช่ เคย่ี วเขญ็ เอาตามจารตี นครบาล แตถ่ ้าเป็นความทก่ี ากวมหรอื คลุมเครอื ซง่ึ คณะตลุ าการไมส่ ามารถชผ้ี ดิ ชถ้ี ูกด้วยกฎหมายไดแ้ ลว้ กม็ วี ธิ ตี ดั สนิ ดว้ ยการใหค้ ่คู วามทนต่อการสาบานหรอื การพสิ ูจน์อย่างใดอยา่ ง หน่ึงในการพสิ จู น์นนั้ อาจเป็นดว้ ยการใหเ้ อาน้ิวมอื จม้ิ ตะกวั ่ ทล่ี ะลาย หรอื เสย่ี งเทยี น หรอื วธิ ที จ่ี ะยงั ความ ครนั ่ ครา้ มให้แก่ผทู้ ุจรติ อ่นื ใดก็ได้ ซง่ึ หวงั ในความศกั ดสิ ์ ทิ ธบิ ์ นั ดาลของพระและเทพเจ้าเป็นใหญ่ สุด แลว้ แตผ่ พู้ พิ ากษาจะเหน็ สมควร เมอ่ื ผใู้ ดชนะการพสิ จู น์กต็ ดั สนิ ใหเ้ ป็นผชู้ นะคดี มเี กรด็ ของเร่อื งน้ีอย่เู ร่อื งหน่ึงกล่าวกนั วา่ มผี ้พู พิ าทกนั ด้วยเร่อื งต่กู รรมสทิ ธกิ ์ ระบอื กนั ขน้ึ เร่อื งหน่ึง ผลของการพิจารณาตุลาการไม่สามารถท่จี ะช้ใี ห้ไดว้ ่ากระบอื ตวั นนั้ เป็นของผู้ใดเพราะ น้าหนักคาให้การของค่คู วามรบั กนั ในเร่อื งลกั ษณะของกระบือเท่าๆ กนั ผลท่สี ุด จงึ ให้โจทก์จาเลย กระทาพธิ สี าบาน และพสิ จู น์ดว้ ยการเสย่ี งเทยี นกนั ต่อหน้าพระพุทธรปู องคห์ น่ึง ขอ้ ตกลงมวี า่ ถ้าเทยี น ของ ผู้ใดดบั กอ่ นผู้นนั้ กแ็ พ้แก่ความสตั ยจ์ รงิ และจะตดั สนิ ใหอ้ กี ฝา่ ยเป็นผชู้ นะ เทยี นนนั้ ไดค้ วนั ่ ขน้ึ จากขผ้ี ง้ึ มนี ้าหนักเท่ากนั เสน้ ด้ายไสเ้ ทยี นก็นับมจี านวนเท่ากนั การพสิ ูจน์ปรากฏว่าโจทก์ชนะเพราะ เทยี นจาเลยดบั ก่อน ตุลาการจงึ จะพจิ ารณาพพิ ากษาคดใี หเ้ ป็นไปตามขอ้ ตกลงนนั้ จาเลยไม่ยอมกลบั พดู วา่ “พระองคน์ ้อยเกดิ เม่อื วามาเมอ่ื ซนื จะไปฮ้ฮู ตี บา้ นกองเมอื งหยงั ” เพ่อื จะบงั คบั คดใี ห้เป็นไปโดย ละมอ่ มและใหจ้ าเลยจานนแก่การพสิ ูน์จรงิ ๆ ตุลาการกย็ อม จงึ ให้คคู่ วามไปทาการพสิ ูจน์กนั ใหม่อกี ครงั้ หน่ึง ครงั้ น้ีเลอื กกระทากนั ตอ่ หน้าพระพุทธรปู องคห์ น่ึงใหญ่ทส่ี ดุ ทม่ี อี ยใู่ นเมอื งทเี ดยี ว ผลการพสิ จู น์ ครงั้ น้ีปรากฏวา่ จาเลยชนะ โจทกก์ ลบั มเี สยี งขน้ึ บา้ งวา่ “สส่ี บิ ลมื หน้า หา้ สบิ ลมื หลงั เฒ่าชะแร แกอ่ อกล้า เยยี ใดจกั จาได”้ ในทส่ี ุดกระบอื ตวั นนั้ เลยตดั สนิ ใหต้ กเป็นกระบอื ของหลวง ได้คดั ส่วนหน่ึงของอาณาจกั รหลกั คาลงไว้ สาหรบั ท่านทส่ี นใจต่อคตธิ รรมโบราณของ จงั หวดั น่านดว้ ย อาณาจกั รหลกั คา พระราชกถาสมเดจ็ พระเชษฐบรมราชาอนนั ตยศวรราชเจ้า องคเ์ ป็นอสิ สราธบิ ตั ตอิ งค์ เป็นเจา้ แก่รฐั ประชาในไชยนนั ทเทพบุรนี ครราชธานีนครเมอื งน่าน มพี ระราชกรุณาแก่มหาขตั ตยิ ราช วงษาและทา้ วพญาราชเสวกาผู้ใหญ่ผู้น้อยทงั้ มวล วา่ โบราณราชวรปิตตุจฉาองคเ์ ป็นน้าได้เสวยราช สมบตั ิ เป็นเจ้าแก่รฐั ประชามาช้านาน กเ็ ป็นเถิงแก่กรรมนาตนไปสู่โลกภายหน้า ละสถานบา้ นช่อง
๒๔ บา้ นเมอื งและเราท่านทงั้ หลายเสยี แลว้ ครนั้ อย่มู าเถงิ จลุ ศกั ราช ๑๒๑๔ ตวั เดอื นเจด็ ออกสามค่า ตวั เราจึงได้พาเอาขตั ติยราชวงษาและขุนเสนาอามาตย์ล่องลงไปเฝ้ าพระมหากษัตริย์เจ้า ณ กรงุ เทพมหานคร แลว้ จงึ มพี ระมหากรุณาโปรดเหนือเกลา้ เหนือกระหม่อม หอ้ื ตวั เราไดเ้ ป็นเจ้าไดเ้ สวย ราชสมบตั สิ บื ราชตระกลู วงษาเป็นเจ้าแผ่นดนิ ในเมอื งนานรกั ษาราชตระกลู วงษารฐั ประชานครสถาน บ้านเมอื ง และวรพุทธ-ศาสนา ให้การกุ่งรุ่งเรอื งให้อย่เู ยน็ เป็นสุขสืบต่อไปภายหน้า ตามดงั โบราณ ประเพณีอนั มมี าแต่ก่อนนนั้ โปรดประการน้ี บดั น้ีเราเป็นเจ้ามาราพงึ เลง็ หนั วรพุทธศาสนานครสถานบ้านเมอื งแห่ง เราทงั้ หลาย ทุกวนั มาน้ี หนภายนอก มเี จา้ นายทา้ วขนุ ไพร่ไทยทงั้ หลาย ผบู้ ่ดสี มคบกบั ดว้ ยกนั กระทา เป็นโจรกรรมอนั บด่ ี ไปลกั เอาววั ควายของท่าน ลกั ทางเหนือเอาไวท้ างใต้ ลกั ทางใตเ้ อาไปไวท้ างเหนือ ลกั ทางวนั ตกเอาไปไวว้ นั ออก ลกั ทางวนั ออกเอาไปไวว้ นั ตก แลเอาของท่านไปซุ่มซ่อนไว้ ปาดหูตดั เขาเหมียด๑หมาย เสยี ใหม่ เพ่อื จกั หอ้ื ของท่านสาปสูญแล้วเอาเป็นของตวั อน่ึงไปซอ้ื เอามาฆ่ากิน อน่ึงสมคบกนั เล่นแท่นเล่นเบย้ี เล่นหมากแกวเล่นพนันขนั ต่อกนั เอาสรรพสงิ่ ของเงนิ ทองกนั ลวดเป็น หน้ีเป็นสนิ กบั ดว้ ยกนั หาสง๒ จะใชแ้ ทนบ่ได้ ลวดสมคบกนั เป็นโจรไปลกั เอาสง่ิ ของแห่งท่าน อน่ึงดว้ ย ผ้คู นทงั้ หลายก็ดี อนั เป็นร้าง๓ เป็นบ่าว๔ ก็ดี แอ่ว๕ ค่ามาคืน แอ่วร้างจา๖ สาว ถือศาสตราอาวุธ กระทาตวั แปลกปลอม บ่ห้อื รู้บ่ฮ้อื หนั หน้า บ่ห้ือรู้จกั ว่าเป็นผู้รา้ ยผู้ดี ในกรรมทงั้ หลายฝูงน้ีจกั พาให้ บา้ นเมอื งวนิ าศฉบิ หายและรอ้ นรนแก่รฐั ประชาบา้ นเมอื งตอ่ ๆ ไปมเี ป็นหลายประการต่างๆ เหตุนนั้ เรา เป็นเจา้ จงึ ปงพระราชอาญาไวแ้ ก่เจา้ พระยามหาอุปราชาหอหน้า หอ้ื หาเจา้ นายพน่ี ้องขตั ตยิ ราชวงษาแล ลูกหลาน ท้าวพญาเสนาอามาตย์ผู้ใหญ่ผู้น้อยทงั้ มวลมาพร้อมกนั ปรกึ ษาพิจารณาแลตงั้ พระราช อาชญาเป็นราชอาณาจกั รกดขส่ี งั ่ สอนบาปบุคคลผบู้ ่ดี อยา่ หอ้ื เป็นเส้ยี นหนามแก่แผ่นดนิ ร้อนรนแก่ บา้ นเมอื งแห่งเราแลรฐั ประชาตอ่ ๆ ไป เพ่อื ใหว้ รพทุ ธศาสนาแลบา้ นเมอื งแห่งเราน้ีหอ้ื ไดอ้ ยเู่ ยน็ เป็นสุข พง่ึ ดว้ ยเดชบุญคณุ แห่งเราทงั้ หลายสบื ตอ่ ไป วา่ ฉะน้ี ครนั้ อยมู่ าเถงิ จุลศกั ราชเดยี วน้ี เดอื นเจยี งแรม ๑๐ ค่า เจา้ มหาอุปราชาหอหน้า จงึ ไดห้ า เอาเจ้านายพ่นี ้องขตั ตยิ ราชวงษาลกู หลาน แลท้าวพญาเสนาอามาตยข์ น้ึ ปรกึ ษาพรอ้ มกนั ยงั โรงไชย เจา้ พระยาหอหน้าปรกึ ษากนั พจิ ารณาดว้ ยอนั จกั ตงั้ พระราชอาณาจกั รนนั้ ตกลงแลว้ ครนั้ เถงิ เดอื นยอ่ี อก ๑ ค่า มีเจ้าพระยาอุปราชาหอหน้าเป็นประธาน และเจ้าพระยาราชบุตร เจ้าพระยาศรีสองเมือง เจ้าพระยาสุรยิ พงษ์ เจ้าพระยาวงั ซ้าย เจ้าพระยาวงั ขวา เจ้าพระยาอริยวงษา เจ้าพระยาเทิง เจา้ พระยาเมอื งราชา เจา้ พระเมอื งแกว้ เจา้ พระเมอื งน้อย เจา้ พระวไิ ชยราชา เจา้ เมอื งเชยี งแขง เจา้ เมอื งเชยี งของ เจา้ เมอื งเลน เจา้ ราชวงษ์เมอื งเลน เจา้ เมอื งหลวง เจ้าเมอื งเชยี งลาบ เจา้ เมอื งภูคา เจ้าเมืองล้า แลขตั ยิ ราชวงษา ท้าวพญาเสนาอามาตยร์ าชเสวกผู้ใหญ่ผู้น้อยทงั้ มวลพร้อมกนั เอา เน้ือความปรกึ ษาตงั้ ราชอาชญานนั้ ขน้ึ กราบหลอง๗ เถงิ ราชสานกั เราเป็นเจา้ แลว้ จงึ ไดพ้ รอ้ มกนั ตงั้ พระ ราชอาชญาไวห้ อ้ื เป็นอาณาจกั รหลกั คา ไวส้ งั ่ สอนหา้ มปรามเจา้ นายทา้ วขนุ ลกู หลานไพร่ไทยทงั้ หลาย อยา่ กระทากรรมอนั บ่ดสี บื ตอ่ ไปภายหน้าวา่ ตงั้ แต่ศกั ราช ๑๒๑๔ ตวั ปีเตา่ ไจเ้ ดอื นย่ี ออก ๑ ค่า วนั พธุ น้ี ไป
๒๕ ภายหน้าหา้ มอยา่ หอ้ื เจ้านายท้าวขนุ ไพร่ไทยทงั้ หลายได้สมคบกนั กระทากรรมบด่ ี เป็น โจรลกั เอาทรพั ยส์ งิ่ ของเงนิ ทองแลชา้ งววั ควายของท่านไปฆ่ากนิ กด็ ี ลกั เอาไปขายเสยี กด็ ี ลกั เอาไป เหมยี ดหมายเสยี ใหม่กด็ ี อน่ึงซอ้ื เอามาฆ่ากนิ กด็ ี ผจู้ กั ขายกร็ วู้ า่ ทา่ นจกั เอามาฆ่ากนิ แลว้ ป้ อย๘ ขายหอ้ื ก็ ดใี นกรรมทงั้ หลายมวลฝงู น้ีอยา่ หอ้ื ไดก้ ระทาเป็นอนั ขาด คนั ว่า๙ บุคคลผใู้ ด ไปลกั เอาควายทา่ นมาฆ่ากนิ จกั เอาตวั ใส่ราชวตั ร๑๐ ไวแลว้ หอ้ื ใชค้ ่า ควายตามราคา แลว้ จกั เอาตวั ไปฆา่ เสยี บห่ อ้ื เป็นเสย้ี นหนามแกแ่ ผ่นดนิ ตอ่ ไป คนั วา่ ลกั เอาควายท่านขายเสยี กด็ ี ลกั เอาไปตดั เขาปาดหเู หมยี ดหมายเสยี ใหม่กด็ ี โทษ เสมอกนั จกั เอาตวั เขา้ ใส่ราชวตั รไว้ คนั วา่ ไดข้ องเกา่ คนื หอ้ื ไหม ๔ ตวั ควาย คนั วา่ บ่ไดข้ องเก่าคนื ฮอ้ื ใช้ ๑ ไหม ๔ ตวั ควาย ค่าควายพู่แม่ดาพอนใหญ่น้อยถือว่าค่า ๒๐๐ ดอก๑๑ คนั เป็นว่าเจ้านายห้ือ คารวะอาชญา๑๒ ยากต่อก่ึง๑๓ คนั เป็นทา้ วขุนห้อื ใส่สนิ คา่ คอ ๔๔๐ ดอก คนั เป็นไพรห่ อ้ื ใส่สนิ ค่าคอ ๓๓๐ ยากตอ่ กง่ึ อน่ึง ตวั หากลกั ฆา่ ควายตวั กด็ ี ไปซอ้ื ควายเป้ินมาฆา่ กนิ ผู้ขายกร็ ่วู า่ ทา่ นจกั เอาไปฆา่ กนิ แลว้ ป้อยขายหอ้ื กด็ ี ถอื โทษเสมอกนั คนั ว่ารแู้ ลว้ จกั เอาตวั ใส่ราชวตั รไว้ คนั เป็นเจา้ นายหอ้ื ใส่สินค่าคอ ๑๔ ๔๔๐ ดอก ยากตอ่ กง่ึ คนั เป็นไพร่หอ้ื ใส่สนิ คอ ๓๓๐ ดอก ยากตอ่ กง่ึ อน่ึง จกั ปรกิ รรมผเี ทพดาอาลกั ษณ์นนั้ คนั วา่ ในราชสานักในเวยี งหอ้ื ไหว้สา๑๕ คนั เป็น หน้าบา้ นหอ้ื ปฏบิ ตั เิ ถงิ สนามกอ่ น คนั วา่ หวั เมอื งนอก หอ้ื บอกเถงิ พอ่ เมอื ง หอ้ื ไดร้ กู้ ่อนคนั บ่บอกหอ้ื รู้ ถอื วา่ เป็นโจรลกั กนิ ควาย คนั ไดร้ แู้ ลว้ จกั เอาตวั เขา้ ใส่ราชวตั รไว้ คนั เป็นเจ้านายหอ้ื คารวะอาชญายากต่อ กง่ึ คนั เป็นขนุ หอ้ื ใส่สนิ ค่าคอ ๔๔๐ ดอก คนั เป็นไพร่ใส่สนิ ค่าคอ ๓๓๐ ดอก ยากตอ่ กง่ึ อน่ึง ห้ามอย่าห้อื เจา้ นายทา้ วขุนไพร่ไทยทงั้ หลายบนผีหนงั ประกรรม๑๖ แลผีพระเจ้า หาดเช่ียว๑๗ วา่ จะหอ้ื กนิ ควาย อยา่ หอ้ื กระทาเป็นอนั ขาด คนั บคุ คลผู้ใดยงั กระทา จะเอาตวั เขา้ ใส่ราช วตั รไว้ คนั เป็นเจา้ นายหอ้ื คารวะอาชญายากต่อกง่ึ คนั เป็นขนุ หอ้ื ใส่สนิ ค่าคอ ๔๔๐ ดอก คนั เป็นไพรห่ ้อื ใส่สนิ คา่ คอ ๓๓๐ ดอก ยากต่อกง่ึ ฯ ฯลฯ ฯลฯ ฯลฯ อน่ึง พ่อเมอื งนายบา้ น นายอ่ายนายเกิน๑๘ ทงั้ หลายทุกตาบล อยา่ ไดล้ าสา๑๙ ประมาท หอ้ื รกั ษาด่านทางเขตแขวงบา้ นเมอื งไผมนั ห้อื มนั ่ ขนั แขง็ แรง แมน้ วา่ ลกู คา้ วานิชทงั้ หลายคอื ว่าค่าชา้ ง ค่ามา้ คา่ ววั ค่าควายหาบแลสมณะชพี ราหมณ์ทงั้ หลาย ออกจากเมอื งไปบ่มี ชะลางหนงั สือ๒๐ ตตี ราแต่ ราชสานกั อย่าได้ปล่อยไปเป็นอนั ขาด วา่ คนั เป็นคนห้อื จบั ตวั ใส่คา ห้อื มนั ่ ขนั ส่งเขา้ มาเถิงราชสานัก สนาม คนั เป็นสมณะชีพราหมณ์ห้ือเกาะเอาตวั เข้ามาเถิงราชสานักสถาน คนั ว่าเป็นลูกค้าแลคน ต่างประเทศเมอื งอ่นื เขา้ มาเถงิ นายอา่ ยแลว้ บม่ หี นงั สอื ชะลางตตี รา อยา่ ปลอ่ ยเขา้ ดว้ ยง่ายหอ้ื งดไวก้ ่อน แลว้ หอ้ื มาบอกเถงิ พ่อเมอื งนายบา้ น แลว้ เกาะเอาตวั มาปฏบิ ตั เิ ถงิ ราชสานกั สนามกอ่ น อน่ึง ด้วยคนทงั้ หลายหนีลกุ ์๒๑ ตา่ งประเทศบา้ นเมอื งท่อี ่นื เขา้ มาแอบแฝงเพงิ่ อาศยั อยู่ กบั เจา้ นายท้าวพญาพ่อเมอื งนายบ้านทงั้ หลาย แลอาศยั อยกู่ บั วดั วาอารามทใ่ี ดๆ กด็ ี แมเ้ ป็นคนไทยใต้ กด็ ี เป็นลาวกด็ ี เป็นคนบา้ นใดเมอื งใดกด็ ี หากหนีมาผู้ ๑ - ๒ - ๓ คนกด็ ี แลหาชะลางหนงั สอื บไ่ ดแ้ ม้
๒๖ จกั มาอาศยั อยกู่ บั บา้ นใดเมอื งใดกด็ ี วดั วากด็ ี อยา่ ห้อื รบั อะหยงั้ ดว้ ยง่ายหอ้ื เจา้ นายทา้ วขนุ พ่อเมอื งนาย บา้ นได้นาเอาฝงู คนนนั้ เขา้ มาปฏบิ ตั เิ ถิงราชสานกั สนามก่อน จกั ได้ไล่เลยี งไตถ่ ามหอ้ื รกู้ อ่ น คนั วา่ คน ฝงู น้ีหากมกี ารหนีเขา้ มาเพงิ่ พาอาศยั อยกู่ บั เจา้ นายทา้ วพญาพอ่ เมอื งนายบา้ นทงั้ หลาย ผใู้ ดปิดบงั เสยี บ่ เอาตวั เขา้ มาปฏบิ ตั เิ ถงิ สนามห้อื ได้รู้ภายลนุ ๒๒ บงั เกดิ เป็นขา้ ลกั กระโมยโจรเป็นประการใดกด็ ี ตวั มนั หากหนีหายไปหาตวั บ่ได้ จบั เอาตวั เจา้ เรอื นทอ่ี าศยั แทนผนู้ นั้ ตามโทษ อน่ึง ลกู คา้ ทงั้ หลายมาจากต่างบา้ นต่างเมอื งต่างประเทศอ่นื เขา้ มาหาซอ้ื ชา้ งซอ้ื มา้ ซอ้ื ววั ซอ้ื ควายนนั้ คนั เขา้ มาเถิงบา้ นใดเมอื งใดกด็ ี อย่าห้อื เจา้ นายท้าวขนุ พ่อเมอื งนายบ้านทงั้ หลายอยา่ ได้ นบั ซ้อื ขายตอ่ กนั ดว้ ยงา่ ย ห้อื พาเอาตวั ลกู คา้ ทงั้ หลายเขา้ มาปฏบิ ตั เิ ถิงราชสานกั สนามก่อน อน่ึง หาก ผใู้ ดบ่ฟงั ลกั ซอ้ื ลกั ขายกนั บ่มาปฏบิ ตั เิ ถงิ สนามนนั้ จกั เอาโทษตามอาชญา คนั บา้ นใดเมอื งใด บ่กระทา ตามพระราชอาชญาได้ ตงั้ อาณาจกั รหลกั คาไวน้ ้ี สบื รู้จกั เอาโทษจงหนัก ในพระราชอาชญาได้ปรกึ ษา พรอ้ มเพรยี งกบั ด้วยมหาขตั ยราชวงศอ์ คั รมหาเสนาอามาตยช์ ตู นชคู นไดต้ งั้ พระราชอาณาจักรตกั เตอื น สงั ่ สอนแก่เจา้ นายท้าวพญาราษฎรทงั้ หลาย แลพ่อเมอื งนายบา้ นทงั้ หลายในขงจกั ขวตั เิ มอื งน่านทุก ตาบลชะและบคุ คลผใู้ ดกระทาลว่ งเกนิ สงิ่ หน่ึงสงิ่ ใด กจ็ กั เอาโทษตามพระราชอาชญา ซง่ึ ไดต้ งั้ อาณาจกั ร หลกั คาไวน้ ้ี ทุกประการ หมายเหตุ อธบิ ายศพั ทโ์ บราณ ๑. เหมยี ดหมาย หมายถงึ ตาหนิ ๒. สงั อะไร ๓. รา้ ง มา่ ย ๔. บา่ ว ชายหนุ่ม ๕. แอ่ว เทย่ี ว ๖. จา พดู ๗. กราบหลอง ทลู ๘. ป้อย พลอย ๙. คนั วา่ ครนั้ วา่ , ถ้าวา่ ๑๐. ราชวตั ร เครอ่ื งจองจา ๑๑. ดอก เงนิ ดอก (เงนิ แทง่ ) ๑๒. คารวะอาชญา เงนิ สนิ ไหมปรบั ใหแ้ ก่เจา้ ผคู้ รองเป็นเงนิ ๑๒๐ รเู ปีย ๑๓. ยากตอ่ กง่ึ ปรบั เป็นพนิ ยั หลวง ครง่ึ หน่ึงของราคาปรบั ไหม ๑๔. สนิ ค่าคอ สนิ ไหม ๑๕. ไหวส้ า ทลู ,บอก ๑๖. ผหี นงั ประกรรม ผหี นงั สาหรบั คลอ้ งชา้ ง ๑๗. ผพี ระเจา้ หาดเชย่ี ว ผที ส่ี งิ อยใู่ นทท่ี วั ่ ไป คอยรบั เคร่อื งบาบวงจากผสู้ าเรจ็ ปรารถนาในการบนบาน ๑๘. นายอา่ ยนายเกนิ นายดา่ น
๒๗ ๑๙. ลาสา เพกิ เฉย ๒๐. ชะลางหนงั สอื หนงั สอื คมู่ อื เดนิ ทาง ๒๑. ลกุ ์ มาจาก ๒๒. ภายลนุ ภายหลงั สานกั เจ้าผคู้ รองนคร โดยฐานะเจ้าผคู้ รองนคร (เดมิ ) เป็นประมุขหรอื เจา้ แผ่นดนิ น้อยๆ เป็นเอกเทศอย่สู ่วน หน่ึงทส่ี าคญั ของเจา้ ผคู้ รองนครซง่ึ เป็นเจา้ แผ่นดนิ น้อยๆ จงึ ไม่ผดิ กบั พระเจา้ แผ่นดนิ ทค่ี รองราชยใ์ น อาณาจกั รใหญ่ๆ แตอ่ ยา่ งใด กล่าวคอื ดว้ ยความเป็นใหญ่เป็นประธานในเหล่าพสกนิกร ผู้เป็นประมุข จกั ตอ้ งบรหิ ารการปกครองใหเ้ จรญิ มนั ่ คง ดารงแว่นแควน้ ให้เป็นท่รี ่มเยน็ เป็นสุขแก่ประชาชนทวั ่ ไป เป็นผ้นู าแบบความดงี ามทงั้ หลายทงั้ ฝ่ายอาณาจกั รและศาสนา นอกจากน้ี เพ่อื จะยงั ใหเ้ กยี รตยิ ศและ ความร่มเยน็ เป็นสุขของราษฎรมผี ลอนั ไพบลู ย์ เจา้ ผคู้ รองนครเป็นผนู้ ับถอื พระพุทธศาสนา กย็ อ่ มจะ บาเพ็ญกรณีตามคติธรรมของผู้เป็นประมุขเน่ืองในทางศาสนาสืบมาแต่โบราณ อันเรียกว่า “ทศพธิ ราชธรรม” ประกอบอกี สว่ นหน่ึงดว้ ย ส่วนอิสริยยศประจาตวั เจ้าผู้ครองนครนั้น ก็ย่อมเป็นไปตามฐานะของบ้านเมือง บา้ นเมอื งใหญ่กม็ อี สิ รยิ ยศประดบั มาก บ้านเมอื งน้อยกล็ ดหลนั ่ กนั ลงมาตามกาลงั วงั ชาแต่อยา่ งไรกด็ ี ทางสานกั ผคู้ รองนครน่านกไ็ ด้มคี ตปิ ระเพณีทางฝ่ายขตั ตยิ สบื กนั มาชา้ นาน กล่าวคอื เม่อื มผี ขู้ น้ึ ครอง เมอื งกม็ พี ธิ อี ภเิ ษก แม้ในชนั้ หลงั การตงั้ เจา้ เมอื งจะไดเ้ ป็นโดยพระกรณุ าโปรดเกลา้ ฯ ตงั้ ณ กรุงเทพฯ กด็ ี กม็ ไิ ด้ละประเพณเี สยี ผูท้ ไ่ี ดร้ บั แต่งตงั้ ยงั บ้านเมอื งอกี วาระหน่ึงเมอ่ื จะเขา้ ไปสถติ ณ สานกั เจา้ เมอื ง กม็ พี ธิ ขี น้ึ สานักซง่ึ ตรงกบั คาวา่ “เฉลมิ พระราชมณเฑยี ร” มกี ารออกพญาแสนท้าว (ขุนนาง) ตอ้ นรบั แขกเมอื งดว้ ยพธิ ี มกี ารออกประพาสเมอื งโดยอสิ สรยิ ศดว้ ยกระบวนขา้ บรพิ ารเป็นอาทิ นอกจากพญาแสนทา้ วอนั เป็นขนุ นางทเ่ี จา้ ผคู้ รองนครไดแ้ ตง่ ตงั้ ขน้ึ ไว้ เพอ่ื บรหิ ารกจิ การ บา้ นเมอื งยงั สนาม ซ่งึ เป็นการภายนอกส่วนหน่ึงแลว้ ยงั อกี การภายใน อนั เป็นกจิ การของคุม้ ของเจา้ ผู้ ครองนครโดยตรง กแ็ ตง่ ตงั้ “ขนุ ใน” ขน้ึ ไวร้ บั ใชก้ ารงานและประดบั เกยี รตยิ ศเจา้ ผคู้ รองนครอกี สว่ นหน่ึง ดว้ ย ทานองขา้ ราชการฝา่ ยราชสานกั ซง่ึ มคี วามม่งุ หมายเป็นสว่ นใหญ่ทจ่ี ะกลา่ วถงึ เรอ่ื งน้ี กจิ การภายในสานักเจา้ ผู้ครองนครน่าน อาจแบ่งออกได้เป็น ๕ แผนก คอื แผนกวงั แผนกเสมยี นตรา แผนกมณเฑยี รและอาสนะ แผนกการกุศล แผนกรบั ใช้ แผนกวงั มหี น้าทค่ี วบคมุ ตรวจตรากจิ การภายในคุม้ ทกุ อยา่ ง รกั ษาความสงบเรยี บรอ้ ยภายในคุม้ พทิ กั ษ์ตวั เจา้ ผู้ครองนครดว้ ยกาลงั คน “เจ้าใชก้ ารใน” ทม่ี ปี ระจาอยู่ จดั พธิ อี อกพญาแสนทา้ วในคราวท่ี ประกอบเป็นเกยี รตยิ ศ พธิ อี อกแขกเมอื ง – ต้อนรบั แขกเมอื ง จดั กองเกยี รตยิ ศเม่อื เจา้ ผคู้ รองนครออก ประพาส แผนกเสมยี นตรา
๒๘ มหี น้าทท่ี าหนงั สอื ของเจา้ ผคู้ รองนครทจ่ี ะมไี ปในทต่ี า่ งๆ และรบั คาสงั ่ อาชญาทจ่ี ะแจง้ ไป ใหส้ นามทราบกบั มหี น้าทเ่ี กบ็ สรรพหนงั สอื ภายในหอคา แผนกมณเฑียรและอาสนะ มหี น้าทพ่ี ทิ กั ษด์ แู ลหอคาและเรอื นโรงของเจา้ ผูค้ รองนครและบูรณะปฏสิ งั ขรณ์เมอ่ื ชารุด กบั มหี น้าทแ่ี ต่งตงั้ อาสนะเม่อื เจา้ ผคู้ รองนครออกประพาสไปประทบั ณ ทใ่ี ดทห่ี น่ึง แผนกการกศุ ล มหี น้าทป่ี ระกอบการกุศลของเจา้ ผคู้ รองนครต่างๆ กระทาพธิ บี ชู าพระเคราะหต์ ามคราว และมหี น้าทบ่ี นั ทกึ เรอ่ื งรายงานการกุศล แผนกรบั ใช้ มหี น้าทร่ี บั ใชเ้ จา้ ผคู้ รองนครในกจิ การตา่ งๆ ขา้ ราชการบรหิ ารผปู้ ฏบิ ตั หิ น้าทด่ี งั กล่าวแลว้ มรี ายนามเป็นทาเนยี บดงั ต่อไปน้ี แผนกวงั ๑. พญาสทิ ธวิ งั ราช เป็นผสู้ าเรจ็ การวงั ๒. พญาราชวงั เป็นผชู้ ่วย ๓. ทา้ วอาสา เป็นหวั หน้าคนเจา้ ใชก้ ารใน มหี น้าทจ่ี บั กมุ บุคคลทข่ี ดั อาชญา ตามบญั ชาของเจา้ ผคู้ รองนครและมหี น้าทถ่ี อื มดั หวายนาหน้ากระบวนออกประพาสของเจา้ ผคู้ รองนคร ๔. ทา้ ววงั หน้า เป็นหวั หน้าคนเจ้าใช้การใน กบั มีหน้าท่อี อกหน้ากระบวน ออกประพาสของเจา้ ผคู้ รองนคร ในอนั ทจ่ี ะประกาศมใิ หผ้ คู้ นจอแจขา้ งหน้าทางหรอื ตดั หน้าฉาน กบั มคี นใชก้ ารในสาหรบั ท่จี ะเรยี กใช้กระทากจิ การภายในคมุ้ ๑,๐๐๐ คน ในเวลาปกตมิ ี คนเจ้าใช้การในมาเข้าเวรยาม ๑๕ คน พวกเหล่าน้ีผลดั เปล่ียนกนั มาเขา้ เวรครงั้ ละ ๓ วนั ๓ คืน หมุนเวยี นกนั ไป แผนกเสมียนตรา เป็นหวั หน้า พญาสทิ ธอิ กั ษร แผนกมณเฑียร ๑. พญาราชมณเฑยี ร เป็นหวั หน้า ๒. แสนหลวงราชนเิ วศน์ เป็นผชู้ ว่ ย อาสนะ พญาอาสนมณเฑยี ร เป็นหวั หน้า แผนกการกศุ ล ๑. แสนหลวงสมภาร เป็นหวั หน้า
๒. แสนหลวงกศุ ล ๒๙ ๓. แสนหลวงขนั คา เป็นผชู้ ่วย เป็นผถู้ อื พานทองนาหน้าเจา้ ผคู้ รองนครไปในคราวบาเพญ็ กศุ ลตา่ งๆ แผนกรบั ใช้ ๑. แสนหลวงใน ผรู้ บั ใชจ้ บั จ่ายอาหารเลย้ี งดคู นในคมุ้ ๒. แสนหลวงตา่ งใจ เป็นผรู้ บั ใชก้ จิ การต่างๆ ภายนอก นอกจากน้ี ยงั มพี นกั งาน เสมยี นและเจา้ หมวดนายหม่อู กี พอสมควร การปกครองเมอ่ื จดั หวั เมอื งเป็นมณฑลเทศาภิบาล เมอ่ื มหาประเทศทางตะวนั ตกมอี งั กฤษและฝรงั ่ เศสไดป้ ระเทศใกลเ้ คยี งเป็นเมอื งขน้ึ และ แผอ่ านาจใกล้เขา้ มาโดยรอบพระราชอาณาจกั รสยามอยเู่ ป็นลาดบั เกดิ มคี นในบงั คบั ต่างประเทศเขา้ มา เกย่ี วขอ้ งกบั การปกครองของสยามขน้ึ เป็นเงาตามตวั หวั เมอื งประเทศราชของสยามทงั้ ปวงเป็นเมอื งท่ี อย่ใู นข่ายพระราชอาณาเขต มกี ารเกย่ี วขอ้ งกบั คนในบงั คบั บญั ชามากกว่าหวั เมอื งชนั้ ใน แต่วธิ กี าร ปกครองของเมอื งประเทศราชเหล่านนั้ ยงั เป็นพลการและโบราณล้าสมยั อยมู่ าก อาจมกี ารพลงั้ พลาด ถงึ กบั เป็นการกระทบกระเทอื นในทางการเมอื งและสญั ญาทางพระราชไมตรไี ด้ อกี ประการหน่ึง ในสมยั เดยี วกนั แม้ในพระราชอาณาเขตภายในเองกย็ งั มกี ารปกครอง โดยใหเ้ มอื งใหญ่ปกครองเมอื งน้อย ตามลาดบั เมอื งทเ่ี ป็นเอก โท ตรี จตั วา อยู่ทวั ่ ไป เมอื งใหญ่เพยี งแต่ ต้องฟงั บงั คบั บญั ชาตรงจากเจ้ากระทรวง การท่ีเป็นเช่นน้ีอย่ใู นฐานะทต่ี ้องกระจายหวั เมืองอย่มู าก ในขณะนนั้ การคมนาคมถึงกนั กไ็ ม่ใคร่สะดวก คาสงั ่ จากกรุงเทพฯ จะถึงเมอื งหน่ึงๆ กช็ า้ เหตุผลท่เี ป็น ขอ้ สาคญั ยงิ่ กค็ อื เหตทุ ่มี ามอบหมายใหห้ วั เมืองบงั คบั บญั ชากนั เอง การตรวจตราของเจ้าหน้าทผ่ี ้ใู หญ่ ในกรุงไปไม่ใคร่ถงึ เมอ่ื อาณาประชาชนมคี ดที ุกขร์ อ้ นหรอื ถูกเจา้ พนกั งานกดขข่ี ม่ เหงหรอื ตดั สนิ ความ ไมเ่ ป็นยตุ ธิ รรม เจา้ กระทรวงกต็ อ้ งเรยี กตวั คคู่ วามและสานวนไปชาระวา่ กลา่ วในกรุงกวา่ จะไดร้ บั ความ ยตุ ธิ รรมกเ็ ป็นความเดอื ดรอ้ นแกร่ าษฎรเป็นอนั มาก พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงทราบฝ่าละอองธุลีพระบาทถึงเหตุ ดงั กล่าวนนั้ จงึ ไดท้ รงพระกรุณาโปรดเกลา้ ฯ ใหร้ วบรวมการบงั คบั บญั ชาหวั เมอื งประเทศราชขน้ึ เป็น มณฑลเทศาภบิ าลเป็นครงั้ แรก และทรงตงั้ ขา้ หลวงใหญ่ออกไปบญั ชาต่างพระเนตรพระกรรณนับแต่ ระหวา่ งปี ๒๔๓๕ - ๒๔๓๗ และในปีต่อๆ มา กท็ รงตงั้ มณฑลอน่ื ๆ ขน้ึ อกี เป็นลาดบั จงั หวดั น่านขน้ึ อยู่ใน “มณฑลลาวเฉียง” ซ่ึงมจี งั หวดั อ่ืนๆ ข้นึ อย่อู กี คอื เชยี งใหม่ ลาพนู ลาปาง แพร่ เชยี งราย (ภายหลงั แยกอาณาเขตจงั หวดั เชยี งใหม่ตงั้ เป็นจงั หวดั ขน้ึ อกี จงั หวดั หน่ึง คอื จงั หวดั แมฮ่ ่องสอน) ตงั้ ศาลารฐั บาลทจ่ี งั หวดั เชยี งใหม่ พ.ศ. ๒๔๔๓ ไดป้ ระกาศเปลย่ี นชอ่ื เป็น “มณฑลตะวนั ตกเฉยี งเหนือ” พ.ศ. ๒๔๔๔ ไดป้ ระกาศเปลย่ี นช่อื เป็น “มณฑลพายพั ” พ.ศ. ๒๔๕๘ ไดป้ ระกาศตงั้ มณฑลพายพั เป็นภาคพายพั และตงั้ สมุหเทศาภบิ าลเป็น อปุ ราชประจาภาค
๓๐ ใน พ.ศ. ๒๔๕๘ น้ีเอง ไดป้ ระกาศแยกจงั หวดั น่าน แพร่ ลาปาง ออกจากมณฑลพายพั ตงั้ มณฑลขน้ึ อกี มณฑลหน่ึงเรยี กว่า “มณฑลมหาราษฎร์” ขน้ึ อยใู่ นภาคพายพั ตงั้ ศาลารฐั บาลอย่ทู ่ี จงั หวดั แพร่ พ.ศ.๒ ๔ ๖๘ ได้ประกาศเลิกภาคพ ายัพ และตาแห น่ งอุปราชประจาภาคเป็ น สมุหเทศาภบิ าลกบั ยกเลกิ มณฑลมหาราษฎรร์ วมจงั หวดั ทอ่ี ย่ใู นมณฑลมหาราษฎรไ์ ปขน้ึ แก่มณฑล พายพั ตามเดมิ พ.ศ. ๒๔๗๖ ไดป้ ระกาศยบุ มณฑลและใหจ้ งั หวดั ตา่ งๆ ขน้ึ ตรงต่อกระทรวงมหาดไทย เม่อื ก่อนตงั้ มณฑลลาวเฉียงขน้ึ นนั้ กระทรวงมหาดไทยไดต้ งั้ ขา้ หลวงมาประจาจงั หวดั น่านแลว้ เรม่ิ แต่ พ.ศ. ๒๔๓๓ เป็นต้นมา เพ่อื กากบั ตรวจตราจดั วางระเบยี บราชการในพน้ื เมอื งให้เขา้ รปู แบบในกรงุ เทพฯ ต่างหตู ่างตากระทรวงมหาดไทยและจดั การอนั เกย่ี วกบั ตา่ งประเทศ มใิ หเ้ ป็นการ กระทบกระเทอื นในทางการเมอื ง ในขนั้ ต้นทม่ี ขี า้ หลวงมาประจา การปฏบิ ตั ริ าชการมกี ารขลุกขลกั กนั อยบู่ า้ ง เพราะเป็นหวั ต่อของการทจ่ี ะปรบั ปรุงระเบยี บราชการขน้ึ ใหม่ ซง่ึ การทงั้ น้ีกย็ อ่ มจะกระเทอื นใจ บรรดาเจา้ นายอยบู่ ้าง แต่ตอ่ มาเม่อื ทงั้ สองฝา่ ยไดท้ าความเขา้ ใจกนั ดแี ลว้ ความกลมเกลยี วประสานงาน กค็ อ่ ยดขี น้ึ เป็นลาดบั ขณะน้ีทางบา้ นเมอื งยงั คงมสี นามเป็นทว่ี า่ การอยตู่ ามเดมิ ครนั้ ต่อมาถึง พ.ศ. ๒๔๔๐ เม่ือได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ใช้พระราชบญั ญัติ ลกั ษณะการปกครองท้องท่ี ร.ศ. ๑๑๖ แล้ว กระทรวงมหาดไทยไดม้ ตี ราให้ยบุ เลกิ ตาแหน่งขนุ สนาม และตงั้ พนกั งาน ๖ ตาแหน่งขน้ึ ว่าการ การมหาดไทย การยุตธิ รรม การทหาร การคลงั การนา การวงั แทน ใหข้ น้ึ อยใู่ นขา้ หลวงประจาเมอื งและเจา้ ผคู้ รองนคร เน่ืองด้วยการแบ่งเขตแขวงสาหรบั จัดการปกครองและตาแหน่งหน้าท่ีราชการใน ปกครองและตาแหน่งหน้าทร่ี าชการในมณฑลตะวนั ตกเฉยี งเหนอื ยงั เป็นการกา้ วก่ายอยหู่ ลายประการ สมควรจะจดั การวางแบบแผนวธิ ปี กครองและวางตาแหน่งหน้าทร่ี าชการใหเ้ ป็นไปตามควรแก่กาลสมยั ต่อมาเม่อื พ.ศ. ๒๔๔๒ กระทรวงมหาดไทยจงึ ให้พระยามหาอามาตยาธบิ ดี (เสง วริ ยิ ศริ )ิ เมอ่ื ครงั้ เป็น พระยาศรสี หเทพราชปลดั ทลู ฉลอง ขน้ึ มาจดั วางระเบยี บการปกครองในมณฑลตะวนั ตกเฉยี งเหนอื อนั เน่ืองแต่ไดใ้ ช้พระราชบญั ญตั ลิ กั ษณะปกครองทอ้ งท่ี ร.ศ. ๑๑๖ แลว้ นนั้ และเพ่อื ท่กี ระทรวงมหาดไทย จะได้ตราขอ้ บงั คบั สาหรบั ปกครองมณฑลตะวนั ตกเฉียงเหนอื ขน้ึ ใช้ในปีต่อไป ปีน้ีพระยามหาอามาต- ยาธบิ ดไี ดม้ าทจ่ี งั หวดั น่าน พรอ้ มดว้ ยพระเจา้ สุรยิ พงษ์ผรติ เดช (ครงั้ นนั้ ยงั เป็นเจ้าสุรยิ ะพงษ์ผรติ เดช) เจา้ ผู้ครองนคร พระยาสุนทรนุรกั ษ์ (เล่อื ง ภมู ริ ตั น์) ขา้ หลวงประจาเมอื งและเจ้านายทา้ วพญาทงั้ ปวง ประชุมปรกึ ษาตกลงวางระเบยี บราชการขน้ึ ใหม่ ดงั น้ี ๑. การปกครองท้องท่ี ไดแ้ บ่งเขตแขวงเมอื งน่านออกเป็น ๘ แขวง คอื ๑. แขวงนครน่าน คอื รวมตาบลใกล้เคยี งมี เมอื งน่าน เมอื งสา เมอื งพง เมอื งไชยภูมิ เมอื งบอ่ วา้ ใหม้ ที ว่ี า่ การตงั้ ทแ่ี ขวงเมอื งน่าน ๒. แขวงน้าแหง คอื รวมเมอื งหนิ เมอื งศรสี ะเกษ เมอื งล้ี ใหม้ ที ่วี า่ การแขวงตงั้ ทเ่ี มอื ง ศรสี ะเกษ
๓๑ ๓. เขวงน่านใต้ คอื รวมเมอื งท่าแฝก บ้านท่าปลา บ้านผาเลอื ด บ้านหาดลา้ เมอื ง จะรมิ ใหม้ ที ว่ี า่ การแขวงตงั้ ทบ่ี า้ นทา่ ปลา ๔. แขวงน้าปวั คอื เมืองปวั เมืองรมิ เมืองอวน เมืองยม เมืองย่าง เมืองแงง เมอื งบ่อ ใหม้ ที ว่ี า่ การแขวงตงั้ ทเ่ี มอื งปวั ๕. แขวงขุนน่าน คอื รวมเมอื งเชยี งกลาง เมอื งและ เมอื งงอบ เมอื งปอน เมืองเบอื เมอื งเชยี งคาน เมอื งยอด เมอื งสะเกนิ เมอื งยาว ใหม้ ที ว่ี า่ การแขวงตงั้ ทเ่ี มอื งเชยี งกลาง ๖. แขวงน้าของ คอื รวมเมอื งงอบ เมอื งเชียงลม เมอื งเชยี งฮ่อน เมอื งเงนิ ใหม้ ที ่วี ่า การตงั้ ทเ่ี มอื งเชยี งลม ๗. แขวงน้าอิง คือรวมเมืองเชียงคา เมืองเชียงแลง เมืองเทิง เมืองงาว เมือง เชยี งของ เมอื งเชยี งเคย่ี น เมอื งลอ เมอื งมนิ ใหม้ ที ว่ี า่ การแขวงตงั้ ทเ่ี มอื งเทงิ ๘. แขวงขุนยม คอื รวมเมอื งเชยี งม่วน เมอื งสะเอยี บ เมอื งสระ เมอื งสวด เมอื งปง เมอื งงมิ เมอื งออย เมอื งควน ใหม้ ที ว่ี า่ การแขวงตงั้ ทเ่ี มอื งปง แขวงหน่ึงแบง่ ออกเป็น “พ่ง” มปี ระมาณ ๑๐ พ่งๆ หน่ึงแบ่งออกเป็นหม่บู า้ นมปี ระมาณ ๑๐ หมบู่ า้ น ๆ หน่ึงมลี กู บา้ นประมาณ ๒๐ คน แขวงหน่ึงใหม้ ี “นายแขวง” ๑ คน “รองแขวง” ๒ คน หรอื หลายคนตามการมากและน้อย และมี “สมุหบ์ ญั ช”ี ๑ คน เสมยี นใชต้ ามสมควร พ่งหน่ึงให้มี “เจา้ พ่ง” ๑ คน มีศกั ดเิ ์ ป็นพญามี “รองเจ้าพ่ง” อีก ๑ หรอื ๒ คน ตามพ่ งน้อยและใหญ่กบั มลี า่ มอกี ๒ คน (ต่อมาไดเ้ ปลย่ี นพ่งเป็นแควน้ ) หมบู่ า้ นหน่ึงใหม้ ี “แกบ่ า้ น” คนหน่ึง ๒. เจ้าหน้าที่ปกครอง ตาแหน่งเจา้ หน้าทป่ี กครองใหเ้ รยี กนามตาแหน่งดงั น้ี ๑. กองบญั ชาการ – ใหม้ ขี า้ ราชการ ๓ นาย คอื เจา้ ผคู้ รองนคร ๑ ขา้ หลวงประจาเมอื ง ๑ ขา้ หลวงผชู้ ่วย ๑ รวมเรยี กวา่ “เคา้ สนามหลวง” ๒. กองขน้ึ แก่เค้าสนามหลวง – ใหม้ ขี า้ ราชการขน้ึ อยกู่ บั ในเคา้ สนามหลวง ๖ ตาแหน่ง คอื พนักงานมหาดไทย ๑ พนักงานยุตธิ รรม ๑ พนักงานทหาร ๑ พนักงานคลงั ๑ พนักงานนา ๑ พนกั งานวงั ๑ พนักงาน ๖ ตาแหน่งน้ีมีพนักงานเป็นหวั หน้า ๑ และพนักงานรองเสมียนคนใช้ตาม สมควร กบั มพี นกั งานกรมการแขวงตามทก่ี ล่าวมาแลว้ ขา้ งตน้ ๓. หน้าท่ีและอานาจของเจา้ หน้าท่ี ไดว้ างระเบยี บไวด้ งั น้ี ๑. เจา้ ผคู้ รองนคร มหี น้าทร่ี กั ษาราชการบ้านเมอื งใหเ้ รยี บรอ้ ยต่างพระเนตรพระกรรณ เป็นผรู้ บั ผดิ ชอบเฉพาะการในพ้นื เมอื ง เป็นผอู้ อกอาชญาหมายคาสงั ่ พนกั งาน ๖ ตาแหน่งตามขอ้ ความ ซง่ึ ได้ปรกึ ษาหารอื ในท่ปี ระชุมเค้าสนามหลวงและมอี านาจบงั คบั บญั ชาราชการในบานเมอื งให้เป็นไป
๓๒ ตามทไ่ี ด้ตกลงในท่ปี ระชุมเคา้ สนามหลวงกบั บงั คบั บญั ชาวา่ กล่าวเจ้านายบุตรหลานเพ้ยี ท้าวแสนวงศ์ ญาตติ ามทช่ี อบดว้ ยหน้าทร่ี าชการและพระราชกาหนดกฎหมาย ๒.ขา้ หลวงประจาเมอื ง มหี น้าทต่ี รวจตรารกั ษาราชการต่างพระเนตรพระกรรณทุกอยา่ ง เป็นผโู้ ตต้ อบในการทเ่ี กย่ี วกบั ตา่ งประเทศทงั้ ปวง เป็นผมู้ ใี บบอกและหนงั สอื ราชการไปมากบั กรงุ เทพฯ ขา้ หลวงใหญ่ ณ ท่วี ่าการมณฑลและเมืองอ่นื ๆ นอกจากในพ้นื เมืองน่าน ตามความทไ่ี ด้ตกลงในท่ี ประชมุ เคา้ สนามหลวง เป็นผแู้ นะนาและสงั ่ พนกั งานใหร้ บั ราชการตามหน้าทท่ี ุกอยา่ งและมอี านาจสงั ่ ให้ หยดุ ยงั้ หรอื ถอนอาชญาหมายคาสงั ่ ของเจา้ ผู้ครองนครหรอื เจา้ นายคนใดซง่ึ ขา้ หลวงเหน็ วา่ ไมช่ อบดว้ ย ราชการหรอื ไมช่ อบดว้ ยพระราชกาหนดกฎหมาย ในระหวา่ งมใี บบอกไปหารอื ทว่ี า่ การมณฑลหรอื บอก ไปยงั กรุงเทพฯ ได้ทุกอย่าง เป็นผู้ตรวจและเซ็นช่อื ในคาพิพากษาของศาลในระหว่างท่กี ระทรวง ยุตธิ รรมยงั ไม่ได้จดั ตงั้ ศาล กบั เป็นผู้อนุญาตตงั้ และยา้ ยตาแหน่งข้าราชการ ขน้ึ และลดเงนิ เดอื น ขา้ ราชการ ซง่ึ มตี าแหน่งต่ากวา่ ชนั้ พนกั งานรองลงไป ๓. ขา้ หลวงผชู้ ่วย มหี น้าทแ่ี ทนขา้ หลวงประจาเมอื งในเม่อื ขา้ หลวงประจาเมอื งไม่อยู่ หรอื ปว่ ย และช่วยงานในตาแหน่งขา้ หลวงประจาเมอื งทุกอยา่ ง ๔. พนกั งาน ๖ ตาแหน่ง มหี น้าท่ที าการตามคาสงั ่ ของเคา้ สนามหลวงและรบั ผดิ ชอบ โดยเฉพาะในหน้าทข่ี องตาแหน่ง คอื ๑) พนกั งานมหาดไทย วา่ การปกครอง ๒) พนกั งานยตุ ธิ รรม วา่ การพจิ ารราพพิ ากษาอรรถคดี และการจดั การศาลตามแบบ ศาลในพน้ื เมอื ง ๓) พนกั งานทหาร วา่ การปราบปรามโจรผรู้ า้ ย (การตารวจ) ๔) พนกั งานคลงั วา่ การคลงั ๕) พนกั งานนา วา่ การเกบ็ เงนิ ผลประโยชน์แผน่ ดนิ ทงั้ ปวง ๖) พนกั งานวงั วา่ การโยธา การสุขาภบิ าล การธรรมการ การไปรษณีย์ ๕. พนกั งานกรมการแขวง คงมหี น้าทใ่ี นการปกครองทอ้ งทแ่ี บบเดยี วกบั คณะกรม การอาเภอปจั จบุ นั น้ที กุ ประการ ๔. การปฏิบตั ิราชการ เน่ืองด้วยแต่เดมิ มา ขา้ หลวงและพนกั งาน ๖ ตาแหน่งต่างทาการแยกยา้ ยกนั อยทู่ บ่ี ้าน คนละแหง่ จงึ ใหม้ ารวมทาการ ณ ทส่ี นามแหง่ เดยี วกนั กาหนดใหข้ า้ ราชการตอ้ งรบั ราชการในสนามวนั หน่ึงไม่ต่ากวา่ ๖ ชวั ่ โมง คอื ตงั้ แต่ ๑๐.๐๐ น. ถงึ ๑๖.๐๐ น. เวน้ แต่วนั พระและวนั ขตั ตฤกษ์ ส่วนการ ปฏบิ ตั ริ าชการเมอ่ื เปิดสนามแลว้ กาหนดใหม้ เี วลาประชุมปรกึ ษาราชการ ในทป่ี ระชุมนนั้ ใหม้ เี จา้ ผคู้ รอง นคร ๑ ขา้ หลวงประจาเมอื ง ๑ ขา้ หลวงผชู้ ว่ ย ๑ กบั หวั หน้าตาแหน่งทงั้ ๖ รวม ๙ คน พรอ้ มกนั ประชุม ปรกึ ษาสงั ่ ราชการซง่ึ จะมมี าในเวลาเฉพาะวนั นนั้ และราชการในหน้าทใ่ี ดมา ใหเ้ จา้ หน้าท่เี สนอในคราว ประชุม การประชุมนนั้ ถ้ามขี ้าหลวงหรอื ขา้ หลวงผู้ช่วยคนหน่ึง กบั หวั หน้าหรอื รอง ๖ ตาแหน่งอกี ๓ นาย รวมเป็น ๔ นาย ใหเ้ ป็นองคป์ ระชุมสงั ่ ราชการได้
๓๓ การประชุมปรกึ ษาราชการนนั้ ถา้ ความเหน็ สอดคลอ้ งต้องกนั ทงั้ ๖ คน กใ็ หจ้ ดั สงั ่ ราช- การไป ถ้าความเหน็ แตกต่างกนั ประการใดไมเ่ ป็นทต่ี กลงกนั ไดก้ ใ็ หข้ า้ หลวงประจาเมอื ง ๑ เจา้ ผคู้ รอง- นคร ๑ ขา้ หลวงผู้ช่วย ๑ รวมเป็น ๓ นาย ซง่ึ เป็นเคา้ สนามหลวง พรอ้ มกนั ประชุมปรกึ ษาหารอื สงั ่ เป็น เดด็ ขาด ถา้ คนทงั้ ๓ มคี วามเหน็ แตกต่างไม่ตกลงกนั ใหเ้ อาความเหน็ ขา้ งมากเป็นคาตกลงกนั เดด็ ขาด และถ้าความเหน็ แตกต่างกนั เชน่ น้ีบงั เกดิ ขน้ึ เม่อื คนใดในเคา้ สนามหลวงมาประชมุ ไม่ไดจ้ ะเป็นโดยเหตุ ประการใดกด็ ี มอี ยแู่ ต่เพยี ง ๒ นาย กต็ อ้ งถามความเหน็ อกี คนหน่ึงก่อนจงึ จะเป็นการตกลงกนั ได้ หรอื ถา้ เป็นการสาคญั มากกใ็ หแ้ จง้ ความไปยงั ทว่ี า่ การมณฑลขอหารอื และรบั คาสงั ่ เป็นเดด็ ขาด การสงิ่ ใดทไ่ี ดต้ กลงกนั ในทป่ี ระชมุ แลว้ จงึ ใหจ้ ดั ทาไปตามหน้าท่ี หา้ มมใิ หผ้ ใู้ ดผหู้ น่ึงออก อาชญาหรอื มหี นังสอื อา้ งวา่ เป็นราชการไปดว้ ยประการใดๆ นอกจากทไ่ี ดป้ ระชมุ ตกลงเหน็ ชอบแลว้ นนั้ เวน้ แตถ่ า้ มรี าชการรอ้ นทจ่ี าเป็นจะตอ้ งจดั ตอ้ งสงั ่ โดยเรว็ จงึ ใหข้ า้ หลวงปรกึ ษาพรอ้ มดว้ ยเจ้าผคู้ รองนคร จดั สงั ่ ไปแลว้ จงึ แจง้ ต่อทจ่ี ะตอ้ งทาในทนั ที จงึ ใหข้ า้ หลวงจดั ส่งไปได้ แลว้ แจง้ ใหท้ ป่ี ระชุมทราบภายหลงั นอกจากการวางระเบยี บราชการทพ่ี ระยามหาอามาตยาธบิ ดไี ดจ้ ดั ขน้ึ ดงั กลา่ วแลว้ ยงั ได้ ปรกึ ษาเป็นทต่ี กลงกบั เจา้ ผคู้ รองนครถงึ การจดั ราชการบ้านเมอื งอยา่ งอน่ื อกี ส่วนทส่ี าคญั คอื ๑. เร่อื งการเกบ็ เงนิ คา่ แรงแทนเกณฑซ์ ง่ึ เป็นเร่อื งตอ่ เน่ืองนาไปสพู่ ระราชบญั ญตั กิ าร - เกบ็ เงนิ คา่ แรงแทนเกณฑม์ ณฑลตะวนั ตกเฉียงเหนือ ร.ศ. ๑๑๙ ๒. เร่อื งยกคา่ ตวั ทาสและยกบุตรหลานค่าหอคนโรงในการท่จี ะผ่อนผนั ให้พน้ จากความ เป็นทาสซง่ึ เป็นเร่อื งนาไปสพู่ ระราชบญั ญตั ทิ าสมณฑลตะวนั ตกเฉียงเหนอื ณ.ศ. ๙ ๓. เร่อื งสรา้ งสนามขน้ึ ใหม่ เจ้าผคู้ รองนครยอมถวายทด่ี นิ ใหเ้ ป็นทป่ี ลูกสร้างและพรอ้ ม ดว้ ยเจ้านายบุตรหลานรบั จะช่วยออกแรงช้างในการชกั ลากไมจ้ นสาเร็จการ ซง่ึ เป็นผลให้ได้มีสนาม ถาวรขน้ึ เป็นครงั้ แรก เมอ่ื พ.ศ. ๒๔๔๙ (คอื ศาลากลางจงั หวดั ปจั จุบนั ) ๔. เร่อื งเรอื นจา ในขณะนนั้ ทค่ี มุ ขงั นกั โทษยงั แยกอยนู่ อกเวยี งแหง่ หน่ึงในเมอื งเวยี งแห่ง หน่ึง ขา้ หลวงจะเลกิ ตะรางนอกเวยี งเสยี เพราะทาไวเ้ ปล่าไม่มนี ักโทษ ฝา่ ยตะรางในเวยี งกร็ กชารุด ขา้ หลวงและเจา้ ผคู้ รองนครจะซ่อมและขยายตะรางในเวยี งใหเ้ ป็นไปตามขอ้ บงั คบั เรอื นจา ร.ศ. ๑๑๘ ต่อมารุ่งขน้ึ ในปี พ.ศ. ๒๔๔๓ กระทรวงมหาดไทยได้ประกาศใช้กฎขอ้ บงั คบั สาหรบั ปกครองมณฑลตะวนั ตกเฉียงเหนือขน้ึ ซ่งึ เป็นขอ้ บงั คบั พเิ ศษใช้ต่อเน่ืองกบั พระราชบญั ญตั ลิ กั ษณะ ปกครองทอ้ งท่ี ร.ศ. ๑๑๖ ในสว่ นระเบยี บราชการนนั้ คงมนี ยั ดงั ทไ่ี ดก้ ล่าวมาแลว้ ทุกประการ การปฏบิ ตั ิ ราชการไดด้ าเนนิ การตามรปู น้ีเป็นลาดบั มาจนทรงพระกรณุ าโปรดเกลา้ ฯ ใหใ้ ชพ้ ระราชบญั ญตั ลิ กั ษณะ ปกครองทอ้ งท่ี พ.ศ. ๒๔๕๗ การจดั รปู การปกครองในสมยั ปัจจุบนั ภายหลงั การเปลย่ี นแปลงการปกครองมาส่รู ะบบประชาธปิ ไตย เม่อื พ.ศ. ๒๔๗๕ แลว้ ไดม้ พี ระราชบญั ญตั ริ ะเบยี บบรหิ ารราชการแผ่นดนิ แห่งราชอาณาจกั รสยาม พ.ศ. ๒๔๗๖ จดั ระเบยี บ ราชการบรหิ ารส่วนภมู ภิ าคออกเป็นจงั หวดั และอาเภอ โดยจงั หวัดดงั กลา่ วน้ีมขี า้ หลวงประจาจงั หวดั และกรมการจงั หวดั เป็นผบู้ รหิ ารและไดย้ กเลกิ มณฑลเสยี
๓๔ ตอ่ มาใน พ.ศ. ๒๔๙๕ รฐั บาลไดอ้ อกพระราชบญั ญตั ริ ะเบยี บบรหิ ารราชการแผ่นดนิ ขน้ึ ใหมอ่ กี ฉบบั หน่ึง มสี าระสาคญั คอื ๑. จงั หวดั มีฐานะเป็นนิติบุคคล ซ่งึ ตามพระราชบญั ญัตฉิ บบั เดมิ เม่อื พ.ศ. ๒๔๗๖ จงั หวดั ไม่มฐี านะเป็นนิตบิ คุ คล ๒. อานาจบรหิ ารราชการของจงั หวดั ซง่ึ แตเ่ ดมิ เป็นอานาจของคณะกรมการจงั หวดั ได้ เปลย่ี นแปลงมาเป็นอานาจของผวู้ า่ ราชการจงั หวดั ๓. ฐานะของกรมการจงั หวดั ไดเ้ ปลย่ี นแปลงมาเป็นคณะเจ้าหน้าทท่ี ป่ี รกึ ษาของผวู้ า่ ราช การจงั หวดั ต่อมาได้มีการปรบั ปรุงแก้ไขกฎหมายว่าด้วยระเบยี บบรหิ ารราชการแผ่นดินตาม ประกาศของคณะปฏวิ ตั ิ ฉบบั ท่ี ๒๑๘ ลงวนั ท่ี ๒๙ กนั ยายน ๒๕๑๕ สาระสาคญั มไิ ด้เปล่ยี นแปลงไป จากเดมิ มากนกั โดยใหจ้ ดั ระเบยี บบรหิ ารราชการส่วนภูมภิ าคเป็นจงั หวดั และอาเภอ จงั หวดั นนั้ ใหร้ วม ทอ้ งท่หี ลายๆ อาเภอขน้ึ เป็นจงั หวดั มฐี านะเป็นนิตบิ ุคคล การตงั้ ยุบ และเปล่ยี นแปลงเขตจงั หวดั ให้ ตราเป็นพระราชบญั ญตั แิ ละใหม้ คี ณะกรมการจงั หวดั เป็นทป่ี รกึ ษาของผวู้ า่ ราชการจงั หวดั ในการบริหาร ราชการแผ่นดนิ ซง่ึ เป็นระเบยี บบรหิ ารราชการทใ่ี ชอ้ ยจู่ นถงึ ปจั จุบนั ทม่ี า : ประวตั ิมหาดไทยส่วนภมู ิภาคจงั หวดั น่าน. อา่ งทอง : วรศลิ ป์การพมิ พ,์ ๒๕๓๐.
Search
Read the Text Version
- 1 - 34
Pages: