Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore น้ำมันหอมระเหยและสุคนธบำบัด

น้ำมันหอมระเหยและสุคนธบำบัด

Published by Jaruphan Katoon, 2018-11-28 22:16:48

Description: น้ำมันหอมระเหยและสุคนธบำบัด องค์ประกอบของน้ำมันหอมระเหย การสดฃกัดน้ำมันหอมระเหย รูปแบบการใช้ประโยชน์ของน้ำมันหอมระเหย

Search

Read the Text Version

IR 22 ประมวลสารสนเทศพรอ มใชนาํ้ มนั หอมระเหยและสคุ นธบาํ บดั(Essential Oils and Aromatherapy) สาํ นกั หอสมดุ และศนู ยส ารสนเทศวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี กรมวทิ ยาศาสตรบ รกิ าร กระทรวงวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี กรกฎาคม 2553

IR 22 ประมวลสารสนเทศพรอ มใชนาํ้ มนั หอมระเหยและสคุ นธบาํ บดั(Essential Oils and Aromatherapy) สาํ นกั หอสมดุ และศนู ยส ารสนเทศวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี กรมวทิ ยาศาสตรบ รกิ าร กระทรวงวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี กรกฎาคม 2553

คํานํา ประมวลสารสนเทศพรอมใช เร่ือง “น้ํามันหอมระเหยและสุคนธบําบัด (Essential oils andAromatherapy)” ฉบับนี้ สํานักหอสมุดและศูนยสารสนเทศวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี กรมวิทยาศาสตรบริการ ไดจัดทําขึ้นภายใตโครงการเครือขายหองสมุดอิเล็กทรอนิกสดานวิทยาศาสตรและเทคโนโลยีของประเทศ โครงการยอ ยท่ี 2 โครงการเพิ่มศักยภาพการเขาถึงสารสนเทศวิทยาศาสตรและเทคโนโลยีในรูปแบบDigital Library กิจกรรมยอย 2.5 ประมวลสารสนเทศพรอ มใช (Information Repackaging) ในสว นของสาระนารดู า นวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยจี ากตา งประเทศ โดยมวี ตั ถปุ ระสงคเ พื่อเผยแพรประมวลสารสนเทศพรอมใชนี้ใหผูใชไดเขาถึงสารสนเทศวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยใี นรูปแบบที่เขาใจไดงายและสะดวกพรอมใช เอกสารประมวลพรอมใชฉบับนี้ใหความรูทางดานความหมายของน้ํามันหอมระเหยและสุคนธบําบัด ประเภทของสุคนธบําบัด แหลงที่มา องคประกอบทางเคมี การวิเคราะหหาองคประกอบทางเคมี วิธีการสกัด คุณสมบัติฤทธท์ิ างชวี ภาพและรปู แบบการใชป ระโยชนข องนาํ้ มนั หอมระเหย รวมทง้ั ธรุ กจิ สปาในประเทศไทย คณะผจู ดั ทาํ หวงั วา ประมวลสารสนเทศพรอ มใชฉ บบั น้ี จะเปน ประโยชนตอผูใชที่สนใจศึกษาคนควาเกย่ี วกบั นาํ้ มนั หอมระเหยและสคุ นธบาํ บดั โดยเอกสารฉบบั เตม็ ทใ่ี ชใ นการเรยี บเรยี งประมวลสารสนเทศพรอ มใชฉบับนี้ไดรวบรวม จัดเก็บ และใหบริการ ณ บริเวณหองอานชั้น 2 ศนู ยส ารสนเทศวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี สาํ นกั หอสมดุ และศนู ยส ารสนเทศวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี กรกฎาคม 2553

สารบัญ หนาบทคัดยอ 1คําสําคัญ 1บทนาํ 2ความหมายของนาํ้ มนั หอมระเหยและสคุ นธบาํ บดั 2-3ประเภทของสคุ นธบาํ บดั 3แหลง ทม่ี าของนาํ้ มนั หอมระเหย 3องคป ระกอบทางเคมขี องนาํ้ มนั หอมระเหย 4-5การวเิ คราะหห าองคป ระกอบทางเคมขี องนาํ้ มนั หอมระเหย 5วธิ กี ารสกดั นาํ้ มนั หอมระเหย 5-คณุ สมบัติของน้าํ มนั หอมระเหยของพชื แตล ะวงศ -ฤทธท์ิ างชวี ภาพของนาํ้ มนั หอมระเหย -11รปู แบบการใชป ระโยชนจ ากนาํ้ มนั หอมระเหย 11-12ธรุ กจิ สปาในประเทศไทย 12-13ตวั อยา งของนาํ้ มนั หอมระเหยทไ่ี ดร บั ความนยิ ม 14-1บทสรปุ 1เอกสารอา งองิ 1 -1

น้ํามันหอมระเหยและสคุ นธบาํ บดั (Essential Oils and Aromatherapy)บทคัดยอ การใชน้ํามันหอมระเหยเพื่อการบําบัดรักษาโรค โดยใชในรูปของการนวดหรือการสูดดมที่เรียกวาสคุ นธบาํ บดั แบง ออกเปน 2 ประเภท คอื 1. การใชน้ํามันหอมระเหยเพื่อการบําบัดรักษาโรคหรือการบรรเทาอาการของโรค 2. สุคนธบําบัดเพื่อความงาม เปนการใชน้ํามันหอมระเหยเพื่อความงามหรือใชในเครื่องสําอางซง่ึ ในปจ จบุ นั ไดม กี ารผสมผสานทง้ั 2 ประเภทเขาดวยกันและใหบริการในสถานที่ที่เรียกวา สปา น้ํามันหอมระเหยที่ใชสวนใหญเปนน้ํามันที่มาจากพืชธรรมชาติ มีสรรพคุณและประโยชนมากมายแตกตางกันไปตามชนิดของพืชนั้นๆ กลิ่นของน้ํามันหอมระเหยจะกระตุนสมองสวนที่มีผลตออารมณ ชวยใหเกิดความสมดุลของอารมณและทําใหเปนสุข มีผลในการบําบัดโรคที่เปนปญหาทางรางกาย โดยเฉพาะโรคเกี่ยวกับความเครียด โดยจะแทรกซึมเขาไปยังระบบตางๆภายในรางกาย ชวยปรับสมดุลภายในรางกายและจิตใจใหดียิ่งขึ้นคําสําคัญ : นาํ้ มนั หอมระเหย ; สคุ นธบาํ บดั ; สปา ; กลน่ิ หอมKeyword : Essential oils ; aromatherapy ; spa ; odorous 1

น้ํามันหอมระเหยและสคุ นธบาํ บดั (Essentila Oils and Aromatherapy)1. บทนํา ปจ จุบันมนุษยมักประสบปญหาทางสภาพรางกายและจิตใจ เนื่องจากสภาพแวดลอมตางๆไมวาจะเปนมลภาวะทางอากาศ ไดแก ควันพิษจากรถยนต ควันบุหรี่ หรือสารเคมี รวมถึงสภาพแวดลอมรอบตัวที่ไมพึงประสงคท ง้ั ทางดา นสงั คมและการเมอื ง ทาํ ใหเ กดิ ความวติ กกงั วลและความเครยี ดตางๆตามมา มนุษยจึงหันมาเอาใจใส ดูแลสุขภาพกันมากขึ้น โดยใชวิธีทางธรรมชาติ ทางเลือกหนึ่งที่นิยมกันมากคือ การบําบัดดวยกลิ่นหอม หรือสุคนธบําบัด (Aromatherapy) นั่นเอง ซึ่งทําใหเกิดความสมดุลทั้งทางรางกาย จิตใจและอารมณมักใชบริการไดทั่วไปในสถานบริการที่เรียกวา สปา (Spa) การใชป ระโยชนจ ากนาํ้ มนั หอมระเหยมมี าตง้ั แตส มยั 5,000 ปกอน ชาวอยี ปิ ตโ บราณเปน ชนชาตแิ รกท่ีมกี ารสกดั นาํ้ มนั หอมระเหยมาใชเปนสวนผสมในเครื่องสําอาง หลังจากนั้นก็มีชนชาติอื่นตามมา ไดแก จีนอินเดีย อียิปต ฝรั่งเศส เปนตน กลิ่นหอมตางๆที่นํามาบําบัดเปนสารสกัดที่มาจากน้ํามันหอมระเหยจากธรรมชาติ ซึ่งมีสรรพคุณและประโยชนม ากมาย เชน น้าํ มันพริกไท นาํ้ มันกานพลู น้ํามันลาเวนเดอร น้ํามันสะระแหน ฯลฯ โดยทั่วไปน้ํามันหอมระเหยสามารถเขาสูรางกายไดหลายทาง ไดแก การสูดดม การซึมผานผิวหนังและการรับประทาน แตละชนิดมีฤทธิ์ตอระบบตางๆของรางกายที่แตกตางกัน ขึ้นอยูกับประเภทและสรรพคณุ ของพชื ชนดิ นน้ั ๆ น้ํามันหอมระเหยจึงเปนการแพทยทางเลือกแบบหนึ่งที่สามารถปองกันและรักษาโรคหรอื อาการเจบ็ ปว ยทไ่ี มร า ยแรงทง้ั ทางรา งกายและจติ ใจไดเ ปน อยา งดี อยา งไรกต็ ามแมว า นาํ้ มนั หอมระเหยจะมีคุณประโยชนมากมาย แตหากใชผิดวิธีก็ยอมกอใหเกิดโทษได ดังนั้นผูใชจึงควรศึกษารายละเอียดของนาํ้ มนั หอมระเหยแตล ะชนดิ อยา งละเอยี ดกอ นนาํ มาใช2. ความหมายของน้ํามันหอมระเหยและสุคนธบําบัด น้ํามันหอมระเหย (Essentail Oils) เปนสารอินทรียที่พืชสรางขึ้น มักมีกลิ่นหอมและระเหยไดงายที่อณุ หภมู หิ อ ง พชื เหลา นจ้ี ะมตี อ มหรอื ทอ ทส่ี รา งและกกั เกบ็ นาํ้ มนั หอมระเหยไว (สถาบันวิจัยวิทยาศาสตรและเทคโนโลยแี หง ประเทศไทย, 254 ) โดยสามารถพบไดตามสวนตางๆของพืชหอม ไดแก ราก ลําตน ใบ ดอกผล เมล็ด เปนตน โดยระดับของน้ํามันหอมระเหยที่พบในพืชแตละชนิดจะมีตั้งแต 0.01% ถึง 10% (Prats,MS., and Jimenez, A., 2010) ประกอบดวยองคประกอบทางเคมีกวา 100 ชนิด นอกจากพืชหอมจะใหกลิ่นหอมแลว บางชนิดอาจกอใหเกิดอันตรายไดดวย เชน ทําใหเกิดการระคายเคืองหรือเกิดอาการเปนพิษ(Mcguinness, H., 2003) สคุ นธบาํ บดั (Aromatherapy) คอื ศาสตรแ ละศลิ ปะแหง การใชก ลน่ิ หอมของนาํ้ มนั หอมระเหยจากพชืธรรมชาติในการชวยบําบัดรักษาโรคทางรางกายและจิตใจ มีผลตอระบบประสาท บรรเทาความเครียดและ 2

อาการวิตกกังวล ผอ นคลายหรอื กระตนุ ใหรางกายและจิตใจเกิดความสมดุลและมสี ภาพทด่ี ขี น้ึ รวมทั้งปองกันโรคภัยไขเจ็บที่ไมรายแรงไดอีกดวย จึงนับไดว า เปน การแพทยท างเลอื กแบบหนง่ึ (Kuriyama, H., et al., 2005)3. ประเภทของสุคนธบําบัด ( าปนยี  หงสร ตั นาวรกจิ , 2550) การใชน้ํามันหอมระเหยในสุคนธบําบัดมีวัตถุประสงคท่ีแตกตางกันไป โดยท่ัวไปมักใชเพื่อบําบัดรักษาโรคและใชในเครื่องสําอางเพื่อความงาม สุคนธบําบัดจึงสามารถแบงออกไดเปน 2 ประเภทใหญๆคอื 1. สุคนธบําบัดเพื่อการรักษาโรค เปน การนาํ นาํ้ มนั หอมระเหยมาใชใ นการบาํ บดั รกั ษาโรคหรอื บรรเทาอาการของโรคทง้ั ทางรา งกายและจิตใจ ตวั อยา งเชน น้ํามันยูคาลิปตัส น้ํามันกานพลู เปนน้ํามันหอมระเหยที่มีคุณสมบัติในการตานจุลชีพในระบบทางเดนิ หายใจ นาํ้ มนั คารโ มไมล นาํ้ มนั สน ชว ยบรรเทาอาการปวดกลา มเนอ้ื และขอ ตอ นาํ้ มนั กหุ ลาบน้ํามันมะลิ น้ํามันลาเวนเดอร เปนน้ํามันที่หอมระเหยที่ชวยบรรเทาอาการผิดปกติทางดานจิตใจ ซึ่งเกิดจากความเครยี ด ภาวะซึมเศรา วติ กกังวล นอนไมห ลับ เปน ตน 2. สคุ นธบําบัดเพื่อความงาม เปนการใชน้ํามันหอมระเหยเปนสวนผสมในเครื่องสําอางหรือผลิตภัณ เสริมความงามบางชนิด มีคุณสมบัติในการชวยบํารุงผิวพรรณ ชะลอความแก ลดริ้วรอย ตานอนุมูลอิสระ ฯลฯ น้ํามันหอมระเหยที่ใชไดแ ก นาํ้ มนั ลาเวนเดอร นาํ้ มนั ซดี ารว ดู นาํ้ มนั ทที รี เปน ตน4. แหลงที่มาของน้ํามันหอมระเหย ( าปนยี  หงสรัตนาวรกิจ, 2550) น้ํามันหอมระเหยเปนน้ํามันที่สกัดไดจากสวนตางๆของพืช ไดแก ดอก ผล เปลือกผล เมล็ด ใบราก ลําตนใตดิน เนื้อไม หรือเปลือกไม โดยพืชเหลานี้จะมีบริเวณพิเศษซึ่งทําหนาที่เก็บสะสมสารที่มีกลิ่นหอม ไดแ ก 1. เซลลน าํ้ มนั (oil cells) หรอื เซลลเ รซนิ (resin cells) พบไดจากพืชวงศอบเชย พืชวงศขิง พืชวงศพรกิ ไทยและพชื วงศจ นั ทนเ ทศ 2. โพรงเก็บนาํ้ มนั (oil cavities) หรอื ถงุ นาํ้ มนั (oil sacs) พบไดจ ากพชื วงศส ม และพชื วงศช มพู 3. ชอ งเกบ็ นาํ้ มนั (oil canals) หรือชองเก็บเรซิน (resin canals) พบไดจากพืชวงศผักชีและพืชวงศสน 4. ทอ เกบ็ นาํ้ มนั (oil ducts) พบไดจากพืชวงศ Asteraceae เชน คาโมไมล 5. Glandular hairs พบไดจากพืชวงศกะเพรา . Internal hairs พบไดจากพืชวงศกลวยไม . บรเิ วณเซลลเ นอ้ื เยอ่ื บางๆ รอบพาเรนไคมา (parenchyma) หรอื idioblast พบไดจากพืชวงศจําปา 3

5. องคประกอบทางเคมีของน้ํามันหอมระเหย (สถาบันวิจัยวิทยาศาสตรและเทคโนโลยีแหงประเทศไทย,254 ) นาํ้ มนั หอมระเหยเปน สารประกอบทม่ี สี ว นผสมซบั ซอ น แตล ะชนดิ ประกอบดว ยองคป ระกอบทางเคมีหลายชนิด สวนใหญมักจะเปนสารประกอบจําพวกเทอรพีนส (terpenes) สูตรโดยทั่วไป คือ (C5H )nสามารถแบง ตามองคป ระกอบทางเคมไี ด 3 ประเภท ดงั น้ี 1. โมโนเทอรพีนส (Momoterpenes) มีอะตอมของคารบอนเปนโครงสรางหลัก 10 อะตอม เกิดจากการนํา isoprene 2 ตัวมาเชื่อมตอกัน มีทั้งในรูปของสารเรียงตัวแบบเปนวง เชน limonene พบมากในน้ํามันมะนาวและน้ํามันผิวสม และเรียงตัวแบบไมเปนวง เชน -myrcene, linalool (ดังรูปที่ 1) ( าปนีย หงสรัตนาวรกิจ, 2550) น้ํามันหอมระเหยในกลุมนี้มีคุณสมบัติในการกระตุนระบบประสาท ระงับเชื้อและขับเสมหะนอกจากนย้ี งั พบวา มฤี ทธย์ิ บั ยง้ั การเจรญิ ของเซลลม ะเรง็ และชกั นาํ ใหเ กดิ apoptosis ไดอีกดวย (จีรเดช มโนสรอ ยและคณะ, 2553)Limonene -Myrceneรปู ท่ี 1 แสดงโครงสรางของสารในกลุม Monoterpenes ชนิดเรียงตัวเปนวงและไมเปนวง 2. เสสควิเทอรพีนส (Sesquiterpenes) มอี ะตอมของคารบ อนเปน โครงสรา งหลกั 15 อะตอม เกิดจากการนํา isoprene 3 ตัวมาเชื่อมกัน ( าปนีย หงสรัตนาวรกิจ, 2550) เชน สาร -caryophyllene พบมากในนาํ้ มันในฝรงั่ สาร zingiberene พบมากในน้ํามันสกัดจากพืชตระกูลขิง (ดงั รปู ท่ี 2) สารในกลุมนี้มีคุณสมบัติตา นการอกั เสบ ชว ยผอ นคลายHumulene Zingibereneรปู ท่ี 2 แสดงโครงสรางของสารในกลุม Sesquiterpenes 3. ฟนิลโพรพีน (Phenylpropenes) มีโครงสรางหลักเปนวงอะโรมาติก (aromatic ring) ตอกับอะตอมของคารบอน 3 อะตอม เชน สาร Eugenol/Cinnamic aldehyde พบในน้ํามันหอมระเหยจากกานพลู 4

อบเชยจีน อบเชยลังกา มีคุณสมบัติในการตานแบคทีเรียและชาเฉพาะที่ (local anesthetic) สารAnethole/Estragole พบไดในน้ํามันหอมระเหยจากตนจันทนเทศ (nutmeg) โหระพา (sweet basil) เปนตนมีคุณสมบัติในการแกอาการเกร็ง ( าปนยี  หงสร ตั นาวรกจิ , 2550)6. การวเิ คราะหหาองคประกอบทางเคมีของน้ํามันหอมระเหย (สถาบันวิจัยวิทยาศาสตรและเทคโนโลยีแหงประเทศไทย, 254 ) น้ํามันหอมระเหยประกอบดวยองคประกอบทางเคมีหลายชนิดแตกตางกันไป ในการวิเคราะหหาองคป ระกอบทางเคมขี องนาํ้ มนั หอมระเหย สามารถทาํ ไดห ลายวธิ ี ทน่ี ยิ มนาํ มาใชใ นการวเิ คราะห ไดแ ก 1. แกสโครมาโทกราฟ (Gas Chromatography, GC) (Prats, MS., and Jimenez, A., 2010) เปนวิธีที่นิยมใชในการวิเคราะหหาองคประกอบทางเคมีของน้ํามันหอมระเหยมากที่สุด คอลัมนที่นิยมใชเ ปน แบบ capillary ภายในจะบรรจุและเคลือบดวยเฟสนิ่ง (stationary phase) เชน DB-1, Carbowax, OV-1, OV-101 ฯลฯ ในการเลอื กชนดิ ของเฟสนง่ิ เปน สง่ิ ทส่ี าํ คญั มากเพราะจะมผี ลตอ ประสทิ ธภิ าพในการแยกสารและการวิเคราะห หากเลือกไมเหมาะสมอาจเกิดความผิดพลาดและทําใหการวิเคราะหเปนไปไดยาก เครื่องตรวจวัดที่นิยมใชไดแก FID (The Flame Ionization Detector) ใชสําหรับตรวจและวัดปริมาณขององคป ระกอบทางเคมขี องนาํ้ มนั หอมระเหยบางชนดิ 2. High Performance Liquid Chromatography (HPLC) เปนเทคนิคอีกชนิดหนึ่งที่นํามาใชในการวิเคราะหองคประกอบทางเคมีในน้ํามันหอมระเหย แตไมเปนที่นิยมใชมากนัก สวนใหญจะใชคอลัมนชนิด normal phase 3. การใชเทคนิค Hyphenated และ Multidimensionnal gas chromatography Hyphenated หรอื Multidimensionnal เปนเทคนิคที่ใชในการวิเคราะหหาองคประกอบทางเคมีของน้ํามันหอมระเหยที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น และเกิดขึ้นเมื่อไมนานมานี้ (Prats, MS., and Jimenez, A., 2010)เปนการนําเทคนิคตั้งแต 2 เทคนิคขึน้ ไปมาวเิ คราะหห าองคป ระกอบของนาํ้ มนั หอมระเหย โดยอาจนาํ เครอ่ื งมอืชนิดเดียวกันมาตอพวงเขาดวยกัน เชน GC-MS เปนเทคนิคที่นิยมใชมากที่สุด เพื่อเปนการตรวจสอบและยืนยันผลที่ไดจากการวิเคราะหครั้งแรกดวย GC-FID 4. Nuclear Magnetic Resonance Spectroscopy (NMR) เปนเทคนิคที่ใชในการศึกษาโครงสรางของสารในน้ํามันหอมระเหย โดยดูจากคาการดูดกลืนพลงั งานเรโซแนนซข องอะตอมของโปรตอนและคารบ อนในโมเลกลุ ของสารนน้ั ๆ7. วิธีการสกัดน้ํามันหอมระเหย (Methods of Extraction) (Mcguinness, H., 2003) การสกัดน้ํามันหอมระเหยจากพืชธรรมชาติมีหลายวิธีดวยกัน โดยการเลือกวิธีการสกัดน้ํามันหอมระเหยจะตองพิจารณาลักษณะและปจจัยตางๆรวมดวย ตัวอยางเชน สวนของพืชที่นํามาสกัด คุณสมบัติทาง 5

เคมีและกายภาพของน้ํามันหอมระเหยที่ตองการ วัตถุประสงคของการนําน้ํามันหอมระเหยไปใช ฯลฯ วิธีการสกดั นาํ้ มนั หอมระเหยสามารถแบง ออกได ดงั ตอ ไปน้ี 1. การกลั่น (Distillation) ( าปนยี  หงสร ตั นาวรกจิ , 2550) วธิ นี เ้ี ปน วธิ ที น่ี ยิ มใชก นั อยา งแพรห ลาย เพราะเปน วธิ ที ป่ี ระหยดั และสามารถใชแยกน้ํามันหอมระเหยไดเกือบทุกชนิด สิ่งที่สําคัญที่ตองควบคุมในการกลั่น คือ ระยะเวลาและอุณหภูมิ เพราะจะสงผลถึงคุณภาพและกลน่ิ ของนาํ้ มนั ทไ่ี ด การกลน่ั แบง ออกได 3 วิธี คือ 1.1 การกลั่นดวยน้ํา (water distillation / hydrodistillation) นยิ มใชก บั พชื ทม่ี อี งคป ระกอบทางเคมไี มส ลายตวั เมอ่ื ถกู ความรอ น โดยการนาํ พชื ทต่ี อ งการกลน่ั มาใสในหมอกลั่น แลวเติมน้ําจนทวมพืช ตมจนน้ําเดือด เมื่อน้ําเดือดระเหยเปนไอ ไอน้ําจะชวยพาน้ํามันหอมระเหยที่อยูในเนื้อเยื่อพืชออกมา เมื่อผานเครื่องควบแนน ไอน้ําและไอของน้ํามันหอมระเหยจะควบแนนเปนของเหลว ไดเ ปน นาํ้ และนาํ้ มนั หอมระเหยแยกออกจากกนั ขอ เสยี ของวธิ นี ้ี คือ ในกรณีที่ตองกลั่นพืชปริมาณมากๆ ความรอนที่ใหสูหมอกลั่นจะไมสม่ําเสมอตลอดทั้งหมอกลั่น กอใหเกิดการไหมหรือการสลายตัวขององคประกอบบางชนิดทําใหกลิ่นของน้ํามันหอมระเหยเปลี่ยนไป หรืออาจมีกลิ่นของภาชนะติดมาดวย(สถาบันวิจัยวิทยาศาสตรและเทคโนโลยีแหงประเทศไทย, 254 ) สําหรับการกลั่นพืชปริมาณนอยๆ ในหอ งปฏบิ ตั กิ าร เราสามารถทาํ ได โดยใชช ดุ กลน่ั ทท่ี าํ จากเครอ่ื งแกว เรยี กวา ชุดกลั่นชนิด Clevenger 1.2 การกลั่นดวยน้ําและไอน้ํา (water and steam distillation) นยิ มใชก บั พชื ทม่ี อี งคป ระกอบทางเคมสี ลายตวั เมอ่ื ถูกความรอนโดยตรง ทําโดยนําพืชที่ตองการกลั่นมาวางบนตะแกรงที่อยูเหนือหมอตมน้ํา ใหความรอนจนน้ําเดือดกลายเปนไอน้ํา ( าปนีย หงสรัตนาวรกิจ,2550) ไอนาํ้ จะชว ยพานาํ้ มนั หอมระเหยแลว ควบแนน กลบั มาเปน นาํ้ กบั นาํ้ มนั หอมระเหย (ดงั รปู ท่ี 3) การกลน่ัโดยวิธีนี้ อาจเรียกวา Wet steam พืชที่ใชกลั่นโดยวิธีนี้จะมีคุณภาพดีกวาวิธีแรก รปู ท3่ี แสดงลักษณะของเครื่องกลั่นดวยน้ําและไอน้ํา (ที่มา : http://www.tistr.or.th/pharma/Essen_ext.htm)

1.3 การกลั่นดวยไอน้ํา (steam distillation) ทําโดยการนําพืชที่ตองการกลั่นมาวางบนตะแกรงที่อยูเหนือหมอกลั่นใหผานความรอนจากไอน้ํา ไอนาํ้ จะเปน ตวั พานาํ้ มนั หอมระเหยในพชื ระเหยออกมาอยางรวดเร็ว ขอดีของวิธีนี้คือ ใชเวลากลั่นสั้นและน้ํามันหอมระเหยที่ไดมีคุณภาพและปริมาณสูงกวาสองวิธีแรก พืชที่ไมเหมาะสมในการกลั่นดวยวิธีนี้คือ สวนของพืชท่ีมีลักษณะบาง เชน กลีบกุหลาบ ควรใชวิธีการสกัดโดยใชไขมันจะเหมาะสมกวา (สถาบันวิจัยวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยแี หง ประเทศไทย, 254 ) (ดงั รปู ท่ี 4) รปู ท4่ี แสดงลักษณะของเครื่องกลั่นดวยไอน้ํา (ที่มา : Mcguinness, H., 2003) 2. การสกัดโดยใชตัวทําละลาย (Solvent extraction) วธิ นี จ้ี ะทาํ ใหไ ดน าํ้ มนั หอมระเหยทม่ี คี วามเขม ขน สงู (สิริลักษณ มาลานิยม, 2545) โดยตัวทําละลายทน่ี ยิ มใช ไดแ ก ปโ ตรเลยี มอเี ทอร เบนซีนหรือเฮกเซน ซึ่งจะสกัดสารหอมจากพืชออกมา ซึ่งจะมีไข สารสีและแอลบูมินออกมาดวย นําสารที่สกัดไดไประเหยไลตัวทําละลายออกที่อุณหภูมิต่ําภายใตระบบสุญญากาศจะไดสวนที่เรียกวา concrete (ดังรูปที่ 5) (สถาบันวิจัยวิทยาศาสตรและเทคโนโลยีแหงประเทศไทย, 254 )เราสามารถนํา concrete ไปใชในการแตงกลิ่นสบูได แตไมนิยมใชในน้ําหอมเพราะยังไมบริสุทธิ์เพียงพอ( าปนยี  หงสร ตั นาวรกจิ , 2550) วิธีนี้ไมนิยมนําไปใชในอุตสาหกรรมเครื่องสําอางและอาหาร เนื่องจากยังมีสารละลายทเ่ี ปน พษิ ตกคา งอยู (Prats, MS., and Jimenez, A., 2010) รปู ท5่ี แสดงลักษณะของการสกัดดวยตัวทําละลาย (ที่มา : Mcguinness, H., 2003)

3. การบีบหรือการบีบเย็น (Expression/Cold expression) วธิ นี ม้ี กั ใชก บั พชื ตระกลู สม เชน สม มะนาว มะกรดู สม โอ โดยการบบี เปลอื กของผลไมท าํ ใหเ ซลลของพืชแตกออกแลวปลอยน้ํามันออกมา ( าปนีย หงสรัตนาวรกิจ, 2550) เนื่องจากการสกัดดวยวิธีนี้ไมใชความรอ นจงึ ทาํ ใหน าํ้ มนั หอมระเหยทไ่ี ดม กี ลน่ิ ใกลเ คยี งกบั พชื สด แตมีขอเสียคือ น้ํามันที่ไดจะมีปริมาณนอยและไมบ รสิ ทุ ธ์ิ (สริ ลิ กั ษณ มาลานยิ ม, 2545) 4. การสกัดโดยใชไขมัน (Enfleurage) วิธีนี้มักใชกับดอกไมกลีบบางจําพวกกุหลาบและดอกมะลิ โดยการนําดอกไมมาวางทับถาดกระจกที่เกล่ียดวยไขมันสัตวบางๆ เพื่อใหไขมันดูดซับสารหอมจากดอกไม โดยใชเวลาประมาณ 1-3 วันกระบวนการนจ้ี ะทาํ ซาํ้ ๆกนั จนกระทง่ั ไขมนั ดดู สารหอมอยา งเพยี งพอ ไขมนั ทด่ี ดู สารหอมนเ้ี รยี กวา pommadeนํา pommade ไปละลายในแอลกอฮอลก็จะไดน้ํามันหอมระเหยออกมา การผลิตน้ํามันหอมระเหยมักจะสกัดดวยวิธีนี้มากกวา 10% 5. การสกัดโดยใชคารบอนไดออกไซด (Super-critical carbon dioxide extraction) วธิ นี เ้ี ปน วธิ กี ารสกดั นาํ้ มนั หอมระเหยแบบใหม โดยใชค ารบ อนไดออกไซดใ นรปู ของเหลวและแกสภายใตค วามดนั และอณุ หภมู ทิ ส่ี งู (Prats, MS., and Jimenez, A., 2010) โดยใชความดันประมาณ 200 atm ท่ีอณุ หภมู ปิ ระมาณ 30oC นาํ้ มนั หอมระเหยทไ่ี ดจ ะมคี ณุ ภาพดแี ละมคี วามบรสิ ทุ ธส์ิ งู แตม ขี อ เสยี คอื เครอ่ื งมอื มีราคาแพงมาก8. คุณสมบัติของน้ํามันหอมระเหยจากพชื แตละวงศ ( าปนยี  หงสรัตนาวรกิจ, 2550) จากทท่ี ราบกนั วา นาํ้ มนั หอมระเหยเปน นาํ้ มนั ทส่ี กดั ไดจ ากสว นตา งๆของพชื ไดแ ก ดอก ผล เปลอื กผล เมล็ด ใบ ราก ลําตนใตดิน เนื้อไม หรือเปลือกไม โดยพืชที่มีคุณสมบัติในการใหน้ํามันหอมระเหยมีหลากหลายวงศ โดยจะขอยกตัวอยางพืชบางวงศที่นิยมนํามาใชเปนน้ํามันหอมระเหยในการทําสุคนธบําบัดซง่ึ มดี งั ตอ ไปน้ี 1. พืชวงศกะเพรา (Lamiaceae/Labiatae) เปนวงศที่ใหน้ํามันหอมระเหยมากที่สุด พืชในวงศนี้ไดแ ก กะเพรา โหระพา ลาเวนเดอร เปเปอรม นิ ท โรสแมรี่ ไธม พิมเสน เปนตน น้ํามันที่ไดสวนใหญมักมาจากใบ มีคุณสมบัติในการระงับเชื้อ ลดอาการปวดเกร็งของกลามเนื้อเรียบ พืชวงศนี้เปนพืชที่มีความปลอดภัยสูง ยกเวนน้ํามันเสจ (sage oil) และน้ํามันฮิสสอพ (hyssop oil) เพราะมีองคประกอบพวกคีโตนหากไดรับในปริมาณที่มากเกินไปจะทําใหเปนพิษตอระบบประสาท 2. พืชวงศอบเชย (Lauraceae) ไดแก อบเชย การบูร ใบเบย เปนตน พืชในวงศนี้จะมีกลิ่นแรง(strong odor) และมกี ลน่ิ ฉนุ (penetrating odor) ชวยทําใหเบิกบาน (uplift) แตพ ชื ในวงศส ว นใหญท าํ ใหเ กดิพษิ สงู เชน ใบเบย ขเ้ี หลก็ หรอื sasafias 3. พชื วงศช มพู (Myrtaceae) ไดแก กานพลู ยูคาลิปตัส เสม็ดขาว ทีทรี น้ํามันเขียว เปนตน สวนใหญมาจากใบซึ่งมีคุณสมบัติในการระงับเชื้อ โดยเฉพาะในระบบทางเดินหายใจ ตานไวรัส (antiviral) ฝาด

สมาน (antringent) และบํารุงกําลัง (tonic) แตมีขอควรระวังในการใชคือ อาจทําใหเกิดการระคายเคืองผวิ หนงั 4. พืชวงศมะลิ (Oleaceae) ไดแก มะลิซอน มะลิลา น้ํามันมะลิที่ใชกันจะเปนสวนของ absoluteหรอื เปน สารสงั เคราะหข อง jasmones นาํ้ มนั มะลมิ คี ณุ สมบตั ชิ ว ยคลายกลา มเนอ้ื (relaxant) 5. พืชวงศพริกไทย (Piperaceae) ไดแก พริกไทยดํา มีคุณสมบัติระงับปวด (analgesic) ขับเสมหะ(expectorant) บาํ รงุ กาํ ลงั และกระตนุ ระบบประสาท (nerve-stimulant) 6. พืชวงศหญา (Poaceae/Gramineae) ไดแก ตะไคร ตะไครหอม แฝกหอม เปนตน น้ํามันหอมระเหยจากพืชวงศนี้มีคุณสมบัติตานการอักเสบและบํารุงกําลัง มีรายงานวา แฝกหอมชวยกระตุนระบบประสาทและระบบภมู คิ มุ กนั (immune system) 7. พืชวงศกุหลาบ (Rosaceae) พืชในวงศนี้ชนิดที่ใหน้ํามันหอมระเหย คือ Rose otto โดยกลิ่นของน้ํามันกุหลาบที่ไดจากการกลั่นดวยไอน้ําจะมีความหอมหวานนอยกวาที่ไดจากการสกัดดวยตัวทําละลาย ซึ่งน้ํามันหอมระเหยที่ไดจากการกลั่นจะนํามาใชประโยชนทางการแพทยมากกวา 8. พชื วงศส ม (Rutaceae) น้ํามันหอมระเหยจากพืชวงศนี้มีที่มาหลายแหลง ไดแก บริเวณเปลือกผลไดจากสม มะกรูด มะนาว สมโอ เปนตน บริเวณใบและดอก ไดจาก bitter orange (Citrus aurantiumvar. amara) 9. พืชวงศขิง (Zingiberaceae) ไดแก ขิง ขา ขมิ้นชัน ขมิ้นขาว ไพล ไพลดํา ฯลฯ พืชในวงศนี้มีลักษณะพิเศษตรงที่ทุกสวนของตนจะมีกลิ่นของน้ํามันหอมระเหยอยู บางชนิดมีคุณสมบัติในการตานอนุมูลอสิ ระ จากงานวิจัยมีการนําตัวอยางพืชในวงศนี้ 5 ชนิด ไดแก ขา ขมิ้นชัน ขมิ้นขาว ไพลและไพลดํา มาทดสอบพบวา พืชที่มีคุณสมบัติในการตานอนุมูลอิสระมากที่สุด ไดแก ขมิ้นชัน (จักรพันธ จุลศรีไกวัลและคณะ, 2553)9. ฤทธิ์ทางชีวภาพของน้ํามันหอมระเหย ( าปนยี  หงสร ตั นาวรกจิ , 2550) น้ํามันหอมระเหยเขาสามารถเขาสูรางกายโดยวิธีสุคนธบําบัดมี 3 วิธีคือ ผานทางผิวหนัง ผานทางระบบทางเดนิ หายใจหรอื การสดู ดม (Mcguinness, H., 2003) และการรบั ประทาน (วธิ กี ารรับประทานไมนิยมมากนกั จะพบมากในประเทศฝรง่ั เศสเทา นน้ั ) หลงั จากน้ํามันหอมระเหยเขาสูรางกายแลวก็จะถูกดูดซึมเขาไปและมผี ลตอ ระบบตา งๆภายในรา งกาย (กฤษณา ภูตะคาม, 2553) ดังนี้ 1. ฤทธ์ติ อ ระบบประสาท น้ํามันหอมระเหยมีผลตอทั้งระบบประสาทสวนกลางและสวนนอก (peripheral nervous system)โดยสงผลกระตุนระบบประสาททําใหรูสึกตื่นตัว มีกําลัง สดชื่น นิยมนํามาใชในผูที่มีอาการซึมเศรา รูสึกหดหู ออ นเพลยี นาํ้ มนั หอมระเหยทใ่ี ชไ ดแ ก นาํ้ มนั มะลิ นาํ้ มนั โรสแมร่ี นาํ้ มนั มะนาว

2. ฤทธิ์ตานจุลชีพ (Antimicrobial effects) - ฤทธิ์ตานแบคทีเรีย น้ํามันหอมระเหยประเภทนี้มีองคประกอบสําคัญประเภทสารประกอบฟนอลสารประกอบแอลดีไฮด สารประกอบแอลกอฮอล สารประกอบเอสเทอรและสารประกอบคีโตน โดยสารterpenoids จะยับยั้งการทํางานผนังเซลลของเชื้อโดยยับยั้งการสงผานอิเลคตรอน การเคลื่อนยายโปรตีนตลอดจนปฏกิ ริ ยิ าตา งๆของเอนไซมท าํ ใหเ ซลลต ายได - ฤทธิ์ตานเชื้อรา มีองคประกอบสําคัญของสารประกอบแอลดีไฮด น้ํามันหอมระเหยชนิดนี้ไดแกนาํ้ มนั เทยี นสตั ตบศุ ย นาํ้ มนั เทยี นขา วเปลอื ก นาํ้ มนั ทที รี นาํ้ มนั ขา วเปลอื ก - ฤทธิ์ตานไวรัส องคประกอบสําคัญไดแก anethole, -caryophyllene, carvone, cinnamic aldehyde,citral เปน ตน นาํ้ มนั หอมระเหยชนดิ นไ้ี ดแ ก นาํ้ มนั อบเชยจนี นาํ้ มนั อบเชยลงั กา นาํ้ มนั สะระแหน ฯลฯ 3. ฤทธิ์ตอระบบทางเดินอาหาร น้ํามันหอมระเหยที่ใชในระบบทางเดินอาหารไดมาจากพืชในวงศกะเพรา เชน กะเพรา โหระพาสะระแหน ไธม พมิ เสน พชื วงศผ กั ชแี ละพชื วงศส ม 4. ฤทธิ์ตอระบบทางเดินหายใจ ชวยละลายเสมหะ ขับเสมหะ แกไอ บรรเทาอาการคัดจมูก ชวยลดการคั่ง (decogestant) กระตุนระบบทางเดนิ หายใจ องคประกอบของน้ํามันหอมระเหยที่มีคุณสมบัติในการละลายเสมหะไดแก สารพวกคีโตน เชน carvone, menthone ไดแ ก นาํ้ มนั ยคู าลปิ ตสั นาํ้ มนั สน นาํ้ มนั ไธม นาํ้ มนั สะระแหน 5. ฤทธิ์ตอระบบกลามเนื้อและขอตอ นาํ้ มนั หอมระเหยจะทาํ หนา ทใ่ี นการเพม่ิ การไหลเวยี นของเลือดบริเวณที่มีเลือดคั่งอยู ทําใหลดอาการบวมหรืออักเสบได โดยน้ํามันหอมระเหยที่มีคุณสมบัติตานการอักเสบมีองคประกอบที่สําคัญคือ azulene,chamazulene, (-)--bisabolol เปนตน น้ํามันหอมระเหยเหลานี้ไดแก น้ํามันคาโมไมล น้ํามันสะระแหนนาํ้ มนั สน นาํ้ มนั ยูคาลปิ ตัส 6. ฤทธิ์ตอระบบไหลเวียนเลือด หัวใจและหลอดเลือด ชวยกระตุนการไหลเวียนเลือดสงผลใหหัวใจและสมองทํางานไดดี น้ํามันหอมระเหยที่ใชไดแกน้ํามันกุหลาบ น้ํามันกานพลู น้ํามันโรสแมรี่ เปนตน สวนน้ํามันที่ชวยลดอาการปวดไมเกรน ทําใหหลอดเลอื ดขยาย บางชนิดยังสามารถลดความดันเลือดในผูที่มีภาวะเครียดไดคือ น้ํามันลาเวนเดอร น้ํามันกระดังงานาํ้ มนั ดอกสม เปน ตน 7. ฤทธิ์ตอระบบตอมไรทอและฮอรโมน น้ํามันหอมระเหยบางชนิดมีหนาที่คลายฮอรโมนภายในรางกาย ตัวอยางเชน น้ํามันเทียนขาวเปลือกน้ํามันเสจ ชวยทําใหเซลลผิวหนังมีความชุมชื่น ซึ่งทําหนาที่คลายกับฮอรโมนเอสโตรเจน (estrogen) และน้ํามันกระดังงา ชวยเพิ่มการหลั่งไขมันที่ผิวหนัง ซึ่งเปนสาเหตุใหหนามันหรือเปนสิว ทําหนาที่คลายกับฮอรโมนแอนโดรเจน จากหนาที่ที่คลายคลึงกันนี้ทําใหเราสามารถนําน้ํามันหอมระเหยมาใชในการบําบัดอาการผิดปกติที่เกิดจากฮอรโมนเพศได 10

นอกจากนี้ยังพบวา นาํ้ มนั หอมระเหยยงั มีฤทธิ์ในการกระตุนระบบภูมิคุมกันชวยใหมีประสิทธิภาพในการทํางานดีขึ้น ทําใหปริมาณเม็ดเลือดบางชนิด เชน เซลลเม็ดเลือดแดง เซลลเม็ดเลือดขาว มีจํานวนเพิ่มขึ้นหลงั จากทม่ี กี ารบาํ บดั โดยใชน าํ้ มนั หอมระเหย (Kuriyama, H., et al., 2005)10. รูปแบบการใชประโยชนจากน้ํามันหอมระเหย (กองบรรณาธิการ, 254 ) และ (คมสนั หตุ ะแพทย, 254 ) น้ํามันหอมระเหยเปนน้ํามันที่ประกอบดวยองคประกอบทางเคมีมากมาย สงผลใหการทํางานของระบบอวยั วะภายในรา งกายและสมอง รวมถงึ มผี ลทางอารมณแ ละจิตใจ ชวยใหเกิดความสมดุลหากสดู ดมหรอืสมั ผสั ผา นทางผวิ หนงั รปู แบบในการใชน าํ้ มนั หอมระเหยสามารถประยกุ ตใ ชไ ดห ลายรปู แบบ ซง่ึ มีดังตอ ไปนี้ 1. การสูดดม (Inhalation) การสูดดมเปน วธิ ที ม่ี ปี ระสทิ ธภิ าพและรวดเรว็ ทส่ี ดุ โดยเกิดขึ้นภายในเสี้ยววินาที (กฤษณา ภูตะคาม,2553) เหมาะสําหรับการบําบัดผูที่เปนโรคหวัดหรือโรคที่เกี่ยวกับทางเดินหายใจ แตไมควรใชกับผูที่เปนโรคหอบหดื วธิ กี ารใชท าํ โดยการหยดนาํ้ มนั หอมระเหย -12 หยดลงในชามหรือกะละมังที่มีน้ํารอนที่มีไอ โดยใชผ า ขนหนคู ลมุ ศรี ษะกม หนา เหนอื ชามหรอื กะละมงั สดู ดมไอระเหย โดยหายใจลกึ ๆ การสดู ดมไอนาํ้ จะชว ยทาํ ใหเ ยอ่ื บทุ างเดนิ หายใจชมุ ชน้ื ทาํ ใหช อ งทางเดนิ หายใจเปด และผอ นคลาย 2. การนวดตัว (Aromatherapy massage) เปนวิธีที่นิยมกันมาก โดยใชน้ํามันหอมระเหยผสมลงในน้ํามันที่ใชนวดตัว เปนการชวยกระตุนกลา มเนือ้ ระบบประสาท เนื้อเยอื่ และผวิ หนงั ลดอาการปวดเม่อื ย ชวยใหก ารไหลเวียนของโลหิตดขี ้ึน วธิ ีใชทาํ โดยหยดนาํ้ มนั หอมระเหยประมาณ 10-15 หยด ผสมกับน้ํามันพืชที่ใชนวดตัว 30 มลิ ลลิ ติ ร สาํ หรบั นาํ้ มนัพืชที่ใชนวดตัว นอกจากจะเปนน้ํามันตัวพาน้ํามันหอมระเหยเขาสูผิวแลว ตัวมันเองยังมีคุณสมบัติในการบํารุงผิวพรรณ ในการใชควรเลือกน้ํามันใหเหมาะสมกับผิวของผูที่ถูกนวดดวย 3. เตาระเหย (Fragrancers) วธิ นี ท้ี าํ โดยการหยดนาํ้ มนั หอมระเหย 3- หยดลงไปในนํ้าที่อยูใ นฝาหรือถวยเหนือเตาหรือตะเกียงเผาความรอนจากเทียนประมาณ 0oC น้ํามันหอมระเหยจะคอยๆระเหยทําใหเกิดกลิ่นหอม ชวยสรางบรรยากาศทาํ ใหเกิดความผอนคลาย ชว ยบาํ บดั อารมณแ ละจติ ใจ 4. ผสมน้ําอาบ (Bathing) วิธีการนี้ทําโดยการหยดน้ํามันหอมระเหย 5-15 หยดลงไปในอางอาบน้ํา ควรปดประตูหรือผามานเพอ่ื ปอ งกนั กลน่ิ ระเหยออกไป แชต วั ลงไปนาน 10-15 นาที วิธีการนี้จะทําใหไดทั้งการสูดดมและสัมผัสทางผวิ หนงั หากเปนคนผิวแพงายควรผสมน้ํามันหอมระเหยกับน้ํามันตัวพาเสียกอน สําหรับการอาบน้ําดวยวิธีตักอาบหรือใชฝกบัว หลังอาบน้ําเสร็จใหหยดน้ํามันหอมระเหยที่เจือจางแลวลงบนผาหรือฟองน้ําหรือใยบวบแลวใชถูตัวดวยน้ําหมาดๆ จากนั้นใชน้ําลางตัวอีกครั้งหนง่ึ 11

5. การแชมือ แชเทา (Hand and Foot Bath) วิธีการนี้ทําโดยการหยดน้ํามันหอมระเหย 4-5 หยดลงในน้ําอุนในอางหรือกะละมัง แลวแชมือหรือเทานาน 10 นาที จะชวยใหเกิดการผอนคลายความเมื่อยลาที่มือและเทาได นอกจากนี้ยังชวยลดอาการตึงเครียด ปวดศีรษะหรือปวดไมเกรนไดอีกดวย 6. ฉีดพนละอองฝอย (Room Sprays) วิธีนี้ทําโดยการนําน้ํามันหอมระเหย 10 หยดผสมกับน้ํา ชอนโตะและอาจผสมเหลาวอดกาหรือแอลกอฮอล 5% 1 ชอนโตะ (ไมใสก็ได) ใสลงในขวดที่มีหัวฉีดเปนสเปรยหรือละอองฝอย เขยาใหสว นผสมเขา กนั ใชฉ ดี ในหอ งนง่ั เลน หอ งอาหาร หอ งทาํ งานหรอื หอ งนอน 7. หยดลงบนหมอน (Pillow Talk) วธิ นี เ้ี หมาะสาํ หรบั ผทู น่ี อนหลบั ยาก ใหลองใชน้ํามันหอมระเหยที่มีคุณสมบัติผอนคลายพวกกระดังงากหุ ลาบ มะลิ หยดลงไปบนหมอน 2-3 หยด จะชว ยใหห ลบั งา ยและหลบั สบาย 8. กลั้วคอบวนปาก วธิ นี ท้ี าํ โดยการหยดนาํ้ มนั หอมระเหย 2-3 หยดลงในน้ํา ¼ แกว คนใหเขากัน ใชกลั้วคอหรือบวนปาก ชว ยบาํ บดั โรคในชอ งปากและคอ ชว ยฆา เชอ้ื โรค ลดกลน่ิ ปาก 9. การประคบ (Compresses) เปน วธิ ที ใ่ี ชผ า ขนหนหู รอื ผา เชด็ หนา จมุ แชล งในนาํ้ อนุ ทผ่ี สมนาํ้ มนั หอมระเหย (หยดน้ํามันหอมระเหย5-10 หยดตอ นาํ้ 1 0 มลิ ลลิ ติ ร) บดิ พอหมาด ประคบบรเิ วณทม่ี อี าการนาน 20-30 นาที 10. น้ํามันบํารุงผิวหนาผิวกาย (Body and Facial Oils) เราสามารถใชน้ํามันหอมระเหยผสมกับน้ํามันที่ใชบํารุงผิวพรรณทั้งใบหนาและรางกาย โดยใชน้ํามันหอมระเหย 1% กบั นาํ้ มนั บาํ รงุ ผวิ หนา และใชน าํ้ มนั หอมระเหย 3% กับน้ํามันบํารุงผิวกาย 11. เทียนหอม (Scented Candles) เราสามารถผสมน้ํามันหอมระเหยลงไปในการทําเทียนได เมื่อเวลาจุดไฟกลิ่นหอมก็จะระเหยออกมาคลายกับการใชเตาระเหย หรืออาจจะผสมน้ํามันหอมระเหย 2-3 หยดลงในน้ํามันตะเกียงก็ได ซึ่งมีลักษณะเชนเดียวกัน11. ธรุ กจิ สปาในประเทศไทย ปจจุบันน้ํามันหอมระเหยไดถูกนํามาใชประโยชนในวงการอุตสาหกรรมมากขึ้น ไมวาจะเปนอุตสาหกรรมอาหาร อุตสาหกรรมยา อุตสาหกรรมเครื่องสําอาง ฯลฯ รวมถึงไดถูกนําไปใชในสุคนธบําบัดซึ่งเปนสวนหนึ่งในธุรกิจสปาและกลายเปนธุรกิจที่สําคัญสําหรับผูที่สนใจและเอาใจใสสุขภาพ โดยเปนการเนนการบําบดั โดยใชก ลน่ิ หอมของพชื จากธรรมชาติหรือน้ํามันหอมระเหยเปนหลัก จากงานวิจัยที่มีการสํารวจขอมูลของธุรกิจสปาไทยในป 2552 โดยการตอบแบบสอบถามของผูจัดการหรือเจาของธุรกิจสปาในสถาน 12

ประกอบการ 105 แหงที่ผานการรับรองจากกระทรวงสาธารณสุขแลวพบวา (รวีวรรณ พัดอินทรและคณะ,2552)  ธุรกิจสวนใหญมีการลงทุนนอยกวา 50 ลา นบาท และมกั ตง้ั อยใู นโรงแรมหรอื รสี อรท  นาํ้ มนั หอมระเหยที่ผูประกอบการสวนใหญเลือกใชเปนน้ํามันหอมระเหยจากธรรมชาติมากกวา นาํ้ มนั หอมระเหยจากการสงั เคราะห  บรกิ ารหลกั ของธรุ กจิ สปาคือ การนวดน้ํามัน การบาํ รงุ ผวิ หนา และผวิ กายและการอบไอนาํ้  น้ํามันหอมระเหยที่ไดรับความนิยมมากที่สุดคือ น้ํามันลาเวนเดอร (35. 1%) ตะไคร (20.54%) สม (1 .0 %) สาระแหนฝ รง่ั (15.1 %)และมะลิ (12.50%) (ดังแผนผงั ท่ี 1) น้ํามันมะลิ นาํ้ มนั สะระแหน นาํ้ มนั สม นาํ้ มนั ตะไคร นาํ้ มนั ลาเวนเดอร แผนผังที่ 1 แผนผังแสดงชนิดของน้ํามันหอมระเหยที่ไดรับความนิยมสูงสุด สําหรับสุคนธบําบัด (ที่มา : รวีวรรณ พัดอินทรและคณะ, 2552) เราสามารถจําแนกธุรกิจสปาไดตามหลักขององคกรสปาระหวางประเทศหรือ Internation SpaAssociations ไดดังนี้ (ป มไชย นนทวงษ, 254 ) 1. Hotel & Resort Spa เปนสถานบริการสปาที่อยูในโรงแรมหรือรีสอรท เพื่อรองรับผูมาพักแรมที่ตอ งการใชบ รกิ ารสปา นอกเหนอื จากใชบ รกิ ารหอ งพกั 2. Destination Spa เปน สปาทแ่ี ยกออกมาอยา งเดน ชดั เพอ่ื ใหบ รกิ ารโดยเฉพาะอยา งครบวงจร 3. Medical Spa เปนสปาที่มีการบําบัดรักษาควบคูกับศาสตรทางการแพทยและเครื่องมือแพทยบางอยา ง อยภู ายใตก ารควบคมุ ของบคุ ลากรแพทยผ เู ชย่ี วชาญ มกั อยตู ามสถานรกั ษาพยาบาลตา งๆ 4. Day Spa or City Spa เปน สปาระยะสน้ั ใชเ วลาแค 30 นาทหี รอื 1 ชั่วโมง สถานที่ตั้งมักอยูในเมอื งใหญๆ หรอื ยา นธรุ กจิ สาํ คญั ทเ่ี ขา ถงึ ไดง า ยและสะดวก 5. Mineral Spring Spa เปนบริการสปาตามแหลงทองเที่ยวที่เปนบอน้ําแรหรือน้ําพุรอนที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ . Club Spa เปน สปาทผ่ี สมผสานกบั ฟต เนสหรอื การออกกําลังกาย เพื่อไวบริการสําหรับผูที่มาออกกําลังกาย . Cruise Ship Spa เปนการใชสปาบนเรือสําราญผสมกับการออกกําลังกาย การจัดเตรียมอาหารที่สง เสรมิ สขุ ภาพกาย เพอ่ื ใหม คี วามสขุ สบาย ผอ นคลายและปลอดโปรง ระหวา งเดนิ ทาง 13

12. ตัวอยางของน้ํามันหอมระเหยที่ไดรับความนิยมจากงานวิจัยที่ทําการสํารวจถึงความนิยมของผูใชบริการสปาในป 2552 น้ํามันหอมระเหยที่ไดรับความนิยมจากมากไปนอ ยไดแก น้ํามันลาเวนเดอร ตะไคร สม สาระแหนฝรั่ง และมะลิ ตามลําดับ ซึ่งจะขอกลา วถงึ ขอ มลู โดยทว่ั ไปของนาํ้ มนั หอมระเหย โดยจะยกตวั อยา งนาํ้ มนั หอมระเหยขา งตน ดงั น้ี1. น้ํามันลาเวนเดอร (Lavender Oil)เปนน้ํามันหอมระเหยที่มีประโยชนและรูจักกันมากที่สุด (Mcguinness, H., 2003) ทําใหระบบตางๆภายในรา งกายเกดิ ความสมดลุ และอน่ื ๆอกี มากมายลักษณะทางกายภาพ นาํ้ มนั ไมม สี ี ( าปนยี  หงสร ตั นาวรกจิ , 2550)องคป ระกอบทางเคมี linalool, linalyl acetate, -pinene, -pinene, myrcene, Camphene, terpinene ฯลฯ (Masada, Y., 1 )สวนที่ใหนา้ํ มัน อยทู ย่ี อดดอกสด ของตน (คมสนั หตุ ะแพทย, 254 )วิธีการสกัด กลั่นดวยไอน้ําหรอื สกดั ดว ยสารละลาย www.summerbluesky.exteen.com/200 031...lavenderความรุนแรงของกลิ่น ระดบั ปานกลางคณุ สมบตั ิ แกปวด ปองกันโรคชัก บรรเทาอาหารซมึ เศรา ตา นเชอ้ื ไวรสั ฆา เชอ้ื แบคทเี รยี และ เชอ้ื โรค ฯลฯ2. นาํ้ มนั ตะไคร (Lemongrass Oil) เปน นาํ้ มนั หอมระเหยทม่ี สี มบตั เิ ดน สาํ หรบั ระบบภมู คิ มุ กนั ตอ มนาํ้ เหลอื ง ฯลฯลักษณะทางกายภาพ นาํ้ มนั สเี หลอื ง ( าปนยี  หงสร ตั นาวรกจิ , 2550)องคป ระกอบทางเคมี  and -citral, -pinene, camphene, -pinene, limonene, linalool, nerol, geraniol ฯลฯ (Masada, Y., 1 )สว นทใ่ี หน าํ้ มนั อยทู ใ่ี บสดและใบแหง ของตน (คมสนั หตุ ะแพทย, 254 )วิธีการสกัด กลั่นดวยไอน้ําความรุนแรงของกลิ่น ระดบั ปานกลางถงึ สงู www.phudin.com/post_tea.php%3Fs_...d%3D0030คณุ สมบตั ิ แกปวด ลดไข บรรเทาอาหารซึมเศรา ฆาเชื้อโรค ชว ยสมานแผล ฆา เชอ้ื แบคทเี รยี ชว ยดบั กลน่ิ ชวยในการยอย บรรเทาความผดิ ปกตขิ องเสน ประสาทบาํ รงุ รา งกายและจติ ใจ ฯลฯ3. นาํ้ มนั สม (Orange Oil) เปนน้ํามันที่มีราคาถูก ใชสําหรับดูแลผิวพรรณไดดี ชวยลดริ้วรอยบนผิวหนัง รวมทั้งมีคุณสมบัติใหความสดชื่น บํารุงจิตใจใหกระชุมกระชวย คลายความวิตกกังวล ซึมเศรา ทอแทหรือหดหู (คมสัน หุตะแพทย, 254 ) 14

ลักษณะทางกายภาพ นาํ้ มนั ทไ่ี ดจ ากการบบี จะมสี เี หลอื งเขม หรอื สสี ม สว นทไ่ี ดจ ากองคป ระกอบทางเคมี การกลน่ั จะไมม สี หี รอื สเี หลอื งออ น ( าปนยี  หงสร ตั นาวรกจิ , 2550)สว นที่ใหน ํ้ามัน limonene (~ 0%), decyl, octyl, nonyl, dodecyl aldehydes, citral,วิธีการสกัดองคป ระกอบทางเคมี acids และ esters (Masada, Y., 1 )ความรุนแรงของกลิ่นคณุ สมบตั ิ ผวิ หรอื เปลอื กของผลสม สกุ (คมสนั หตุ ะแพทย, 254 ) สกดั ดว ยวธิ บี บี อดั หรอื กลั่นดวยไอน้ํา www.cmlifes.com/10 -%25E0%25B %2...5A1.html สวนใหญเ ปน monoterpenes limonene ระดับปานกลาง บรรเทาอาหารซมึ เศรา ฆา เชอ้ื โรค ชว ยในการยอ ย ลดไข ทาํ ใหส งบ รกั ษากระเพาะ บาํ รงุ รา งกายและจิตใจ ฯลฯ4. นาํ้ มนั สะระแหน (Peppermint Oil) เปนน้ํามันหอมระเหยที่นํามาใชประโยชนไดมาก ชวยกระตุนทั้งทางรางกายและจิตใจ เปนที่รูจักกันดีในการสงผลเกย่ี วกบั ระบบยอ ยอาหารและทางเดนิ อาหารลักษณะทางกายภาพ ไมม สี หี รอื สเี หลอื งออ น ( าปนยี  หงสร ตั นาวรกจิ , 2550)องคป ระกอบทางเคมี menthol (2 -4 %) , menthone (20-31%), -pinene, -pinene,สวนที่ใหน้ํามนั limonene, cineol, ethylamylalcohol ฯลฯ (Masada, Y., 1 )วิธีการสกัดความรุนแรงของกลิ่น ใบ ตน ดอก (คมสนั หตุ ะแพทย, 254 )คณุ สมบตั ิ กลั่นดวยไอน้ํา www.ramaclinic.ra.mahidol.ac.th/herb...021.html ระดับปานกลางถงึ สงู แกปวด แกอักเสบ ฆาเชื้อโรค ตานเชื้อไวรัส ลดน้ํามูก ขับเสมหะ ลดไข คลาย กลา มเนอ้ื ฯลฯ5. นาํ้ มนั มะลิ (Jasmine Oil)เปนน้ํามันหอมระเหยที่มีกลิ่นหอมหวานรัญจวนใจ ชวยใหรูสึกผอนคลายและยกระดับจิตใจ เปนนาํ้ มนั ทม่ี คี วามโดดเดน ในการสง ผลตอ ระบบสบื พนั ธแุ ละผวิ พรรณลกั ษณะทางกายภาพ นาํ้ มนั สสี ม ดาํ หรอื สนี ้ําตาล ( าปนยี  หงสร ตั นาวรกจิ , 2550)สว นทีใ่ หน้ํามนั ดอก (คมสนั หตุ ะแพทย, 254 )วิธีการสกัด สารละลายหรอื การกลน่ั ดว ยไอนาํ้ หรือการสกัดโดยใช www.musicradio.in.th/station/vie...d%3D1 45 ไขมันดูดซบั 15

องคป ระกอบทางเคมี benzyl acetate ( 0- 0%), linalyl acetate ( .5%), linalool (15-20%), nerol, nerolidol, terpineol, bezylaconol, cresol, eugenol ฯลฯ (Masada, Y., 1 )ความรุนแรงของกลิ่น ระดับสงู มากคณุ สมบตั ิ บรรเทาอาการซมึ เศรา แกก ารอกั เสบ ฆา เชื้อโรค กระตุนกําหนัด ขับเสมหะ ทําให จิตใจสงบ ใหความชุมชื้น มีความสุข ฯลฯ (D'Amelio, SF., 1 )13. บทสรปุ ในสภาวะแวดลอมที่เต็มไปดวยมลพิษ ผูคนมักประสบปญหามากมายจนกอใหเกิดความวิตกกังวลหรือโรคเครียดตามมา การบําบัดโดยใชก ลน่ิ หอมของนาํ้ มนั หอมระเหยเปน วธิ หี นง่ึ ทน่ี า สนใจ เปน นาํ้ มนั ทส่ี กดัไดจ ากพชื ธรรมชาติ มีคุณสมบัติในการบําบัดหรือรักษาโรคที่ไมรายแรง มักนิยมใชควบคูกับสุคนธบําบัด ซึ่งเปน ศาสตรแ ละศลิ ปะแหง การบาํ บดั ดว ยกลน่ิ หอม โดยกลน่ิ หอมของพชื จะเขา สรู ะบบตา งๆภายในรา งกาย เชนระบบประสาท ระบบทางเดินหายใจ ระบบไหลเวียนเลือด ฯลฯ โดยวิธีการสัมผัสผานทางผิวหนังหรือจากการสูดดม ชวยใหระบบตางๆภายในรางกายและจิตใจเกิดความสมดุล รวมทง้ั กระตนุ ระบบภมู คิ มุ กนั ใหท าํ งานดีขึ้น การบําบัดดวยกลิ่นหอมของน้ํามันหอมระเหยจึงเปนทางเลือกที่ดีอีกทางหนึ่งสําหรับผูที่ดูแลและเอาใจใสสุขภาพ 1

เอกสารอางอิงกองบรรณาธกิ าร. 12 วธิ กี ารใชป ระโยชนจ ากนาํ้ มนั หอมระเหย. เกษตรกรรมธรรมชาติ. 254 , ปท ่ี 2, หนา - .กฤษณา ภตู ะคาม. นาํ้ มนั หอมระเหย (Essential oils) และ สคุ นธบาํ บดั (Aromatherapy). [ออนไลน] [อา งถงึ 10 มถิ นุ ายน 2553] เขา ถงึ ไดจ าก http://www.pharmacy.cmu.ac.th/dic/newsletter/newpdf/newsletter _1/essential%20oil.pdf.คมสนั หตุ ะแพทย. มหศั จรรยน าํ้ มนั หอมระเหย. เกษตรกรรมธรรมชาติ. 254 , ปท ่ี 3, หนา 1 -23.จรี เดช มโนสรอ ย, พงศธร ธรรมถนอม และอรญั ญา มโนสรอ ย. ฤทธต์ิ า นมะเรง็ ของนาํ้ มนั หอมระเหยจาก เครอ่ื งเทศและสมนุ ไพรไทย. [ออนไลน] [อา งถงึ 23 มิถุนายน 2553] เขา ถงึ ไดจ าก http://www.ist.cmu.ac.th/researchunit/pcrnc/paper/seminar/34 -35 .pdfจกั รพนั ธ จลุ ศรไี กวลั , สนุ ยี  จนั ทรส กาว, สวุ รรณา เวชอภกิ ลุ และไชยวฒั น ไชยสตุ . ฤทธต์ิ า นอนมุ ลู อสิ ระของ นาํ้ มนั หอมระเหยและสารสกดั ของพชื วงศ Zingiberaceae ในประเทศไทย. 254 . ตลุ าคม; 10-12; กรุงเทพ : ศนู ยป ระชมุ แหง ชาตสิ ริ กิ ติ ต, 254 . าปนยี  หงสร ตั นาวรกจิ . นาํ้ มนั หอมระเหยและการใชใ นสคุ นธบาํ บดั . กรงุ เทพ : โรงพมิ พว ิ รู ยก ารปก, 2550, หนา 1- , -12, 25-30, 1 2-1 3, 1 5-1 , 1 -200, 20 -210.ป มไชย นนทวงษ. ธรุ กจิ สปาไทยรงุ แน ตอ งสรา งมาตร านใหด กี อ น. เสน ทางเศรษฐี. มนี าคม, 254 , ปท ่ี 10, ฉบบั ท่ี 10 , หนา 1 -20, 22.รวีวรรณ พดั อนิ ทร, มยรุ ี กลั ปย าวฒั นกลุ และณั ยา เหลา ฤทธ.์ิ สคุ นธบาํ บดั และนาํ้ มนั หอมระเหยในธรุ กจิ สปาไทย. วารสารเภสชั ศาสตรอ สี าน. สงิ หาคม, 2552, ปท ่ี 5, ฉบบั ท่ี 2, หนา 1 0-1 .สริ ลิ กั ษณ มาลานยิ ม. นาํ้ มนั หอมระเหย สารสกดั จากพชื สมนุ ไพรไทย. สมอ สาร. กรกฎาคม, 2545, ปท ่ี 2 , ฉบบั ท่ี 325, หนา 3- .สถาบนั วจิ ยั วทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยแี หง ประเทศไทย. นาํ้ มนั หอมระเหยไทย. กรงุ เทพ : บริษัท เซเวน กรุป จาํ กดั , 254 , หนา -11, 15-21, 24-2 .D'Amelio, SF. Aromatherapy. A phytocosmetic desk reference. CRC Press, 1 , p. 4 -50.Kuriyama, H., et al. Immunological and psychological benefits of aromatherapy massage. Advance Access Publication, April, 2005, vol. 2, no. 2, p. 1 -1 4.Masada, Y. Analysis of essential oils by gas chromatography and mass spectrometry. New York : Wiley, 1 , p. 13-14, 35, 0, 150, 2 -2 .McGuinness, H. Aromatherapy therapy basics. 2nded., London : Hodder&Stoughton, 2003, p. 23-2 , 3 , 5 , 5 - 0, 2, - , 1- 2. 1

Prats, SM., and Jimenez, A. Essential oil : analysis by GC. Edited by Cazes, J. In Encyclopedia of chromatography. 2nd ed., CRC Press, 2005, p. 5 1-5 5. 1


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook