Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore การจัดการระบบชีวนิเวศเชิงพุทธ

การจัดการระบบชีวนิเวศเชิงพุทธ

Published by Raksaku54forester60, 2021-08-28 04:09:30

Description: เกิดจากจัดการองค์ความรู้ในพระไตรปิฎก โดยใช้ ปัพพราชตสูตร วนโรปสูตร และนิยาม5

Keywords: ระบบชีวนิเวศ,ฺBIOME System

Search

Read the Text Version

การจดั การความรู้ (KM Action Plan) : ก ชอื่ หนว่ ยงาน : กลุ่มท5่ี คุณพระช่วย! เปา้ หมาย KM : การจดั การระบบชวี นเิ วศแนวพทุ ธ การจดั การองคค์ วามรใู้ นพระไตรปฎิ ก เรือ่ ง : แนวทางการจดั การระบบชวี นิเวศแนวพุท 210 ข้อ 49 พระสตุ ตนั ตปฎิ ก เลม่ ท่ี 12 อังคตุ รนิกาย เอกทุกตกิ นิบาต วตั ถปุ ระสงค์ 1. เพอื่ ศกึ ษาวเิ คราะห์ระบบชีวนเิ วศ ทป่ี รากฏในปัพพตราชสูตร (พระไต อังคตุ รนิกาย เอกทกุ ตกิ นบิ าต 2. เพอ่ื นาเสนอแนวทางการจัดระบบชีวนเิ วศแนวพุทธ ชือ่ ผจู้ ดั ทา : 1.พระครูพิศาลสรธรรม 2.พระบุญชว่ ย ฐิตจิตโฺ ต 3.นายรักษา สุน ลาดบั กจิ กรรม วธิ กี ารได้ความรู้ ตวั 1 การกาหนดหาสง่ิ ทต่ี อ้ งรู้ อ่านในพระสตู ร ปัจจัยแหง่ 1.หมตู่ น้ ไม้ใหญ่(ไม้สาละใหญ่อาศัย หน้า 209-201 และ ระบบแนว ขนุ เขาหมิ พานต์) อรรถกถา จดั ระบบช 2.ขนุ เขา ภเู ขาศลิ า 2.อา่ นในหนงั สือ พุทธ 3.องคป์ ระกอบของตน้ ไม้ 3. สอบถามจาก 3.1 กงิ่ ใบออ่ น และใบแก่ อาจารยผ์ ู้สอน 3.2 เปลือกและสะเกด็ 4.จากการสอบถาม 3.3 กระพ้ีและแกน่ คณาจารย์ใน 4.พอ่ บา้ น มหาวทิ ยาลัย 5.ชุมชน 5.จากการระดมสมอง 6.ศรทั ธา 7.ศลี

กระบวนการจดั การความรู้ (KM Process) ทธ ตามท่ปี รากฏ ในปัพพตราชสตู ร (พระไตรปิฎก เลม่ ท่ี 20 ขอ้ ที่ 9 หนา้ ที่ 209 - ตรปิฎก เล่มท่ี 20 ข้อที่ 9 หนา้ ที่ 209 - 210 ขอ้ 49 พระสุตตนั ตปิฎก เลม่ ท่ี 12 นนิ ทบูรณ์ เป้าหมาย เครอ่ื งมือ/อปุ กรณ์ ผรู้ บั ผดิ ชอบ วชว้ี ดั ได้ข้อมลู สง่ิ ท่ตี ้องรู้ พระไตรปิฎก เล่มที่ 1.พระครูพิศาลสร สาหรบั สร้างระบบ 20 ข้อที่ 9 หน้าที่ ธรรม งโครงสร้าง แนวทางการ 209 - 210 ข้อ 49 2.พระบญุ ช่วย วทางการ จดั ระบบชีวนเิ วศ พระสตุ ตนั ตปิฎก เล่ม ฐิตจิตโฺ ต ชวี นิเวศแนว แนวพุทธ ที่ 12 องั คุตรนิกาย 3.นายรักษา เอกทุกติกนบิ าต สุนนิ ทบูรณ์ 2.อรรถกถา องั คตุ ตร นกิ าย ติกนบิ าต ปฐม ปัณณาสก์ จูฬวรรคที่ 5 ขอ้ 9 ปัพพตสตู ร อรรถกถาปัพพตสูตรที่ 9

8.ปัญญา 9.ประพฤติธรรม 10.สคุ ติ 2 การแสวงหาความรู้ อา่ นในพระสูตรและ วิวัฒนากา 1.หมตู่ น้ ไมใ้ หญ(่ ไมส้ าละใหญอ่ าศยั อรรถกกา ชีวนิเวศ แ ขนุ เขาหมิ พานต)์ 2.อา่ นในหนังสอื องค์ประก ความรทู้ ปี่ รากฏ (Explicit 3.ค้นคว้าจากเว็บไซต์ ดารงชวี ติ knowledge) 4.ระดมความคิดจากผู้ กนั ตามแน 1.องค์ประกอบของตน้ ไม้ ร่วมกลุ่ม 2.ปจั จยั ทางกายภาพท่ีมีความ 5. สอบถามจาก จาเปน็ กบั ตน้ ไม้ อาจารยผ์ สู้ อน 3.ประโยชน์ทางตรงของต้นไม้ แตกต่างกัน 4.ประโยชนท์ างอ้อมของต้นไม้ เหมือนกนั 5.การไมต่ ดั ไมท้ าลายป่า เป็น ความกตัญญูกตเวทติ าอย่างหนง่ึ ใน ศาสนาพุทธ 6.พ ร ะ วิ นั ย ใ น ศ า ส น า พุ ท ธ ห้ า ม พระสงฆ์ตัดต้นไม้ 7.ปพั พตราชสูตร 8.วนโรปสูตร ความรู้ทไ่ี มป่ รากฏ (Tacit

ารของระบบ ไดท้ ราบขอ้ มลู 3.เครื่องมือสืบค้นและ และ วิวัฒนาการ บันทึก กอบของการ นาไปส่คู าตอบ -คอมพวิ เตอร์ ทส่ี อดคลอ้ ง ในการจัดระบบ -กระดาษ นวพุทธ ชีวนเิ วศ และ -ปากกา องคป์ ระกอบ ของการดารงชีวติ พระไตรปฎิ ก เล่มท่ี 1.พระครูพิศาลสร ทส่ี อดคล้องกันแนว 20 ข้อที่ 9 หนา้ ที่ ธรรม พทุ ธ 209 - 210 ข้อ 49 2.พระบญุ ช่วย พระสตุ ตนั ตปิฎก เล่ม ฐิตจติ ฺโต ท่ี 12 องั คุตรนิกาย 3.นายรกั ษา เอกทุกติกนิบาต สุนินทบรู ณ์ 2.อรรถกถา อังคุตตร นิกาย ตกิ นบิ าต ปฐม ปณั ณาสก์ จูฬวรรคท่ี 5 ข้อ 9 ปัพพตสูตร อรรถกถาปัพพตสูตรที่ 9 3.พระไตรปฎิ ก เล่มที่ 28 พระสุตตันตปฎิ ก เลม่ ที่ 20 ขทุ ทกนิกาย ชาดก ภาค 2 4.พระไตรปฎิ ก เลม่ ท่ี 15 พระสุตตันตปิฎก เลม่ ที่ 7 วนโรปสตู ร

knowledge) 1.สิง่ มชี วี ติ (ชีวะ)ประกอบไปด้วย พชื สัตว์ และจุลินทรีย์ มีหนา้ ท่ี 3 ประการ เป็นผู้ผลติ ผบู้ ริโภค และผู้ ย่อยสลาย 2.สง่ิ ไม่มีชวี ติ คือสิง่ แวดล้อมท่ีอยู่ รอบตวั สิ่งมชี วี ติ มีความสาคัญและ จาเปน็ อยา่ งย่ิงในการดารงอยู่ซ่ึง สงิ่ มชี ีวิต 3.ตน้ ไม้เป็นส่วนหนงึ่ ของสิ่งมชี ีวิต ท่ีมปี ระโยชน์ต่อมนษุ ย์ 4.ต้นไมห้ ลายๆต้นรวมกัน กลายเปน็ ปา่ ไม้ ทส่ี รา้ งความสมดลุ ใหแ้ ก่ระบบนิเวศ 5.สภาพแวดล้อมทางกายภาพ กาหนดความสมบูรณ์ของต้นไม้และ ปา่ ไดแ้ ก่ -แสง -อุณหภมู ิ -ความเป็นกรดเป็นด่างของดิน -ความเค็มของดิน -ความชื้น -ปริมาณนา้ ฝน -ไฟ -ความสงู จากระดับนา้ ทะเล

หนา้ ท่ี 43-44 ข้อ 145-146 บรรทดั ที่ 966 – 976 5.สุตตันตปิฎก ขุททก นกิ าย เปตวตั ถุ เลม่ ท่ี 26 ข้อ259 หน้าท่ี 209 6.สารนิพนธ์ ระดับ ดุษฎบี ณั ฑิต 7.หนังสือธรรมะ 8.หนงั สอื วชิ าการ 9.เคร่ืองมือสบื คน้ และ บนั ทกึ 10.คอมพิวเตอร์ 11.กระดาษ 12.ปากกา

6.หน้าท่ีของต้นไม้และป่าไมใ้ น สภาพแวดล้อมที่แตกต่างกัน เหมือนเดมิ ในทุกๆที่ 7.การมีอยู่ของต้นไม้และป่าไม้มี ความจาเป็นต่อสง่ิ มีชีวิต 8.ปลูกต้นไม้ 3 อย่าง ประโยชน์ 4 อย่าง 9.ระบบวนเกษตร (Agroforester) 10.ความสัมพันธร์ ะหว่างป่าไม้กับ ภาวะโลกรอ้ น 2.ขุนเขา ภเู ขาศลิ า ความรูท้ ปี่ รากฏ (Explicit knowledge) 1.ภูเขาหิมพานต์ในทางพระพุทธ ศาสนา 2.ภูเขาหมิ าลัย(ปา่ หิมพานต)์ ความรู้ทไ่ี มป่ รากฏ (Tacit knowledge) 2.ขนุ เขา ภเู ขาศลิ า 1.ลกั ษณะของภเู ขา เป็นประเภท ต่างๆ ดังน้ี - ภูเขาโกง่ ตัว - ภูเขาเล่อื นตัวหรอื หักตัว - ภเู ขาโดม



- ภเู ขาไฟ 2.เทอื กเขาหิมาลัย (Himalaya Range) 3.ภูเขาถือเป็นท่ีอยู่อาศยั ของ สิง่ มชี วี ิตและไม่มีชวี ิตเป็นระบบนเิ วศ ทางบกประเภทหนง่ึ 4.ชวี นเิ วศ(Biome) 5.นเิ วศวทิ ยา(Ecology) 3.องคป์ ระกอบของตน้ ไม้ 1)ก่งิ ใบ อ่อน และใบแก่ 2) เปลือกและ สะเกด็ 3) กระพแ้ี ละแก่น ความรทู้ ป่ี รากฏ (Explicit knowledge) 1.ความสวยงามของตน้ ไม้แต่ละ ชนิด 2.การเปรยี บเทยี บตน้ ไม้ในทาง ธรรม พระสมั มาสัมพุทธเจา้ สงั่ สอน แกพ่ ระผเู้ ข้ามาบวชว่า 1) ลาภสักการะรวมท้ังชอื่ เสียง เหมือนก่ิงไม้ ใบไม้ 2) ความถึงพรอ้ มสมบรู ณด์ ว้ ย ศีล เหมือนสะเกด็ ไม้ 3) ความต้งั ม่ันในสมาธบิ ริบรู ณ์ เหมอื นเปลอื กไม้ 4) ญาณทัศนะหรือเกดิ ปญั ญา



เหมือนกระพไ้ี ม้ 5) วิมตุ หิ ลุดพ้นจากกิเลส กระทั่งใจไมต่ กเป็นทาสกิเลสอีก เหมือนแกน่ ไม้ ในพระ 3. ความในปัพพตราชสูตร พระพทุ ธเจา้ เปรยี บความเจริญ 3 ประการ ของส่วนประกอบของตน้ ไม้ คือ 1) กิ่ง ใบแก่ และใบออ่ น 2) เปลอื กและสะเก็ด 3.)กระพี้และแกน่ ความเจริญ 3 ประการ เปน็ ความเจรญิ ในทางธรรมคือ 1) ศรทั ธา 2) ศลี 3) ปญั ญา ความรทู้ ไี่ มป่ รากฏ (Tacit knowledge) 1.ราก 2.ลาต้น 3.ใบ 4.แกน่ 5.กระพ้ี 6.ใบ



7.ยอด 4.พ่อบา้ น ความรทู้ ปี่ รากฏ (Explicit knowledge) 1.ในปพั พตราชสตู ร พ่อบา้ น หมายถึงผู้นาทุกระดับมีความสาคญั อยา่ งยงิ่ ในความเป็นครอบครวั ชุมชน และประเทศชาติ ต้อง ประกอบด้วยธรรม 2.ภารกิจครอบครวั มี 2 ประการ คือ มติ ิท่ี 1 คือการท่ีครอบครัวใน ฐานะสถาบันจะต้องมีความเป็น ปึกแผน่ เปน็ อันหนึ่งอันเดยี วกัน มติ ทิ ่ี 2 เมื่อสมาชิกเกิดข้ึนมา ใหม่ ก็จะต้องไดร้ ับการอบรมเลยี้ งดู ใหม้ ีคุณภาพตามทีป่ ระสงค์ 3.\"กุลจิรัฏฐิติธรรม 4\" หลกั ธรรม 4 ประการท่ีทาใหต้ ระกูลมัง่ ค่ัง ประกอบดว้ ย 1) ของหายของหมดต้อง แสวงหา 2) ของเกา่ ชารดุ ต้องบรู ณะ ซอ่ มแซม 3) รู้จกั ประมาณในการใช้จา่ ย



4) ตอ้ งผู้มีศลี ธรรมเปน็ พอ่ บ้าน ความรทู้ ไ่ี มป่ รากฏ (Tacit knowledge) 1.ความหมายของพ่อบา้ น 2.คุณสมบัติของค่สู รา้ งคสู่ มคู่บญุ บารมมี สี มชีวธิ รรม ไดแ้ ก่ 1) สมสทั ธา 2) สมสลี า 3) สมจาคา 4) สมปัญญา มี 3.หลกั การเข้าใจ เขา้ ถึง พัฒนา 5.ชมุ ชน ความรทู้ ป่ี รากฏ (Explicit knowledge) 1.ความเจรญิ ของชุมชนตอ้ งมี \"สังคหวตั ุ 4\" สงั คหวัตถุ 4 หมายถึง หลักธรรมทเ่ี ป็นเครื่องยดึ เหน่ียว น้าใจของผ้อู ่ืน ผูกไมตรี เอื้อเฟื้อ เกอ้ื กลู หรอื เป็นหลักการสงเคราะห์ ซึ่งกันและกนั มีอยู่ 4 ประการ ไดแ้ ก่ 1) ทาน 2) ปิยวาจา - เวน้ จากการพูดเทจ็ - เว้นจากการพูด สอ่ เสียด



- เว้นจากการพูดคา หยาบ - เวน้ จากการพูดเพอ้ เจ้อ 3) อตั ถจรยิ า 4) สมานตั ตา ความรทู้ ไี่ มป่ รากฏ (Tacit knowledge) 1.ชมุ ชนชาวพทุ ธ 2.มนษุ ยเ์ ป็นสตั วส์ งั คมผู้ ประเสิรฐทส่ี ุด 3.ป่าชุมชน 6.ศรทั ธา ความรู้ทป่ี รากฏ (Explicit knowledge) 1. ตถาคตโพธิสัทธา เชอ่ื ความ ตรัสรู้ของพระพทุ ธเจ้า ความรู้ทไี่ มป่ รากฏ (Tacit nowledge) 1.ชนดิ ของศรัทธาทค่ี วรแกก่ าร เช่อื ดังนี้ 1) กัมมสทั ธา 2) วิปากสทั ธา 3) กัมมัสสกตาสัทธา 4) ตถาคตโพธสิ ัทธา



7.ศลี ความรทู้ ป่ี รากฏ (Explicit knowledge) 1.ผ้มู ศี ีลสมบรู ณ์ 2.โทษ 5 ประการของการทุศีล (ศลี วบิ ัติ) 1) ประสบความเสื่อมโภคะ 2) กิตติศัพท์อันช่ัวของบุคคล ผูท้ ุศีล ผปู้ ราศจากศลี ย่อมอื้อฉาวไป 3) เป็นผูไ้ มอ่ งอาจ ขวยเขิน 4) เปน็ คนหลง ทากาละ(ตาย) 5) จะเข้าไปถึงอบาย ทุคคติ วินิบาต นรก ความรูท้ ไ่ี มป่ รากฏ (Tacit knowledge) 1.เบญจศีลเป็นหลกั ธรรมสาหรบั อุม้ ชูโลก 8.ปัญญา ความรู้ทปี่ รากฏ (Explicit knowledge) 1.ปัญญา แปลว่า ความรทู้ ่วั คือรู้ ท่ัวถึงเหตุถึงผล รู้อย่างชัดเจน, รู้ เร่ืองบาปบุญคุณโทษ, รู้ส่ิงท่ีควรทา ควรเวน้



2.วธิ ที ่ีทาใหเ้ กิดปญั ญา 3 วธิ ี คือ -สดบั ตรับฟงั -การศึกษาเลา่ เรยี น -โดยการคดิ คน้ การตรกึ ตรอง 3.หลักธรรมทางพระพุทธศาสนาท่ี เก่ยี วขอ้ งกับปญั ญา3อย่างคอื 1) กาลามสตู ร 2) โยนโิ สมนสิการ 3) สมถ และ วิปสั สนา 4.ปญั ญา เปน็ หนง่ึ ในไตรสกิ ขา ความรูท้ ไ่ี มป่ รากฏ (Tacit knowledge) 1.ระดบั ของปญั ญา 2.ปัญญาเปน็ หนทางของการดบั กเิ ลสโดยมสี มาธิเปน็ ฐาน 3.หลักการอนุรักษ์ หรืออนรุ กั ษ วทิ ยา (Conservation) 9.ประพฤตธิ รรม ความรทู้ ปี่ รากฏ (Explicit knowledge) 1.ข้อดีของการประพฤติธรรม 2.ธรรม ๔ ประการ ในทจุ รติ วรรค 3.อานสิ งสข์ องการทาสมาธิ 5 ประการ



1)ไดธ้ รรมจักษุ 2)เกดิ ญาณ 3)เกดิ ปัญญา 4)เกดิ วชิ ชา 3 ประการ -รแู้ จง้ เรอ่ื งราวทง้ั ใน อดตี ชาติและในอนาคตของตน -รู้แจง้ ในการเกดิ การตาย ของสัตว์ -รู้แจง้ ในการกาจดั กเิ ลส ภายในของตนเอง 5)ได้อาโลโก 5.สมาธสิ ตู รไว้ 4 ประการ คอื 1)พบสขุ ทันตาเหน็ 2)ไดญ้ าณทัสสนะ 3)มสี ตสิ มั ปชญั ญะ 4)กาจัดอาสวกิเลสได้ 6.ความกตัญญูกตเวทิตา 7.ความกตัญญกู ตเวทิตา ใน ทุลลภสูตร ความรู้ทไี่ มป่ รากฏ (Tacit knowledge) 1.ความหมายของการประพฤติ ธรรม 2. ป ร ะ โ ย ช น์ ข อ ง ส ม า ธิ ใ น หลักสูตรครูสมาธิ และสมาธิชั้นสูง



โดย สมเดจ็ พระญาณวชิโรดม (หลวง พ่อวิรยิ งั ค์ สิรนิ ธฺ โร) 3.ความกตญั ญูกตเวทิตา เปน็ คุณธรรมทสี่ าคัญต่อการอนรุ ักษ์ ทรัพยากรธรรมชาติและสิง่ แวดลอ้ ม 4.ธรรมชาตกิ ับความกตญั ญู โดย พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยตุ ฺโต) 10.สคุ ติ ความรทู้ ปี่ รากฏ (Explicit knowledge) 1.กามสคุ ตภิ มู ิ 1.1 มนุษยภมู ิ ความรทู้ ไี่ มป่ รากฏ (Tacit knowledge) 1.ปา่ ไม้สรา้ งความสขุ แก่มนุษย์ 3 การจดั ความร้ใู หเ้ ปน็ ระบบ นาความรทู้ ีไ่ ด้จากการ ข้อมูลถูกจ จากการกานดคาสาคญั 10 ขอ้ แสวงหามาทาการ ระบบโคร ในข้อที่ 1 และแสวงหาความรู้คา จัดระบบโครงสรา้ งให้ เพือ่ ให้สาม สาคัญในข้อ 2 ตาม สามารถจัด สามารถไดผ้ ลลพั ธ์ตาม และได้ง่าย ความรใู้ ห้เปน็ ระบบ เพื่อการจัดการ เป้าหมายทต่ี ้องการ ววิ ัฒนากา ระบบชวี นิเวศ ซึ่งหมายถึงระบบถิ่นที่ ชีวนิเวศ แ อยอู่ าศยั ของสง่ิ มีชวี ิต โดยมี องค์ประก องค์ประกอบสาคัญ 4 ประการคอื ดารงชีวติ 1.สง่ิ มชี ีวิต กันตามแน 2.สง่ิ ไม่มีชีวิต

จัดออกเปน็ สามารถนาข้อมลู มา ตามข้อ 1,2,3 ขา้ งตน้ 1.พระครูพศิ าลสร รงสร้าง ใช้ในการตอบ ธรรม มารถเขา้ ใจ เป้าหมายของ KM 2.พระบุญชว่ ย ยใน ระบบ ฐิตจิตฺโต ารของระบบ 3.นายรักษา และ สนุ ินทบรู ณ์ กอบของการ ที่สอดคลอ้ ง นวพุทธ

3.องค์ความรู้และเทคโนโลยี 4.ท่ีอย่อู าศยั ของส่งิ มีชวี ิต ท้งั 4 ประการจัดวางเป็น องค์ประกอบมี 3 องคป์ ระกอบ สาคญั ของระบบคือ 1.ถิ่นท่อี ยู่อาศัยของสิ่งมชี วี ติ (Biome) 2.มนษุ ย์ 3.องค์ความรู้หรอื เทคโนโลยี จงึ ตอ้ งมีการจดั การ 3 การ จัดการ 3 องคป์ ระกอบสาคัญนี้จงึ จะ สามารถจดั การระบบชวี นเิ วศ ให้ สรรพสงิ่ อยรู่ ่วมกันอย่างสมดุล สามารถปลดเปลื้องความทุกข์ของ มนษุ ยไ์ ด้ในสังคมทีเ่ รียกว่าสคุ ติ ภายใต้หลักการ เข้าใจ เข้าถึง พฒั นา พื้นทโ่ี ดยคนที่มีประสิทธภิ าพนาหลัก วชิ าการและคุณธรรมของ พระพุทธศาสนามาเปน็ เครื่องมือใน การดาเนินการ 4 การประมวลและกลนั่ กรองความรู้ รวบรวมและคัดเลอื ก มกี ารประ ประมวลความรู้และกลั่นกรอง ความรูท้ จ่ี ะนามา กลัน่ กรอง

ะมวลผลและ สามารถสรุป พระไตรปฎิ ก เลม่ ที่ 1.พระครูพิศาลสร งความรแู้ ละ ระบบโครงสรา้ งการ 20 ข้อที่ 9 หน้าที่ ธรรม

ความรู้เพื่อการจัดการระบบชีวนิเวศ จดั เป็นองค์ความรู้ นามาวเิ คร แนวพุทธ โดยใช้หลักการนิยาม 5 คือกาหนดอันแน่นอน, ความเป็นไป อันมีระเบียบแน่นอนของธรรมชาติ, กฎธรรมชาติมี 5 ประการดงั นี้ 1. อุตุนิยาม (กฎธรรมชาติ เกี่ยวกับอุณหภูมิ หรือปรากฏการณ์ ธรรมชาติต่างๆ โดยเฉพาะดินน้า อ า ก า ศ แ ล ะ ฤ ดู ก า ล อั น เ ป็ น สิ่งแวดลอ้ มสาหรบั มนษุ ย์) 2. พีชนิยาม (กฎธรรมชาติ เกยี่ วกับการสบื พันธ์ุ มพี ันธกุ รรมเป็น ตน้ ) 3. จิตตนิยาม (กฎธรรมชาติ เก่ยี วกับการทางานของจติ ) 4. กรรมนิยาม (กฎธรรมชาติ เก่ียวกับพฤติกรรมของมนุษย์ คือ กระบวนการให้ผลของการกระทา) 5. ธรรมนยิ าม (กฎธรรมชาติ เกย่ี วกบั ความสัมพนั ธแ์ ละอาการที่ เป็นเหตุเป็นผลแก่กนั แห่งสิง่ ทั้งหลาย) 5 การเขา้ ถึงความรทู้ ่เี กบ็ ไว้ 1.ใชร้ ะบบเทคโนโลยี 1มีแหล่งเก (Knowledge Access) 2.ใช้การตพี มิ พ์ เขา้ ถึงไดง้ การทาใหผ้ ูใ้ ชค้ วามรู้นนั้ เข้าถึง

ราะห์ได้ จดั ระบบชีวนเิ วศ 209 - 210 ข้อ 49 2.พระบุญช่วย แนวพุทธ พระสุตตันตปฎิ ก เลม่ ฐติ จติ โฺ ต ที่ 12 องั คตุ รนกิ าย 3.นายรักษา เอกทุกติกนบิ าต สุนินทบูรณ์ 2.อรรถกถา องั คตุ ตร นิกาย ติกนิบาต ปฐม ปัณณาสก์ จูฬวรรคที่ 5 ข้อ 9 ปัพพตสูตร อรรถกถาปัพพตสูตรท่ี 9 3.เครื่องมือสืบคน้ และ บันทึก -คอมพิวเตอร์ -กระดาษ -ปากกา กบ็ ข้อมูลท่ี 1.สามารถเข้าถึง 1.คอมพิวเตอร์ 1.พระครูพิศาลสร ง่าย ความร้ไู ด้ง่ายและ 2.อุปกรณ์บนั ทึก ธรรม เรว็ ข้อมลู 2.พระบญุ ชว่ ย

ความรู้ไดง้ า่ ยและสะดวก รวดเรว็ ไดแ้ ก่ 5.1 ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ(IT) Web board 5.2เกบ็ ไวใ้ น CD, VCD,YOUTUBE 5.3เก็บท่ี Website หรอื Intranet

3.Internet ฐติ จิตโฺ ต 3.นายรักษา สุนินทบูรณ์

6.การใชป้ ระโยชนจ์ ากความรู้ (Knowledge Use) ชีวนิเวศ(Biome) เป็นเขตหรือเขตท่ีส่ิงมีชีวิตทั้งพืชและสัตว์มารวมกันอยู่ภายใต้สภาวะแวดล้อมใด แวดล้อมหน่ึงโดยเฉพาะ ความแตกตา่ งของสภาพแวดล้อมทางกายภาพเปน็ สาเหตุสาคัญทาให้พืชและสัตว์ในแต่ละ เขตของชีวนเิ วศ มีลกั ษณะรูปชวี ติ และชนิดพนั ธ์ทุ ่ปี รากฏอยา่ งแตกตา่ งกันอย่างเห็นได้ชัด การจัดการระบบชีว นิเวศแนวพทุ ธ คือการจัดการระบบความสมั พนั ธข์ องส่งิ มชี ีวติ ทอี่ าศยั ความหลากหลายทางชีวภาพ ภายใต้สภาวะ แวดล้อมหรือถิ่นท่ีอยู่อาศัยเดียวกันโดยนาวิชาการทางโลกผสมผสานกับหลักธรรมของพระพุทธศาสนาเป็นองค์ ความรู้หลักในการจัดการ แนวทางการจัดระบบชีวนิเวศแนวพุทธ มีเป้าหมายที่สาคัญ ตามที่ปรากฏในปัพพตราช สูตรคือสุคติ การจะทาให้สาเร็จเป้าหมายจะต้องมีการจัดการองค์ประกอบ 5 ประการ โดยมีทฤษฎีนิยาม 5 เป็น ฐาน ดงั นี้ 1.การจัดการส่ิงแวดลอ้ มทางกายภาพ (Physical Environment Management) มนษุ ย์สามารถจัดการ ส่ิงแวดล้อมทางกายภาพ ดว้ ยความกตัญญูกตเวทิตา สานึกรู้บุญและคุณตอบแทนส่ิงแวดล้อมทางกายภาพ ว่าเป็น สิ่งท่ีมีประโยชน์และมีความจาเป็นต่อสรรพสัตว์ โดยการสร้างความสมดุลที่เกี่ยวข้องกับภูมิอากาศ อุณหภูมิ และ ฤดูกาล เพื่อความสมบูรณ์พร้อมด้วยดิน น้าไฟ อากาศ โดยการปลูกต้นไม้และการสร้างพ้ืนที่ป่าให้มีความหลาก หลากหลายทางชีวภาพท้ังพืช สัตว์ และจุลินทรีย์ ให้มีพื้นที่ท่ีเหมาะสมเพียงพอ เพื่อเป็นแหล่งต้นน้าลาธารท่ี สมบรู ณ์ เปน็ ต้นเหตุของการผลิตตา่ งๆ ให้สมบูรณ์พร้อมด้วยด้วยปัจจัย 4 เกิดการสังเคราะห์แสงเพิ่มออกซิเจนแก่ ถิ่นท่ีอยู่อศัยและโลก การดูดซับก๊าซคาร์บอนไดอออกไซด์ที่ก่อให้เกิดภาวะโลกร้อน นาไปสู่การทาให้โลกรวนด้วย ภัยต่างๆอีกมากมาย เพิ่มน้าสู่บรรยากาศและพื้นดินสร้างความชุ่มช้ืนแก่ดิน เพิ่มน้าลงสู่ชั้นบาดาล เพ่ิมน้าลงสู่ แหล่งเก็บกักน้า และน้าท่า นาไปสู่การเพ่ิมปริมาณน้าฝน ลดความปั่นป่วนในช้ันบรรยากาศ และต้นไม้ป่าไม้ สามารถตรึงธาตุในบรรยากาศให้เกิดความสมดุล นอกจากนี้การย่อยสลายของซากพืชเป็นการเพิ่มธาตุอาหารแก่ ดิน ให้เกิดระบบการผลิตจากภาคการเกษตรที่สมบูรณ์และมั่นคง ประโยชน์เหล่านี้ย่อมตกลงไปสู่มนุษย์(สัตว์ ทั้งหลาย)ซ่งึ เป็นผบู้ ริโภคให้เกดิ ความสุข ยอ่ มทาใหเ้ กดิ ความหลากหลายของจุลนิ ทรีย์ในฐานะผู้ย่อยสลาย เป็นการ เอ้ือเฟื้อเผื่อแผ่กลายเป็นห่วงโซ่อาหาร ท่ีเกื้อหนุนกันของสิ่งมีชีวิต ทาให้เอ้ือต่อการสืบพันธุ์และดารงเผ่าพันธุ์ของ มนุษย์และสิ่งมีชีวิตอ่ืนๆ เป็นการอยู่ร่วมกันอย่างสุคติ เช่น การจัดการพื้นที่เกษตรทฤษฎีใหม่ ตามปรัชญา เศรษฐกิจพอเพยี ง ของในหลวงรัชกาลที่ 9 เปน็ ต้น 2.การจดั การสงิ่ แวดล้อมทางชวี ภาพ (Biological Environment Management) มนษุ ยส์ ามารถจัดการ ส่ิงแวดล้อมทางชีวภาพ ด้วยความศรัทธาต่อความเป็นมนุษย์ ด้วยความรักต่อสรรพสัตว์ท่ีอยู่ร่วมกันในถิ่นท่ีอยู่ อาศัยน้นั ๆ โดยเชอื่ มนั่ ในความเป็นสัตว์โลกผู้ประเสริฐกว่าสัตว์และสิ่งมีชีวิตอ่ืนๆ เพ่ือดารงเผ่าพันธ์ุของมนุษย์และ ส่ิงมีชีวิตอ่ืน เพราะการจัดสิ่งแวดล้อมทางชีวภาพในถิ่นที่อยู่อาศัยในพ้ืนท่ีน้ันๆ ต้องมีการอนุรักษ์ รักษา พัฒนา และใช้ประโยชน์ส่ิงมีชีวิตท่ีมีความหลากหลายของชนิดพันธ์ุ เพื่อความอยู่รอดของมนุษย์(คนในชุมชน)ซ่ึงมี พฤตกิ รรมทหี่ ลากหลาย อย่างไรกต็ ามในทางธรรมชาตมิ นุษย(์ คนในชมุ ชน) มอี ทิ ธพิ ลสงู สดุ ตอ่ การเปลี่ยนแปลงและ พัฒนาในพ้ืนท่ีน้ันๆ พฤติกรรมการกระทาของมนุษย์(คนในชุมชน)ย่อมส่งผลอย่างสูง การทาให้ถ่ินท่ีอยู่อาศัยหรือ พืน้ ท่ีนั้นสมดุลเก้ือหนุนระหว่างสิ่งมีชีวิตด้วยกันจะต้องเกิดจากการกระทาดีของมนุษย์(คนในชุมชน)เป็นหลัก การ จะเกิดการกระทาท่ีดีหรือกรรมดีของมนุษย์(คนในชุมชน) จะต้องได้รับการฝึกฝนจิตให้มีทัศนคติเกี่ยวกับพื้นท่ี ว่า ด้วยการเข้าใจ เข้าถึง และพัฒนาอย่างถูกต้องตามหลักวิชาการตามหลักธรรม ซ่ึงการพัฒนานี้ย่อมเกิดวัตถุที่เป็น ปัจจัยแวดล้อมท่ีเอ้ือต่อการดารงชีวิตของมนุษย์(คนในชุมชน)และสิ่งมีชีวิต เช่น ตึกรามบ้านช่อง ถนน สะพาน

รถยนต์ โทรศัพท์ เครื่องใช้ไฟฟ้า เคร่ืองอานวยความสะดวก ฯลฯ อีกทั้งการปรับปรุงการฟื้นฟูระบบนิเวศ การ อนุรักษ์ฟื้นฟูป่าไม้และธรรมชาติ มนุษย์สามารถจัดการได้ เพ่ือให้สิ่งมีชีวิตเหล่าน้ันได้อยู่ร่วมกันในถ่ินท่ีอาศัยด้วย ความสุขและม่ันคง โดยไม่เส่ียงต่อการสูญพันธ์ุ ไม่เป็นปัจจัยในการอพยพ ไม่เป็นปัจจัยในการหนีจาก ไม่เป็น ปจั จัยตอ่ การพลดั พราก จากสงั คมนนั้ ๆ อนั เป็นความทุกข์ประการหนึ่งของเหล่ามนุษย์(สรรพสัตว์) เช่น โครงการ บ้านเลก็ ในป่าใหญ่ โครงการในพระราชดารสิ มเดจ็ พระนางเจ้าสริ ิกติ พิ์ ระบรมราชนิ ีนาถ 3. การพัฒนาเจตนาของมนษุ ย์ (Human Intention Development ) เจตนาคอื ความต้ังใจ ความจงใจ ความมุ่งมั่น ความมุ่งหมาย การจะทาให้มนุษย์มีเจตนาท่ีดี เจตคติที่ดี เจตจานงค์ เจตนารมณ์ที่ดี ส่ิงเหล่านี้กล่าว อกี นัยหน่ึงกค็ อื การพัฒนาจิตใจนน่ั เอง คุณธรรมที่จะสามารถนามาพัฒนาเจตนาได้ก็คือสมาธิ การฝึกฝนจิตภายใต้ หลักการสัมมาสมาธิเป็นหลักธรรมของพระพุทธศาสนาท่ีอุบัติขึ้นในโลกเม่ือกว่า 2,600 ปี การทาสมาธิสามารถ กลอ่ มเกลาจิต กล่อมเกลาอารมณ์ มสี ตสิ มั ปชัญญะ เปน็ การเพิ่มพูนคณุ ธรรมอืน่ ๆให้เกิดข้ึน ได้แก่ ความรับผิดชอบ สูง มีเหตุผล และมีเมตตา ซ่ึงล้วนแล้วแต่เป็นคุณธรรมพื้นฐานที่สาคัญของการอยู่ร่วมกันระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ และระหว่างมนุษย์กับสิ่งมีชีวิตและสรรพส่ิงอื่น สร้างให้เกิดหรือเพิ่มความศรัทธารักเช่ือม่ันต่อพ้ืนท่ีถิ่นอาศัยน้ันๆ ก่อเกิดความกตัญญูกตเวทิตา รู้คุณและสานึกตอบแทนต่อถิ่นท่ีอยู่อาศัย ทาให้มีศีลกาหนดพฤติกรรมของตนเอง มากขน้ึ อกี ทัง้ การทาสมาธิเปน็ การพัฒนาตนเองสูก่ ารพ้นทุกข์ได้ดีท่ีสุด ย่ิงกว่าการทาบุญทาทานในด้านอื่นๆ เรียก ได้วา่ การทาสมาธิเปน็ การพัฒนาศักยภาพของมนษุ ย์ไดด้ กี ว่าวิธีการอืน่ ใด เกดิ เปน็ ความตงั้ ใจแน่วแน่เกิดเป็นความรู้ ในการสรา้ งปัจจัยอนื่ ๆมาเป็นภมู ิคมุ้ กันต่อถิน่ ทอ่ี ย่อู าศยั สามารถน้อมนาองค์ความรู้จากแหล่งต่างๆทั้งทางโลกและ ทางธรรมโดยง่าย เพื่อมาพัฒนาถ่ินที่อยู่อาศัย เป็นสภาพแวดล้อมท่ีเอ้ือต่อการเจริญปัญญาทาสมาธิเพื่อการพ้น ทกุ ข์สาหรับปจั เจกชนได้อยา่ งดยี ิง่ การพฒั นาเจตนาของมนุษย์จงึ มคี วามสาคัญยิ่งในการสร้างถ่ินท่ีอยู่อาศัยท่ีทาให้ เป็นดินแดนแหง่ ความสขุ สบายสะดวกสบายของมนุษย์และส่ิงมีชีวิตในสังคมนั้นๆ อย่างไรก็ตามหลักการสมาธิเป็น เร่ืองจริงท่ีมีอยู่บนโลก ที่ทุกศาสนิกชนสามารถประสบได้ด้วยตนเอง และมีการปฏิบัติมีการสอนในหมู่ผู้นับถือ ศาสนาอื่นๆอยู่เช่นกัน เพียงแต่พระพุทธเจ้าศาสดาของพุทธศาสนาถือเอาเรื่องสมาธิเป็นหลักธรรมสาคัญ ในการ ถ่ายทอดแก่พุทธสาวก พุทธบริษัททั้งเพื่อนามาพัฒนาคุณภาพชีวิตประจาวัน และเพ่ือการหลุดพ้นจากการเวียน ว่ายตายเกิดในสังสารวัฏ แม้วา่ พทุ ธองค์จะเสด็จดับขันธ์ปรินิพพานไปกว่า 2,600 ปีแล้วก็ตาม แต่ก็ยังมีพุทธบริษัท ที่มีความเช่ียวชาญ ด้านสมาธิ สามารถเป็นครูบาอาจารย์ในการสั่งสอนแก่มนุษย์โลกทุกเชื้อชาติศาสนา เช่น การ ส่งเสริมการทาสมาธิผ่านหลักสูตรครูสมาธิ ของมูลนิธิสถาบันพลังจิตตานุภาพ โดยสมเด็จพระญาณวชิโรดม (พระ อาจารย์หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินฺธโร) การส่งเสริมการทาสมาธิแก่มนุษย์โลกในประเทศฝร่ังเศสของหลวงปู่ ติช นัท ฮันท์ ชาวเวียดนาม เป็นต้นด้วยเหตุนี้การทาสมาธิจึงไม่ได้จากัดอยู่เพียงผู้ท่ีนับถือศาสนาพุทธเท่านั้น เหมาะอย่าง ยิง่ กบั หม่มู วลมนษุ ยชาติและเหน็ เพียงหนทางเดียวเท่านั้นที่จะสร้างสันติสุขให้กับโลก ซ่ึงได้ช่ือว่าเป็นถ่ินท่ีอยู่อาศัย ท่ีเป็นสคุ ติของมนุษยแ์ ละสิ่งทมี่ ชี ีวติ แหง่ หนึ่งของจักรวาล 4.การควบคุมและส่งเสริมพฤติกรรมของมนุษย์ (Human Karmic Control and Promotion) การ กระทาของมนุษย์มีทั้งกรรมดีและกรรมไม่ดี เกิดผลเสียและเกิดผลดีต่อสังคม ชมุชนและถ่ินที่อยู่อาศัย กรรมดีใน เรื่องการสงเคราะห์ เอื้ออาทร การยึดเหนี่ยวใจซึ่งกันและกัน 4 ประการ(สังคหวัตถุ 4) ได้แก่ ทาน ปิยวาจา อัตถ จรยิ า และสมานัตตตา กรรมดีที่ทาใหบ้ คุ คลเป็นคนฉลาด เปน็ สัปบุรุษ บริหารตนไม่ใหถ้ ูกขจัด ไม่ให้ถูกทาลาย ไม่มี โทษ วิญญูชนไม่ติเตียน และย่อมประสบบุญเป็นอันมาก คือการกระทาดังนี้ กายสุจริต วจีสุจริต มโนสุจริต ความเป็นคนกตัญญูกตเวที กรรมดีแล้วจึงควรได้รับการส่งเสริมอย่างย่ิงให้เกิดข้ึนในสังคม ชุมชน และถิ่นที่อยู่

อาศัยในพ้ืนที่น้ันๆ ซ่ึงไม่ได้หมายความว่าการสงเคราะห์การเอื้ออาทรท้ัง 4 ประการ จะใช้ได้เฉพาะมนุษย์กับ มนุษย์แต่เพียงเท่านั้น ยังสามารถใช้ได้กับมนุษย์กับสัตว์เล้ียง มนุษย์กับสัตว์ป่า เช่น แม้จะเป็นคนในครอบครัวที่ เล้ียงสุนัขตัวหนึ่ง แต่ถ้ามีพฤติกรรมชอบดุด่า ชอบแกล้งโดยไม่มีเหตุผล สุนัขตัวนั้นก็มักจะไม่ชอบพฤติกรรมและ อาจกดั มนุษย์ผู้น้ัน สตั ว์ป่าขนาดใหญ่อยา่ งช้างป่าออกไปหากินในเขตบ้านเรือนของมนุษย์ โดนไล่ พูดจาหยาบคาย ด่าทอเป็นประจา ย่อมหงุดหงิด ก้าวร้าว เป็นปฏิปักษ์ มักตอบแทนด้วยการทาร้ายข้าวของ กินผลิตผลทางการ เกษตรมากกว่าที่ควรเป็น หรือทาร้ายมนุษย์จนเสียชีวิต เป็นการทาร้ายซึ่งกันและกัน แต่หากไปในเขตพ้ืนท่ีของ มนษุ ยท์ ย่ี อมใหเ้ ขา้ กินพชื ผลทางการเกษตรดว้ ยการพูดจาดี ด้วยความเมตตา ไม่แสดงความอาฆาตมาดร้าย พืชผล ทางการเกษตรเสียหาย แต่ข้าวของทรัพย์สินเสียหายน้อย และไม่เป็นอันตรายต่อชีวิตของมนุษย์ผู้น้ัน เป็นต้น อยา่ งไรกต็ ามมนษุ ย์ยอ่ มมกี ารกระทากรรมไม่ดี เกดิ ขึ้นในทุกสังคม ชุมชน อนั จะทาให้ถ่ินท่ีอยู่อาศัยน้ันเกิดความไม่ สงบสุข จึงต้องมีการควบคุมการกระทาโดยใช้คุณธรรมว่าด้วยศีล เป็นข้อห้ามตนเอง สร้างกติกา ระเบียบ กฎทาง สงั คมนอกเหนอื จากกฎหมายของประเทศ บงั คับใช้กับในชมุ ชนที่มวี ฒั นธรรมและจารีตประเพณีเดียวกัน เพ่ือไม่ให้ เกิดการใช้ประโยชน์พื้นท่ีอย่างเกินสมดุลและมากไป ไม่ให้เกิดการรังแกสัตว์ท่ีอ่อนแอกว่า จนกลายเป็นการ เบียดเบยี น สรา้ งมลภาวะและทาลาย ทงั้ ถิ่นทอ่ี ยู่อาศัยและสรรพสิ่งสรรพสัตว์ที่อยู่ในพื้นท่ีนั้นๆ เช่น มีพุทธบัญญัติ ไม่ให้พระสงฆ์ตัดต้นไม้ ห้ามฆ่าสัตว์ ห้ามพูดจาหยาบคาย ด่าทอ นินทาว่าร้าย และในสังคมไทยในปัจจุบันมี พ.ร.บ.ป่าชมุ ชน พ.ศ.2562 ว่าดว้ ยการดูแลรักษาจดั การป่าท่ีมีอย่ใู นชมุ ชน ด้วยกฎที่คนในชุมชนร่วมกันสร้างขึ้นมา เป็นต้น อย่างไรก็ตามการควบคมุ หรอื สง่ เสริมกรรมหรือความประพฤติของมนุษย์ด้วยกันเอง จะต้องมีผู้นาชุมชนที่ มีคุณธรรมสูง ผู้นาท่ีมีการประพฤติธรรม และเป็นท่ียอมรับของคนในชุมชน จึงจะได้รับความร่วมในการ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมท้ังด้านดีและไม่ดี แม้ผู้นาชุมชนจะมีความสาคัญในการควบคุมและส่งเสริม พฤติกรรมของ คนในชุมชนด้วยศีลและธรรมก็ตาม แต่ความสาคัญอย่างท่ีสุดในการเปล่ียนแปลงพฤติกรรมของมนุษย์คือการให้ กาลงั ใจซึง่ กนั และกัน การเสนอแนะ การตักเตือนติติง ตลอดจนการให้อภัยในข้อผิดพลาดระหว่างกัน การสามัคคี รวมเป็นน้าหนึ่งใจเดียวกัน การถนอมและรักษาน้าใจซึ่งกันและกัน ส่ิงเหล่านี้เมื่อมนุษย์เป็นสัตว์สังคมจึงต้อง ร่วมมือกันในการสร้างสรรค์สิ่งเหล่านี้ สังคม ชุมชน ถ่ินท่ีอยู่อาศัยจึงจะสุคติสงบสุข เป็นดินแดนแห่งความ สะดวกสบายแกม่ นุษยแ์ ละสรรพสิ่ง 5. ความสมดลุ ตามธรรมชาติ (Natural Equilibration) การจัดการสิง่ แวดล้อมทางกายภาพควบคูก่ ับการ จัดการส่ิงแวดล้อมทางชีวภาพ ภายใต้การพัฒนาเจตนา(จิตใจ)ของมนุษย์ และการควบคุมส่งเสริมพฤติกรรมของ มนุษย์ ท้ังจากการพัฒนาจิตใจซ่ึงเป็นปัจจัยภายในของมนุษย์ และการเปล่ียนแปลงพฤติกรรมจากกฎหมาย จาก กฎทางสังคมซ่ึงเป็นปัจจัยภายนอก ต่างเป็นการหลอมรวมให้เกิดความสมดุลทางธรรมชาติ ให้การจัดการระบบ ชีวนิเวศ(Biome) กลายเป็นดินแดนแห่งความสงบสุขปลอดภัยมั่นคง ให้มนุษย์(คนในชุมชน)และสิ่งมีชีวิตอ่ืนๆอยู่ รว่ มกนั อยา่ งปกติสุขเปน็ สคุ ติ ท้ังน้ีมนุษย์(คนในชุมชน)จะต้องเห็นค่าความสาคัญของส่ิงมีชีวิตและสิ่งแวดล้อมท่ีอยู่ รอบตัว ว่ามีความสัมพันธ์ท่ีเกื้อหนุนกันอย่างมีนัยสาคัญ หากขาดอย่างใดอย่างหน่ึงไปย่อมขาดความสมดุล ไม่ สมบูรณ์เพียบพร้อม สร้างความทุกข์ให้เกิดขึ้นต่อสิ่งมีชีวิตท่ีอยู่รอบตัว จนส่งผลกระทบมาถึงตัวมนุษย์(คนใน ชุมชน)เอง โดยการนาหลกั วชิ าการทางโลก(โลกียะ) เช่น ระบบวนเกษตร หลักการอนุรักษวิทยา ระบบนิเวศวิทยา การปลูกป่า 3 อย่างประโยชน์ 4 อย่าง ภาวะโลกร้อน เป็นต้น หลักธรรมของพระพุทธเจ้า(โลกุตระ) เช่น วน โรปสตู ร สมาธิสตู ร ทจุ รติ วรรค เปน็ ต้น มาทาการศึกษาวิจยั กล่ันกรอง วิเคราะห์ จัดการองค์ความรู้ ให้เกิดความ เข้าใจเข้าถึงศาสตร์น้ันๆ กลายเป็นปัญญาที่มีความสาคัญย่ิงนามาสู่การปฏิบัติเพื่อการพัฒนาปัจจัยท่ีเอื้อต่อการ

ดารงชวี ติ เปน็ สงิ่ อานวยความสะดวก โดยไม่กระทบต่อสิ่งมีชีวิตอื่นจนมากเกินกว่าจะปรับตัวได้ ใช้ประโยชน์พ้ืนท่ี อยา่ งเหน็ คุณคา่ เก็บ รกั ษา สงวน ปรับปรุง ซ่อมแซม ฟ้ืนฟู ให้เกิดความสมดุล สงบสุข สวยงาม เป็นประโยชน์ต่อ ส่ิงมีชีวิตที่อาศัยร่วมกันในพื้นท่ีนั้นๆ เช่น การอาศัยอยู่ร่วมกันระหว่างธรรมชาติกับมนุษย์เผ่าอินเดียนแดงเมื่อใน อดตี กอ่ นการกาเนิดประเทศสหรัฐออเมรกิ า เปน็ ต้น สุคติเป็นเป้าหมายในการจัดการระบบชีวนิเวศแนวพุทธ เพราะฉะนั้นการศึกษาการจัดการความรู้ใน พระไตรปิฎกในรายงานฉบับนี้สุคติหมายถึง ความสงบสุข สะดวกสบาย มั่นคงปลอดภัยในมนุษยภูมิ ซ่ึงอยู่ในกาม สุคติภมู ิ ซ่ึงเป็นภูมทิ ยี่ งั มคี วามปรารถนายินดีพอใจในรูป เสียง กลิ่น รส สมั ผสั ระบบชีวนิเวศมีความหมายเดียวกัน กับระบบถิ่นท่ีอยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิต การจัดการระบบชีวนิเวศแนวพุทธเพ่ือเป้าหมายสุคติคือความสงบสุข สะดวกสบาย มัน่ คงปลอดภยั ของสิ่งมชี ีวิตในถิ่นท่ีอยู่อาศัย เพื่อให้เกิดความสมดุลทางธรรมชาติจึงต้องประกอบไป ด้วย การจัดการส่ิงแวดล้อมทางกายภาพ การจัดการส่ิงแวดล้อมทางชีวภาพ การพัฒนาเจตนาของมนุษย์ การ ควบคุมและส่งเสริมพฤติกรรมของมนุษย์ โดยอาศัยธรรมะหลัก 5 ประการ ซึ่งมีความสาคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน ไดแ้ ก่ 1.ศรัทธา : คือศรัทธารกั เชอื่ มนั่ ต่อถิน่ ที่อยู่อาศัย 2.กตัญญกู ตเวทิตา: คอื ความรู้คณุ และสานึกในการตอบแทนถน่ิ ท่อี ยู่อาศยั 3.ศีล : คือการไม่เบียดเบยี น ไมท่ าลาย ไมส่ ร้างมลภาวะต่อถิน่ ทีอ่ ยอู่ าศยั 4.สมาธิ : คอื ความตัง้ ใจแน่วแน่ในการสรา้ งปจั จัยอน่ื เป็นภมู คิ ุ้มกันตอ่ ถน่ิ ทอ่ี ยอู่ าศยั 5.ปญั ญา : คือการรักษา การอนุรกั ษ์ การพฒั นา และการใช้ประโยชนถ์ ิน่ ท่อี ยู่อาศยั อย่างค้มุ คา่ ยง่ั ยืนและเปน็ ธรรมแกส่ รรพส่ิงและสรรพสตั ว์ จ า ก ท่ี ก ล่ า ว ม า แ ล้ ว จ ะ เ ห็ น ไ ด้ ว่ า ก า ร ใ ช้ ป ร ะ โ ย ช น์ จ า ก ค ว า ม รู้ ท้ั ง ท่ี ป ร า ก ฏ แ ล ะ ไ ม่ ป ร า ก ฏ ในปัพพตราชสูตพระไตรปิฎก เล่มที่ 20 ข้อที่ 9 หน้าที่ 209 - 210 ข้อ 49 พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ 12 อังคุตร นิกาย เอกทุกติกนิบาต สามารถสร้างรูปแบบ(MODEL)ในการจัดการระบบชีวนิเวศแนวพุทธ ภายใต้แนวคิด เบญจธรรมอันเป็นโครงสร้างสาคัญในการจัดการระบบชีวนิเวศ เพื่อการรักษาบ้านเรือนถ่ินท่ีอยู่อาศัยชุมชน ประเทศชาตแิ ละโลกอยา่ งสมดลุ เพื่อความสคุ ตแิ กส่ รรพสงิ่ และสรรพสตั ว์ ( BGNMC 5 Dharma are Structures of Save Biome) จะไดร้ ูปแบบองคค์ วามรู้ (Model) ดังนี้

รปู แบบ (MODEL) การจดั การระบบชวี นเิ วศแนวพทุ ธ มคี วามหมายดงั ต่อไปน้ี BIOMEบนลกู โลก หมายถงึ โลกเปรยี บเทยี บเป็นถน่ิ ท่ีอยู่อาศัยของสิง่ มีชีวติ (ระบบชวี นเิ วศ) ฝา่ มอื มนษุ ย์ หมายถึง ถน่ิ ท่ีอยู่อาศยั ของสิง่ มีชีวติ (ระบบชวี นิเวศ) จะดีไดด้ ้วยการจัดการของ มนุษย์ สเี หลอื งทต่ี วั อักษรภาษาองั กฤษบนฝา่ มอื คอื สขี องพระพุทธศาสนา มนุษยจ์ ัดการถ่นิ ที่อยอู่ าศัย ของสิ่งมีชวี ติ (ระบบชีวนเิ วศ)ไดด้ ดี ว้ ยธรรมะของพระพทุ ธเจ้า B = BELIEVE IN ศรทั ธา:เชื่อมนั่ ต่อถิน่ ท่ีอยูอ่ าศยั (ระบบชวี นิเวศ) G = GREATFULLNESS กตัญญูกติเวทิตา:รู้บุญคุณและสานึกในการตอบแทนถ่ินที่อยู่อาศัย (ระบบชวี นเิ วศ) N = NONVIOLENCE ศลี :การไมเ่ บียดเบียน ไม่ทาลาย ไมส่ รา้ งมลภาวะต่อถนิ่ ท่ีอยู่อาศัย (ระบบชวี นเิ วศ)

M = MEDITATION สมาธิ:ความตงั้ ใจแน่วแน่ในการสร้างปัจจัยอ่ืนเป็นภูมิคุ้มกันต่อถิ่นที่อยู่ อาศยั (ระบบชวี นิเวศ) C = CONSERVATION ปัญญา: การรักษา การอนรุ ักษ์และการพฒั นา การใช้ประโยชนถ์ ิ่นท่ี อยอู่ าศัย (ระบบชวี นิเวศ) คุ้มคา่ ยงั่ ยืนและเปน็ ธรรมแก่สรรพส่งิ และสรรพสตั ว์

7 การแบง่ ปนั แลกเปลย่ี นความรู้ (Knowledge Sharing) สามารถทาไดใ้ นหลาย รปู แบบตามความเหมาะสม เชน่ การจัดทาเอกสาร ส่ิงพมิ พ์ตา่ ง ๆ อาทิ แผน่ พบั แผ่นปลวิ โฆษณา ประชาสมั พันธใ์ หต้ ระหนกั ถึง เหตุการณ์ภายภาคหนา้ ในการรับมือ กับวิกฤตตา่ ง ๆ หรือนาฐานความร้ทู ่ี รวบรวมไดโ้ ดยการนาเทคโนโลยี สารสนเทศมาใช้ในการเข้าถงึ ความรู้ เพอ่ื เผยแผ่แลกเปลย่ี นความรู้ เสนอแนะในเว็บไซด์ที่กาหนดสาหรับ ผ้สู นใจในเรอื่ งวกิ ฤตต่าง ๆ, มีการจดั เสวนา เพอ่ื ใหเ้ กิดการแลกเปลี่ยน ความรซู้ ่ึงกนั และกนั เป็นตน้ 8 การรักษาและการเรยี นรู้ (Knowledge Retention) จัดเก็บเปน็ ไฟลอ์ ิเล็กทรอนกิ ส์ จัดพิมพ์และรวบรวมเข้ารปู เล่ม นาเสนอเปน็ บทความลงใน Blog, Website เฟสบุค๊ เปน็ ตน้ เพ่ือเป็น การเผยแพร่ขอ้ มลู สู่สาธารณะ เกบ็



รักษาข้อมลู เกิดการแลกเปลี่ยน ความคดิ เหน็ ระหว่างผู้จัดทาและ ผ้อู า่ น เพ่ือประโยชน์ตอ่ ผูส้ นใจและผู้ ท่ตี ้องการนาไปใช้ประโยชน์ต่อไป



บรรณานกุ รม เอกสารปฐมภูมิ พระไตรปฎิ ก เล่มท่ี 5 พระสตุ ตนั ตปฎิ ก เล่มท่ี 7 สังยตุ ตนกิ าย สคาถวรรค เทวตาสังยุต อาทิตวรรค วนโรปสตู ร พระไตรปิฎก เลม่ ที่ 21 พระสุตตันตปฎิ ก เล่มท่ี 13 องั คตุ ตรนกิ าย จตกุ กนิบาตศีลสตู ร พระไตรปฎิ ก เล่มที่ 22 พระสตุ ตันตปฎิ ก เลม่ ท่ี 14 องั คุตตรนิกาย ปัญจก-ฉักกนิบาต 3. สลี สูตร พระไตรปฎิ ก เลม่ ที่ 23 พระสุตตนั ตปิฎก เล่มที่ 15 อังคุตตรนกิ าย สตั ตก-อฏั ฐก-นวกนบิ าตปญั ญาสูตร พระไตรปิฎก เล่มท่ี 27 พระสุตตันตปฎิ ก เล่มท่ี 19 ขุททกนกิ าย ชาดก ภาค 1 9. มหาธรรมปาลชาดก ว่าดว้ ย เหตทุ ีไ่ มต่ ายในวยั หนมุ่ พระไตรปิฎก เลม่ ท่ี 27 พระสุตตนั ตปิฎก เลม่ ที่ 19 ขุททกนิกาย ชาดก ภาค 1 พระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจฬุ าลงกรณร์ าชวิทยาลยั พุทธศกั ราช 2538 มหามกฏุ ราชวิทยาลัย. พระไตรปฎิ กพร้อมอรรถกถา ชุด 91 เล่ม. กรุงเทพฯ : โรงพิมพม์ หามกฏุ ราชวิทยาลยั . 2525. มหามกุฏราชวทิ ยาลยั . พระไตรปิฎกและอรรถกถาภาษาไทย. กรงุ เทพมหานคร : มหามกุฏราชวทิ ยาลยั . 2525. มหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลยั . พระไตรปฎิ กภาษาไทย. กรงุ เทพมหานคร : มหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลยั . 2539. เอกสารทตุ ยิ ภมู ิ นวิ ัติ เรืองพานชิ . นิเวศวทิ ยาทรพั ยากรธรรมชาติ. กรงุ เทพฯ: ภาควิชาชวี วทิ ยาปา่ ไม้ คณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์. 2546. พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยตุ โฺ ต). มองสนั ตภิ าพโลกผา่ นภมู หิ ลงั อารยธรรมโลกาภวิ ตั น์. กรุงเทพมหานคร : กองทุน รกั ษ์ธรรมเพื่อการฟ้ืนฟูพระพุทธศาสนา. 2542. พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต). คนไทยกับปา่ . กรงุ เทพฯ: กรมวชิ าการ, องค์การครุ ุสภา. 2543. พระธรรมปฎิ ก (ป.อ.ปยตุ โฺ ต). ธรรมนูญชวี ติ . กรงุ เทพฯ: มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร.์ 2543. พระธรรมมงคลญาณ (พระอาจารยิร์ ยิ งั ค์ สิรนิ ฺธโร). หลกั สตู รครสู มาธิ เลม่ 2. พมิ พ์ครงั้ ที่ 15, กรุงเทพฯ: สถาบนั พลังจิตตานภุ าพ. 2560. มหามกฏุ ราชวทิ ยาลยั . ธมมฺ ปทฏฐฺ กถาย ปญจฺ โม ภาโค. พมิ พค์ รงั้ ที่ 17, กรงุ เทพฯ : มหามกฏุ ราชวิทยาลัย. 2538. มหามกฏุ ราชวิทยาลยั . ธมมฺ ปทฏฐฺ กถาย ตตโิ ย ภาโค. พมิ พค์ ร้งั ท่ี 18, กรงุ เทพฯ : มหามกุฏราชวทิ ยาลัย.2539. รกั ษา สุนินทบูรณ์. การคดั เลอื กเกณฑ์และตวั ชวี้ ดั แบบมสี ว่ นรว่ มเพอ่ื การประเมนิ การจดั การป่าชมุ ชนรอบผนื ปา่ ตะวนั ออก. กรุงเทพฯ: บัณฑิตวิทยาลยั มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์. 2557. ราชบัณฑติ ยสถาน, พจนานุกรมฉบบั ราชบณั ฑติ ยสถาน, พ.ศ.2525. พมิ พ์ครั้งที่ 5, กรุงเทพมหานคร : อกั ษรเจรญิ ทศั น์. 2538. สมเดจ็ พระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส. พุทธประวตั เิ ลม่ 3. พระนคร : มหามกฏุ ราชวิทยาลัย. 2507. สราวุธ สังข์แกว้ . รุกขวิทยาภาคสนาม. กรงุ เทพ: มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์. 2562. หลกั การและวธิ กี ารอนรุ ักษท์ รัพยากรธรรมชาติ. สบื 26 เมษายน 2564, เขา้ ถึงได้จาก

https://sites.google.com/site/phatcharat545/ hlak-kar-laea-withi-kar-xnuraks- thraphyakrthrrmchati หลักการอนรุ ักษ.์ สบื 26 เมษายน 2564, เข้าถึงไดจ้ าก https://sites.google.com/site/savetheeartheasy1 /formality


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook