โครงงานคอมพิวเตอร์ เร่ือง...การปลูกพืชแบบไฮโดรโปนิกส์ กลุ่มสาระการเรยี นรู…้ .เทคโนโลยี(วิทยาการคำนวณ) จัดทำโดย 1) นางสาวณฐั กานต์ นนทศ์ ิริ เลขท่ี16 2) นางสาวพรชนัน ไทยรัตน์ เลขท่ี17 3) นางสาวศศิประภา กากแกว้ เลขท3่ี 2 4) นางสาวศริ ิรตั น์ กฤษสุวรรณ เลขท่ี33 ชนั้ มัธยมศกึ ษาปีท่ี 4/3 รายงานวชิ า ว22206 เทคโนโลยี(วิทยาการคำนวณ) ปกี ารศกึ ษา 2562 โรงเรยี นนารีนุกลู สำนักงานเขตพ้นื ท่ีการศึกษา มธั ยมศึกษาเขต 29
เกีย่ วกับโครงงาน โครงงานคอมพิวเตอร์ เรอ่ื ง การปลูกพืชไร้ดินแบบไฮโดรโปนกิ ส์ กลุ่มสาระการเรยี นรู้ เทคโนโลย(ี วทิ ยาการคำนวณ) ผูจ้ ัดทำ 1. นางสาวณัฐกสนต์ นนทศ์ ิริ เลขท่ี 16 2. นางสาวพรชนนั ไทยรัตน์ เลขท่ี 17 3. นางสาวศศิประภา กากแก้ว เลขที่ 32 4. นาสาวศิรริ ตั น์ กฤษสุวรรณ เลขที่ 33 ครูท่ีปรึกษา 1. นายธิตวิ ฒุ ิ วิทยเจษฏา 2.นางสุปรยี า สะวานนท์ สถานศึกษา โรงเรียนนารีนกุ ูล อำเภอเมือง จังหวดั อุบลราชธานี สำนกั งานเขตพน้ื ทกี่ ารศึกษามัธยมศึกษาอบุ ลราชธานี เขต 29
กติ ติกรรมประกาศ โครงงานน้ีสำเร็จได้ด้วยความรว่ มมือกันของเพือ่ นๆในกลมุ่ ความสามัคคี และความเสยี สละของเพิื่อนๆในกลมุ่ และขอขอบคุณ คณุ ครภู ัทรดนยั พลสงู เนนิ ท่ีคอยใหค้ ำปรึกษา และชน้ี ำแนวทาง ใหก้ บั พวกเราจนทำให้งานสำเร็จลลุ ว่ งไปได้ดว้ ยดี สุดทา้ ยนี้หวังเปน็ อยา่ งยิ่งว่า โครงงานนจี้ ะเปน็ ประโยชนต์ ่อการศกึ ษาของผทู้ ีส่ นใจตอ่ ไป คณะผู้จัดทำ
หัวข้อโครงงาน : การปลกู พชื แบบไฮโดรโปนิกส์ ประเภทของโครงงาน : ผูเ้ สนอโครงงาน : นางสาวณฐั กานต์ นนทศ์ ิริ ชั้นมธั ยมศึกษาปีท่ี 4/3 เลขท่ี 16 นางสาวพรชนัน ไทยรัตน์ ช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 4/3 เลขที่ 17 ครูท่ีปรึกษาโครงงาน นางสาวศศปิ ระภา กากแก้ว ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 4/3 เลขท่ี 32 ปีการศึกษา นางสาวศริ ริ ัตน์ กฤษสุวรรณ ช้ันมธั ยมศึกษาปที ่ี 4/3 เลขที่ 33 : นายภทั รดนัย พลสูงเนนิ : 2562 บทคดั ยอ่ ในการจัดทำโครงงานครงั้ นม้ี วี ถั ุประสงค์ (1) สร้างเทคโนโลยที ่ีชว่ ยในการปลกู พืชไมใ่ ช้ดิน (2)ศกึ ษาโปรแกรมคอมพวิ เตอรท์ ใี่ ช้สร้าง (3)ศกึ ษาการจัดทำโครงงานคอมพวิ เตอร์ ผลการศกึ ษาและทำโครงงานพบวา่ โครงงานเรอ่ื งการปลูกผกั ไฮโดรโปนิกสม์ วี ตั ถุประสงคเ์ พ่อื ศึกษาการเจรญิ เตบิ โตทีป่ ลูกโดยวิธีไฮโดรโปนกิ ส์ โดยนำผกั กาดผักสลัดมาปลกู เร่มิ ดว้ ย เพาะเมลด็ ในฟองนำ้ แลว้ แชน่ ำ้ ไว1้ สปั ดาห์ แล้วจงึ นำมาใสข่ วดทีต่ ัดเตรยี มไวม้ ีธาตุอาหารAและBแล้วสงั เกตบุ ันทกึ ผล จากผลที่สงั เกตุได้ พบวา่ ผักทปี่ ลกู โดยไฮโดรโปนกิ สม์ กี ารเจริญเติบโต อีกทงั้ การปลูกพืชแบบไฮโดรโปนกิ สย์ งั สามารถชว่ ยลดพ้ืนทใี่ นการปลูกเนอื่ งจากสามารถปลกู ได้ในพ้ืน ท่ีทม่ี จี ำกัด สามารถปลูกได้นอกฤดูโดยไม่ใชส่ ารพิษ และไดพ้ ชื ท่มี ีคณุ ภาพ
สารบัญ หนา้ ก เรอ่ื ง ข เกย่ี วกับโครงงาน ค กิตตกิ รรมประกาศ บทคดั ยอ่ บทท่1ี บทนำ - ทม่ี าและความสำคญั ของโครงงาน - วตั ถุประสงค์ - ขอบเขตการศกึ ษาค้นควา้ - ประโยชนท์ ค่ี าดว่าจะไดร้ ับ บทที่2 เอกสารและโครงงานที่เกยี่ วข้อง บทท่3ี วิธกี ารจดั ทำโครงงาน - วัสดแุ ละอปุ กรณ์ - วิธกี ารจดั ทำโครงงาน บทที่4 ผลการศึกษา
บทท5ี่ สรุปผลและขอ้ เสนอแนะ - สรปุ ผลการศึกษา - ประโยชนท์ ่ไี ดจ้ ากการโครงงาน - ข้อเสนอแนะ บรรณานุกรม ภาคผนวก ขอ้ มูลผูจ้ ัดทำ บทที่ 1 บทนำ ท่ีมาและความสำคญั ของโครงงาน ประเทศไทยเป็นประเทศเกษตรกรรมมาแตโ่ บราณ การปลกู พชื ในสมยั ก่อนจะใช้วธิ ีการปลกู พชื ในดนิ ซึ่งการปลูกพืชในดินกเ็ ปน็ วธิ ที ่ีนยิ มปฏบิ ัตกิ นั ท่วั ไป ทง้ั นเ้ี พราะเป็นวิธที ีง่ า่ ย ประหยัดค่าใชจ้ า่ ยและไมต่ อ้ งดูแลรกั ษาเป็นพเิ ศษ แต่ก็พบปญั หามากเชน่ กนั ซ่งึ ไดแ้ ก่ 1.ปญั หาสภาพอากาศ เชน่ ในฤดูแล้ง พืน้ ดนิ จะแห้งและขาดความอุดมสมบรู ณ์ ทำให้เป็นอปุ สรรคในการเพาะปลกู เพราะการปลกู พชื วธิ ีนใ้ี ช้ดินเปน็ องคป์ ระกอบหลกั 2.ความเสี่ยงในผลผลิต สมยั กอ่ นการเพาะปลกู น้นั จะทำเพือ่ บริโภคในครวั เรอื น สว่ นทเ่ี หลอื ก็นำไปแลกเปล่ยี นกบั เคร่อื งอุปโภค บรโิ ภคแทนการใชเ้ งนิ ซื้อ การเพาะปลกู ระบบนีจ้ งึ เป็นการเพาะปลกู แบบพอเพียง จงึ ไมค่ ่อยมปี ญั หาเรือ่ งศัตรพู ชื แต่ปัจจบุ นั จดุ ประสงคข์ องการปลูกเปลย่ี นมาเป็นเพื่อการคา้
และใช้ระบบการปลกู แบบขยายวงกว้างซง่ึ มคี วามยากลำบากในการปอ้ งกันปญั หาจากศัตรพู ืช ดังนนั้ จึงมกี ารนำยาฆา่ แมลงเขา้ มาใช้ เพ่อื ใหผ้ ลผลติ ท่ไี ดม้ ีความสวยงาม และเมอ่ื นำออกสตู่ ลาดจะขายไดร้ าคาดี แตก่ ารทำเช่นนี้สง่ ผลเสียตอ่ สขุ ภาพของผบู้ รโิ ภคเปน็ อยา่ งมาก เพราะเม่อื รบั ประทานเขา้ ไปเป็นเวลานาน สารพิษเหลา่ นีก้ จ็ ะสะสมและตกคา้ งอยูในร่างกาย 3.ขอ้ จำกัดของสถานที่ ขึน้ ชอ่ื ว่าการปลกู พืชในดนิ กจ็ ะต้องปลกู ในสถานทท่ี ีเ่ ปน็ ดนิ ทำให้ผทู้ ีอ่ าศยั อยู่ในพื้นทท่ี จ่ี ำกดั เช่น แฟลต หรอื อาคารชดุ ไมส่ ามารถเพาะปลกู ได้ จากปญั หาขา้ งต้นนท้ี ำใหม้ ผี ูน้ ำวธิ กี ารปลกู พืชแบบใหมเ่ ข้ามาใช้เพื่อลดปญั หาขา้ งต้น ซ่งึ วิธกี ารทว่ี ่าน้ีกค็ อื “การปลูกพืชแบบไรด้ ิน (Soilless Culture)” ปจั จบุ ัน การปลกู พืชดว้ ยวธิ ไี ฮโดรโปนกิ ส์มเี ทคนคิ ท่คี ิดค้นใหมๆ่ หลากหลายรปู แบบ มไิ ด้จำกดั อยูเ่ ฉพาะการปลกู พชื ในนำ้ (water culture) เทา่ นน้ั บางกรณีมีการใชว้ สั ดปุ ลูก (substrate) ทดแทนดนิ ทั้งหมดและรดด้วยสารละลายธาตุอาหารพชื ซึ่งเรามกั เรียกว่า ซับสเ์ ทรต คลั เจอร์ (substrate culture)หรือมเี ดีย คัลเจอร์ (media culture) หรอื แอกกรเี กตไฮโดรโปนกิ ส์ (aggregate hydroponics) เทคนคิ ดงั กลา่ วนยิ มเรียกวา่ การปลูกโดยไม่ใช้ดนิ หรอื การปลกู พืชไร้ดิน (soilless culture) ซ่ึงเป็นท่ีนา่ สงั เกตวา่ เทคนคิ การปลกู พืชในนำ้ กด็ ี หรอื การปลกู พชื ด้วยวิธไี ฮโดรโปนิกสร์ ูปแบบอ่นื ๆ กด็ ี บางครงั้ ก็อาจเรยี กรวมๆ วา่ soilless culture แทนคำว่า hydroponics ก็ได้ ไฮโดรโปนิกส์ มปี ระโยชนห์ ลักๆ 2 ประการดว้ ยกนั ประการแรกคือช่วยให้มีสง่ิ แวดลอ้ มท่ีควบคุมไดม้ ากขนึ้ สำหรับการเตบิ โตของพืช แทนทีจ่ ะเป็นการใช้ดินอยา่ งเดมิ ทำให้กำจดั ตัวแปรที่ไมท่ ราบออกไปจากการทดลองไดจ้ ำนวนมาก ประการทสี่ องก็คือ พชื หลายชนดิ จะใหผ้ ลผลิตได้มากในเวลาที่นอ้ ยกว่าเดมิ
และในบางคร้งั กม็ คี ุณภาพทีด่ กี วา่ เดิมดว้ ย ซึ่งในสภาพแวดล้อมและสภาพการเศรษฐศาสตรห์ น่ึงๆ การปลูกพืชแบบไฮโดรโปนิกส์จะใหผ้ ลกำไรแก่เกษตรกรมากขน้ึ และดว้ ยการปลูกทไี่ ม่ใชด้ ินจึงทำใหพ้ ืชไมม่ ีโรคทเี่ กดิ ในดิน ไม่มวี ชั พืช ไมต่ อ้ งจัดการดิน และยังสามารถปลกู พืชใกลก้ ันมากได้ ด้วยเหตุนพี้ ชื จงึ ให้ผลผลิตในปริมาณท่ีมากกวา่ เดิมขณะที่ใช้พ้ืนทจ่ี ำกัด นอกจากนีย้ งั มีการใช้น้ำน้อยมากเพราะมกี ารใช้ภาชนะ หรอื ระบบวนนำ้ แบบปดิ เพือ่ หมุนเวียนน้ำ เมอ่ื เทียบกบั การเกษตรแบบเดมิ แล้ว นับวา่ ใชน้ ้ำเพยี งสว่ นนอ้ ยนดิ เท่านน้ั ดว้ ยคณุ ภาพทกี่ ลา่ วมาข้างต้น ทำใหไ้ ฮโดรโปนิกส์มปี ระโยชนก์ ับการปลกู พชื ทไ่ี ม้ใช่วธิ กี ารแบบเดมิ ๆ นักเขียนนิยายวิทยาศาสตร์ไดเ้ สนอมานานแลว้ ว่า ไฮโดรโปนิกส์นน้ั จะทำให้สถานีอวกาศ หรอื ยานอวกาศ สามารถปลกู พืชไร้ดนิ ไดเ้ อง และคุณสมบัตดิ ังกลา่ วนี้ทำใหไ้ ฮโดรโปนกิ สเ์ หมาะอยา่ งยง่ิ สำหรับผทู้ ่ีตอ้ งการปลูกพืชโดยการการควบคมุ ปจั จัย ทีเ่ ก่ยี วขอ้ งได้มากทส่ี ุด และมีความหนาแน่นสูงสดุ การปลกู พืชไร้ดนิ เปน็ การนำสารละบายธาตอุ าหารมาละลายโดยใชธ้ าตุอาหารทีเ่ หมาะสมตอ่ ความต้องการของ พืชเชน่ เดยี วกับการปลูกพืชในดนิ แตต่ า่ งกนั ตรงพืชทป่ี ลกู ในดินจะตอ้ งอาศยั จลุ ินทรีย์มาเปล่ียนเปน็ รปู ของธาตอุ าหารซงึ่ บางครง้ั หากในดินมีธาตุ โลหะหนกั เชน่ ดบี ุก ตะก่วั แคดเมยี ม ซงึ่ เป็นพษิ ต่อผ้บู รโิ ภค จลุ ินทรยี ์กเ็ ปล่ยี นให้พชื สามารถดูดธาตุทเี่ ป็นพิษเขา้ ไปได้ แต่ในขณะที่การปลกู พืชไรด้ นิ เราสามารถควบคุมธาตุทีม่ คี วามจำเป็นเฉพาะการเจริญเตบิ โตของพชื และความป ลอดภัยตอ่ ผบู้ รโิ ภคเทา่ น้ัน ผจู้ ดั ทำโครงการเหน็ ว่าการปลกู ผกั แบบไรด้ นิ เป็นนวตั กรรมใหม่ทจ่ี ะทำให้การเกษตรของบา้ นเราสามารถก้าวไกลไปไดอ้ กี อกี ทงั้ ยงั สามรถทำไดโ้ ดยไมต่ ้องมพี ื้นทที่ ก่ี วา้ งขวางมากนกั
และเป็นอีกหนึ่งทางเลือกของผสู้ นใจทจ่ี ะทำการเกษตรในแนวนี้ ทง้ั เป็นการชว่ ยเหลอื ผู้ บริโภคในอกี ทางหนง่ึ ดว้ ย เพราะในปจั จบุ ันผู้บริโภคส่วนใหญห่ ันมาใหค้ วามสำคัญกบั การรับประทานพืชผกั ทปี่ ลอดสารพษิ กนั มาขน้ึ อีกทงั้ ยงั เป็นการลดปญั หาสิง่ แวดลอ้ มและปญั หาต่อสุขภาพต่อเกษตรกรและผบู้ รโิ ภคดว้ ย วตั ถุประสงค์ 1. สรา้ ง 2. ศกึ ษาโปรแกรมคอมพิวเตอร์ 3. ศึกษาการจัดทำโครงงานคอมพิวเตอร์ ขอบเขตการศึกษาคน้ คว้า เร่ิมทำการศกึ ษาคน้ ควา้ ตง้ั แต่วันท่ี 21 มกราคม จนถงึ วนั ท่ี 18 กมุ พาพนั ธ์ 2563 ประโยชน์ท่คี าดวา่ จะไดร้ บั 1.ไดศ้ กึ ษาค้นควา้ และรู้จักวธิ ีปลกู พืชไรด้ นิ แบบไฮโดรโปนกิ ส์ 2.การปลูกพชื ไรด้ ินแบบไฮโดรโปนกิ ส์ สามารถทำได้ในพ้ืนทท่ี จี่ ำกดั 3.ไดพ้ ชื ทปี่ ลอดสารพิษ 4.สามารถปลกู พชื นอกฤดูการได้ 5.ลดปริมาณสารพิษทีต่ กค้างในพชื ได้ บทที่ 2
เอกสารและโครงงานที่เก่ียวข้อง โครงงานคืออะไร โครงงาน คอื งานวจิ ยั เลก็ ๆสำหรบั นกั เรียน เปน็ การแก้ปญั หาหรือขอ้ สงสัย หาคำตอบโดยใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ หากเน้ือหาหรอื ข้อสงสยั เป็นไปตามกลุ่มสาระการเรียนรูใ้ ด จะเรียกว่าโครงงานในกลุม่ สาระน้ันๆ สำหรับกระบวนการทางวิทยาศาสตรท์ ใี่ ช้ คือ 1. เมอ่ื นักเรยี นเกดิ ปญั หา 2. นักเรียนกต็ อบปญั หาช่ัวคราว (สมมุติฐาน) 3. นกั เรียนจะตอ้ งออกแบบการทดลอง เพอื่ พสิ จู นป์ ญั หาวา่ จรงิ หรือไม่ 4. ทำการทดลอง หรอื ศกึ ษาคน้ ควา้ เพือ่ สรปุ ผล 4.1 ถ้าคำตอบไม่ตรงกบั สมมุตฐิ าน ก็ตัง้ สมมตุ ฐิ านใหม่ และทำข้อ 3 ขอ้ 4 จนเป็นจรงิ 4.2 เมอื่ คำตอบตรงกบั สมมุติฐาน กจ็ ะทำใหไ้ ดร้ ับความรใู้ หม่ และเกดิ คำถามใหม่ 5. นำผลท่ีไดไ้ ปใชป้ ระโยชน์ ในการทน่ี ักเรียนจะทำโครงงานในกลมุ่ สาระใด นักเรยี นจะเปน็ ผู้ทเี่ ลอื กหัวข้อทจ่ี ะศกึ ษาค้นควา้ ดำเนินการวางแผน ออกแบบ ประดิษฐ์ สำรวจ ทดลอง เกบ็ รวบรวมขอ้ มลู รวมท้งั การแปรผล สรุปผล และการเสนอผลงาน โดยตวั นกั เรียนเอง อาจารยท์ ป่ี รึกษาเป็นเพยี งผดู้ ูแลและใหค้ ำปรกึ ษาเท่าน้ัน หรอื กลา่ วอกี นัยหนง่ึ กจิ กรรมทจี่ ดั วา่ เปน็ กจิ กรรมโครงงานจะต้องประกอบด้วย 1. เปน็ กิจกรรมทมี่ ีเนื้อหาสาระตามกลมุ่ สาระการเรยี นรนู้ ัน้ ๆ 2. นกั เรียนจะตอ้ งเปน็ ผรู้ เิ รม่ิ และเลอื กเรอื่ งทจี่ ะศกึ ษาค้นควา้ ด้วยตนเอง ตามความสนใจและระดบั ความสามารถของนกั เรยี นแตล่ ะวยั 3. เปน็ กิจกรรมทมี่ กี ารใช้กระบวนการทางวทิ ยาศาสตรเ์ ข้าไปชว่ ยในการศึกษาค้นคว้า เพอื่ ตอบปัญหาทสี่ งสยั 4. นักเรียนเปน็ ผวู้ างแผนในการศกึ ษาคน้ คว้า ตลอดจนดำเนนิ งานเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู หรอื ประดิษฐ์คิดคน้ รวมท้งั แปรผล สรปุ ผล และเสนอผลการศึกษาค้นคว้าด้วยตนเอง โดยมคี รอู าจารย์เปน็ ที่ปรกึ ษาเท่านน้ั ในการทำโครงงานในแตล่ ะกลุม่ สาระการเรยี นรู้ ควรจะมรี ะยะเวลา และวธิ ีการทไี่ มย่ ่งุ ยาก ซบั ซ้อนนัก และควรเป็นไปตามระดบั สติปญั ญาของนกั เรยี นในแต่ละชว่ งช้นั ด้วย การสอนให้นักเรียนได้เรยี นการจดั ทำโครงงานนนั้ อกจากจะมีคุณค่าทางด้านการฝึกให้นกั เรียนมีความรู้
ความชำนาญและมีความมนั่ ใจ ในการนำเอาวทิ ยาศาสตร์ไปใชใ้ นการแก้ปญั หา หรอื คน้ ควา้ หาความรู้ตา่ งๆ ด้วยตนเองแลว้ ยงั ให้คณุ ค่าอื่นๆ คือ 1. รจู้ กั ตอบปญั หาโดยใชก้ ระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ไมเ่ ปน็ คนท่หี ลงเชือ่ งมงายไรเ้ หตผุ ล 2. ไดศ้ ึกษาคน้ คว้า หาความรู้ในเรือ่ งท่ตี นสนใจไดอ้ ย่างลกึ ซงึ้ กว่าการสอน ของครู 3. ทำให้นกั เรยี นได้แสดงความสามารถพเิ ศษของตนเอง 4. ทำให้นกั เรยี นสนใจเรียนในกลมุ่ สาระการเรยี นรู้น้ันๆ มากยง่ิ ขนึ้ 5. นักเรียนไดใ้ ชเ้ วลาว่างใหเ้ ป็นประโยชน์ ประเภทของโครงงาน เน่ืองจากโครงงาน คือ การแกป้ ัญหาหรอื ข้อสงสยั ของนกั เรยี น โดยใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ถ้าเน้อื หาหรอื ข้อสงสัยตรงกบั กลมุ่ สาระการเรยี นรใู้ ด กจ็ ดั เป็นโครงงานในกล่มุ สาระการเรยี นรู้นัน้ ๆ จึงแบง่ โครงงานตามการได้มาซงึ่ คำตอบของกระบวนการทางวิทยาศาสตรอ์ อกเป็น 4 ประเภท คอื 1. โครงงานประเภทสำรวจและรวบรวมข้อมลู 2. โครงงานประเภททดลอง 3. โครงงานประเภทสงิ่ ประดษิ ฐ์ 4. โครงงานประเภททฤษฎี โครงงานประเภทสำรวจและรวบรวมขอ้ มูล โครงงานประเภทนี้ ผทู้ ำโครงงานเพียงต้องการสำรวจและรวบรวมข้อมลู แลว้ นำข้อมูลเหลา่ นนั้ มาจำแนกหมวดหมแู่ ละนำเสนอในรปู แบบต่างๆ เพื่อใหเ้ หน็ ลกั ษณะหรอื ความสัมพนั ธใ์ นเรือ่ งทตี่ ้องการศึกษาใหช้ ัดเจน การสำรวจและรวบรวมขอ้ มลู อาจทำไดห้ ลายรปู แบบแล้วแต่กลุ่มสาระการเรยี นรู้น้ันๆ เชน่ ๔ สำรวจคำราชาศพั ท์ในกล่มุ สาระการเรยี นรภู้ าษาไทย ๔ สำรวจชือ่ พชื เศรษฐกจิ ของจงั หวดั ในกลมุ่ สาระการเรียนรสู้ ังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ๔ สำรวจคำศัพท์ในกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาอังกฤษ ๔ สำรวจชนิดของกีฬาทอ้ งถิน่ ในกลมุ่ สาระการเรยี นรสู้ ขุ ศกึ ษาและพลศกึ ษา ๔ สำรวจวิธีบวกเลขที่ชาวบา้ นนิยมใชใ้ นกลมุ่ สาระการเรยี นรคู้ ณิตศาสตร์
ในการทำโครงงานประเภทสำรวจขอ้ มลู ไมจ่ ำเปน็ ต้องมีตัวแปรเขา้ มาเกีย่ วขอ้ งนกั เรยี นเพยี งแตส่ ำรวจรวบรวม ขอ้ มลู ทไ่ี ด้ แล้วนำข้อมลู ทไ่ี ด้มาจัดใหเ้ ปน็ หมวดหมแู่ ละนำเสนอ กถ็ อื วา่ เป็นการสำรวจรวบรวมข้อมลู แลว้ โครงงานประเภททดลอง ในการทำโครงงานประเภททดลอง ต้องมีการจัดการกบั ตัวแปรทจ่ี ะมผี ลตอ่ การทดลอง ซง่ึ มี 4 ชนิด คือ 1. ตวั แปรตน้ หรือตัวแปรอสิ ระ หมายถงึ เหตุ ของการทดลองนัน้ ๆ 2. ตัวแปรตาม ซง่ึ จะเป็นผลทีเ่ กิดจากการเปลย่ี นแปลงตัวแปรต้น 3. ตัวแปรควบคุม หมายถึง ส่งิ ท่ตี อ้ งควบคมุ ให้เหมอื นๆ กนั มฉิ ะนัน้ จะมผี ลทำใหต้ ัวแปรตามเปลี่ยนไป 4. ตวั แปรแทรกซ้อน ซงึ่ จรงิ ๆ แลว้ กค็ อื ตวั แปรควบคุมนน่ั เอง แต่บางครง้ั เราจะควบคุมไมไ่ ด้ ซงึ่ จะมีผลแทรกซอ้ น ทำใหผ้ การทดลองผดิ ไป แต่ก็แกไ้ ขได้โดยการตัดข้อมลู ท่ผี ิดพลาดทง้ิ ไป ตัวอย่างเชน่ นกั เรยี นตอ้ งการศกึ ษาว่า กระดาษชนดิ ใดสามารถพับเครอ่ื งรอ่ นและปาไดไ้ กลที่สุด ตัวแปรต้นหรือตัวแปรอสิ ระ คอื ชนดิ ของกระดาษ ตัวแปรตาม คือ ระยะทางทก่ี ระดาษเคลอ่ื นทไี่ ด้ ตัวแปรควบคุม คือ แรงท่ีใชป้ ากระดาษ ความสูงของระยะทปี่ า ตวั แปรแทรกซ้อน คือ บางครงั้ ในขณะปามลี มพัดเขา้ มา ซึง่ จะทำใหข้ อ้ มูลผดิ พลาด เป็นตน้ โครงงานประเภทสง่ิ ประดิษฐ์ โครงงานประเภทสง่ิ ประดษิ ฐ์ เปน็ การนำความรู้ท่มี ีอยมู่ าประดิษฐ์หรือสรา้ งสง่ิ ใหม่ๆ ขนึ้ มา ซ่ึงจะเปน็ ประโยชนอ์ ย่างมากมาย ผเุ้ ขียนจะรวมถงึ การเขยี นหนงั สือ แต่งเพลง สรา้ งบทละครและอ่นื ๆ ไวใ้ นโครงงานประเภทสงิ่ ประดิษฐด์ ้วย เช่น การประดิษฐ์ไมป้ งิ ปองแบบใหม่ การหาวสั ดมุ าตดิ ไมป้ งิ ปองแล้วตไี ด้ดขี นึ้ การแต่งบทประพนั ธ์ การเขียนหนังสอื ประกอบการเรียนแทนหนงั สอื เรียนทีใ่ ชก้ ันอยู่ การออกขอ้ สอบเพือ่ ให้เพอ่ื นๆ ใช้สอบแทนขอ้ สอบที่ครูออกขอ้ สอบ เปน็ ตน้ โครงงานประเภททฤษฎี โครงงานประเภททฤษฎี เป็นการใช้จินตนาการของตนเองมาอธิบายหลกั การหรอื แนวความคดิ ใหม่ๆ ซงึ่ อาจอธบิ ายในรปู ของสตู รหรอื สมการ หรืออธบิ ายปรากฏการณ์ทเ่ี กิดข้ึนและไม่สามารถอธบิ ายไดโ้ ดยหลักการเดิมๆ การทำโครงงานประเภทนี้ ผทู้ ำโครงงานจะตอ้ งมคี วามรู้ในเร่ืองนัน้ ๆ เปน็ อยา่ งดี จึงสามารถอธบิ ายไดอ้ ยา่ งมเี หตุผลและน่าเช่อื ถอื จงึ ไม่เหมาะท่ีจะทำในระดบั นกั เรยี นมากนกั I ข้นั ตอนในการสอนโครงงาน
1. การเลอื กเรือ่ งท่จี ะใหน้ กั เรยี นทำโครงงาน การทค่ี รจู ะสอนนกั เรียนโดยบอกความรใู้ ห้นกั เรียนหรอื ใหน้ กั เรยี นฝกึ หาความรู้จากปฏิบตั กิ าร (LAB) เดิมๆ เสมอไปคงจะไม่ถกู ตอ้ งนกั ครคู วรจะสอนใหน้ กั เรียนได้รบั กระบวนการหาความรหู้ รอื ทเ่ี รยี กว่า คน้ พบความรูด้ ว้ ยตนเอง ซง่ึ กค็ วรจะเปน็ การสอนดว้ ยโครงงาน การเลอื กหัวขอ้ โครงงานให้นกั เรยี นศกึ ษาง่ายทส่ี ุด คือ ใหน้ กั เรียนไปสำรวจรวบรวมขอ้ มูลจากเรือ่ งทเี่ ราจะสอนนักเรยี น ตวั อยา่ งโครงงาน - รวบรวมลักษณะท่วั ไป ส่วนประกอบและบรเิ วณที่ขึน้ ของพชื รอบๆตวั - รวบรวมความสัมพันธร์ ะหวา่ งคน สตั ว์ และพชื - รวบรวมคำราชาศพั ท์ทม่ี ีใชใ้ นชวี ติ ประจำวนั - รวบรวมลกั ษณะของเปลือกโลก - รวบรวมคำศัพท์ภาษาองั กฤษจากสินค้า 2. ออกแบบการทำงาน ครอู าจจะนำหัวเร่อื งทเ่ี ขยี นไว้ให้นักเรียนเลอื กหวั เรอ่ื งทจี่ ะศกึ ษา แล้วนำหัวเร่อื งท่เี ราตอ้ งการสอนมาวเิ คราะห์ และควรมแี นววเิ คราะหข์ องผสู้ อนเอง แตอ่ าจใช้แบบวเิ คราะหต์ รงๆ ไดด้ ังน้ี คอื 1. ชื่อเรื่อง 2. ผทู้ ำโครงงาน 3. ปญั หาหรือเหตจุ ูงใจในการทำงาน 4. ตัวแปร (ถา้ ม)ี ประกอบด้วย ตวั แปรต้น ตวั แปรตาม และตวั แปรควบคมุ 5. ผลทคี่ าดวา่ จะได้รบั 6. แหลง่ ขอ้ มลู ทน่ี กั เรียนจะศกึ ษา 7. ระยะเวลาทใี่ ช้ในการศึกษากีว่ ัน และศึกษาชว่ งเวลาใด 8. นกั เรยี นตอ้ งใชว้ สั ดุอุปกรณ์และคา่ ใชจ้ า่ ยใดบ้าง หาจากแหลง่ ใด การลงมอื ทำโครงงาน มขี ้นั ตอนการศกึ ษาค้นควา้ อยา่ งไร ทำอย่างไร เกบ็ รวบรวมข้อมลู อยา่ งไร การเขยี นรายงาน นักเรียนเขยี นรายงานการทำโครงงาน ในรายงานการทำโครงงานอาจเขียนตามหัวขอ้ ทกี่ ำหนด หรือมสี ง่ิ อน่ื ทีต่ อ้ งการบอใหท้ ราบ ซึ่งสามารถปรบั เปล่ยี นได้ การนำเสนอโครงงาน
การนำเสนอโครงงานเปน็ ขั้นตอนท่ีสำคัญ เพราะสะทอ้ นการทำงานของนักเรียน ความรู้ความเขา้ ใจเกย่ี วกบั เรอื่ งทที่ ำ การตอบขอ้ ซกั ถาม บคุ ลิกท่าทาง ท่วงท่า วาจา ไหวพรบิ ปฏภิ าณ นกั เรยี นควรไดร้ บั การฝกึ บคุ ลกิ ภาพในการนำเสนอให้สงา่ ผา่ เผย พร้อมทงั้ ฝึกนักเรียนให้เปน็ ผู้ฟงั ทีม่ มี ารยาทในการฟงั ด้วย บทท่ี3 วธิ กี ารจดั ทำโครงงาน วสั ดแุ ละอุปกรณ์ วสั ดุและอปุ กรณท์ ใ่ี ช้ในการจดั ทำโครงงานไดแ้ ก่ 1. ฟองนำ้ 2. โฟมเจาะรู 3. สารอาหาร 4. เมล็ดพืช
5. ภาชนะใสน่ ำ้ 6. กระถางปลกู ขนาดเลก็ 7. เครอ่ื งทำออกซิเจนปลา 8. คัตเตอร์ วิธีการจัดทำโครงงาน 1.รวบรวมข้อมลู เบอื้ งตน้ เก่ียวกบั การปลกู ผกั ไฮโดรโปนิกส์ 2. ทำการทดลอง 2.1 นำเมลด็ มาเพาะในฟองน้ำ 2.2นำเมลด็ ท่ีใสใ่ นฟองน้ำเเล้ว นำไปแช่น้ำไว้1สปั ดาห์ 2.3 สงั เกตกุ ารณ์เจรญิ เตบิ โตของเมล็ด 2.4 ตัดขวดนำ้ เปลา่ ขวดขนาด500มิลลลิ ิตร 2.5 นำน้ำเปลา่ 500มลิ ลลิ ติ รมาใสข่ วดท่ตี ดั เตรียมไว้ 2.6 นำสารอาหารA,B ทีเ่ ตรยี มไวม้ าลงในขวดทม่ี นี ้ำ เปล่า500มิลลิลิตรขวดละ1.5ซซี ี 2.7 นำตน้ อ่อนของผักทเ่ี พาะไว้มาลงใส่ขวด 2.8 สงั เกตุและบันทกึ ผล บทที่4 ผลการศึกษา จากการปลุกพนื้ ไฮโดรโปนกิ สท์ ้งั หหมด2ชนิด พบวา่ ผกั มีการเจริญเติบโตได้ดี การปลูกผกั ไฮโดรโปนกิ พบวา่ ชว่ ยลดพน้ื ทใ่ี นการเพาะปลกู และมคี วามปลอดภัยในการรับประทาน ชนิดท1่ี ผักบุ้งผกั บุ้งมกี ารเจรญิ เตบิ โตอย่างรวดเรว็ ผักบงุ้ ตอ้ งใชน้ ำ้ จำนวนมากเพอ่ื การเจรญิ เติบโต
ชนิดที่2ผักสลดั ผกั สลัดมีการเจรญิ เติบโตไดด้ ีถ้ามคี วามอุดมสมบณู รข์ องน้ำ ผักสลดั ใช้รบั ประทานไดอ้ รอ่ ยมาก และปลูกไมอ่ ยากหนัก บทท่ี5 สรปุ ผลและขอ้ เสนอแนะ สรปุ ผลการศกึ ษา
จากการทดลองสามารถสรปุ ได้วา่ ผักทป่ี ลกู โดยวธิ ีไฮโดรโปนกิ สม์ ีการเจริญเตบิ โตท่ีดเี ทยี บเท่ากบั การป ลูกในดนิ เพาะปลกู โดยวิธไี ฮโดรโปนิกส์ได้รับสารอาหารA,Bเป็นธาตอุ าหารในการเจรญิ เตบิ โตและคนที่มีพนื้ ทจี่ ำกดั สามารถปลกู วิธนี ้ีได้เพราะวิธนี ีม้ ีประสทิ ธิภาพเทียบเท่ากบั การปลกู ในดินที่ใช้สารเคมี สรปุ ผลการศกึ ษาและอภิปรายผลในการหาอัตราสว่ นครงั้ นส้ี รปุ ไดด้ งั นี้ 1. ปรมิ าณธาตอุ าหาAและBอยา่ งละ 1.5ซซี ี 2. นำ้ เปลา่ 500มิลลลิ ิตร ข้อเสนอแนะ การปลกู ผกั โดยวิธีไฮโดรโปนิกส์ จะต้องมีวัสดอุ ปุ กรณท์ ่ีครบเพอื่ ความสะดวกในการปลกู ผักไฮโดรโปนิกสซ์ ่งึ จะทำให้ผลงานทีอ่ อกมามคี วามนา่ เ ชอื่ ถือ เตรียมธาตอุ าหาร AและB ในอัตราสว่ นท่ีเหมาะสม ใหพ้ ชื ที่ปลูกไดร้ บั สารอาหารอยา่ งครบถว้ น บรรณานุกรม https://www.jobpub.com/articles/showarticle.asp?id=3378 https://th.wikipedia.org/wiki
ภาคผนวก การปลกู พืชแบบไฮโดรโปนิกส์ กาลงั เป็นท่ีนิยมในเมอื งไทย ในปัจจบุ นั จะเหน็ ไดว้ ่าธรุ กิจการปลูกพืชแบบไฮโดรโปนิกสห์ รอื การปลกู พืชโดยไม่ใชด้ ินในประเทศไทยกาลงั เติบโตอยา่ งรวดเรว็
สามารถพบเห็นผลิตภณั ฑ์จากไฮโดรโปนิกสส์ ว่ นหนึ่งวางจาหน่ายอยู่ในหา้ งสรรพสินคา้ ทวั่ ไปในโซนขายผกั ปลอดสารพิษ ในบลอ็ กนี้เรามาดูกนั ว่าผกั สลดั ชนิดต่างๆ ท่ีนิยมปลูกแบบไฮโดรโปนิกสม์ ีอะไรกนั บา้ ง กรีนโอค๊ (Green Oak Lettuce) เป็นผกั ตระกลู ผกั สลดั มีลกั ษณะเป็นผกั ใบหยกั สเี ขยี วออ่ น รปู ทรงสวยเป็นพมุ่ รสชาติหวานกรอบคลา้ ยผกั กาดหอม ผกั มีอายปุ ระมาณ 40-45 วนั หลงั จากลงแปลงปลกู นิยมทานสดเพราะมีคณุ ค่าทางสารอาหาร ช่วยในการสรา้ งเมด็ เลอื ด บารุงสายตา บารุงเส้นผม บารงุ ประสาทและกล้ามเน้ือ
เรดโอค๊ (Red Oak Lettuce) เป็นผกั ตระกลู สลดั ต่างประเทศ มลี กั ษณะเป็นผกั ใบสแี ดงเขม้ และเขยี วเข้ม ใบซ้อนกนั เป็นชนั้ ปลายใบหยิกแยกเป็นแฉก เป็นพ่มุ หยกั สสี วยงาม นอกจากนี้ยงั มีกากใยอาหารมากมาย ซ่ึงช่วยในเรอื่ งระบบการยอ่ ย บารุงสายตา บารงุ กลา้ มเนื้อ ป้องกนั โรคปากนกกระจอก ชว่ ยลา้ งผนังลาไส้ กาจดั พวกไขมนั มธี าตเุ หลก็ และวิตามินซีสงู
เรดคอรลั (Red Coral Lettuce) มลี กั ษณะเป็นพุ่ม ไม่ห่อหวั ปลายใบหยกั ใบมีสแี ดงอมมว่ ง รสชาติหวานและกรอบกว่าเรดโอค๊ ควรรบั ประทานตอนยงั ออ่ นๆ เพราะถ้าแกใ่ บจะแขง็ และกินไมอ่ รอ่ ย เหมาะสาหรบั นาไปเพ่ิมสีสนั ในจานสลดั หรือกินเป็นเครอ่ื งเคียง มีสรรพคณุ ชว่ ยสรา้ งเมด็ เลือด มวี ิตามินซีสูง ชว่ ยป้องกนั โรคโลหิตจาง ป้องกนั โรคปากนกกระจอก มีเสน้ ใยอาหารสงู ชว่ ยระบบขบั ถ่ายไดด้ ี กากใยเหล่านี้จะช่วยล้างผนงั ลาไส้ กาจดั พวกไขมนั และอนมุ ูลอิสระท่ีเกาะตามผนังลาไส้อนั เป็นสาเหตุของโรคมะเรง็ ลาไส้ ฟิ ลเลย์ ไอซเ์ บิรก์ (Frillice Iceberg Lettuce) มีลกั ษณะเป็นทรงพุม่ ใบเป็นฝอยหยิกคล้ายเกลด็ น้าแขง็ มีสเี ขียว ห่อหวั กาบใบห่อเข้าหากนั เป็นชนั้ ๆ ปลายใบหยิกเป็นฝอย ใบแขง็ กรอบ ฉ่าน้า มรี สหวาน นิยมบริโภคสดเป็นสลดั หรือใช้เป็นเครื่องเคียงในอาหารประเภทยาท่ีมรี สจดั มีสรรพคุณชว่ ยในการสรา้ งเมด็ เลือด มีวิตามินซีสงู สามารถป้องกนั โรคหวดั และเสริมสรา้ งภมู ิค้มุ กนั ของรา่ งกายได้
บตั เตอรเ์ ฮด (Butter Head) เป็นผกั ท่ีมีลกั ษณะใบออ่ นนุ่มเป็นมนั เรยี งซ้อนกนั คลา้ ยดอกกหุ ลาบ เป็นพืชท่ีต้องการสภาพอากาศเยน็ จงึ จะเจริญเติบโตได้ดี อณุ หภมู ิท่ีเหมาะสมอยรู่ ะหว่าง 10-24 องศาเซลเซียส ในสภาพอณุ หภมู ิสูงการเจริญเติบโตทางใบจะลดลง พชื จะสร้างสารคลา้ ยน้านมหรอื ยางออกมา รวมทงั้ มีปริมาณเสน้ ใยสูงและเหนียว ทาให้มรี สขม ส่วนใหญน่ ิยมปลูกในโรงเรียน มอี ายุเกบ็ เกย่ี ว 50 วนั นิยมรบั ประทานสดทาเป็นเมนูสลดั หรือเครอื่ งจ้ิมคู่น้าพรกิ แบบไทยๆ มีสรรพคณุ ช่วยบารงุ เส้นผม บารงุ ผิว ลดคอเรสเตอรอล บารงุ ประสาท และป้องกนั โลหิตจาง
กรนี คอส (Green Cos Lettuce) สลดั คอสหรอื ผกั กาดหวาน เป็นผกั ที่จดั อยู่ในกลุ่มผกั สลดั ลกั ษณะใบยาวรี ซ้อนกนั เป็นชอ่ แตจ่ ะมลี กั ษณะแตกตา่ งกนั ออกไปบ้างตามสายพนั ธ์ุ นอกจากนี้ยงั มีชนิดใบกลมขนาดเลก็ ห่อหวั แน่น รสชาติหวานกรอบ ท่ีเรยี กกนั วา่ เบบ้ีคอส (Baby Cos) มีสรรพคุณช่วยบารงุ สายตา บารุงผม บารุงกล้ามเน้ือ บารงุ ผิว และลดคอเรสเตอรอล
เรดคอส (Red Cos Lettuce) เป็นผกั ที่จดั อยูใ่ นกลุ่มผกั สลดั ลกั ษณะใบยาวรี ลกั ษณะเหมือนกบั กรนี คอสแต่มีใบเป็นสแี ดง นิยมนามาบริโภคสดเป็นสลดั ประเภทตา่ งๆ ปัตตาเวีย (Batavia) เป็นผกั สลดั กลุม่ Crip Leaf มลี กั ษณะใบเป็นแผ่นรปู หยดน้า ขอบใบหยิกเป็นคลืน่ เป็นทรงพ่มุ ห่อหวั แบบหลวมๆ มีทงั้ สีเขยี วและสแี ดง เป็นผกั สลดั ท่ีนิยมมากในแถบยโุ รปตอนใตแ้ ละในประเทศสหรฐั อเมริกาและแคนาดา นิยมรบั ประมานสดเป็นสลดั เพราะมคี ุณคา่ ทางสารอาหาร คือช่วยบารงุ สายตา บารงุ เส้นผม บารงุ ประสาทและกลา้ มเน้ือ บารงุ ผิวพรรณ ป้องกนั โรคปากนกกระจอก ช่วยในการสร้างเมด็ เลอื ด ให้เสน้ ใยอาหารสูง ขจดั อนมุ ูลอิสระ ป้องกนั โรคหวดั ผกั ทอ่ี ยใู่ นกลมุ่ เฮริ บ์ หรอื สมุนไพรฝัง่ ทน่ี ยิ มนำมำใชป้ ลูกในแบบไฮโดรโปนกิ ส์ รอ็ กเกต็ สลดั (Rocket Salad) รอ็ กเกต็ เป็นผกั สมุนไพรชนิดหนึงของชาวตะวนั ตก ลกั ษณะตน้ เป็นพมุ่ ใบมีสีเขยี วเขม้ ใบมลี กั ษณะอ่อนเรียวยาวและหยิกตรงขอบพอประมาณ รสชาติของรอ็ กเกต็ คอื ส่ิงท่ีทาให้ผกั ชนิดนี้มีชอื่ เสยี งกว่าผกั ชนิดอน่ื เพราะมคี วามเผด็ เหมอื นพริกไทย รอ็ กเกต็ เป็นผกั ท่ีมปี ระโยชน์ เต็มไปดว้ ยวิตามินซีและโปรแตสเซ่ียม ที่ทาใหร้ า่ งกายแขง็ แรง ท่ีสาคญั ทานงา่ ยมากๆ ทานเปล่ากย็ งั อร่อย หรอื หากใครท่ีชอบทานแบบอิตาเลียน กส็ ามารถนาไปทาสลดั ทานกบั ชีสมอสเซอเรลลา่ หรือมะเชอื เทศตากแหง้ กไ็ ดเ้ หมอื นกนั ไวลด์ รอ็ กเกต็ (Wild Rocket) เป็นพชื ในกลุม่ สมุนไพรท่ีนิยมนามาทานสดเป็นสลดั หรือนามาทาอาหารประเภทต่างๆ เป็นผกั ท่ีมีใบเรียวยาวขอบใบหยกั เป็นฟันเลื่อย มีกล่ินฉุนและรสชาติเผด็ มากกว่ารอ็ กเกต็ ทวั ่ ไป มวี ิตามินเอ และวิตามินซีสงู เป็นแหล่งของกลโู คซิโนเลต ที่มีฤทธ์ิช่วยกระตนุ้ การทางานของตบั ในการผลิตเอนไซม์ และชว่ ยต้านการเกิดโรคมะเรง็
วอเตอรเ์ ครส (Watercress) หรือคนไทยเรียกว่า “สลดั น้า” มลี กั ษณะเป็นผกั ใบเขียวคล้ายผกั เป็ดไทย แต่จะต่างไปตรงท่ีวอเตอรเ์ ครสมีความยาวมากกวา่ นอกจากนี้ยงั ไดช้ ื่อว่าเป็น “ราชินีผกั สาหรบั คนรกั สขุ ภาพ” เพราะอุดมไปดว้ ยสารอาหารหลายชนิด เช่น แคลเซียม โพแทสเซียม วิตามินซี วิตามินเอ ธาตุเหลก็ ฯลฯ และยงั มสี ารต้านอนมุ ูลอิสระ ท่ีสามารถยบั ยงั้ และป้องกนั การเกิดมะเรง็ ได้ จึงไดร้ บั ความสนใจอยา่ งมากในปัจจุบนั ขนึ้ ฉ่าย (Celery) เป็นผกั และสมนุ ไพรท่ีมีกล่ินหอม นิยมใชใ้ นการปรงุ อาหารท่ีตอ้ งการดบั กล่ินคาว หรอื เพิ่มความหอมของน้าซุป หรือ นาไปผดั เพอื่ ดบั คาวปลา ชว่ งหลงั มฟี ารม์ ผกั นามาปลูกในแบบไฮโดรโปนิกส์กนั เยอะข้นึ เนื่องจากสามารถคุมคณุ ภาพของผกั ไดด้ ีกวา่ ปลูกในแปลงดิน ข้อมูลผจู้ ดั ทำ ชื่อ นางสาวณฐั กานต์ นนทศ์ ิริ อายุ 16 ปี ท่ีอยู่ 285หม่5ู ต.แจระแม อ.เมอื ง จ.อุบลราชธานี 34000 เบอร์โทรศัพท์ 0894640671 ชอ่ื นางสาวพรชนนั ไทยรัตน์ อายุ 16 ปี ที่อยู่ 223หมู่11 ต.ไรน่ ้อย อ.เมือง จ.อุบลราชธานี 34000 เบอร์โทรศัพท์ 0930853298
ชื่อ นางสาวศศิประภา กากแก้ว อายุ 16 ปี ท่อี ยู่ 67 หม6ู่ ต.หนองเหลา่ อ.ม่วงสามสิบ จ.อุบลราชธานี 34140 เบอร์โทรศัพท์ 0969753867 ชื่อ นางสาว ศริ ิรตั น์ กฤษสวุ รรณ อายุ 16 ปี ทอี่ ยู่ 98 หม1ู่ 2 บ้านหนองเมือง ต.หนองเมอื ง อ.มว่ งสามสบิ จ.อบุ ลราชธานี 34140 เบอรโ์ ทรศัพท์ 0933424746
Search
Read the Text Version
- 1 - 26
Pages: