Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore อ.โน้ต วิชาการศึกษา ภาค ข.

อ.โน้ต วิชาการศึกษา ภาค ข.

Published by ปัณณธร ละม้าย, 2019-08-13 09:31:46

Description: อ.โน้ต วิชาการศึกษา ภาค ข.

Search

Read the Text Version

สอบข้าราชการ เตรยี มสอบ ครผู ูช้ ่วย อาจารยศ์ รายุทธ ปานมะเริง (อาจารยโ์ นต๊ ตวิ เตอร์) 2. กิจกรรมยุวกาชาด เป็นกิจกรรมท่ีมุงพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณธรรม จริยธรรม ระเบียบวินัย จิตสานึก ในการทาประโยชนแ์ ก่สังคมขอบข่าย ยวุ กาชาด มี 4 ระดบั  สมาชกิ ยวุ กาชาด ระดบั 1 ช้ัน ป.1 – ป.3  สมาชกิ ยวุ กาชาด ระดับ 2 ช้นั ป.4 – ป.6  สมาชิกยวุ กาชาด ระดับ 3 ช้ัน ม.1 – ม.3  สมาชิกยุวกาชาด ระดบั 4 ชน้ั ม.4 – ม.6 3. กิจกรรมผู้บาเพ็ญประโยชน์ เป็นกิจกรรมอาสาสมัครนานาชาติสาหรับเด็กผหู้ ญิงและสตรีไม่จากัดเช้อื ชาติ ขอบขา่ ย ผู้บาเพ็ญประโยชน์ มี 4 รนุ่  รนุ่ ที่ 1 นกนอ้ ย ชั้นอนบุ าล 1 – 3  รนุ่ ที่ 2 นกสีฟา ชน้ั ป.1 – 6  รนุ่ ท่ี 3 รนุ่ กลาง ช้ัน ม.1 – 3  รนุ่ ที่ 1 ร่นุ ใหญ่ ชน้ั ม.4 – 6 4. กิจกรรมชมุ นุม ชมรม สพานศึกษาสนับสนนุ ใหผ้ ู้เรียนนวมกลุ่มกนั จัดข้ึนตามความสนใจ  ชุมนุม = รวมกลุม่ ตามความสนใจความพนดั เร่อื งเดียวกัน  ชมรม = มีความมุ่งหมายอย่างใดอยา่ งหน่งึ รว่ มกนั 3) กิจกรรมเพ่ือสังคมและสาธารณประโยชน์ คนชนเปา้ 51

สอบข้าราชการ เตรยี มสอบ ครูผู้ช่วย อาจารยศ์ รายุทธ ปานมะเริง (อาจารย์โนต๊ ตวิ เตอร์) แนวขอ้ สอบเรอ่ื งการพัฒนาผูเ้ รยี น เพ่ือทบทวนเน้ือหาบทเรียนและเพ่ิมประสบการณจ์ ากเน้ือหาวชิ า 1. วสิ ัยทศั น์ตามนโยบายการปฎริ ูปการศึกษาในทศวรรษท่ี 2 (2552-2561) ตรงกบั ข้อใด ก. ใหเ้ ดก็ ไทยได้เรยี นรู้ตลอดชวี ิตอยา่ งทว่ั พึง ข. ให้เด็กไทยไดเ้ รียนรู้ตลอดชวี ิตอย่างมคี ุณภาพ ค. ให้คนไทยได้เรยี นร้ตู ลอดชวี ติ อยา่ งทั่วพงึ ง. ให้คนไทยได้เรยี นรูต้ ลอดชวี ิตอยา่ งมคี ุณภาพ 2. ข้อใดไมใ่ ช่ประเด็นหลกั ในการปฎิรูปการศึกษาและการเรียนรอู้ ยา่ งเปน็ ระบบ ก. การพัฒนาคุณภาพ มฐ.กศ.และการเรยี นร้ขู องคนไทย ข. เพ่ิมโอกาสทาง กศ.และการเรียนรทู้ มี่ คี ณุ ภาพอย่างทวั่ พงึ ค. ส่งเสริมการมีส่วนรว่ มของบุคคลทกุ ภาคส่วนในการบรหิ ารและการจัด กศ. ง. สร้างความเขม้ แข็งของการกากับติดตามและประเมินผลใหเ้ ปน็ เคร่ืองมือสาคญั สาหรับในการพัฒนาผเู้ รียน 3. ข้อใดไมใ่ ชก่ รอบแนวทางในการปฎริ ูปการศึกษาและการเรยี นรอู้ ย่างเป็นระบบ ก. การพัฒนาคุณภาพคนไทยยุคใหม่ ข. การพัฒนาคุณภาพครูยคุ ใหม่ ค. การพัฒนาคณุ ภาพนักเรียนยคุ ใหม่ ง. การพัฒนาสพานศึกษายุคใหม่ 4. ข้อใดเป็นหวั ใจของการปฎริ ปู การศึกษา ข. คณุ ภาพนักเรยี น ก. คุณภาพครู ง. คุณภาพผู้บริหารสพานศึกษา ค. คุณภาพสพานศึกษา 5. เป้าหมายการปฎิรปู การศึกษารอบสองกาหนดระยะเวลาตามขอ้ ใด ก. ภายใน 10 ปี ข. ภายใน 9 ปี ค. ภายใน 8 ปี ง. ภายใน 7 ปี 6. นโยบายด้านการศึกษาของรฐั บาลมุง่ เนน้ ให้ผูเ้ รียนข้อใดไม่ถกู ต้อง ก. มีความสามารพในการเรียนรู้ ข. รกั ทจี่ ะเรยี นรใู้ นรูปแบบทห่ี ลากหลาย ค. สนุกกบั การมาเรียน ง. มีโอกาสเรียนร้นู อกหอ้ งเรียนอย่างสรา้ งสรรค์ 7. ข้อใดเป็นจดุ เน้นการพฒั นาคุณภาพผเู้ รยี น ก. ดา้ นความสามารพ ทกั ษะและคุณลกั ษณะของผู้เรียน ข. ด้านการจัดการเรยี นรู้ ค. ด้านการจดั การเรยี นการสอน ง. ดา้ นการวดั และประเมนิ ผล คนชนเป้า 52

สอบข้าราชการ เตรยี มสอบ ครผู ชู้ ่วย อาจารยศ์ รายทุ ธ ปานมะเริง (อาจารยโ์ นต๊ ติวเตอร์) 8. แนวทางการพฒั นาคุณภาพผูเ้ รียนสถานศึกษาตอ้ งจดั การเรยี นรใู้ หเ้ ชือ่ มโยงกบั วิถชี วี ิต เน้นการปฎบิ ตั ิจรงิ ท้งั ในและนอกห้องเรยี นตามขอ้ ใด ก. 90 : 10 ข. 80 :20 ค. 70 : 30 ง. 60 : 40 9. ข้อใดไมใ่ ช่แนวทางการพัฒนาคณุ ภาพผู้เรยี นด้านการจดั การเรยี นรู้ ก. ใหค้ รผู ้สู อนออกแบบและจดั การเรยี นรตู้ ามความพนัด ความสนใจเต็มตามศักยภาพของผเู้ รยี น ข. ใหจ้ ัดกิจกรรมการเรยี นรู้นอกหอ้ งเรียนไม่น้อยกว่ารอ้ ยละ 30 ของเวลาเรยี น ค. แสวงหาความร่วมมอื จากชมุ ชนจดั แหลง่ เรยี นรู้ มารว่ มในการจดั การเรยี นรู้ ง. ครูทกุ คนวัดผลและประเมนิ ผลผเู้ รยี นเปน็ รายบคุ คลตามจดุ เนน้ 10. อา่ นคลอ่ ง เขยี นคลอ่ ง คดิ เลขคลอ่ ง เป็นทกั ษะ ความสามารถตามขอ้ ใด ก. ป.1-3 ข. ป.4-6 ค. ม.1-3 ง. ม.4-6 11. กิจกรรมพัฒนาผเู้ รียนตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐาน 2551 ขอ้ ใดตอ่ ไปนี้ถูกตอ้ งที่สุด ก. กจิ กรมแนะแนว/กิจกรรมนักเรียน ข. กิจกรมแนะแนว/กิจกรรมเพ่ือสังคม ค. กจิ กรมแนะแนว/กิจกรรมนกั เรียน/กิจกรรมอนรุ กั ษ์สิ่งแวดล้อม ง. กจิ กรมแนะแนว/กจิ กรรมนกั เรยี น/กจิ กรรมเพ่ือสังคมและสาธารณประโยชน์ 12. เป็นกิจกรรมท่สี ่งเสรมิ และพัฒนาผู้เรยี นให้ร้จู ักตนเอง สอดคลอ้ งกับกจิ กรรมพัฒนาผเู้ รยี นทางดา้ นใด ก. กจิ กรรมนกั เรยี น ข. กจิ กรรมแนะแนว ค. กจิ กรรมเพ่ือสังคมและสาธารณประโยชน์ ง. ทุกกิจกรรมรวมกนั 13. เป็นกิจกรรมท่ีมุ่งพัฒนาความมีระเบียบวินัย ความเป็นผู้นาผู้ตามที่ดี สอดคล้องกับกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน ทางดา้ นใด ก. กจิ กรรมนักเรียน ข. กิจกรรมแนะแนว ค. กิจกรรมเพ่ือสังคมและสาธารณประโยชน์ ง. ทกุ กิจกรรมรวมกนั 14. เป็นท่ีกจิ กรรมทส่ี ่งเสรมิ ใหผ้ เู้ รียนไดบ้ าเพ็ญตนใหเ้ ป็นประโยชนต์ ่อสังคม ชุมชน และถ้องถ่ิน ก. กิจกรรมนักเรียน ข. กจิ กรรมแนะแนว ค. กจิ กรรมเพ่ือสังคมและสาธารณประโยชน์ ง. ทกุ กจิ กรรมรวมกัน 15. กิจกรรมชมุ นมุ ชมรม เป็นกิจกรรมพัฒนาผูเ้ รียนทางดา้ นใด ก. กจิ กรรมนกั เรียน ข. กจิ กรรมแนะแนว ค. กจิ กรรมเพ่ือสังคมและสาธารณประโยชน์ ง. ทกุ กิจกรรมรวมกนั คนชนเป้า 53

สอบขา้ ราชการ เตรียมสอบ ครผู ้ชู ่วย อาจารย์ศรายทุ ธ ปานมะเริง (อาจารยโ์ น๊ตติวเตอร์) 16. กจิ กรรมลกู เสือ นกั ศึกษาวชิ าทหารเป็นกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนทางด้านใด ก. กิจกรรมนกั เรียน ข. กิจกรรมแนะแนว ค. กจิ กรรมเพ่ือสังคมและสาธารณประโยชน์ ง. ทกุ กิจกรรมรวมกัน 17. ข้อใดคือผลการประเมินกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน ข. ดเี ยยี่ ม ดี พอใช้ ก. ผ่าน ไม่ผ่าน ง. ดี พอใช้ ปรับปรงุ ค. ดเี ยี่ยม ดี พอใช้ ปรับปรง 18. ลกู เสือสารองใชส้ อนในระดับช้ันอะไร ก. ป.1 – ป.3 ข. ป.4 – ป.6 ค. ม.1 – ม.3 ง. ม.4 – ม.6 19. ข้อใดเป็นระดบั ของลกู เสือสารอง ก. ดาวดวงท่ี 1 ข. ลูกเสือโลก ค. ลกู เสือตรี ง. ลูกเสือหลวง 20. การรวมกลุ่มของผู้เรียนท่ีมีความสนใจ ความถนัดในเร่ืองเดียวกันและร่วมปฏิบัติกิจกรรมให้บรรลุ วัตถุประสงค์ ขอ้ ใดต่อไปนถี้ ูกต้อง ก. ชุมนมุ ข. ชมรม ค. ภารกิจ ง. งานอดิเรก 21. การรวมกันของกลุ่มผู้เรยี นที่มีความมุ่งหมายอยา่ งใดอยา่ งหน่ึงร่วมกันการจัดต้ังมีการกาหนดวตั ถปุ ระสงค์ ข้อใดต่อไปนถ้ี กู ตอ้ ง ก. ชุมนุม ข. ชมรม ค. ภารกจิ ง. งานอดิเรก 22. หวั ใจของการแนะแนวคอื ขอ้ ใด ก. การบริการ ข. การแนะนา ค. การแนะแนว ง. การบรกิ ารใหค้ าปรึกษา 23. ข้ันตอนแรกในการดาเนนิ การระบบดแู ลช่วยเหลอื นักเรยี นคือขอ้ ใด ก. ศึกษากรอบความเป็นไปได้ ข. อบรมวธิ ีการใช้โปรแกรม DMC ค. การรู้จักนักเรยี นเป็นรายบุคคล ง. แนะนานักเรยี นพงึ กจิ กรรมนักเรยี น 24. การคัดกรองนักเรยี นจะแยกนกั เรยี นออกเป็นก่ีกลุ่มในระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน ก. 2 กล่มุ ไดแ้ ก่ ปกติ เส่ียง ข. 2 กลุ่ม ได้แก่ ปกติ พิเศษ ค. 3 กลมุ่ ไดแ้ ก่ ปกติ เส่ียง พิเศษ ง. 3 กล่มุ ไดแ้ ก่ ปกติ เสี่ยง ส่งต่อ 25. เป้าหมายของการแนะแนวคอื ข้อใด ก. เด็กสามารพลดปัญหาของตัวเองลง ข. เด็กสามารพให้คาปรึกษาในการใชช้ ีวติ รว่ มกันได้ ค. เด็กสามารพชว่ ยเหลอื ตัวเองไดด้ ใี นทกุ ดา้ น ง. เด็กสามารพเข้าใจโลกและอยู่ร่วมโลกได้สบาย คนชนเปา้ 54

สอบขา้ ราชการ เตรยี มสอบ ครผู ูช้ ่วย อาจารย์ศรายุทธ ปานมะเริง (อาจารยโ์ น๊ตติวเตอร์) การบริหารจดั การช้นั เรยี น การจัดสภาพแวดล้อมท้ังภายในและภายนอกของห้องเรียน ให้มีบรรยากาศที่น่าเรียน การจัดการกับพฤติกรรมท่ี เป็นปัญหาของนักเรียน การสร้างวินัยในช้ันเรียนตลอดจนการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนของครูผู้สอน และการพัฒนา ทักษะการสอนของครูให้สามารพกระตุ้นและสร้างแรงจูงใจในการเรียนให้นักเรียนสามารพเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนทด่ี ี และบรรลผุ ลตามเปาหมาย ในหวั ขอ้ น้ีก็เป็นอีกหน่งึ หวั ข้อท่ีเราตอ้ งทบทวนและททาความเข้าใจ โดยมลี าดับเน้อื หารายละเอียดดงั ต่อไปน้ี 1. ความหมายของการบริหารจัดการในชั้นเรยี น 2. ความสาคญั ของการบริหารจัดการในช้นั เรยี น 3. เปาหมายของการบริหารจัดการชัน้ เรยี น 4. แนวคดิ เก่ยี วกบั การบริหารจดั การช้นั เรียน 5. การจดั ชั้นเรยี นเพ่ือส่งเสรมิ บรรยากาศการเรียนรู้ 6. ความหมายของการจดั ชน้ั เรยี นเพ่ือส่งเสริมบรรยากาศการเรียนรู้ 7. ความสาคญั ของการจดั ช้นั เรยี นเพ่ือส่งเสริมบรรยากาศการเรียนรู้ 8. เปาหมายของการจดั ช้ันเรียนเพ่ือส่งเสรมิ บรรยากาศการเรยี นรู้ 9. การจาแนกประเภทการจดั ชัน้ เรียนเพ่ือส่งเสริมบรรยากาศการเรียนรู้ 10. การจดั เตรียมการสอน 11. เทคนิคการปกครองช้นั เรยี นของครู คนชนเปา้ 55

สอบขา้ ราชการ เตรยี มสอบ ครผู ชู้ ่วย อาจารยศ์ รายุทธ ปานมะเรงิ (อาจารยโ์ น๊ตตวิ เตอร์) 1. ความหมายของการบรหิ ารจัดการในช้นั เรยี น การจัดการช้ันเรยี นในความหมายท่ัวไป คือ การจัดสภาพของห้องเรยี น การตกแต่งหอ้ งเรยี นทางวตั พหุ รือทางกายภาพ ให้มีบรรยากาศน่าเรยี นเพ่ือส่งเสรมิ การเรยี นรูข้ องนักเรียน ตามรากศัพท์ได้มีนักการศึกษาหลายท่าน ท่ีให้นิยามการบรหิ าร จดั การในช้ันเรยี นไว้หลากหลาย ดงั ตัวอยา่ งต่อไปนี้  Thai Software Dictionary ไดใ้ หค้ วามหมาย คาวา่ “Class Management” คอื “ความสามารพในการจดั การ ชนั้ ในโรงเรยี น” ส่วนคาว่า “Class Management” คอื “ความสามารพในการจัดการห้องเรยี น”  ฮอล ได้ใหค้ วามหมายของการจัดการช้ันเรียนไว้ว่า เปน็ พฤตกิ รรมการสอนทีค่ รูสร้างและคงสภาพเง่อื นไขของการ เรียนรู้เพ่ือช่วยให้การเรียนการสอนมีประสิทธิภาพและเกิดประสิทธิผลข้ึนในช้ันเรียน ความพยายามของครุท่ีมี ประสิ ทธิภาพนั้นมีความหมายรวมไปพึง การที่ครูเป็นผู้ดาเนินการเชิงรุก (proactive) มีความรับผิดชอบ (responsive) และเป็นผู้สนบั สนุน (supportive)  มอร์ (Moore) ได้ให้ความหมายของการจัดการชั้นเรียนไว้ว่า การบริหารจัดการชนั้ เรียนเป็นกระบวนการของการ จัดระบบระเบียบ และนากิจการของหอ้ งเรยี นให้เกิดการเรยี นรู้  โบรฟี (Jere Brophy) ได้ให้ความหมายของการจัดการช้นั เรียนไว้ว่า เป็นการท่ีครสู ร้างและคงสภาพสิ่งแวดลอ้ ม ในการเรียนรู้ที่นาไปสู่การจัดการเรียนการสอนท่ีประสบความสาเร็จท้ังในด้านสิ่งแวดล้อม การสร้างกฎระเบียบ และการดาเนินการทีท่ าใหบ้ ทเรยี นมคี วามนา่ สนใจอยา่ งตอ่ เน่อื ง  เบอร์เดน (Paul Burden) ได้ให้ความหมายของการจัดการช้ันเรียนไว้ว่า เป็นยุทธศาสตร์และการปฏิบัติท่ีครูใช้ เพ่ือคงสภาพความเปน็ ระเบียบเรียบรอ้ ย  สุรางค์ โค้วตระกูล ได้ให้ความหมายของการจัดการชั้นเรียนไว้ว่า เป็นการสร้างและการรักษาสิ่งแวดล้อม ของห้องเรียนเพ่ือเอ้ือต่อการเรียนรู้ของนักเรียน หรือหมายพึงกิจกรรมทุกอย่างท่ีครูทาเพ่ือจะช่วยให้การสอนมี ประสิทธิภาพและนักเรยี นมีผลสัมฤทธใิ์ นการเรียนรู้ตามวตั พปุ ระสงค์ท่ีตง้ั ไว้ กล่าวโดยสรุป การจัดการช้ันเรียนจึงมีความหมายกว้าง นับตั้งแต่การจัดสภาพแวดล้อมทางกายภาพ ทั้งในหอ้ งเรยี นไปจนพึงรอบๆ ห้องเรยี นซ่ึงเปน็ บรรยากาศที่เอ้ือต่อการจัดการเรียนการสอน การจัดการกับพฤตกิ รรมที่เป็น ปัญหาของนักเรียน การสร้างวินัยในชั้นเรียนตลอดจนการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนของครู และการพัฒนาทักษะการ สอนของครูให้สามารพกระตุ้นพรอ้ มทั้งสรา้ งแรงจูงใจในการเรยี น เพ่ือให้นกั เรียนสามารพเรียนรู้ไดอ้ ยา่ งมีประสิทธภิ าพ คนชนเป้า 56

สอบขา้ ราชการ เตรยี มสอบ ครูผ้ชู ่วย อาจารยศ์ รายุทธ ปานมะเริง (อาจารยโ์ นต๊ ตวิ เตอร์) 2. ความสาคัญของการบรหิ ารจดั การในช้นั เรยี น การบรหิ ารจดั การช้ันเรียน เป็นสิ่งสาคญั ท่ชี ว่ ยกระตุ้นใหผ้ เู้ รยี นเกดิ ความกระตือรอื ร้นในการเรยี นและการร่วม กิจกรรมต่างๆ ภายในห้องเรียน และนาไปสู่ความสาเร็จในการจัดการเรียนการสอนท่ีมีประสิทธิภาพและได้ประสิทธิผล สูงสุด การจัดการช้นั เรยี นมีความสาคัญดว้ ยเหตุผลหลายประการ คือ  การเรียนรจู้ ะเกดิ ข้นึ ไม่ไดห้ รอื เกดิ ได้นอ้ ยพา้ มสี ่ิงรบกวนในชัน้ เรียน  การกาหนดคุณลักษณะพฤติกรรมท่ีพึงประสงค์ของนักเรียนไว้ล่วงหน้าจะมีประโยชน์อย่างย่ิงต่อการจัดการ ช้ันเรียน  ช้ันเรียนที่มีการจัดการกับพฤติกรรมของนักเรียนได้อย่างเหมาะสม จะทาให้ครูสามารพจัดกิจกรรมการเรียนการ สอนไดอ้ ย่างเต็มทแ่ี ละมปี ระสิทธภิ าพ  การจัดการชน้ั เรยี น ให้นักเรียนมีวินยั ในการเรยี นรู้และการอยู่ร่วมกนั ด้วยความเอ้ืออาทร โดยคานึงพึงกฎระเบยี บ ของช้นั เรยี นอยา่ งตอ่ เน่อื ง ดังนั้นจึงอาจสรุปความสาคัญของการจัดชั้นเรียนได้ว่า เป็นกิจกรรมหรือการดาเนินการต่างๆ ที่เก่ียวข้องกับ การจัดสภาพแวดล้อมในชั้นเรียน เพ่ือกระตุ้น ส่งเสริมบรรยากาศการเรียนรู้และสร้างเสริมผู้เรียนในด้านสติปั ญญา ร่างกาย อารมณ์ และสังคมได้เป็นอย่างดี รวมพึงการแก้ไขปัญหาพฤติกรรมของนักเรียน โดยมีเปาหมายเพ่ือให้นักเรียน เกดิ การเรยี นรตู้ ามจดุ ประสงคข์ องการเรยี นการสอนตลอดจนบรรลุผลตามเปาหมายของการศึกษา หลกั การจัดช้ันเรียน เน่อื งจากช้นั เรยี นมคี วามสาคญั เปรยี บเสมอื นบา้ นทสี่ องของนกั เรียน อทิ ธิพลของชน้ั เรยี นจึงมมี ากพอที่จะปลกู ผัง ลักษณะของเด็กให้เป็นแบบที่ต้องการได้ เช่น ให้เป็นตัวของตัวเอง ให้สามารพทางานเป็นหมู่คณะได้ดี ให้ชอบแสวงหา ความรูอ้ ย่เู สมอ ใหม้ คี วามรับผิดชอบ ให้ร้จู กั คิดวิเคราะห์ ดังนั้นเพ่ือให้นักเรยี นมีคุณลักษณะนสิ ัยดังประสงค์ และมีความรู้สึกอบอุ่นสบายใจในการอยู่ในช้ันเรียนครจู ึงควร คานงึ พึงหลกั การจดั ช้นั เรียน ดังตอ่ ไปน้ี 1. การจดั ชัน้ เรยี นควรให้ยดื หย่นุ ได้ตามความเหมาะสม 2. ควรจัดช้ันเรียนเพ่ือสร้างเสรมิ ความรู้ทกุ 3. ควรจัดชน้ั เรยี นใหม้ สี ภาพแวดลอ้ มทด่ี ี 4. ควรจดั ชนั้ เรยี นเพ่ือเสริมสรา้ งลักษณะนิสัยท่ดี ีงาม 5. ควรจัดช้ันเรยี นเพ่ือสร้างความเป็นระเบยี บ 6. ควรจัดช้นั เรียนเพ่ือสร้างเสรมิ 7. ควรจดั ช้ันเรยี นให้เอ้ือต่อหลกั สูตร จากที่กล่าวมาท่ังหมดสรุปได้ว่า หลักการจัดชั้นเรียน คือ การจัดบรรยากาศทางด้านกายภาพ และการจัด บรรยากาศทางด้านจติ วิทยาในชนั้ เรยี นให้เอ้ืออานวยต่อการเรยี นรู้ และเพ่ือการพัฒนาผูเ้ รียนทง่ั ด้านรา่ งกาย อารมณ์ สังคม และสติปัญญา ใหเ้ ป็นบคุ คลที่มีคณุ ภาพของประเทศชาตติ อ่ ไป คนชนเปา้ 57

สอบขา้ ราชการ เตรียมสอบ ครผู ู้ช่วย อาจารยศ์ รายุทธ ปานมะเรงิ (อาจารยโ์ นต๊ ติวเตอร์) การจดั บรรยากาศในช้ันเรยี น บรรยากาศในชั้นเรียนมีส่วนสาคัญในการส่งเสริมความสนใจใคร่รู้ใคร่เรียนให้แก่ผู้เรียน ช้ันเรียนที่มีบรรยากาศ เต็มไปด้วยความอบอุ่น ความเห็นอกเห็นใจ และความเอ้ือเฟ้ ือเผ่ือแผ่ต่อกันและกัน ย่อมเป็นแรงจูงใจภายนอกที่กระตุน้ ให้ ผเู้ รยี นรักการเรียน รักการอยู่ร่วมกันในชั้นเรียนและช่วยปลกู ฝังคณุ ธรรม จริยธรรม ความประพฤตอิ นั ดีงามให้แกน่ ักเรียน นอกจากน้กี ารมีห้องเรียนที่มีบรรยากาศแจ่มใส สะอาด สว่าง กว้างขวางพอเหมาะ มีโต๊ะเก้าอ้ีท่เี ป็นระเบียบเรียบร้อย มีมุม วชิ าการส่งเสรมิ ความรู้ มีการตกแตง่ ห้องใหส้ ดใส ก็เปน็ อีกสิ่งหน่งึ ที่ส่งผลทาใหผ้ ู้เรียนพอใจมาโรงเรยี น ดังน้ัน ผู้เป็นครูจึงต้องมีความร้คู วามเขา้ ใจเก่ียวกับความหมาย ความสาคัญ ประเภทของบรรยากาศ หลักการจัด บรรยากาศในชนั้ เรยี นและการจัดการเรยี นรูอ้ ย่างมคี วามสุข เพ่ือพัฒนาผู้เรียนให้มีลกั ษณะตามที่หลกั สูตรได้กาหนดไว้ 3. เป้าหมายของการบรหิ ารจัดการช้นั เรียน การบริหารจัดการชั้นเรียนมีเปาหมายสาคัญเพ่ือการพัฒนานักเรียนในการควบคุมตนเอง เพ่ือให้มีชีวิตและทางาน ร่วมกบั ผอู้ ่นื ในสังคมอย่างมคี วามสุข ครูซ่ึงเป็นผนู้ าในการจัดการเรียนรู้ในชน้ั เรียนนั้น จาเป็นต้องมีเปาหมายของการบริหาร จัดการช้ันเรียนที่พูกต้อง กล่าวคือ เพ่ือมุ่งสร้างนิสัยของการใฝ่รู้ มิใช่เพ่ือมุ่งให้นักเรียนเกิดความสุขสนุกในการเรยี นเพียง อย่างเดียว ควรมุ่งสรา้ งคุณลกั ษณะของการเห็นแกป่ ระโยชนส์ ่วนรวม การช่วยเหลือเก้อื กูลผ้อู ่ืน การพ่ึงตนเองให้มากกวา่ พ่ึงผูอ้ ่นื และการเป็นคนมีความคดิ ใฝ่สร้างสรรค์ เพ่ือดารงชีวติ อยู่ในสังคมไดอ้ ยา่ งมคี วามสุขต่อไปในอนาคต ซ่ึงมเี ปาหมาย สาคญั ดงั น้ี 1. เพ่ือให้นกั เรยี นไดเ้ รยี นร้ทู ีจ่ ะควบคุมตังเองไดม้ ากข้นึ 2. เพ่ือใหน้ ักเรียนเรยี นรทู้ ่ีจะเข้าใจและยอมรับผลการกระทาของตัวเอง 3. เพ่ือใหน้ ักเรยี นรบั ผิดชอบตวั เอง และพ่ึงพาคนอ่นื ตามจาเป็นอยา่ งเหมาะสม 4. เพ่ือเป็นการสนับสนุนและกระตุ้นให้นักเรียนสนใจการเรยี น นอกจากน้ี การจัดการห้องเรียน ยังชว่ ยสนับสนนุ ใหน้ ักเรยี นมีทัศนคติทดี่ ตี อ่ การเรียน และสามารพจัดกิจกรรมการ เรยี นการสอนให้มีประสิทธภิ าพอกี ด้วย 4. แนวคิดเกี่ยวกับการบรหิ ารจดั การช้นั เรยี น การจัดการชั้นเรยี นเป็นเคร่ืองมือและกระบวนการหน่ึงในการดาเนินงานพัฒนาคุณภาพการศึกษา ให้มีคุณภาพ บรรลุ ตามมาตรฐานหรือสูงกว่า มาตรฐานที่กาหนดไว้ ท้ังในระดับปฐมวัย ระดับการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน และระดับอุดมศึกษา แนวคิดในการจัดการชั้นเรียน มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับการเรียนรู้ตลอดชีวิต และมีการได้รับความร่วมมือจากทุกฝ่าย ในการจดั ช้ันเรยี นใหป้ ระสบความสาเรจ็ ต้องมีความสัมพันธ์สอดคล้องกบั การศึกษาตลอดชีวิตซ่งึ จดั การศึกษาใน 3 รูปแบบ คือ การศึกษาในระบบโรงเรยี น การศึกษานอกระบบโรงเรียน และการศึกษาตามอัธยาศัย ซ่ึงล้วนแล้วแต่มีผู้เกี่ยวข้องอยู่ หลายฝ่าย ได้แก่ ผ้บู รหิ าร ครู คณะกรรมการบริหารศึกษา คนชนเปา้ 58

สอบขา้ ราชการ เตรียมสอบ ครผู ูช้ ่วย อาจารย์ศรายทุ ธ ปานมะเรงิ (อาจารยโ์ น๊ตตวิ เตอร์) ซ่งึ มแี นวคดิ เกย่ี วกบั การบรหิ ารจัดการชน้ั เรยี น ดังน้ี 1. การบริหารจัดการช้นั เรียน และการเรียนการสอนเป็นส่ิงทมี่ ีความสัมพันธ์ซ่ึงกนั และกนั การบริหารจัดการช้ันเรียนไม่ใช่จุดหมายปลายทาง แต่เป็นส่วนหน่ึงที่สาคัญของบทบาทความเป็นผู้นาของครู การบริหารจัดการช้ันเรียนไม่สามารพแยกจากหน้าท่ีการสอน เม่ือการวางแผนการสอน ก็คือ การท่ีครูกาลังวางแผนการ บรหิ ารจดั การช้ันเรยี นให้เกดิ เปน็ ชุมชนแห่งการเรียนรู้ 2. เป็นไปไม่ไดท้ ่จี ะแยกการบรหิ ารจัดการช้ันเรียนกับการทาหน้าท่ีการจัดการเรียนการสอน รูปแบบการ สอนหรือกลยทุ ธท์ ี่ครเู ลอื กใชแ้ ต่ละรูปแบบกม็ ีระบบการบรหิ ารจดั การของมนั เองและมภี ารกิจเฉพาะของรูปแบบหรอื กลยุทธ์ น้ันๆ ท่ีจะมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมทั้งของครูและนักเรียน เช่น พ้าครูจะบรรยายก็จาเป็นที่บทเรียนจะต้องมีความต้ังใจฟัง พ้าจะให้นักเรียนทางานกลุ่มวิธีการก็จะแตกต่างจากการทางานโดยลาพังของแต่ละคนอย่างน้อยท่ีสุดก็คือการน่ัง ดังนั้น ภารกิจการสอนจึงเกี่ยวข้องท้ังปั ญหาการจัดลาดับวิธีการสอน ปั ญหาของการจัดการในชั้นเรียนปัญหาการจัดนักเรียนให้ ปฏิบัติตามกิจกรรม ครูที่วางแผนการบริหารจัดการช้ันเรียนได้อย่างเหมาะสม ท้ังกิจกรรมการเรียนการสอนและภารกิจ ก็คือการที่ครูใช้การตัดสินใจอย่างฉลาดท้ังเวลา บรรยากาศทางกายภาพ และจิตวทิ ยา ซ่งึ จะทาให้เกดิ บรรยากาศการเรียนรู้ และลดปัญหาด้านวินัยของนกั เรียน 3. การบรหิ ารช้ันเรยี นเป็นความทา้ ทายของการเป็นครูมืออาชีพ ความสามารพของครใู นการแสดงภาวะผู้นา ด้วยการท่ีสามารพจะบริหารการจัดช้ันเรียนท้ังด้านการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ การบริหารจัดการบรรยากาศในห้องเรียน การดูแลพฤตกิ รรมดา้ นวินยั ให้เกิดการร่วมมอื ในการเรยี นจนเกดิ การเรียนรู้ และมีคณุ ลักษณะอนั พึงประสงคต์ ามหลกั สูตร 5. การจัดช้นั เรียนเพ่ือส่งเสรมิ บรรยากาศการเรียนรู้ บรรยากาศในช้ันเรียนมีส่วนสาคัญ ในการส่งเสริมความสนใจใคร่รู้ใคร่เรียนให้แก่นักเรียนและส่งเสริมให้นักเรียน สามารพรบั ผดิ ชอบ ควบคุมและดูแลตนเองได้ ช้ันเรียนท่ีมีบรรยากาศเตม็ ไปดว้ ยความอบอุ่น ความเห็นอกเห็นใจและความ เอ้ือเฟ้ ือเผ่ือแผ่ต่อกันและกัน ย่อมเป็นแรงจูงใจภายนอกท่ีกระตุ้นให้นักเรียนเกิดความรูส้ ึก รักการเรียน รักการอยู่ร่วมกนั ในชั้นเรียน และช่วยปลูกฝั งคุณธรรม จริยธรรม ความประพฤติอันดีงามให้แก่นักเรียน นอกจากนี้การมีห้องเรียนที่มี บรรยากาศแจ่มใส สะอาด สว่าง กว้างขวางพอเหมาะ มีโต๊ะเกา้ อที้ ีเ่ ป็นระเบียบเรยี บร้อย มีมุมวชิ าการส่งเสรมิ ความรู้ มีการ ตกแต่งห้องให้สดใส ก็เป็นอีกสิ่งหน่ึงที่ส่งผลทาให้ผู้เรียนพอใจมาโรงเรียน เข้าห้องเรียนและพร้อมที่จะมีส่วนร่วมใน กิจกรรมการเรยี นการสอน ดังน้ันครูจึงต้องมีความรู้ความเข้าใจเก่ียวกับความหมาย ความสาคัญ ประเภทของบรรยากาศ หลักการจัดบรรยากาศในช้ันเรียนและ การจัดการเรียนรู้อย่างมีความสุข เพ่ือพัฒนาผู้เรียนให้มีลักษณะตามท่ีหลักสูตรได้ กาหนดไว้ การจัดบรรยากาศในช้ันเรียน คือ การจัดสภาพแวดล้อมในชั้นเรียนให้เอ้ืออานวยต่อการเรียนการสอน เพ่ือช่วย ส่งเสริมและอานวยความสะดวกในการจัดให้กระบวนการเรียนรู้ และกิจกรรมการเรียนการสอนให้ดาเนินไปอย่างมี ประสิทธิภาพ และช่วยสร้างความสนใจใฝ่รู้ ใฝ่ศึกษา ตลอดจนช่วยสร้างเสริมความมีระเบียบวินัยให้แก่นักเรียน รวมทั้ง ช่วยส่งเสริมและสร้างเสริมนักเรียนท้ังในด้านสติปั ญญา ร่างกาย อารมณ์ และสังคม ได้เป็นอย่างดี ทาให้นักเรียนเรียน อยา่ งมคี วามสุข รักการเรยี น และเป็นคนใฝ่เรยี นใฝ่รใู้ นทส่ี ุด คนชนเปา้ 59

สอบข้าราชการ เตรยี มสอบ ครผู ู้ช่วย อาจารยศ์ รายุทธ ปานมะเริง (อาจารยโ์ น๊ตตวิ เตอร์) การสร้างบรรยากาศในการจัดการเรียนรู้นับว่ามีความสาคัญและจาเป็นอย่างย่ิงต่อการเรียนรู้ พือเป็นการจัด สภาพแวดล้อมของการเรยี นรู้ เพ่ือพัฒนาผู้เรียนและการเรยี นการสอนให้ดาเนินไปตามรูปแบบที่ครูกาหนดไว้ เน่ืองจากจะ ชว่ ยใหน้ กั เรียนพรอ้ มท่จี ะเรียน มเี จตคตทิ ดี่ ีตอ่ การเรยี น ไมเ่ บ่อื หน่ายในการเรยี น และทาใหก้ ระบวนการเรียนการสอนบรรลุ ตามวัตพุประสงค์ที่วางไว้ได้ง่ายข้ึน ทั้งยังส่งเสริมพัฒนาการของผู้เรียน ในด้านร่างกาย อารมณ์ สังคมและสติปั ญญา การจดั บรรยากาศการเรียนรู้จึงเป็นเร่อื งสาเปน็ สาหรับครผู ูส้ อนเป็นอย่างย่งิ 6. ความหมายของการจัดช้นั เรียนเพื่อส่งเสริมบรรยากาศการเรียนรู้  การจัดช้ันเรียน หมายพึง ระบบระเบียบและกลยุทธ์เพ่ือใช้ในการปฏิบัติ การแก้ปั ญหาและการนากิจการของ หอ้ งเรยี นใหเ้ กดิ การเรยี นรใู้ หบ้ รรลตุ ามเปาหมายของการจัดการศึกษา  บรรยากาศ หมายพงึ ความรสู้ ึก ส่ิงทอ่ี ยรู่ อบๆ ตวั เช่น บรรยากาศในทปี่ ระชุม บรรยากาศรอบๆ บา้ น  การเรียนรู้ หมายพึง การเปลี่ยนแปลงความสามารพในการแสดงพฤติกรรม ในสพานการณ์ใดสพานการณ์หน่ึง ซ่งึ เป็นผลมาจากการปฏิบัติหรือจากการได้รบั ประสบการณ์  การจัดบรรยากาศการเรียนรู้ หมายพึง การจัดสภาวะแวดล้อมในการเรียนการสอนโดยเน้นความรู้สึกและความ ต้องการของผู้เรยี น เพ่ือให้ผู้เรียนเกดิ การปรบั เปลยี่ นพฤติกรรมไปในทางทพี่ ึงประสงค์ ในการจัดการเรียนการสอน บรรยากาศในช้ันเรียนมีส่วนสาคัญในการส่งเสริมให้ความสาเร็จ โดยบรรยากาศ ในชัน้ เรยี นทจี่ ะนาไปสู่ความสาเร็จในการสอนจัดแบ่งได้ 6 ลักษณะ สรปุ ไดด้ ังน้ี 1. บรรยากาศท่ีท้าทาย (Challenge) เป็นบรรยากาศท่ีครูกระตุ้นให้กาลังใจนักเรียนเพ่ือให้ประสบผลสาเรจ็ ในการ ทางาน นักเรียนจะเกดิ ความเช่ือม่นั ในตนเองและพยายามทางานให้สาเร็จ 2. บรรยากาศที่มีอิสระ (Freedom) เป็นบรรยากาศที่นักเรียนมีโอกาสได้คิด ได้ตัดสินใจเลือกสิ่งท่ีมีความหมาย และมคี ณุ ค่า รวมพึงโอกาสที่จะทาผิดด้วย โดยปราศจากความกลัวและวิตกกังวล บรรยากาศเชน่ น้ีจะส่งเสริมการ เรียนรู้ ผ้เู รียนจะปฏิบตั ิกจิ กรรมดว้ ยความตงั้ ใจโดยไม่รสู้ ึกตงึ เครยี ด 3. บรรยากาศที่มีการยอมรับนับถือ (Respect) เป็นบรรยากาศที่ครูรู้สึกว่านักเรียนเป็นบุคคลสาคัญ มีคุณค่า และสามารพเรยี นได้ อันส่งผลให้นักเรียนเกดิ ความเช่ือมั่นในตนเองและเกิดความยอมรับนับพอื ตนเอง 4. บรรยากาศที่มีความอบอุ่น (Warmth) เป็นบรรยากาศทางด้านจิตใจ ซ่ึงมีผลต่อความสาเร็จในการเรียน การท่ี ครูมีความเข้าใจนักเรียน เป็นมิตร ยอมรับให้ความช่วยเหลือ จะทาให้นักเรียนเกิดความอบอุ่น สบายใจ รักครู รักโรงเรยี น และรักการมาเรียน 5. บรรยากาศแห่งการควบคุม (Control) การควบคุมในที่น้ี หมายพึง การฝึกให้นักเรียนมีระเบียบวินัย มิใช่การ ควบคมุ ไมใ่ ห้มีอิสระ ครตู ้องมีเทคนคิ ในการปกครองชั้นเรยี นและฝกึ ใหน้ ักเรียนรู้จกั ใช้สิทธิหนา้ ท่ีของตนเองอย่าง มขี อบเขต 6. บรรยากาศแห่งความสาเร็จ (Success) เป็นบรรยากาศที่ผู้เรียนเกิดความรู้สึกประสบความสาเร็จในงานท่ีทา ซ่งึ ส่งผลใหผ้ ู้เรียนเกิดการเรียนร้ไู ด้ดขี ้ึน ผสู้ อนจงึ ควรพูดพงึ สิ่งทีผ่ ู้เรยี นประสบความสาเรจ็ ให้ บรรยากาศทั้ง 6 ลกั ษณะน้ี มผี ลตอ่ ความสาเร็จของผู้สอนและความสาเร็จของผเู้ รียนเปน็ อย่างมาก คนชนเป้า 60

สอบขา้ ราชการ เตรยี มสอบ ครูผู้ช่วย อาจารยศ์ รายทุ ธ ปานมะเรงิ (อาจารย์โนต๊ ตวิ เตอร์) 7. ความสาคญั ของการจัดช้นั เรียนเพื่อส่งเสรมิ บรรยากาศการเรยี นรู้ การสร้างบรรยากาศในชน้ั เรยี นมีความสาคญั อย่างย่ิง ซ่ึงประมวลความสาคญั ไดด้ ังน้ีได้ดงั น้ี 1. ส่งเสริมสนับสนุนการเรียนรู้ให้เป็นไปโดยราบร่ืนและมีประสิทธิภาพ ส่งเสริมความร่วมมือระหว่างครูกับนักเรียน ตลอดระยะเวลาในการสอนและสามารพปรบั เปล่ยี นพฤตกิ รรมนักเรยี นให้เป็นไปในทางที่พึงประสงค์ 2. สร้างเจตคติที่ดีต่อการเรียนและการมาโรงเรียน ทาให้นักเรียน รู้สึกว่าโรงเรียนเป็นสพานที่ที่น่าอยู่ น่าศึกษาเล่า เรียน เพราะในช้ันเรียนมีครูที่เข้าใจนักเรียน ให้ความเมตตาเอ้ืออารีต่อนักเรียน และนักเรียนมีความสัมพันธ์อันดี ตอ่ กัน 3. ส่งเสรมิ การเรยี นรู้ และสรา้ งความสนใจในบทเรียนมากย่ิงข้ึน ทาให้นักเรียน เกดิ เจตคติท่ดี ตี อ่ การเรียนรู้ 4. สร้างเสรมิ ลักษณะนสิ ัยทดี่ งี ามและความมรี ะเบยี บวินยั ให้แกน่ กั เรยี น 5. ส่งเสริมสุขภาพและสุขลักษณะท่ดี ใี หแ้ ก่นักเรยี น 6. ส่งเสริมการเปน็ สมาชิกทีด่ ขี องสังคม เชน่ การฝกึ ให้มีมนษุ ย์สัมพันธ์ทดี่ ีต่อกัน การฝึกให้มอี ธั ยาศัยไมตรีในการอยู่ ร่วมกนั ฯลฯ 7. นักเรียนเกิดความรสู้ ึกนึกคิดตอ่ ตนเอง รูจ้ กั ตนเองดขี ้นึ และพร้อมท่ีจะชว่ ยเหลอื ผูอ้ ่นื 8. เป้าหมายของการจดั ช้นั เรียนเพื่อส่งเสรมิ บรรยากาศการเรียนรู้ 1. รงั สรรค์ส่ิงแวดลอ้ มตา่ งๆ ท่จี ะส่งเสรมิ ให้การเรยี นรูเ้ ป็นไปได้มากท่ีสุด และครสู ามารพสะท้อนการปฏิบัตงิ านของ ต น เ อ ง ด้ ว ย ก า รพ าม ต น เ อ งส ม่ าเ ส มอ ว่ าระ บ บ การบ ริห าร จัด ก ารเ อ้ื อ อ าน ว ย ให้ นั กเ รีย น เ กิด ก ารเ รีย น รู้แ ค่ไหน อย่างไร 2. พัฒนานักเรียนให้มีศักยภาพในการจัดการและนาตนเองให้สามารพเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง ดังนั้นการบริหารจดั การ ช้ันเรียนจึงเป็นเคร่ืองมือในการส่งเสริมให้นักเรียนเกิดความเข้าใจด้วยตนเอง สามารพประเมินตนเองได้และ ควบคมุ ดูแลตนเองไดอ้ ย่างเหมาะสม 9. การจาแนกประเภทการจัดช้นั เรยี นเพ่ือส่งเสรมิ บรรยากาศการเรียนรู้  บรรยากาศทางกายภาพ (Physical Atmosphere) การจัดบรรยากาศทางกายภาพ การสร้างสภาพแวดล้อมด้านอาคาร สพานที่ ส่ือวัสดุ อุปกรณ์ ส่ิงอานวยความ สะดวกต่างๆ ที่เก่ียวกับการเรียนการสอน รวมตลอดไปพึงส่ิงต่างๆ ท่ีเสริมความรู้ เช่น ปายนิเทศ มุมวิชาการ ช้ันวาง หนังสือ โต๊ะวางส่ือการสอน ฯลฯ และแหล่งความรูท้ ี่เก้อื กูลตอ่ การเรียนรู้และการปฏิบัตกิ ิจกรรมต่างๆ ภายในห้องเรียนให้ เป็นระเบียบเรียบร้อย น่าดู มีความสะอาด มีเคร่ืองใช้ และสิ่งอานวยความสะดวกต่างๆ ท่ีจะส่งเสริมให้การเรียนของ นักเรียนสะดวกข้ึน โดยเน้นความสะดวกสบาย สามารพเคล่อื นไหวได้อย่างอิสระ มีเคร่ืองมือและแหล่งความรสู้ อดคล้อง กับกิจกรรมและความต้องการ โดยมีลักษณะและขนาดของห้องเรียนที่ไม่เลก็ หรือใหญจ่ นเกินไป มีเน้ือที่พอให้ขยับโตะ๊ หรือ จัดกิจกรรมได้ มีโต๊ะเก้าอ้ีท่ีมีขนาดเหมาะกับผู้เรียน มีอุปกรณ์หรือมุมท่ีส่งเสริมการเรียนรู้ เช่น มุมอ่านหนังสือพิมพ์ คนชนเป้า 61

สอบขา้ ราชการ เตรยี มสอบ ครูผู้ช่วย อาจารย์ศรายุทธ ปานมะเริง (อาจารยโ์ นต๊ ติวเตอร์) มุมวิทยาศาสตร์ มุมภาษา ปายนิเทศ มีประตูหน้าต่างมากพอให้อากาศพ่ายเทได้อย่างสะดวก มีแสงสว่างเพียงพอ โปร่ง สบายและมีความเปน็ ระเบยี บเรยี บรอ้ ยสวยงาม 1. การจัดโต๊ะเรยี นและเกา้ อข้ี องนักเรียน 1) ให้มขี นาดเหมาะสมกบั รปู รา่ งและวยั ของนกั เรียน 2) ใหม้ ีชอ่ งวา่ งระหว่างแพวท่นี กั เรยี นจะลุกน่ังไดส้ ะดวก และทากิจกรรมได้คล่องตวั 3) ใหม้ ีความสะดวกตอ่ การทาความสะอาดและเคล่อื นยา้ ยเปลยี่ นรปู แบบท่นี ่ังเรียน 4) ให้มีรูปแบบท่ีไม่จาเจ เช่น อาจเปลี่ยนเป็นรูปตัวที ตัวยู รูปคร่ึงวงกลม หรือ เข้ากลุ่มเป็นวงกลม ได้อย่าง เหมาะสมกบั กจิ กรรมการเรยี นการสอน 5) ให้นักเรียนทีน่ ง่ั ทุกจุดอ่านกระดานดาไดช้ ัดเจน 6) แพวหนา้ ของโตะ๊ เรียนควรอยู่ห่างจากกระดานดาพอสมควร ไมน่ ้อยกวา่ 3 เมตร ไมค่ วรจดั โตะ๊ ติดกระดานดา มากเกนิ ไป ทาให้นกั เรยี นตอ้ งแหงนมองกระดานดา และหายใจเอาฝุ่นชอล์กเข้าไปมาก ทาใหเ้ สียสุขภาพ 2. การจัดโต๊ะครู 1) ให้อย่ใู นจดุ ทีเ่ หมาะสม อาจจดั ไวห้ น้าหอ้ ง ข้างหอ้ ง หรือหลังหอ้ งกไ็ ด้ งานวิจยั บางเร่อื งเสนอแนะใหจ้ ัดโต๊ะครู ไว้ดา้ นหลังห้องเพ่ือให้มองเหน็ นกั เรียนได้อยา่ งทั่วพงึ อยา่ งไรกต็ าม การจัดโตะ๊ ครูนน้ั ข้ึนอยู่กบั รปู แบบการจัด ที่นั่งของนักเรียนดว้ ย 2) ให้มีความเป็นระเบียบเรียบร้อย ท้ังบนโต๊ะและในล้ินชักโต๊ะ เพ่ือสะดวกต่อการทางานของครู และการวาง สมุดงานของนกั เรยี น ตลอดจนเพ่ือปลูกฝังลกั ษณะนสิ ัยความเปน็ ระเบยี บเรียบร้อยแก่นักเรยี น 3. การจดั ป้ายนิเทศ ปายนิเทศไว้ท่ีฝาผนังของห้องเรียน ส่วนใหญ่จะติดไว้ท่ีข้างกระดานดาทั้ง 2 ข้าง ครูควรใช้ปายนิเทศท่ีเป็น ประโยชนต์ อ่ การเรยี นการสอน โดย 1) จดั ตกแตง่ ออกแบบใหส้ วยงาม น่าดู สรา้ งความสนใจให้แกน่ ักเรียน 2) จัดเน้ือหาสาระให้สอดคล้องกับบทเรียน อาจใช้ติดสรุปบทเรียน ทบทวนบทเรียน หรือเสริมความรู้ให้แก่ นกั เรียน 3) จดั ใหใ้ หม่อยูเ่ สมอ สอดคลอ้ งกับเหตกุ ารณส์ าคัญ หรอื วนั สาคัญตา่ งๆ ทนี่ ักเรยี นเรยี นและควรรู้ 4) จัดติดผลงานของนักเรียนและแผนภูมิแสดงความก้าวหน้าในการเรียนของนักเรียนจะเป็นการให้แรงจูงใจที่ น่าสนใจวิธหี น่งึ คนชนเปา้ 62

สอบขา้ ราชการ เตรยี มสอบ ครผู ู้ช่วย อาจารย์ศรายุทธ ปานมะเรงิ (อาจารย์โนต๊ ตวิ เตอร์)  บรรยากาศทางจิตวิทยา (Psychological Atmosphere) บรรยากาศทางจิตวิทยา เป็นลักษณะของบรรยากาศท่ีเกิดข้ึนโดยการกระทาของผู้เรียน ที่ส่งผลต่อความรู้สึก นึกคิดและพฤติกรรมของผู้เรียน พ้าลักษณะบรรยากาศทางจิตวิทยาเป็นไปในทางบวก ผู้เรียนจะเกิดความรู้สึกอบอุ่นใจ ผ่อนคลาย ทาให้เกิดการเรียนรูไ้ ด้โดยง่าย และมีผลทาให้รู้สึกมีความสุขในการเรยี นรู้ ทาให้เป็นผู้ท่ีรักและใฝ่ในการเรยี นรู้ มุ่งส่งเสริมให้ผู้เรียนเกิดความรู้สึกท่ีดีต่อการเรียนการสอนและเกิดความ ศรัทธาในครูผู้สอน ดังนั้น ครูผู้สอนจึงควร ตระหนักพึงความสาคัญของการสร้างบรรยากาศทางจิตวิทยา โดยปรับบุคลิกภาพความเป็นครใู ห้เหมา ะสมปรับพฤตกิ รรม การสอนให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ได้ดี มีเทคนิคในการปกครองช้ันเรียน และสร้างปฏิสัมพันธ์ที่ส่งเสริมการเรียนรู้ให้แก่ ผเู้ รยี น กล่าวโดยสรุป การจัดบรรยากาศในช้ันเรียน เป็นส่ิ งสาคัญในการช่วยส่งเสริมการเรียนรู้ของผู้เรียน และส่งเสริมให้ผเู้ รียนสามารพรับผดิ ชอบควบคุมดุแลตนเองได้ในอนาคต การจัดบรรยากาศมีทั้งด้านกายภาพเป็นการจดั สภาพแวดล้อมในห้องเรียนท้ังการจัดตกแต่งในห้องเรียน จัดที่นั่ง จัดมุมเสริมความรูต้ ่างๆ ให้สะดวกตอ่ การเรยี นการสอน ทางด้านจิตวิทยา เป็นการสร้างความอบอุ่น ความสุขสบายใจให้กับผู้เรียน ผู้สอนควรจัดบรรยากาศทั้ง 2 ด้านน้ีให้ เหมาะสม นอกจากน้ีการสร้างบรรยากาศการเรียนรู้ให้เกิดความสุขแก่ผู้เรียน ยังเป็นองค์ประกอบสาคัญประการหน่ึง ที่จะสร้างคุณลักษณะนิสัยของการใฝ่เรียนรู้ การมีนิสัยรักการเรียนรู้ การเป็นคนดี และการมีสุขภาพจิตท่ีดี สามารพอยู่ใน สังคมไดอ้ ย่างมีความสุข 10. การจัดเตรยี มการสอน การเตรียมการสอนเป็นงานเก่ียวกับการจัดสภาพในห้องเรียน เพ่ือให้เช่ือมั่นได้ว่าการจัดกิจกรรมและประสบการณ์ มีความสัมพันธ์สอดคล้องต่อเน่ืองกันเหมาะกบั ผเู้ รียนและส่ิงแวดล้อม มีกิจกรรมหลายๆอย่างสอดคล้องกบั ความแตกตา่ ง และความต้องการของผู้เรียน ผู้เรียนสามารพนาไปใช้ประโยชน์ในการดารงชีวิตได้ อีกท้ังมีประโยชนสาหรับการสอนแทน ในกรณีครผู ูส้ อนประจาไมส่ ามารพมาสอนได้ครคู นอ่ืนก็สามารพสอนไดอ้ ยา่ งตอ่ เน่อื ง การจดั เตรียมการสอน จะทาได้ 2 ลักษณะ คือ 1. จดั เตรียมคนเดยี ว เป็นการเตรยี มการของผ้สู อนในแตล่ ะวิชา แตล่ ะเน้อื หาที่รับผิดชอบ 2. จัดเตรียมเป็นคณะ เปน็ ความพยายามของกลมุ่ ครูทีจ่ ะมาพบปะเพ่ือปรึกษาหารือในการเตรยี มการสอน ร่วมกนั 11. เทคนิคการปกครองช้นั เรียนของครู เทคนิคหรือวิธกี ารทคี่ รใู ช้ปกครองชัน้ เรยี นมีส่วนส่งเสริมในการสรา้ งบรรยากาศทางจิตวิทยา กล่าวคือ พ้าครูปกครอง ช้ันเรียนด้วยความยุติธรรม ยึดหลักประชาธิปไตย ใช้ระเบียบกฎเกณฑ์ที่ทุกคนยอมรับ ยินดีปฏิบัติ นักเรียนก็จะอยู่ ในห้องเรียนอย่างมีความสุข เกิดความรู้สึกอบอุ่นพอใจและสบายใจ ในทางตรงกันข้าม พ้าครูโลเลไม่ยุติธรรม เลือกที่รัก มักท่ีชัง ปกครองชั้นเรียนแบบเผด็จการ นักเรียนจะเกิดความรูส้ ึกไม่ศรัทธาครู ไม่เห็นคุณค่าของระเบียบกฎเกณฑ์ ส่งผล ใหน้ กั เรียนไม่สนใจเรียน ไมอ่ ยากมาโรงเรยี นในทส่ี ุด ดังน้นั เทคนคิ ในการปกครองช้นั เรียน ครูควรยึดหลักต่อไปนี้ คนชนเปา้ 63

สอบขา้ ราชการ เตรียมสอบ ครผู ชู้ ่วย อาจารย์ศรายทุ ธ ปานมะเรงิ (อาจารย์โน๊ตตวิ เตอร์) 1. หลักประชาธิปไตย ครูควรให้ความสาคัญต่อนักเรียน เท่าเทียมกัน ให้ความเสมอภาค ให้อิสระ ให้โอกาสแก่ ทุกคนในการแสดงความคิดเห็น 2. หลักความยุติธรรม ครูควรปกครองโดยใช้หลักความยุติธรรมแก่นักเรียนทุกคนโดยทั่วพึง นักเรียนจะเคารพ ศรัทธาครู และยินดีปฏิบัติตามกฎระเบียบของครู ยินดีปฏิบัติตามคาอบรม ส่ังสอนของครู ตลอดจนไม่สร้าง ปัญหาในชั้นเรยี น 3. หลกั พรหมวิหาร 4 อันได้แก่ เมตตา กรุณา มทุ ติ า อุเบกขา เมตตา หมายพงึ ความรักและเอน็ ดุ ความปรารพนาที่จะใหผ้ ูอ้ ่นื เป็นสุข กรุณา หมายพึง ความสงสาร คดิ จะชว่ ยให้ผู้อ่นื พ้นทกุ ข์ มุทติ า หมายพึง ความยนิ ดีด้วยเม่อื ผอู้ ่นื ไดล้ าภยศ สุข สรรเสรญิ อเุ บกขา หมายพงึ ความเทยี่ งธรรม การวางตวั เปน็ กลาง การวางใจเฉย 4. หลักความใกลช้ ิด การทค่ี รแู สดงความเอาใจใส่ ความสนใจ ใหค้ วามใกลช้ ดิ กับนักเรยี น เป็นวธิ กี ารหน่งึ ในการ สรา้ งบรรยากาศทางด้านจติ วิทยา วิธีการแสดงความสนใจนกั เรยี นทาได้หลายวิธี บทบาทในการเป็นผนู้ าของครูแต่ละประเภทจะมีผลต่อความรสู้ ึกของนักเรยี นที่มีต่อโรงเรยี นและย่ิงไปกว่านน้ั อาจ มีผลต่อความรู้สึกของนักเรียนท่ีมีต่อผู้อ่ืนหรือต่อตนเองอีกด้วยไดรกเคอร์ แบ่งประเภทของลักษณะของบุคลิกภาพ และบทบาทในการเปน็ ผนู้ าของครอู อกเปน็ 3 ประเภทดังน้ี ครปู ระเภทเผด็จการ พ้าครเู ขม้ งวด นักเรียนจะหงุดหงิด พา้ ครูหนา้ นิ่วคิ้วขมวด นกั เรียนจะรู้สึกเครียด พ้าครฉู ุนเฉียว นักเรียนจะอดึ อดั พา้ ครปู ้ันป่ งึ นักเรยี นจะกลวั พ้าครแู ต่งกายไมเ่ รยี บรอ้ ย นกั เรยี นจะขาดความเคารพ พ้าครใู ช้น้าเสียงดุดัน นกั เรยี นจะหวาดกลัว ครูท่ีมีลักษณะเผด็จการ (autocratic teacher) ครูที่มีลักษณะเช่นน้ีเช่ือว่าตนเองมี ความรับผิดชอบต่อ การดาเนนิ การใดๆ ในช้ันเรียนตงั้ แต่การจดั ตกแต่งหอ้ งเรียนทางกายภาพเพ่ือการจดั ระเบยี บในชนั้ เรียน การจดั ตารางเรยี น ท่ีไม่ยืดหยุ่น จากความคิดเช่นนี้ครูจึงมีความรับผิดชอบที่จะกาหนดกฎระเบียบทั้งหมดของช้ันเรียน ซ่ึงรวมพึงการกาหนด บทลงโทษแก่นักเรียนท่ีประพฤติผิดกฎด้วยตัวของครูเองท้ังหมด ครูที่มีลักษณะเช่นน้ีมีความเช่ือว่าตนเองมีความรู้ เป็นสาคัญท้ังในด้านการบรรยาย การแสดงความคิดเห็นและการกาหนดงานให้นักเรียนทา นักเรียนมีหน้าท่ีเช่ือฟังและทา ตามกฎระเรียบและงานท่คี รกู าหนดใหท้ า คนชนเปา้ 64

สอบข้าราชการ เตรียมสอบ ครผู ้ชู ่วย อาจารยศ์ รายทุ ธ ปานมะเรงิ (อาจารยโ์ นต๊ ตวิ เตอร์) ครูประเภทปลอ่ ยปะละเลย พ้าครูท้อพอย นกั เรียนจะท้อแท้ พ้าครูเฉยเมย นักเรยี นจะเฉ่อื ยชา พ้าครเู ช่ืองชา้ นักเรียนจะหงอยเหงา พ้าครูใชน้ ้าเสียงราบเรียบ นักเรียนจะไมส่ นใจฟัง พา้ ครปู ล่อยปละละเลย นักเรยี นจะขาดระเบียบวินยั พา้ ครูแตง่ กายไม่เรยี บร้อย นักเรียนจะขาดความเคารพ ครูมีลักษณะปล่อยปะละเลย (Permissive) ครูลักษณะนี้จะมีลักษณะโอนอ่อนผ่อนตามและไม่มีพลัง ในชั้นเรียน อาจจะมีกฎระเบียบเพียงเล็กน้อยให้นักเรียนได้ปฏิบัติ และไม่ได้ให้ความสนใจกับการที่นักเรียนต้องปฏิบตั ิตามกฎระเบียบ อย่างสม่าเสมอ การลงโทษของครูประเภทนี้มักจะให้อภัย ไม่ค่อยเอาจริงเอาจังกับนักเรียนที่ประพฤติผิดระเบียบ และดู เหมือนครูจะไม่มีอานาจมากเพียงพอท่ีจะทาให้นักเรยี นทางานตามที่ครกู าหนด บรรยากาศในชัน้ เรียนเช่นน้ีจะทาให้นักเรียน รู้สึกสับสนเพราะไม่รู้ว่าครูต้องการให้นักเรียนทาอะไรหรือเป็นอย่างไรจึงเป็นท่ีพ่ึงประสงค์ของครูลักษณะครูประเภทน้ี จะทาให้ชัน้ เรียนขาดความเป็นอนั หน่ึงอนั เดยี วกนั เพราะนกั เรยี นแตล่ ะคนก็จะทาในส่ิงทตี่ นเองพึงพอใจทคี่ รูกไ็ ม่ไดว้ ่าอะไร ครูประเภทประชาธิปไตย นกั เรยี นจะอบอนุ่ ใจ นักเรียนจะแจม่ ใส พา้ ครูแสดงความเป็นมิตร นกั เรยี นจะเรยี นสนกุ พ้าครูยิ้มแยม้ นกั เรียนจะกระปรก้ี ระเปร่า พา้ ครมู ีอารมณ์ขนั นกั เรยี นจะสุภาพออ่ นน้อม พ้าครูกระตอื รือร้น นักเรยี นจะเคารพ พ้าครูมีนาเสียงน่มุ นวล นักเรยี นจะมีจติ ใจออ่ นโยน พ้าครแู ตง่ ตวั เรียบร้อย นักเรียนจะศรัทธา พา้ ครใู ห้ความเมตตาปรานี พา้ ครใู หค้ วามยตุ ิธรรม ครูท่ีมีลักษณะประชาธิปไตย (Democratic Style ) ครูที่เป็นประชาธิปไตยจะมีเหตุผลเก่ียวกับความคาดหวัง ของตนท่ีมีค่าการเรียนรู้และการแสดงพฤติกรรมของเด็ก ครูจะใช้การอภิปรายร่วมกับนักเรียนและให้นั กเรียนมีส่วนร่วม ในการกาหนดกฎระเบียบของช้นั เรียนรวม ท้ังกาหนดโทษหากมีการฝ่าฝืนกฎ นอกจากนี้อาจร่วมกบั นักเรียนในการทบทวน กฎระเบยี บของช้นั เรียนได้อยูเ่ สมอ หากมีความจาเปน็ เพ่ือใหก้ ฎระเบยี บเหล่าน้ันมคี วามเหมาะสมต่อการนาไปปฏบิ ัติ ครูท่ีกล่าวมาท้ัง 3 ประเภทข้างต้น เป็นบทบาทในการเป็นผู้นาของครู เพราะฉะนั้นในยุคการศึกษาปัจจุบัน ครูที่ สมควรเป็นผู้นาคอื ครทู ีม่ ลี กั ษณะประชาธิปไตย คนชนเปา้ 65

สอบขา้ ราชการ เตรียมสอบ ครูผูช้ ่วย อาจารยศ์ รายุทธ ปานมะเริง (อาจารย์โนต๊ ตวิ เตอร์) แนวขอ้ สอบเรอ่ื งการบรหิ ารจัดการช้ันเรยี น เพ่ือทบทวนเน้อื หาบทเรยี นและเพ่ิมประสบการณ์จากเน้อื หาวชิ า 1. หนา้ ท่ีในการจัดการห้องเรยี น เป็นหน้าท่ีของใคร ก. นกั เรยี น ข. ครู ค. นักการ ง. ผูบ้ ริหาร 2. การสร้างบรรยากาศท่ดี ใี นช้ันเรยี น มผี ลดีต่อนกั เรียนในขอ้ ใด ก. มีความตงั้ ใจเรยี น ข. มีอารมณ์ดี ค. มีความรับผดิ ชอบ ง. มคี วามสัมพันธ์ทดี่ ี 3. การปรบั ปรงุ บรรยากาศในหอ้ งเรยี น ตอ้ งทาควบคูก่ ับขอ้ ใด ก. การพัฒนาหลกั สูตร ข. การจดั กิจกรรมวันสาคญั ค. กระบวนการเรยี นรู้ ง. ผลประชมุ ของสพานศึกษา 4. ขอ้ ใดไม่ใช่ผลทเ่ี กิดกับนกั เรยี นจากการจดั บรรยากาศในห้องเรยี น ก. ความรสู้ ึกอยากเรยี น ข. ความสุขท่ีจะเรียน ค. มคี วามกระตอื รือร้น ง. มีความสงสัย 5. การจัดบรรยากาศในช้ันเรยี น มสี ่วนแกป้ ั ญหาสถานศึกษาในข้อใด ก. การทะเลาะววิ าทของนักเรียน ข. การเบ่ียงเบนทางเพศของนกั เรียน ค. วินยั นักเรียน ง. ปัญหายาเสพติดของนกั เรยี น 6. ขอ้ ใดไมเ่ กย่ี วขอ้ งในการจัดบรรยากาศในช้ันเรียนของครู ก. ผู้บรหิ ารสพานศึกษา ข. ครใู นโรงเรยี น ค. เจ้าหนา้ ท่ี คนงาน ง. กรรมการสพานศึกษา 7. เวลาของนกั เรยี นในการใช้ชวี ิตอย่ทู ่สี ถานศึกษา อยใู่ นสถานทีใ่ ดมากทส่ี ุด ก. ห้องเรียนประจาวชิ า ข. ห้องเรยี นประจาชัน้ ค. หอ้ งสมดุ ง. ห้องปฏบิ ัตกิ ารวทิ ยาศาสตร์ 8. การจดั มมุ ภาษาไทย มุมคณิตศาสตร์ มุมศิลปะ ควรจัดในหอ้ งใด ก. ห้องเรียนประจาวิชา ข. หอ้ งเรยี นประจาชนั้ ค. หอ้ งประชมุ ง. ห้องปฏิบตั ิการตา่ งๆ คนชนเป้า 66

สอบขา้ ราชการ เตรียมสอบ ครูผชู้ ่วย อาจารย์ศรายุทธ ปานมะเรงิ (อาจารย์โน๊ตตวิ เตอร์) 9. หอ้ งเรียนประจาวิชา มีขอ้ จากัดสาหรบั สถานศึกษาในข้อใด ก. จดั ได้สาหรบั โรงเรียนขนาดใหญ่ ข. จดั ไดส้ าหรับโรงเรียนขนาดกลาง ค. จัดได้สาหรบั ขนาดเล็ก ง. ขอ้ ก. และขอ้ ข. พกู ต้อง 10. ขนาดพื้นทีข่ องห้องเรียนทพี่ อเหมาะ กับนกั เรยี นจานวน 30 คน คือขอ้ ใด ก. ประมาณ 7 x 9 เมตร ข.ประมาณ 9 x 13 เมตร ค. ประมาณ 4 x 7 เมตร ง. ประมาณ 7 x 13 เมตร 11. ข้อใด ไมต่ อ้ งคานึงในการจัดบรรยากาศในหอ้ งเรียน ก. อากาศพ่ายเท ข. แสงสว่าง ค. ทต่ี งั้ ง. ความสะอาด 12. การที่หอ้ งเรียนมีโตะ๊ ไมพ่ อกบั จานวนนกั เรยี น ส่งผลตอ่ การจัดบรรยากาศในหอ้ งเรียนในขอ้ ใด ก. คึกคัก ข. อึดอดั ค. อบอุ่น ง. ใกลช้ ดิ 13. กระดานดาประจาห้องเรยี นทีม่ ีบรรยากาศในการเรียน ควรเป็นสีใด ก. สีดา ข. สีเขยี วเขม้ ค. สีน้าเงนิ ง. สีขาว 14. ควรตดิ ต้ังกระดานในหอ้ งเรียน ตามข้อใด ข. ด้านหลัง ก. ด้านหน้า ง. พกู ทุกข้อ ค. ด้านหน้าและด้านหลัง 15. การติดต้งั กระดานดา ควรอยู่ในระดบั ใด ข. ระดบั สายตานกั เรียน ก. ระดบั ความสูงของครู ง. ระดับสายตาขณะน่งั ค. ระดับสายตาขณะยืน คนชนเป้า 67

สอบข้าราชการ เตรยี มสอบ ครูผชู้ ่วย อาจารยศ์ รายทุ ธ ปานมะเรงิ (อาจารย์โนต๊ ตวิ เตอร์) ส่ือนวัตกรรมและเทคโนโลยีทางการศึกษา ความหมายของสื่อการสอน (Instruction Media) หมายพึง วัสดุ อุปกรณ์ หรือ วิธีการใดๆ ก็ตาม ท่ีเป็นตัวกลางในการพ่ายทอดความรู้ ทัศนะคติ และประสบการณ์ ไปสู่ผเู้ รยี น  คณุ สมบตั ขิ องส่ือการสอน 3 ประการ 1. สามารพยึดประสบการณห์ รือกิจกรรมตา่ งๆ ไว้ได้อยา่ งคงทนพาวร ทั้งอดีตและปัจจุบัน 2. จัดแจงจัดการประสบการณต์ ่างๆ ให้ใชไ้ ดส้ อดคล้องกบั วตั พปุ ระสงค์ของการเรยี น 3. แจกจ่ายขยายข่าวสารออกเป็นหลายๆ ฉบับ เพ่ือเผยแพรส่ ู่คนจานวนมากใช้  ประเภทของส่ือการสอน แบง่ ตามคณุ ลกั ษณะ ได้ 3 ประเภท 1. ประเภทวัสดุ (Software) คือ สไลด์ แผ่นใส เอกสาร ตารา สารเคมี ส่ิงพิมพ์ 2. ประเภทอุปกรณ์ (Hardware) คอื ของจรงิ หุ่นจาลอง เคร่ืองเทปเสียง วีดีทัศน์ 3. เทคนคิ วิธกี าร (Technique) คือ การสาธิต การอภปิ ราย การฝกึ ปฏบิ ัติ การฝกึ งาน  การจาแนกส่ือการสอนตามประสบการณ์ เอดการ์ เดล เป็นผู้เสนอกรวยประสบการณ์ตรงที่เป็นรูปธรรมเรียงจากง่าย (รูปธรรม) ไปสู่ยาก (นามธรรม) มี 10 ข้นั เรียกว่า “กรวยประสบการณ์ (Cone of experience)” ขน้ั ท่ี 1 ประสบการณต์ รง (Direct experience) เป็นรูปธรรมมากทีส่ ุด เชน่ การเล่น ขั้นท่ี 2 ประสบการณ์รอง (Verbal symbols) เชน่ ห่นุ จาลอง ของตัวอย่าง ข้นั ที่ 3 ประสบการนาฏการ (Dramatic) เช่น การแสดงละคร หุ่นชีวติ การแสดงบทบาท ข้นั ท่ี 4 การสาธติ (Demonstration) เช่น การสาธิตการแกะสลักผลไม้ ขนั้ ท่ี 5 การศึกษานอกสพานที่ (Field trip) เชน่ การศึกษาดูงานท่ี โบราณสพาน ขน้ั ท่ี 6 นิทรรศการ (Exhibits) เช่น การจดั ปายนทิ รรศการ ข้นั ที่ 7 โทรทศั นแ์ ละภาพยนตร์ (Television and motion picture) ขั้นท่ี 8 ภาพนิง่ วทิ ยุบันทึกเสียง (Still picture) เชน่ เทปบนั ทกึ เสียง แผ่นเสียง วิทยุ ขน้ั ที่ 9 ทศั นสัญลกั ษณ์ (Visual symbol) เช่น แผนภูมิ แผนสพติ ิ ภาพโฆษณา การ์ตูน ขน้ั ที่ 10 วัจนสัญลกั ษณ์ (Verbal symbols) เช่น คาพูด คาอธบิ าย หนังสือ เอกสาร คนชนเป้า 68

สอบข้าราชการ เตรยี มสอบ ครผู ้ชู ่วย อาจารยศ์ รายุทธ ปานมะเรงิ (อาจารย์โน๊ตตวิ เตอร์) ทฤษฎีสี หลกั การใชส้ ี ตวั อักษร และภาพในการสรา้ งสื่อการสอน แม่สีหลัก 3 สี ไดแ้ ก่ สีแดง สีเหลือง สีน้าเงนิ แม่สีวิทยาศาสตร์ 3 สี ไดแ้ ก่ สีแดง สีเขยี ว สีมว่ ง แมส่ ีจติ วิทยา 4 สี ไดแ้ ก่ สีแดง สีเหลือง สีน้าเงนิ สีเขยี ว ความหมายของสี สีแดง คอื ความเข้มแขง็ พละกาลงั ความโกรธ กเิ ลศ ความหมกหมุ่นทางเพศ สีชมพู คือ อบอุ่น มีพลัง สมดลุ กระตอื รือร้น มชี วี ติ ชวี า พละกาลงั สีส้ม คอื โรแมนติก ความรัก มิตรภาพ ผู้หญงิ สีน้าตาล คอื เทศการพิเศษ พ้ืนดิน สีทอง คอื ความร่ารวย พระเจ้า ชยั ชนะ สีเหลือง คอื พระอาทติ ย์ ฉลาด ความทรงจา สีเขียว คอื แผ่นดินแม่ การแพทย์ การเกษตร สีน้าเงิน/ฟา คอื การตดิ ต่อ การส่ือสาร โชคดี ฉลาดหลกั แหลม สีมว่ ง คอื อิทธพิ ล ดวงตาที่สาม การทรงเจา้ สีขาว คือ ความบรสิ ุทธ์ิ เทวดา สีเทา คือ ความปลอดภัย เช่อื พอื ได้ สีดา คือ ความตาย การปกปอง การมอี านาจ หลักในการประดิษฐ์ตวั อักษร เหมาะกบั ที่เปน็ งานทางการ หวั กลม เหมาะกบั งานก่งึ ทางการ อ่านงา่ ย ปายนิเทศ หวั ตัด เหมาะสาหรับงานออกแบบตา่ งๆ ปกหนังสือ ไมม่ ีหวั เหมาะสาหรับงานพิธตี ่างๆ ของไทย ประกาศนียบัตร แบบคดั ลายมือ เหมาะสาหรับหัวช่อื เร่อื ง งานโฆษณา งานเฉพาะทาง ตวั ประดษิ ฐ์ สรุปประเภทของสื่อ  ประเภทตง้ั แสดง  กระดานชอลก์ ตง้ั อยขู่ อบลา่ งของสายตา ผเู้ รยี นอย่ใู นอาณาเขต 60 องศา และอยู่หา่ งจากกระดานอยา่ งนอ้ ย 3 เมตร เวลาลบให้ลบจากบนลงลา่ ง  ปายนิเทศ ทเี่ หมาะสมควรมีขนาด 2 x 3 เมตร หรือ 2 x 4 เมตร  ปายสาลี ส่วนใหญท่ ี่นยิ มมีขนาด 61 x 22 เซนติเมตร  กระเป๋าผนงั เปน็ แผ่นปายสาหรบั ใส่บัตรคา ภาพมกั สอนเก่ยี วกบั รูปแบบคา ประโยค หรอื ไวยากรณ์  ประเภทกราฟิก สาหรบั แสดงความสัมพันธร์ ะหวา่ งปรมิ าณกบั เวลา  แผนสพิติ สาหรับแสกงความสัมพันธ์ในส่ิงท่เี ปน็ นามธรรม  แผนภาพ สาหรบั แสดงความสัมพันธเ์ กยี่ วกบั ข้อเท็จจริง ความรู้ การเปรยี บเทยี บ การวิเคราะห์  แผนภูมิ ใชเ้ พ่ือจงู ใจ ดงึ ดดู ใหก้ ระทาตาม เรา้ ความสนใจ สีสันสะดุดตา  ภาพโฆษณา คนชนเป้า 69

สอบข้าราชการ เตรยี มสอบ ครูผ้ชู ่วย อาจารย์ศรายทุ ธ ปานมะเริง (อาจารยโ์ นต๊ ติวเตอร์)  ประเภทกจิ กรรม เชน่ การแสดงตา่ งๆ  นาฏการ เช่น ใหผ้ ู้แสดงแสดงตามสพานการณท์ ก่ี าหนด  บทบาทสมมติ เช่น ห่นุ ละคร ห่นุ มือ  การแสดงหุ่นตา่ งๆ เชน่ สอนโดยการอธบิ ายประกอบการใชเ้ คร่ืองมือ  การสาธติ  ประเภทเครอ่ื งฉาย ใชน้ าเสนอภาพใหป้ รากฏเปน็ ภาพที่มขี นาดใหญ่  เคร่ืองฉายวสั ดุทึบแสง เป็นมว้ น ขนาด 35 ฟุต ยาว 3 ฟุต  เคร่ืองฉายฟลิ ์มสตรปิ ขนาด 2 x 2 น้ิว ลักษณะโปรง่ ใส มกี าลงั ส่องสวา่ ง 150 – 500 วัตต์  เคร่ืองฉายฟิล์มสไลด์ หรือกระดานชอลก์ ไฟฟา ใช้สาหรับฉายภาพวสั ดฯุ  เคร่ืองฉายขา้ มศีรษะ แนวความคดิ พื้นฐานทางการศึกษา ที่ทาให้เกิดนวัตกรรม มี 4 ประการ คือ 1) ความแตกตา่ งระหว่างบุคคล Individual different  คอมพิวเตอรช์ ่วยสอน (CAI)  แบบเรยี นสาเรจ็ รปู (Programmed Text Book)  เคร่ืองสอน (Teaching Machine)  การสอนเป็นคณะ (Team Teaching)  การเรียนแบบไม่แบง่ ชน้ั (Non-Graded School) 2) ความพร้อม Readiness  ศูนย์การเรยี น (Learning center)  การจดั การเรียนในโรงเรียน  การสอนเปน็ คณะ 3) การใชเ้ วลาเพ่ือการศึกษา  การจัดตารางสอนแบบยืดหยุ่น  มหาวิทยาลยั เปิด  การเรียนแบบสาเร็จรูป  การเรียนทางไปรษณยี ์ 4) ประสิทธิภาพในการเรียน การขยายตวั ทางวชิ าการ การเปลี่ยนแปลงทางสังคม  มหาวทิ ยาลยั เปดิ  การเรยี นทางวิทยุ โทรทศั น์  การเรยี นทางไปรษณยี ์ แบบสาเร็จรูป  ชุดการเรยี น คนชนเป้า 70

สอบข้าราชการ เตรียมสอบ ครผู ้ชู ่วย อาจารยศ์ รายทุ ธ ปานมะเรงิ (อาจารย์โนต๊ ติวเตอร์) แนวขอ้ สอบเรอื่ งส่ือนวตั กรรมและเทคโนโลยที างการศึกษา เพ่ือทบทวนเน้อื หาบทเรียนและเพ่ิมประสบการณจ์ ากเน้อื หาวชิ า 1. โรงเรยี นวถิ พี ุทธถกู จดั ไวใ้ นกล่มุ ใด ข. Technology ก. Innovation ง. Information Technology ค. Information 2. “เป็นความใหมซ่ ่ึงยงั ไมเ่ คยมมี ากอ่ น” ตรงกับขอ้ ใด ข. เทคโนโลยี ก. นวตั กรรม ง. เทคโนโลยีสารสนเทศ ค. ข้อมูลข่าวสาร 3. สถานศึกษาควรดาเนนิ การด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารอย่างไร ก. นาความรเู้ ร่อื งเทคโนโลยสี ารสนเทศมาใชใ้ ห้เกดิ ประโยชน์ ข. ผลติ และสรา้ งส่ือเทคโนโลยสี ารสนเทศทางการศึกษาใหมๆ่ ค. ใช้เทคโนโลยีเป็นเคร่ืองมอื ในการค้นควา้ หาความรู้ ง. พกู ทกุ ข้อ 4. ทาไมต้องนานวัตกรรมการศึกษามาใช้แทนวธิ ีการเดมิ ก. เพ่ือไดป้ ระสิทธผิ ลสูงข้นึ ข. เพ่ือใหม้ ีประสิทธภิ าพมากข้นึ ค. เพ่ือลดการสอนของครูจะไดไ้ ปทางานดา้ นอ่นื ง. วิธกี ารเดมิ ไม่เปน็ ทย่ี อมรบั 5. เทคโนโลยีสารสนเทศและการส่ือสารตรงกับขอ้ ใด ก. IT ข. ICT ค. Technology ง. Innovation 6. ในการสอนผู้เรยี นจานวนมาก ควรใช้สื่อการสอนประเภทใด ก. กระดานดา (Chalk Boards) ข. ใบเน้อื หาและใบงาน (Information Sheet and Work Sheets) ค. ภาพสไลดแ์ ละแผน่ ภาพยนต์ (Slide Series and Filmstrips) ง. แพบวดิ ที ัศนแ์ ละแผน่ วดิ ีทศั น์ (Videotape Recording and Videodiscs) 7. Computer-Assisted Instruction (CAI) คือขอ้ ใด ก. การเรียนรโู้ ดยใชค้ อมพิวเตอรก์ ารเรยี นรู้การใชค้ อมพิวเตอร์ ข. การใชค้ อมพิวเตอร์เป็นส่ือในการสอน ค. การใช้คอมพิวเตอรใ์ นการสอน ง. การใช้คอมพิวเตอร์ในการสอน คนชนเป้า 71

สอบขา้ ราชการ เตรยี มสอบ ครผู ้ชู ่วย อาจารยศ์ รายุทธ ปานมะเรงิ (อาจารยโ์ นต๊ ติวเตอร์) 8. ตวั กลางทใี่ ช้ถา่ ยทอดความรู้ ตรงกบั ขอ้ ใด ก. ส่ือ ข. เทคโนโลยี ค. เคร่ืองมอื ง. ครผู ้สู อน 9. การนาเอาวัสดุ อุปกรณ์และวิธีการมาใช้ร่วมกันอย่างมีระบบในการเรียนการสอน เพ่ือเพ่ิมประสิทธิภาพ การเรยี นการสอน ตรงกับข้อใดมากทส่ี ุด ก. นวตั กรรมทางการศึกษา ข. อปุ กรณท์ างการศึกษา ค. เทคโนโลยที างการศึกษา ง. สารสนเทศทางการศึกษา 10. ประเภทสื่อการเรยี นการสอน โดยพิจารณาจากลักษณะประสาทการรับรขู้ องผเู้ รยี น จาแนกไดก้ ่ปี ระเภท ก. 2 ประเภท ข. 3 ประเภท ค. 4 ประเภท ง. 5 ประเภท 11. ขอ้ ใดไม่ใช่ปั ญหาของเทคโนโลยกี ารสอน ก. ความลา่ ชา้ ข. ประหยัด ค. ความขดั ขอ้ ง ง. ความขาดแคลน 12. การสรา้ งแบบจาลองการสอนเป็นหน้าทข่ี องใคร ข. ผเู้ ช่ียวชาญเน้อื หา ก. นักออกแบบระบบ ง. ผ้เู ชยี วชาญส่ือการสอน ค. นกั ออกแบบการสอน 13. ปั ญหาและอปุ สรรคในการเอานวตั กรรมการสอนท่เี กย่ี วกบั ครไู ปใชม้ กี ่ีประการ ก. 3 ประการ ข. 4 ประการ ค. 5 ประการ ง. 6 ประการ 14. การสร้างเกมเพื่อใชเ้ ป็นส่ือการสอน ตรงกับแนวโนม้ การใชน้ วัตกรรมและเทคโนโลยที างการศึกษาใด ก. แนวโนม้ การใชค้ อมพิวเตอรเ์ พ่ือการศึกษา ข. แนวโนม้ การใช้โสตทัศน์ ค. แนวโน้มการใช้โทรคมนาคมเพ่ือการศึกษา ง. พูกทกุ ขอ้ 15. ปั ญหาการนาแบบการสอนไปใช้ใครคือผูเ้ ก่ยี วขอ้ งโดยตรง ก. ผู้บริหาร ข. บคุ ลากร ค. ครู ง. ครแู ละนักเรียน 16. ขอ้ ใดไมใ่ ช่การประยกุ ตใ์ ชเ้ ทคโนโลยสี ารสนเทศด้านการศึกษา ก. การใช้ e- learning ข. ออกแบบปายช่อื โรงเรยี น ค. จดั เกบ็ ข้อมูลนกั เรียนในแผน่ ดสิ ก์ ง. การใชโ้ ปรแกรม Microsoft Power Point 17. โปรแกรมที่ใชจ้ ัดพิมพ์รายงานเป็นโปรแกรมประเภทใด ก. โปรแกรมกราฟิก ข. โปรแกรมประมวลผลคา ค. โปรแกรมนาเสนอข้อมลู ง. โปรแกรมการจัดการด้านฐานขอ้ มูล 18. ข้อใดต่อไปนไ้ี ม่ใชค่ วามรโู้ ดยนยั (Tacit Knowledge) ก. ความรทู้ ่ีได้จากประสบการณ์ ข. ทกั ษะในการทางาน ค. ความร้ทู ี่เป็นเหตุและผล ง. พรสวรรค์ คนชนเป้า 72

สอบข้าราชการ เตรยี มสอบ ครผู ชู้ ่วย อาจารยศ์ รายุทธ ปานมะเรงิ (อาจารยโ์ น๊ตติวเตอร์) 19. ข้อใดต่อไปน้ีเป็นปั จจัยทเ่ี ออื้ ต่อการจดั การความรใู้ ห้ประสบความสาเร็จ ก. ได้รับการสนบั สนุนจากผูบ้ รหิ าร ข. มกี ารพัฒนาการจดั การความรอู้ ย่างตอ่ เน่อื ง ค. มกี ารนาเทคโนโลยสี ารสนเทศมาใชใ้ นการจดั การความรู้ ง. พูกทกุ ขอ้ 20. ข้อใดตอ่ ไปนี้ เป็นกระบวนการรวมความร้ใู นแขนงตา่ งๆ เขา้ ดว้ ยกัน เพ่ือก่อใหเ้ กดิ การสร้างความรู้ใหม่ ก. Combination ข. Externalization ค. Internalization ง. Socialization 21. แหล่งเรยี นรู้และเครอื ขา่ ยการเรียนรู้ คอื อะไร ก. โลกของความเป็นจริงมคี วามเปลยี่ นแปลงอยา่ งต่อเน่อื ง ข. การเรยี นรู้ทเี่ ป็นครรลองของชวี ติ ท่ีเกดิ ไดท้ ุกแหง่ ทุกเวลา ค. กาลังสาคญั ของการขับเคล่อื น ง. จัดระบบและพัฒนาใหแ้ หล่งความรู้ 22. เป็นการเรยี นทางไกลทผ่ี ูเ้ รยี นสามารถตอบโตก้ ับ ผู้สอนได้ โดยอาศัยเครอื ข่ายอนิ เตอร์เนต็ ซ่งึ ชว่ ยให้ เรยี นร้ไู ดโ้ ดยไมม่ ีข้อจากัดของเวลา ระยะทางและสถานท่ี โดยผูเ้ รียนสามารถที่จะเรยี นรู้ไดต้ ลอดเวลา ก. E-learning ข. E-Classroom ค. E-Book ง. E-Library 23. การส่งเสรมิ การเลือกต้งั ตามระบอบประชาธิปไตย เป็นแหล่งเรยี นรู้ประเภทใด ก. แหล่งเรยี นรู้ประเภทส่ือ ข. แหล่งเรียนร้ปู ระเภทกจิ กรรม ค. แหลง่ เรียนรปู้ ระเภทวตั พุ และสพานที่ ง. แหล่งเรียนรูป้ ระเภทบคุ คล 24. หมอแสงรักษามะเรง็ เป็นแหลง่ เรยี นร้ปู ระเภทใด ข. แหล่งเรียนรปู้ ระเภทกจิ กรรม ก. แหล่งเรียนรู้ประเภทส่ือ ง. แหล่งเรยี นร้ปู ระเภทบคุ คล ค. แหล่งเรียนรปู้ ระเภทวัตพุและสพานท่ี 25. EDLTV คืออะไร ก. ส่ือตา่ งๆ ของดาวเทยี ม ข. ระบบตา่ งๆ ของดาวเทียม ค. โครงการของดาวเทียม ง. โครงการจดั ทาเน้อื หา ระบบ e-Learning ของการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทยี ม 26. ข้อใดไมใ่ ชข่ ้นั ตอนการออกแบบการเรียนการสอน ก. วเิ คราะห์ ข. ออกแบบ ค. ผลลพั ธ์ ง. นาไปใช้ 27. ข้อใดไม่ใชอ่ งค์ประกอบของการสอนบนเว็บ ข. ส่ือหลายมติ ิ ก. ขอ้ ความหลายมติ ิ ง. การสอนโดยชว่ ยคอมพิวเตอร์ ค. การส่ือสารผา่ นคอมพิวเตอร์ คนชนเปา้ 73

สอบข้าราชการ เตรยี มสอบ ครผู ้ชู ่วย อาจารยศ์ รายทุ ธ ปานมะเริง (อาจารยโ์ นต๊ ตวิ เตอร์) 28. “การฝกึ ปฏบิ ตั ”ิ เป็นรปู แบบใดขององค์ประกอบในการออกแบบการสอนทางคอมพิวเตอร์ ก. โปรแกรมใชเ้ คร่ือง ข. โปรแกรมการสอน ค. ลักษณะการใชโ้ ปรแกรมการสอน ง. ชนดิ ของคอมพิวเตอร์ 29. การสอนบนเวบ็ แบง่ ออกไดก้ ี่ประเภท ข. 5 ประเภท ก. 3 ประเภท ง. 8 ประเภท ค. 7 ประเภท 30. ข้อใดคอื แนวทางการจดั การเรยี นรู้ ข. ใช้เวป็ เสริม ก. วชิ าเอกเทศ ง. พูกทกุ ข้อ ค. ทรัพยากรการสอนบนเวป็ คนชนเป้า 74

สอบข้าราชการ เตรียมสอบ ครผู ูช้ ่วย อาจารย์ศรายุทธ ปานมะเรงิ (อาจารยโ์ นต๊ ตวิ เตอร์) การวจิ ัยทางการศึกษา ความหมายของวิจัย การวิจัย หมายพึง กระบวนการค้นคว้าความรู้ความจริงอย่างเป็นระบบ และวิเคราะห์และตีความด้วยวิธีทาง วิทยาศาสตร์ การศึกษา หมายพึง กระบวนการเรยี นรู้เพ่ือความเจริญงอกงามของบุคคลและสังคม ดังน้ัน การวิจัยทางการศึกษา จึงหมายพึง กระบวนการเสาะแสวงหาความรู้ที่นาไปใช้ในการพัฒนาคุณภาพ การศึกษา วัตถุประสงคข์ องการวิจยั 1. คน้ หาคาตอบในเร่อื งท่ียงั ไม่รู้ 2. ศึกษาหาความสัมพันธร์ ะหวา่ งปรากฏการณต์ า่ งๆ ท่เี กิดข้นึ 3. สรา้ งหลักเกณฑท์ ฤษฎแี นวคิดใหมๆ่ 4. เปน็ พ้ืนฐานในการวางแผน 5. แกป้ ัญหาตา่ งๆ ประเภทของงานวจิ ัย 1. ประเภทการวจิ ัยตามศาสตร์ 1.1 การวิจัยทางวิทยาศาสตรธ์ รรมชาติ (Natural Science)  เป็นการวิจัยตามปรากฏการณ์ทางธรรมชาติซ่ึงมีทั้งส่ิงท่ีมองเห็นและสิ่งที่มองไม่เห็น ส่ิงท่ีมีชีวิตและสิ่งท่ีไมม่ ี ชีวิต เช่น เคมี ฟสิ ิกส์ ชีววิทยา  เรียกอีกอย่างว่า การวิจัยทางวิทยาศาสตร์ หรือ Pure science research การวิจัยประเภทน้ีจะก่อให้เกิด ประโยชน์มากมาย เช่น รพยนต์ 1.2 การวิจัยทางสังคมศาสตร์ (Social Science)  เป็นการวิจัยเก่ียวกับสภาพแวดล้อม สังคม วัฒนธรรม และพฤติกรรมของมนุษย์ เช่น เร่ืองจิตวิทยา พฤติกรรมทางสังคมของมนุษยป์ รากฏการณท์ างสังคม การอยูร่ ่วมกันในสังคม วฒั นธรรม อารยธรรม คนชนเป้า 75

สอบขา้ ราชการ เตรยี มสอบ ครผู ู้ช่วย อาจารย์ศรายุทธ ปานมะเรงิ (อาจารยโ์ น๊ตติวเตอร์) 2. ประเภทการวิจัยตามวัตถุประสงค์ 2.1 การวจิ ยั พื้นฐานหรอื การวจิ ยั บรสิ ุทธิ์ (Basic or Pure Research)  หมายพึง การวจิ ยั ทม่ี วี ัตพุประสงค์เพ่ือตอบสนองความอยากรู้ของมนุษย์ หรอื เพ่ือเพิ่มความรขู้ องมนุษย์ 2.2 การวิจัยประยกุ ต์ (Applied Research)  หมายพงึ การวิจัยทีม่ ีวตั พุประสงคเ์ พ่ือนาผลทีไ่ ดไ้ ปทาประโยชนใ์ หแ้ ก่มนษุ ย์ และสะดวกสบายยง่ิ ข้นึ ซ่งึ ได้แก่ - การวิจยั ปรับใช้ (Adaptive Research) - การพัฒนาโดยการทดลอง (Experimental Development) - การวจิ ัยเชงิ ตรวจสอบ (Exploratory Research) - การวิจยั เพ่ือการพยากรณ์ (Prediction Research) - การวิจยั เพ่ือการวางแผน (Planning Research) - การวิจัยเพ่ือการพัฒนา (Development Research) 2.3 การวจิ ยั เชงิ ปฏบิ ตั ิ (Action Research)  หมายพึง การวิจัยท่ีมีวัตพุประสงค์เพ่ือนาผลที่ได้ไปปรับปรุงงานเฉพาะหน้าท่ี หรืองานในหน้าที่ของตน เช่น การวจิ ัยในชนั้ เรยี น 3. ประเภทการวิจัยตามวิธีการเก็บรวบรวมข้อมูล 3.1 การวจิ ยั เอกสาร (Documentary research)  เป็นการศึกษาจากข้อมูลทุติยภูมิ การวิจัยประเภทน้ีผูว้ ิจัยจะทาการค้นคว้ารวบรวมขอ้ มูลจากการอ่านเอกสาร ต่างๆ 3.2 การวจิ ยั จากสนาม (Field research) การวิจัยประเภทน้ีผวู้ ิจยั จะต้องเก็บรวบรวมข้อมูลใน “สนาม” ซ่งึ หมายพงึ สพานท่ีท่ีมีขอ้ มูลการวจิ ัยอยูแ่ ล้วโดยธรรมชาติ ไดแ้ ก่  การวิจยั โดยการสังเกตการณ์ (Observation Research)  การวิจยั แบบสามะโน (Census Research)  การวิจัยแบบสารวจ (Survey Research)  การวิจัยกรณี (Case Study หรือ Intensive Investigation)  การวจิ ัยเชิงการทดลอง (Experimental Research) 4. ประเภทการวจิ ัยตามระเบยี บวิธวี ิจยั 4.1 การวิจยั เชงิ พรรณนาหรอื แบบบรรยาย (Descriptive research)  หมายพึงการวิจัยที่ผู้วิจัยมุ่งหาคาตอบเกี่ยวกับข้อเท็จจริงของสภาพปั จจุบัน บรรยายสภาพคุณลักษณะ คุณสมบตั ิ รายละเอียดของเหตุการณ์ แตไ่ มแ่ สวงหาคาอธิบายว่าปรากฏการณ์นั้นเกิดข้นึ ไดอ้ ยา่ งไร 4.1.1 วตั พปุ ระสงค์ของการวจิ ัยเชงิ พรรณา - รวบรวมขอ้ มูลปัจจบุ ันวา่ มขี ้อเท็จจริงอย่างไร - นาขอ้ มลู ปัจจุบันไปอธบิ ายประเมนิ ผลหรอื เปรยี บเทียบ คนชนเปา้ 76

สอบข้าราชการ เตรยี มสอบ ครูผู้ช่วย อาจารยศ์ รายุทธ ปานมะเรงิ (อาจารย์โนต๊ ติวเตอร์) 4.1.2 ลกั ษณะข้อมลู วจิ ัยเชงิ พรรณนาหรือบรรยาย - ขอ้ มลู เชิงปริมาณ (Quantitive data) เชน่ เน้อื ที่ น้าหนกั อายุ - ขอ้ มลู เชิงคุณภาพ (Qualitive data) ได้จากการสัมภาษณ์ เช่น ทัศนคติ ความเห็น ดัชนี (Index) มาตราวัด (Scale) 4.1.3 ชนิดของการวจิ ัยเชงิ พรรณา - การวิจัยเชิงสารวจ (Survey Research) หมายพึง การวิจัยที่มุ่งศึกษาเพ่ือให้ได้ข้อสรุปท่ัวๆ ไปของส่ิง ท่ีจะศึกษาน้ันๆ ไม่ได้เจาะลึกหรือเพ่ือให้ได้ข้อมูลอย่างละเอียด สามารพนาผลที่ได้จากการศึกษาไปวางแผนตลอดจนช่วย แกป้ ัญหา หรือปรับปรุงสภาพใหด้ ขี ้นึ ได้ - การวิจยั เชิงความสัมพันธ์ (Correlational Research) หมายพึงการวจิ ยั ทีม่ งุ่ ศึกษาสภาพความสัมพันธ์ ของตัวแปรต้งั แต่ 2 ตัวข้นึ ไป - การวิจัยเชิงศึกษาพัฒนาการ (Developmental Research) เป็นการวิจัยเพ่ือหาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับ ววิ ัฒนาการของบุคคล หนว่ ยงาน สัตว์ พืช - การวิจัยแนวโนม้ (Trend Research) เป็นการวจิ ยั ทศี่ ึกษาความเปลีย่ นแปลงหรือพัฒนาการตัง้ แต่อดตี จนพึงปัจจุบนั เพ่ือหาขอ้ สรุปหรอื แนวโนม้ ในอนาคต 4.2 การวจิ ยั เชงิ ทดลอง (Experimental Research)  เป็นการวิจัยท่ีจัดให้มีการกระทาต่างไปจากสภาพธรรมชาติ การจัดกระทาดังกล่าวเรียกว่า “การทดลอง” ดงั น้นั การวจิ ยั เชิงทดลองจึงเปน็ การวจิ ยั ท่ผี วู้ จิ ยั ทาการทดลองและรวบรวมข้อมูลเพ่ือหาข้อสรปุ เก่ียวกบั ข้อมูล ที่พกู จดั ทาข้นึ 4.2.1 ชนิดของการวิจัยเชิงทดลอง - การวชิ ยั เชิงก่ึงทดลอง (Quasi-Experimental Research) เปน็ การวิจัยทผ่ี ู้วจิ ยั ไม่สามารพควบคุมการ ทดลองหรอื กาหนดรูปแบบการวจิ ยั ควบคมุ ตัวแปรได้อย่างเขม้ งวดตามทต่ี อ้ งการ - การวจิ ัยเชิงทดลองแท้ (True-Experimental Research) เป็นการวจิ ัยท่ผี ูว้ ิจัยสามารพกาหนดรูปแบบ การวจิ ัยและควบคุมตัวแปรตา่ งๆ ได้ตามท่ีตอ้ งการ 4.3 การวิจยั เชงิ อธิบาย (Explanatory research)  เป็นการวิจัยที่มุ่งตอบปัญหาว่าอย่างไรและทาไม เช่น อัตราของการติดยาเสพติดในกลุ่มอาชีพ โดยเป็นการ วิจัยทหี่ าเหตุผลวา่ ทาไมคนบางกลุม่ ติดยา 4.4 การวิจัยเชงิ ปรมิ าณ (Quantitative research)  เปน็ การวิจยั ทเี่ นน้ การใชข้ อ้ มลู ท่ีเปน็ ตัวเลขยนื ยนั ความพกู ต้องของขอ้ ค้นพบและข้อสรุปต่างๆ เปน็ การวิจยั ท่ีมี คุณภาพ 4.5 การวิจัยเชงิ คุณภาพ (Qualitative research)  เป็นการวิจัยท่ีเน้นหารายละเอียดต่างๆ อย่างลึกซ้ึง ไม่มุ่งเก็บตัวเลขมาวิเคราะห์ให้ได้คาตอบท่ีใช้ได้อย่าง กวา้ งขวาง อาจเรียกวา่ \"การวิจัยทางมานุษยวทิ ยา\" หรือ \"การวจิ ัยแบบเจาะลกึ \" คนชนเป้า 77

สอบขา้ ราชการ เตรียมสอบ ครผู ู้ช่วย อาจารยศ์ รายุทธ ปานมะเริง (อาจารยโ์ นต๊ ตวิ เตอร์) 4.6 การวิจยั แบบตดั ขวาง (Cross - sectional research)  เป็นการวิจยั ที่ใช้ระยะเวลาในการวิจัยส้ันในการเกบ็ ข้อมลู หรือเป็นการเกบ็ ข้อมูลเพียงครง้ั เดียวแล้ววิเคราะห์ หาความแตกต่างหรือความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรต่างๆ หรืออาจจะเก็บข้อมูลหลายๆ ครั้งแต่ระยะเวลาใน การเก็บไมห่ ่างกันมากนกั 4.7 การวจิ ัยระยะยาว (Longitudinal study)  เป็นการวิจัยท่มี ีการเกบ็ ข้อมูลมากกว่า 1 คร้ัง แล้วนาข้อมลู มาเปรียบเทียบ มีหลายแบบ เช่น เก็บตัวอย่างจาก กล่มุ เดียวหลายคร้งั (Panel studies) หรอื เปลีย่ นกลมุ่ ตวั อย่างทุกคร้ัง (Successive sample) 4.8 การวิจัยกรณีศึกษา (Case Study Research)  เป็นการวิจัยท่ีศึกษาในวงแคบ คือการศึกษาเป็นรายกรณี แต่มุ่งศึกษาให้รายละเอียดลึกซ้ึงจนหาข้อสรุป ได้ชัดเจน เช่น เลือกหมู่บ้าน อาเภอ แล้วศึกษาอย่างละเอียด ข้อจากัดของผลการวิจัยคือ ไม่อาจใช้ได้อย่าง กว้างขวาง ลาดับข้ันตอนในการทาวจิ ัย แบ่งได้ 5 ขัน้ ดงั นี้ 1. ข้ันกาหนดปั ญหา (Problem) เปน็ ขอ้ สงสัยใคร่รู้ของผวู้ จิ ยั ในปรากฏการณ์ท่เี กดิ ข้ึนหรอื พบเหน็ 2. การต้งั สมมติฐาน (Hypothesis) การคาดคะเนคาตอบของปัญหา 3. ข้ันทดลองและเก็บข้อมูล (Experimental and data collection) ข้ันตอนท่ีผู้วิจัยทาการศึกษาส่ิงท่ีเกี่ยวกับข้อ ปัญหาทก่ี าหนดไว้ 4. ข้ันการวิเคราะห์ข้อมูล (Data analysis) เป็นการนาข้อมูลจากข้อ 3 มาจัดกลุ่มหมวดหมู่ด้วยวิธีการทางสพิติ เปน็ ขอ้ มูลเชงิ ปริมาณท่ีประกอบดว้ ยตัวเลขตา่ งๆ 5. ข้นั การสรปุ ผล (Conclusion) เปน็ การนาขอ้ มลู ที่ไดจ้ ากขอ้ 4 มาสรปุ ผลเปน็ การตอบคาพามการวจิ ัย ประชากรและกลุ่มตัวอยา่ ง ประชากร (Population) หมายพึง กลุ่มของส่ิงต่างๆท้ังหมดท่ีผู้วิจัยสนใจ ซ่ึงอาจเป็นกลุ่มของสิ่งของ คน หรือ เหตกุ ารณต์ า่ งๆลักษณะของประชากร มีดงั น้ี 1. มีประสิทธภิ าพให้ขอ้ มลู ที่เปน็ ประโยชน์ 2. เปน็ ตวั แทนของประชากรทัง้ หมด (เลอื กมาโดยการสุ่ม) 3. มีความเช่อื พอื ได้ 4. มคี วามยดื หย่นุ เพ่ิมลด ตัวอยา่ งไดโ้ ดยไม่ทาให้ผลการวเิ คราะหข์ อ้ มลู ผิดพลาด กลุ่มตัวอย่าง (Sample) หมายพึง เป็นส่ วนหน่ึงของประชากรท่ีผู้วิจัยสนใจ กลุ่มตัวอย่างที่ดีหมายพึง กลมุ่ ตัวอยา่ งทีม่ ีลกั ษณะตา่ งๆท่ีสาคญั ครบพว้ นเหมือนกับกลุ่มประชากร เป็นตวั แทนที่ดีของกล่มุ ประชากรได้ คนชนเปา้ 78

สอบข้าราชการ เตรยี มสอบ ครูผชู้ ่วย อาจารย์ศรายทุ ธ ปานมะเรงิ (อาจารย์โน๊ตติวเตอร์) เทคนคิ การสุ่มกลมุ่ ตวั อยา่ ง 1. การสุ่มโดยไม่คานึงถงึ ความน่าจะเป็น 1.1 การสุ่มโดยบงั เอิญ (Accidental sampling)  เป็นการสุ่มจากสมาชิกของประชากรเปาหมายท่เี ป็นใครกไ็ ด้ทสี่ ามารพให้ข้อมลู ได้ครบพว้ น  การสุ่มโดยวธิ ีน้ไี มส่ ามารพรับประกนั ความแม่นยาได้ ซ่ึงการเลือกวิธีน้ีเปน็ วิธีท่ีด้อยทสี่ ุด 1.2 การสุ่มแบบโควตา (Quota sampling)  เป็นการสุมตวั อยา่ งโดยจาแนกประชากรออกเปน็ ส่วนๆ ก่อน (strata) โดยมีหลกั จาแนกวา่ ตัวแปรทีใ่ ช้ในการ จาแนกนั้นควรจะมีความสัมพันธ์กับตัวแปรท่ีจะรวบรวม หรือตัวแปรท่ีสนใจ และสมาชิกที่อยู่แต่ละส่วนมี ความเป็นเอกพันธ์ 1.3 การสุ่มตวั อย่างเฉพาะเจาะจง (purposive sampling)  บางคร้งั เรยี กว่าการสุ่มแบบพิจารณา (judgment sampling)  เป็นการสุ่มตัวอย่างโดยใช้ดุลพินิจของผู้วิจัยในการกาหนดสมาชิกของประชากรที่จะมาเป็นสมาชิกในกลุ่ม ตัวอย่าง วา่ มีลักษณะสอดคลอ้ งหรือเป็นตวั แทนท่จี ะศึกษาหรอื ไม่ 1.4 การสุมกลุ่มตัวอย่างตามสะดวก (convenience sampling)  การเลือกกล่มุ ตัวอย่างโดยพอื เอาความสะดวกหรือความง่ายตอ่ การรวบรวมข้อมลู  ข้อจากดั ของการสุ่มแบบนจ้ี ะมลี ักษณะเหมอื นกบั การสุ่มโดยบังเอญิ 1.5 การสุมตวั อย่างแบบสโนวบ์ อลล์ (snowball sampling)  เปน็ การเลอื กตวั อยา่ งในลกั ษณะการสร้างเครอื ขา่ ยขอ้ มูล เรยี กว่า snowball sampling  โดยเลอื กจากหนว่ ยตัวอยา่ งกลุ่มแรก และตวั อยา่ งกล่มุ นเ้ี สนอบคุ คลอ่นื ทม่ี ลี ักษณะใกล้เคยี งตอ่ ๆ ไป ข้อจากดั ของการสุ่มโดยไมอ่ าศัยความนา่ จะเป็น 1. ผลการวิจัยไม่สามารพอ้างอิงไปสู่ประชากรทั้งหมดได้ จะสรุปอยู่ในขอบเขตของกลุ่มตัวอย่างเท่าน้ัน ข้อสรุปน้ัน จะสรปุ ไปหาประชากรได้ต่อเม่อื กล่มุ ตวั อยา่ งมลี ักษณะตา่ งๆ ท่สี าคัญๆ เหมอื นกบั ประชากร 2. กลุ่มตัวอย่างท่ีได้น้ันข้ึนอยู่กับการตัดสินใจของผู้วิจัยและองค์ประกอบบางตัวที่ไม่สามารพควบคุมได้ และไม่มี วธิ ีการทางสพิตอิ ย่างไรท่ีจะมาคานวณความคลาดเคล่อื นทเ่ี กิดจากการสุ่ม (sampling error) คนชนเปา้ 79

สอบข้าราชการ เตรียมสอบ ครผู ้ชู ่วย อาจารย์ศรายทุ ธ ปานมะเรงิ (อาจารย์โน๊ตติวเตอร์) 2. การสุ่มโดยการคานงึ ถงึ ความนา่ จะเป็น (probability sampling) 2.1 การสุ่มอยา่ งง่าย (Simple random sampling)  สมาชิกท้ังหมดของประชากรเปน็ อสิ ระซ่ึงกนั และกนั แลว้ สุ่มหนว่ ยของการสุ่ม (Sampling unit) ซ่งึ สามารพ ทาได้ 2 วธิ ี คือ 2.1.1 การจับฉลาก 2.1.2 การใชต้ ารางเลขสุ่ม (table of random number) ซ่งึ ตวั เลขในตารางไดม้ าจากการอาศัยคอมพิวเตอร์ กาหนดคา่ หรือบางครงั้ สามารพใชว้ ธิ ีการดงึ ตัวอยา่ งโดยอาศัยโปรแกรมสาเรจ็ รูป ในการสุ่มอย่างง่าย มีข้อจากัดคือ ประชากรต้องนับได้ครบพ้วน (finite population) ซ่ึงบางคร้ังอาจสร้างปัญหา ใหก้ บั นักวจิ ัย 2.2 การสุ่มแบบเป็นระบบ (systematic sampling)  ใชใ้ นกรณที ี่ประชากรมีการจัดเรียงอย่างไม่ลาเอยี ง 1) ประชากรหารด้วยจานวนกลมุ่ ตัวอยา่ ง (K = N/n) 2) สุ่มหมายเลข 1 พึง K (กาหนดสุ่มได้หมายเลข r) 3) r จะเป็นหมายเลขเรม่ิ ต้น ลาดับตอ่ ไป r + K, r + 2K, r + 3K, . . . การสุ่มแบบเป็นระบบ โอกาสพูกเลือกของตัวอยา่ งไมเ่ ป็นอิสระจากกนั เพราะเม่อื ตวั อย่างแรกพูกสุ่มแลว้ ตัวอยา่ ง หน่วยอ่นื กจ็ ะพกู กาหนดให้เลือกตามมาโดยอัตโนมัติ โดยไมม่ ีการสุ่ม 3. การสุ่มแบบแบ่งช้ัน (stratified random sampling)  เป็นการสุ่มของกลมุ่ ตวั อย่างท่แี บ่งกลุม่ ประชากรออกเป็นกล่มุ ย่อย (subgroup or strata)  มหี ลักในการจดั แบ่งกลุม่ แต่ละกลุ่มมีความเป็นเอกพันธ์ (Homogeneous) 4. การสุ่มตวั อย่างแบบกลมุ่ (cluster sampling)  สุ่มจากกลุม่ ทพี่ กู จัดแบ่งไว้แลว้ ซ่ึงวธิ ีการแบบน้เี รียกวา่ การสุ่มแบบกลุม่ (cluster sampling) 5. การสุ่มแบบหลายข้นั ตอน (multi-stage sampling)  เป็นกระบวนการสุ่มกล่มุ ตัวอย่างจากประชากรซ่ึงดาเนนิ การสุ่มต้ังแต่ 3 ขั้นข้นึ ไป คนชนเปา้ 80

สอบขา้ ราชการ เตรยี มสอบ ครผู ู้ช่วย อาจารยศ์ รายทุ ธ ปานมะเรงิ (อาจารยโ์ น๊ตตวิ เตอร์) เคร่อื งมอื (Tool or Instrument)  คือ สิ่งทีใ่ ชว้ ัดตวั แปรเพ่ือใหไ้ ดผ้ ลการวัดท่เี รยี กวา่ ข้อมลู  ลักษณะของเคร่อื งมือท่ีดี 1. มคี วามเทยี่ งตรง (Validity)  วดั ได้ในสิ่งที่ต้องการจะวัด 2. มีความเช่อื พอื ได้ (Reliability)  วัดได้คงทแ่ี นน่ อน 3. มีประสิทธภิ าพ (Efficiency) 4. มีอานาจจาแนก (Discrimination) 5. แบง่ แยกและชไ้ี ด้วา่ กลุม่ ตวั อยา่ งหรอื ประชากรทเี่ ราศึกษามที ศั นะคตทิ ี่ดหี รอื ไมด่ ี การตรวจสอบคุณภาพเครอื่ งมอื การวิจยั  ความเท่ยี งตรง มคี า่ IOC ≥ 0.5  ความเช่อื ม่ัน มคี า่ ไมน่ ้อยกว่า 0.8  คา่ ความยาก Difficulty  ค่า P ท่ียอมรบั ไดอ้ ย่รู ะหว่าง 0.2 - 0.8  คา่ P ที่ดีมากอยู่ระหว่าง 0.4 - 0.6  ค่าอานาจจาแนก (r) มีค่าต้งั แต่ 0.2 - 1.0 คนชนเปา้ 81

สอบขา้ ราชการ เตรยี มสอบ ครผู ู้ช่วย อาจารยศ์ รายุทธ ปานมะเรงิ (อาจารยโ์ นต๊ ตวิ เตอร์) แนวขอ้ สอบเรอื่ งการวจิ ยั ทางการศึกษา เพ่ือทบทวนเน้ือหาบทเรยี นและเพ่ิมประสบการณ์จากเน้ือหาวชิ า 1. เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการ เป็นกระบวนการแสวงหาความรู้เพ่ือแก้ปั ญหา หรือพัฒนากระบวนการเรียน การสอน ทีเ่ กิดข้ึนในช้นั เรยี นอย่างมีระบบ มีวัตถุประสงค์ที่ชดั เจน มีกระบวนการทางานอยา่ งตอ่ เนอื่ ง มีการ วางแผน กาหนดประเด็นปั ญหาลงมือปฏิบัติตามแผนสังเกตผลท่ีเกิดข้ึน สะท้อนผลหลังจากลงมือปฏิบัติ ถ้ายังมีประเด็นปั ญหา ท่ีต้องการปรับปรุงแกไ้ ขก็วางแผน ลงมือปฏิบัติสะท้อนผล เป็นวงจรต่อไปจนบรรลุ เป้าหมาย โดยผู้ทาการวจิ ยั ส่วนใหญ่จะเป็นครูผู้สอน หมายความตรงกบั ขอ้ ใด ก. การวิจยั ข. การวจิ ยั ในช้นั เรยี น ค. การคน้ หาคาตอบที่สงสัย ง. วิธกี ารแสวงหาความรู้ 2. กระบวนการเสาะแสวงหาความรู้เพ่ือทจ่ี ะตอบคาถาม หรอื ปั ญหาข้อสงสัยที่มีอยู่อย่างเป็นระบบ โดยมี วัตถปุ ระสงค์ทช่ี ดั เจน หมายความตรงกับขอ้ ใด ก. การวจิ ัย ข. การวิจยั ในช้นั เรยี น ค. การค้นหาคาตอบทส่ี งสัย ง. วธิ กี ารแสวงหาความรู้ 3. ข้ันตอนแรกของการทาวจิ ัยปฏิบัตกิ ารในช้ันเรยี น ตรงกบั ข้อใด ก. เลือกประเดน็ คาพามวิจัยท่สี าคัญตอ่ การปฏบิ ตั งิ าน ข. ตรวจสอบเอกสารท่ีเกย่ี วขอ้ ง ค. วางแผนการวจิ ยั ง. ลงมอื ปฏิบตั พิ ร้อมรวบรวมขอ้ มลู 4. ในการวิจยั แบบงา่ ย ขน้ั ตอนใดสาคัญทสี่ ุด ก. กาหนดประเด็นของการแกป้ ัญหาหรอื การพัฒนา ข. กาหนดวธิ กี ารท่ีจะแก้ปัญหาหรอื การพัฒนาในเร่อื งน้นั ๆ อยา่ งมเี หตผุ ล ค. ดาเนินการตามวธิ กี ารข้ันตอนที่กาหนด รวบรวมข้อมลู ทีเ่ กดิ ข้นึ ง. นาข้อมูลมาวเิ คราะหแ์ ละสรปุ ผลท่ีเกิดข้นึ 5. ส่วนทช่ี ้ใี ห้ทราบว่าผู้วจิ ัยตอ้ งการศึกษาคน้ ควา้ อะไร ตรงกับขอ้ ใด ก. ช่อื เร่อื งการวจิ ยั ข. สมมติฐานการวจิ ยั ค. จุดม่งุ หมายของการวจิ ัย ง. กรอบแนวคดิ ในการวจิ ยั 6. คากล่าวในขอ้ ใดไม่ถกู ต้อง ก. การวจิ ัยทกุ อย่างลว้ นมุง่ เพ่ือแก้ปัญหาท้งั สิ้น ข. การวจิ ัยเปน็ ข้อมลู รากฐานในการวางแผนและบรกิ ารการศึกษา ค. การวิจัยเพ่ือความเปน็ เลศิ ทางวชิ าการส่วนใหญ่จะปรากฏในระดับมหาวทิ ยาลัย ง. การวจิ ยั ทางการศึกษาของไทยเปน็ สิ่งสรา้ งเสริมความเป็นไทย ทางการศึกษาของประเทศไทย คนชนเปา้ 82

สอบขา้ ราชการ เตรยี มสอบ ครผู ชู้ ่วย อาจารยศ์ รายุทธ ปานมะเรงิ (อาจารยโ์ น๊ตติวเตอร์) 7. สมมติฐานการวจิ ยั ท่วี า่ “ผูบ้ รหิ ารที่มีความรู้” ทางจติ วทิ ยาการปกครองลกู นอ้ งไดด้ กี ว่าผู้บรหิ ารทีม่ คี วามรู้ ทางจติ วิทยาจากสมมตฐิ าน ข้อใดเป็นตวั แปรอสิ ระ ก. การปกครองลกู น้อง ข. ผูบ้ ริหารทมี่ คี วามรู้ทางจติ วทิ ยา ค. ผบู้ รหิ ารท่ีไมม่ ีความร้ทู างจติ วทิ ยา ง. ผู้บรหิ ารท่ีมคี วามรูแ้ ละไมม่ คี วามรทู้ างจิตวทิ ยา 8. “สภาพแวดลอ้ มในโรงเรยี นหมายถงึ การรบั รู้พฤติกรรม เหตกุ ารณส์ ถานที่ หรือลกั ษณะใดๆ ในโรงเรยี นท่ี นกั เรยี นสังเกตหรอื รบั ร้ไู ด้” ขอ้ ความน้ีหมายถงึ ขอ้ ใด ก. จดุ มุ่งหมายของการวจิ ยั ข. สมมุตฐิ านการวิจยั ค. นยิ ามศัพทเ์ ฉพาะ ง. ข้อตกลงเบ้อื งต้น 9. สมมุตฐิ านการวิจยั ขอ้ ใดดที ส่ี ุด ก. การสอนแบบทมี ดีกว่าการสอนแบบครูคนเดียว ข. นกั เรียนชายมีความเช่อื โชคลางน้อยกวา่ นกั เรียนหญงิ ค. วธิ ีสอนแบบอภปิ รายเช่อื วา่ จะให้ผลสัมฤทธิ์สูงกวา่ วิธสี อนแบบบรรยาย ง. เดก็ ในเมืองนา่ จะมีความคดิ สรา้ งสรรค์สูงกวา่ เดก็ ในชนบท “ความรู้และการปฏิบัตติ นในการใช้สารเสพติดของผขู้ ับขย่ี านพาหนะโดยกาหนดวัตพปุ ระสงคก์ ารวิจยั ดงั น้ี เพ่ือศึกษา ระดบั ความรู้ และการปฏิบตั ติ นในการใชส้ ารเสพติดของผ้ขู ับขร่ี พประจาทาง รพบรรทกุ สิบลอ้ และรพแทก็ ซี่ ในจังหวดั นครราชสีมา” 10. งานวจิ ยั เรอื่ งน้มี ปี ระโยชนต์ อ่ ใครมากที่สุด ก. ผู้ขับข่ีรพทกุ ประเภท ข. เจา้ ของรพแท็กซ่แี ละรพบรรทกุ สิบล้อ ค. เจา้ หนา้ ทีข่ องรฐั ทีม่ หี นา้ ทปี่ ราบปรามและปองกนั ยาเสพติด ง. ผโู้ ดยสารรพประจาทางและรพแทก็ ซ่ี 11. งานวจิ ยั ในขอ้ 10 จัดเป็นงานวิจัยประเภทใด ข. วจิ ยั เชิงความสัมพันธ์ ก. วจิ ยั เชิงสารวจ ง. วจิ ยั พ้ืนฐาน ค. วจิ ัยเชงิ พัฒนาการ 12. อาจารยท์ ม่ี ปี ั ญหาเก่ยี วกบั วธิ ีการสอนวิชาวิทยาศาสตร์ ควรจะศึกษางานวจิ ยั เร่ืองใด ก. ทศั นคตขิ องนกั เรียนตอ่ วิชาวทิ ยาศาสตร์ ข. การพัฒนาสไลดป์ ระกอบการสอนวิทยาศาสตร์ ค. ความสัมพันธ์ระหวา่ งผลสัมฤทธิท์ างการเรยี นวชิ าวิทยาศาสตรแ์ ละคณติ ศาสตร์ ง. การพัฒนากระบวนการสอนทางวทิ ยาศาสตร์ คนชนเปา้ 83

สอบข้าราชการ เตรยี มสอบ ครผู ู้ช่วย อาจารย์ศรายุทธ ปานมะเรงิ (อาจารยโ์ น๊ตตวิ เตอร์) 13. จากสมมุติฐานทกี่ าหนดใหข้ อ้ ใดเป็นตัวแปรอิสระ “นักเรยี นเพศชายมคี วามรบั ผดิ ชอบมากกวา่ นกั เรียนเพศ หญงิ ” ก. นกั เรียน ข. เพศของนกั เรยี น ค. ความรับผิดชอบของนกั เรียน ง. โรงเรียนท่นี กั เรยี นศึกษาอยู่ 14. จากข้อ 13 ข้อใดเป็นตัวแปรตาม ข. เพศของนกั เรยี น ก. นักเรยี น ง. โรงเรียนทนี่ กั เรียนศึกษาอยู่ ค. ความรบั ผิดชอบของนกั เรียน 15. งานวิจยั เรื่องใดเป็นงานวจิ ัยเชงิ บรรยาย ก. การศึกษานทิ านพ้ืนบา้ นของอาเภอเดิมบางนางบวช ข. การศึกษาความสัมพันธร์ ะหวา่ งเจตคตติ อ่ อาชพี ครูและผลสัมฤทธิท์ างการเรียนของนักศึกษาครุ ทุ ายาท ค. การวเิ คราะหโ์ ปรตีนจากเหด็ ง. การศึกษาอตั ราการเจรญิ เตบิ โตของพวั่ เม่ือใชป้ ุ๋ยสูตรตา่ งกนั 16. การวิจยั มคี วามหมายตรงกบั ข้อใดมากท่สี ุด ข. เปน็ การศึกษาอยา่ งมรี ะบบ ก. เป็นการลองผดิ ลองพูก ง. เปน็ การวิเคราะหเ์ ร่อื งราวต่างๆ ค. เปน็ การสารวจสภาพปัญหา 17. การแสวงหาความรวู้ ธิ ีใด เปน็ การหาความรู้โดยใชห้ ลกั เหตุผล ก. โดยการหยง่ั รู้ ข. โดยการลองผดิ ลองพูก ค. โดยการอนมุ าน – อุปมาน ง. การสอบพามจากผเู้ ชีย่ วชาญ 18. ขอ้ ใดเรียงลาดับของกระบวนการวิจยั ไดถ้ กู ต้อง ก. กาหนดปัญหา เก็บรวบรวมข้อมูลตงั้ สมมตฐิ าน วิเคราะหข์ อ้ มลู สรุป ข. กาหนดปัญหา ตัง้ สมมตฐิ าน เก็บรวบรวมข้อมูล วิเคราะหข์ อ้ มลู สรุป ค. ตง้ั สมมตฐิ าน กาหนดปัญหา เก็บรวบรวมขอ้ มลู วเิ คราะหข์ อ้ มลู สรปุ ง. ตัง้ สมติฐาน กาหนดปัญหา วิเคราะหข์ ้อมลู เก็บรวบรวมขอ้ มูล สรุป 19. ขอ้ ใดอาจไม่ใชค่ วามรูท้ ่ีจาเป็นสาหรบั นกั วิจยั ข. วธิ กี ารวเิ คราะหข์ อ้ มลู ก. หลักวธิ ีวิจยั ง. ความรใู้ นสาขาที่ต้องการทาวจิ ัย ค. ระบบการศึกษาของสังคม 20. จรรยาบรรณของนกั วจิ ัยขอ้ ใดสาคัญท่ีสุด ข. มีความรับผดิ ชอบตอ่ ส่ิงทศ่ี ึกษา ก. ซ่อื สัตย์ และมคี ุณธรรม ง. เคารพความคิดเหน็ ทางวิชาการของผู้อ่นื ค. มพี ้ืนความรู้ในสาขาที่ทาการวิจัย คนชนเป้า 84

สอบขา้ ราชการ เตรยี มสอบ ครผู ู้ช่วย อาจารยศ์ รายทุ ธ ปานมะเริง (อาจารย์โน๊ตตวิ เตอร์) 21. ช่ือเรอื่ งวจิ ยั ตอ่ ไปนี้ เป็นการวจิ ยั ประเภทใด “การศึกษาปั ญหาในการจัดกจิ กรรมการเรียนรูก้ ล่มุ ทกั ษะชวี ิต วชิ าคณิตศาสตร์ วิทยาลยั เทคนิคชัยภมู ิ อ.เมือง จ.ชยั ภมู ิ” ก. การวิจัยเชงิ อนาคต ข. การวจิ ยั เชงิ ทดลอง ค. การวจิ ยั เชิงบรรยาย ง. การวิจยั เชิงเปรยี บเทยี บ 22. ชอื่ เร่ืองวจิ ยั ตอ่ ไปนี้ เป็นการวจิ ัยประเภทใด “การเปรยี บเทยี บผลสัมฤทธิท์ างการเรยี นวิชาคณติ ศาสตร์ของ นักเรยี นระดับ ปวช.ปีที่ 3 ในจังหวดั ชัยภมู ิระหว่างการสอนแบบโครงงานและการสอนแบบบรรยาย” ก. การวจิ ัยเชิงประวตั ศิ าสตร์ ข. การวิจัยเชิงบรรยาย ค. การวิจัยเชิงทดลอง ง. การวจิ ัยเชงิ คณุ ภาพ 23. หวั ขอ้ ปั ญหาวิจยั ใด ต้งั ชอื่ ไดเ้ หมาะสมทสี่ ุด ก. เจตคตทิ ่ีมีตอ่ วิชาชีพชา่ งเทคนคิ แผนกวชิ าชาชา่ งเช่ือมโลหะ วิทยาลัยเทคนคิ นครราชสีมา ข. เจตคติต่อวิชาภาษาไทย ของนกั เรยี นระดบั ปวช.ปีที่ 1 วทิ ยาลัยเทคนิคชยั ภูมิ อ.เมอื ง จ.ชยั ภูมิ ค. การเปรยี บเทียบความสนใจของนกั เรียนระหวา่ งการอา่ นและการเลา่ นทิ านใหฟ้ ัง ง. ผลของการพัฒนาทกั ษะในการราวงมาตรฐานของนักเรยี นชนั้ ปวช. 2 24. ชอื่ เรือ่ งวจิ ยั ตอ่ ไปนี้ เป็นการวิจยั ประเภทใดพัฒนาการหลกั สูตรอาชีวศึกษาของประเทศไทย ก. การวจิ ยั เชงิ ประวัตศิ าสตร์ ข. การวิจัยเชิงบรรยาย ค. การวจิ ยั เชงิ ทดลอง ง. การวจิ ยั เชงิ คณุ ภาพ 25. ข้อใด ไมใ่ ชต่ ัวแปร ข. ศาสนา ก. เพศ ง. ระดับการศึกษาของผปู้ กครองนักเรียน ค. จงั หวดั เชียงใหม่ 26. ลักษณะงานวิจยั ตรงกับขอ้ ใดมากที่สุด ก. สามารพพิสูจนไ์ ดท้ ุกขั้นตอน ข. หาคาตอบไดด้ ้วยวธิ กี ารทางวิทยาศาสตร์ ค. มีข้ันตอนและระบบการศึกษาอย่างสมบรู ณ์ ง. เปน็ การศึกษาความสัมพันธข์ องสิ่งที่ตอ้ งการศึกษา 27. ข้อใดกลา่ วถกู ตอ้ ง ก. การวิจยั ใหป้ ระโยชน์แก่ผบู้ รหิ ารมากกว่าครู ข. การวิจัยใหป้ ระโยชนแ์ กผ่ ้ทู าวจิ ยั มากกวา่ ผนู้ าผลการวจิ ัยไปใช้ ค. การวิจัยใหป้ ระโยชนแ์ กผ่ ู้นาผลการวิจัยไปใช้มากกว่าผทู้ าวจิ ยั ง. การวจิ ยั ใหป้ ระโยชน์แกค่ รมู ากกว่าผบู้ รหิ าร คนชนเป้า 85

สอบข้าราชการ เตรยี มสอบ ครผู ้ชู ่วย อาจารยศ์ รายุทธ ปานมะเริง (อาจารยโ์ น๊ตติวเตอร์) 28. การวิจยั เชงิ พรรณา หรือเชงิ บรรยาย ตรงกบั ขอ้ ใด ก. Descriptive Research ข. Experimental Research ค. Correlation Research ง. Qualitative Research 29. การต้งั สมมุติฐานการวิจยั มคี วามจาเป็นอย่างไร ก. การคาดคะเนคาตอบ ข. บอกแนวทางการแกป้ ัญหา ค. บอกให้ทราบพงึ รูปแบบการวจิ ัย ง. เปน็ การกาหนดค่าสพติ ขิ องงานวจิ ยั 30. จุดมงุ่ หมายของการวิจยั มคี วามจาเป็นอยา่ งไร ก. เป็นการกาหนดหวั ข้อของงานวจิ ยั ข. บอกให้ทราบว่าผ้วู ิจยั ต้องการศึกษาคน้ ควา้ อะไร ค. บอกแนวทางการแก้ไขและพัฒนางานวจิ ยั ง. บอกใหท้ ราบพึงรปู แบบการวจิ ัย คนชนเป้า 86

สอบข้าราชการ เตรียมสอบ ครผู ้ชู ่วย อาจารยศ์ รายุทธ ปานมะเริง (อาจารย์โน๊ตติวเตอร์) การวัดและประเมนิ ผลการศึกษา การวัดและประเมินผลทางการศึกษาจะเก่ียวข้องกบั คา 3 คา คอื  การทดสอบ (testing) หมายพึง การนาเสนอชุดคาพามท่ีเรียกว่าข้อสอบหรือแบบทดสอบที่มีมาตรฐานให้ ผ้สู อบตอบ  การวัดผล (measurement) หมายพึง การวัดคุณลักษณะ (attribute) ของบุคคลจากผลการตอบคาพาม ในแบบทสอบตามกฏเกณฑ์ท่กี าหนด เพ่ือแสดงคุณค่าเชิงปรมิ าณหรือตัวเลขทีวดั ได้  การประเมินผล (evaluation) หมายพึง กระบวนการอย่างมีระบบทีน่ าข้อมูลจากการวัดผล มาตีค่าและตัดสิน คุณคา่ ของผู้เรียน ซ่ึงการวัดผลและการประเมินผลเปน็ กระบวนการทม่ี คี วามต่อเน่อื ง การวดั ผลและการประเมนิ ผลมคี วามแตกตา่ งกนั ดังตารางดงั นี้ การวดั ผล การประมินผล 1. เป็นการกาหนดรายละเอียด จานวน หรอื ปรมิ าณ 1. เป็นการกาหนดระดับคุณคา่ ตัดสินลงขอ้ สรุป 2. กระทาอยา่ งละเอยี ดทลี ะดา้ น 2. สรปุ รวมเปน็ ขอ้ ช้ีขาด/ผลการตดั สิน 3. ใชเ้ คร่ืองมอื เปน็ หลกั 3. ใชผ้ ลการวดั เปน็ หลักโดยพิจารณาตามเกณฑ์ท่ี กาหนดไวแ้ ลว้ ลว่ งหนา้ 4. ผลที่ได้เปน็ ข้อมูลรายละเอียด 4. ผลท่ีไดเ้ ป็นการตัดสินใจ ลกั ษณะสาคญั ของการวดั และประเมินผลทางการศึกษา  การวดั ผลทางการศึกษา เปน็ กระบวนการวัดการเปล่ียนแปลงพฤตกิ รรมของผู้เรยี น  นิยมวัดผลการเรียนรู้เป็น 3 ด้านคือ พุทธิพิสัย (cognitive domain) จิตพิสัย (affective domain) และ ทักษะพิสัย (psychomotor domain) คนชนเป้า 87

สอบข้าราชการ เตรียมสอบ ครูผชู้ ่วย อาจารยศ์ รายุทธ ปานมะเริง (อาจารย์โนต๊ ตวิ เตอร์) ลกั ษณะสาคัญของเคร่อื งมือวดั ผลทางการศึกษา แบบทดสอบ แบบวัด หรือเคร่ืองมอื สาหรับในการวดั และประเมินผลทางการศึกษาทีด่ ี ควรมลี ักษณะดังนี้ 1. ความเทย่ี งตรง (validity) 1.1 ความเทีย่ งตรงตามเน้อื หา (content validity)  หมายพงึ การวดั น้นั สามารพวดั ได้ครอบคลุมเน้อื หาและวัดไดค้ รบพ้วนตามจดุ ประสงค์ของการวัด 1.2 ความเที่ยงตรงเชิงสัมพันธ์ (criterion-related validity) แบ่งการออกเป็น 2 ลกั ษณะคือ  ความเท่ียงตรงเชิงพยากรณ์ (predictive validity) หมายพึง ค่าคะแนนจากแบบสอบสามารพ ทานายพงึ ผลการเรียนในวชิ าน้นั ๆ ได้อย่างเทย่ี งตรง  ความเท่ียงตรงตามสภาพ (concurrent validity) หมายพึง ค่าคะแนนท่ีได้จากแบบสอบสะทอ้ นผล ตรงตามสภาพเป็นจริง กลา่ วคอื เดก็ เก่งจะได้คะแนนสอบสูง ส่วนเด็กอ่อนจะได้คะแนนต่าจรงิ 1.3 ความเทยี่ งตรงตามโครงสร้าง (construct validity)  หมายพึงคะแนนจากแบบวัดมีความสอดคลอ้ งกบั ลกั ษณะและพฤติรรมจรงิ ของเด็ก เช่น สอดคล้อง กบั ความรู้ ความมเี หตผุ ล ความเป็นผู้นา เชาว์ปัญญา เป็นตน้ 2. ความเช่ือม่นั (reliability) ความเช่อื มน่ั มคี า่ อยรู่ ะหว่าง 0 พึง 1.00 2.1 การสอบซ้า (test and retest)  เปน็ การนาแบบทดสอบชุดเดียวกันไปสอบผูเ้ รยี น กล่มุ เดียวกัน 2 คร้ัง ในเวลาห่างกนั พอสมควร 2.2 ใชแ้ บบทดสอบคขู่ นาน (parallel test หรอื equivalence tests)  เปน็ การแกป้ ัญหาข้อจากัดตา่ งๆ ของการหาคา่ ความเช่อื ม่ันของแบบทดสอบโดยการสอบซ้า 2.3 วธิ ีแบ่งคร่งึ ข้อสอบ (split-half)  เปน็ การแกป้ ัญหาความยากในการสร้างแบบทดสอบแบบคขู่ นาน 2.4 วธิ ี Kuder-Richardson (KR)  เปน็ การหาค่าความคงทภ่ี ายในของแบบทดสอบ เรยี กวา่ ความเช่อื มนั่ ภายใน  สูตรทีน่ ิยมใช้คอื สูตรคานวณ KR-20 และ KR-21 3. ความเป็นปรนยั (objectivity)  ความเป็นปรนยั หมายพงึ ความชัดเจน ความพกู ต้อง ความเขา้ ใจตรงกนั  คุณสมบัติความเปน็ ปรนยั ของแบบทดสอบพิจารณาไดเ้ ปน็ 3 ประการ คอื 1) ผู้อา่ นขอ้ สอบทุกคนเข้าใจตรงกนั 2) ผู้ตรวจทุกคนให้คะแนนไดต้ รงกนั 3) แปลความหมายของคะแนนได้ตรงกัน คนชนเปา้ 88

สอบขา้ ราชการ เตรียมสอบ ครูผู้ช่วย อาจารยศ์ รายทุ ธ ปานมะเริง (อาจารยโ์ นต๊ ติวเตอร์) 4. ความยากง่าย (difficulty)  แบบทดสอบทีด่ ตี ้องมคี วามยากง่ายพอเหมาะ คอื ไมย่ ากเกินไปหรือไม่ง่ายเกินไป ในแบบทดสอบชดุ หน่ึงๆ อาจมที งั้ ข้อสอบท่คี อ่ นขา้ งยาก ปานกลาง และคอ่ นขา้ งง่ายปะปนกันไป ความยากงา่ ยของแบบทดสอบพิจารณาได้ จากผลการสอบของขอ้ สอบท้งั ฉบับเป็นสาคญั ความยากงา่ ยพิจารณาได้จาก 4.1. ความยากงา่ ยของแบบสอบท้งั ฉบับ มีคา่ อยู่ระหวา่ ง 0-1.00  หากคา่ เฉลีย่ ความยากง่ายรายข้อทงั้ ฉบบั สูงกวา่ 0.50 พอื ว่าข้อสอบน้ันง่ายหรือคอ่ นข้างงา่ ย  หากมคี ่าต่ากว่า 0.50 พอื วา่ แบบทดสอบน้ันคอ่ นขา้ งยาก 4.2 ความยากงา่ ยรายขอ้  นยิ มแทนดว้ ย “p” มีค่าต้ังแต่ 0-1.00  พ้าค่า p สูง แสดงวา่ คาพามขอ้ น้นั มผี ตู้ อบพูกมาก แสดงว่าขอ้ สอบนน้ั งา่ ย  พา้ ค่า p ต่า แสดงวา่ คาพามขอ้ นั้นมีผ้ตู อบพูกน้อย แสดงว่าข้อสอบยาก  ค่า p อยรู่ ะหวา่ ง 0.20-0.80 นบั วา่ เป็นคา่ p ทม่ี ีความเหมาะสม 5. อานาจจาแนก (discrimination) (ตวั แปรท่ใี ช้คอื r) 5.1) ค่าอานาจจาแนกแบบทดสอบทงั้ ฉบบั  หากคะแนนรวมของผู้ทาข้อสอบท้ังกลุ่ม มีการกระจายตัวตั้งแต่ศูนย์พึงเกือบเต็ม แสดงว่าแบบทดสอบ นน้ั จาแนกได้  พ้าคะแนนรวมมีการเกาะกล่มุ กนั หรือมีการกระจายตัวของคะแนนน้อย แสดงว่าแบบทดสอบน้ันมีอานาจ การจาแนกต่าหรือจาแนกไม่ไดน้ ่ันเอง  ค่าเฉลี่ยของค่าอานาจจาแนกรายข้อของแบบทดสอบทั้งฉบับ โดยท่ัวไปค่าอานาจจาแนกรายข้อ (r) ของ แบบทดสอบมคี ่าระหว่าง -1.00-+1.00  หากคา่ เฉลี่ยของคา่ อานาจจาแนกรายข้อเท่ากับหรือมากกวา่ 0.20 แสดงว่า แบบทดสอบฉบับ จาแนกได้ 5.2 ค่าอานาจจาแนกของแบบทดสอบรายข้อ  หากขอ้ ใดทีม่ ีคนออ่ นตอบพูกมากกวา่ เรยี กวา่ “จาแนกกลบั ”  ขอ้ ใดหากคนเก่งและคนอ่อนตอบพกู พอๆ กนั เรยี กว่า “จาแนกไมไ่ ด้”  หากข้อสอบใด คา่ อานาจจาแนก (r) มีค่าบวก แสดงว่าจาแนกได้  หากขอ้ สอบใด คา่ อานาจจาแนก (r) มีค่าลบ แสดงว่าไมม่ อี านาจจาแนก 6. ความมีประสิทธิภาพ (efficiency)  หมายพึง เคร่ืองมือท่ที าให้ได้ขอ้ มูลทพี่ ูกต้อง เช่อื พอื ไดป้ ระโยชนส์ ูง ประหยัดสุด โดยลงทุนน้อยทสี่ ุด 7. ความยุตธิ รรม (fair)  แบบทดสอบที่ดตี อ้ งไม่เปดิ โอกาสให้ผู้สอบได้เปรยี บเสียเปรยี บกัน คนชนเป้า 89

สอบข้าราชการ เตรียมสอบ ครผู ู้ช่วย อาจารยศ์ รายุทธ ปานมะเริง (อาจารยโ์ นต๊ ติวเตอร์) 8. คาถามลึก (searching)  ความลึกซ้งึ ของคาพามควรสอดคลอ้ งกับลักษณะและจดุ ประสงคข์ องการวัด 9. คาถามย่วั ยุ (exasperation)  คาพามย่ัวยมุ ีลักษณะเป็นคาพามท่ีท้ายทายใหผ้ ู้สอบอยากคิดอยากทา มีลีลาการพามทน่ี า่ สนใจ ไมพ่ ามวกวน 10. ความจาเพาะเจาะจง (definite)  ลกั ษณะคาพามทด่ี ไี มค่ วรพามกว้างเกนิ ไป ไมพ่ ามคลมุ เครือหรือเลน่ สานวนจนผู้สอบงง เคร่อื งมือทใ่ี ช้วัดและประเมนิ ผลดา้ นการศึกษา ในการวัดและประเมนิ ผลการศึกษา จะใชเ้ คร่อื งมือใดยอ่ มข้นึ อย่กู บั ลักษณะจุดประสงคก์ ารศึกษา พอสรปุ ได้ดงั ต่อไปนี้ 1. แบบทดสอบ  แบบทดสอบคือชุดของคาพามหรือสิ่งเร้าที่นาไปใช้ให้ผู้สอบตอบสนองออกมา แบ่งตามจุดมุ่งหมายออกเป็น 3 ชนดิ ดงั นี้  แบบวัดผลสั มฤทธิ์ทางการเรียน (achievement test) เป็นแบบทดสอบที่ใช้วัดความรู้ ทักษะ และ ความสามารพสมองดา้ นต่างๆ เชน่ ความรคู้ วามจา ความเข้าใจ การนาไปใช้ การวเิ คราะห์ สังเคราะห์ เป็นต้น ซ่งึ อาจจาแนกย่อยลงไปไดอ้ ีก 3 ระดบั ดังนี้  แบบสอบปากเปล่า (oral test) เป็นการทดสอบที่อาศัยการซักพามเป็นรายบุคคล เหมาะสาหรับ ผ้สู อบจานวนนอ้ ย ขอ้ ดคี อื สามารพพามไดล้ ะเอียด  แบบเขยี นตอบ (paper-pencil test) เป็นการทดสอบทีม่ ีการเขียนตอบ แบ่งออกเปน็ 2 แบบ คอื A. แบบทดสอบอัตนัย หมายพึง แบบทสอบที่พามให้ตอบยาวๆ สามารพแสดงความคิดเห็นได้ อย่างกว้างขวาง เหมาะสาหรับการวัดความสามารพในการใช้ภาษาและแสดงความคิดเห็น ทห่ี ลากหลาย B. แบบทดสอบปรนัย หมายพึง แบบทดสอบประเภท พูก-ผิด จับคู่ เติมคา และเลือกตอบ เหมาะสาหรับสอบผสู้ อบจานวนมากๆ  แบบปฏิบัติ (performance test) เป็นการทดสอบที่ผู้สอบได้แสดงพฤติกรรมออกมาโดยการ กระทาหรอื ลงมอื ปฏบิ ตั ิจรงิ เช่น การวงิ่ แขง่ การแกะสลัก เป็นต้น  แบบทดสอบวดั ความพนดั หรอื ทักษะ  เปน็ แบบทดสอบทใ่ี ช้วดั ศักยภาพระดบั สูง  แบบทดสอบวดั ความสัมพันธข์ องบุคคล  เปน็ แบบทดสอบที่ใชว้ ัดเกยี่ วกับบคุ ลิกภาพหรือการปรบั ตนเองของบคุ คลในสังคม คนชนเปา้ 90

สอบขา้ ราชการ เตรยี มสอบ ครผู ู้ช่วย อาจารย์ศรายทุ ธ ปานมะเริง (อาจารย์โนต๊ ติวเตอร์) 2. แบบสารวจรายการ  แบบสารวจรายการมีลักษณะคล้ายมาตราส่วนประมาณค่าของลิเคิร์ท เพียงแต่ส่วนที่เป็นคาตอบไม่ได้ กาหนดคา่ ระดบั ความรสู้ ึกวา่ มีมากน้อยเพียงไร แตเ่ ปน็ การตอบเพียง 2 ตวั เลอื กวา่ มี-ไมม่ ,ี ใช-่ ไม่ใช่ เป็นตน้ 3. แบบสังเกต  การสังเกตเป็นเคร่ืองมือวัดผลท่ีนิยมใช้กันมาก โดยการใช้ประสาทสัมผัสของผู้ท่ีมีส่วนเก่ียวข้องกับการ ประเมินได้สังเกตพฤตกิ รรมทส่ี นใจในตัวผูพ้ ูกวัด 4. การวดั พฤติกรรมพุทธพิ ิสัย  การวดั ด้านพุทธิพิสัย เป็นการวดั ความสามารพดา้ นสติปัญญา โดยมีหลักในการวดั ดังน้ี  มคี วามเท่ยี งตรง คอื มีความสามารพวัดเน้อื หาทตี่ อ้ งการวดั ได้ครบพว้ น และวดั ไดต้ รงตามจุดมุ่งหมาย  เชอ่ื ม่นั ได้ คอื หากนามาใชส้ อบวัดกับคนกลุ่มเดิมหลายๆ ครั้ง ก็ยงั คงใหผ้ ลดงั เดมิ  มคี วามเป็นปรนยั คอื มีความชดั เจนของคาพามทกุ คนอ่านแลว้ เข้าใจตรงกัน  มีความยากง่ายพอเหมาะ คือ แบบทดสอบไม่ยากเกินไปและไม่ง่ายเกินไป ค่า p มีค่าอยู่ระหว่าง 0-1.00 ข้อสอบท่ดี ี ค่า p อยู่ระหวา่ ง 0.20-0.80  มีอานาจจาแนก คือ ความสามารพแบ่งแยกกลุม่ ออกเป็นประเภทต่างๆ ได้พูกต้อง โดยทั่วไป ค่าอานาจ จาแนกข้อสอบ หรอื คา่ r อยู่ระหวา่ ง -1.00 พงึ +1.00  มปี ระสิทธิภาพ คือ ลกั ษณะของเคร่ืองมอื ทีส่ ามารพทาให้ได้ขอ้ มลู ท่ดี ที ่ีสุด  มีความยตุ ธิ รรม คือ ไม่เปิดโอกาสให้มกี ารได้เปรยี บเสียบเปรยี บกัน  ใช้คาถามถามลึก คอื ขอ้ สอบทด่ี ีตอ้ งพามใหผ้ ู้ตอบใช้ความสามรพในการคิดคน้ กอ่ นท่จี ะตอบ  คาถามจาเพาะเจาะจง คือ ไม่พามกว้างเกินไป หรอื พามคลมุ เครอื ใหค้ ดิ ได้หลายแง่หลายมมุ ระดับการวัด 1. มาตรานามบัญญัติ (Nominal Scale) เป็นการวัดระดับต่าสุด กาหนดข้ึนเพ่ือใช้เรียกช่ือการจัดประเภท เช่น หมายเลขมือพอื ภูมิลาเนา ช่อื คน เช้อื ชาติ อาชีพ “ตวั เลขในมาตราน้เี ปรียบเทียบกันไม่ได้” 2. มาตราเรียงลาดับ (Ordinal Scale) เป็นการกาหนดตัวเลขให้กับลักษณะข้อมูลตามความมากน้อย เช่น อันดับ ผลการเรียน (1,2,3) ผลรางวลั “ตวั เลขในมาตรานบี้ วกลบกันมไิ ด้” 3. มาตราอันตรภาคช้ัน (Interval Scale) การกาหนดตัวเลขให้เข้ากับส่ิงที่ต้องการวัด เช่น อุณหภูมิ คะแนนท่ีได้ จากการทดสอบ “ตวั เลขในมาตรานเ้ี ปรยี บเทียบอตั ราส่วนกันมิได้” 4. มาตราอัตราส่วน (Ratio Scale) เป็นการวดั ระดับสูงสุด ส่วนมากมักเป็นข้อมลู ด้านกายภาพ เช่น ความยาว พ้ืนที่ ส่วนสูง “ตวั เลขในมาตรานี้นามาเปรยี บเทียบอตั ราส่วนกันได้” คนชนเป้า 91

สอบข้าราชการ เตรียมสอบ ครผู ู้ช่วย อาจารยศ์ รายทุ ธ ปานมะเรงิ (อาจารยโ์ น๊ตตวิ เตอร์) แบบทดสอบ เป็นการช้ใี ห้เห็นความสอดคลอ้ งระหว่างผลหรอื การปฏบิ ัตกิ ับวตั พปุ ระสงค์ทีว่ างไว้  Pre – Assessment เปน็ การประเมินก่อนเรยี นเพ่ือคน้ หาขอ้ บกพรอ่ งของผเู้ รยี น  Formative test เป็นการสอบเพ่ือใชป้ ระเมินความก้าวหนา้ ของผูเ้ รยี น  Summative test เป็นการประเมินผลสรปุ ของผเู้ รียน เช่น สอบประจาภาค ความรอบรู้ การประเมนิ การอ่าน คดิ วเิ คราะห์ เขียน คณุ ลักษณะอันพึงประสงค์  ระดบั ประพมศึกษา และมธั ยมศึกษา ประกอบดว้ ยระดบั การประเมิน 4 ระดบั คือ ดีเยยี่ ม ดี ผา่ น ไมผ่ ่าน การประเมนิ กจิ กรรมพัฒนาผู้เรียน  ระดับประพมศึกษา และมัธยมศึกษา ประกอบด้วยระดบั การประเมนิ 2 ระดบั คอื ผ่าน ไมผ่ ่าน การประเมนิ ระดับผลการเรยี น  ระดับประพมศึกษาใช้ ตัวเลข ตัวอกั ษร รอ้ ยละ ระดับมธั ยมใช้ ตัวเลข 8 ระดบั เอกสารหลักฐานทางการศึกษา ตามหลักสูตรแกนกลาง 2551 มี 2 ประเภท คอื 1. เอกสารหลักฐานการศึกษา กระทรวงศึกษาธิการกาหนด  ระเบียนแสดงผลการเรยี น (ปพ.1) คือ เอกสารสาหรับบนั ทึกขอ้ มูลผลการเรยี นของผูเ้ รียน (ป.6 , ม.3 , ม.6)  ประกาศนยี บัตร (ปพ.2) คือ เอกสารทมี่ อบใหแ้ กผ่ จู้ บการศึกษาภาคบังคับและข้นั พ้ืนฐาน (ม.3, ม.6)  แบบรายงานผสู้ าเร็จการศึกษา (ปพ.3) คือ เอกสารอนุมตั กิ ารจบหลักสูตรแกนกลาง (ป.6, ม.3, ม.6) 2. เอกสารหลักฐานการศึกษาทส่ี ถานศึกษากาหนด  แบบบันทึกผลการเรียนประจารายวชิ า  แบบรายงานประจาตัวนกั เรยี น  ใบรบั รองผลการเรยี น  ระเบียนสะสม เพิ่มเตมิ  ปพ. 1 และ ปพ. 2 ผู้อานวยการสานักงานเขตพ้ืนที่การศึกษา เป็นผู้สั่งซ้ือ พิมพ์โดยองค์การค้า สก.สค. ในการควบคุมของ สพฐ. กระทรวงศึกษาธิการ  ปพ. 3 ผู้อานวยการสพานศึกษา เป็นผู้สั่ งซ้ือ พิมพ์โดยองค์การค้า สก.สค. ในการควบคุมของ สพฐ. กระทรวงศึกษาธกิ าร  ปพ. 2 สาเนา 2 ฉบบั เก็บท่สี พานศึกษาและสานกั งานเขตพ้ืนท่กี ารศึกษา  ปพ. 3 สาเนา 3 ฉบบั เก็บที่สพานศึกษาและสานกั งานเขตพ้ืนท่ีการศึกษา และ สพฐ. คนชนเปา้ 92

สอบขา้ ราชการ เตรียมสอบ ครผู ชู้ ่วย อาจารยศ์ รายทุ ธ ปานมะเริง (อาจารย์โนต๊ ตวิ เตอร์) แนวขอ้ สอบเรอื่ งการวดั และการประเมนิ ผลการศึกษา เพ่ือทบทวนเน้อื หาบทเรยี นและเพิ่มประสบการณจ์ ากเน้อื หาวชิ า 1. การวดั ผลการศึกษาเชงิ ปริมาณ คอื ข้อใด ข. การวัดผลสัมฤทธิ์ ก. การวดั เชาว์ปัญญา ง. การวัดความซ่อื สัตยข์ องนักเรยี น ค. การวดั ความเอ้อื เฟ้ อื เผ่อื แผ่ 2. การวัดผลนกั เรยี นจากพฤตกิ รรมการแสดงออก คือขอ้ ใด ก. การวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี น ข. การวัดผลการสอบระหว่างภาค ค. การวัดความกตญั ญขู องนักเรยี น ง. การวัดผลการทาแบบฝกึ หัด 3. การวัดผลการศึกษา จะมคี วามคลาดเคลือ่ นเนอ่ื งมาจากสาเหตุตามข้อใด ก. คุณภาพของเคร่อื งมอื ข. คุณภาพของนกั เรยี น ค. คุณภาพของนกั เรียน ง. คณุ ภาพของสพานศึกษา 4. การวดั ผลการศึกษาเป็นคะแนนทต่ี ้องมหี น่วยคงทีจ่ ะตอ้ งมีการกาหนดค่าใดตอ่ ไปน้ี ก. คะแนนมาตรฐานที (T-score) ข. คะแนนมาตรฐานซี (Z-score) ค. คะแนนคา่ ที (T - test) ง. คะแนนมาตรฐานทแี ละคะแนนมาตรฐานซี 5. ผลการสอบของนกั เรียน ไดค้ ะแนน 27 คะแนน ครสู ามารถสรุปได้ว่าอย่างไร ก. นักเรียน เรยี นดี ข. นกั เรียน เรยี นออ่ น ค. นักเรยี นตอ้ งปรบั ปรงุ ง. ตอ้ งนาไปเทียบคะแนนเตม็ 6. การวดั ผล ตอ้ งใชเ้ ครือ่ งมือทเี่ หมาะสมกับสิ่งที่วดั ผลท่ีไดจ้ ากการวดั คือข้อใด ก. ระดับคณุ ภาพ ข. คะแนน ค. ระดับพัฒนาการ ง. ผา่ นกบั ไมผ่ า่ น 7. กระบวนการทนี่ าข้อมูลจากการวัดผล มาวินิจฉยั ตัดสินคณุ ภาพโดยใชก้ ฎเกณฑ์ ก. การทดสอบ ข. การวเิ คราะห์ ค. การประเมินผล ง. การตดั สินใจ 8. การประเมนิ ผลการศึกษา เพ่ือพิจารณาตัดสินใจอยา่ งหน่งึ ผปู้ ระเมนิ ผลจะต้องดาเนินการตามข้อใด ก. มีความม่ันใจในผลประเมนิ ข. รรู้ ะดบั ผลของผู้พกู ประเมนิ มาแล้ว ค. สามารพรผู้ ลวา่ สอบได้ หรอื สอบตก ง. มีการวดั ผลหาหลายครงั้ หลายดา้ น คนชนเปา้ 93

สอบขา้ ราชการ เตรียมสอบ ครผู ้ชู ่วย อาจารย์ศรายทุ ธ ปานมะเรงิ (อาจารยโ์ น๊ตตวิ เตอร์) 9. เพื่อความเจรญิ งอกงามของผูเ้ รียน ขอ้ ใดที่ผปู้ ระเมนิ ไมต่ อ้ งคานงึ ถงึ ในการประเมินผลการศึกษา ก. เจตคติของผูเ้ รยี น ข. คา่ นยิ ม คณุ ธรรม ค. ความสนใจทางาน ง. ความรู้ความเข้าใจ 10. ข้อใดไม่ใช่กระบวนการประเมินการผลการศึกษา ข. การตัดสินเกณฑ์ ก. ข้อมูล ง. สรปุ ผล ค. ค่านยิ ม 11. การประเมนิ ผลทางการศึกษา สามารถทาไดต้ ามขอ้ ใด ก. กอ่ นจดั การเรยี นรู้ ข. ระหวา่ งจดั การเรียนรู้ ค. หลังจัดการเรยี นรู้ ง. พูกทกุ ขอ้ 12. ครทู ี่จะดาเนินการประเมนิ ผลการเรยี นในแตล่ ะสาระการเรียนร้ไู ดถ้ ูกต้องควรร้ขู อ้ ใด ก. จดุ ประสงค์ ข. คะแนนผลการเรียนรู้ ค. เคร่ืองมือ ง. กระบวนการ 13. การวัดผลและประเมินผลการเรยี น มผี ลให้เกิดกบั นกั เรยี นตามข้อใด ก. เจตคติ ข. แรงจงู ใจ ค. ทกั ษะ ง. ความพึงพอใจ 14. การทดสอบก่อนเรยี น หลงั เรียน นาผลการประเมินมาเปรยี บเทยี บดคู วามเปลย่ี นแปลงของผู้เรยี น คือขอ้ ใด ก. ประเมนิ ความกา้ วหน้า ข. ประเมนิ ผลสัมฤทธ์ิ ค. ประเมนิ ความพึงพอใจ ง. ประเมินจุดเด่น จุดดอ้ ย 15. ข้อใดไม่ใชส่ าเหตใุ หผ้ ู้เรยี นมผี ลสัมฤทธทิ์ างการเรียนอยใู่ นระดับต่า ก. วธิ กี ารจัดการเรียนการสอน ข. ส่ือและอุปกรณก์ ารเรยี น ค. หลักสูตร ง. ครผู ูส้ อน 16. การประเมนิ ผลการศึกษา ทาให้ทราบพื้นความรู้ ความสามารถและปั ญหาของนักเรยี น เกดิ ประโยชนต์ าม ข้อใด ก. ครผู ู้สอน ข. ผบู้ ริหาร ค. นักเรียน ง. ดา้ นการวจิ ยั คนชนเป้า 94

สอบขา้ ราชการ เตรยี มสอบ ครผู ูช้ ่วย อาจารย์ศรายทุ ธ ปานมะเริง (อาจารย์โนต๊ ติวเตอร์) 17. ข้อใดไม่ใช่ประโยชน์ท่ีมีตอ่ นกั เรยี น จากการประเมินผลการศึกษา ก. ทราบความสามารพในแต่ละสาระการเรียนรู้ ข. ทราบมาตรฐานของสพานบนั การศึกษา ค. ทรายขอ้ บกพร่องของตนเอง ง. กระตนุ้ ให้แสวงหาความรเู้ พิ่มเติม 18. การสังเกต หมายถงึ ขอ้ ใด ก. การวัดความรู้ความสามารพของนักเรยี น ข. การวดั ความสาเร็จในการร่วมกิจกรรมของนกั เรยี น ค. การวัดพฤตกิ รรมนกั เรียนด้านทกั ษะพิสัย และจติ พิสัย ง. การวัดความสามารพของนกั เรียนจากผลงานทผ่ี ่านมา 19. การประเมนิ ผลจากการสังเกต ตอ้ งใช้เคร่อื งมอื ในข้อใด ก. แบบสารวจ ข. มาตรประเมนิ ค่า ค. แบบทดสอบ ง. แบบสารวจ และมาตรประเมินคา่ 20. การประเมนิ ผลจากการสังเกต ตอ้ งดาเนนิ การทุกขอ้ ยกเวน้ ข้อใด ก. สรา้ งเคร่อื งมอื ข. ศึกษาจุดประสงค์และกาหนดพฤตกิ รรม ค. แจ้งใหผ้ รู้ บั การประเมนิ ทราบ ง. กาหนดเวลา และสพานที่ คนชนเป้า 95

สอบขา้ ราชการ เตรียมสอบ ครูผูช้ ่วย อาจารย์ศรายุทธ ปานมะเรงิ (อาจารยโ์ น๊ตติวเตอร์) บรรณานุกรม กระทรวงศึกษาธกิ าร. 2552. หลกั สูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐาน พุทธศักราช 2551. กรงุ เทพฯ: โรงพิมพ์ ชมุ นุมสหกรณก์ ารเกษตรแหง่ ประเทศไทย. กรมวชิ าการ. 2545. แนวทางการวัดและประเมินผลการเรยี นการสอนตามหลกั สูตรการศึกษาข้ันพื้นฐาน พุทธศักราช 2544. พิมพ์ครง้ั ท่ี 1. กรุงเทพ: ครุ ุสภาลาดพรา้ ว. ชวลิต ชกู าแพง. 2550. การประเมนิ การเรยี นร.ู้ มหาสารคาม: มหาวิทยาลยั มหาสารคาม. ไพศาล สุวรรณนอ้ ย. 2545. คมู่ ือการพัฒนาการเรยี นการสอนมหาวทิ ยาลยั ขอนแกน่ . ขอนแก่น. มหาวิทยาลัยขอนแกน่ ฝ่ายวชิ าการ. ภัทรา นิคมานนท์. 2540. การประเมนิ ผลการเรยี น. กรงุ เทพฯ: อักษราพิพัฒนจ์ ากัด, สุรางค์ โค้วตระกลู . 2545. จิตวทิ ยาการศึกษา. พิมพ์ครั้งท่ี 5. กรงุ เทพ: ดา่ นสุทธาการพิมพ์. สานกั วิชาการและมาตรฐานการศึกษา. 2552. ตัวชวี้ ดั และสาระการเรียนรู้ ตามหลกั สูตรแกนกลางการศึกษาข้ัน พื้นฐาน พุทธศักราช 2551. สานักงานคณะกรรมการการศึกษาข้นั พ้ืนฐาน. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์ชมุ นมุ สหกรณ์ การเกษตรแหง่ ประเทศไทย. Green, J.A.1970. Introduction to Measurement and Evaluation. New York: Dodd Mead. Yamane, T. 1973. Statistic: An Introductory Analysis. 3rd ed. New York: Harper and Row. คนชนเปา้ 96

สอบข้าราชการ เตรยี มสอบ ครูผูช้ ่วย อาจารย์ศรายทุ ธ ปานมะเริง (อาจารย์โน๊ตตวิ เตอร์) รู้จกั ผู้เขยี น ผู้เขียน ศรายทุ ธ ปานมะเริง วุฒิการศึกษา  ปริญญาเอก การบรหิ ารการศกึ ษา  ปริญญาโท ครศุ าสตรมหาบัณฑิต (จติ วทิ ยาการศึกษา)  ปริญญาตรี ครุศาสตรบณั ฑิต (เกียรตนิ ิยมอันดับ 1 วิทยาศาสตร)์ ประวัตกิ ารทางาน  อาจารยภ์ าควิชาจิตวทิ ยา คณะครุศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั นครราชสีมา  ปจั จบุ นั ข้าราชการครู สงั กดั สานักงานคณะกรรมการการศึกษาขัน้ พ้ืนฐาน กระทรวงศกึ ษาธกิ าร หนังสือ  หนงั สือสรปุ พระราชบัญญตั ทิ างการศึกษา  หนงั สอื จติ วทิ ยาเบือ้ งตน้  หนังสอื วทิ ยาศาสตร์ ม.ตน้  หนงั สือรวมข้อสอบความรอบรู้ ใช้สอบบรรจขุ า้ ราชการ  หนังสอื เตรียมสอบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ทกุ สงั กดั  หนังสอื เตรียมสอบข้าราชการสังกัดทอ้ งถิน่ (อปท.) ผูเ้ ขยี น วิภาสณิ ี ปานมะเริง วุฒิการศกึ ษา  ปริญญาเอก การบริหารการศึกษา  ปรญิ ญาโท การบริหารการศกึ ษา  ปรญิ ญาตรี ครศุ าสตรบัณฑิต (เกยี รตนิ ิยมอันดับ 1 คอมพิวเตอรศ์ ึกษา) ประวัติการทางาน  ข้าราชการครู สังกดั สานักงานคณะกรรมการการศึกษาขัน้ พืน้ ฐาน กระทรวงศกึ ษาธิการ หนังสือ  หนังสือสรุปพระราชบญั ญัติทางการศึกษา  หนงั สือรวมข้อสอบความรอบรู้ ใชส้ อบบรรจุข้าราชการ  หนงั สอื เตรยี มสอบข้าราชการครแู ละบคุ ลากรทางการศกึ ษา ทกุ สังกัด  หนังสือเตรยี มสอบข้าราชการสังกัดทอ้ งถิ่น (อปท.) ติดตามข้อมลู ข่าวสาร หนงั สอื เตรยี มสอบและตวิ ออนไลนท์ ่ี “เพจอาจารยโ์ นต๊ ติวเตอร์” โทรศัพท์มือถือ อาจารย์ศรายุทธ ปานมะเริง (อาจารย์โน๊ต) โทร 081-0717094 คนชนเป้า 97


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook