วิทยาศาสตรเ์ พ่ือพฒั นาทกั ษะชีวิต
วิทยาศาสตรเ์ พื่อพฒั นาทกั ษะชีวิต โครงสรา้ งรายวิชา ๑ คะแนนเก็บ ๖๐ คะแนน ๑.๑ ช้ินงาน ๒๐ คะแนน ๑.๒ งานระหว่างเรียน ๒๐ คะแนน ๑.๓ สอบระหว่างหน่วย ๒๐ คะแนน ๒ สออบปลายภาค ๒๐ คะแนน ๓ จิตพิสยั ๒๐ คะแนน ขาด ลบ ๒ คะแนน สาย ๒ ครงั้ ลบ ๑ คะแนน ลา ตอ้ งมีเหตผุ ล
วิทยาศาสตร์ (Science) คืออะไร
วิทยาศาสตร์ (Science) คืออะไร วิทยาศาสตร์เป็ นวิชาท่ีสื บคน้ หาความจริ งเก่ียวกับธรรมชาติ โดย ใช้ กระบวนการแสวงหาความรูท้ างวิทยาศาสตร์ วิธีการทางวิทยาศาสตร์ และเจตคติทาง วิทยาศาสตร์ เพ่ือใหไ้ ดม้ าซ่ึงความรูท้ างวิทยาศาสตรท์ ่ีเป็นท่ียอมรับโดยทว่ั ไป การคน้ พบ ส่ิงใหมๆ่ ในปรากฏการณธ์ รรมชาติของนกั วิทยาศาสตรม์ กั เร่ิมจากคาถามหลกั 3 ขอ้
วิทยาศาสตร์ (Science) คืออะไร อะไร (What) เป็นคาถามท่ีนักวิทยาศาสตร์ไดข้ อ้ มูลจากการสงั เกตสภาพจริง ของวตั ถุหรือปรากฏการณ์นั้นๆ และมีการบนั ทึกไวอ้ ยา่ งถูกตอ้ ง เพ่ือนามาสงั เคราะห์ วิเคราะหใ์ หเ้ ป็นความรูต้ อ่ ไป อยา่ งไร (How) เป็นคาถามท่ีใชถ้ ามการลาดบั เหตุการณท์ ่ีเกิดกอ่ น-หลงั แลว้ หาความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งตวั แปรตา่ งๆ และหาสมมติฐานในการตอบปัญหา เพ่ือคน้ ควา้ หาคาตอบท่ีจะออกมาเป็นความรูท้ างวิทยาศาสตรต์ อ่ ไป ทาไม (Why) เป็ นคาถามท่ีนักวิทยาศาสตร์ใชอ้ ธิบายเหตุผลของการเกิด ปรากฏการณใ์ ดๆ วา่ ทาไมเป็นเชน่ น้ัน
วิทยาศาสตร์ (Science) คืออะไร จงบอกวา่ ขอ้ ใดเป็นวิทยาศาสตรแ์ ละไมเ่ ป็นวิทยาศาสตร์ - หมาหอนเพราะเห็นผี ………………………………………. - น้าแข็งลอยน้าไดเ้ พราะมีความหนาแน่นนอ้ ยกวา่ น้า …………………………………… - ถา้ มดขนไขแ่ สดงวา่ ฝนจะตก…………………………………………………………… - อากาศรอ้ นจะขยายตวั ลอยข้ึนสูท่ ่ีสูง ……………………………………………………. - ถา้ เอามือช้ีรุง้ กินน้าแลว้ มือจะกุด …………………………………………………………. - ดวงอาทิตยห์ มุนรอบโลก ………………………………………………………………..
วิทยาศาสตรเ์ พื่อพฒั นาทกั ษะชีวิต กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ๑ วิธีการทางวิทยาศาสตร์ ๒ ทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ๓ จิตวิทยาศาสตร์ ๔ โครงงานวิทยาศาสตร์
๑ วิธีการทางวิทยาศาสตร์ ๑. ขนั้ ระบปุ ัญหา ๒. ขน้ั ตง้ั สมมติฐาน ๓. ขนั้ ตรวสอบสมมติฐาน (การทดลอง) ๑. ตวั แปรตน้ คือ ๒. ตวั แปรตาม คือ ๓. ตวั แปรควบคมุ คือ ๔. ขน้ั วิเคราะหข์ อ้ มลู ๕. ขนั้ สรปุ ผล
๑ วิธีการทางวิทยาศาสตร์ ๑. ขนั้ ระบปุ ัญหา ๒. ขน้ั ตง้ั สมมติฐาน ๓. ขนั้ ตรวสอบสมมติฐาน (การทดลอง) ๑. ตวั แปรตน้ คือ ๒. ตวั แปรตาม คือ ๓. ตวั แปรควบคมุ คือ ๔. ขน้ั วิเคราะหข์ อ้ มลู ๕. ขนั้ สรปุ ผล
๒ ทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์
การสงั เกตเชิงคณุ ภาพ
การสงั เกตเชิงปรมิ าณ เป็นขอ้ มลู ท่ีไดจ้ ากการสงั เกตโดยอา้ งองิ หน่วยการวดั เชน่ - วตั ถชุ ิน้ นีห้ นกั ประมาณ 10 กรมั - ดนิ สอแทง่ นีย้ าวกว่าดินสอแท่งนนั้ - คาดคะเนดว้ ยกายสมั ผสั วา่ นา้ ในแกว้ นีม้ ีอณุ หภมู ิ ประมาณ 40 องศา
ทกั ษะการจาแนก เป็นการจดั จาแนกส่ิงของหรือเหตุการณอ์ อกเป็นประเภทตา่ งๆ เกณฑท์ ่ีใชใ้ นการจาแนกประเภทมี 3 อยา่ งไดแ้ ก่ • ความเหมือน • ความแตกตา่ ง • ความสมั พนั ธ์
ทกั ษะการจาแนก
ทกั ษะการจาแนก
ทกั ษะการวดั เป็นความสามารถในการเลือกใชเ้ คร่ืองมือตา่ งๆเพ่ือเก็บรวบรวมขอ้ มูลประกอบดว้ ย เคร่ืองมือสาหรับการวดั คา่ ท่ีไดจ้ ากการวดั (ตอ้ งเป็นตวั เลข)หน่วยกากบั ตวั เลขท่ีไดจ้ าก การวดั และสามารถอา่ นคา่ ท่ีไดจ้ ากการวดั ไดถ้ ูกตอ้ ง และใกลเ้ คียงความเป็นจริง การวดั ความยาวโดยใชร้ ะบบเมตริก เมตร เป็นหน่วยมูลฐานในการวดั ความยาว และเคร่ืองมือท่ีใชว้ ดั ความยาว ไดแ้ ก่ ไมบ้ รรทดั ไมเ้ มตร ตลบั เมตร เป็นตน้
ทกั ษะการวดั เคร่ืองมือท่ีใชใ้ นการวดั ความยาวนัน้ มีสเกลท่ีสามารถอา่ นคา่ ไดล้ ะเอียดแตกตา่ งกนั ดงั นั้น ในการ ใชจ้ ะตอ้ งเลือกใหเ้ หมาะสมวา่ ตอ้ งการคา่ ท่ีวดั ไดล้ ะเอียดเพียงใด
ทกั ษะการวดั ความคลาดเคล่ ื อนท่ ีเกิดจากการวดั มี 2 ประเภท คือ 1.ความคลาดเคล่ือนโดยบงั เอิญเป็นความคลาดเคล่ือนท่ีเกิดข้ึนจากการอา่ นคา่ ท่ี วดั ไดผ้ ิดพลาด หรือคา่ ท่ีอา่ นไดถ้ ูกตอ้ งแตบ่ นั ทึกผิดพลาด 2. ความคลาดเคล่ือนเป็นระบบ ซ่ึงเกิดข้ึนจากการใชว้ ิธีการวดั ไมถ่ ูกตอ้ ง
ทกั ษะการหาความสมั พนั ธเ์ ก่ียวกบั สเปส ทกั ษะการหาความสมั พนั ธเ์ ก่ียวกบั สเปส หมายถึง ความชานาญในการ จาแนกรูปมิติของวตั ถุความเก่ียวขอ้ ง ของวตั ถุและเหตุการณก์ บั รูปร่างบอกความสมั พนั ธข์ องมิติ และบอกการเปล่ียนแปลงท่ีสมั พนั ธก์ บั เวลา
ทกั ษะการหาความสมั พนั ธเ์ ก่ียวกบั สเปส ตวั อยา่ งทกั ษะการหาความสมั พนั ธเ์ ก่ยี วกบั สเปส 1. บอกรูปทรง 3 มิติท่ีเห็นไดจ้ ากการหมุนรูป 2 มิติ 2. บอกรูปทรง 3 มิติ ท่ีเห็นไดจ้ ากเงาของรูปนน้ั 3. บอกเงาของรูป 2 มิติท่ีเกิดจากการฉายไฟไปยงั รูป 3 มิติ 4. บอกรูปท่ีเกิดจากรอยตดั วตั ถุรูปทรง 3 มิติ
ทกั ษะการหาความสมั พนั ธเ์ ก่ียวกบั สเปส ตวั อยา่ งทกั ษะการหาความสมั พนั ธเ์ ก่ียวกบั สเปส 5. บอกตาแหน่งหรือทิศทางของวตั ถุหรือสถานท่ี 6. บอกความสมั พนั ธข์ องส่ิงท่ีอยูห่ นา้ กระจกเงา และภาพท่ีเห็นในกระจกเงาได้ 7.ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งสเปสกบั สเปสของวตั ถุ 2 ชนิดหรือของ 2 อยา่ ง เพ่ ื อเปรี ยบเทียบกนั 8. บอกการเปล่ียนตาแหน่งท่ีอยูข่ องส่ิงตา่ ง ๆ กบั เวลา
ทกั ษะการหาความสมั พนั ธเ์ ก่ียวกบั สเปส
ทกั ษะการลงความเห็นจากขอ้ มูล เป็นความชานาญในการนาเสนอขอ้ มูลในรูปแบบตา่ ง ๆ เพ่ือใหผ้ ูอ้ ่ืน เขา้ ใจส่ิงท่ีตอ้ งการส่ือไดช้ ดั เจน ถูกตอ้ งรวดเร็วและงา่ ยตอ่ การแปล ความหมาย
ทกั ษะการจดั กระทาและการส่ือความหมายของขอ้ มูล เป็นการอธิบายส่ิงท่ีไดจ้ ากการสงั เกตแลว้ เพ่ิมความคิดเห็นสว่ นตวั ลง ไปกบั ขอ้ มูลนน้ั ซ่ึงใน การอธิบายโดยเพ่ิมความคิดเห็นสว่ นตวั นนั้ ตอ้ งอาศยั ความรูเ้ ดิม ประสบการณเ์ ดิม ขอ้ มูลท่ีไดร้ ับ รวมทงั้ เหตุผลดว้ ย
ทกั ษะการจดั กระทาและการส่ือความหมายของขอ้ มูล
ทกั ษะการพยากรณ์ เป็นการคาดการณห์ รือการทานายเก่ียวกบั เหตุการณส์ ถานการณ์ ตลอดจนผลท่ีจะเกิดข้ึนลว่ งหนา้ โดยอาศยั หลกั กฎ ทฤษฎี รวมทงั้ ขอ้ มูลท่ี ไดจ้ ากการสงั เกตหรือจากประสบการณท์ ่ีเกิดซา้ ๆ ในเร่ืองนั้นมาชว่ ย ประเภทของการพยากรณ์ 1. การพยากรณภ์ ายในขอบเขตของขอ้ มูลท่ีมีอยู่ 2. การพยากรณภ์ ายนอกขอบเขตของขอ้ มูลท่ีมีอยู่
ทกั ษะการพยากรณ์ เปรียบเทียบการสงั เกต การลงความเห็นและการพยากรณ์ ก . ทกั ษะการสงั เกต มีสีแดง กล่ินหอม มีหนามแหลม ข . ทกั ษะการลงความคิดเห็นจากขอ้ มูล เป็นดอกกุหลาบบาน สีแดง เสน้ ใบเป็นร่างแห ดงั น้นั กุหลาบเป็นใบเล้ียงคู่ ค . ทกั ษะการพยากรณ์ ตอ่ ไปดอกจะบานเต็มท่ีแลว้ กลีบดอก จะร่วงโรย
ทกั ษะการพยากรณ์ เปรียบเทียบการสงั เกต การลงความเห็นและการพยากรณ์ 1. ถา้ นาสาหร่ายหางกระรอก ซ่ึงเป็นพืชน้ามาปลูกบนพ้ืนดินจะตอ้ งตายหมด 2.มะละกอไมช่ อบน้า เพราะรากจะเน่า 2-3 วนั น้ีฝนตกน้าทว่ มขงั ตน้ มะละกอท่ีบา้ นตอ้ งตายแน่ ” 3. “ วนั น้ีอากาศรอ้ นอบอา้ ว ” 4. “ วนั น้ีอากาศรอ้ นอบอา้ ว เพราะความช้ืนในอากาศมีมาก ” 5. “ วนั น้ีอากาศรอ้ นอบอา้ ว ฝนตอ้ งตกแน่ ๆ ”
ทกั ษะการพยากรณ์ เปรียบเทยี บการสังเกต การลงความเหน็ และการพยากรณ์ 1. ถา้ นาสาหรา่ ยหางกระรอก ซง่ึ เป็นพืชนา้ มาปลกู บนพืน้ ดนิ จะตอ้ งตายหมด เป็นการพยากรณ์ โดยอาศยั ขอ้ มลู วา่ สาหรา่ ยหางกระรอก เป็นพืชนา้ 2.มะละกอไม่ชอบนา้ เพราะรากจะเนา่ 2-3 วนั นีฝ้ นตกนา้ ท่วมขงั ตน้ มะละกอท่ีบา้ นตอ้ งตาย แน่ ” - เป็นการพยากรณ์ โดยอาศยั ขอ้ มลู วา่ ถา้ มีนา้ มาก รากของมะละกอจะเน่า และตายในท่ีสดุ 3. “ วนั นีอ้ ากาศรอ้ นอบอา้ ว ” เป็นการสงั เกต 4. “ วนั นีอ้ ากาศรอ้ นอบอา้ ว เพราะความชืน้ ในอากาศมีมาก ” เป็นการลงความคิดเหน็ 5. “ วนั นีอ้ ากาศรอ้ นอบอา้ ว ฝนตอ้ งตกแน่ ๆ ” เป็นการพยากรณ์
ทกั ษะการคานวณ เป็นความชานาญในการหาความสมั พนั ธเ์ ชิงปริมาณ โดยมีวิธีการนบั การคิดคานวณ โดยใชว้ ิธีบวก ลบ คูณ หาร การใชต้ วั เลขคิดสูตรทางวิทยาศาสตร์
ทกั ษะการตงั้ สมมติฐาน ทกั ษะการตง้ั สมมติฐานเป็นความชานาญในการทานายผลหรือคาดเดาเหตุการณห์ รือ คิดคาตอบลว่ งหนา้ อยา่ งมีเหตุผล โดยอาศยั การสงั เกต ความรูแ้ ละประสบการณเ์ ดิม เป็นพ้ืนฐานสมมุติฐานหรือคาตอบท่ีคาดคะเนไวล้ ว่ งหนา้ น้ี จะตอ้ งเป็นส่ิงท่ียงั ไมท่ ราบ หรือไมเ่ คยเห็นความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งขอ้ มูล ยงั ไมเ่ ป็นหลกั การ หรือทฤษฎีมากอ่ น สมมติฐานเป็ นเคร่ ื องกาหนดแนวทางในการออกแบบการทดลอง
ทกั ษะการกาหนดนิยามเชิงปฏิบตั ิการ นิยามทว่ั ๆ ไป เป็นการใหค้ วามหมายของคาหรือขอ้ ความอยา่ งกวา้ ง ๆ นิยามเชิงปฏิบตั ิการเป็นนิยามท่ีผูท้ าการทดลองกาหนดความหมายและขอบเขต ของคาหรือขอ้ ความ ตา่ ง ๆ หรือตวั แปรตน้ กบั ตวั แปรตามท่ีอยูใ่ นสมมติฐานใหเ้ ขา้ ใจตรงกนั และสามารถ สงั เกตหรือวดั ได้ โดยการบรรยายในเชิงรูปธรรม
ทกั ษะการกาหนดและควบคุมตวั แปร ชนิดของตวั แปรในการทดลอง 1. ตวั แปรตน้ หรือตวั แปรอิสระ คือส่ิงท่ีตอ้ งจดั ใหแ้ ตกตา่ งกนั ไมข่ ้ึนอยูก่ บั ส่ิง ใด มีความเป็นอิสระในตวั เอง 2. ตวั แปรตาม คือ ส่ิงท่ีตอ้ งติดตามดูผลจากการจดั ส่ิงท่ีแตกตา่ งกนั ไมม่ ีอิสระ ในตวั เอง ตอ้ งแปรเปล่ียนไปตามเหตุการณห์ รือการทดลอง 3. ตวั แปรควบคุม คือ ส่ิงท่ีตอ้ งจดั ใหเ้ หมือนกนั เป็นการควบคุมเพ่ือใหแ้ น่ใจวา่ ผลการทดลองเกิดจากตวั แปรตน้ อยา่ งแทจ้ ริง
ทกั ษะการทดลอง การทดลองประกอบดว้ ย 3 ขน้ั ตอน 1. การออกแบบการทดลอง 2. การปฏิบตั ิการทดลอง 3. การบนั ทึกผลการทดลอง
ทกั ษะการแปลความหมายขอ้ มูลและการลงขอ้ สรุป เป็นความชานาญในการหารูปแบบของความสมั พนั ธจ์ ากขอ้ มูลเพ่ืออธิบายและ นาไปสูก่ ารลงความคิดเห็น การทานาย และการตงั้ สมมติฐาน โดยแบง่ เป็น 2 ลกั ษณะ คือ การแปลความหมายขอ้ มูล หมายถึง เป็นการอธิบาย ลกั ษณะและสมบตั ิของขอ้ มูลโดยตรง การลงขอ้ สรุป หมายถึง เป็นการบอกความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งขอ้ มูลท่ีมีอยู่
ทกั ษะการสรา้ งแบบจาลอง เป็นความชานาญในการหารูปแบบของความสมั พนั ธจ์ ากขอ้ มูลเพ่ืออธิบายและ นาไปสูก่ ารลงความคิดเห็น การทานาย และการตง้ั สมมติฐาน โดยแบง่ เป็น 2 ลกั ษณะ คือ การแปลความหมายขอ้ มูล หมายถึง เป็นการอธิบาย ลกั ษณะและสมบตั ิของขอ้ มูลโดยตรง การลงขอ้ สรุป หมายถึง เป็นการบอกความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งขอ้ มูลท่ีมีอยู่
จติ วิทยาศาสตร์ 1. ความชอบในการทดลองหรือสารวจตรวจสอบ ชา่ งสงสยั 2. การเช่ือวา่ ทุกปัญหามีคาตอบ 3. การแสวงหาส่ิงท่ีงา่ ย 4. การปฏิบตั ิทางวิทยาศาสตร์ 5. ความเพียรพยายาม 6. การยอมรบั การวิพากษว์ ิจารณ์ 7. ความซ่ือสตั ยแ์ ละมีใจเป็นกลาง 8. การมีเหตุผล 9. ความละเอียดรอบคอบกอ่ นการตดั สินใจ 10. การยอมรบั กระบวนทศั น์ (Respect for paradigm) 11. การแยกมโนทศั น์พ้ืนฐานออกจากส่ิงท่ีไมเ่ ก่ยี วขอ้ งหรือไมส่ าคญั 12. ยอมรบั ขอ้ มูลเชิงปริมาณ 13. ความเขา้ ใจใดๆ ไมส่ ามารถอธิบายไดด้ ว้ ยความรูห้ รือความรูม้ ีขอ้ จากดั ในการอธิบาย
ตอ้ งชนะเกมเถอลดรหิศสั 4 หเลทัก า่ นั้น 1111
เกมถอดรหสั 4 หลัก 1. ทกุ หอ้ งหวั ใจไดเ้ งนิ ใบแดง 2. กง่ึ เป็ นกงึ่ ตาย 3. บนฟ้าเป็ ดร้องอู๊ดๆ 4. ภคั รมัยขาใขป่ ลาหมกึ 5. Mr. short foot
เกมถอดรหสั 4 หลัก 1. ทุกหอ้ งหวั ใจไดเ้ งนิ ใบแดง 2. กง่ึ เป็ นกง่ึ ตาย 3. บนฟ้าเป็ ดร้องอดู๊ ๆ 4. ภคั รมยั ขาใขป่ ลาหมกึ 5. Mr. short foot 6. บอกการใช้ทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์
Search
Read the Text Version
- 1 - 46
Pages: