วิทยาศาสตร์
คานา หนงั สือวิทยาศาสตรเ์ ลม่ นเ้ี ป็ นสว่ นหนง่ึ ของวิชา การ สรา้ งหนงั สอื อิเล็กทรอนกิ ซึ่งขา้ พระเจา้ ไดร้ บั หมอบ หมายจากคณุ ครใู หจ้ ดั การหนงั สือเลม่ นขี้ น้ึ ตามความ สนใจ โดยบรู ณาการกบั วิชา วิทยาศาสตร์ เนอื้ หาหนงั สอื เลม่ นจี้ ากจะประกอบไปดว้ ยเร่ืองวิทยาศาสตร์ อาทเิ ชน่ ร่างกาย อวยั วะของเรา หรือแมก้ ะทงั้ เรื่องของธรรมชาติ สตั ว์ และส่ิงของ ซ่ึงขา้ พระเจา้ ไดร้ วบรวมไวใ้ นหนงั สือน้ี ขอขอบคณุ ครู ปภสั สร กา๋ เขยี ว ท่ีใหแ้ นะนา ปรึกษา และเพ่ือนๆ ที่ชว่ ยใหค้ าแนะนา ตลอดจนหนงั สือเลม่ น้ี เสร็จลลุ ว่ งไปดว้ ยดี หากผดิ พลาดประการใดก็ขออภยั + มา ณ ท่ีนด้ี ว้ ย ผจู้ ดั ทา ด.ชภคั พล อดั แอ ด.ชศรณั ยู หมายจริง
สารบญั หน้า คานา ก สารบญั ข ววิ ฒั นาการของมนษุ ย์ 1 การกระพลบิ ตา 2 แบบจาลองอนภุ าคของสสาร 3 การนอนหลบั 4 แรงโน้มถว่ ง 5 แกนกลางของโลก 6
ววิ ฒั นาการของมนษุ ย์เป็ นกระบวนการเปลยี่ นแปลง พัฒนาหรอื ววิ ฒั นาการ ที่ ทาใหส้ งิ่ มชี วี ติ (สตั วเ์ ลย้ี งลกู ดว้ ยนมประเภทลงิ ใหญ่ - Ape) มกี ารเปลย่ี นแปลง สายพนั ธุ์ กลายเป็ นสปีชสี ใ์ หม่ จนในทสี่ ดุ พฒั นาไปเป็ นมนุษยป์ ัจจบุ นั ววิ ัฒนาการของมนุษยเ์ ป็ นสว่ นหนงึ่ ของวชิ าชวี วทิ ยา เป็ นสาขาวชิ าทท่ี าการ สบื คน้ อยา่ งเป็ นวทิ ยาศาสตร์ เพอื่ ทาความเขา้ ใจและอธบิ าย วา่ การเปลย่ี นแปลง และพัฒนาจากลงิ ใหญก่ ลายเป็ นมนุษยน์ เี้ กดิ ขนึ้ ไดอ้ ยา่ งไร การศกึ ษาววิ ฒั นาการของมนุษย์ รวบรวมวทิ ยาศาสตรเ์ ขา้ ไวห้ ลายแขนง ท่ี เดน่ ชดั ก็คอื มานุษยวทิ ยากายภาพ (physical anthropology) และพนั ธศุ าสตร์ (genetics) คาวา่ 'มนุษย'์ ในบรบิ ทของการววิ ัฒนาการของมนุษย์ หมายถงึ จนี ัส โฮโม (Homo) แตก่ ารศกึ ษาววิ ฒั นาการมนุษยก์ ็มกั จะรวมสมาชกิ ตระกลู มนุษย์ เรยี กวา่ โฮมนิ ดิ (hominid) (Family Hominidae) อยา่ ง australopithecines เขา้ ไปดว้ ย
ปกติทวั่ ไปคนเรากระพริบตาบ่อยมากระหวา่ งวนั โดยที่เราไม่รู้ตวั คนเราจะกระพริบตา ได้ 15-20 คร้ัง ต่อนาที แต่ในผทู้ ี่มีปัญหาสายตา สายตาไม่ดี กลา้ มเน้ือตาจะเกร็งตวั ทาใหจ้ านวนคร้ังในการกะพริบตาลดลงมาก การอยหู่ นา้ คอมพิวเตอร์หรืออ่านหนงั สือ ติดต่อกนั เป็นเวลานาน กลา้ มเน้ือตาจะเกร็งและเกิดอาการอ่อนลา้ ควรกระตุน้ กลา้ มเน้ือตาดว้ ยการหลบั ตาลง แลว้ ลืมตาข้ึน เพื่อช่วยคลายการลา้ อีกท้งั ช่วยเพิ่ม ประสิทธิภาพในการควบคุมกลา้ มเน้ือตาไดอ้ ีกดว้ ย ในการกระพริบตาควรหลบั ตา เพียงเบาๆอยา่ งเป็นธรรมชาติ ไม่หลบั ตาแน่นจนเกินไป ข้อดขี องการกระพริบตา ช่วยกระตุม้ ต่อมน้าตาใหม้ ีน้าตาไหลออกมาในปริมาณคงท่ี น้าตาช่วยใหค้ วามชุ่มช้ืน แก่ดวงตา น้าตาซ่ึงไหลจากต่อมน้าตาทาหนา้ ที่ชุลา้ งส่ิงสกปรกในดวงตา การกระพริบตาเป็นการบริหารกลา้ มเน้ือตาซ่ึงมีส่วนช่วยในการปรับโฟกสั กระตุน้ การหมนุ เวยี นเลือดบริเวณรอบดวงตา ช่วยคลายอาการเกร็งของกลา้ มเน้ือตา น้าตามีคุณสมบตั ิป้ องกนั เช้ือโรคใหด้ วงตา ถือเป็นยาหยอดตาธรรมชาติ
สสารทกุ ชนิดจะประกอบด้วยอนภุ าค ซงึ่ อาจจะเป็นอะตอม โมเลกลุ หรือไอออนกไ็ ด้ แตม่ นษุ ย์ไมส่ ามารถมองเหน็ ได้ด้วย ตาเปลา่ จงึ มีการสร้างแบบจาลองอนภุ าคของสสารขนึ ้ มา โดยสสารชนิดเดียวกนั ท่ีมีสถานะเป็นของแข็ง ของเหลว และ แก๊ส จะมีการจดั เรียงอนภุ าค แรงยดึ เหนี่ยวระหวา่ ง อนภุ าค การเคล่ือนที่ของอนภุ าคแตกตา่ งกนั ซง่ึ จะสง่ ผลตอ่ รูปร่างและปริมาตรของสสาร
การนอนหลบั เป็นการพกั ผอ่ นที่ดีที่สุดสาหรับทุกคน ต้งั แตเ่ ด็กแรกเกิดจนถึงวยั ชราตอ้ งนอนหลบั อยา่ ง พอเพยี ง ในคนปกติมีการเปล่ียนแปลงของระบบตา่ งๆของร่างกายท่ีมีลกั ษณะเฉพาะ มีการปรับตวั ใหเ้ ขา้ กบั กลางวนั และกลางคืน โดยใชว้ งจรหลบั ต่ืนเป็ นตวั กาหนดเพอ่ื ความอยรู่ อด การหลบั และต่ืนมีความแตกตา่ ง กนั ตามอายุ โดยเปลี่ยนแปลงอยา่ งหลบั ไมไ่ ดร้ วดเดียวถึงเชา้ เหมือนวยั หนุ่มสาว อาจมีหลบั ในช่วงกลางวนั เพิม่ มากข้ึนในบางวนั ชา้ ๆ แต่ตอ่ เน่ืองต้งั แตอ่ ยใู่ นครรภม์ ารดาจนถึงวยั ชรา เราจะพบวา่ ทารกแรกเกิดใชเ้ วลา ส่วนใหญ่ไปกบั การนอนหลบั วนั ละประมาณ 16-20 ชวั่ โมง เม่ือเขา้ สู่วยั เรียนการนอนก็จะลดลงเหลือ 9-10 ชวั่ โมง เมื่อเขา้ สู่วยั ผใู้ หญ่กจ็ ะใชเ้ วลาในการนอนเพียง 5-6 ชว่ั โมง แตก่ ารนอนหลบั ของแตล่ ะคนจะไม่ เหมือนกนั ข้ึนอยกู่ บั การปฏิบตั ิต้งั แตว่ ยั เด็ก เม่ือเขา้ สู่วยั ชราการนอนหลบั จะแตกตา่ งและเปล่ียนแปลงอยา่ ง ชดั เจน คือเริ่มมีการต่ืนในช่วงกลางดึกบอ่ ยข้ึนจะ
นิวตนั สร้างกลอ้ งโทรทรรศนส์ ะทอ้ นแสงที่สามารถใชง้ านจริงไดเ้ ป็นเคร่ืองแรกและพฒั นา ทฤษฎีสีโดยอา้ งอิงจากผลสังเกตการณ์วา่ ปริซึมสามเหลี่ยมสามารถแยกแสงสีขาวออกมาเป็น หลายๆ สีได้ ซ่ึงเป็นท่ีมาของสเปกตรัมแสงท่ีมองเห็น เขายงั คิดคน้ กฎการเยน็ ตวั ของนิวตนั และ ศึกษาความเร็วของเสียงในทางคณิตศาสตร์ นิวตนั กบั กอ็ ตฟรีด ไลบน์ ิซ ไดร้ ่วมกนั พฒั นาทฤษฎี แคลคูลสั เชิงปริพนั ธแ์ ละอนุพนั ธ์ เขายงั สาธิตทฤษฎีบททวนิ าม และพฒั นากระบวนวธิ ีของนิว ตนั ข้ึนเพื่อการประมาณค่ารากของฟังกช์ นั รวมถึงมีส่วนร่วมในการศึกษาอนุกรมกาลงั
โครงสร้างภายในของโลก จากการศึกษาโดยใชเ้ ทคนิคเก่ียวกบั แผน่ ดินไหว (Seismic Techniques) ทาใหน้ กั วิทยาศาสตร์ทราบถึง โครงสร้างภายในของโลกที่แบ่งไดเ้ ป็นช้นั ต่างๆ ดงั น้ี 1) แกนกลางช้ันใน มีลกั ษณะเป็นของแขง็ ท่ีประกอบดว้ ยเหลก็ เป็นส่วนใหญ่ มีอณุ หภมู ิสูงประมาณ
7,500 เคลวนิ (สูงกวา่ ท่ีพ้นื ผวิ ของดวงอาทิตย)์ มีรัศมีประมาณ 1,200 กิโลเมตร 2) แกนกลางช้ันนอก มีลกั ษณะเป็นของเหลวที่ประกอบดว้ ย เหลก็ และซลั เฟอร์เป็นส่วนใหญ่ มีความหนา ประมาณ 2,200 กิโลเมตร 3) แมนเทลิ มีลกั ษณะเป็นของเหลวหนืดคลา้ ยกบั พลาสติกเหลว มีองคป์ ระกอบเป็นเหลก็ แมกนีเซียม ซิลิกอน อลมู ิเนียมและออกซิเจน มีความหนาประมาณ 3,000 กิโลเมตร 4) เปลอื กโลก มีลกั ษณะเป็นของแขง็ มีองคป์ ระกอบส่วนใหญ่ คือ แร่ควอทซ์ (ซิลิกอนไดออกไซด)์ และ เฟลสปาร์ มีความหนาประมาณ 7 ถึง 40 กิโลเมตร (ข้ึนอยกู่ บั วา่ เป็น บริเวณใตม้ หาสมุทรลึก หรือบริเวณเทือกเขา)
ววิ ฒั นาการโดยการคดั เลือกโดยธรรมชาติเป็นหน่ึงในทฤษฎีท่ีพิสูจนแ์ ลว้ ท่ีดีท่ีสุดใน ประวตั ิศาสตร์วทิ ยาศาสตร์โดยไดร้ ับการสนบั สนุนโดยหลกั ฐานจากสาขาวชิ าวทิ ยาศาสตร์ที่ หลากหลายรวมถึงซากดึกดาบรรพธ์ รณีวทิ ยาพนั ธุศาสตร์และชีววทิ ยาพฒั นาการ ทฤษฎีน้ีมีสองประเดน็ หลกั ไบรอนั ริชมอนดภ์ ณั ฑารักษข์ องมนุษยก์ าเนิดท่ีพิพิธภณั ฑ์ ประวตั ิศาสตร์ธรรมชาติอเมริกนั ในนิวยอร์กซิต้ีกล่าว “ ทุกชีวติ บนโลกน้นั เช่ือมโยงและ เก่ียวขอ้ งกนั ” และความหลากหลายของชีวติ น้ีเป็นผลผลิตของ“ การดดั แปลงประชากรโดยการ คดั เลือกโดยธรรมชาติซ่ึงคุณลกั ษณะบางอยา่ งไดร้ ับการสนบั สนุนและส่ิงแวดลอ้ มมากกวา่ คน อื่น” เขากล่าว
ชา้ งเป็นสตั วบ์ กท่ีใหญ่ท่ีสุด บรรพบุรุษยคุ แรกของชา้ งน้นั มีอายปุ ระมาณ 50 ลา้ น ปี มาแลว้ มีช่ือวา่ โมเออริเทอเรียม (Moeritherium) ตามสถานท่ีท่ีคน้ พบ คือ ทะเลสาบโมเออริส (Moeris) ประเทศอียปิ ต์ มนั ไม่ไดม้ ีรูปร่างเหมือนชา้ งใน ปัจจุบนั มนั มีขนาดตวั เลก็ กวา่ ชา้ งปัจจุบนั มาก ลาตวั ยาวใหญ่ หางส้นั ไม่มีงวง และ น่าจะดารงชีวติ เช่นสตั วค์ ร่ึงบกคร่ึงน้า แมจ้ ะมีลกั ษณะตา่ งกบั ชา้ งในปัจจุบนั อยา่ ง สิ้นเชิง แต่สิ่งที่ทาใหน้ กั วทิ ยาศาสตร์รู้วา่ มนั คอื บรรพบุรุษของชา้ งคือกะโหลกหวั ซ่ึงมี โพรงอากาศเหมือนชา้ งในปัจจุบนั และมีงาเลก็ ๆ ออกจากขากรรไกรลา่ ง นอกจากน้ียงั มีโครงสร้างอื่น ๆ อีกหลายประการที่มีลกั ษณะคลา้ ยชา้ ง
แหลง่ อา้ งอิง ขอบคณุ จากเร่ือง https://sites.google.com/site/mintjeen09/1/7 http://www.banphaeoeyecenter.com/know5.htm https://www.trueplookpanya.com/knowledge/content/72323/-sci-sciche- http://minorsmartkids.com https://pantip.com/topic https://sites.google.com https://th.wordssidekick.com http://elepghant.blogspot.com https://sites.google.com/site/wwwchemnopeecom/home/neuxha/bth-thi1-sar-laea-smbati-khxng- sar
ผจู้ ดั ทา ชอื่ ด.ชศรณั ยู สกลุ หมายจริง เลขท่ี17 ชอื่ ด.ชภคั พล สกลุ อดั แอ เลขท่ี10 ม.1/6 เสนอ คณุ ครู ประภสั สร กา๋ เขยี ว วิชา การสรา้ งหนงั สืออิเล็กทรอนกิ ส์ โรงเรียนแจห้ ม่ วิทยา อาเภอ แจห้ ม่ จงั หวดั ลาปาง สานกั เขตพื้นที่การศึกษามธั ยมศึกษาลาปางเขต 35 ภาคเรียนที่ 2 ปี การศึกษา 2563
Search
Read the Text Version
- 1 - 15
Pages: