Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore การคัดกรองและพัฒนาพหุปัญญา

การคัดกรองและพัฒนาพหุปัญญา

Published by บางปลาม้า บางยี่หน, 2022-06-30 00:43:20

Description: การคัดกรองและพัฒนาพหุปัญญา

Search

Read the Text Version

372.2 ส�ำนกั งานเลขาธกิ ารสภาการศกึ ษา ส 691 ค ค่มู อื การคัดกรองและพัฒนาพหุปัญญา กรุงเทพฯ: สกศ., 2564 52 หนา้ ISBN: 978-616-270-310-2 1. สง่ เสรมิ พหุปัญญา 2. พัฒนาศกั ยภาพผเู้ รยี น 3. ช่อื เรอื่ ง คู่มือการคัดกรองและพฒั นาพหปุ ญั ญา สง่ิ พมิ พ์ สกศ. อันดับท่ี 48/2564 ISBN 978-616-270-310-2 พิมพค์ รั้งท่ี 1 กนั ยายน 2564 จ�ำนวนพมิ พ์ 5,000 เลม่ ผู้พิมพเ์ ผยแพร ่ กลุม่ พัฒนานโยบายด้านการเรียนรู้ สำ� นักมาตรฐานการศึกษาและพัฒนาการเรยี นรู้ ส�ำนักงานเลขาธกิ ารสภาการศึกษา โทร. 0 2668 7123 ตอ่ 2516, 2518 โทรสาร 0 2243 1129 Website: http://www.onec.go.th พมิ พท์ ี่ บริษทั เอส. บี. เค. การพมิ พ์ จ�ำกดั 92/6 หมู่ 3 ต�ำบลบางพลใี หญ่ อ�ำเภอบางพลี จงั หวดั สมทุ รปราการ 10540 โทร. 0-2178-8794-5 โทรสาร 0-2178-8796

ค�าน�า แผนแม่บทภำยใต้ยทุ ธศำสตร์ชำติ (พ.ศ. 2561 - 2580) ประเดน็ กำรพัฒนำกำร เรียนรู้ ภำยใต้แผนย่อยกำรตระหนักถึงพหุปัญญำของมนุษย์ท่ีหลำกหลำย ได้ก�ำหนด เป้ำหมำย คือ ประเทศไทยมีระบบข้อมูลเพื่อกำรส่งเสริมกำรพัฒนำศักยภำพตำม พหปุ ญั ญำเพอ่ื ประโยชนใ์ นกำรพฒั นำและกำรสง่ ตอ่ กำรพฒั นำใหเ้ ตม็ ตำมศกั ยภำพเพม่ิ ขนึ้ โดยกำ� หนดแนวทำงพฒั นำและสง่ เสรมิ พหปุ ญั ญำ อำทิ พฒั นำระบบบรหิ ำรจดั กำรกลไก กำรคดั กรองและกำรสง่ ตอ่ เพอื่ สง่ เสรมิ กำรพฒั นำพหปุ ญั ญำ สง่ เสรมิ สนบั สนนุ ครอบครวั ในกำรเสริมสร้ำงควำมสำมำรถพิเศษตำมควำมถนัดและศักยภำพ ส่งเสริมสนับสนุน ระบบสถำนศึกษำและสภำพแวดล้อม ที่เอ้ือต่อกำรสร้ำงและพัฒนำเด็กและเยำวชน ท่มี ีควำมสำมำรถพิเศษบนฐำนพหุปัญญำ เพอ่ื ขบั เคลอื่ นเปำ้ หมำยของแผนแมบ่ ทดงั กลำ่ ว สำ� นกั งำนเลขำธกิ ำรสภำกำรศกึ ษำ จงึ ด�ำเนนิ กำรศกึ ษำรปู แบบและกลไกกำรพฒั นำและสง่ เสริมพหุปัญญำเพ่ือกำรพฒั นำ ศกั ยภำพผูเ้ รยี น โดยได้จัดท�ำแบบคัดกรองพหปุ ญั ญำ เพือ่ เปน็ เคร่อื งมือหน่งึ ส�ำหรับครู ผู้สอนและผู้ปกครองในกำรวัดพหุปัญญำที่หลำกหลำยของผู้เรียน รวบรวมเป็นข้อมูล พฒั นำกำรพหปุ ญั ญำ เพอื่ สง่ ตอ่ กำรเรยี นรตู้ ำมควำมถนดั ของผเู้ รยี นในแตล่ ะชว่ งวยั และ ใชเ้ ป็นข้อมลู ในกำรออกแบบ กำรเรยี นรู้ตำมควำมถนัด กระต้นุ ส่งเสรมิ และสนับสนุน พหุปญั ญำดำ้ นต่ำง ๆ ของผู้เรียน ให้ได้รบั กำรพัฒนำอยำ่ งเต็มตำมศกั ยภำพ ส�ำนักงำนเลขำธิกำรสภำกำรศึกษำขอขอบคุณคณะวิจัยของมหำวิทยำลัย ศรีนครินทรวิโรฒ ที่ได้ด�ำเนินกำรจัดท�ำ “คู่มือการคัดกรองและพัฒนาพหุปัญญา” เพ่ือให้ครู นักเรียน และ ผู้ปกครองได้ใช้ประโยชน์ในกำรจัดกำรเรียนรู้เพ่ือส่งเสริม ควำมถนดั และพหปุ ญั ญำทหี่ ลำกหลำยของผเู้ รยี น เพอื่ ใหเ้ กดิ กำรเรยี นรอู้ ยำ่ งมคี วำมสขุ มีคุณค่ำและควำมหมำยต่อผู้เรียนในกำรเรียนรู้ และพัฒนำสู่ควำมสำมำรถพิเศษหรือ ควำมเป็นเลศิ ในด้ำนต่ำง ๆ ได้ต่อไป (นายอ�านาจ วิชยานุวตั ิ) เลขาธิการสภาการศึกษา



สารบญั หนา้ 1 เรือ่ ง 9 แนวคดิ พหุปญั ญำ 15 แบบคดั กรองพหุปญั ญำและกำรประยกุ ตใ์ ช้ 37 กลยุทธก์ ำรจดั กำรเรยี นรู้เพอ่ื พัฒนำพหปุ ัญญำของผ้เู รียน 39 เง่อื นไขส่คู วำมส�ำเร็จ 45 บรรณำนุกรม คณะผู้จัดทำ�



แนวคิดพหปุ ญั ญา การจัดการศึกษาในศตวรรษท่ี 21 จ�ำเป็นต้องพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ให้มีทักษะ ทสี่ ำ� คญั ในการรบั มอื กบั ความเปลยี่ นแปลงในอนาคตทง้ั การดำ� รงชวี ติ การประกอบอาชพี การพฒั นาสงั คม เศรษฐกจิ และเทคโนโลยี การตระหนกั ในพหปุ ญั ญาทห่ี ลากหลายของ มนุษย์จึงมีความส�ำคัญในการพัฒนาทักษะและสรรถนะที่หลากหลายเพื่อสร้างสรรค์ การทำ� งาน การสอื่ สาร การแกป้ ญั หา และการประยกุ ตใ์ ชใ้ นการดำ� เนนิ ชวี ติ ในโลกยคุ ใหม่ โดยโฮวารด์ การด์ เนอร์ ไดค้ ดิ คน้ ทฤษฎพี หปุ ญั ญาครง้ั แรกในปี ค.ศ. 1983 พบวา่ เชาวน์ ปัญญาของมนุษย์มีมากกว่าเชาวน์ปัญญาด้านการคิดวิเคราะห์ การค�ำนวณ และ การใชเ้ หตผุ ล หรอื ทเี่ รยี กวา่ IQ (Intelligence quotient) และมเี ชาวนป์ ญั ญาอยา่ งนอ้ ย 9 ดา้ น จงึ เรียกเป็น พหปุ ัญญา (Multiple intelligence) การ์ดเนอร์ได้ใหข้ อ้ สรปุ เกีย่ วกับ ทฤษฎีพหุปัญญาว่า มนุษย์ทุกคนมีเชาวน์ปัญญาอย่างน้อย 9 ด้าน ซึ่งเป็นสิ่งที่ท�ำให้ มนุษยเ์ ป็นมนุษย์ ไม่มีบคุ คลใดท่ีจะมีเชาวน์ปญั ญาท่เี หมอื นกันกับบคุ คลอน่ื แม้กระทั่ง ผทู้ ม่ี ีพนั ธกุ รรมทใี่ กลเ้ คียงกนั เพราะตา่ งก็มีประสบการณแ์ ละการเรียนรู้ที่แตกต่างกัน การที่บุคคลใดมีเชาวน์ปัญญาท่ีแข็งแกร่งก็ไม่ได้ท�ำให้บุคคลน้ันมีการแสดงออกตาม ระดับของเชาวน์ปัญญา เช่น บุคคลที่มีเชาวน์ปัญญาด้านตรรกะและคณิตศาสตร์สูง อาจจะใชเ้ ชาวนป์ ญั ญาดา้ นนเี้ พอ่ื การศกึ ษาคน้ ควา้ ทดลองทางฟสิ กิ สห์ รอื คดิ สมการทาง คณติ ศาสตร์ แตอ่ าจจะไมม่ คี วามสามารถในการคำ� นวณโอกาสในการเลอื กซอื้ ลอตเตอร่ี ให้ถูกรางวลั กเ็ ปน็ ได้ เชาวน์ปัญญาทงั้ 9 ด้านของการด์ เนอร์ ประกอบด้วย 1. เชาวน์ปญั ญา หมายถึง ผู้ท่ีมีความสามารถในการเรียนรู้ภาษาได้ ด้านภาษา อยา่ งรวดเรว็ และมคี วามสามารถในการใชภ้ าษาไดถ้ งึ (Linguistic แก่น ได้แก่ เรียนรู้ภาษาได้เร็ว ชอบอ่านตัวหนังสือ intelligence) จากส่งิ ต่าง ๆ รอบตวั ช่างพูด รูจ้ ังหวะท่ีจะพูด ร้จู ัก ใช้ภาษาและน�้ำเสียงจูงใจผู้ฟัง ชอบกิจกรรมที่ใช้ ทกั ษะ การพดู ชา่ งเปรยี บเปรย เจา้ สำ� บดั สำ� นวน และ ชอบเล่นเกมคำ� ศัพท์ เปน็ ต้น 1ค่มู อื การคัดกรองและพฒั นาพหปุ ญั ญา

2. เชาวน์ปญั ญา หมายถงึ ผทู้ ม่ี คี วามสามารถในการใชต้ วั เลข มคี วาม ด้านตรรกะและ สามารถในการตั้งโจทย์ปัญหาและแก้โจทย์ปัญหา คณิตศาสตร์ หรือตั้งสมมติฐานและทดสอบสมมติฐาน ด้วยการ (Logical คิดเชิงเหตุและผล ได้แก่ คิดจ่ายเงิน ทอนเงินได้ mathematical อยา่ งคล่องแคลว่ แกโ้ จทย์คณติ ศาสตร์เก่ง คิดเลข intelligence) เก่ง ชอบคิดเลข มีวิธีคิดที่เป็นระบบ เป็นข้ันตอน ชอบแกป้ ญั หาทซี่ ับซ้อน และคาดเดาคำ� ตอบ รู้จกั ใช้เหตุผล ชอบเล่นเกมกล่องปริศนา และเกม เขาวงกต เปน็ ต้น 3. เชาวน์ปญั ญา หมายถึง ผู้ที่มีความสามารถในการมองเห็นภาพ ด้านมติ ิสัมพันธ์ และทิศทางแบบสามมิติ มีความไวในการรับรู้ (Spatial สิ่งต่าง ๆ รอบตัว สามารถจ�ำแนกลักษณะ และ เชอ่ื มโยงความสมั พนั ธข์ อง สงิ่ ตา่ ง ๆ เหลา่ นนั้ ไดแ้ ก่ intelligence) เก่งการใช้แผนที่และจับทิศทาง เก่งเรื่องการ จัดหมวดหมู่ จัดสิ่งของเข้าที่ ตาไว สายตาดี บอกรายละเอียดของส่ิงที่มองเห็นได้อย่างรวดเร็ว เกง่ การใชแ้ ผนผังความคดิ (Mind mapping) ชอบ เขยี นภาพ วาดภาพ ระบายสี การออกแบบโปสเตอร์ จัดนิทรรศการ ชอบต่อจ๊ิกซอร์ เล่นเกม จับคู่ภาพ และจดั สงิ่ ของให้พอดีกบั พ้ืนที่ เป็นต้น 2 ค่มู อื การคัดกรองและพฒั นาพหปุ ญั ญา

4. เชาวน์ปัญญา หมายถึง ผู้ที่มีการเคล่ือนไหวของร่างกายอย่าง ด้านรา่ งกาย คลอ่ งแคลว่ สามารถใชป้ ระโยชนจ์ ากการเคลอื่ นไหว และการ ของร่างกาย ใจและกายประสานกันเป็นหน่ึงเดียว เคล่ือนไหว ไดแ้ ก่ เรยี นรู้งานทีต่ อ้ งลงมือปฏิบตั ิไดด้ ี ใชส้ ว่ นตา่ ง ๆ (Bodily - ของร่างกายปฏิบัติกิจกรรมได้ดี ชอบแสดงท่าทาง kinesthetic ประกอบการพูด แสดงท่าทางเพื่อส่ือความหมาย เคลื่อนไหวร่างกายได้อย่างคล่องแคล่ว ทรงตัวได้ดี intelligence) ชอบกจิ กรรมทม่ี กี ารเคลอื่ นไหวรา่ งกาย เชน่ การแสดง การฟ้อนรำ� เต้นร�ำ เป็นตน้ 5. เชาวน์ปญั ญา หมายถงึ ผทู้ มี่ คี วามไวในการรบั รแู้ ละตอบสนองตอ่ ด้านดนตรี ท่วงทำ� นองของเสียง มีความสามารถในการใชแ้ ละ สร้างแกนหลักของดนตรี คือ ระดับเสียงสูง ต�่ำ (Musical จังหวะ และความเร็วของเสียง ได้แก่ หูไวต่อ intelligence) ทว่ งทำ� นองดนตรี มคี วามสามารถในการไดย้ นิ เสยี ง ดนตรี จับจังหวะของเสียง และท่วงท�ำนองได้ดี สร้างหรือเลียนแบบเสียงดนตรีได้เก่ง ชอบเล่น ดนตรเี ปน็ งานอดเิ รก ชอบสะสมเรอื่ งราวทางดนตรี ชอบเครอ่ื งดนตรี เรียนร้กู ารเลน่ เคร่อื งดนตรไี ด้เรว็ ชอบฟังดนตรี ชอบแสดงท่าทางตามจังหวะดนตรี และชอบดัดแปลงเนื้อเพลง แต่งเพลงเพื่อให้จ�ำ เนือ้ หาทเี่ รยี น เป็นตน้ 3ค่มู อื การคัดกรองและพฒั นาพหปุ ญั ญา

6. เชาวน์ปัญญา หมายถงึ ผทู้ มี่ มี นษุ ยสมั พนั ธ์ ไวในการสงั เกตสหี นา้ ด้านการเข้าใจ ท่าทางของผู้อ่ืน มคี วามเข้าใจ อารมณ์ ความรู้สกึ ระหวา่ งบุคคล ความคดิ และเจตนาของผอู้ นื่ ไดแ้ ก่ อา่ นใจคนเกง่ (Interpersonal เข้าถึงความชอบ ความคิด แรงจูงใจของคนอื่น intelligence) ได้ดี ไวต่อการรับรู้ความรู้สึกของคนรอบข้าง จบั ความรสู้ กึ ของผอู้ น่ื ไดด้ ี เขา้ กบั คนงา่ ย มปี ฏสิ มั พนั ธ์ กบั ผูอ้ ่นื ได้ดี และชอบท�ำงานเป็นกลมุ่ เป็นตน้ 7. เชาวน์ปัญญา หมายถงึ ผทู้ ม่ี คี วามสามารถในการมองตน รจู้ กั ตน ด้านการเข้าใจ เข้าใจความคิด อารมณ์และความต้องการของ ตนเอง ตนเอง และสามารถควบคมุ พฤตกิ รรมตนเอง ไดแ้ ก่ รจู้ กั และเขา้ ใจตนเอง บอกขอ้ ดขี อ้ เสยี ของตนเองได้ (Intrapersonal บอกได้ว่าตนเองมีความคิดและความรู้สึกอย่างไร intelligence) สามารถวิเคราะห์พฤติกรรมของตนเองท่ีมีกับ คนอ่ืนได้ พ่ึงตนเอง มีความรับผิดชอบในตัวเอง ชอบเขียนบันทึกเร่ืองของตนเอง และชอบเล่นเกม ผจญภัยและสวมบทบาทเป็นตัวละครหลาย ๆ ประเภท เปน็ ตน้ 4 ค่มู อื การคัดกรองและพฒั นาพหปุ ัญญา

8. เชาวน์ปญั ญาด้าน หมายถึง ผู้ที่มีความสามารถในการเข้าใจ ธรรมชาติวทิ ยา ธรรมชาติและการเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติ (Naturalist มีความรอบรู้เร่ืองของพชื และสตั ว์ ได้แก่ มีความ intelligence) รอบรู้เรื่องพืชและสัตว์ ช่างสังเกต จดจ�ำและ จ�ำแนกประเภทพืชและสัตว์รอบตัวได้ อ่อนไหว ตอ่ การเปลีย่ นแปลงของสภาพแวดล้อม ชอบอยู่ ท่ามกลางธรรมชาติ มีความสุขเม่ืออยู่กับ ธรรมชาติ เข้าใจและสนใจปรากฏการณ์ทาง ธรรมชาติ ชอบเดินทางท่องเท่ียวทางธรรมชาติ เป็นนักอนุรักษ์ธรรมชาติ ชอบกิจกรรมท�ำความ สะอาดสิ่งแวดล้อมของโรงเรียนและชุมชน เป็นต้น 9. เชาวน์ปัญญา หมายถึง ผู้ท่ีมีความสามารถในการเข้าใจสัจธรรม ด้านการด�ำรงอยู่ ของโลกและชวี ติ การดำ� รงอยขู่ องมนษุ ย์ คณุ คา่ ของ ของชวี ติ มนุษยท์ ีม่ ีตอ่ โลกและจกั รวาล ไดแ้ ก่ ชอบฝกึ สมาธิ มคี วามเชอ่ื ในเรอื่ งจติ วญิ ญาณ สนใจและปฏบิ ตั ติ าม (Existential หลักค�ำสอนทางศาสนา ชอบตั้งค�ำถามเกี่ยวกับ intelligence) คณุ ค่าของมนษุ ย์ท่ีมีต่อโลก รกั เมตตา มนษุ ยแ์ ละ สัตว์โลก และสนใจเร่ืองของโลกและจักรวาล เป็นตน้ 5ค่มู อื การคัดกรองและพฒั นาพหปุ ัญญา

การด์ เนอรไ์ ดก้ ลา่ ววา่ “แมว้ า่ มนษุ ยท์ กุ คนมเี ชาวนป์ ญั ญาครบทงั้ 9 ดา้ น แตอ่ าจ จะมรี ะดบั ของเชาวนป์ ญั ญาในแตล่ ะดา้ นมากหรอื นอ้ ยแตกตา่ งกนั การทม่ี เี ชาวนป์ ญั ญา ดา้ นหนง่ึ ดา้ นใดสงู มไิ ดห้ มายความวา่ จะทำ� ใหเ้ ชาวนป์ ญั ญาดา้ นอน่ื ลดตำ่� ลง ดงั นนั้ ผูเ้ รยี นทกุ คนควรไดร้ ับโอกาสในการพฒั นาเชาวนป์ ัญญาท้ัง 9 ดา้ นเหมอื น ๆ กนั ” การจดั ประสบการณก์ ารเรยี นรใู้ หก้ บั ผเู้ รยี นตอ้ งทดั เทยี มกนั ดงั ทกี่ ารด์ เนอรไ์ ดก้ ลา่ ววา่ “ประสบการณ์การเรียนรู้ไม่จ�ำเป็นต้องเกี่ยวข้องกับเชาวน์ปัญญาที่ผู้เรียนมีความ โดดเดน่ เชน่ ผทู้ ม่ี เี ชาวนป์ ญั ญาดา้ นมติ สิ มั พนั ธส์ งู อาจยงั คงไดร้ บั ประโยชนจ์ ากการใช้ คำ� คลอ้ งจองชว่ ยในการจำ� เนอ้ื หาทเี่ รยี นรู้ สงิ่ สำ� คญั คอื ตอ้ งหลกี เลย่ี งการระบวุ า่ ผเู้ รยี น เปน็ ผทู้ มี่ เี ชาวนป์ ญั ญาดา้ นหนงึ่ ดา้ นใด เพราะเมอ่ื ผเู้ รยี นมคี วามเขา้ ใจในเนอ้ื หาอยา่ ง ถอ่ งแท้แลว้ ผเู้ รยี นจะมคี วามสามารถในการคดิ ไดห้ ลากหลายวิธี” การพัฒนาพหุปัญญา (MI) มีความสัมพันธ์กับความสามารถทางปัญญาทั่วไป (General intelligence) หรือสติปัญญา (IQ) ซ่ึงสามารถรวมเข้าด้วยกันผ่านระบบ ประสาททั่วไปและระบบประสาทเฉพาะ ดังท่ีการ์ดเนอร์ เคยตั้งข้อสังเกตว่า ผู้เรียน แสดงให้เห็นถึงความสามารถทางปัญญาท่ีแตกต่างกันมาก แม้ในกลุ่มที่มีคะแนนของ ระดบั สตปิ ญั ญา (IQ) ทใ่ี กลเ้ คยี งกนั ผลการศกึ ษาทางประสาทวทิ ยาทเี่ กย่ี วขอ้ งกบั ความ สามารถทางปญั ญา (Shearer, 2018) มากกวา่ 500 เร่อื ง พบวา่ ความสามารถแบบ พหปุ ญั ญาในแตล่ ะดา้ นจะมรี ปู แบบการกระตนุ้ ระบบประสาททแ่ี ตกตา่ งกนั ผลการศกึ ษา แสดงใหเ้ หน็ วา่ พหปุ ญั ญาในแตล่ ะดา้ นมโี ครงสรา้ งทางระบบประสาทคนละโครงสรา้ ง และมีความแตกต่างจากโครงสร้างทางระบบประสาทของระดับปัญญาท่ัวไปหรือ IQ ซ่ึง Shearer ได้เสนอแนวคิดว่า หลักสูตรและการสอนสามารถเสริมสร้างผลสัมฤทธิ์ ทางการเรยี นของผ้เู รียนได้ ถ้าใชร้ ปู แบบการบรู ณาการของระบบประสาทวิทยา แม้วา่ ผเู้ รยี นเหล่านีจ้ ะมวี ัฒนธรรมที่แตกต่างกัน การจัดการศึกษาในศตวรรษท่ี 21 เพ่ือพัฒนาศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ตาม พหุปัญญาที่หลากหลาย ครูจ�ำเป็นต้องค�ำนึงถึงวิธีการจัดการเรียนรู้ท่ีสามารถตอบ ค�ำถามที่สำ� คัญต่อไปน้ี 1) ทำ� อยา่ งไรจงึ จะจดั หอ้ งเรยี น / โรงเรยี นเพอื่ สรา้ งบรบิ ทใหเ้ กดิ การเรยี นรสู้ งู สดุ แกผ่ ้เู รียน 6 ค่มู อื การคัดกรองและพฒั นาพหปุ ัญญา

2) ท�ำอย่ำงไรจึงจะเช่ือมโยงกำรพัฒนำทำงปัญญำผ่ำนสื่อและกำรเรียนกำรสอน ในหลักสูตรให้เพิ่มมำกข้ึน 3) ทำ� อยำ่ งไรจงึ จะสำมำรถสง่ เสรมิ ควำมเปน็ เลศิ ทำงวชิ ำกำรหรอื ควำมถนดั ตำม พหุปญั ญำที่หลำกหลำยของผูเ้ รียน 4) ท�ำอย่ำงไรจึงจะสำมำรถสอนให้ผู้เรียนสำมำรถถ่ำยทอดควำมรู้จำกห้องเรียน สชู่ วี ิตจริง และสำมำรถนำ� ไปใชใ้ นชวี ติ จรงิ ได้ 5) ท�ำอย่ำงไรจึงจะสำมำรถพัฒนำผู้เรียนแบบองค์รวม ปลูกฝังให้รักกำรเรียนรู้ และสำมำรถเรียนร้ไู ด้ตลอดชวี ติ กล่ำวได้ว่ำ ผู้เรียนควรได้รับกำรส่งเสริมเชำวน์ปัญญำทุกด้ำน โดยไม่คำดหวังว่ำ ปลำยทำงนนั้ ผู้เรียนจะมีควำมเจรญิ งอกงำมของเชำวน์ปญั ญำด้ำนใด แตก่ ระบวนกำร พฒั นำเชำวนป์ ญั ญำตอ้ งเปน็ ไปอยำ่ งตอ่ เนอื่ งทกุ ชว่ งวยั ตงั้ แตผ่ เู้ รยี นเขำ้ สรู่ ะบบกำรศกึ ษำ จวบจนกระท่งั ได้รับกำรพฒั นำเต็มตำมศกั ยภำพของตน 7ค่มู อื การคัดกรองและพฒั นาพหปุ ัญญา

8 ค่มู อื การคัดกรองและพฒั นาพหปุ ญั ญา

แบบคัดกรองพหปุ ญั ญาและการประยุกต์ใช้ จากผลการศกึ ษารปู แบบและกลไกการพฒั นาและสง่ เสรมิ พหปุ ญั ญาเพอ่ื การพฒั นา ศกั ยภาพผเู้ รยี นโดยมหาวทิ ยาลยั ศรนี ครนิ ทรวโิ รฒ ไดพ้ ฒั นาแบบคดั กรองพหปุ ญั ญาขนึ้ เพื่อการวิเคราะห์และส่งเสริมศักยภาพของผู้เรียนเป็นรายบุคคล และส่งเสริมเชาวน์ ปัญญาของผ้เู รยี นในทกุ ๆ ด้าน แบบคัดกรองพหุปัญญานจ้ี ะให้ข้อมูลและสารสนเทศ เชงิ ปรมิ าณทสี่ ะทอ้ นระดบั เชาวนป์ ญั ญาแตล่ ะดา้ นของผเู้ รยี นทส่ี ามารถนำ� ไปใชใ้ นการ วางแผนการพัฒนาผู้เรยี นรายบุคคล อยา่ งไรกด็ ี ขอ้ มูลเชงิ ปรมิ าณทไ่ี ดเ้ ปน็ เพยี งข้อมูล สว่ นหนึง่ ของขอ้ เท็จจรงิ เท่านนั้ เพราะเปน็ การวดั ทางอ้อมซึง่ อาจมีความคลาดเคล่อื น อยดู่ ว้ ย อาจจะมากหรอื นอ้ ยขน้ึ กบั หลายปจั จยั อนื่ ทเี่ กย่ี วขอ้ ง ทงั้ ปจั จยั ภายในของผเู้ รยี น และปจั จยั ภายนอกจากสภาพแวดล้อมรอบตัวผู้เรยี นด้วย 2 แบบคัดกรองพหุปัญญาน้ี เหมาะสมส�ำหรับน�ำไปใช้กับผู้เรียนช้ันประถม ศึกษาและมัธยมศึกษา ซ่ึงผู้สอนสามารถน�ำไปใช้ในการประเมินก่อนและ หลังการจัดประสบการณ์ที่ให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ และส่งเสริมศักยภาพของ ผ้เู รียน โดยใชเ้ ปน็ เครือ่ งมือประเภทหนึ่งในเครอื่ งมอื หลาย ๆ ประเภททใี่ ช้ ประกอบการประเมินพัฒนาการด้านพหุปัญญาของผู้เรียน ไม่ควรน�ำมาใช้ เป็นเครื่องมือในการวินิจฉัยระดับของเชาวน์ปัญญา หรือผลลัพธ์ของการ เรยี นรู้ หรอื การประเมนิ ผลสมั ฤทธทิ์ างการเรยี นของผเู้ รยี น แตจ่ ะเปน็ เครอื่ งมอื ที่มีประสิทธิภาพในการประเมินเพื่อส่งเสริมให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ได้ อยา่ งมคี วามสขุ เพอ่ื ใหม้ กี ารนำ� ผลการประเมนิ ไปใชใ้ นการออกแบบการจดั กิจกรรมเพือ่ การเรยี นรใู้ หเ้ ปน็ ไปตามความชอบ ความถนัด และตอบสนอง เชาวน์ปญั ญาท้ัง 9 ดา้ นของผูเ้ รียน 2 แบบคดั กรองพหปุ ญั ญา มลี กั ษณะเปน็ แบบสงั เกตพฤตกิ รรมทผ่ี เู้ รยี นปฏบิ ตั ิ หรือแสดงออกในชีวิตประจ�ำวัน เมื่อร่วมกิจกรรมการเรียนรู้ในห้องเรียน ชว่ งพกั คาบเรยี น การเลน่ กบั เพอ่ื น ๆ ขณะทอ่ี ยใู่ นโรงเรยี น หรอื รว่ มกจิ กรรม กบั ผปู้ กครองในบา้ นหรอื นอกบา้ น หรอื ขณะทพ่ี ักผอ่ น 9ค่มู อื การคัดกรองและพฒั นาพหปุ ัญญา

2 กำรตอบแบบสงั เกตตำมแบบคดั กรองนี้ ผ้ปู ระเมินจะต้องไม่ตอบดว้ ยควำม ล�ำเอียงในจิตใจ เช่น จำกควำมเชื่อหรือควำมคำดหวังที่มีกับตัวผู้เรียนท่ี ถกู ประเมิน จะตอ้ งตอบแบบสังเกตไปตำมขอ้ เทจ็ จริง 2 กำรบันทกึ ข้อมูลในแบบคัดกรองมี 2 รูปแบบ คือ 1) มกี ำรปฏบิ ตั หิ รอื กำร แสดงออกอยำ่ งสมำ่� เสมอหรอื ตลอดเวลำ และ 2) กำรแสดงออก ไมส่ มำ�่ เสมอ หรือปฏบิ ัติเป็นครัง้ ครำวเทำ่ นน้ั 2 กำรแปลผลกำรประเมินพหปุ ญั ญำ พิจำรณำเป็นรำยดำ้ นของเชำวน์ปัญญำ แต่ละด้ำนจะมีคะแนนเต็ม 10 คะแนน ผลกำรกำรประเมินในแต่ละด้ำน •มี 2 ระดบั คอื คะแนน 1 - 8 แปลวำ่ ผู้เรยี นมเี ชำวน์ปัญญำดำ้ นนัน้ ในระดบั ปกติ เชน่ • เดยี วกับคนท่วั ไป คะแนน 9 - 10 แปลว่ำ ผเู้ รียนมเี ชำวน์ปัญญำดำ้ นนัน้ ในระดบั โดดเด่น 10 ค่มู อื การคัดกรองและพฒั นาพหปุ ัญญา

แบบคดั กรองพหุปัญญา คำ� ชแ้ี จง: ขอใหค้ รผู ูส้ อนหรอื ผู้ปกครอง สงั เกตพฤติกรรมของผูเ้ รียนในความดูแล ของท่านในระหว่างที่อยูใ่ นหอ้ งเรียน ในโรงเรยี น หรือท่บี ้าน โดยการใส่ เครื่องหมาย 3ลงในชอ่ งว่าง ที่ตรงกับพฤติกรรมผู้เรยี นมากที่สดุ เชาวน์ปัญญา พฤตกิ รรมของผ้เู รยี น สม่�ำเสมอ ไมส่ มำ่� เสมอ 1. ด้านภาษา 1.1 เรียนร้ภู าษาได้เร็ว 1.2 ชอบอา่ นตัวหนังสอื จากสิ่งต่าง ๆ รอบตัว 1.3 ชา่ งพูด รู้จังหวะที่จะพูด 1.4 รู้จักใชภ้ าษาและน้�ำเสียงจงู ใจผู้ฟัง 1.5 ชอบกจิ กรรมทใี่ ชท้ ักษะการพูด 2. ด้าน 2.1 คิดจ่ายเงิน ทอนเงนิ ได้อย่างคล่องแคลว่ ตรรกะและ 2.2 คดิ เลขเกง่ ชอบคดิ เลข คณติ ศาสตร์ 2.3 มวี ิธคี ดิ วเิ คราะหท์ ่เี ปน็ ระบบ เป็นขัน้ ตอน 2.4 ชอบแกป้ ัญหาท่ีซบั ซ้อน และคาดเดา ค�ำตอบ 2.5 รู้จักใชเ้ หตผุ ล 3. ด้านมิติ 3.1 เกง่ การใช้แผนทแี่ ละจบั ทิศทาง สัมพันธ์ 3.2 เกง่ เรื่องการจัดหมวดหมู่ จัดส่ิงของเขา้ ท่ี 3.3 ตาไว สายตาดี บอกรายละเอยี ดของสง่ิ ที่ มองเห็นไดอ้ ยา่ งรวดเรว็ 3.4 ชอบวาดภาพ ระบายสี ออกแบบโปสเตอร์ จดั นิทรรศการ 3.5 ชอบต่อจ๊กิ ซอร์ เล่นเกมจบั คู่ภาพ จดั สงิ่ ของให้พอดีกบั พน้ื ท่ี 11ค่มู อื การคัดกรองและพฒั นาพหปุ ญั ญา

เชาวน์ปญั ญา พฤตกิ รรมของผู้เรยี น สมำ�่ เสมอ ไมส่ มำ่� เสมอ 4. ดา้ นรา่ งกาย 4.1 เรยี นรูง้ านท่ตี ้องลงมอื ปฏิบัตไิ ด้ดี และการ 4.2 ใช้ส่วนต่าง ๆ ของร่างกายปฏบิ ัติกจิ กรรมได้ดี เคลื่อนไหว 4.3 ชอบแสดงทา่ ทางประกอบการพูด แสดงทา่ ทางเพอ่ื ส่อื ความหมาย 4.4 เคล่ือนไหวร่างกายได้อย่างคล่องแคล่ว มกี ารทรงตวั ไดด้ ี 4.5 ชอบกิจกรรมทมี่ ีการเคลื่อนไหวร่างกาย เช่น การแสดง การฟอ้ นร�ำ เต้นรำ� 5. ด้านดนตรี 5.1 มีความสามารถในการไดย้ นิ เสยี งดนตรี จับจังหวะของเสยี ง และทว่ งทำ� นองได้ดี 5.2 สร้างหรือเลียนแบบเสยี งดนตรไี ด้เกง่ 5.3 ชอบเล่นดนตรีเป็นงานอดิเรก ชอบสะสม เรอ่ื งราวทางดนตรี 5.4 ชอบเคร่อื งดนตรี เรียนร้กู ารเล่น เครอื่ งดนตรไี ด้รวดเรว็ 5.5 ชอบดดั แปลงเนอ้ื เพลง แตง่ เพลงเพอื่ ใหจ้ �ำ เนื้อหาท่เี รยี น 6. ดา้ นการ 6.1 อ่านใจคนเกง่ เข้าใจ 6.2 เขา้ ถงึ ความชอบ ความคดิ แรงจูงใจของ ระหว่าง บุคคล คนอ่ืนได้ดี 6.3 ไวตอ่ การรับรู้ความรูส้ กึ ของคนรอบขา้ ง จับความรสู้ ึกของผ้อู ื่นได้ดี 6.4 เขา้ กบั คนงา่ ย มีปฏิสมั พันธ์กับผ้อู ่นื ไดด้ ี 6.5 ชอบท�ำงานเปน็ กล่มุ 12 ค่มู อื การคัดกรองและพฒั นาพหปุ ัญญา

เชาวน์ปญั ญา พฤตกิ รรมของผเู้ รยี น สม่�ำเสมอ ไม่สม่ำ� เสมอ 7. ดา้ นการ 7.1 รู้จกั และเขา้ ใจตนเอง บอกขอ้ ดี ข้อเสีย เข้าใจตนเอง ของตนเองได้ 7.2 บอกได้ว่าตนเองมีความคิดและความรสู้ กึ อยา่ งไร 7.3 พ่ึงตนเอง มีความรบั ผิดชอบในตวั เอง 7.4 ชอบเขียนบันทกึ เรอื่ งของตนเอง 7.5 ชอบเล่นเกมผจญภัยหรือสวมบทบาทเปน็ ตวั ละครหลาย ๆ ประเภท 8. ด้าน 8.1 รอบรเู้ รอ่ื งพชื และสัตว์ ชา่ งสงั เกต จดจ�ำ ธรรมชาติ และจ�ำแนกประเภทพืชและสัตว์รอบตวั ได้ วิทยา 8.2 ออ่ นไหวตอ่ การเปลี่ยนแปลงของสภาพ แวดล้อม 8.3 ชอบอยทู่ ่ามกลางธรรมชาติ มคี วามสุข เม่อื อยู่กับธรรมชาติ 8.4 เขา้ ใจและสนใจปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ 8.5 เป็นนักอนรุ กั ษ์ธรรมชาติ ชอบกจิ กรรม ท�ำความสะอาดสง่ิ แวดลอ้ มของโรงเรยี น และชุมชน 9. ด้านการ 9.1 ชอบฝึกสมาธิ ด�ำรงอย่ขู อง ชวี ติ 9.2 มีความเช่อื ในเรอื่ งจติ วิญญาณ 9.3 สนใจและปฏบิ ตั ิตามหลักค�ำสอนทางศาสนา 9.4 ชอบตงั้ ค�ำถามเก่ียวกบั คุณคา่ ของมนษุ ย์ ทม่ี ตี อ่ โลก 9.5 รัก เมตตา มนุษยแ์ ละสตั วโ์ ลก 13ค่มู อื การคัดกรองและพฒั นาพหปุ ัญญา

เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน - กำรปฏบิ ตั ิสม่�ำเสมอมีคะแนนเท่ำกบั 2 - กำรปฏิบัตไิ ม่สมำ่� เสมอมีคะแนนเท่ำกับ 1 การแปลผลคะแนนแยกเปน็ รายด้าน - คะแนน 1 - 8 แปลวำ่ ผ้เู รียนมเี ชำวน์ปัญญำดำ้ นนั้นในระดับปกติ - คะแนน 9 - 10 แปลว่ำ ผู้เรยี นมเี ชำวน์ปัญญำดำ้ นน้ันในระดบั โดดเดน่ QR Code ส�าหรบั ดาวน์โหลด Excel แบบคัดกรองพหปุ ัญญา 14 ค่มู อื การคัดกรองและพฒั นาพหปุ ัญญา

กลยุทธ์การจดั การเรยี นรเู้ พ่ือพัฒนาพหปุ ัญญา ของผู้เรยี น โรงเรียนควรสนับสนุนใหค้ รูจดั ใหม้ กี ารเรยี นการสอนทส่ี ่งเสริมเชาวน์ปัญญาทกุ ๆ ดา้ นของผเู้ รยี น และเออื้ ใหผ้ ู้เรียนได้รบั การพัฒนา มีความคิด ทกั ษะ คา่ นิยม วิธีการคดิ นัยของการแสดงออก และวิธกี ารเรียนรขู้ องตนเอง เพื่อใหเ้ กิดผลลัพธใ์ นระยะยาว คือ การเพ่ิมศักยภาพการเรียนรู้ของผู้เรียนให้มีการเรียนรู้ตลอดชีวิตอย่างมีประสิทธิผล บนหลักการ 5 ประการ คือ 1) ผ้เู รยี นทกุ คนมสี มองทไ่ี ม่เหมอื นใคร 2) ตอ้ งกระต้นุ จุดแข็งของผู้เรียน 3) ผู้เรยี นตอ้ งร้จู ักตัวเอง 4) กายมีความสัมพันธ์กับจติ และมอี ารมณ์ เป็นหางเสือ และ 5) ต้องท�ำใหก้ ารเรียนรู้นัน้ มีความหมาย โดยด�ำเนนิ การดงั นี้ 1. ประเมนิ พหปุ ญั ญาผู้เรยี นเปน็ รายบุคคล เมอ่ื ทราบผลการประเมนิ จากแบบคดั กรองเปน็ รายบคุ คลแลว้ ครผู สู้ อนและสถาน ศึกษาจะน�ำมาใช้เป็นข้อมูลในการพัฒนาผู้เรียนดังกล่าวร่วมกับสารสนเทศด้านอื่น ๆ ทเ่ี กย่ี วกบั ผเู้ รยี น เพอื่ จดั ทำ� แผนพฒั นาผเู้ รยี นเปน็ รายบคุ คคล เพอ่ื ใชใ้ นการเปรยี บเทยี บ ผลลัพธ์การพัฒนาพหุปัญญาของผู้เรียนเม่ือส้ินสุดภาคการศึกษาหรือเม่ือสิ้นสุด ปีการศึกษา และเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาว่ามีความก้าวหน้ามากขึ้นหรือ ดขี นึ้ หรอื ไมเ่ มอ่ื เปรยี บเทยี บกบั การพฒั นาพหปุ ญั ญา และยงั สามารถนำ� มาวเิ คราะหภ์ าพ การเติบโต ความงอกงาม หรือพัฒนาการของพหุปัญญา (Multiple intelligence profile) ของผู้เรียนรายบุคคลที่จ�ำแนกออกเป็นเชาวน์ปัญญารายด้าน ซึ่งภาพความ เตบิ โตหรอื พฒั นาการของพหปุ ญั ญาจะเปน็ ขอ้ มลู เฉพาะตวั ของผเู้ รยี นจนกวา่ ผเู้ รยี นจะ สำ� เรจ็ การศึกษาและเข้าสชู่ วี ิตการท�ำงาน 2. แนวทางการส่งเสรมิ การเรยี นรเู้ พ่ือพัฒนาพหปุ ัญญา ครผู สู้ อนคอื บคุ คลสำ� คญั ทจี่ ะสง่ เสรมิ การเรยี นรเู้ พอื่ พฒั นาพหปุ ญั ญา โดยมผี บู้ รหิ าร สถานศกึ ษาเปน็ บคุ คลสำ� คญั ในการสนบั สนนุ การเรยี นรเู้ พอ่ื พฒั นาพหปุ ญั ญาใหบ้ งั เกดิ ผลสำ� เรจ็ ในระดบั สถานศกึ ษา ดว้ ยการเออ้ื อำ� นวยความสะดวก (Facilitator) พนื้ ทท่ี าง 15ค่มู อื การคัดกรองและพฒั นาพหปุ ญั ญา

กายภาพ พน้ื ทท่ี างดจิ ทิ ลั และพน้ื ทที่ างจติ ใจ สำ� หรบั ครผู สู้ อนเพอื่ การจดั ประสบการณ์ การเรยี นรทู้ พี่ ฒั นาเชาวนป์ ญั ญาทง้ั 9 ดา้ นแกผ่ เู้ รยี น โดยมแี นวทางการดำ� เนนิ การดงั นี้ 2.1 การออกแบบพ้ืนทเี่ พอื่ พัฒนาพหปุ ัญญา พื้นท่ี (Space) ในที่น้ีมีความหมายกว้างกว่า สถานที่ (Place) ท่ีเป็นพ้ืนที่ทาง กายภาพ แตร่ วมถงึ มติ ขิ องการมปี ฏิสัมพันธ์ที่เกดิ ขึ้นจากการมีส่วนร่วมในการก�ำหนด และสร้างสรรค์ ผ่านการวาดฝัน จดจ�ำ และรักษาคุณค่า รวมถึงก�ำหนดผลลัพธ์และ ความส�ำเร็จของพืน้ ท่ีน้นั ด้วย ไดแ้ ก่ 1) พนื้ ทใี่ นมติ ทิ างกายภาพ คอื การจดั พนื้ ทภี่ ายในหอ้ งเรยี น โรงเรยี น ในบา้ น หรือในชุมชนที่ส่งเสริมการจัดกิจกรรมสัมพันธ์กับการพัฒนาเชาวน์ปัญญาด้านต่าง ๆ เช่น มุม ศูนย์ หรือฐานกิจกรรม ที่สัมพันธ์กับการพัฒนาเชาวน์ปัญญาด้านต่าง ๆ เพ่ือจัดชมรมบ�ำเพ็ญประโยชน์ ชมรมโต้วาที ชมรมหมากรุก มุมหนังสือ มุมเกม การศึกษา มุมวิทยาศาสตร์ มุมศิลปะ หรือมุมเปิดตามท่ีผู้เรียนจัด เช่น จัดมุมภาพ การ์ตนู วาดภาพจากหนงั สือท่ีผ้เู รยี นอา่ น เปน็ ตน้ การจัดมมุ กิจกรรมท่สี มั พนั ธ์กับเชาวนป์ ัญญาแตล่ ะดา้ น ได้แก่ 1) ด้านภาษา ไดแ้ ก่ รอ้ งเพลง “ความหมายการคูณ” พร้อมแสดงทา่ ทางประกอบเพลง อธิบายความ หมายของการคูณ ร่วมแสดงความคดิ เห็นและสรปุ ความรู้ 2) ด้านตรรกะคณติ ศาสตร์ ไดแ้ ก่ การสรา้ งประโยคการบวกและการคณู อธบิ ายความหมายของการคณู รว่ มแสดง ความคิดเห็นและสรุปความรู้ 3) ดา้ นดนตรี ไดแ้ ก่ ผเู้ รียนร่วมกันร้องเพลง ความหมาย การคณู ” ผเู้ รยี นปรบมอื รอ้ งเพลงตามจงั หวะพรอ้ มแสดงทา่ ทางประกอบเพลง 4) ดา้ น รา่ งกายและการเคล่ือนไหว ได้แก่ แสดงทา่ ทางประกอบเพลง และเล่นเกม 5) ดา้ นมิติ สมั พนั ธ์ ไดแ้ ก่ การวาดภาพประกอบเพอื่ สรา้ งประโยคการบวกและการคณู 6) ดา้ นการ เข้าใจระหว่างบุคคล ได้แก่ แบ่งกลุ่มผู้เรียนเพื่อสร้างประโยคการบวกและการคูณ 7) ด้านการรู้จักตนเอง ได้แก่ สรุปความรู้ และท�ำแบบฝึกเสริมทักษะกิจกรรมเรื่อง ความหมายของการคูณ และ 8) ด้านธรรมชาตวิ ทิ ยา ได้แก่ ใช้วสั ดทุ ่ีหาไดร้ อบตัว เชน่ ดินสอ ในการอธิบายและสรุปความรเู้ รือ่ ง นอกจากนี้ยังสามารถการออกแบบสนามเด็กเล่นในร่มและกลางแจ้งเพ่ือจัด สภาพแวดลอ้ มการเรยี นรใู้ นสถานศกึ ษา เพอื่ สรา้ งบรรยากาศการเรยี นรดู้ ว้ ยการบรู ณาการ 16 ค่มู อื การคัดกรองและพฒั นาพหปุ ัญญา

กิจกรรมในร่มและกลำงแจ้งสำมำรถเพ่ิมศักยภำพด้ำนพหุปัญญำของผู้เรียน หรือ Lesson plan activity แบ่งออกเปน็ Daily activity plan (DAP), Weekly activity plan (WAP) และ Annual activity plan (AAP) ซึ่งส่วนของพืน้ ทกี่ จิ กรรมอยำ่ งน้อย ควรประกอบดว้ ย สว่ นกลำงแจง้ ไดแ้ ก่ สวนรไี ซเคลิ ชน้ั เรยี นแบบกจิ กรรมกลมุ่ ชนั้ เรยี น สนำมเด็กเลน่ หอ้ ง ICT ทจี่ อดรถ ห้องปฏบิ ตั ิงำน หอ้ งอำหำรของโรงเรยี น อฒั จันทร์ ห้องนำ้� หอ้ งสมดุ สวนหย่อม A ถงึ Z มนิ ฟิ ำรม์ หอ้ งแล็บสีเขยี วและพื้นทปี่ ฏบิ ตั ิกำร ดังนั้นครูผู้สอนท่ีมีแนวทำงในกำรสอนที่แตกต่ำงกันจะสำมำรถออกแบบกำรเรียนรู้ให้ เข้ำถึงผู้เรยี นไดอ้ ยำ่ งมปี ระสทิ ธิภำพ ดังแสดงในภำพประกอบ 1 ภาพประกอบ 1 กำรจัดสภำพแวดลอ้ มกำรเรียนรเู้ พ่ือเพิ่มศักยภำพพหุปัญญำ ทม่ี า: Mariyana & Ocih (2017) 2) พื้นที่ในมิติของการมีปฏิสัมพันธ์ คือ พ้ืนที่ทำงควำมสัมพันธ์ท่ีไม่ต้องมี พนื้ ทที่ ำงกำยภำพ แตม่ กี ำรใหค้ ณุ คำ่ เกดิ จำกกำรมปี ฏสิ มั พนั ธร์ ะหวำ่ งครผู สู้ อนกบั ผเู้ รยี น ผู้เรียนกับผู้เรียน หรือผู้ปกครองกับผู้เรียน สำมำรถส่งเสริมเชำวน์ปัญญำของผู้เรียน แตล่ ะดำ้ นตำมควำมสนใจและควำมถนดั ดว้ ยกำรสรำ้ งสรรค์ สรำ้ งคณุ คำ่ รวมถงึ กำ� หนด ผลลพั ธแ์ ละควำมสำ� เรจ็ ในกำรส่งเสริมเชำวนป์ ัญญำทหี่ ลำกหลำย 17ค่มู อื การคัดกรองและพฒั นาพหปุ ญั ญา

3) พน้ื ท่ีดจิ ิทลั (Digital space) คือ ชุดหรอื แหล่งของขอ้ มูลสารสนเทศใน รปู แบบดจิ ทิ ลั ทค่ี รผู สู้ อนออกแบบพน้ื ทไ่ี วส้ ำ� หรบั การปอ้ นขอ้ มลู สารสนเทศใหแ้ กผ่ เู้ รยี น แลกเปลย่ี นขอ้ มลู สารสนเทศกบั ผเู้ รยี น กระตนุ้ ความคดิ สรา้ งสรรค์ จนิ ตนาการของผเู้ รยี น และส่งเสรมิ การเรียนร้ขู องผู้เรียนไดอ้ ย่างไมส่ นิ้ สดุ 2.2 การใช้รูปแบบ A2D เพื่อพัฒนาพหปุ ญั ญา รูปแบบ A2D หรือ A square D หรือ AAD คือ รูปแบบและกลไกการพฒั นาและ ส่งเสรมิ พหุปัญญาเพ่อื การพัฒนาศกั ยภาพผู้เรยี น ทม่ี กี ลไกขบั เคลื่อน 8 กลไก และมี เงอ่ื นไขหรือปจั จยั แหง่ ความส�ำเร็จ 2 เงอ่ื นไข โดยมีรายละเอียดของโครงสรา้ งรปู แบบ กลไก และภาพประกอบดังนี้ + รปู แบบ A2D หรอื A square D มโี ครงสรา้ งทปี่ ระกอบดว้ ย 3 องคป์ ระกอบ ได้แก่ อักษร A จ�ำนวน 2 ตัวอักษร อักษร D จ�ำนวน 1 ตัวอักษร แต่ละตัวอักษร มีความหมายดงั นี้ • อกั ษร “A” ตวั แรก (A1) คือ “Area of intelligences” หรือ “พ้นื ที่ ของเชาวนป์ ญั ญาทง้ั 9 ดา้ น” หมายถงึ ความสามารถทางสมองของผเู้ รยี น ตามทฤษฎขี องการด์ เนอร์ ท้ัง 9 ด้าน ทส่ี ่งผลต่อการคิด การตัดสนิ ใจ การแก้ปญั หา การเรยี นรู้ และการดำ� รงชีวิตของผู้เรียน • อกั ษร “A” ตัวท่สี อง (A2) คอื “Learning activity” หรือ “กจิ กรรมการ เรยี นร”ู้ หมายถงึ การปฏบิ ตั ขิ องผเู้ รยี นในหอ้ งเรยี นและนอกหอ้ งเรยี น ท่ถี กู ออกแบบมาให้สอดคลอ้ งกับสง่ิ ทผ่ี เู้ รยี นมคี วามชอบ มคี วามถนัด และสง่ เสริมการพฒั นาเชาวน์ปญั ญาทงั้ 9 ดา้ นของผู้เรยี น • อักษร “D” คอื Digital platform หรือ “ฐานดจิ ทิ ลั ” หมายถงึ ดจิ ิทัล แพลตฟอรม์ หรือแอปพลเิ คชัน หรอื โปรแกรมคอมพวิ เตอรส์ �ำเรจ็ รปู ทสี่ นบั สนุนการเรยี นรู้ และสง่ เสริมการพัฒนาเชาวน์ปัญญาท้ัง 9 ดา้ น ของผู้เรียน 18 ค่มู อื การคัดกรองและพฒั นาพหปุ ัญญา

+ กลไกขับเคลื่อน 8 กลไก ท่ีท�ำให้กำรพัฒนำพหุปัญญำของผู้เรียน เกิดขึ้นได้อย่ำงต่อเน่ือง ได้แก่ 1) สำยสัมพันธ์ระหว่ำงผู้เรียนกับครูหรือผู้ปกครอง 2) สภำพแวดล้อมทำงวัฒนธรรม 3) พรี ะมิดกำรเรียนรู้ 4) กำรเรยี นรเู้ ชงิ รกุ ของผเู้ รยี น 5) แรงจูงใจในกำรเรียนรู้อย่ำงสร้ำงสรรค์ 6) กำรจัดกิจกรรมกำรเรียนรู้แบบกลุ่มย่อย 7) กำรใชส้ ื่อเทคโนโลยี และ 8) กำรประเมนิ กำรเรียนรู้ของผู้เรยี น + เง่อื นไขแห่งควำมสำ� เรจ็ หรือปจั จัยแหง่ ควำมสำ� เร็จ 2 เง่ือนไข แทนด้วย ตวั อกั ษร “C” มี 2 ตัวอกั ษร คือ • อกั ษร “C” ตวั แรก (C1) คอื Collaboration หรอื “ควำมรว่ มมือ” หมำยถึง กำรมีควำมร่วมมือของหน่วยงำนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับกำร จัดกำรศึกษำส�ำหรับผู้เรียนในยุคดิจิทัล ทั้งท่ีเป็นควำมร่วมมือของ หนว่ ยงำนระดบั ชำติ ระดับท้องถิน่ ระดบั ชุมชน และระดบั ครัวเรือน • อกั ษร “C” ตวั ท่สี อง (C2) คอื Connection หรือ “ควำมเชอ่ื มโยง” หมำยถึง ควำมเชื่อมโยงจำกหน่วยงำนนโยบำยระดับชำติไปยัง หน่วยงำนนโยบำยระดับท้องถ่ิน หน่วยงำนระดับปฏิบัติ จวบจน กระทั่งถงึ ตัวผ้เู รียน 19ค่มู อื การคัดกรองและพฒั นาพหปุ ญั ญา

ภาพประกอบ 2 รูปแบบและกลไกกำรพัฒนำและสง่ เสริมพหปุ ัญญำ เพือ่ กำรพฒั นำศกั ยภำพผ้เู รยี น A2D 20 ค่มู อื การคัดกรองและพฒั นาพหปุ ัญญา

โครงสร้างของรูปแบบ A2D อกั ษร “A” ตัวแรก (A1) หรอื “Area of intelligences” หรอื พ้ืนที่ของเชาวน์ปญั ญา พ้นื ที่ของเชาวน์ปญั ญา หมายถึง ความสามารถทางสมองของผู้เรยี น ที่ส่งผลต่อการคิด การตัดสินใจ การแก้ปญั หา การเรยี นรู้ และการด�ำรงชวี ติ ของผู้เรยี น จำ� แนกออกเปน็ 9 ด้าน ซ่งึ ผู้เรยี นแต่ละคนจะมเี ชาวน์ปญั ญา ครบท้ัง 9 ด้าน แต่จะมรี ะดับเชาวน์ปัญญาแต่ละด้านไมท่ ัดเทียมกัน ดังนี้ 1. เชาวน์ปญั ญาดา้ นภาษา (linguistic intelligence) เชาวน์ปัญญาดา้ นภาษา (linguistic intelligence) คือ ผูท้ ี่มีความสามารถในการ เรยี นรู้ภาษาได้อย่างรวดเรว็ และมีความสามารถในการใช้ภาษาไดถ้ ึงแกน่ 2. เชาวน์ปญั ญาด้านตรรกะและคณติ ศาสตร์ (Logical mathematical intelligence) เชาวนป์ ญั ญาดา้ นตรรกะและคณติ ศาสตร์ (Logical mathematical intelligence) คอื ผทู้ มี่ คี วามสามารถในการใชต้ วั เลข มคี วามสามารถในการตงั้ โจทยป์ ญั หาและแกโ้ จทย์ ปัญหา หรอื ต้ังสมมตฐิ านและทดสอบสมมติฐานดว้ ยการคิดเชงิ เหตแุ ละผล 3. เชาวนป์ ัญญาดา้ นมติ ิสมั พันธ์ (Spatial intelligence) เชาวน์ปัญญาด้านมิติสัมพันธ์ (Spatial intelligence) คือ ผู้ที่มีความสามารถ ในการมองเหน็ ภาพและทศิ ทางแบบสามมติ ิ มคี วามไวในการรบั รสู้ ง่ิ ตา่ ง ๆ รอบตวั สามารถ จ�ำแนกลกั ษณะ และเช่อื มโยงความสัมพันธข์ องสิ่งต่าง ๆ เหล่านัน้ 21ค่มู อื การคัดกรองและพฒั นาพหปุ ัญญา

4. เชาวน์ปญั ญาดา้ นรา่ งกายและการเคลอื่ นไหว (Bodily - kinesthetic intelligence) เชาวนป์ ญั ญาดา้ นรา่ งกายและการเคลอ่ื นไหว (Bodily - kinesthetic intelligence) คือ ผู้ที่มีการเคลื่อนไหวของร่างกายอย่างคล่องแคล่ว สามารถใช้ประโยชน์จากการ เคลือ่ นไหวของร่างกาย และจติ ใจประสานกันเป็นหนึ่งเดียว 5. เชาวนป์ ญั ญาดา้ นดนตรี (Musical intelligence) เชาวนป์ ัญญาด้านดนตรี (Musical intelligence) คอื ผ้ทู ี่มคี วามไวในการรบั ร้แู ละ ตอบสนองตอ่ ทว่ งทำ� นองของเสยี ง มคี วามสามารถในการใชแ้ ละสรา้ งแกนหลกั ของดนตรี คือ ระดับเสยี ง สูง - ต�ำ่ จังหวะ และความเรว็ ของเสียง 6. เชาวนป์ ญั ญาด้านการเขา้ ใจระหว่างบุคคล (Interpersonal intelligence) เชาวนป์ ัญญาดา้ นการเข้าใจระหว่างบุคคล (Interpersonal intelligence) คอื ผูท้ ีม่ มี นษุ ยสัมพนั ธ์ มีความไวในการสงั เกตสหี นา้ ทา่ ทางของผู้อื่น มคี วามเข้าใจ อารมณ์ ความรู้สกึ ความคดิ และเจตนาของผอู้ ื่น 7. เชาวน์ปัญญาด้านการเข้าใจตนเอง (Intrapersonal intelligence) เชาวนป์ ญั ญาดา้ นการเขา้ ใจตนเอง (Intrapersonal intelligence) คอื ผทู้ มี่ คี วาม สามารถในการมองตน รจู้ กั ตน เขา้ ใจความคิด อารมณแ์ ละความต้องการของตนเอง และ สามารถควบคุมพฤตกิ รรมตนเอง 8. เชาวน์ปัญญาด้านธรรมชาติวทิ ยา (Naturalistic intelligence) เชาวน์ปัญญาด้านธรรมชาติวิทยา (Naturalistic intelligence) คือ ผู้ที่เข้าใจ ธรรมชาติและการเปลยี่ นแปลงของธรรมชาติ มคี วามรอบรู้เรอ่ื งของพชื และสัตว์ 9. เชาวนป์ ญั ญาดา้ นการดำ� รงอยขู่ องชวี ติ (Existential intelligence) เชาวน์ปญั ญาดา้ นการด�ำรงอยู่ของชีวติ (Existential intelligence) คอื ผู้ทเ่ี ขา้ ใจ สจั ธรรมของโลกและชวี ติ การดำ� รงอยขู่ องมนษุ ย์ คณุ คา่ ของมนษุ ยท์ ม่ี ตี อ่ โลกและจกั รวาล 22 ค่มู อื การคัดกรองและพฒั นาพหปุ ัญญา

อักษร “A” ตัวที่สอง (A2) หรอื “Learning activity” หรอื กิจกรรมการเรยี นรู้ กิจกรรมการเรยี นรู้ หมายถึง การปฏิบัติของผู้เรยี นในห้องเรยี นและ นอกห้องเรยี นท่ีถูกออกแบบมาให้สอดคล้องกับส่ิงท่ีผู้เรยี นมีความชอบ มคี วามถนัด และส่งเสรมิ การพฒั นาเชาวน์ปัญญาทั้ง 9 ด้านของผู้เรยี น มี 5 กิจกรรม ดังนี้ 1. กิจกรรมการเรยี นรทู้ ั่วไป เชาวน์ปั ญญา: ด้านภาษา กิจกรรมการเรยี นรทู้ ั่วไป l การอ่านหนงั สือ อา่ นนิทาน เรื่องเล่า l การเขยี นเรื่องสน้ั สำ� หรบั จดหมายข่าวในชัน้ เรียน l การเขยี นบทความสารคดีส�ำหรบั หนังสือ/วารสารของโรงเรยี น l การเขียนจดหมายถึงบรรณาธกิ ารเพอ่ื วิจารณ์บทความ l เขียนถึงตัวแทนของฝ่ายปกครองหรอื หนว่ ยงานปกครองในทอ้ งถนิ่ เก่ยี วกับปญั หาใน โรงเรยี นหรอื ท้องถ่นิ l การใช้ทรัพยากรดจิ ทิ ัล และการเผยแพรค่ วามรู้ เช่น หอ้ งสมดุ อเิ ล็กทรอนิกส์ l การสรา้ งบทกวีส�ำหรบั หนงั สือกวนี ิพนธใ์ นชน้ั เรียน l การประกวดกวีนพิ นธ์ l การศึกษานิสยั ของผู้พดู ที่ดี l การเลา่ เรอื่ งใหช้ ั้นเรียน l การโต้วาที l การพบปะนกั เขียน นักกวี นักเลา่ เร่อื งและนกั พูด 23ค่มู อื การคัดกรองและพฒั นาพหปุ ญั ญา

เชาวน์ปั ญญา: ด้านตรรกะและคณิตศาสตร์ กิจกรรมการเรยี นรทู้ ั่วไป l การทำ� แบบฝึกหดั การคำ� นวณ l การวิเคราะห์ทฤษฎแี ละโปรแกรมคอมพวิ เตอร์ l การฝึกคดิ และแก้ปัญหาเชงิ เหตุและผล l การค้นหารูปแบบ/แบบแผนตา่ ง ๆ ในหอ้ งเรยี น โรงเรยี น ชุมชน และบ้าน l การค้นควา้ ทดลองตามแนวคิดทางวิทยาศาสตร์ l การใช้ซอฟต์แวร์คณิตศาสตรแ์ ละวิทยาศาสตร์ เชน่ Math Blaster ซึ่งชว่ ยเสรมิ ทักษะทางคณติ ศาสตรห์ รือ King’s Rule ซ่งึ เปน็ การฝึกความคดิ เชิงตรรกะ l การใชช้ ดุ เครอ่ื งมือวทิ ยาศาสตรส์ ำ� หรบั โปรแกรมวทิ ยาศาสตร์ l การออกแบบรหสั ตัวอักษรและตัวเลข l การสรา้ งสรรคแ์ ละการเปรียบเทยี บ เชาวน์ปั ญญา: ด้านมิติสัมพันธ์ กิจกรรมการเรยี นรทู้ ั่วไป l การถ่ายภาพสำ� หรับงานที่มอบหมาย จดหมายขา่ วในชน้ั เรียน และโรงเรียน l ถา่ ยภาพส�ำหรบั รายงานประจำ� ปีของโรงเรียน จดหมายข่าวของโรงเรยี น หรืองาน วิทยาศาสตร์ l การจดั แสดงโปสเตอร์ สไลด์ งานศลิ ปะ การจดั นิทรรศการ และการเยย่ี มชม พิพธิ ภณั ฑ์ l การใช้ดินเหนยี วหรอื แปง้ ปั้นแสดงแนวคิดของเน้อื หาจากบทเรียน l การใช้แบบจ�ำลองภาพ (Pictorial models) เชน่ Flow charts Visual maps Venn diagrams Timelines l การจดบันทกึ โดยใช้ Concept mapping Mind mapping และ Clustering l การใช้ห่นุ มอื (Puppets) เพ่อื แสดงแนวคดิ ที่เรียนรู้จากชั้นเรยี น l การใช้แผนที่เพอื่ ศกึ ษาตำ� แหนง่ ทางภูมศิ าสตรเ์ พอื่ น�ำมาอภิปรายในชั้นเรียน l วาดภาพประกอบบทประพนั ธโ์ ดยใช้ซอฟต์แวรค์ อมพวิ เตอร์สำ� หรับเรียนในชนั้ เรยี น l การใชซ้ อฟต์แวร์ระบบเสมอื นจริง (Virtual - reality system software) 24 ค่มู อื การคัดกรองและพฒั นาพหปุ ัญญา

เชาวน์ปั ญญา: ด้านรา่ งกายและการเคล่ือนไหว กิจกรรมการเรยี นรทู้ ั่วไป l การสร้างเครอื่ งแต่งกายส�ำหรบั การแสดง l การออกแบบอปุ กรณ์ประกอบฉากสำ� หรบั การเลน่ และการแสดง l การแสดงแนวคิดต่าง ๆ เช่น “ดาวเคราะห์ผเู้ รยี น” ลอ้ มรอบ “ดวงอาทติ ยผ์ เู้ รยี น” หรอื ผู้เรียนรวมตัวกันเพอื่ แสดงเหตกุ ารณใ์ นประวัติศาสตร์ l การมีกิจกรรมการละเลน่ ชว่ งพกั ระหวา่ งวัน l การสร้างวัตถโุ ดยใช้บล็อกลกู บาศกห์ รือ Legos เพือ่ แสดงเนอื้ หาที่ได้เรียนรู้ l การชมภาพยนตว์ ิดโี อออกก�ำลงั กาย l การออกก�ำลงั กายตามจังหวะดนตรี เชาวน์ปั ญญา: ด้านดนตรี กิจกรรมการเรยี นรทู้ ั่วไป l การแต่งเพลงและดนตรีของตนเองจากเนื้อหาที่เรียน l แตง่ เนือ้ เพลงใหม่ลงในบทเพลงแลว้ นำ� ไปแสดงในชน้ั เรยี น l น�ำบทประพนั ธ์ไปแต่งเปน็ เพลงแลว้ น�ำไปแสดงในชัน้ เรียน l การฟังดนตรี และคอนเสริ ต์ ฟงั เพลงจากยุคประวัตศิ าสตร์ทีแ่ ตกตา่ งกัน l การใช้จงั หวะและการปรบมอื เพ่อื จดจ�ำเน้อื หาวชิ าตา่ ง ๆ l การฟังซีดีทสี่ อนแนวคิดตา่ ง ๆ เชน่ Schoolhouse rock ซ่ึงเปน็ การต์ นู คลาสสกิ พร้อมเพลงเพราะ ๆ ทเี่ ด็กจะร้องตามได้ท้งั วัน เพือ่ ช่วยให้เดก็ ๆ ในยุค 70 จดจ�ำ รัฐธรรมนญู และวธิ ีสรา้ งกฎหมายท่แี ทจ้ ริง และรู้จกั หน้าทพ่ี ลเมอื งและการเมือง เชาวน์ปั ญญา: ด้านการเขา้ ใจระหว่างบุคคล กิจกรรมการเรยี นรทู้ ั่วไป l ท�ำงานเปน็ ทมี รว่ มมือออกแบบงานและท�ำงาน l จับคทู่ �ำงานเพ่อื เรียนรู้เนอ้ื หาคณติ ศาสตร์และวิชาอน่ื ๆ 25ค่มู อื การคัดกรองและพฒั นาพหปุ ัญญา

กิจกรรมการเรยี นรทู้ ั่วไป l สัมภาษณผ์ ู้ทีม่ ปี ระสบการณ์เก่ียวกบั เนื้อหารายวชิ าท่เี รยี น (เชน่ นักเทคนิคในห้อง ปฏิบัตกิ ารเพ่อื เรียนรวู้ ิชาวิทยาศาสตร์ชวี ภาพ เปน็ ต้น) l ตวิ หรอื สอนผเู้ รียนท่ีอายนุ ้อยกว่าหรอื เพอ่ื นรว่ มชัน้ l การเล่นหุ่นละคร เชาวน์ปั ญญา: ด้านการเข้าใจตนเอง กิจกรรมการเรยี นรทู้ ั่วไป l การเขยี นสะทอ้ นความคิดเหน็ ของตนเองเกยี่ วกับเนือ้ หาทีเ่ รียน l การเขยี นบทความจากมุมมองของตนเองเกย่ี วกับบคุ คลส�ำคญั ในประวตั ศิ าสตร์ l การเขียนไดอาร่ี อนุทิน หรือบนั ทึกความจ�ำ l การเขียนอตั ชีวประวตั สิ ะทอ้ นชีวติ การเป็นนักอ่านของตนเอง l การเขียนเปา้ หมายของตนเองในอนาคตและเสน้ ทางการท�ำใหบ้ รรลเุ ปา้ หมาย l การใช้ซอฟต์แวร์ที่ช่วยใหท้ ำ� งานไดด้ ้วยตัวคนเดยี ว เชน่ ซอฟตแ์ วร์ ชว่ ยการตดั สินใจ ซอฟต์แวร์ทางเลือก หรอื ซอฟตแ์ วร์การเลอื กอาชีพ l บนั ทึกชีวติ ประจำ� วันท่ีเกบ็ สะสมตลอดทงั้ ปี l ท�ำสมุดบันทกึ ติดภาพส�ำหรบั บทประพันธ์ บนั ทกึ หรอื และบันทึกสะทอ้ นความ คิดเห็น เชาวน์ปั ญญา: ด้านธรรมชาติวิทยา กิจกรรมการเรยี นรทู้ ั่วไป l การเย่ยี มชมฟารม์ สวนสตั ว์ สวนพฤกษศาสตร์ l การดแู ลตน้ ไม้ในห้องเรียน l การดูแลสัตว์เลยี้ งในห้องเรยี น l การทำ� สวนขวดแก้ว ตปู้ ลา สัตว์เล้ียง l การจดั หมวดหมู่ จำ� แนกวตั ถุธรรมชาติ เชน่ ใบไม้และหิน 26 ค่มู อื การคัดกรองและพฒั นาพหปุ ัญญา

กิจกรรมการเรยี นรทู้ ั่วไป l กำรศึกษำวิจัยแหล่งทีอ่ ยู่อำศัยของสตั ว์ l กำรเฝำ้ สังเกตสภำพแวดล้อมทำงธรรมชำติ l กำรจดั ระเบียบหรอื มสี ว่ นรว่ มในกำรท�ำควำมสะอำดสวนสำธำรณะหรอื สนำมเดก็ เล่น l กำรรณรงคก์ ำรรไี ซเคลิ เชาวน์ปั ญญา: ด้านการดำารงอยู่ของชวี ิต กิจกรรมการเรยี นรทู้ ั่วไป l กำรทำ� กิจกรรมด้ำนศำสนำ สำธำรณประโยชน์ l กำรเรียนรทู้ ำ� ควำมเข้ำใจธรรมชำติของชีวิต ควำมสัมพันธ์ของชีวติ กับสงิ่ แวดล้อม รอบตัว l กำรเรยี นรปู้ รบั ตัวต่อกำรเปลย่ี นแปลง กำรเขำ้ ใจในเหตุและผลของกำรเปลี่ยนแปลง l กำรจัดกิจกรรมพ่สี อนน้อง เพ่ือนช่วยเพือ่ น จติ อำสำพฒั นำ l กำรใช้แอปพลเิ คชันกำรสือ่ สำรกำรแกโ้ จทยป์ ญั หำเพอ่ื กำรเปลีย่ นแปลงโลกรอบตัว 27ค่มู อื การคัดกรองและพฒั นาพหปุ ัญญา

2. กิจกรรมการเรยี นรเู้ กมสรา้ งสรรค์ เกมสรา้ งสรรค์ คือ เกมท่ีออกแบบมาเพ่อื ใหผ้ ู้เรยี นได้เรยี นรพู้ รอ้ ม ๆ กับมคี วามสนกุ สนาน และมคี วามสขุ โดยครผู สู้ อนและผเู้ รยี นสามารถรว่ มกัน คัดเลอื กเกมที่ส่งเสรมิ การพฒั นาเชาวน์ปัญญาของผู้เรยี น เชาวน์ปั ญญา: ด้านภาษา กิจกรรมการเรยี นรเู้ กมสรา้ งสรรค์ l ปรศิ นาคำ� ไขว้ (Crossword) l เกมคำ� ศพั ท์ และเกมประมวลผลคำ� เช่น Scrabble, Scrabble Junior หรอื Boggle เชาวน์ปั ญญา: ด้านตรรกะและคณิตศาสตร์ กิจกรรมการเรยี นรเู้ กมสรา้ งสรรค์ l การเล่นเกมคณติ ศาสตร์ เช่น โดมิโน หมากรุก หมากฮอส หมากขุม (Mancala) l จัดลำ� ดับภาพหรอื การจดั เรยี งลำ� ดับ l การแกป้ รศิ นาโดยใชเ้ หตุผลแบบนิรนัย l การวางแผนการเงินของธุรกจิ จ�ำลอง l การเลน่ เกมหลบหนอี อกจากพนื้ ท่อี นั ตราย เชน่ เกมเขาวงกต เชาวน์ปั ญญา: ด้านมิติสัมพันธ์ กิจกรรมการเรยี นรเู้ กมสรา้ งสรรค์ l การเล่นเกมต่อภาพหรือเกมการเห็นและการคดิ เกมรบู ิคหรือเกมตอ่ บล็อค เชาวน์ปั ญญา: ด้านรา่ งกายและการเคล่ือนไหว กิจกรรมการเรยี นรเู้ กมสรา้ งสรรค์ l เกมทีใ่ ช้ความเร็วของกลา้ มเน้ือรา่ งกาย เช่น บอร์ดเกม Twister และ Simon says l การเล่นเกมล่าสมบตั ิ (Scavenger hunt) คน้ หาไอเทม็ ต่าง ๆ 28 ค่มู อื การคัดกรองและพฒั นาพหปุ ญั ญา

กิจกรรมการเรยี นรเู้ กมสรา้ งสรรค์ l การจำ� ลองการเคลอื่ นไหวแบบอเิ ลก็ ทรอนกิ ส์ (Electronic motion - simulation games) เชาวน์ปั ญญา: ด้านดนตรี กิจกรรมการเรยี นรเู้ กมสรา้ งสรรค์ l การแขง่ ขันการจับจังหวะดนตรี หรอื การต่อเพลง แตง่ เพลง เชาวน์ปั ญญา: ด้านการเข้าใจระหว่างบุคคล กิจกรรมการเรยี นรเู้ กมสรา้ งสรรค์ l การแขง่ ขนั เป็นทมี การเล่นเปน็ ทีม l การอภปิ ราย และการท�ำงานเปน็ กลุม่ เชาวน์ปั ญญา: ด้านการเข้าใจตนเอง กิจกรรมการเรยี นรเู้ กมสรา้ งสรรค์ l การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม และงานอดิเรก เชาวน์ปั ญญา: ด้านธรรมชาติวิทยา กิจกรรมการเรยี นรเู้ กมสรา้ งสรรค์ l การสะสม จัดหมวดหมู่ หรอื ดแู ลสตั วแ์ ละพืช การท�ำนายชนดิ สายพันธุ์ หรอื จ�ำแนก หมวดหมสู่ ัตว์และพชื เชาวน์ปั ญญา: ด้านการดำ�รงอยูข่ องชวี ิต กิจกรรมการเรยี นรเู้ กมสรา้ งสรรค์ l เกมที่ช่วยสร้างความเข้าใจการเปล่ียนแปลงของโลกและจักรวาล หรือความสัมพันธ์ ของโลกและจักรวาล 29ค่มู อื การคัดกรองและพฒั นาพหปุ ญั ญา

3. กิจกรรมการเรยี นรแู้ บบกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ กิจกรรมการเรยี นรแู้ บบกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ คือ กิจกรรมการ เรยี นรทู้ ี่มีการประยุกต์จากแนวคิดของ Gagne (1977) รว่ มกับการฝึก กระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ ซ่งึ มี 6 ข้นั ตอน 1. การสะท้อนตนเอง (Self – reflection) ซึ่งผู้เรียนจะแสดงความคิดเห็น เกี่ยวกับตนเอง พฤตกิ รรมการเรียน และงานอดเิ รกของผู้เรยี น 2. ครูแนะน�ำแนวคิดเก่ียวกับการฝึกกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ (Practices science process skills: SPS) 3. ผเู้ รยี นจะตัง้ ประเดน็ คำ� ถามเก่ยี วกับเนือ้ หาในรายวชิ าท่ีจะเรยี น 4. ครูต้ังประเด็นค�ำถามเชิงลึกเชื่อมโยงกับศักยภาพด้านพหุปัญญาผ่านการ ปฏบิ ัติกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ 5. จัดกิจกรรมให้ผู้เรียนได้แสดงถึงการมีความรู้ความเข้าใจที่สอดคล้องกับ พหปุ ญั ญาของผเู้ รยี นดว้ ยรปู แบบทเ่ี นน้ การฝกึ ปฏบิ ตั ริ ว่ มกนั เชน่ การทำ� โครงงาน ช้ินงาน การส�ำรวจ การออกแบบ การเขียนสารคดี เป็นต้น โดยแบ่งกลุ่ม ฝึกปฏิบัติกิจกรรมตามลักษณะพหุปัญญาท่ีเด่นชัดในด้านต่าง ๆ ได้แก่ ด้านภาษา ด้านตรรกะคณิตศาสตร์ ด้านมิติสัมพันธ์ ด้านร่างกายและ การเคลอื่ นไหว ดา้ นดนตรี ดา้ นการเขา้ ใจระหวา่ งบคุ คล ดา้ นการเขา้ ใจตนเอง ด้านธรรมชาติวิทยา ด้านการดำ� รงอย่ขู องชวี ิต 6. สรุปบทเรยี น กิจกรรมในขนั้ ตอน 1 ถึง 4 จดั เป็นกจิ กรรมกลมุ่ ในข้ันตอนที่ 5 จะจดั กลุม่ แยก ตามลกั ษณะทางพหปุ ญั ญา และในขัน้ ตอนท่ี 6 จะเปน็ การนำ� เสนอรายบคุ คล 30 ค่มู อื การคัดกรองและพฒั นาพหปุ ญั ญา

4. กิจกรรมการเรยี นรแู้ บบบทบาทสมมติ กิจกรรมการเรยี นรแู้ บบบทบาทสมมติ เปน็ กิจกรรมจากประสบการณ์ ของผู้เรยี นหรอื สิ่งที่ผู้เรยี นสนใจ เชน่ ความสัมพนั ธก์ ับเพ่อื นหรอื ความ ขัดแย้งกับคนในครอบครวั ครจู ะแนะน�ำให้ผู้เรยี นแสดงบทบาทหลาย ๆ แบบ กระตุ้นให้ผู้เรยี นรูจ้ กั ใชค้ �ำพูดของตนเองรว่ มอภิปราย และแสดง ความคดิ เหน็ โดยใชค้ ำ� ถามเปน็ ตวั กระตนุ้ นอกจากจะทำ� ใหผ้ เู้ รยี นรจู้ กั แสดง ความคิดเห็นแล้วยังท�ำให้ผู้เรยี นรูจ้ กั รบั ฟังความคิดเห็นของผู้เรยี นคน อ่นื ๆ ด้วย กระบวนการเหลา่ นีช้ ว่ ยใหผ้ เู้ รยี นมคี วามเขา้ ใจผทู้ ี่มคี วามคิดและ ประสบการณ์ที่แตกต่างจากตนเองมากข้ึน กลยุทธท์ ี่ครใู ช้ คือ การพูด การเขียน การแสดงท่าทาง กระตุ้นให้ผู้เรยี นมีส่วนรว่ มและมีใจจดจ่อ มีความสนใจต่อเน่ือง ในด้านการอภิปราย ครจู ะใชว้ ธิ กี ารตั้งค�ำถาม และ เลา่ เร่อื งของตนเอง หรอื แกลง้ ทำ� ตวั เปน็ คนอ่นื ใชแ้ ผน่ ปา้ ยผา้ หรอื ใชต้ กุ๊ ตา ในขณะที่ผู้เรยี นจะแสดงออกท้ังการพูดหรอื การแสดงท่าทาง ในบางครง้ั จะมี Field trip เพ่อื ให้คนในชุมชนให้ความสนใจและมีส่วนรว่ ม ในชว่ ง 5 นาที สุดท้ายของคาบ จะเปน็ เวลาในการสะท้อนวา่ ผู้เรยี นได้ท�ำอะไรบา้ ง ผู้เรยี นชอบอะไรมากที่สุด ผู้เรยี นสนใจอะไรมากที่สุดในระหวา่ งการท�ำ กิจกรรม แม้วา่ การเช่อื มโยงประสบการณ์กับการแสดงออกอาจจะท�ำได้ ยาก แตก่ ารทผ่ี เู้ รยี นไดพ้ ูดจะทำ� ใหผ้ เู้ รยี นสามารถเปลย่ี นประสบการณใ์ หเ้ ปน็ คำ� พูดทม่ี คี วามเปน็ รปู ธรรมมากข้นึ และเสรมิ สรา้ งพหปุ ญั ญาดา้ นการเขา้ ใจ ตนเองของผู้เรยี น กิจกรรม: จติ ใจของฉัน (My Mind) จุดมุ่งหมาย: เข้าใจความคิดและความรู้สึกของคนอื่นและของผู้เรียนเอง และคิดถึง วธิ กี ารทจ่ี ะทำ� ให้คนอ่ืนมีความสุข เน้อื หา/รายละเอยี ด: สรา้ งจินตนาการวา่ มรี ้านทผ่ี เู้ รียนสามารถซอ้ื อะไรกไ็ ดต้ ามทค่ี ิด จากนั้นก็วาดรูปหรือปั้นแป้งส่ิงของท่ีผู้เรียนต้องการซ้ือ แบ่งปันความคิดกับสิ่งของที่ ผู้เรยี นซ้อื กบั เพ่ือน ๆ 31ค่มู อื การคัดกรองและพฒั นาพหปุ ัญญา

กิจกรรม: ระหวา่ งเพ่ือน จดุ ม่งุ หมาย: เขา้ ใจจติ ใจของเพ่ือนและใหส้ ่ิงทเ่ี พ่อื นตอ้ งการ เน้ือหา/รายละเอียด: สร้างอภิปรายเก่ยี วกบั ตวั ละครจากเรือ่ งราวบนแผน่ ปา้ ยผ้าและ ค้นหาวิธีการแก้ปัญหาท่ีตัวละครต้องเผชิญ ผู้เรียนรู้สึกอย่างไรหลังจากสวมบทบาทนี้ และแบ่งปนั กับเพอ่ื นผู้เรยี นว่าได้พบเจอเหตกุ ารณเ์ หมือนกนั หรอื ไม่ กิจกรรม: ฉันชอบเธอ จดุ มงุ่ หมาย: แสดงความรูส้ กึ ชอบท่ีมตี อ่ ผู้อืน่ อยา่ งเหมาะสม เนื้อหา/รายละเอียด: ให้นึกถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นและลองใช้วิธีแก้ปัญหาท่ีผู้เรียน คิดขึ้น แล้วอภิปรายถึงสิ่งท่ีผู้เรียนคิดและได้แสดงบทบาทและแบ่งปันวิธีที่เหมาะสม ในการแสดงความรกั ตอ่ เพื่อนของผูเ้ รียน กิจกรรม: ฉันเกลียดน้องชายของฉัน จุดมุ่งหมาย: เข้าใจได้ว่าพ่ีน้องไม่ใช่คู่แข่งขันให้พ่อแม่รัก แต่เป็นคนที่ฉันต้องรักและ ดแู ล เนื้อหา/รายละเอียด: สวมบทบาทเป็นแม่หมีและพ่อหมี เขียนจดหมายถึงลูกหมี หลังจากเล่นบทบาทสมมติแล้ว ให้แบ่งปันบทเรียนท่ีผู้เรียนได้เรียนรู้ และสัญญากับ ตวั เองว่าผเู้ รยี นจะรกั พ่อแมแ่ ละพนี่ ้องให้มากขึ้น กิจกรรม: มาช่นื ชมกันเถอะ จดุ ม่งุ หมาย: ชมเพ่ือนและตนเองท่มี คี วามเข้มแข็ง เนอื้ หา/รายละเอยี ด: ชมและให้ก�ำลังใจเพ่อื นของผเู้ รียน ซ่อนเด็กคนหนง่ึ ไว้หลังแผน่ กระดานผ้า และให้เด็กท่ีเหลือพูดให้ก�ำลังใจเด็กที่ซ่อนตัวอยู่ แบ่งปันความรู้สึกของ ผเู้ รยี นเม่ือได้ยนิ คำ� ชม 32 ค่มู อื การคัดกรองและพฒั นาพหปุ ัญญา

กิจกรรม: ถึงเพ่ือนของฉัน จุดมงุ่ หมาย: ลองคิดดูวา่ ทำ� ไมผเู้ รียนถึงชอบเพื่อนบางคน และแสดงความรสู้ กึ ท่ีมีกับ เพอื่ นคนน้นั เนื้อหา/รายละเอียด: วาดภาพดูว่าผู้เรียนคิดว่าเพ่ือน ๆ เป็นใครและลองพูดคุยกับ พวกเขาวา่ ทำ� ไมคณุ ถงึ ชอบหรอื ไมช่ อบพวกเขา และอภปิ รายถงึ การทผี่ เู้ รยี นไดส้ ารภาพ ความรู้สกึ ทีม่ ีต่อเพอ่ื น และทำ� อย่างไรจึงจะท�ำให้ผู้เรยี นได้คบกับเพอ่ื น ๆ ตอ่ ไป กิจกรรม: รกั ษาสัญญานี่ยากจงั จุดมุ่งหมาย: คิดถึงค�ำสัญญาที่เคยให้ไว้และแสดงให้รู้ว่าค�ำสัญญาแบบไหนที่รักษา ได้ยาก เพราะเหตุใดการรักษาค�ำสัญญาน้ันถึงไดม้ ีความส�ำคัญ เนอื้ หา/รายละเอยี ด: ใหเ้ ขยี นถงึ คำ� สญั ญาทค่ี ดิ วา่ รกั ษาไดย้ ากทสี่ ดุ แลว้ แบง่ ปนั กบั เพอื่ น อภปิ รายว่าผู้เรยี นมคี วามร้สู กึ อยา่ งไรกับกจิ กรรมนี้ กิจกรรม: โตข้นึ ฉันอยากเป็ นอะไร จุดมุ่งหมาย: อภิปรายว่าผู้เรียนชอบท�ำงานแบบไหนในอนาคตและถ้าจะท�ำงานน้ัน ผู้เรียนต้องมคี ุณสมบัตอิ ะไรบา้ ง เนื้อหา/รายละเอียด: ท�ำแถบกระดาษคาดศีรษะท่ีเขียนว่า “อนาคตของฉัน” และ แนะนำ� ตวั ตนในอนาคตของผเู้ รยี น อภปิ รายกบั เพอื่ นผเู้ รยี นถงึ งานทพ่ี อ่ แม่ ผปู้ กครองทำ� และถ้าโตเปน็ ผู้ใหญผ่ เู้ รียนชอบหรอื อยากท�ำงานอะไร กิจกรรม: กอดฟรี จดุ ม่งุ หมาย: สมั ผสั วา่ การกอดกันดว้ ยความรักและการปลอบใจนั้นเป็นอย่างไร เนอ้ื หา/รายละเอียด: อา่ นหนังสอื “กอดฟรี” และให้ผ้เู รยี นท�ำตวั แบบตวั ละครตัวเอก ทถี่ อื ปา้ ย “กอดฟร”ี และกอดคนทว่ั ไปบนถนน แบง่ ปนั ความรสู้ กึ ของผเู้ รยี น เมอื่ ผเู้ รยี น กอดกับผเู้ รียนคนอื่น 33ค่มู อื การคัดกรองและพฒั นาพหปุ ญั ญา

กลไกการพัฒนาและส่งเสรมิ พหปุ ั ญญา เพ่ือการพัฒนาศักยภาพผู้เรยี น กลไก (Mechanisms) ท่ีขับเคล่ือนรูปแบบการพัฒนาและส่งเสริมพหุปัญญาของ ผู้เรยี นได้อยา่ งตอ่ เน่ือง จากผลการศึกษามจี �ำนวนทั้งส้นิ 8 กลไก กลไก 1 สายสัมพันธ์ระหวา่ งผู้เรยี นกับครหู รอื ผู้ปกครอง หมายถงึ ความสมั พนั ธใ์ กลช้ ดิ ระหวา่ งผเู้ รยี นกบั ครหู รอื ผปู้ กครอง เปน็ สงิ่ ทท่ี ำ� ใหค้ รหู รอื ผู้ปกครองได้สามารถรับรู้และเข้าใจถึงศักยภาพของผู้เรียน สิ่งที่ผู้เรียนชื่นชอบ รวมทั้งความตอ้ งการในการพัฒนาตนเองของผ้เู รียน กลไก 2 สภาพแวดล้อมทางวฒั นธรรม หมายถงึ สมรรถภาพในการปรบั ตัวให้เขา้ กบั สถานการณข์ องคนรนุ่ หนึง่ ที่ถกู ถา่ ยทอด ไปยงั คนร่นุ ต่อ ๆ ไป ผู้ทีม่ วี ัฒนธรรมแตกตา่ งกนั จะมคี วามคิดและทกั ษะการแก้ปญั หา ทแี่ ตกตา่ งกนั ไดด้ ้วย กลไก 3 พีระมดิ การเรยี นรู้ หมายถึง ผลลัพธ์การเรียนรู้ท่ีได้จากวิธีการเรียนรู้ที่แตกต่างกัน กล่าวคือ ผู้เรียนที่ เรยี นรเู้ ชงิ ลกึ จากการสอนผอู้ นื่ อตั ราการคงอยขู่ องสง่ิ ทไ่ี ดเ้ รยี นรจู้ ะเพม่ิ สงู ถงึ รอ้ ยละ 95 ถ้าได้ทดลองปฏิบตั ิ (Practice doing) จะชว่ ยใหอ้ ัตราการคงอยไู่ ดร้ อ้ ยละ 75 ถา้ หาก ได้รว่ มอภิปรายในหอ้ งเรยี น (Discussion) จะช่วยให้อตั ราการคงอยูไ่ ด้ร้อยละ 50 แต่ ถ้ามกี ารผสมผสานการเรยี นรหู้ ลาย ๆ วิธจี ะท�ำใหอ้ ัตราการคงอยขู่ องความรเู้ พม่ิ สูงขนึ้ กลไก 4 การเรยี นรเู้ ชงิ รกุ ของผู้เรยี น หมายถงึ การลงมือปฏบิ ตั แิ ละมสี ่วนร่วมในกระบวนการเรยี นรูด้ ว้ ยตนเอง เมื่อผู้เรยี น มีความเข้าใจความสมดุลทางพหุปัญญาของตนเองแล้ว ผู้เรียนจะเป็นผู้ริเริ่มจัดการ การเรยี นรู้ของตนเองและให้คุณคา่ กับจดุ แข็งของตนเอง 34 ค่มู อื การคัดกรองและพฒั นาพหปุ ัญญา

กลไก 5 แรงจงู ใจในการเรยี นรอู้ ยา่ งสรา้ งสรรค์ หมายถึง กระบวนการท่ีเกิดข้ึนภายในตัวผู้เรียน ท่ีมีส่วนในการผลักดันให้ผู้เรียนไปสู่ เป้าหมาย แรงจูงใจส่งผลทั้งความทุ่มเท ความคิด อารมณ์ และพฤตกิ รรมไปในทางที่ สร้างสรรค์ มี 2 แบบ คือ 1) แรงจงู ใจแบบบูรณาการ (Integrative motivation) จะท�ำให้ ผเู้ รยี นมคี วามสนใจทจ่ี ะเรยี นรแู้ ละสรา้ งสรรคเ์ กยี่ วกบั วฒั นธรรมและภาษา และ 2) แรงจงู ใจ แบบเครือ่ งมอื (Instrumental motivation) จะทำ� ให้ผู้เรียนมคี วามสนใจเรียนรแู้ ละ สรา้ งสรรคก์ ารทำ� งาน เช่น สนใจงานที่สรา้ งรายไดเ้ พ่มิ ขนึ้ เป็นต้น กลไก 6 การจดั กิจกรรมการเรยี นรแู้ บบกล่มุ ย่อย หมายถงึ การแบง่ ผ้เู รยี นท่เี ขา้ รว่ มกจิ กรรมออกเป็นกลมุ่ ยอ่ ย ๆ ที่มีขนาดไมเ่ กนิ 4 - 6 คน เพ่ือให้ผู้เรียนเข้าร่วมกิจกรรมอย่างท่ัวถึง เกิดการเรียนรู้แบบร่วมมือได้อย่างมี ประสทิ ธภิ าพ (Effective collaborators) ครผู สู้ อนสามารถจดั กลมุ่ ตามความสามารถ ของผเู้ รยี น ถ้าหากครผู ู้สอนตอ้ งการพฒั นาผู้เรียนตามความสามารถ ครผู ้สู อนสามารถ อนญุ าตใหผ้ เู้ รยี นจดั กลมุ่ ดว้ ยตนเอง เพอื่ ใหผ้ เู้ รยี นทำ� งานตามความชอบและความถนดั เพราะผเู้ รียนจะรู้ว่าเพ่อื นแตล่ ะคนจะท�ำงานช่วยเหลอื กนั ในแต่ละบทบาทได้อยา่ งไร กลไก 7 การใชเ้ ทคโนโลยีในการท�ำกิจกรรม หมายถึง การน�ำส่ือเทคโนโลยีประเภทต่าง ๆ มาผสมผสานรวมกัน ซ่ึงประกอบด้วย ตวั อกั ษร (Text) ภาพนงิ่ (Image) ภาพเคล่ือนไหว (Animation) เสียง (Sound) และ วิดีโอ (Video) โดยผ่านกระบวนการทางระบบคอมพิวเตอร์ เพื่อสื่อความหมายกับ ผู้ใช้ในการท�ำกิจกรรม และใช้สนับสนุนการเรียนรู้อย่างมีปฏิสัมพันธ์ (Interactive multimedia) และสง่ เสริมเชาวนป์ ญั ญาแตล่ ะด้าน กลไก 8 การประเมนิ การเรยี นรขู้ องผู้เรยี น หมายถึง ความเข้าใจของครูเก่ียวกับข้ันตอนการประเมินการเรียนรู้ของผู้เรียน ซึ่งมี การประเมนิ การเรยี นรู้ 6 ขน้ั คอื 35ค่มู อื การคัดกรองและพฒั นาพหปุ ัญญา

ข้นั 1 จำ� (Remember) หมายถึง การระลกึ ได้ หรือการดงึ ขอ้ มูลจากความจำ� ที่มีอยู่มาใช้ในการนิยามให้ข้อเท็จจริง หรือรายการข้อมูลต่าง ๆ หรือท่องสิ่งท่ีเคย เรียนรมู้ าก่อนใหฟ้ งั ข้ัน 2 เข้าใจ (Understanding) หมายถงึ การให้ความหมายดว้ ยวธิ ีการต่าง ๆ เช่น การเขียนหรือวาดกราฟ หรือการใช้วิธีการอ่ืน ๆ ในการตีความ การยกตัวอย่าง การจัดจ�ำแนก การสรุปความ การเปรียบเทียบ หรอื การอธิบายการให้ความหมาย หรอื ใชว้ ธิ กี ารอนื่ ๆ ในการตคี วาม การยกตวั อยา่ ง การจดั จำ� แนก การสรปุ ความ การเปรยี บเทยี บ หรอื การใชว้ ิธกี ารตา่ ง ๆ ขนั้ 3 ประยกุ ตใ์ ช้ (Applying) หมายถึง การด�ำเนนิ การหรอื การใช้กระบวนการ ที่คิดข้ึนเองเพ่ือน�ำเอาผลผลิตจากการเรียนรู้ เช่น แบบจ�ำลอง รูปแบบการน�ำเสนอ การสมั ภาษณ์ หรอื ตน้ แบบ มาปรบั ใช้ ข้ัน 4 วิเคราะห์ (Analyzing) หมายถึง การแยกเนื้อหาหรือความคิดรวบยอด ออกเป็นส่วน ๆ แล้วจึงพิจารณาว่ามีส่วนใดสัมพันธ์กัน หรือเกี่ยวข้องกันด้วยส่วนใด หรอื ตลอดทัง้ โครงสรา้ ง มีการแยกแยะ จดั ระบบพร้อมให้เหตผุ ลประกอบ รวมท้งั แยก ความแตกตา่ งระหวา่ งองคป์ ระกอบหรอื สว่ นใดสว่ นหนงึ่ เมอื่ ผเู้ รยี นวเิ คราะหส์ มองกจ็ ะ ทำ� งานโดยการสรา้ งแผนภาพความคดิ ผงั ภาพ หรือแผนภูมิ ข้ัน 5 ประเมิน (Evaluating) หมายถึง การตัดสินใจภายใต้เกณฑ์ตัดสินและ มาตรฐาน ผ่านการตรวจสอบและวิพากษ์ ซ่ึงการวิพากษ์ แนะน�ำ การรายงานเป็น ผลผลิตเพียงบางส่วนที่สามารถสร้างขึ้นเพ่ือแสดงให้เห็นถึงกระบวนการประเมินผล ซึง่ มาก่อนข้ันการสร้างสรรค์ ข้นั 6 สร้างสรรค์ (Creating) หมายถึง การน�ำเอาส่วนประกอบที่มีอยู่มา เช่อื มสมั พนั ธ์กนั ท�ำใหเ้ กดิ สิ่งใหม่ รปู แบบใหม่ โครงสรา้ งใหม่ หรือระบบใหม่ท่แี ตกตา่ ง จากเดมิ การเชอ่ื มสัมพนั ธ์ในการสรา้ งสรรคจ์ ะตอ้ งใช้วธิ กี ารใหม่ หรอื มีการสงั เคราะห์ สว่ นใดส่วนหนึ่งไปเปน็ สงิ่ ใหม่ ทำ� ให้เกดิ รปู แบบใหม่หรอื ผลติ ภณั ฑ์ใหม่ 36 ค่มู อื การคัดกรองและพฒั นาพหปุ ญั ญา

เง่อื นไขสู่ความส�ำเรจ็ การส่งเสริมและพัฒนาพหุปัญญาที่หลากหลายของผู้เรียนมีความส�ำคัญต่อ การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ของประเทศอย่างย่ิง เพื่อพัฒนาคนไทยให้มีศักยภาพ มีการส่งเสริมความถนัด และสร้างความเป็นเลิศหรือความเชี่ยวชาญในสาขาต่าง ๆ ใหเ้ กดิ ขน้ึ อยา่ งหลากหลาย ซงึ่ จำ� เปน็ ทส่ี ถานศกึ ษาในทกุ ระดบั การศกึ ษาตอ้ งตระหนกั ให้ความส�ำคัญและร่วมกันพัฒนาผู้เรียนให้ได้รับการพัฒนาอย่างเต็มตามศักยภาพ โดยการนำ� ไปสกู่ ารปฏบิ ตั แิ ละพฒั นาในสถานศกึ ษา ควรสรา้ งทศั นคตแิ ละปจั จยั ทจี่ ะทำ� ให้ เกดิ ความส�ำเรจ็ ดงั น้ี v มคี วามเชือ่ ในศักยภาพของผู้เรียน ผู้บริหารสถานศกึ ษา ครู และผูป้ กครอง ตอ้ งเชอ่ื ว่าเด็กทุกคนมศี ักยภาพ ความเช่อื น้ี จะส่งผลต่อทัศนคติในการส่งเสริมและพัฒนาให้ผู้เรียนได้ค้นพบตัวเอง มีความสุขใน การเรียนรู้ และไดร้ ับการพัฒนาตามพหุปัญญาทีแ่ ทจ้ รงิ ผู้บริหารสถานศกึ ษา ครู และ ผูป้ กครอง ควรมมี ุมมองเกยี่ วกับศกั ยภาพของผ้เู รียนเป็นองค์รวมอย่างกวา้ งขวาง ทั้ง ร่างกาย จิตใจ สตปิ ัญญา ท้ังวชิ าการ วิชาชีวติ วชิ าชีพ คณุ ธรรม และสนุ ทรียะตา่ ง ๆ มคี วามเขา้ ใจในความแตกตา่ งหลากหลายของผเู้ รยี น และเชอ่ื วา่ ผเู้ รยี นทกุ คนมศี กั ยภาพ ในการเรยี นรู้และพัฒนาไดต้ ามวัย ตามความพรอ้ ม และบริบททก่ี ระตุ้นสนับสนุน v จัดการเรียนร้ตู ามความถนัด การจัดการเรียนรู้ตามความถนัดเป็นปัจจัยส�ำคัญต่อการพัฒนาพหุปัญญาของ ผู้เรียน สถานศึกษาควรจัดท�ำสารสนเทศและแผนพัฒนาผู้เรียนเป็นรายบุคคล มีการ คดั กรองพหุปัญญาของผู้เรยี น มกี ารเก็บขอ้ มูลความชอบ ความสนใจ ความถนัด และ ความต้องการของผู้เรียนเป็นรายบุคคลทุกปีการศึกษา และน�ำสารสนเทศมาวางแผน จัดหลักสูตรและกิจกรรมการเรียนรู้อย่างหลากหลายให้สอดคล้องตามความถนัดและ ความสนใจของผู้เรียนให้ได้มากทสี่ ดุ v พฒั นาครูสู่การจัดการเรยี นรใู้ หม่ ครูจ�ำเป็นต้องปรับบทบาทเป็นโค้ชการเรียนรู้ของผู้เรียน สามารถดึงศักยภาพท่ี โดดเด่นของผู้เรียนออกมาพัฒนาให้เต็มท่ี และเสริมส่วนที่เป็นจุดอ่อนให้ได้รับ 37ค่มู อื การคัดกรองและพฒั นาพหปุ ัญญา

การพฒั นาอยา่ งเหมาะสม โดยสถานศกึ ษาและหนว่ ยงานเกย่ี วขอ้ งควรเรง่ พฒั นาครผู สู้ อน ใหม้ คี วามรู้ ทักษะ และเทคนคิ วิธีการจดั การเรยี นรแู้ นวใหม่ การจัดการเรยี นรบู้ นฐาน สมรรถนะ การจดั การเรยี นรเู้ ชิงรุก และมจี ติ วทิ ยาการเรียนการสอนผ้เู รยี นยุคใหม่ v ประยุกตใ์ ชเ้ ทคโนโลยี สอื่ และเทคโนโลยเี ขา้ มามบี ทบาทตอ่ การจดั การเรยี นรยู้ คุ ใหมเ่ พมิ่ มากขนึ้ สถานศกึ ษา จ�ำเปน็ ต้องประยกุ ต์ใชส้ ่ือและเทคโนโลยีทางการศกึ ษา หรอื สื่อดจิ ิทัลต่าง ๆ เข้ามาใช้ ในการจดั การเรยี นรอู้ ยา่ งเหมาะสมและเกดิ ประโยชนต์ อ่ การพฒั นาทกั ษะและสมรรถนะ ที่ส�ำคัญของผู้เรียน ส่ือและเทคโนโลยีสามารถกระตุ้นความสนใจในการเรียนรู้ เป็น เครื่องมือในการเรียนรเู้ พ่อื พฒั นาพหุปัญญาด้านตา่ ง ๆ ไดต้ ามความสนใจ และบรบิ ท ของเนื้อหาวิชา ก่อให้เกิดการพัฒนาพหุปัญญาที่หลากหลายบนฐานเทคโนโลยี ที่สอดคลอ้ งกบั ความตอ้ งการของผเู้ รยี นได้ v มคี วามรว่ มมือกบั ผปู้ กครองและทุกภาคสว่ น การพฒั นาผู้เรียนให้เกดิ สัมฤทธผิ ลอยา่ งองค์รวม ทัง้ ดา้ นร่างกาย จติ ใจ สตปิ ญั ญา สงั คม อารมณ์ และคณุ ธรรมจรยิ ธรรมนนั้ สถานศกึ ษาไมส่ ามารถทำ� บทบาทนสี้ ำ� เรจ็ ได้ ตามลำ� พงั จำ� เปน็ ตอ้ งรว่ มมอื กบั พอ่ แม่ ผปู้ กครอง และผเู้ กย่ี วขอ้ งทกุ ภาคสว่ น ใหเ้ ขา้ มา มสี ่วนรว่ มในการดแู ล สนบั สนนุ และชว่ ยเหลือให้ผเู้ รียนได้รบั การพัฒนาอย่างเต็มตาม ศักยภาพ ผ่านกิจกรรมความร่วมมือทง้ั ในสถานศึกษา ท่บี ้าน ในชมุ ชน และแหลง่ การ เรยี นรตู้ ่าง ๆ รวมท้งั มหาวทิ ยาลยั สถาบนั การศกึ ษา และสถานประกอบการ ที่จะรับ ผเู้ รยี นระดบั การศกึ ษาขน้ั พนื้ ฐานไปศกึ ษาตอ่ ในระดบั การศกึ ษาทสี่ งู ขนึ้ หรอื ไปประกอบ อาชพี ควรเขา้ มามสี ว่ นรว่ มในการจดั การศกึ ษาระดบั การศกึ ษาขน้ั พน้ื ฐาน เพอ่ื สนบั สนนุ และพัฒนาผู้เรียนให้ได้รับการพัฒนาตามความถนัดผ่านหลักสูตรและกิจกรรมที่ ออกแบบรว่ มกนั กบั สถานศกึ ษา เพอ่ื การสง่ ตอ่ ผเู้ รยี นสสู่ ถาบนั การศกึ ษาในสาขาทต่ี รง กับความตอ้ งการ หรอื เพ่อื ให้ผเู้ รียนไดม้ ีทักษะประกอบอาชีพตามความถนดั ตอ่ ไป 38 ค่มู อื การคัดกรองและพฒั นาพหปุ ัญญา

บรรณานุกรม เฉลียวศรี พบิ ูลชล. (2554). 108 วิธีวัดและประเมนิ พหุปัญญา = Multiple assessments for multiple intelligences. กรงุ เทพฯ: เพยี รส์ นั เอ็ดดูเคชนั่ อนิ โดไชนา่ . เยาวพา เดชะคุปต์. (2550). การพัฒนารูปแบบพหุปัญญาเพ่ือการเรียนรู้ส�ำหรับการจัด การศกึ ษา สำ� หรบั เดก็ ไทยในบรบิ ทของสงั คมไทย. สบื คน้ จาก 0473b69d36c674c3f 7dee93dde4bc66c.pdf (thaiedresearch.org) เบลเรนกา้ , เจมส.์ (2544). 108 วธิ วี ดั และประเมนิ พหปุ ญั ญา. แปลจาก Multiple Assessments for Multiple Intelligences. แปลโดย เฉลียวศรี พิบูลชล. กรุงเทพฯ: เพียร์สัน เอด็ ดูเคชน่ั อนิ โดไชน่า. Kroobannok.com. (ม.ป.ป.). แนวทางการจดั การเรียนรูต้ ามทฤษฎพี หุปัญญา. สืบคน้ จาก https://www.kroobannok.com/news_file/p54454160833.pdf วิชุดา กิจธรธรรม. (2559). แนวคดิ การเรียนรโู้ ดยใชป้ ญั หาเป็นฐาน. ใน วชิ ดุ า กิจธรธรรม (บรรณาธกิ าร) รวมบทความวิธวี ิทยาและทฤษฎีเพอื่ การวจิ ัยทางพฤติกรรมในชุมชน และโรงเรียน. (พิมพค์ รงั้ ท่ี 1) doi: 10.14457/SWU.res.2016.3 สนุ ทร โคตรบรรเทา. (2548). ทฤษฎพี หุปญั ญา = Theory of multiple intelligence. กรงุ เทพฯ: สถาบนั พฒั นาผบู้ ริหารการศกึ ษา. อารี สัณหฉวี. (2552). พหุปัญญาประยุกต์. กรุงเทพฯ: สมาคมเพ่ือการศึกษาเด็ก สาขา การศึกษาปฐมวัย คณะศกึ ษาศาสตร์ มศว ประสานมิตร. Acosta, M. R. (May, 1999). What is the Theory of Multiple Intelligences? Part 2: Cultural Influence. Scholarly Article. Retrieved from https://www.slideshare. net/MicheleRAcosta/what-is-the-theory-of-multiple-intelligences- part-2-cultural-influence 39ค่มู อื การคัดกรองและพฒั นาพหปุ ัญญา

Amiryousefia, A. & Dastjerdib, H. V. (2011). The Relation between MI and Motivation and Students’ Likes and Dislikes of Course Books: A Comparison between Interchange and Top - Notch Elementary Books. Social and Behavioral Sciences, 30, 1709 - 1713. Retrieved from https://pdf.science directassets.com Anderson, L. W. and Krathwohl, D. R. (2001). A Taxonomy for Learning, Teaching, and Assessing: A Revision of Bloom’s Taxonomy of Educational Objectives. Allyn & Bacon. Boston, MA (Pearson Education Group). Retrieved from http://www0.sun.ac.za/ctlresources/wp-content/uploads/2018/11/ Anderson-and-Krathwohl.-2001.-Extract-from-A-taxonomy-for-learning- teaching-and-assessing-a-revised-Blooms-Taxonomy.pdf Andriotis, K. (2009). The Use of Multiple Intelligence, Humor, and Technology in the College Composition Classroom: A Practical Approach. 5th International Conference in Open & Distance Learning - November 2009, Athens, Greece - PROCEEDINGS SECTION A: theoretical papers, original research and scientific articles. Retrieved from https://www.researchgate.net/ publication/229040949_The_Use_of_Multiple_Intelligence_Humor_and_ Technology_in_the_College_Composition_Classroom_A_Practical_Approach Armstrong, T. (2000). Multiple intelligences. Retrieved from https://www.institute 4learning.com/resources/articles/multiple-intelligences/ Atkinson, T. (2021). The Learning Pyramid. Retrieved from https://tracyharrington atkinson.com/the-learning-pyramid/ Bannan - Ritland, B. (2003). The Role of Design in Research: The Integrative Learning Design Framework. https://doi.org/10.3102/0013189X032001021 Retrieved from https://journals.sagepub.com/doi/10.3102/0013189X 032001021 40 ค่มู อื การคัดกรองและพฒั นาพหปุ ัญญา

Campbell, B. (1996). Multiple Intelligences In The Classroom Of the seven different ways we learn, schools focus on only two. Add the other five, and you increase the chances of success. Retrieved from https://www. context.org/iclib/ic27/campbell/ Carroll, J. B. (1963). A model of school learning. Teachers College Record, 64(8), 723-733. https://psycnet.apa.org/record/1963-08222-001 Dickinson, D. (1998). How technology enhances Howard Gardner’s eight intelligences. New horizons for learning and America tomorrow. Retrieved from https://www.yumpu.com/en/document/view/44874093/how- technology-enhances-howard-gardners-eight-intelligences Elliot, J. (1991). Action Research for Educational Change. Open University Press, Bristol, PA. Retrieved from https://doi.org/10.1177/027046769301300149 Gagne, R.M. (1977) The conditions of learning. 3rd Edition, Holt, Rinehart, and Winston, New York. Retrieved from https://www.scirp.org/(S(351jmbnt vnsjt1aadkposzje))/reference/References Papers.aspx?Reference ID=1062513 Gardner, H. (1993b). Multiple intelligences: The theory in practice. NY: Basic Books. Gardner, H. (1995). Reflections on multiple intelligences: Myths and messages. Phi Delta Kappan, 77(3), 200-208. Gardner, H. (1999). Intelligence reframed: Multiple intelligences for the 21st century. NY: Basic Books. Gardner H. (2003, April 21). Multiple intelligences after twenty years. Paper presented at the annual meeting of the American Educational Research Association, Chicago. 41ค่มู อื การคัดกรองและพฒั นาพหปุ ญั ญา

Gardner, H. (2004). Audiences for the theory of multiple intelligences. Teachers College Record, 106(1), 212. Gardner, H. (2006a). Multiple intelligences: New horizons in theory and practice. New York: Basic Books. Gardner, H. (2006b). On failing to grasp the core of MI theory: A response to Visser et al. Intelligence, 34(5), 503-505. Gardner, H. (2006c). Replies to my critics. In J. A. Schaler (Ed.), Howard Gardner under fire: The rebel psychologist faces his critics (pp. 277-307). Chicago: Open Court. Gardner, H. (2011). Frames of mind: The theory of multiple intelligences. NY: Basics Books. Gardner, H., Feldman, D. H., & Krechevsky, M. (Eds.). (1998a). Project Zero frameworks for early childhood education, Vol. 1: Building on children’s strengths: The experience of Project Spectrum. NY: Teachers College Press. Gardner, H., Feldman, D. H., & Krechevsky, M. (Eds.). (1998b). Project Zero frameworks for early childhood education, Vol. 2: Project Spectrum: Early learning activities. NY: Teachers College Press. Gardner, H., Feldman, D. H., & Krechevsky, M. (Eds.). (1998c). Project Zero frameworks for early childhood education, Vol. 3: Project Spectrum: Preschool assessment handbook. NY: Teachers College Press. Gardner, H. & Hatch, T. (1989). Multiple Intelligences Go to School: Educational Implications of the Theory of Multiple Intelligences. Educational Researcher, 18(8), 4 - 10. Retrieved from https://doi.org/10.2307/1176460 42 ค่มู อื การคัดกรองและพฒั นาพหปุ ัญญา


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook