หนงั สอื เรียน รายวิชาเพิ่มเติม ภาษาไทย เรียงรอ้ ยถอ้ ยวจี เสนห่ ์ช้างกลาง ชนั้ มธั ยมศึกษาปีที่ ๔ กลุ่มสาระการเรียนรภู้ าษาไทย ตามหลักสตู รแกนกลางการศึกษาขนั้ พื้นฐาน พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๑
หนงั สอื เรียน รายวิชาเพิ่มเติม ภาษาไทย เรียงร้อยถ้อยวจี เสนห่ ช์ า้ งกลาง ชนั้ มธั ยมศึกษาปีที่ ๔ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพนื้ ฐาน พทุ ธศักราช ๒๕๕๑ พิมพ์คร้ังที่ ๑ พ.ศ. ๒๕๖๓ ผูเ้ รียบเรียง นายยทุ ธิชัย อุปการดี ออกแบบ นายยุทธิชัย อปุ การดี นายธนกฤษ ปานพิเศษ และนางสาวธัญญลกั ษณ์ อ่อนประสงค์ บรรณาธิการ นายยุทธิชยั อปุ การดี สัง กั ด คณ ะ ศึ กษ า ศ า สต ร์ ร่ วม กั บ คณ ะ ม นุ ษย ศ า สต ร์ แ ล ะ สังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยทักษิณ
คาชีแ้ จง หนังสือเรียน รายวิชาเพิ่มเติม ภาษาไทย เรียงร้อยถ้อยวจี เสน่หช์ ้างกลาง เป็นหนงั สือที่ให้ความรู้เรื่องหลกั การทั่วไปของการ พูดและมุ่งเน้นประเภทของการพูดเชิงวิชาการ และการพูดสุนทร พจน์ โดยมีการสอดแทรกเรื่องราวของท้องถิ่น เรื่องราวข้อมูลของท้องถิ่น ผู้เรียบเรียงได้อ้างอิงข้อมูลจาก สารานกุ รมวฒั นธรรมไทย ภาคใต้ และหนังสืออนุสรณ์เมืองนคร “พ่อท่านคล้าย วาจาสิทธิ์” เป็นหลัก แล้วนาข้อมูลมาปรับเพื่อให้ เนอื้ หาเหมาะแก่การนาเสนอความรู้ในประเด็นต่าง ๆ ภาพประกอบผู้เขียนมีข้อชีแ้ จง ดังนี้ ๑. ภาพกรอบของข้อความ ภาพหนงั สือ ภาพตวั การ์ตูน ผู้เรียบ เรียงนาภาพมาจาก https://www.pinterest.com. ทั้งหมดเพราะเป็น เว็บไซต์ที่รวบรวมภาพต่าง ๆ ไว้เป็นจานวนมาก ผู้เรียบเรียงจึงให้ ลิขสิทธิ์ภาพแก่เว็บไซต์ดังกล่าว และไม่ระบุแหล่งข้อมูลใต้ภาพ ๒. ภาพประกอบอืน่ ๆ ทีผ่ ู้เรียบเรียงนามาจากแหล่งอื่นที่ไม่ได้ ถ่ายมาด้วยตนเอง ผู้เรียบเรียงจะระบุแหล่งข้อมลู ไว้ใต้ภาพ (นายยทุ ธิชัย อุปการดี) ผู้เรียบเรียง ๑๖ พฤศจิกายน ๒๕๖๓
คานา หนังสือเรียน รายวิชาเพิ่มเติม ภาษาไทย เรียงร้อยถ้อยวจี เสน่ห์ช้าง กลาง เรียบเรียงขึน้ เพอ่ื ใช้สาหรบั การสอนเสริมสาระที่ ๓ การฟงั การดู และการพดู โดยเน้นหลักไปที่การพูด และมีสอดแทรกสาระที่ ๒ การ เขียน ในกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย โดยมีจดุ มุ่งหมายให้ผู้เรียนได้มี ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับหลักการพูดเบื้องต้น และสามารถ ปฏิบัติการพดู เชิงวิชาการ และการพูดสุนทรพจน์ได้ ทั้งนีเ้ นือ้ หาแบ่งออกเปน็ ๓ บท คือ รอบรู้เรื่องการพูด การพูดเชิง วิชาการ“ตานานเมืองคล้องช้าง” และสุนทรลีลา “เทวดาเมืองนคร” อนึง่ ก่อนเริ่มบทที่ ๑ ทางด้านเนือ้ หาของบทเรียนจะมีบทแนะนาท้องถิ่น คือ จุดหมาย:อาเภอช้างกลาง เพือ่ แสดงให้ทราบถึงความเป็นมาของ ท้องถิ่นที่นามาสอดแทรกในบทเรียน นอกจากสาระการเรียนรู้แล้ว ใน หนงั สือเล่มนีย้ ังมีการกล่าวถึงสาระสาคญั ตัวชี้วัดของแต่ละบทเรียน เพอ่ื ให้ทราบวตั ถุประสงค์การเรียนรู้ และสมรรถนะที่มุ่งหวังให้เกิดขึ้น หลังจากการเรียนรู้ รวมถึงคุณลักษณะอันพึงประสงค์ของผู้เรียนทีพ่ งึ มี และกิจกรรมท้ายบทเรียนจะช่วยให้ผู้เรียนได้ฝึกนาองค์ความรู้ไปปรับ ใช้ได้จริง หวงั เป็นอย่างยิ่งว่า หนงั สือเรียนราย วิชาเพิ่มเติม ภาษาไทย เรียงร้อยถ้อยวจีเสน่ห์ช้างกลาง เล่มนี้ จะช่วยอานวยความสะดวกและมี ประโยชน์ในการให้ความรู้เพิ่มเติมได้เป็นอย่างดี และสามารถทาให้ ผู้เรียนสามารถนาความรู้ไปปรบั ประยกุ ต์จริงได้ (นายยุทธิชัย อปุ การด)ี ผู้เรียบเรียง ๑๖ พฤศจิกายน ๒๕๖๓
แนวทางการใชห้ นังสือเรียน หนงั สือเรียน รายวิชาเพิม่ เติม ภาษาไทย เรียงร้อยถ้อยวจี เสน่ห์ ช้างกลาง ช้ันมัธยมศึกษาปีที่ ๔ จัดทาขึ้นตามหลักสูตรแกนกลาง การศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ กลุ่มสาระการเรียนรู้ ภาษาไทย เพอ่ื ใช้ในการจดั การเรียนรู้ โดยมุ่งเน้นที่สาระที่ ๓ คือ การ ฟงั การดูและการพดู บรู ณาการเนอื้ หาเข้ากับท้องถิน่ อาเภอช้างกลาง การจัดทาในครั้งนมี้ ีวตั ถปุ ระสงค์เพือ่ พฒั นาทกั ษะทางด้านการพูดของ ผู้เรียน โดยมีจุดเน้นที่การพูดเชิงวิชาการ และการพูดสุนทรพจน์ นอกจากเรื่องทกั ษะการพูดแล้ว ยังมีการสอดแทรกทางด้านทักษะ การเขียนไว้ด้วยเช่นกนั ตลอดจนปลกู ฝงั ให้ผู้เรียนเกิดความตระหนัก เหน็ คุณค่าและรักในท้องถิ่นของตน วิธีการศึกษา เริ่มจากการอ่านบทนา เพื่อให้ผู้เรียนได้ทราบถึง ข้อมูลท้องถิ่นที่ผู้เรียบเรียงนามาใช้ประกอบเป็นเนื้อหาในบทต่าง ๆ หลงั จากนั้นจะเริม่ เข้าสู่เนือ้ หาทางด้านหลักวิชาการ เพ่ือให้ผู้เรียนได้ ทร าบ ถึง อง ค์ป ระ กอ บ แล ะห ลัก กา รโ ดย ทั่ว ไป ขอ งก าร พู ด และจาเป็นต้องนาองค์ความรู้จากบทที่ ๑ ไปปรบั ใช้กับกิจกรรมในบท ถดั ไป และศึกษาไปตามลาดับบท วิธีการศึกษานี้มุ่งให้ผู้เรียนมีความ เข้าใจทั้งองค์ความรู้เรือ่ งการพูด และการนาองค์ความรู้ไปใช้ได้จริง ผู้สอนสามารถประเมินความเข้าใจในประเด็นต่าง ๆ ของผู้เรียนได้ด้วย กิจกรรมท้ายบท เพราะกิจกรรมท้ายบทตั้งแต่บทที่ ๑- ๓ จะมีความ เชื่อมโยงกันไปตามลาดับ
แนวทางการใช้หนังสือเรียน เนื้อหาของหนังสือเรียน เรียงร้อยถ้อยวจี เสน่ห์ช้างกลาง ช้ันมธั ยมศึกษาปีที่ ๔ เปน็ ความรู้ที่จัดทาขึ้นเสริมจากรายวิชาหลัก เพ่อื พฒั นาให้ผู้เรียนมีทักษะความสามารถเฉพาะด้านมากขึ้น ซึ่งเป็น เพียงส่วนหนึ่งในการใช้เป็นสื่อประกอบการจัดการเรียนรู้ ผู้สอน สามารถเพิม่ เติมกิจกรรมหรือสื่ออืน่ ๆ ได้ตามความเหมาะสม เพื่อสร้าง ให้ผู้เรียนตระหนักในทักษะดังกล่าว และคุณค่าของท้องถิ่นของตน พร้อมท้ังมีพัฒนาการทางด้านทักษะการพูดไปในทางที่ดีและสามารถ พัฒนาต่อไปได้ในอนาคต ผู้เรียบเรียง
ทราบความรู้ท่ัวไปของท้องถิน่ บทที่ ๑ รอบรู้เรือ่ งการพดู ความหมาย ของการพดู ประวัติศาสตร์ สภาพ/ลักษณะโดยทวั่ ไป การเตรยี มตวั ผู้พูด การกาหนดโครงเรือ่ ง การวิเคราะห์ ความเป็นมา ผู้ฟงั บุคลิกภาพ จุดหมาย : อาเภอช้างกลาง เข้าใจองค์ประกอบทั่วไปของ การพูด และสามารถวาง โครงเรอ่ื งที่จะพดู ได้ ผังมโนทศั น์ บทที่ ๒ การพูดเชิงวิชาการ บทที่ ๓ สนุ ทรพจน์ ความหมายของการ (สนุ ทรลีลา) พูดเชิงวิชาการ จุดประสงค์ของ ความหมาย การพูดเชิงวิชาการ ประเภทของการพดู เชิงวิชาการ จดุ ประสงค์การ ของสนุ ทรพจน์ การใช้ภาษาในการ พดู เชิงวิชาการ หลักของการพูดเชิง พดู สุนทรพจน์ ลกั ษณะของ วิชาการ การเว้นจังหวะ การเตรียมตวั การพูด ของการพูด พดู สุนทรพจน์ สนุ ทรพจน์ การใช้ภาษาใน การพูดสุนทรพจน์ เขียนบทและพูดเชิงวิชาการได้ เขียนบทพูดและพูดสนุ ทรพจน์ได้
สารบัญ เรือ่ ง หน้า จดุ หมาย : อาเภอชา้ งกลาง ๑ ประวตั ิอาเภอช้างกลาง ๒ รู้หรือไมท่ าไมเรียกช้างกลาง ๒ บทที่ ๑ รอบร้เู รื่องการพูด ๖ การพดู คืออะไร ๗ การเตรียมตัวผู้พูด ๗ การวิเคราะห์ผู้ฟัง ๘ การกาหนดโครงเรือ่ ง ๙ บคุ ลิกภาพเสริมลีลา ๑๑ เกณฑ์การประเมนิ การพูด ๑๙ เพม่ิ เติมเสริมความรู้ ๒๐ กิจกรรมท้ายบท ๒๑ บทที่ ๒ การพดู เชงิ วิชาการ “ตานานเมืองคลอ้ งชา้ ง” ๒๒ ความหมายของการพดู เชิงวิชาการ ๒๓ จดุ ประสงค์ของการพดู เชิงวิชาการ ๒๓ ประเภทของการพูดเชิงวิชาการ ๒๓ เรื่องที่ควรรู้ ๒๔ ตัวอย่างบทพดู เชิงวิชาการ ๒๕ ตัวอย่างการพูดเชิงวิชาการ ๒๗ กิจกรรมท้ายบท ๒๘ อ่านเสริมเติมปญั ญา ๒๙
สารบัญ (ต่อ) หน้า เรื่อง ๓๐ ๓๑ บทที่ ๓ สุนทรลีลา “เทวดาเมืองนครฯ” ๓๑ ความหมายของสุนทรพจน์ ๓๒ จุดประสงค์ของการพดู สุนทรพจน์ ๓๒ ลักษณะของการพูดสนุ ทรพจน์ ๓๔ ขั้นตอนการเตรียมการพดู สุนทรพจน์ ๓๙ ตวั อย่างบทพดู สนุ ทรพจน์ ๔๐ ตวั อย่างการพดู สุนทรพจน์ ๔๑ กิจกรรมท้ายบท ท่องเทีย่ วเมอื งช้างกลาง ๔๒ บรรณานกุ รม
จดุ หมาย : อาเภอช้างกลาง ตำนำนเมืองคล้องชำ้ ง นำยำงพนั ธ์ุดี มำกมผี ลไม้ พ่อท่ำนคลำ้ ย วำจำสทิ ธ์ิ คำขวัญอำเภอช้ำกลำง
๒ ประวัติความเป็นมาของอาเภอช้างกลาง ตามตานานเล่าว่า บริเวณเขาหลวงตลอดจนถึงเขามหาชัยเป็นป่าดงดิบมี โขลงช้างโขลงใหญ่เล็กเปน็ จานวนมากและมีการจับช้างป่าเพ่อื นามาฝกึ ใช้งาน เป็นพาหนะเดินป่า เดินทางไกล และเปน็ กาลังของกองทัพ เพ่ือยกทัพจับศึก ตลอดจนจับช้างเผือกอนั เป็นช้างที่มีคณุ ลกั ษณะคบู่ ุญบารมแี ก่เจ้านครรัฐและ เจ้าแผ่นดินต่อเนื่องกันมาต้ังสมัยกรุงศรีอยุธยา บรรดาช้างป่าที่เมือง นครศรีธรรมราชจับได้ ส่วนใหญ่ได้จากป่าบริเวณเขาหลวง เขาเหมน (เขาพระ สเุ มรุ) ทุ่งสง ฉวาง นาบอน ทุ่งใหญ่ ถ้าพรรณรา ลาพนู (พระแสง) และบริเวณ ใกล้เคียง๑ รู้หรือไม่ทาไมเรียกชา้ งกลาง กเ็ พราะว่า เมอื งนครศรีธรรมราชในสมยั กรงุ ศรีอยธุ ยามกี รมชา้ งถึง ๓ กรม คือ กรมช้างขวา ต้ังอยู่ที่เวียงสระ (พระแสง) และควบคุมพื้นที่บริเวณลุ่ม น้าตาปี (ท้องทีน่ แี้ ยกไปขนึ้ กบั สุราษฎร์ธานี เม่อื พ.ศ.๒๔๕๖) กรมชา้ งกลาง อาเภอ ช้างกลาง ( ปัจจุบัน) กรมนี้เป็นกาลังหลักข องกองทัพช้าง นครศรีธรรมราช และกรมชา้ งซ้าย ตั้งอยู่ตาบลช้างซ้าย (ปัจจุบันขึ้นอยู่กับ อาเภอพระพรหม) ๑ ข้อมลู ภาพ : https://www.changklangdistrict.go.th/history.php
๓ ท้องที่ตาบลช้างกลาง แต่เดิมขนึ้ กบั อาเภอฉวาง ซึ่งเป็นอาเภอที่มีอาณา เขตกว้างข วาง ยากแก่การบริหารและให้ความสะดวกแก่ ประชาชน เมอ่ื พ.ศ. ๒๕๑๕ ได้แยกท้องทีส่ ่วนหนึง่ ของอาเภอฉวาง ต้ังเป็นกิ่งอาเภอ ถ้าพรรณรา ครั้นถึง พ.ศ. ๒๕๓๙ กระทรวงมหาดไทยจึงได้ประกาศแยกอีก ส่วนหนึ่งของอาเภอฉวางตั้งเป็นกิ่งอาเภอช้างกลางลงวันที่ ๒๖ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๓๙ มเี ขตการปกครอง ๓ ตาบล คอื ตาบลช้างกลาง ตาบลหลัก ช้าง และตาบลสวนขนั และในวนั ที่ ๒๔ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๕๐ ได้มีพระราช กฤษฎกี ายกฐานะขนึ้ เป็น อาเภอช้างกลางมผี ลบังคับใช้วันที่ ๘ กันยายน พ.ศ.๒๕๕๐๑ กรมช้าง กรมช้าง ซ้าย กลาง กรมช้าง ขวา ข้อมลู ภาพ : แผนที่แสดงเขต อาเภอ ตาบล เทศบาล และข้อมูลพืน้ ฐานของจงั หวัด พ.ศ. ๒๕๔๘
๔ อาเภอช้างกลางมีพ้ืนที่ประมาณ ๒๓๒.๕๓๖ ตารางกิโลเมตร หรือ ประมาณ ๑๔๖,๔๕๖ ไร่ ซึง่ อาเภอช้างกลางตั้งอยู่ทีท่ ิศตะวนั ตกของจังหวัด นครศรีธรรมราช ลักษณะภูมปิ ระเทศโดยท่ัวไปเป็นที่ราบเชิงเขามีภูเขาที่ สาคญั คอื “เขาเหมน” (บางที่เรียกเขาพระสุเมรุ) ด้านตะวันออกเป็นที่ราบ เชิงเขา คอื อทุ ยานแห่งชาติเขาหลวงมเี ขาธงกั้นระหว่างตาบลช้างกลางกับ ตาบลเขาแก้ว อาเภอลานสกา นอกนั้นเป็นที่ราบ เหมาะแก่การทาเกษตร แหล่งน้าธรรมชาติที่สาคญั คือ คลองจันดี คลองท่าแพ คลองแหน คลอง ชะอวด เนื่องจากอาเภอช้างกลางเคยเป็นป่า ต่อมาราษฎรได้เข้ามาทามาหา กิน ๑ อาเภอช้างกลางมสี ถานทีส่ าคัญท้ังโดยธรรมชาติและสิง่ ก่อสร้างอันเป็น ปชู นียสถาน เช่น น้าตกท่าแพ สวยงาม และหลายชั้น ถ้าน้า เจดีย์พระธาตุ น้อยพระครูพศิ ิษฐอ์ รรถการ (พอ่ ท่านคล้ายวาจาสิทธิ์) ท่านได้สร้างพระธาตุ น้อยขนึ้ ในปีพ.ศ. ๒๕๐๕ ลกั ษณะพระธาตุน้อยเปน็ การจาลองพระบรมธาตุ นครศรีธรรมราช ยอดเจดีย์หุ้มด้วยทองคาหนัก ๔๐๐ บาท เป็นที่ ประดิษฐานสรีระข องพ่อ ท่านคล้าย วัดสวนขัน มีเทวรูปเก่าแก่ คือ พระอเุ ชนหรือพระพฆิ เนศวร ความศรทั ธาที่พทุ ธศาสนิกชนท่ัวไปทุกสารทิศมี ต่อพอ่ ท่านคล้าย อาเภอนจี้ ึงถือเอาเปน็ ส่วนหนึ่งของคาขวัญ คือ “ตานาน เมอื งคล้องช้าง น้ายางพนั ธุ์ดี มากมผี ลไม้ พ่อท่านคล้ายวาจาสิทธิ์” ๑ เขาเหมน (เขาพระสุเมร)ุ
๕ นา้ ตกทา่ แพ วัดพระธาตนุ ้อย ข้อมูล; https://thailandtourismdirectory.go.th. ข้อมูล ; https://www.paiduaykan.com. พระอเุ ชนอายุกว่า ๑,๖๐๐ ปี ถา้ นา้ ข้อมลู : หนังสืออนุสรณ์เมืองนคร ข้อมลู : เพจคนหลงทาง ๑มูลนิธสิ ารานุกรมวัฒนธรรมไทย. (๒๕๔๒). สารานุกรมวัฒนธรรมไทย ภาคใต้ เล่ม๔. กรงุ เทพฯ : สยามเพรส แมนเนจเมน้ จ์ จากดั .
๑ บทที่ ๑ รอบรเู้ รอ่ื งการพดู ตัวช้วี ัด การพดู มอี งค์ความรู้ทีจ่ าเป็นต้อง ท ๑.๑ ม.๔/๒ ตีความแปล เรียนรู้อย่างหลากหลายเพ่ือพัฒนาให้ผู้ ความ และขยายความเรื่องที่ พดู เป็นนักพูดที่ดี ซึง่ การพูดในแต่ละคร้ัง อ่าน ผู้พูดต้องมีบคุ ลิกภาพทสี่ ง่า มีการเตรียม ท ๒.๑ ม.๔/๑ เขียนสื่อสารใน ตัวสาหรับการพูดมาเป็นอ ย่างดียิ่ง รูปแบบต่าง ๆ ได้ตรงตาม ทกุ คร้ังที่พูดผู้พูดจาเป็นต้องมีการวาง วัต ถุป ร ะส ง ค์โ ด ยใ ช้ ภา ษ า โครงของเนอื้ หาสาหรับการพดู เพราะจะ เรียบเรียงถูกต้อง มขี ้อมูลและ ทาให้ลาดบั เนือ้ หาที่จะพดู ก่อนและหลัง สาระสาคญั ชดั เจน ได้อย่างถกู ต้องเหมาะสมเมอ่ื บคุ ลิกภาพ และเนือ้ หาทีม่ ีความเป็นระบบประกอบ สมรรถนะสาคญั ของผเู้ รยี น เ ข้ า ด้ ว ยกั น จ ะ ท าใ ห้ ก า ร พูด ป ร ะ ส บ ความสาเร็จเปน็ อย่างมาก ความสามารถในการคิด คุณลักษณะอันพึงประสงค์ ๑. มวี ินัย ๒. ใฝ่เรียนรู้ ๓. มงุ่ มนั่ ในการทางาน ๔. รักความเปน็ ไทย
๗ ๑. การพดู คืออะไร การพูด (Speech) คอื กระบวนการสือ่ สารความคิดหรือการถ่ายทอด ความคดิ ความรู้สึก และประสบการณ์ของผู้พดู ไปยังผู้ฟัง ซึ่งจาเป็นจะต้อง อาศัยถ้อยคา น้าเสียง และกิริยาอาการต่าง ๆ ในการสื่อความหมาย ๒. การเตรียมตวั ผพู้ ูด ก ารพูดทุก คร้ังผู้ พูดจาเ ป็นจะต้อ งเ ตรียมตัวข อ ง ตนเ อ งใ ห้พร้อ ม ซึง่ มวี ิธีการเตรียมตัวดงั นี้ ๒.๑) เตรียมเครือ่ งแต่งกาย เครื่องแต่งกายเป็นสิ่งแรกที่ผู้ฟังจะ มองเห็นในตวั ผู้พดู การแต่งกายจะสะท้อนให้เหน็ ถึงอปุ นิสยั รสนิยมของผู้พูด ด้วย ผู้พูดจึงควรแต่งกายให้เหมาะสมถูกต้องตามกาลเทศะ รวมถึงพจิ ารณา ถึงสถานภาพของผู้ฟังด้วย ๒.๒) เตรียมโน้ตย่อ สาหรับการพูดที่มีรายละเอียดของเนื้อหา ค่อนข้างมาก โน้ตย่อถือเปน็ สิง่ จาเปน็ ผู้พูดควรจดบันทึกลาดับเรื่องเนื้อหา ตามลาดบั ลงในโน้ตย่อ และขนาดตัวอักษรควรมีความเหมาะสมอ่านได้ สะดวก ๒.๓) ฝึกการซอ้ มพูด การพดู ทุกครั้งผู้พูดควรมกี ารฝึกซ้อมการพดู ให้เกิดความคล่องแคล่ว ทั้งทางด้านน้าเสียงและการแสดงกิริยาบถต่าง ๆ ต้องฝึกให้มีความเหมาะสมกบั เนอื้ หา และการฝึกซ้อมอาจจะช่วยลดอาการ ตื่นเต้นได้เม่อื พดู จริง ๒.๔) การศึกษาสภาพผู้ฟัง ผู้พูดควรศึกษาสภาพผู้ฟังล่วงหน้า เพ่อื ที่จะสามารถเลือกวิธีการหรือปรับเปลี่ยนวิธีการพูดได้อย่างเหมาะสม โดยจะวิเคราะห์ในเรือ่ ง เพศ วยั อายุ อาชีพ ความสนใจของกลุ่มผู้ฟัง
๘ ๓. การวิเคราะห์ผูฟ้ ัง สิ่งสาคัญทีจ่ ะได้จากการวิเคราะห์ผู้ฟัง คือผู้พูดสามารถนาข้อมูลที่ ได้มาเตรียมเนื้อเรื่องที่จะพูด ท้ังการกาหนดเรื่องที่จะพูด ระยะเวลา จนกระท้ังเรือ่ งของการใช้ภาษา ซึ่งวิธีการวิเคราะห์ผู้ฟังมดี งั นี้ ๓.๑ วยั หรืออายุ ผู้ฟังแต่ละช่วงวัยจะมคี วามสนใจในข้อมูล ข่าวสาร ทีแ่ ตกต่างกันออกไป ผู้พดู ทีเ่ ก่งจึงจาเป็นที่จะต้องเลือกข้อมลู เลือกใช้ภาษา วิธีการพูด และเทคนิคให้เหมาะสมกับช่วงวัยของผู้ฟัง เพ่ือประสิทธิผลของ การพดู ในคร้ังนั้นจะได้เป็นไปทางทีด่ ี ๓.๒ เพศ เพศของผู้ฟงั จะเป็นปัจจยั หลักในการกาหนดความสนใจ ของบคุ คล โดยส่วนมากผู้หญิงจะชอบเรื่องความสวยงาม การบ้านการเรือน และผู้ชายกจ็ ะสนใจเรื่องกีฬา ธรุ กิจ การเมือง เป็นต้น ดังนั้นผู้พูดจาเป็น จะต้องเลือกเรื่องที่พดู ให้ตรงกบั ความสนใจของผู้ฟัง ๓.๓ ความเชอ่ื และศาสนา เรือ่ งของศาสนา จารีตประเพณี และ ความเชื่อ เป็นวัฒนธรรมอย่างหนึ่งที่ยึดถือสืบต่อกันมา ผู้พูดจะต้อ ง ระมดั ระวงั และศึกษาวิเคราะห์เรื่องนี้ให้ดีก่อนพูด มิฉะน้ันอาจกลายเป็น ผลเสียต่อผู้พูดกไ็ ด้ ๓.๔ ระดบั การศึกษา สาหรบั เรือ่ งของการศึกษากเ็ ป็นอีกปจั จัยหนึง่ ที่จะส่งผลต่อความสนใจของผู้ฟัง ผู้ฟังที่มีการศึกษาสูงอาจจะมคี วามต้องการ เหตแุ ละผล ผู้ที่มีการศึกษาน้อยลงมาอาจจะชอบภาษาที่เข้าใจง่ายจึงเป็น หน้าทีข่ องผู้พดู ที่จะต้องเลือกถ้อยคามาใช้ให้เหมาะสม
ห ัลกการการเ ่ิรมต้นเ ่ืรอง ๙ ๓.๕ อา ชีพ ผู้ฟังที่อาชีพต่างกันย่อมจะมีความสนใจที่ต่างกัน ผู้พูดจึงควรทราบว่าผู้ฟงั โดยส่วนใหญ่มีอาชีพอะไรเพ่อื จะได้เลือกประเด็น เนอื้ หาได้ตรงตามความต้องการของผู้ฟงั ๓.๖ ความสนใจ หากผู้พดู ทราบถึงความสนใจของฟังก่อนกจ็ ะทาให้ผู้ พดู สามารถเลือกเนอื้ หาได้ตรงตามความต้องการและสามารถพูดได้ตรง ตามเป้าหมายทีต่ ้องการ ๔. การกาหนดโครงเรื่อง การกาหนดโครงเรื่องสาหรับการพดู สามารถจาแนกได้เปน็ ๓ ลักษณะ ได้แก่ การกาหนดการเริม่ ต้น การกาหนดส่วนเนอื้ หา และการกาหนดส่วน สรปุ ซึง่ มหี ลกั การดังนี้ ๔.๑ การกาหนดการเริ่มต้น ผู้พูดต้องแสดงให้ทราบถึงจุดประสงค์ และความตั้งใจของผู้พูดทีจ่ ะพูดเรื่องดังกล่าว โดยมีหลักการสาหรับการ เริ่มต้นเรื่องดังนี้ พดู ให้ผู้ฟังรู้สึกเป็นกนั อง พดู ถึงความสาคญั ของเรื่องที่จะพูด พูดเพือ่ โน้มน้าวให้เกิดความสนใจ
๑๐ ๔.๒ การกาหนดสว่ นเนื้อหาของเรื่อง เนอื้ หาสาระของการพูดจาเป็น จะต้องจัดลาดับเรียบเรียงให้เป็นอย่างดี เรียงลาดับตามความสาคัญของ เนอื้ หาก่อนและหลังอย่างเปน็ ระบบ ไม่พดู วกไปวนมา และสรุปประเด็นให้ ตรงตามเป้าหมายทีต่ ้องการจะสื่อ ตัวอย่างการลาดบั เนอื้ หาเรื่องการอ่านจับ ใจความ ๑) กล่าวแนะนาตัว ๒) ความหมายของการอ่านจบั ใจความสาคัญ ๓) ความสาคัญของการอ่านจบั ใจความสาคญั ๔) องค์ประกอบของการอ่านจบั ใจความสาคัญ ๕) วิธีการอ่านจับใจความสาคัญ ๖) ประโยชน์ของการอ่านจบั ใจความสาคญั ๗) สรุป ๔.๓ การกาหนดบทสรปุ การพดู ไมว่ ่าผู้พูดจะพดู เรื่องอะไรก็ตาม แต่เมอ่ื ถึงบทสรปุ ผู้ฟังจะต้องตั้งใจฟังเป็นพเิ ศษ การพดู สรุปถึงจาเป็นจะต้องให้ผู้ฟัง ประทับใจมากที่สุด ซึ่งมหี ลกั การพูดสรปุ ดังนี้ ๑.จบแบบสรุป ความโดยรวม ๖.จบแบบชักขวน หลกั การ ๒.จบแบบฝากให้คดิ สรปุ ๕.จบแบบตรึงใจด้วย ๓.จบแบบคลายความ คาคม สงสยั ๔.จบแบบเรียกร้อง
๑๑ ๕. บุคลิกภาพเสริมลีลา บุคลิกภาพถือเป็นสิง่ จาเป็นและมีความสาคัญควรที่จะได้รับการฝึกฝน เพราะการพดู จะมคี วามน่าสนใจมากน้อยเพียงใดนอกจากจะขึ้นอยู่กับ เนอื้ หาของเรือ่ งที่พดู แลว้ บุคลิกภาพกเ็ ปน็ ปจั จัยหลักเช่นกนั เพราะผู้ฟังจะ มองเห็นได้ด้วยตาในขณะทีพ่ ดู หากบคุ ลิกภาพดีการพูดในครั้งนั้นกจ็ ะเป็นที่ พงึ พอใจ และถึงแมว้ ่าเนอื้ หาของเรือ่ งที่พดู จะมคี วามน่าสนใจแต่บคุ ลิกภาพ ไมเ่ หมาะสมกจ็ ะทาให้ผู้ฟงั ไมพ่ งึ พอใจได้ ซึง่ บุคลิกภาพทีส่ าคัญสาหรับผู้พดู มดี งั นี้ ๕.๑ การแสดงออกทางสีหนา้ สีหน้าเปน็ สือ่ ทีช่ ่วยเสริมความหมาย ของคาพดู ผู้ที่พดู ด้วยสหี น้าทีน่ ิง่ เฉย ผู้ฟังจะไม่สนใจฟัง และอาจจะไม่ เข้าใจในเรื่องที่พดู ส่วนผู้พูดที่พดู ด้วยสีหน้ายิม้ แย้มแจ่มใสย่อมเปน็ ทีด่ ึงดูด ใจของผู้ฟัง และอยากติดตามฟงั การพดู น้ันจนสิน้ สดุ การแสดงออกทางสี หน้าจึงควรแสดงให้สอดคล้องกับเนือ้ หาที่พดู หลกั การแสดงออกของสีหนา้ มดี งั นี้ การแสดงออก ทางสีหนา้ ๑.แสดงสีหน้าให้เป็น ๓.การแสดงออก ธรรมชาติ ทางสีหน้า ๒.แสดงสีหน้าให้สอดคล้อง กบั เนอื้ หาทีพ่ ดู
๑๒ ข้อควรระวัง การแสดงออกทางสีหน้ามขี ้อควรระมัดระวงั ดงั นี้ ๑) ไมค่ วรแสดงสีหน้านิ่งเฉยหรือที่เรียกว่าหน้าตาย ในโอกาสที่ไม่ควร ทา ๒) ไมค่ วรแสดงสีหน้าแบบเก๊ก หรือใส่อารมณ์มากจนเกินไปในขณะที่ พดู จะทาให้เสียบคุ ลิกภาพ ๓) ไมค่ วรยกั ควิ้ จีบปากจีบคอในขณะที่พูดจะทาให้เสียบุคลิกภาพ ๕.๒ การใชส้ ายตา คากล่าวที่ว่า “ดวงตาคือหน้าต่างแห่งดวงใจ” (The eyes are window of the mind) ย่อมเป็นสิง่ สะท้อนให้เห็นได้อย่าง เด่นชดั ว่า ความคิดความรู้สึกของคนเรานั้นมักจะปรากฏทางสายตา สายตาจึงเปน็ สือ่ สาคัญทีช่ ่วยถ่ายทอดความรู้สึกนึกคิดระหว่างผู้พูดกับ ผู้ฟัง ซึ่งหลกั การใช้สายตาในการพูดมดี งั นี้ การใช้สายตา ๑.ขณะขึ้นเวที ๒.ขณะถึงแทน่ ๓.ขณะพดู ๔.ขณะสรปุ พดู ควรมองไปที่ มองไปยงั ผู้ฟงั ควรมองผู้ฟงั ให้ ควรมองผู้ฟังให้ แท่นพูด ไม่ควร ทกุ คน หยุดนิง่ ท่วั มองซ้าย ท่ัวอีกคร้ังก่อน ก้มมองทีพ่ นื้ หลังจากนั้นเริ่ม บ้าง ขวาบ้าง กลางบ้าง ลงจากเวที หรอื เพดาน ปฏิสันถาร
๑๓ ขอ้ ควรระวงั การใช้สายตาในการพูดมขี ้อควรระวังดังนี้ ๑) ไมค่ วรมองจดุ ใดจุดหนึง่ โดยเฉพาะ เพราะจะทาให้เกิดความรู้สึกว่า ไมไ่ ด้พูดกบั ผู้ฟังท้ังหมด ๒) ไมค่ วรหลบตาลงตา่ มองดูเพดาน มองไปด้านนอกห้อง หรือมองข้าม หวั ผู้ฟังไปยงั ผนังห้อง ๓) ไมค่ วรก้มมองโน้ตย่อบ่อยคร้ังเพราะจะทาให้ดผู ิดสงั เกตและเสียบคุ ลกิ ๔) ไมค่ วรมองผู้ฟงั ด้วยหางตา ขมวดควิ้ ตาขุ่นเม่อื มอี าการไมพ่ อใจ “อันดวงตาคือหนา้ ตา่ งของหวั ใจ คดิ ไฉนจงมองตาแล้วจะรู้ หากคดิ ดีดวงตาพราวนา่ มองดู หากคดิ ข่ตู าแดงกา่ นา่ หว่นั เกรง” (ยุทธิชยั อปุ การดี) ๕.๓ การยืน การพูดแต่ละครั้งบุคลิกทีส่ าคญั อีกอย่างหนึง่ ของผู้พูดคือ การยืน เพราะการยืนที่เหมาะสมถูกต้องจะทาให้ผู้พูดดูสง่า มั่นใจ ซึ่ง หลักการปฏบิ ตั ิมีดงั นี้ ๕.๓.๑ ให้ยืนวางตัวอย่างเป็นธรรมชาติ แต่ไมใ่ ช่การยืนปล่อยตวั ตาม สบาย ๕.๓.๒ ยืนให้เท้าห่างกันพอสมควรและให้น้าหนักตัวตกลงบนเท้าท้ัง สองข้างเท่า ๆ กัน สาหรับท่ายืนของผู้หญิงควรยืนเท้าชิดใช้ส้นเท้าข้างหนึ่ง แตะตรงกลางเท้าอีกข้างหนึ่ง (ทาเท้าเป็นนาฬกิ าเวลาบ่ายสองโมง) ๕.๓.๓ ยืนตัวตรง ศีรษะต้ังตรงได้ระดับไมห่ งดุ หงิดหรือเชิด ไม่ไหล่ ตก ยก ห่อ หรือยกั อยู่ตลอดเวลา
๑๔ ขอ้ ควรระวัง ข้อควรระวงั สาหรบั การยืนมดี งั นี้ ๑) อย่ายืนท่าที่ไมเ่ หมาะสม เช่น การยืนล้วงกระเป๋า ยืนถ่างขา ยืนจับเข็ม ขัด เป็นต้น ๒) อย่ายืนในท่าทีแ่ สดงตนเองเหนือผู้ฟงั เช่น ยืนเอามือชี้กราด ยืนเท้า สะเอว เป็นต้น ๓) อย่ายืนในลกั ษณะท่าทางที่อ่อนเพลีย ยืนพิงแท่นพูด ยืนเกร็ง เปน็ ต้น . ภาพการยนื ทีถ่ ูกต้อง
๑๕ ๕.๔ การใชม้ ือและแขน การใช้มือและแขนประกอบการพูดจะช่วยสร้าง ความสนใจให้แก่ผู้ฟัง สามารถดึงดูดผู้ฟงั ได้ แต่หากใช้ไมถ่ ูกต้องก็จะทาให้ เกิดความน่าราคาญได้ ซึ่งการใช้มือและแขนมหี ลกั การดังนี้ ๕.๔.๑ การผายมอื ใช้เม่อื ต้องการบอกทิศทางหรือเชือ้ เชิญ ๕.๔.๒ การชนี้ วิ้ ใช้ประกอบเม่อื กล่าวถึงจานวน ชีท้ ิศทาง เป็นต้น ๕.๔.๓การสั่นมือ ใช้เม่ือ พูดปฏิเสธหรือการห้ามปราม เช่น ไมต่ ้องการ อย่าทานะ เป็นต้น ๕.๔.๔ การใช้กาปน้ั ใช้เม่อื พดู ถึงความรู้สึกต้องการจะต่อสู้ หรือ หนักแน่นในอดุ มการณ์ ข้อควรระวัง การใช้มอื และแขนในการพูดมีข้อควรระวังดงั นี้ ๑) ควรจะใช้เม่อื ต้องการเสริมความเข้าใจให้แก่ผู้ฟงั หรือเมอ่ื ต้องการเน้น ความคิดของผู้พดู ๒) ควรใช้ให้เหมาะสมกบั จงั หวะและสอดคล้องกับเนือ้ หา ๓) ควรเว้นการทาท่าทางที่ไร้ความหมายหรือตนเคยชิน เช่น การเอามือ ลบู คลาจมูก เปน็ ต้น ภาพการใชม้ ือทีถ่ กู ตอ้ ง
๑๖ ๕.๕ การใช้น้าเสียง เสียงพดู เปน็ เอกลักษณ์เฉพาะตวั บคุ คล แต่สามารถ ฝึกและปรับการใช้น้าเสียงให้น่าสนใจและเหมาะสมได้ เพราะเสียงพูดเป็น ปจั จัยสาคัญที่จะทาให้ผู้ฟังสนใจเรื่องที่พดู ผู้พูดต้องออกเสียงให้ถกู ต้องตาม หลกั ภาษาและใช้น้าเสียงเหมาะสมกับบริบทของเรือ่ งด้วย โดยการใช้น้าเสียง มหี ลกั การสาคญั ดังนี้ การใชน้ า้ เสียง ๑. พูดใหเ้ สียงดงั ฟงั ชดั ๒. พูดใหม้ ีนา้ เสียงนา่ ฟงั ๓. พดู ใหเ้ ป็นจงั หวะ ๔. พดู ให้มีลีลาทีน่ า่ ฟงั ๕. พดู ให้ชัดเจนถูกตอ้ ง
๑๗ ข้อควรระวงั การใช้น้าเสียงมขี ้อควรระวงั ดงั นี้ ๑) ไมค่ วรทีจ่ ะออกเสียงไร้ความหมาย เช่น เอ้อ อ้า เนี่ย เพราะจะทาให้ ผู้ฟังราคาญ ๒) ไมค่ วรใช้คา ครบั ค่ะ บ่อยจนเกินไปเพราะจะทาให้ผู้ฟังรู้สึกราคาญ และไมน่ ่าฟงั ๓) ไมค่ วรพดู แบบน้าเสียงเรียบเปน็ โทนเดียวกัน แต่ควรเน้นให้มีจังหวะ ลีลาทีเ่ หมาะสม ๕.๖ การใช้ภาษาในการพดู การใช้ภาษาในการพูดควรคานึงถึงความ เหมาะสมกบั บคุ คล โอกาส เวลา และเรื่องที่จะพดู ซึง่ หลักการใช้ภาษาใน การพดู มดี ังนี้ ๕.๖.๑ ภาษาต้องเหมาะสมกับบุคลิกภาพของผู้ฟัง ผู้พูดและโอกาส การใช้ภาษาต้องเลือกให้เหมาะสมกบั บคุ ลิกภาพของผู้พูด เพราะบางคนมี ลักษณะขรึม บางคนร่าเริง บางคนเอ าจริงเอาจัง ภาษากับโอกาสมี ความสัมพนั ธ์กัน เช่นกล่าวไว้อาลยั ไมค่ วรพดู เรือ่ งที่สนกุ สนาน และในส่วน ของผู้ฟังการใช้ภาษาต้องรู้จกั วิเคราะห์ผู้ฟงั ก่อนที่จะพดู เพราะผู้ฟังแต่ละคน ย่อมรับภาษาได้ต่างกัน ๕.๖.๒ ภาษาที่ใช้ต้องมีความชัดเจน ผู้ฟังฟังแล้วต้องเข้าใจทันที ภาษาที่ดีต้องเป็นประโยคส้ัน ๆ ง่าย ๆ ๕.๖.๓ ภาษาต้องมเี หตผุ ล คอื การใช้ภาษาที่ปราศจากอคติและ อารมณ์เปน็ ภาษาที่มีความหมายในตวั เอง คาเปรียบเทียบควรจะเลือกใช้ให้ เหมาะสมกับเรือ่ งทีพ่ ูด
๑๘ ๕.๖.๔ ภาษาต้องมชี ีวิตชีวา คอื ภาษาทีท่ าให้ผู้ฟังเกิดจินตนาการ อ่านแล้วเกิดความเข้าใจ ได้อรรถรสทางภาษา เรอ่ื งนา่ รู้ การใช้ไมโครโฟนที่ถูกต้อง ต้องให้ไมโครโฟนห่างจากคางประมาณ หนึง่ กามือ
๑๙ เกณฑ์การประเมินการพดู ลาดบั เกณฑ์การใหค้ ะแนน คะแนน คะแนนที่ เต็ม ได้ ๑. ดา้ นโครงสร้างทางการพดู ๕ ๑.๑ การเกรน่ิ นาที่น่าสนใจ ๑ ๑.๒ การนาเสนอเนือ้ หาตามลาดับ ๒ ๑.๒ การสรปุ น่าประทบั ใจ ๑ ๑.๔ ตรงต่อเวลาทีก่ าหนด ๑ ๒. ดา้ นทักษะและขอ้ มูล ๕ ๒.๑ มีปฏิภาณไหวพรบิ ๑ ๒.๒ ข้อมลู ตรงตามประเด็นทีก่ าหนด ๒ ๒.๓ ข้อมูลที่นาเสนอมีความถกู ต้องและมีความน่าเชอื่ ถือ ๒ ๓. ศิลปะการพดู ๕ ๓.๑ น้าเสียงที่ไพเราะ มีลีลาจังหวะสงู ต่า ๒ ๓.๒ ภาษาที่ใช้เข้าใจง่าย เหมาะสมกับระดับของเร่ือง และ ๒ กาลเทศะ ๑ ๓.๓ ออกเสียงอกั ขระถูกต้องชัดเจน ๔. ดา้ นบุคลิกภาพ ๕ ๔.๑ แต่งกายสภุ าพเรยี บร้อย ๑ ๔.๒ ปรากฏตัวอย่างมน่ั ใจ ไม่ประหม่า ๑ ๔.๓ การแสดงสีหน้าที่เป็นธรรมชาติ ๑ ๔.๔ มกี ารใช้สายตามองผู้ฟังอย่างเหมาะสม ๑ ๔.๕ มีการใช้ท่าทางอยา่ งเหมาะสม ๑ รวม คะแนนทงั้ หมด ๒๐
๒๐ เพิม่ เติมเสริมความรู้ ตวั อย่างการวางโครงเรื่อง ตัวอย่างการวางโครงเรือ่ ง เรือ่ ง “ตานานเมืองคล้องช้าง” ซึ่งจะอิง เนอื้ หาจากบทแนะนาท้องถิ่น “จุดหมาย : อาเภอช้างกลาง” สามารถ วางโครงเรือ่ งได้ดงั นี้ “ตานานเมืองคลอ้ งชา้ ง ” ๑. การเกริ่นนา ๒. การลาดบั เนอื้ หา ๒.๑ ประวัตคิ วามเป็นมาอาเภอช้างกลาง ๒.๑.๑ ประวตั ิศาสตรต์ ามตานาน ๒.๑.๒ ประวตั ิศาสตร์การแบ่งแยกเป็นกรมต่าง ๆ ๒.๑.๓ การตั้งขนึ้ เป็นอาเภอช้างกลาง ๒.๒ สภาพภูมศิ าสตร์ ๒.๒.๑ สภาพภมู ปิ ระเทศทัว่ ไป ๒.๒.๒ แหล่งน้าตามธรรมชาติที่สาคญั ๒.๓ สถานทีส่ าคัญ ๒.๓.๑ สถานทสี่ าคัญทางธรรมชาติ ๒.๓.๒ สถานทสี่ าคัญทางสิง่ ก่อสร้างปูชนียสถาน ๓. การสรุป
๒๑ กิจกรรมท้ายบท ให้นักเรียนเลือกศึกษานิทาน ตานาน วรรณกรรม หรือภูมิปัญญา ท้องถิ่นของตนเองที่สนใจ แล้วนาข้อมูลที่ได้มาศึกษาทาความเข้าใจ และวางโครงเรือ่ งของเนือ้ หา ........................................................................................................ ........................................................................................................ ........................................................................................................ ........................................................................................................ ........................................................................................................ ........................................................................................................ ........................................................................................................ ........................................................................................................ ........................................................................................................ ........................................................................................................ ........................................................................................................ ........................................................................................................ ........................................................................................................ ........................................................................................................ ........................................................................................................ ........................................................................................................
บทที่ ๒ การพูดเชิงวิชาการ “ตานานเมืองคล้องชา้ ง” การพดู เชิงวิชาการ ถือเป็น ตวั ช้วี ดั ท ๒.๑ ม.๔/๑ เขียนสื่อสารใน ทักษะการพูดที่มีความสาคัญต่อ รู ป แ บ บ ต่ า ง ๆ ไ ด้ ต ร ง ต า ม ผู้เ รียน ใ น ปัจจุบัน เ ป็ น อ ย่างมา ก วัตถปุ ระสงค์โดยใช้ภาษาเรียบเรียง เพราะโล กแห่งการ เรียนรู้ใ น ถกู ต้อง มขี ้อมูล และสาระสาคัญ ปจั จบุ ันล้วนมคี วามจาเป็นที่จะต้อง ชัดเจน ใช้การสือ่ สารในการแลกเปลี่ยน ท ๓.๑ ม.๔/๕ พดู ในโอกาสต่าง ๆ เรียนรู้ กระบวนการของการพูดเชงิ พดู แสดงทรรศนะโต้แย้ง โน้มน้าวใจ วิชาการเปน็ กระบวนการพ้นื ฐานที่ และเ สนอ แนวคิ ดใ ห ม่ด้วย ภาษ า จะ พัฒ นา ต่อ ยอ ดไ ปยั งก าร พู ด ถกู ต้องเหมาะสม ระดับข้ันอืน่ ๆ ต่อไปได้ ท ๔.๑ ม.๔/๓ ใช้ภาษาเหมาะสมแก่ โอกาสและบุคคลรวมท้ังคาราชา ศัพท์อย่างเหมาะสม สมรรถนะสาคญั ของผู้เรียน ๑.ความสามารถในการสือ่ สาร ๒. ความสามารถในการคิด คุณลกั ษณะอันพึงประสงค์ ๑. มวี ินยั ๒. ใฝ่เรียนรู้ ๓. มงุ่ มนั่ ในการทางาน ๔. รกั ความเป็นไทย
๒๓ ๑. ความหมายของการพดู เชิงวิชาการ การพูดเชิงวิชาการ หมายถึง การพดู แสดงทรรศนะเรือ่ งราวต่าง ๆ จาก ข้อมลู ทีผ่ ู้พดู สนใจศึกษาและต้องการถ่ายทอดมายังผู้ฟัง โดยอาจจะเป็น ข้อเทจ็ จริง ข้อคิดเห็น ข่าวสาร หรือความรู้ในศาสตร์ต่าง ๆ เป็นต้น ซึ่งจะมี ความเอาจริงเอาจงั น้อยกว่าการพดู ทางวิชาการ ๒. จุดประสงค์ของการพดู เชิงวิชาการ จดุ ประสงค์หลกั ของการพูดเชงิ วิชาการ คอื การถ่ายทอดข้อมูลที่ ผู้พดู ศึกษามาให้ผู้ฟงั รับรู้และทาความเข้าใจ จุดประสงค์รองของการพดู เชงิ วิชาการ คือ ทาให้ผู้ฟังสนใจสิ่งที่ผพู้ ดู สนใจ และอาจจะนามาซึ่งการวิจารณ์สงิ่ ผพู้ ูดศึกษา และการถามสงิ่ ทีผ่ ู้พดู ยงั ค้นหาไม่ได้ศึกษาในบางประการ ๓. ประเภทของการพูดเชิงวิชาการ การพูดเชิงวิชาการสามารถจาแนกประเภทได้หลายประเภทขึน้ อยู่กับชุด ข้อมูลหรือเจตนาการส่งสารของผู้พูดว่ามีเจตนาในการพูดคร้ังหนึ่ง ๆ เป็น อย่างไร หากยึดเกณฑ์ตามข้อมูลสามารถสรุปประเภทของการพูดเชิง วิชาการได้ดังนี้ ๓.๑ การพดู นาเสนอสารข้อเท็จจริง ๓.๒ การพดู นาเสนอสารข้อคิดเหน็ ๓.๓ การพดู นาเสนอสารความรู้สึก
๒๔ เรื่องทีค่ วรรู้ หลักการในการพูด การเลือกใช้ภาษา การเว้นจังหวะใน เชิงวิชาการ การพดู หลักการในการพูดเชิง การใช้ภาษาในการพูด การพูดเชิ งวิชากา ร วิชาการผู้พดู สามาถนา เชิงวิชาการ ภาษาจะอยู่ ต้องเว้นวรรคการพูดให้ ความรู้ในบทที่ ๑ มา ในระดับกึ่งทางกา ร ถู ก ต้ อ ง เ ห ม า ะ ส ม ปรับประยุกต์ใช้ในการ เ พ ร า ะ เ นื้ อ ห า แ ล ะ ไ ม่ ค ว ร พู ด เ ร็ ว แ ล ะ พดู เชิงวิชาการได้ ตั้งแต่ รูปแบ บข อ ง การพู ด ติดกนั เกินไป การเว้น เรื่องของการเตรียมตัว ประเภทนีไ้ ม่ได้มีความ ช่วงจังหวะที่เหมาะสม ผู้พูด การวิเคราะห์ผู้ฟงั เ ป็ น วิ ช า ก า ร อ ย่ า ง จะทาให้ผู้ฟัง ฟังสบาย กา ร ว า ง โค ร ง เ รื่ อ ง จริงจัง แต่ตัวภาษาที่ใช้ หู และผู้พูดก็ไม่เสีย และการเลือกใช้ภาษา ควรให้เหมาะสมกับ บคุ ลิกภาพ เป็นต้น ข้อมูลหรือเรื่องทีจ่ ะพูด ให้ภาษาและข้อมูลไป ทิ ศ ท า ง เ ดี ย ว กั น เพอ่ื ผู้ฟงั จะได้เข้าใจสิ่ง ที่ผู้พูด สื่อ ส ารอ อ ก ไ ป อ ย่ า ง ต ร ง ต า ม วัตถปุ ระสงค์
๒๕ ตัวอย่างบทพดู เชิงวิชาการ “ตานานเมืองคลอ้ งชา้ ง” บทพูดโดย ยทุ ธิชัย อปุ การดี ส่วนนา จังหวดั นครศรีธรรมราช / เป็นจงั หวัดทีม่ ปี ระชากร / และอาเภอมากที่สุด ในภาคใต้ / มจี านวน ๒๓ อาเภอ / แต่ละอาเภอล้วนมีประวัติศาสตร์ความ เปน็ มาอย่างน่าสนใจ / และอาเภอหนึง่ ทีม่ ีความเป็นมาทางประวตั ิศาสตร์อย่าง น่าสนใจ / มสี ถานที่สาคญั / และถือได้ว่าเปน็ แหล่งอารยธรรมสาคัญแห่งหนึ่ง ของจงั หวดั นครศรีธรรมราช / น่ันกค็ อื อาเภอช้างกลาง สว่ นเนือ้ หา ตานานความเป็นมาของอาเภอช้างกลางเล่ากันว่า / บริเวณเขาหลวง ตลอดจนถึงเขามหาชยั เดิมเปน็ ป่าดงดิบ / มโี ขลงช้างโขลงใหญ่เล็กอาศยั อยู่เป็น จานวนมาก / มกี ารจับช้างป่าเพ่อื นามาฝึกใช้งาน / และเปน็ กาลงั ของกองทัพ / ตลอดจนจบั ช้างเผือก / ซึง่ เป็นช้างที่มีคุณลกั ษณะคบู่ ญุ บารมี / แก่เจ้านครรัฐ และเจ้าแผ่นดิน / ต่อเนือ่ งมาตั้งแต่สมัยกรงุ ศรีอยธุ ยา/ จากหลักฐานอืน่ ๆ บ่งชี้ ว่า / เมอื งนครศรีธรรมราชในสมยั กรุงศรีอยุธยา มกี รมช้างถึง ๓ กรม / ได้แก่ / กรมช้างขวา / กรมช้างกลาง / และกรมช้างซ้าย / ซึง่ ท้องที่ตาบลช้างกลางแต่ เดิมขนึ้ กับอาเภอฉวาง / และในวันที่ ๒๔ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๕๐ / ได้มีพระราช กฤษฎกี ายกฐานะขนึ้ เป็นอาเภอช้างกลาง / มเี ขตการปกครอง ๓ ตาบล / คอื / ตาบลช้างกลาง /ตาบลหลกั ช้าง /และตาบลสวนขัน
๒๖ ลกั ษณะภมู ปิ ระเทศโดยทั่วไปเป็นทีร่ าบเชิงเขา / มภี ูเขาที่สาคัญ / คือ / “เขาเหมน” (บางทีเ่ รียกเขาพระสเุ มร)ุ / ด้านตะวันออกเป็นที่ราบเชิงเขา / นอกน้ันเป็นที่ราบเหมาะแก่การทาเกษตร / นอกจากนีย้ งั มแี หล่งน้าธรรมชาติ ที่สาคญั / คอื / คลองจันดี / คลองท่าแพ / คลองแหน / คลองชะอวด / อาเภอช้างกลางมีสถานที่สาคญั / ท้ังโดยธรรมชาติและสิง่ ก่อสร้างอัน เป็นปชู นียสถาน / โดยมีสถานทีท่ างธรรมชาติที่สาคญั / เช่น / น้าตกท่าแพ / เปน็ น้าตกจากอุทยานแห่งชาติเขาหลวง / มีความสวยงามเป็นอย่างมาก / อีกทั้งสิง่ ก่อสร้างอนั เป็นปชู นียสถานที่สาคญั / เช่น / เจดีย์พระธาตุน้อย / ซึ่งพระครพู ศิ ิษฐ์อรรถการ (พอ่ ท่านคล้ายวาจาสิทธ)ิ์ / ท่านได้สร้างพระธาตุ น้อยขึน้ / ยอดเจดีย์หุ้มด้วยทองคาหนกั ๔๐๐ บาท / ปจั จบุ ันเปน็ ทีป่ ระดิษฐาน สรีระของพอ่ ท่านคล้าย / และเป็นแหล่งท่องเทีย่ วทีส่ าคญั ในอาเภอ สว่ นสรปุ จะเหน็ ได้ว่าอาเภอชา้ งกลาง / เป็นอาเภอทีม่ ีประวตั ิศาสตร์ความเปน็ มา อ ย่ าง น่ าส น ใจ / พ ร้อ มท้ั ง มีส ถ าน ที่ สา คั ญท้ั งท า งธ ร รม ช าติ / และสิง่ ก่อสร้าง / รวมถึงเรื่องราวทางศาสนาทีน่ ่าคน้ หา / และความศรัทธาที่ พุทธศาสนิกชน / มตี ่อพอ่ ท่านคล้าย วาจาสิทธิ์ / ซึ่งสิ่งต่าง ๆ เหลานี้เม่ือ นามาหลอมรวมกันจึงได้เป็นคาขวญั ของอาเภอที่ว่า / “ตานานเมอื งคล้องช้าง /น้ายางพันธ์ุดี / มากมผี ลไม้ / พอ่ ท่านคล้ายวาจาสิทธิ์” หมายเหตุ : ใหอ้ ่านเว้นจังหวะตามเครื่องหมายวรรคตอน และใช้ลีลาน้าเสียง ประกอบอย่างเหมาะสมเพ่อื สร้างเสน่ห์ของการพูด
๒๓๗๙ ตวั อย่างการพดู เชิงวิชาการ ตัวอยา่ งการพดู สุนทรพจน์
๒๘ กิจกรรมท้ายบท ๑. ให้นักเรียนนาโครงเรือ่ งทีว่ างไว้จากงานบทที่ ๑ มาเขียนบทพูดเชิง วิชาการ โดยใช้ระดบั ของภาษาที่ถูกต้องเหมาะสมกบั เนือ้ เรื่องที่จะพดู (บทพดู ต้องเหมาะกบั การพดู ภายในเวลา ๓-๔ นาที) ........................................................................................................ ........................................................................................................ ....................................................................................................... ........................................................................................................ ........................................................................................................ ........................................................................................................ ........................................................................................................ ........................................................................................................ ........................................................................................................ ........................................................................................................ ........................................................................................................ ........................................................................................................ ๒. นกั เรียนนาบทพดู เชิงวิชาการมาปฏิบตั ิการพดู ในห้องเรียน
๒๙ อา่ นเสริมเติมปัญญา พระอเุ ชนเทวรูปคู่บารมีพอ่ ทา่ นคลา้ ย พระอเุ ชนเทวรูปคู่บารมขี องพอ่ ท่านคล้ายวาจาสิทธิ์ วัดสวนขนั พระอุเชนหรือที่เรียกว่าพระพฆิ เนศวร์ ซึง่ องค์ พระทาด้วยหินทรายแดง พระอุเชนได้แสดงอภินิหาร มากมาย เม่อื เรือ่ งราวรู้ถึงพอ่ ท่านคล้าย พ่อท่านจึงได้ไป ทาพธิ ีอญั เชิญมา ในขณะที่ทาพธิ ีนั้นเกิดฝนตกกระหน่าลง มาอย่างหนัก แต่เทียนที่จดุ ทาพธิ ีไมด่ ับเลย และนาขึน้ มา จากใต้น้าเพยี งใช้เส้นด้ายสามเส้นคล้องขึ้นมาเท่าน้ัน ถือเปน็ เรื่องราวทีน่ ่าอศั จรรย์มาก พ่อท่านคล้ายก็ได้ทา พธิ ีอญั เชิญมาไว้ที่วดั สวนขนั เม่อื อัญเชิญมาถึงท่าน้าหน้าวดั ปรากฏว่าฝนแล้งใน ทันทีทนั ใด มีประชาชนกว่า ๒๐๐ คนยืนรอรบั พระอุเชน ด้วยความยินดี และได้แห่ไปประดิษฐ์สถานในอุโบสถวัด สวนขัน แต่เดิมเทวรูปมีงาสองข้าง แต่เล่ากันว่า พระอเุ ชนดุร้ายมาก พอ่ ท่านคล้ายจึงตดั ออกเสียข้างหนึง่ และนาไปเก็บไว้ที่วดั พระบรมธาตุ นครศรีฯ มีชาวบ้านมา บนบานขอให้หายจากอาการเจ็บไข้ได้ป่วย ปัจจุบันพระ อเุ ชนมอี ายมุ ากกว่าหนึ่งพันหกร้อยกว่าปี ข้อมูลจาก : อนสุ รณ์เมอื งนคร
บทที่ ๓ สุนทรลีลา “เทวดาเมืองนครฯ” ตวั ช้วี ดั การพูดสุนทรพจน์ เปน็ ทกั ษะที่ ท ๒.๑ ม.๔/๑ เขียนสื่อสารใน รู ป แ บ บ ต่ า ง ๆ ไ ด้ ต ร ง ต า ม มคี วามสาคัญต่อผู้เรียนเป็นอย่าง วัตถุประสงค์โดยใช้ภาษาเรียบเรียง มาก เพราะกระบวนการพูดสุนทร ถูกต้อง มีข้อมูล และสาระสาคัญ พจน์ จะท าใ ห้ ผู้เ รียน ไ ด้ฝึ ก ก า รใ ช้ ชัดเจน ภาษาทีถ่ ูกต้องเหมาะสมตามระดับ ท ๓.๑ ม.๔/๕ พดู ในโอกาสต่าง ๆ ของภาษา ได้ฝึกการคิดอย่างเป็น พูดแสดงทรรศนะโต้แย้ง โน้มน้าวใจ ระบบ อีกท้ังได้ฝึกปฏิภาณไหวพริบ และเสนอ แนวคิดใหม่ด้วยภาษา ทางด้านการพูด รวมถึงได้สัมผัสกับ ถกู ต้องเหมาะสม ความงดงามและพลงั ของภาษาไทย ท ๔.๑ ม.๔/๓ ใช้ภาษาเหมาะสมแก่ อย่างแท้จริง โอกาสและบุคคลรวมท้ังคาราชา ศัพท์อย่างเหมาะสม สมรรถนะสาคญั ของผูเ้ รียน ๑.ความสามารถในการสือ่ สาร ๒. ความสามารถในการคิด ๓ . ค ว า ม ส า ม า ร ถ ใ น ก า ร ใ ช้ เทคโนโลยี คุณลกั ษณะอันพึงประสงค์ ๑. มวี ินยั ๒. ใฝ่เรียนรู้ ๓. มงุ่ ม่ันในการทางาน ๔. รกั ความเปน็ ไทย
๓๑ ๑. ความหมายของสุนทรพจน์ คาว่า สุนทรพจน์ อ่านว่า สุน–ทอ น–ระ–พด พจนานุกรมฉบับ ราชบณั ฑิตยสถาน พุทธศกั ราช ๒๕๕๔ ได้ให้ความหมายว่า สุนทรพจน์ หมายถึง คาพดู ทีป่ ระธานหรือบคุ คลสาคัญ เป็นต้น กล่าวในพธิ ีการหรือใน โอกาสสาคัญต่าง ๆ เช่น นายกรัฐมนตรีกล่าวสุนทรพจน์ในที่ประชุมสมัชชา ใหญ่สหประชาชาติ แต่ในทางปฏิบัติสุนทรพจน์ เป็นถ้อยคาที่ไพเราะ รายล้อมด้วย วรรณศิลป์ทางถ้อยคา นาเสนอความหมายลึกซึง้ เพราะเกิดจากการเรียบ เรียงถ้อยคาอย่างเป็นระบบ พิถีพิถัน และเลือกสรรคาที่สละสลวย สือ่ ความหมายชดั เจน มกี ารใช้ภาพจน์เสริมความให้นามธรรมกลายเป็น รปู ธรรมขนึ้ ได้ ๒. จดุ ประสงคข์ องการพูดสุนทรพจน์ การพูดสนุ ทรพจน์มีจดุ ประสงค์ซึง่ สามารถจาแนกได้ดงั นี้ ๑) เพือ่ ความจรรโลงใจ เป็นการพูดสุนทรพจน์ โดยมีจุดมุ่งหมาย เพอ่ื ให้เกิดความรู้สึกเปน็ สุขใจและยินดี นิยมใช้ในงานมงคลต่าง ๆ ๒) เพือ่ โนม้ น้าวใจ เป็นการพูดสนุ ทรพจน์ โดยมจี ดุ มงุ่ หมายเพ่อื ให้ผู้ฟัง เกิดความรู้สึกคล้อยตามหรือเหน็ ด้วยกับผู้พดู เช่น การพดู สุนทรพจน์โน้ม น้าวใจให้อนุรกั ษ์ธรรมชาติ ๓) เพื่อกระต้นุ จิตสานึกให้ตระหนักถงึ สิง่ ใดสิ่งหนงึ่ เป็นการพูดสุนทร พจน์ โดยมจี ุดมงุ่ หมายเพ่อื กระตุ้นจิตสานึกให้ตระหนกั ถึงสิ่งที่มีคุณค่าต่อ ตนเองและสงั คม เช่น ความจงรกั ภักดี ความกตญั ญู ความสามัคคีของคนใน ชาติ
๓๒ ๓. ลักษณะของการพดู สนุ ทรพจน์ การพูดสนุ ทรพจน์มีลักษณะของการพูดดังต่อไปนี้ ๑. การพูดสุนทรพจน์ เป็นการพูดปากเปล่าต่อหน้าสาธารณชน และจะต้องเตรียมตวั มาเป็นอย่างดี ๒. การพดู สนุ ทรพจน์ เปน็ การพดู เพอ่ื สร้างจิตสานึกให้ตระหนกั ไปในทาง ความคดิ สร้างสรรค์ ๓. การพูดสุนทรพจน์ เป็นการพูดที่มีการใช้ถ้อยคาอย่างประณีต งดงาม ๔. การพดู สุนทรพจน์ เป็นการพดู ที่แสดงให้เห็นถึงคณุ ค่าและข้อคิดของ เรือ่ งทีพ่ ดู ๕. การพูดสุนทรพจน์ เป็นการใช้ภาษาอย่างมีวรรณศิลป์ คือ ประกอบด้วยถ้อยคาที่งดงามและมคี วามหมายทีส่ มบูรณ์ชดั เจน ๔. ข้นั ตอนการเตรียมการพดู สนุ ทรพจน์ ลักษณะของการเตรียมการพูดสนุ ทรพจน์มีลกั ษณะคลา้ ยคลึงกบั การพดู เชิงวิชาการ หรือการพดู ประเภทอื่น ๆ จาเปน็ ต้องมสี ่วนประกอบ๓ ส่วน คือ ส่วนนา ส่วนเนอื้ หา และส่วนสรปุ ซึ่งรายละเอียดจะกล่าวพอสังเขปเป็น แนวทางดังต่อไปนี้ ๑. ส่วนนา เปน็ จดุ เริ่มต้นของการพูดสุนทรพจน์จะเป็นส่วนที่ดึงดูด ความสนใจของผู้ฟัง ผู้พูดสามารถขนึ้ ต้นส่วนนาได้อย่างหลากหลายรปู แบบ เช่น การขึน้ ต้นให้ผู้ฟงั เกิดความสงสัย การขึน้ ต้นด้วยบทร้อยกรอง และการ ขึน้ ต้นด้วยพระบรมราโชวาท เป็นต้น แล้วแต่ว่าผู้พูดต้องการจะเลือกใช้ ลกั ษณะใด และควรให้สอดคล้องกบั เรือ่ งที่จะพดู
๓๓ ๒. ส่วนเนื้อเรือ่ ง เปน็ ส่วนสาคัญของเรื่องที่จะพูดทั้งหมด เนือ้ เรื่องของ สุนทรพจน์จาเป็นจะต้องจัดวางลาดบั เนือ้ หาอย่างเป็นระบบ และแตกประเดน็ ต่าง ๆ ให้ครบถ้วนสมบรู ณ์ โดยการจัดลาดับเนือ้ เรื่องต้องอาศยั การวางโครง เรื่องก่อน ๓. สว่ นสรปุ เป็นส่วนทีต่ ้องสรุปเนอื้ หาสาระสาคัญของเรื่องที่พูดมา ท้ังหมด มคี วามสาคัญไมน่ ้อยไปกว่าการขึน้ ต้น เพราะเป็นส่วนที่ทาให้ผู้ฟัง ประทับใจได้เช่นกนั การสรปุ ก็สามารถทาได้หลายวิธี เช่น การสรุปจบแบบ กล่าวสาระสาคัญย่อ ๆ อีกครั้งหนึ่ง การสรุปจบแบบฝากข้อคิด ซึ่งสามารถนาบทกวีหรือสานวนสภุ าษิตมากล่าวทิง้ ทายในตอนสรปุ ได้ เป็นต้น การใชภ้ าษาของสุนทรพจน์ ภา ษ าที่ ใ ช้ใ น ก าร พู ด สุ น ทร พ จ น์ จะต้องประณีต สละสวย งดงาม มีการ ใช้วรรณศิลป์ทางภาษาและเสริมด้วย ลีลาทางการพูด มกี ารใช้สานวนสภุ าษติ บทกวี เข้ามาสอดแทรกในเนื้อหา ทาใ ห้ก า รใช้ ภาษ าข อ งสุน ทรพ จน์ มี ค ว า ม อ ลั ง ก า ร ท า ง ด้ า น ภ า ษ า และเป็นที่น่าประทบั ใจแก่ผู้ฟัง
๓๔ ๕. ตัวอยา่ งบทพดู สุนทรพจน์ การเขียนบทพูดในแต่ละครั้งจาเป็นจะต้องมกี ารวางโครงเรื่องเสมอ เพ่อื ให้เนือ้ หาได้จัดเรียงลาดับอย่างเป็นระบบ การวางโครงเรื่องบทพดู สนุ ทรพจน์ “เทวดาเมอื งนครฯ” ดงั นี้ การวางโครงเรื่องบทพดู สนุ ทรพจน์“เทวดาเมอื งนครฯ” ๑. ส่วนนา ส่วนนาขนึ้ ต้นด้วยบทร้อยกรองประเภทโคลงกระทู้ ๒. ส่วนเนือ้ หา ๒.๑ ความเปน็ เทวดาในด้านต่าง ๆ ๒.๑.๑ ด้านพระนกั สร้าง ๒.๑.๒ ด้านพระนักปฏิบัติ ๒.๑.๓ ด้านปาฏหิ าริย์ ๒.๑.๓.๑ ปาฏิหาริย์เรือ่ งวาจาสิทธิ์ ๒.๑.๓.๒ ปาฏิหาริย์เรือ่ งไฟไหม้ ๒.๑.๓.๓ ปาฏิหาริย์เรือ่ งการอัญเชิญพระอเุ ชน ๒.๒ เกียรติอันสงู สุดของพอ่ ท่านคล้าย ๓. ส่วนสรปุ ส่วนสรุปด้วยการสรุปความรวมอย่างย่อ ๆ และทิง้ ท้ายด้วยกาพย์ ยานี ๑๑
๓๕ บทสุนทรพจน์ “เทวดาเมืองนครฯ” พระครู ศีลถ่องถ้วน ธรรมพสิ ทุ ธิ์ พสิ ิฐ ศิษย์สัมพุทธ ถ่องแท้ อรรถ กิจเพ่มิ ผ่องผุด เพ่อื สตั ว์ โลกเฮย การ ศาสน์การโลกแล้ เลิศล้วนคุณปู การ (ไพโรจน์ รักษ์พงศ์) บทประพนั ธ์ข้างต้น / เปน็ บทประพันธ์ของนายไพโรจน์ รักษ์พงศ์ / ข้าราชการ บานาญ / ประชาชนผู้มีความศรัทธาในเทวดาเมอื งนครฯ / และบทประพันธ์นีแ้ สดง ให้เห็นถึงนามของเทวดาเมอื งนครฯ / นนั่ กค็ อื / พระครูพศิ ิษฐ์อรรถการ / หรือที่ ชาวบ้านโดยทัว่ ไปขนานนามว่า / “พอ่ ท่านคล้าย วาจาสิทธิ”์ / และ /“เทวดาเมือง นครฯ / ซึง่ ฉายานามนยี้ ่อมมที ี่มาที่ไปอย่างแน่นอน / ประชาชนจะยกย่องบคุ คลใด เปน็ เทวดาไดน้ ้ัน / ย่อมต้องมมี ลู เหตสุ นบั สนุนที่สาคัญ / พอ่ ท่านคล้ายเป็นเทวดา ผู้ให/้ ให้ธรรมคาสอนของพระศาสดานาทางชีวิต / ให้ความเมตตา / ให้ความ เจริญรุ่งเรือ ง / เป็นการให้ทั้งจากกาลังกาย / กาลังปัญญา / และให้ด้วย อิทธิปาฏิหาริย์ พ่อท่านคล้ายเปน็ ทั้งพระนักสร้าง / และนักปฏิบัติ / ตลอดช่วงชีวิตได้สร้าง ศาสนวัตถเุ พ่ือประชาชน / และบารงุ พระพทุ ธศาสนาไว้เป็นจานวนมาก / ไม่ว่าจะ เปน็ / วดั / โบสถ์ / วิหาร / โรงเรียน / ทกุ ทีท่ ุกสถานทีท่ ่านสร้าง / ล้วนเกิดความ เจริญรุ่งเรืองเรื่อยมาจนถึงปจั จุบัน / เช่น / วดั พระธาตุน้อย (เจดีย์พระธาตุน้อย) / เดิมเปน็ ผืนดินเปล่าไร้ประโยชน์ / พอ่ ท่านจึงคิดสร้างเจดีย์ขึน้ มา / จาลองแบบมา
๓๖ จากพระบรมธาตุนครศรีธรรมราช / ทาให้ชาวบ้านได้ใช้ประโยชน์เรือ่ ยมาจนถึงทกุ วันนี้ / และมีผู้คนมาท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่องไม่เว้นวายวัน / เทวดาท่านนี้ / ไมเ่ พยี งสร้างบารงุ พทุ ธศาสนา / เฉพาะในประเทศไทยเท่าน้ัน / แม้กระทั่งในต่าง แดน / ท่านก็มกี ารบาเพ็ญประโยชน์ / เพ่อื ทานบุ ารงุ พระพทุ ธศาสนา / เช่น / การ สร้างพระพทุ ธรูปในเกาะปีนัง ประเทศมาเลเซีย / สิ่งเหล่านีย้ ิง่ แสดงให้เห็นถึงความ เป็นเทวดาผู้เสกสรรสร้างอย่างแท้จริง / พ่อท่านคล้ายเปน็ พระนักปฏบิ ัติ / ผู้เคร่งครัดในธรรม / ตั้งใจศึกษาเล่าเรียน ภาษาบาลี / และฝึกวิปัสสนากัมมฏั ฐาน / จนบรรลุญาณข้ันสงู / เฉกเช่นพระมหา ปนั ถกเถระ / ซึง่ องคส์ มั มาสมั พทุ ธเจ้า / ได้ทรงยกย่องให้เป็น / พระผู้ฉลาดใน ปัญญาวิวฏั (วิปัสสนา) / พอ่ ท่านมีฉายานามอีกอย่างหนึ่งว่า / “วาจาสิทธิ์” / เพราะเม่อื ท่านเอ่ยหรือพดู อะไรขนึ้ มา / ก็จะเปน็ เช่นนั้นจริง / เช่น / การขุดบ่อน้าที่ เขาธง / ชาวบ้านเดือนร้อนไม่มนี ้าอปุ โภคบริโภค / ขดุ หาตาน้าอย่างไรก็ไม่เจอ / เมอ่ื ความทราบถึงพอ่ ท่านคล้าย / ท่านจึงไปที่เขาธงและบอกให้ชาวบ้านขุดบริเวณ ที่ท่านบอก / ปรากฏว่ามตี าน้าขนึ้ มาจริง / ความวาจาสิทธิ์ได้สร้างปาฏิหาริย์ไว้ อย่างล้นหลามให้ผู้คนได้เห็นอย่างประจักษ์ / แมแ้ ต่ภาพถ่ายของท่าน / เม่ือถูกไฟ ไหมก้ ไ็ หมเ้ พยี งกรอบนอกเท่านั้น / ซึง่ เหตกุ ารณ์นีเ้ กิดขึน้ ตอนทีไ่ ฟไหม้ตลาดหลัก ช้าง / ขณะนั้นพอ่ ท่านคล้ายไปปฏบิ ตั ิศาสนกิจอยู่ทีอ่ าเภอทุ่งสง / และได้สนทนา กบั ลกู ศิษย์ว่า / “ชาวตลาดหลกั ช้างได้รบั ความเดือดร้อน” / ปรากฏว่าเที่ยงของวนั น้ันเกิดไฟไหมต้ ลาดหลกั ช้าง / ซึ่งมคี วามอศั จรรย์เกิดขึน้ / นั่นคอื / ภาพของพ่อ ท่านคล้ายตามแผงร้านค้าต่าง ๆ / กลับไมโ่ ดนไฟไหมเ้ ลยแมแ้ ต่ภาพเดียว
๓๗ อีกเหตุการณ์ที่แสดงให้เห็นถึงอภนิ หิ าร / คอื / การไปอญั เชิญพระอเุ ชนมาจากใตน้ า้ / ในขณะทีพ่ ่อท่านนัง่ เรือไปตามลาน้า / เพอ่ื ไปอัญเชิญพระอเุ ชนก็ได้เกิดอภินิหาร ขนึ้ / คือ / ขณะทีพ่ ่อท่านคล้ายทาพธิ ีอญั เชิญบูชาพระอเุ ชน / ท่ามกลางสายฝนที่ กระหนา่ ลงมาอย่างหนัก / แต่เทียนที่ใช้ทาพิธีไมด่ บั แมแ้ ต่เล่มเดียว / และใช้เส้นดาย เพยี งสามเส้น / คล้ององค์พระขนึ้ มาจากใต้น้าได้อย่างง่ายดาย / ระหว่างทเี่ ดินทาง กลบั ฝนกต็ กตลอดทาง / แต่เม่อื พอ่ ท่านมาถึงท่าน้าวดั ฝนก็หยดุ ตก / ชาวบ้านใน บริเวณน้ันก็ได้เหน็ ประจักษ์แก่สายตาทุกผู้คน / อิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ของพ่อท่าน คล้าย / เปรียบเสมอื นกบั พระมหาโมคคลั ลานเถระ(อคั รสาวกฝ่ายซ้าย) / ซึ่งองค์ สมั มาสมั พุทธเจ้าได้ทรงให้เปน็ เลิศทางผู้มีฤทธิ์มาก เหตุการณท์ ีเ่ ป็นที่เลือ่ งลือ / และตราตรึงอยู่ในหัวใจของลกู ศิษย์พ่อท่านตราบ จนทกุ วนั นี้ / คอื / เหตกุ ารณ์ทีพ่ ระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร /มหาภูมิพลอ ดุลยเดชมหาราช / บรมนาถบพติ ร / เสดจ็ พระราชดาเนินมายงั จังหวดั นครศรธี รรม / และทรงแวะมาสักการะพ่อท่านคล้ายที่เฝ้ารอรบั เสดจ็ อยู่ / พระบาทสมเด็จพระ บรมชนกาธิเบศรฯ / ได้ทรงก้มพระเศียรเพอ่ื ให้พอ่ ท่านคล้ายพรมน้าพระพทุ ธมนต์ / แต่พ่อท่านคล้ายขอให้พระองค์ท่านยื่นพระหัตถ์มาแทน / เพอ่ื พรมน้าพระพุทธมนต์ แทนการพรมทีพ่ ระเศียร / เหตุการณ์นยี้ งั คงเปน็ ที่เล่าขานจนถึงทุกวันนี้ / เพราะ พระสงฆท์ ี่พระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอยู่หวั / ทรงก้มพระเศียรให้พรมน้าพระพุทธมนต์ ให้น้ันมอี ยู่เพยี งไมก่ ี่รูปในประเทศไทย / แมก้ ระท่งั ในวนั ทีพ่ ่อท่านคล้ายมรณภาพ / ก็ ได้รับพระมหากรุณาธิคณุ โปรดเกล้าฯ / พระราชทานผ้าไตรถึง ๒๕ ไตร / ซึง่ สมเด็จ พระวันรตั / ทรงประทานโอวาทแก่ศิษยานศุ ิษย์ของพอ่ ท่านคล้ายว่า / “ตั้งแต่สร้าง กรุงศรีอยธุ ยามาจนบดั นี้ / ยงั ไมเ่ คยมสี มเด็จพระสงั ฆราช / สมเด็จพระราชาคณะ
๓๘ หรือพระราชาคณะองค์ใด / ได้รับพระมหากรณุ าธิคุณโปรดเกล้าฯ / พระราชทาน ผ้าไตรถึง ๒๕ ไตรเลย” / ยิง่ แสดงให้เห็นว่า /บารมขี องพอ่ ท่านคล้ายน้ันมมี ากสดุ ที่ จะคณนาได้ / แมแ้ ต่พระเจ้าแผ่นดินยงั ให้ความสาคัญมากถึงเพยี งนี้ / ทุกวันนี้ / แมพ้ อ่ ท่านคล้ายจะละสงั ขารไปนานแล้ว / แต่ด้วยคณุ งามความดีที่ ท่านได้สร้างไว้ / ทาให้บารมีความศรัทธาของพ่อท่านยงั คงอยู่ / เฉกเช่นแสงอาทติ ย์ ที่ยงั คงส่องสว่างอยู่ในทกุ ๆ วัน / ผู้คนทั่วทกุ สารทิศต่างหลัง่ ไหลเข้ามา / เพื่อกราบ ไหว้สรีระสงั ขารพอ่ ท่านอย่างต่อเนื่องไมข่ าดสาย / สิ่งต่าง ๆ ที่เทวดาองค์นี้ได้ สร้างเอาไว้ / ต่างก็เจริญรุ่งเรื่องและมีให้เหน็ ปรากฏอยู่จนปัจจุบัน / ด้วยบารมี ความศรทั ธาทีย่ ังคงอยู่ / ทาให้พ่อท่านคล้ายไมเ่ คยเลือนหายไปจากความคิดของ ลูกศิษย์ / และประชาชนทีเ่ คารพนับถือท่านเลยแมแ้ ต่น้อย / ฉายานามว่าเทวดา เมอื งนครฯ / พระนกั สร้างพระนักปฏบิ ัติจึงเหมาะสมแก่ / พอ่ ท่านคล้าย วาจาสิทธิ์ / อย่างสมเกียรติสมศกั ดิ์ศรี เจดีพิหารโบสถ์ วัดรุ่งโรจน์เรืองศรทั ธา เพยี งท่านเอ่ยวาจา ทุกการกิจประสิทธิ์พลนั เทวดาแห่งแดนใต้ ทกุ ขย์ ากไร้แรมนิรันดร์ คือสงฆท์ รงคณุ อนนั ต์ อเนกนบั คณุ ูปการ (ไพโรจน์ รักษ์พงศ์) บทสุนทรพจน์โดย ยุทธิชัย อุปการดี
๓๙ ตวั อย่างการพดู สนุ ทรพจน์ ตัวอยา่ งการพดู สุนทรพจน์
๔๐ กิจกรรมท้ายบท ๑.ให้นักเรียนจับคู่กนั แล้วเขียนบทสนุ ทรพจน์ในประเดน็ “ท้องถิ่นบ้าน เรา” ........................................................................................................ ........................................................................................................ ....................................................................................................... ........................................................................................................ ........................................................................................................ ........................................................................................................ ........................................................................................................ ........................................................................................................ ........................................................................................................ ........................................................................................................ ........................................................................................................ ........................................................................................................ ๒. นักเรียนนาบทพดู ที่เขียนเสร็จแล้วไปปฏิบัติการพูดสุนทรพจน์ โดยอัดคลิปวิดีโอส่งคุณครู ใช้เวลาในการพดู ๓ – ๔ นาที
Search