Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ประวัติศาสตร์ไทยสมัยอยุธยา

ประวัติศาสตร์ไทยสมัยอยุธยา

Published by Yotanut Bonnyo, 2021-03-23 09:50:31

Description: ประวัติศาสตร์ไทยสมัยอยุธยา

Search

Read the Text Version

1 ประวตั ิศาสตรไ์ ทยสมยั อยุธยา พฒั นาการของอาณาจักรอยุธยา กรุงศรอี ยุธยาสถาปนาข้ึนในปี พ.ศ. ๑๘๙๓ จนถึง ปี พ.ศ. ๒๓๑๐ พระมหากษัตริย์ พระองค์แรกที่เป็นผู้สถาปนากรุงศรีอยุธยา คือ สมเด็จพระรามาธิบดีท่ี ๑ หรือ พระเจ้าอู่ทองและเสียกรุงศรีอยุธยาให้กับพม่าในสมัยของสมเด็จพระท่ีนั่งสุริยาศน์อัมรินทร์ หรอื พระเจ้าเอกทศั กรงุ ศรีอยุธยาราชวงศท์ ้ังหมด ๕ ราชวงศ์ คอื ประวตั ศิ าสตรไ์ ทยสมัยอยุธยา

2 ประวัตศิ าสตร์ไทยสมัยอยธุ ยา

3 ประวัตศิ าสตร์ไทยสมัยอยธุ ยา

4 ประวัตศิ าสตร์ไทยสมัยอยธุ ยา

5 ประวัตศิ าสตร์ไทยสมัยอยธุ ยา

6 ประวัตศิ าสตร์ไทยสมัยอยธุ ยา

7 กรุงศรีอยุธยามีพระมหากษัตริย์ท้ังหมด ๓๓ พระองค์ แต่มี ๓๔ รัชกาล เพราะว่า สมเด็จพระนเรศวร พระโอรสของพระเจ้าอู่ทองทรงครองราชย์ ๒ ครั้ง คร้ังท่ีหนึ่ง ปี พ.ศ. ๑๙๑๓ ครองราชย์ได้ประมาณ ๑ เดือน สมเด็จพระบรมราชาธิราชท่ี ๑ หรือขุนหลวงพะงั่ว ผมู้ ีศักด์เิ ป็นอาก็ขึ้นครองราชย์แทน ครง้ั ท่ีสองต้ังแต่ปี พ.ศ. ๑๙๓๑-๑๙๓๘ ต่อจากขุนหลวง พะง่วั ท้งั นี้ไมร่ วมขุนวรวงศา เพราะถอื ว่าไมไ่ ด้เป็นพระมหากษัตรยิ อ์ ย่างสมบรู ณ์และถกู ตอ้ ง กษัตริย์ของกรุงศรีอยุธยาอยู่ในฐานะของสมมติเทพ มีความแตกต่างระหว่าง พระมหากษัตริย์กับราษฎร ซึ่งแตกต่างกับสมัยสุโขทัยท่ีปกครองในระบอบของปิตุราชา ทำให้กษัตริย์ในสมัยสโุ ขทัยกับราษฎรมีความใกล้ชดิ สนิทสนมเหมือนพ่อกับลูก เนื่องจากใน สมัยกรุงศรีรอยุธยาได้รับอิทธิพลของศาสนาพราหมณ์จากอินเดยี และศรีลังกา ทำใหม้ ีระบบ วรรณะเข้ามาแต่ไมม่ ากเท่ากับในประเทศอินเดียเราได้รับอิทธิพลจากอินเดยี ในหลายๆ ด้าน รวมทั้งในด้านของระบบการปกครอง คือ ระบบจตุสดมภ์ ซึ่งเป็นการปกครองท่ีมีมาต้ังแต่ สมยั สุโขทัย และใช้เรอื่ ยมาจนถึงสมัยธนบรุ ี ประวัตศิ าสตรไ์ ทยสมัยอยุธยา

8 ๑. การสถาปนาอาณาจกั รอยุธยา ๑.๑ ชมุ ชนไทยกอ่ นสถาปนาอาณาจกั รอยุธยา การสถาปนาอาณาจักรอยุธยา กรุงศรีอยุธยาถือกำเนิด เม่ือประมาณ พ.ศ. ๑๘๙๓ ในบริเวณลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาตอนล่าง ซ่ึงในขณะนั้นได้มีอาณาจักรคนไทยอื่นๆ ตั้งบ้านเรือนเป็นชุมชนท่ีเจริญอยู่ก่อนแล้ว ละโว้ (ลพบุรี) อู่ทอง (สุพรรณภูมิ) และ อาณาจกั รสโุ ขทยั ซ่ึงกำลงั เสอื่ มอำนาจลงมาแลว้ ประวัตศิ าสตร์ไทยสมัยอยธุ ยา

9 แคว้นอทู่ องหรือสพุ รรณภมู ิ แคว้นอู่ทองเป็นชุมชนของคนไทย ต้ังอยู่ทางด้านตะวันตกของลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา ตอนล่าง มีการค้นพบซากเมืองโบราณและหลักฐานทางประวัติศาสตร์อ่ืนๆ ในเขตตัวเมือง อู่ทอง (อยู่ริมแม่น้ำจระเข้สามพัน อำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี และในเขตอำเภอเมือง สพุ รรณบรุ ี ศูนย์กลางความเจริญของแคว้นอู่ทองอยู่ท่ีตัวเมืองอู่ทอง จากหลักฐานที่ค้นพบ ทำให้เช่ือว่า เมืองอู่ทอง เป็นชุมชนโบราณท่ีมีผู้คนอยู่อาศัยมาต้ังแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ (สมัยท่ีมนุษย์ยังไม่รู้จักประดิษฐต์ ัวอักษร) จนกระท่ังมีความเจริญสูงสุดในช่วงพุทธศตวรรษ ที่ ๘-๑๓ และถือวา่ มีอายุเก่าแกม่ ากกวา่ เมืองโบราณที่นครปฐม การค้นพบศิลปะโบราณและโบราณวัตถุสมัยทวารวดี ท่ีสร้างขึ้นในพุทธศตวรรษท่ี ๑๖ ทำให้สันนษิ ฐานวา่ ก่อนในช่วงดังกลา่ ว อาณาจักรทวารวดีมีอทิ ธิพลเหนือเดนิ แดนแห่งนี้ ประวตั ิศาสตรไ์ ทยสมัยอยุธยา

10 หลังจากนั้นเมืองอู่ทองได้เส่ือมอำนาจและลดความสำคัญลง โดยเฉพาะในช่วงพุทธศตวรรษ ท่ี ๑๗-๑๙ เมอื งสพุ รรณบรุ ี กลับมีความเจรญิ เขา้ มาแทนที่ แคว้นอู่ทองหรือสุพรรณบุรี อาจเป็นเมืองเดิมของพระเจ้าอู่ทองก่อนการสถาปนา กรงุ ศรอี ยธุ ยาเป็นราชธานี จากหลักฐานทางประวัติศาสตรร์ ะบุว่า พระเจา้ อู่ทองทรงพาผคู้ น อพยพหนีโรคระบาดจากแคว้นสุพรรณภูมิมาสร้างเมืองใหม่ท่ีกรุงศรีอยุธยา และต่อมาทรง ตั้งให้ขุนหลวงพะง่ัว ญาติผู้ใหญ่ของพระองค์ไปครองเมืองสุพรรณบุรีแทนแคว้นละโว้หรือ ลพบรุ ี แควน้ ละโวห้ รือลพบรุ ี เมืองละโว้เป็นชุมชนโบราณ ตั้งอยู่ด้านตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยาตอนล่าง มีความเจริญรุ่งเรืองในช่วงพุทธศตวรรษท่ี ๑๑ โดย “พระยากาฬวรรณดิศราช” กษัตริย์ นครปฐมเป็นผู้สั่งให้สร้างเมืองละโว้ข้ึนใน พ.ศ. ๑๐๐๒ แต่ท้ังเมืองละโว้ นครปฐม อู่ทอง ประวตั ศิ าสตร์ไทยสมัยอยธุ ยา

11 และสุพรรณภูมิ ล้วนแต่เป็นส่วนหน่ึงของอาณาจักรทวารวดีในช่วงพุทธศตวรรษท่ี ๑๑ ทัง้ ส้นิ โดยละโว้มีความสำคัญในฐานะเป็นเมอื งลูกหลวงทางดา้ นตะวันออกของอาณาจักร แคว้นละโว้มีความเจริญทางวัฒนธรรมและเป็นศูนย์กลางของพระพุทธศาสนา ในช่วงพุทธศตวรรษท่ี ๑๒-๑๓ ความเจริญของละโว้แผ่ขยาย ครอบคลุมต้ังแต่บริเวณ ปากอ่าวไทยขึ้นไปตามลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาด้านตะวันออกจนถึงเมืองนครสวรรค์และเมือง หริภญุ ไชย แคว้นละโว้เริ่มรับวัฒนธรรมฮินดูและพระพุทธศาสนา ลัทธิมหายานจากเขมร อย่างมาก ต้ังแต่ในพุทธศตวรรษท่ี ๑๖ เป็นต้นมา โดยเชื่อว่าแคว้นละโว้ตกอยู่ใต้อำนาจ ทางการเมืองของเขมร เพราะก่อนหน้าน้ีละโว้เคยส่งทูตไปเมืองจนอย่างสม่ำเสมอ แต่หลังจาก พ.ศ. ๑๕๔๔ ก็ไม่ได้ส่งไปอีกเลย แคว้นละโว้ย้ายราชธานีใหม่ในช่วงพุทธ ศตวรรษท่ี ๑๗ ประวตั ศิ าสตรไ์ ทยสมัยอยุธยา

12 แคว้นละโว้ถูกคุกคามโดยกองทัพของพระเจ้าอโนรธามังช่อ กษัตริย์แห่งอาณาจักร พุกาม (พม่า) เม่ือประมาณ พ.ศ. ๑๖๐๑ พระนารายณ์กษัตริย์ของแคว้นละโว้ได้ย้ายราช ธานีใหม่มาตง้ั ตรงปากแม่นำ้ ลพบุรี (บริเวณที่แม่น้ำลพบุรีไหลมาบรรจบกบั แม่น้ำเจ้าพระยา) เมื่อ พ.ศ. ๑๖๒๕ และต้ังชื่อว่า “กรุงอโยธยา” ส่วนเมืองละโว้เดิมได้เปลี่ยนช่ือใหม่เป็น “ลพบุรี” และมฐี านะเปน็ เมืองลูกหลวงของกรงุ อโยธยาหรือแคว้นอโยธยา ตงั้ แตบ่ ัดน้นั ประวัตศิ าสตรไ์ ทยสมัยอยุธยา

13 กรุงอโยธยา หรือแควน้ อโยธยา แคว้นอโยธยามีอำนาจปกครองในดินแดนลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาตอนล่างจนถึง พุทธศตวรรษที่ ๑๙ สันนิษฐานว่าพระเจ้าอู่ทองกษัตริย์อโยธยาสมัยนั้นได้อพยพพาผู้คนมา ต้ังเมืองใหม่ท่ีหนองโสน ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากที่เดิมมากนัก โดยสถาปนากรุงศรีอยุธยา เป็น ราชธานีเมอื่ พ.ศ. ๑๘๙๓ และยกฐานะลพบุรีให้เป็นเมอื งลูกหลวง สมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ (พระเจ้าอู่ทอง) เป็นผู้ทรงสถาปนากรุงศรีอยุธยาเป็น ราชธานี เมื่อพ.ศ. ๑๘๙๓ ซึ่งไม่มีหลักฐานปรากฏแน่ชัดว่า พระองค์สืบเช้ือสายมาจาก ราชวงศใ์ ด และมถี ่ินกำเนิดมาจากที่ใด มขี ้อสนั นษิ ฐานในเร่อื งดงั กล่าว ๓ ประการ ดังนี้ -มีถ่ินกำเนิดมาจากเมืองอู่ทอง แคว้นสุพรรณภูมิ เมื่อประมาณ พ.ศ. ๑๘๙๐ เมืองอู่ทองซ่ึงตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำจระเข้สามพัน ประสบภัยธรรมชาติ ลำน้ำจระเข้สามพัน ต้นื เขินขาดแคลนน้ำ จึงเกิดโรคระบาด (โรคห่า หรืออหวิ าตกโรค) มีผูค้ นล้มตายเปน็ จำนวน มากพระเจ้าอู่ทองจึงทรงท้ิงเมืองอพยพผู้คนข้ามแม่น้ำมาต้ังเมืองใหม่ท่ีบริเวณตำบล หนองโสน (บึงพระราม) ใช้เวลาสร้างเมืองใหม่ ๓ ปี และสถาปนาขึ้นเป็นกรุงศรีอยุธยา ราชธานแี หง่ ใหม่ ใน พ.ศ. ๑๘๙๓ ประวตั ศิ าสตร์ไทยสมัยอยธุ ยา

14 ‘’ -ถิ่นกำเนิดเดิมมาจากเมืองอโยธยา บริเวณปากแม่น้ำลพบุรี ซ่ึงเป็นเมืองหลวงของ แคว้นละโว้ โดยพระเจ้าอู่ทองทรงอพยพไพร่พลท้ิงเมืองอโยธยา หนีภัยอหิวาตกโรคระบาด มาสร้างเมืองใหมเ่ ช่นกัน -มีฐานะเป็นพระราชโอรสของแคว้นละโว้ พระราชบิดาของพระเจ้าอู่ทองเป็น กษัตริย์แห่งแคว้นละโว้ และมอบหมายให้พระเจ้าอู่ทองไปครองเมืองเพชรบุรี ในฐานะเมือง ลูกหลวง คร้ังเมือพระราชบิดาสวรรคต พระเจ้าอู่ทองจึงเสด็จกลับมาครองราชย์สมบัติใน แควน้ ละโว้และตอ่ มาได้ย้ายมาตัง้ ราชธานีแห่งใหมท่ ีก่ รุงศรีอยธุ ยา ประวัติศาสตร์ไทยสมัยอยุธยา

15 ๑.๒ การสถาปนาอาณาจักรอยุธยา พงศาวดารไทยกลา่ วถงึ เรื่องพระเจา้ อทู่ องทรงสร้างกรุงศรอี ยุธยาท่ีบรเิ วณหนองโสน หรอื บึงพระราม ซึง่ อยู่ทางฝ่งั ตะวันตกของแมน่ ำ้ เจ้าพระยา เสรจ็ ใน พ.ศ. ๑๘๙๓ ทรงขนาน นามราชธานีว่า กรุงเทพทวารวดีศรอี ยุธยา และเสดจ็ ขึ้นครองราชย์ ทรงพระนามว่า สมเดจ็ พระรามาธบิ ดีศรีสนุ ทรบรมบพิตร เราเรยี กพระองค์ว่า สมเดจ็ พระรามาธิบดีท่ี ๑ หรอื พระเจา้ อ่ทู อง ความเป็นมาของพระเจา้ อู่ทองซ่ึงอยู่ในสพุ รรณบุรี ตอ่ มาเมืองอู่ทอง เกดิ กนั ดารนำ้ และอหวิ าตกโรคระบาดจงึ ย้ายมาตง้ั กรงุ ศรีอยุธยา เม่อื พ.ศ. ๑๘๙๓ แตจ่ าก การที่กองโบราณคดกี รมศิลปากรขดุ แตง่ โบราณสถานทเ่ี มอื งอทู่ องเม่ือ ประวัตศิ าสตร์ไทยสมัยอยธุ ยา

16 พ.ศ. ๒๕๐๖- ๒๕๑๑ พบว่าเมอื งอู่ทองร้างไปก่อนตง้ั กรุงศรีอยุธยาถึง ๒๐๐ ปี จงึ เป็นไป ไม่ไดท้ พ่ี ระเจ้าอู่ทองจะย้ายเมอื งจากเมอื งอทู่ องไปต้ังกรงุ ศรีอยุธยา เรือ่ งราวของพระเจ้าอู่ ทองอพยพมาจากท่ีใด หรือมเี ชอ้ื สายมาจากเมอื งใด มผี สู้ ันนษิ ฐานกนั ตา่ งๆ นานา ซ่ึงสรปุ ได้ดังน้ี ๑. หนังสือจุลยุทธศาสตร์การวงศ์กล่าวว่า พระราชธิดาของพระเจ้าอู่ทอง คือ พระเจ้าศรีวิชัยเชียงแสน เดิมชื่อ นายแสนปม เพราะร่างกายเป็นปุ่มปมไปท้ังตัว พระราช มารดาเป็นราชธิดาของเจ้าเมืองไตรตรึงส์ (อยู่ในกำแพงเพชร) ซ่ึงสบื เช้ือสายมาจากพระเจ้า เชียงรายพระเจ้าศรีวิชัยเชียงแสนครองเมืองเทพมหานคร (อยู่ในกำแพงเพชร) เมื่อสวรรคต แล้ว พระเจ้าอู่ทองครองราชย์สมบัติต่อมาได้ ๖ ปี ก็ย้ายไปสร้างกรุงศรีอยุธยาเมื่อ พ.ศ. ๑๘๙๓ ประวตั ิศาสตร์ไทยสมัยอยธุ ยา

17 ๒. นักประวัติศาสตร์หลายท่านเช่ือว่า ขณะที่พระเจ้าอู่ทองทรงสร้างกรุงศรีอยุธยา เป็นราชธานีน้ัน พระองค์ทรงมีพระบารมีและอำนาจอยู่มากพอสมควร พร้อมมีกำลังรี้พลท่ี เขม้ แข็งถึงขนาดท่พี ระองคท์ รงราชาภิเษกแล้วโปรดเกล้าฯ ใหพ้ ระราเมศวร ราชโอรสข้นึ ไป ครองเมืองละโว้ หรือลพบุรี และโปรดเกล้าฯ ให้ขุนหลวงพะงั่วไปครองเมืองสุพรรณบุรี แสดงให้เห็นว่ามิได้อพยพมาสร้างกรุงศรีอยุธยา เพราะหนีภัยโรคระบาด คืออหิวาตกโรค อย่างแน่นอน และถ้าหนีภัยมาจริงๆ คงเป็นไปไม่ได้ที่จะสร้างราชธานีให้ใหญ่โต เพราะ สภาพของการหนีภัยจากโรคระบาดนั้น ผู้คนที่รอดชีวิตจะมีไม่มากนัก และคงจะมีสภาพ เสื่อมโทรมทางด้านจิตใจและอาหารการกินท่ีคงอดอยาก รี้พลคงจะอยู่ในสภาพ กะปลกกะเปลยี้ ไมส่ ามารถทีจ่ ะแผอ่ ำนาจได้อย่างรวดเร็ว ประวตั ศิ าสตรไ์ ทยสมัยอยธุ ยา

18 ประวัตศิ าสตร์ไทยสมัยอยธุ ยา

19 ๓. นักประวัติศาสตร์บางท่านเชื่อว่าพระเจ้าอู่ทองมิได้อพยพมาจากท่ีใด คงจะ ปกครองเมืองเก่าที่อยู่แถบนั้น ซ่ึงมีช่ือเดิมว่า อโยธยา เพราะบริเวณน้ันเป็นแหล่งชุมชน หนาแน่นข้าวปลาอาหารอดุ มสมบรู ณ์ และยงั เปน็ ชมุ ชนทางการค้าอกี ด้วย ๔. นักประวัติศาสตร์ท่ีเช่ือว่า พระเจ้าอู่ทองอพยพมาจากเมืองอื่น ต่างมีความเห็น ตรงกันว่าพระเจ้าอู่ทองจะต้องอพยพจากเมืองใหญ่ที่มีความเข้มแข็ง อาจเป็นเมือง สุพรรณภูมหิ รือละโว้ ประวัตศิ าสตร์ไทยสมัยอยธุ ยา

20 ๒. ปัจจยั สง่ ผลตอ่ ความเจรญิ รุ่งเรืองของอาณาจกั รอยธุ ยา การถือกำเนิดของอาณาจกั รอยุธยา ใน พ.ศ. ๑๘๙๓ เป็นชว่ งท่ีอาณาจักรสุโขทัย ซ่ึง เป็นอาณาจักรของคนไทยอีกกลุ่มหน่ึงทางตอนบนของลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาเริ่มเสื่อมอำนาจ ลงตรงกับรัชกาลพระมหาธรรมราชาลิไทย แห่งกรุงสุโขทัย ในขณะที่ดินแดนลุ่มแม่น้ำ เจ้าพระยาตอนล่างก็ยังคงมีแคว้นของคนไทยต้ังบ้านเรือนม่ันคงเป็นปึกแผ่นอยู่ก่อนแล้ว ไดแ้ ก่ ลพบุรี และสุพรรณบุรี ซึ่งต่อมาถกู รวมให้เป็นส่วนหน่ึงของอาณาจักรกรงุ ศรอี ยธุ ยาใน ทสี่ ุดปัจจัยที่สนับสนนุ ใหก้ ารสถาปนากรุงศรอี ยุธยาประสบความสำเร็จดงั น้ี ๒.๑ ปัจจยั ท่ีสนบั สนนุ การสถาปนากรงุ ศรอี ยธุ ยา ๑) ความเขม้ แข็งทางการทหาร สนั นิษฐานว่าพระเจา้ อู่ทองทรงเปน็ พระราชโอรสของกษัตริย์ผ้คู รองแคว้นละโว้ หรือ เป็นเจ้าเมืองที่มาจากเมืองอู่ทองอย่างใดอย่างหนึ่งจึงมีกำลังทหารเข้มแข็ง มีกำลังไพร่พล มากและมีลักษณะเป็นผู้นำทางการเมืองท่ีผู้คนยอมรับจึงให้การสนับสนุนในด้าน กำลังคน อยา่ งเต็มท่ี ประวตั ิศาสตร์ไทยสมัยอยธุ ยา

21 ๒) การดำเนินนโยบายทางการทตู ทีเ่ หมาะสมกับดนิ แดนใกลเ้ คยี ง พระเจ้าอู่ทองได้อภิเษกสมรสกับเจ้าหญิงแห่งแคว้นสุพรรณภูมิ จึงเป็นการเชื่อมโยง แคว้นละโว้และแคว้นสุพรรณภูมิให้เป็นอันหน่ึงอันเดียวกัน ทำให้ท้ังสองอาณาจักรลดการ แขง่ ขันทางการเมอื งซึง่ กนั และกัน ๓) การปลอดอำนาจทางการเมืองภายนอก ในขณะนั้นอาณาจกั รสุโขทัยของคนไทยดว้ ยกันทอ่ี ยทู่ างตอนเหนือและอาณาจกั ร เขมร ซ่งึ อยทู่ างทศิ ตะวันออกค่อยๆ เสือ่ มอำนาจลง จงึ ไมส่ ามารถสกัดกนั้ การก่อตั้ง อาณาจักรใหมข่ องคนไทยได้ ๔) ทำเลที่ตงั้ มคี วามเหมาะสมในดา้ นยทุ ธศาสตร์ กรุงศรีอยุธยามีแม่น้ำไหลผ่านถึง ๓ สาย ได้แก่ แม่น้ำเจ้าพระยา ป่าสัก และลพบุรี ทำให้เปน็ ที่ราบลุม่ ต่ำ ข้าศึกจะล้อมกรงุ ศรีอยุธยาไดเ้ ฉพาะฤดูแลง้ เทา่ นั้น เม่ือถงึ ฤดนู ้ำหลาก น้ำจะทว่ มรอบตัวเมืองทำใหข้ ้าศกึ ตอ้ งถอนทพั กลับไป ประวัติศาสตรไ์ ทยสมัยอยุธยา

22 ๕) ความอุดมสมบูรณ์ทางด้านเศรษฐกิจ ลักษณะภูมิประเทศของอยุธยาเป็นที่ราบท่ีอุดมสมบูรณ์จึงเป็นแหล่งอู่ข้าวอู่น้ำท่ี สำคัญประกอบกับอยู่ใกล้ปากแม่น้ำเจ้าพระยามีการคมนาคมทางน้ำสะดวก ทำให้สามารถ ติดตอ่ ค้าขายกับตา่ งประเทศไดง้ า่ ย ๒.๒ ปจั จัยท่สี ร้างความมน่ั คงเปน็ ปกึ แผน่ ให้แกอ่ าณาจักรกรงุ ศรอี ยุธยา ภายหลังการสถาปนากรุงศรอี ยุธยาเป็นราชธานี พระมหากษตั รยิ ์แห่งกรงุ ศรีอยุธยา พยายาม สรา้ งความม่นั คงเป็นปึกแผน่ ใหแ้ ก่อาณาจักร โดยการดำเนนิ การทางการเมอื งดงั ต่อไปนี้ ๑) การขยายอำนาจไปยังอาณาจักรเขมร เน่ืองจากเขมรเป็นมหาอำนาจในภูมิภาคนี้มาก่อน มีอาณ าจักรต้ังอยู่ทาง ภาคตะวันออกของอยธุ ยาทำใหค้ นไทยเกิดความหวาดระแวงไมป่ ลอดภัย ประวตั ศิ าสตรไ์ ทยสมัยอยธุ ยา

23 -รัชกาลพระเจ้าอู่ทอง ได้ส่งกองทัพอยุธยาไปตีเขมร ๒ คร้ัง ใน พ.ศ.๑๘๙๕ และ พ.ศ. ๑๘๙๖ ทำให้เขมรเส่ือมอำนาจลงต้องย้ายเมืองหลวงหนี ทางฝ่ายไทยได้กวาด ต้ อ น พ ร า ห ม ณ์ ใน ร า ช ส ำ นั ก เข ม ร ม า ยั ง ก รุ ง ศ รี อ ยุ ธ ย า เป็ น ผ ล ให้ เกิ ด ก า ร แ พ ร่ ห ล า ย ศลิ ปวฒั นธรรมเขมรในไทยมากข้ึน ประวตั ศิ าสตรไ์ ทยสมัยอยุธยา

24 -รัชกาลพระบรมราชาธริ าชที่ ๒ (สมเดจ็ พระเจ้าสามพระยา) เขมรต้องตกเปน็ ประเทศราชของไทย ทางอยุธยายนิ ยอมให้เขมรได้ปกครองตนเอง โดยส่ง เครอ่ื งราชบรรณาการมาถวายตามประเพณี ประวัตศิ าสตร์ไทยสมัยอยธุ ยา

25 ๒) การรวมอาณาจกั รสุโขทัยเข้าเปน็ ส่วนหนง่ึ ของอาณาจักรอยุธยา เหตุการณ์สำคญั ดงั น้ี -รัชกาลพระเจ้าอู่ทอง กองทัพอยุธยาตี เมืองสรรค์ (ชัยนาท) เมืองหน้าด่านของ สุโขทัยไว้ได้ใน พ.ศ. ๑๙๐๐ แต่พระยาลิไทยกษัตริย์สุโขทัยได้ส่งทูตมาเจรจาขอคืน ความสมั พันธร์ ะหวา่ งอาณาจักรทั้งสองยังดำเนินไปดว้ ยดี -รชั กาลสมเด็จพระบรมราชาธิราชท่ี ๑ (ขุนหลวงพะงั่ว) ได้ยกกองทัพไปตีอาณาจกั ร สุโขทัยหลายครั้ง ใน พ.ศ. ๑๙๒๑ ได้เข้ายึดเมืองกำแพงเพชร (ซากังราว) เมืองหน้าด่านของ อาณาจักรสุโขทัย พระยาไสยลือไทยกษัตริย์สุโขทัยต้องยอมอ่อนน้อมไม่คิดต่อสู้ ทำให้ อยุธยามีอำนาจเหนอื อาณาจักรสุโขทัยต้ังแต่บัดน้ัน โดยยนิ ยอมให้สโุ ขทัยปกครองตนเองใน ฐานะประเทศราช -รัชกาลสมเด็จพระนครินทราธิราช ได้เสด็จขึ้นมาไกล่เกล่ียปัญหาการแย่งชิง ราชสมบัติระหว่างพระราชวงศ์ของสุโขทัยด้วยกัน ใน พ.ศ. ๑๙๖๒ จนเหตุการณ์ยุติด้วยดี ในรัชกาลนี้สุโขทับกับอยุธยามีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นกันมากข้ึน เม่ือมีการอภิเษกสมรส ระหวา่ งเจา้ สามพระยาพระโอรสแหง่ กรุงศรอี ยุธยากบั พระธดิ าแหง่ กรุงสุโขทัย ประวัติศาสตรไ์ ทยสมัยอยธุ ยา

26 -รัชกาลพระบรมราชาธิราชท่ี ๒ (สมเด็จพระสามพระยา) โปรดให้พระราชโอรส พระราเมศวร (ต่อมาได้ข้ึนครองราชย์เป็นสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ) ในฐานะที่ทรงมี เชื้อสายสุโขทัยขึ้นปกครองอาณาจักรสุโขทัย โดยมีศูนย์กลางอยู่ที่พิษณุโลก เป็นผลให้ สโุ ขทัยกลายเป็นสว่ นหนึ่งของอาณาจักรอยุธยาตง้ั แต่ พ.ศ. ๑๙๘๓ เป็นตน้ มา ประวัตศิ าสตรไ์ ทยสมัยอยุธยา

27 ๓) การขยายดินแดนใหก้ ว้างขวาง ทำใหเ้ ปน็ ศนู ย์กลางอำนาจทางการเมืองของคนไทย อาณาจักรอยุธยาได้ขยาย ดินแดนออกกไปอย่างกวา้ งขวาง ครอบคลุมพ้นื ท่ีในเขตที่ราบลมุ่ แม่น้ำเจา้ พระยาท้ังตอนบน และตอนล่าง กลายเป็นอาณาจกั รของคนไทยทเ่ี ข้มแขง็ ทส่ี ดุ และเปน็ ศนู ย์กลางแห่งอำนาจ ทางการเมอื งของคนไทยในสมัยนนั้ อย่างแทจ้ รงิ อาณาจกั รอยธุ ยามอี าณาเขต ดังตอ่ ไปนี้ -ทิศเหนอื จรดอาณาจกั รล้านนา และสโุ ขทยั ซึง่ เปน็ อาณาจักรของคนไทยดว้ ยกนั ตอ่ มาสโุ ขทัยถูกผนวกใหเ้ ป็นส่วนหนง่ึ ของอยุธยา ในขณะท่ีอาณาจกั รล้านนาตกอยู่ใต้ อำนาจของกรุงศรีอยุธยาและพม่าสลับกัน -ทิศตะวันตก จรดอาณาจักรเขมรหรือขอม ซ่ึงบางสมัยต้องตกเป็นประเทศราชของ ไทย และบางสมยั ก็แข้งเมืองเปน็ อิสระไม่ข้ึนตอ่ ไทย -ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ จรดอาณาจักรล้านช้าง ซ่ึงเป็นอาณาจักรของชนชาติลาว มีความเข้มแขง็ ทางการเมืองรองจากอยธุ ยา และมีความสมั พนั ธท์ ี่ดตี อ่ กัน -ทิศตะวันตก อยุธยามีอำนาจครอบครองอาณาจักรมอญ แถบเมืองหงสาวดี เมอื งเมาะตะมะ เมืองทวาย เมืองตะนาวศรแี ละเมืองมะรดิ แตต่ ่อมาก็ตอ้ งสูญเสียให้แก่พม่า ในชว่ งปลายพทุ ธศตวรรษที่ ๒๑ -ทิศใต้ อยุธยามีอำนาจเหนือแคว้นนครศรีธรรมราช และหัวเมืองมลายู บางเมือง เช่น ปตั ตานี กลนั ตัน และไทรบรุ ี เปน็ ตน้ ประวตั ศิ าสตร์ไทยสมัยอยธุ ยา

28 ประวัตศิ าสตร์ไทยสมัยอยธุ ยา

29 ๓. พัฒนาการของอาณาจกั รอยธุ ยา ๓.๑ พัฒนาการทางการเมืองการปกครอง ตลอดระยะเวลา ๔๑๗ ปี ทกี่ รงุ ศรอี ยุธยาเป็นราชธานขี องไทย ได้มีพระมหากษตั รยิ ์ ปกครองสบื ต่อกนั มา ๕ ราชวงศ์ รวมทัง้ ส้ิน ๓๓ พระองค์ ๑) รายพระนามพระมหากษัตรยิ แ์ ห่งกรุงศรอี ยุธยา รวมมพี ระมหากษัตริยท์ ัง้ ส้ิน ๓๓ พระองค์ (ไมน่ ับขนุ วงวงศาธิราช) รายพระนาม มีดังน้ี ประวตั ิศาสตร์ไทยสมัยอยธุ ยา

30 ประวัตศิ าสตร์ไทยสมัยอยธุ ยา

31 ประวัตศิ าสตร์ไทยสมัยอยธุ ยา

32 ประวัตศิ าสตร์ไทยสมัยอยธุ ยา

33 ประวัตศิ าสตร์ไทยสมัยอยธุ ยา

34 ประวัตศิ าสตร์ไทยสมัยอยธุ ยา

35 ๒) ลกั ษณะการเมอื งการปกครองสมัยอยธุ ยา ๒.๑ สถาบันพระมหากษตั ริย์ การปกครองของไทยในสมัยอยุธยา เปลี่ยนแปลงต่างไปจากสุโขทัยเพราะได้รับ อทิ ธพิ ลทางวัฒนธรรมจากเขมร (ขอม) เข้ามามากโดยเฉพาะลัทธิเทวราช ซึ่งเขมรรับมาจาก อินเดียอีกทอดหน่ึง ลัทธินี้องค์พระมหากษัตริย์ทรงเป็นสมมติเทพอยู่เหนือบุคคลสามัญ ทรงมีพระราชอำนาจสูงสุด ทรงไว้ซ่ึงอาญาสิทธเิ์ หนือผู้อื่นท้ังปวงในอาณาจักร คือ นอกจาก จะทรงเปน็ เจา้ ของแผน่ ดินแล้วยงั ทรงเปน็ เจา้ ของชวี ติ ราษฎรอกี ด้วย พระมหากษัตริย์สมัยอยุธยา จึงมีฐานะแตกต่างจากพระมหากษัตริย์สมัยสุโขทัย อยา่ งมาก เช่น การเข้าเฝ้าพระมหากษตั รยิ ์ตอ้ งหมอบคลานแสดงความอ่อนน้อม การพูดกับ พระมหากษัตริย์ต้องใช้ราชาศัพท์ เมื่อเสด็จออกนอกพระราชวัง ราษฏรต้องหมอบกราบ และก้มหน้า มีกฎมณเฑียรบาลห้ามมองพระพักตร์ของพระมหากษัตริย์ เน่ืองจากพระองค์ เป็นสมมติเทพ และเพ่ือการป้องกันการทำร้ายพระองค์ ส่ิงเหล่าน้ีกับประชาชนห่างเหินกัน ความใกลช้ ดิ แบบบดิ าปกครองบุตรแบบสโุ ขทยั จงึ น้อยลงทุกขณะ ประวตั ิศาสตรไ์ ทยสมัยอยุธยา

36 นอกจากนี้ยังมีระเบียบแบบแผนเกี่ยวกับความปลอดภัยของพระมหากษัตริย์ และราชบัลลังก์อีก เช่น ให้ถือเขนพระบรมมหาราชวังเป็นเขตหวงห้ามสำหรับประชาชน สามัญ มีการรักษาความปลอดภัยเข้มงวด มีนายประตูดูแลตลอดเวลา มีมาตราป้องกันมิให้ เจ้าเมือง ลูกขุน ราชบุตร ราชนัดดาติดต่อกัน ต้องการให้แต่ละบุคคลแยกกันอยู่เป็น การแยกกันเพื่อปกครอง มิให้มีการรวมกันได้ง่ายเพราะอาจคบคิดกันนำภัยมาสู่บ้านเมือง หรือราชบัลลงั ก์ได้ ๒.๒) การจดั รูปแบบการปกครองสมยั อยธุ ยา ในสมยั อยุธยาได้มกี ารจดั รูปแบบการปกครองเพ่ือให้สอดคลอ้ งกบั สถานการณ์และ สภาพแวดลอ้ มทางการเมืองและสังคมท่ีเปลยี่ นแปลงไปตามยุคสมัย ดงั น้ี ๑) การจัดการปกครองสมยั อยุธยาตอนตน้ พ.ศ.๑๘๙๓-๑๙๙๑ การจดั การปกครองสมัยอยุธยาตอนตน้ ตง้ั แตร่ ชั กาลสมเดจ็ พระรามาธิบดีที่ ๑ (พระเจ้าอู่ทอง) ถงึ รัชกาลพระบรมราชาธิราชท่ี ๒ (เจา้ สามพระยา) เปน็ รูปแบบการ ปกครองที่ได้รับอทิ ธิพลมาจากเขมรและสุโขทัยในลกั ษณะตอ่ ไปน้ี ประวตั ิศาสตร์ไทยสมัยอยธุ ยา

37 (๑) การปกครองส่วนกลาง จัดการบริหารแบบจตสุ ดมภ์ หมายถึง การที่ พระมหากษตั รยิ เ์ ปน็ ผูป้ กครองโดยตรง ได้แบ่งหนา้ ทคี่ วามรบั ผิดชอบเปน็ กรมสำคัญ ๔ กรม ปฏิบัติหนา้ ทดี่ ังน้ี -กรมเวียง หรือกรมเอง มีขุนเวียงเป็นหัวหน้า ทำหน้าท่ีเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ของราษฎรทัว่ ราชอาณาจกั ร -กรมวัง มีขุนวังเป็นหัวหน้าดูแลรักษาพระราชวัง จัดงานพระราชพิธีต่างๆ และ พิจารณาพิพากษาคดี -กรมคลัง มีขุนคลังเป็นหัวหน้า รับผิดชอบด้านการเงินและการต่างประเทศ ท่ัวราชอาณาจักร ด้านการเงินทำหน้าที่เก็บภาษีอากรใช้จ่ายพระราชทรัพย์ จัดแต่งสำเภา หลวงออกคา้ ขาย ในด้านต่างประเทศทำสัญญาการค้า และติดตอ่ ทางการทูตกบั ตา่ งประเทศ -กรมนา มีขุนนาเป็นหัวหน้า ทำหน้าที่ดูแลเรือกสวนไร่นาทั่งราชอาณาจักรและ จัดเตรียมเสบยี งอาหารให้เพียงพอในยามบ้านเมอื งมศี ึกสงคราม ประวัตศิ าสตร์ไทยสมัยอยุธยา

38 (๒) การปกครองส่วนภูมิภาค การจัดการปกครองส่วนภูมิภาค จัดตามแบบ อาณาจักรสุโขทัยเพราะเมืองต่างๆ ส่วนใหญ่เคยอยู่ใต้อำนาจของอาณาจักรสุโขทัยมาก่อน มกี ารแบง่ เมืองเปน็ ระดงั ชนั มกี รุงศรีอยธุ ยาเป็นศูนยก์ ลาง เมืองต่างๆ จดั แบ่งออกดังนี้ -เมืองลูกหลวง หรือเมืองหน้าด่าน ตั้งอยู่รอบราชธานี ๔ ทิศ เช่น ลพบุรี นครนายก พระประแดง สุพรรณบรุ ี ให้โอรสหรือพระราชวงศ์ช้ันสูงไปปกครอง -หัวเมืองช้ันใน คือ เมืองที่อยู่ถัดจากเมืองหน้าด่านออกไป พระมหากษัตริย์จะทรง แตง่ ตั้งเจา้ นายหรือขนุ นางไปปกครองข้ึนตรงต่อเมอื งหลวง ประวัติศาสตรไ์ ทยสมัยอยุธยา

39 -หัวเมืองช้ันนอก หรือเมืองพระยามหานคร เป็นเมืองขนาดใหญ่ ท่ีมีประชาชน คนไทยอาศัย อยูห่ ่างจากราชธานีต้องใช้เวลาหลายวันในการติดต่อ มีเจ้าเมืองปกครอง อาจ เปน็ ผู้สบื เช้ือสายจากเจา้ เมอื งเดมิ หรอื เป็นผู้ท่ีทางเมอื งหลวงตา่ งตั้งไปปกครอง เมืองประเทศราช เป็นเมืองที่อยู่ชายแดนของอาณาจักร ชาวเมืองเป็นคนต่างชาติ ต่างภาษา มีเจ้าเมืองเป็นคนท้องถ่ินจัดการปกครองภายในของตนเองต้องส่งเคร่ือง บรรณาการมาถวายตามกำหนด ได้แก่ ยะโฮร์ เขมร และเชยี งใหม่ (ลา้ นนา) ประวัติศาสตร์ไทยสมัยอยธุ ยา

40 ๒) การจัดการปกครองสมยั อยธุ ยาตอนกลาง พ.ศ. ๑๙๙๑-๒๐๗๒ เม่ือสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถขึ้นครองราชย์ (พ.ศ.๑๙๙๑-๒๐๓๑) พระองค์ทรง ปรับปรุงระเบียบการปกครองใหม่ เพราะเห็นว่าการปกครองแบบเก่ายังหละหลวง กรุงศรีอยุธยาควบคุมดูแลเมืองในส่วนภูมิภาคได้ไม่ท่ัวถึง บรรดาเมืองต่างๆ เบียดบังรายได้ จากภาษอี าการไว้ ทำใหร้ าชธานไี ด้รบั ผลประโยชน์ไมเ่ ต็มท่ี นอกจากนั้นในระยะท่ีมีการผลัด แผ่นดิน หากกษัตริย์พระองค์ใหม่ทรงเข้มแข็ง มีอำนาจ ก็จะไม่มีปัญหาทางการปกครอง แต่หากกษัตริย์พระองค์ใหม่ทรงอ่อนแอไม่เด็ดขาดหรือยังทรงพระเยาว์อยู่ บรรดาเมือง ประเทศราช และเมอื งพะเยา มหานคร มักฉวยโอกาสแยกตนเป็นอสิ ระอยู่เสมอ นอกจากนี้ยังมีปัญหาที่เกิดขึ้นเน่ืองจากเมืองลูกหลวงหรือเมืองหน้าด่าน เจ้าเมืองมี อำนาจมากและมักจะยกกำลังทหารเข้ามาแย่งชิงราชสมบตั ิอยูเ่ นืองๆ และอาณาจักรอยุธยา ในสมัยน้ีมีอาณาเขตกว้างขวางมากกว่าเดิม สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถจึงต้องปรับปรุง การปกครองใหม่ มีลักษณะสำคัญสองประการ คือ จัดการรวมอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลางทำให้ ราชธานีมีอำนาจและมีการควบคุมเข้มงวดข้ึน และแยกกิจการฝ่ายพลเรือนกับฝ่ายทหาร ออกจากกัน (เป็นครงั้ แรก) สาระสำคญั ทเี่ ปลยี่ นไปมดี งั นี้ ประวตั ิศาสตรไ์ ทยสมัยอยุธยา

41 (๒.๑) การปกครองส่วนกลาง สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถโปรดฯ ให้มีตำแหน่ง สมุหกลาโหมและสมุหนายก สมุหกลาโหมรับผิดชอบด้านการทหาร มีหน้าที่บังคับบัญชา ตรวจตราการทหาร เกณไพร่พลในยามมีศึก ยามสงบรวบรวมผู้คน อาวุธ เตรียมพร้อม สมุหนายกทำหน้าท่ีบังคับบัญชาข้าราชการฝ่ายพลเรือนท่ัวราชอาณาจักรและดูแลจตุสดมภ์ พระองคไ์ ดท้ รงกำหนดหน่วยงานระดบั กรม (เทียบได้กบั กระทรวงในปจั จบุ ัน) ขน้ึ อีก ๒ กรม จึงมีหน่วยงานทางการปกครอง ๖ กรม กรมใหม่ท่ีจัดต้ังขึ้นมีเสนาบดีรับผิดชอบในหน้าที่ ดังนี้ -กรมมหาดไทย มีพระยาจักรีศรีองครักษ์เป็นสมุหนายก มีฐานะเป็นอัครมหา เสนาบดี มหี นา้ ที่ควบคุมกิจการพลเรอื นท่วั ประเทศ -กรมกลาโหม มพี ระยามหาเสนาเปน็ สมหุ พระกลาโหม มีฐานะเป็นอคั รมหาเสบาบดี มีหน้าท่ีควบคุมกิจการทหารท่ัวประเทศ พร้อมกันนี้ได้ปรับปรุงกรมจตุสดมภ์เสียใหม่ ให้มี เสนาบดรี ับผดิ ชอบงานในหน้าท่ขี องแตล่ ะกรม คือ -กรมเมอื ง มพี ระนครบาลเปน็ เสนาบดี -กรมวัง มพี ระธรรมาธกิ รณ์เปน็ เสนาบดี -กรมคลัง มพี ระโกษาธบิ ดเี ปน็ เสนาบดี -กรมนา มพี ระเกษตราธิการเป็นเสนาบดี ประวตั ิศาสตร์ไทยสมัยอยุธยา

42 (๒.๒) การปกครองสว่ นภูมิภาค สมเดจ็ พระบรมไตรโลกนาถโปรดฯ ให้ยกเลกิ เมอื ง หน้าด่านหรอื เมืองลูกหลวง ใหจ้ ัดการปกครองหัวเมืองในส่วนภมู ภิ าค ดงั นี้ -หวั เมืองช้ันใน จดั เปน็ ช้ันจตั วา ผู้ปกครองเมืองเรยี กวา่ “ผู้รั้ง” ไม่มอี ำนาจอยา่ งเจ้า เมือง ต้องปฏิบัติตามคำส่ังของราชธานี เป็นเมืองที่ต้ังอยู่โดยรอบราชธานี เช่น ชัยนาท นครสวรรค์ สุพรรณบุรี ปราจีนบรุ ี ฉะเชงิ เทรา และชลบุรี เปน็ ตน้ -หัวเมืองชั้นนอก ได้แก่ เมืองท่ีอยู่ถัดจากหัวเมืองชัน้ ในออกไป (ซ่ึงเป็นเมืองพระยาม หานครในสมยั ก่อน) จัดเปน็ หวั เมอื งชั้นตรี โท เอก ตามขนาดและความสำคัญของเมืองน้นั ๆ อาจมีเมืองเล็กขึ้นด้วยพระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งเจ้านายในพระราชวงศ์หรือขุนนางผู้ใหญ่ ออกไปปกครองเปน็ เจา้ เมือง มอี ำนาจเต็มในการบรหิ ารราชการภายในเมือง -เมืองประเทศราช โปรดฯ ให้มีการจัดการปกครองเหมือนเดิม คือ ให้มีเจ้านายใน ท้องถ่นิ เป็นเจ้าเมือง หรือกษัตริย์มีแบบแผนขนบธรรมเนียมเป็นของตนเองพระมหากษัตริย์ แห่งกรุงศรีอยุธยาเป็นผู้ทรงแต่งตั้ง เมืองประเทศราชมีหน้าท่ีส่งเคร่ืองราชบรรณาการมา ถวายพระมหากษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยาเป็นผู้แต่งตั้ง เมืองประเทศราชมีหน้าท่ีส่ง เคร่ืองบรรณาการมาถวายพระมหากษตั ริยแ์ หง่ กรงุ ศรีอยุธยา ประวตั ิศาสตร์ไทยสมัยอยธุ ยา

43 ๓) การจดั การปกครองสมยั อยุธยาตอนปลาย พ.ศ. ๒๐๗๒-๒๓๑๐ ก า ร จั ด ก า ร ป ก ค ร อ ง แ บ บ ร ว ม อ ำ น า จ เข้ า สู่ ส่ ว น ก ล า ง ต า ม ท่ี ส ม เด็ จ พ ร ะ บ ร ม ไตรโลกนาถ ทรงวางรากฐานไว้คงใช้มาตลอด แต่ได้มีการแก้ไขปรับปรุงให้เหมาะกับสภาพ บ้านเมืองย่ิงข้ึนในสมัยสมเด็จพระนารายณ์ (พ.ศ.๒๑๙๙-๒๒๓๑) ทรงให้ยกเลิกการแยก ความรับผิดชอบของอัครมหาเสนาบดีเก่ียวกับงานด้านพลเรือนของสมุหกนายก และงาน ด้านทหารของสมุหกลาโหม โดยให้สมุหกลาโหมรับผิดชอบท้ังด้านทหารและพลเรือน ปกครองหัวเมืองฝา่ ยเหนอื และหัวเมอื งอสี าน ส่วนหัวเมเองตอนกลาง และหัวเมอื งชายทะเล ตะวันออกให้อยู่ในอำนาจของเมืองหลวงโดยตรง ทั้งน้ีด้วยพระองค์ทรงเห็นว่าการแยก กิจการฝ่ายทหาร และฝ่ายพลเรือนออกจากกันอย่างเด็ดขาด ไม่อาจทำได้อย่างได้ผลดี โดยเฉพาะในยามสงคราม บ้านเมืองตอ้ งการกำลงั พลในการส้รู บจำนวนมาก ชายฉกรรจต์ อ้ ง ออกรบเพ่ือชาติบ้านเมืองทุกคนจึงเป็นการยากในทางปฏิบัติ อีกประการหนึ่งมีบทเรียนท่ี แสดงให้เห็นว่า เม่ือให้สมุหกลาโหมคุมกำลังทหารไว้มากทำให้สามารถล้มราชวงศ์กษัตริย์ ลงได้ ประวตั ศิ าสตรไ์ ทยสมัยอยุธยา

44 ๓.๒ พฒั นาการทางสงั คมและเศรษฐกิจในสมยั อยุธยา อาณาจักรอยุธยา เป็นอาณาจักรชนชาติไทยในลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาในช่วง พ.ศ. ๑๘๙๓-๒๓๑๐มีกรุงศรีอยุธยาเป็นศูนย์กลางอำนาจ หรือราชธานี อาณาจักรอยุธยา นบั วา่ เจริญรุง่ เรืองจนอาจถือไดว้ า่ เป็นอาณาจักรท่รี ุ่งเรอื งมั่งค่ังท่ีสดุ ในภูมิภาคสุวรรณภูมิ ท้ัง ยังมีความสัมพันธ์ทางการค้ากับหลายชาติ จนถือได้ว่าเป็นศูนย์กลางการค้าในระดับ นานาชาติ เช่น จีน เวียดนาม อินเดีย ญ่ีปุ่น เปอร์เซีย รวมท้ังตะวันตก เช่นโปรตุเกส สเปน ดัตซ์ (ฮอลันดา) และฝรั่งเศส ซ่ึงในช่วงเวลาหน่ึงเคยสามารถขยายอาณาจักรล้านช้าง อาณาจกั รขอม และคาบสมุทรมลายู ในปจั จบุ นั ประเทศไทยมีประวตั ิศาสตร์ยาวนานมาก โดยมีความสืบเนื่องและคาบเก่ียวระหว่าง อาณาจักรโบราณหลายแห่ง เช่น อาณาจักรทวารวดี ศรีวิชัย ละโว้ เขมร ฯลฯ โดยเร่ิมมี ความชัดเจนในอาณาจักรสุโขทัยต้ังแต่ปี พ.ศ. ๑๙๘๑ อาณาจักรล้านนาทางภาคเหนือ กระทั่งเสื่อมอำนาจลงในช่วงต้นพุทธศตวรรษที่ ๑๙ แล้วความรุ่งเรืองได้ปรากฏข้ึนใน อาณาจักรทางใต้ ณ กรุงศรีอยุธยา โดยยังมีอาณาเขตท่ีไม่แน่ชัด ครั้นเม่ือเสียกรุงศรีอยุธยา เปน็ คร้งั ที่สองในปี พ.ศ. ๒๓๑๐ พระเจา้ ตากสินจงึ ได้ย้ายราชธานมี าอยูท่ ก่ี รุงธนบรุ ี ประวตั ศิ าสตรไ์ ทยสมัยอยุธยา

45 ๑) สังคมไทยสมัยกรุงศรีอยุธยา แม้จะต่อเน่ืองมาจากสังคมสมัยสุโขทัย แต่ก็ได้มี ความเปล่ียนแปลงแตกต่างไปจากสังคมสมัยสุโขทัยหลายด้าน ทั้งนี้ก็เพราะว่าสถาบันสูงสุด ของการปกครองได้เปลยี่ นฐานะไป น่ันคือ พระมหากษัตริยไ์ ด้เปลี่ยนฐานะจากมนุษยราชใน สมัยสุโขทัยเป็นเทวาธิราชขึ้นในสมัยอยุธยา เปลี่ยนจากฐานะความเป็น “พ่อขุน” มาเป็น “เจ้าชีวิต” ของประชาชนซ่ึงเป็นผลให้ระบบและสถาบันทางการปกครองต่างๆ แตกต่างไป จากสงั คมไทยสมัยสุโขทัยด้วย ประวัติศาสตรไ์ ทยสมัยอยุธยา

46 ๑.๑) ชนชน้ั ของสงั คมสมยั อยธุ ยา สงั คมอยุธยา เปน็ สงั คมท่ีเตม็ ไปดว้ ยชนชัน้ นับต้ังแตก่ ารแบง่ แยกชนช้นั อย่างเด็ดขาด ระหว่างกษัตริย์กับราษฎรแล้ว พระบรมวงศานุวงศ์ ก็มีอันดับสูงต่ำลดหล่ันกันเป็นชั้นๆ ในหมู่ราษฎร ก็มีการแบ่งชนช้ันกันเป็นชนชั้นผู้ดีกับชนช้ันไพร่ ในหมู่ข้าราชการก็มี ศักดินา เป็นตัวกำหนดความสูงต่ำของข้าราชการในชนชน้ั ต่างๆ ซ่ึงชนชั้นตา่ งๆ เหล่านี้ จะก่อให้เกิด มีสิทธิในสังคมอยุธยาขน้ึ แตกต่างกันด้วยชนช้ันสูงสุดในสมัยอยุธยา คือ พระบรมวงศานุวงศ์ ส่วนข้าราชการหรือขุนนางน้ัน ก็แบ่งเป็นช้ันๆ ลดหล่ันกันไปตามลักษณะหน้าท่ีและ ความรับผิดชอบพร้อมกับตำแหน่งหน้าที่แล้ว ราชการสมัยอยุธยายังมีศักดินาซึ่งมากน้อย ตามตำแหน่งหน้าท่ี ระบบศักดินานี้เป็นระบอบของสังคมอยุธยา โดยแท้เพราะศักดินาน้ัน ทุกคนต้องมีต้ังแต่ขุนนางชั้นผู้ใหญ่พระบรมวงศานุวงศ์ลงไปจนถึงข้าราชการข้ันผู้น้อยและ ประชาชนธรรมดา จำนวนลดหลั่นลงไป นอกจากจะแบ่งตามหน้าที่ตำแหน่งและความรับผิดชอบแล้ว ชนช้ันในสังคมอยุธยา ยงั แบ่งออกกว้างๆ เป็นสองชัน้ อีก คอื ผู้มีศกั ดินาต้ังแต่ ๔๐๐ แต่ไพร่กอ็ าจเป็นผู้ดีได้ เม่ือได้ ทำความดีความชอบเพิ่มศักดินาของตนข้ึนไปถึง ๔๐๐ แล้ว และผู้ดีก็อาจตกลงมาเป็นไพร่ ได้หากถูกลดศักดินาลงมาจนต่ำกว่า ๔๐๐ กาเพิ่มการลดศักดินาในสมัยอยุธยาก็อาจทำกัน ง่ายๆ หากได้ทำความดีความชอบหรือความผิด การแบ่งคนออกเป็นชนช้ันไพร่ และชนชั้น ผู้ดีเช่นน้ี ทำให้สิทธิของคนในสังคมแต่ละช้ันต่างกัน สิทธิพิเศษต่างๆ ตกไปเป็นของชนช้ัน ผู้ดีตามลำดบั แห่งความมากน้อยของศกั ดนิ า เชน่ ผู้ดเี อง และคนในครอบครวั ได้รับยกเว้นไม่ ถูกเกณฑ์ไปใช้งานราชการ ในฐานะที่เรียกกันว่า เลก เมื่อเกิดเรื่องศาล ผู้ดีก็ไม่ต้องไปศาล เว้นแต่ผิดอาญาแผ่นดิน เป็นขนถ ธรรมดาผู้ดีจะส่งคนไปแทนตนในโรงศาล มีทนายไว้ใช้ เปน็ การส่วนตัว ประวัตศิ าสตรไ์ ทยสมัยอยุธยา

47 ประวัตศิ าสตร์ไทยสมัยอยธุ ยา

48 ประวัตศิ าสตร์ไทยสมัยอยธุ ยา

49 นอกจากนั้น ก็ยังมีสิทธิเข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทได้ขณะท่ีเสด็จออก ขุนนาง เม่ือมีสิทธิก็ต้องมีหน้าที่ ผู้ดีที่มีศักดินาสูงๆ จะต้องคุมคนไว้จำนวนหน่ึง เพื่อรับราชการทัพ ได้ในทันที เมื่อพระมหากษัตริย์เรียก เช่น ผู้มีศักดินา ๑๐,๐๐๐ และมีหน้าที่บังคับบัญชา กรมกองซ่ึงมีไพรห่ ลวงสงั กัดอยู่ กต็ ้องรบั ผดิ ชอบกะเกณฑค์ นแข็งแรงและมปี ระสิทธิภาพ ๑.๒) สงั คมอยุธยา สังคมอยุธยาน้ัน กฎหมายกำหนดให้ทุกคนต้องมีนาย ตามกฎหมายลักษณะรับฟ้อง มาตรา ๑๐ กล่าวว่า “ราษฎรรับฟอ้ งร้องด้วยคดีประการใดๆ แลมิไดส้ ังกดั มลู นายอยา่ พึงรับ ไว้บังคับบัญชาเป็นอันขาดาของสังคมอยุธยาต้องมีสังกัดมูลนายของตน ผู้ไม่มีนายสังกัด กฎหมายไม่รับผิดชอบในการพิทักษ์รักษาชีวิตและทรัพย์สิน ไพร่จะต้องรับใช้ชาติในยาม สงคราม จึงตอ้ งมสี ังกัดเพอ่ื จะเรียกใช้สะดวก เพราะในสมัยอยธุ ยานัน้ ไมม่ ีทหารเกณฑ์ หรือ ทหารประจำการในกองทัพเหมือนปัจจุบัน จะมีก็แต่กองทหารรักษาพระองค์เท่านั้น ประวตั ิศาสตร์ไทยสมัยอยธุ ยา


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook