รู้จักสื่อ รู้จัก EQ เด็ก
จัดทำโดย นางสาวนงลักษณ์ อุปนันท์ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่ เขต 1 สาขาจิตวิทยาการปรึกษาและการแนะแนว คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่
คำนำ การเริ่มต้นการพัฒนาความฉลาดทางอารมณ์เด็กอายุ 3-11 ปี นั้นจุดเริ่มต้นที่ดีคือสถานศึกษา ครู ซึ่งเป็นบุคคลที่ใกล้ชิดเด็กรองจาก พ่อแม่ และมีบทบาทโดยตรงในการพัฒนาเด็กนอกจากนี้ครูยังมีบทบาท สำคัญยิ่งต่อการสร้างความเข้าใจ สร้างความร่วมมือ กับผู้ปกครอง และชุมชน นอกจากนี้ครูยังมีบทบาทสำคัญให้การพัฒนาความฉลาดทาง อารมณ์เด็กเกิดผลในทางปฏิบัติจริงมากกว่าจะเป็นเพียงแนวคิดทาง ทฤษฎีเท่านั้น ทางผู้จัดทำ จึงได้จัดทำหนังสือ รู้จักสื่อ รู้จัก EQ เด็ก ฉบับนี้ ขึ้นเพื่อเผยแพร่ความรู้และเป็นแนวทางการดำเนินการพัฒนาความฉลาด ทางอารมณ์เด็ก อายุ 6-11 ปี เพื่อเป็นเอกสารประกอบการทำความรู้จัก เด็ก ประเมินเด็ก และการจัดกิจกรรมให้เด็ก สำหรับครูในสถานศึกษา ซึ่งเป็นการพัฒนาและปรับปรุงเนื้อหาให้สอดคล้องเพื่อเป็นประโยชน์แก่ เด็กระดับประถมศึกษา ทางผู้จัดทำหวังเป็นอย่างยิ่งว่า หนังสือเล่มนี้จะก่อให้ประโยชน์ สำหรับผู้นำไปใช้ เพื่อการบรรลุเป้าหมาย คือ เด็กที่กำลังจะเจริญเติบโต เป็นผู้ใหญ่ที่มีวุฒิภาวะทางอารมณ์ที่มีคุณค่าต่อสังคมและประเทศชาติ
สารบัญ คำนำ หน้า สารบัญ ความฉลาดทางอารมณ์ กก อีคิวคืออะไร ข อีคิวกับไอคิวต่างกันอย่างไร ความสัมพันธ์ระหว่าง EQ กับ IQ 11 องค์ประกอบของความฉลาดทางอารมณ์ ความสำคัญของความฉลาดทางอารมณ์ 11 การประเมินความฉลาดทางอารมณ์ 77 ตัวอย่างการจัดกิจกรรมในชั้นเรียนเพื่อเสริมสร้างอีคิวเด็ก 77 ตัวอย่างการจัดกิจกรรมบูรณาการเพื่อเสริมสร้างอีคิวเด็ก 77 เอกสารอ้างอิง 77 ภาคผนวก 88 1133 2266 3311 3322
อีคิวคืออะไร 1 อีคิวหรือความฉลาดทางอารมณ์คือความสามารถในการรู้จักอารมณ์ตนเอง เข้าใจและควบคุมอารมณ์ของตนเองได้สอดคล้องกับวัย อีคิวเป็นความพร้อมทางอารมณ์ที่จะอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างราบรื่น โดยรู้จัก แสดงความเห็นใจหรือปลอบใจผู้อื่น อดทนและรอคอยได้ มีน้ำใจ รู้จักให้ รู้จักแบ่งปัน รู้ว่าทำผิด หรือยอมรับผิด พร้อมที่จะพัฒนาตนไปสู่ความสำเร็จ มีความกระตือรือร้น 03สนใจใฝ่รู้ และปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลง พร้อมทำให้ตนเองเกิดความสุข โดยมีความ พอใจ ความอบอุ่นใจ และความสนุกสนานร่าเริง ความฉลาดทางอารมณ์มี 3 ด้านคือ ด้าน คือ ความพร้อมทางอารมณ์ที่จะอยู่ร่วมกับผู้อื่น ได้แก่ รู้จักอารมณ์ตนเอง ดี ควบคุมอารมณ์ตนเองได้ ใส่ใจเข้าใจอารมณ์ผู้อื่นได้ และรู้จักยอมรับผิด ด้าน คือ ความพร้อมทางอารมณ์ที่จะพัฒนาตนเองไปสู่ความสำเร็จได้แก่ เก่ง มีความมุ่งมั่นพยายามปรับตัวต่อปัญหา และกล้าแสดงออกอย่างเหมาะสม ด้าน คือ ความพร้อมทางอารมณ์ที่จะทำให้เกิดความสุข ได้แก่ พอใจในตนเอง สุข รู้จักปรับใจและรื่นเริงเบิกบาน เด็กที่มีอีคิวดี จะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีทักษะในการอยู่ร่วมกับผู้อื่น มีความสำเร็จในการเรียนและหน้าที่การงาน และเป็นคนที่ดำเนินชีวิตอย่างมีความสุข
เป้าหมายการพัฒนาอีคิว 2 เป้าหมายปลายทางของการพัฒนาอีคิวเด็ก คือ ให้เด็กเติบโต เป็นคนดี คนเก่ง และมีความสุข ดังนี้ ดี เก่ง สุข ควบคุมอารมณ์ตัวเอง มุ่งมั่นพยายาม พอใจในตนเอง ได้ยับยั้งใจควบคุมอารมณ์ มีสมาธิ ทำงานได้นานๆ ไม่อาย ไม่น้อยเนื้อต่ำใจในสิ่งที่ และความต้องการได้ มีความตั้งใจทำงานให้สำเร็จ ตนมี บอกเล่าถึงความสำเร็จ ของตัวเองได้ ภูมิใจที่ได้รับมอบ รู้จักรอคอยไม่หมกมุ่น หมายให้ช่วยเหลือหรือทำงานที่ แต่การเล่นเวลาโกรธไม่ใช้ สำคัญ กำลังใช้การ ขี้แจงเหตุผล ใส่ใจและเข้าใจอารมณ์ผู้อื่น ปรับตัวต่อปัญหา รู้จักปรับใจ รับฟังผู้อื่น เห็นอกเห็นใจ เมื่อมีปัญหาพยายามหา อารมณ์เสีย น้อยใจ โกรธ ผิด ใส่ใจว่าใครชอบอะไร ไม่ชอบ ทางออกหรือทางแก้ไข หวังไม่นาน ก็สามารถปรับใจ อะไรช่วยเหลือคนอื่นได้ เมื่อขัดแย้งหาทางตกลง กลับมาเป็นปกติได้ ยืดหยุ่นไม่ ด้วยเหตุผลได้ รอคอยเวลา เอาแต่เรียกร้องสิ่งที่ต้องการ เพื่อแก้ปัญหาได้ หรือคร่ำครวญ ยอมรับผิดได้ กล้าแสดงออกอย่างเหมาะสม รื่นเริงเบิกบาน ยอมรับกฎเกณฑ์ แสดงความสามารถในคนหมู่ อยู่คนเดียวก็รู้จักหาสิ่ง คำติเตียนได้ไม่แกล้งเพื่อน มากได้ กล้าถาม ให้ข้อคิดเห็น เพลิดเพลินทำได้ รู้จักทำสิ่งที่ หรือแสดงออกในสิ่งที่ ผ่อนคลายอารมณ์ อารมณ์ขัน เหมาะสม แจ่มใส ยิ้มง่าย เล่นสนุกได้ ไม่โกรธง่ายๆ
กรอบแนวคิดในการพัฒนา 3 ความฉลาดทางอารมณ์ เด็กก่อนวัยเรียน อายุ 3 – 5 ปี ดี เด็กวัยเรียน อายุ 6 – 11 ปี รู้จักอารมณ์ ควบคุมอารมณ์ ดี มีน้ำใจ ใส่ใจ และเข้าใจอารมณ์ผู้อื่น รู้ว่าอะไรผิดอะไรถูก ยอมรับผิด การกระตือรือร้น/สนใจใฝ่รู้ มุ่งมั่นพยายาม ปรับตัวต่อปัญหา เก่ง ปรับตัวตัวต่อการเปลี่ยนแปลง เก่ง กล้าแสดงออกอย่างเหมาะสม พอใจในตนเอง กล้าพู ดกล้าบอก รู้จักปรับใจ มีความพอใจ รื่นเริงเบิกบาน สุข อบอุ่นใจ สุข สนุกสนานร่าเริง
หลักการและแนวทางการเสริมสร้างอีคิวเด็กวัยเรียน 4 นอกจากพ่อแม่ผู้ปกครอง ครูเป็นบุคคลที่ใกล้ชิดเด็กมาก ครูรู้จักธรรมชาติของเด็กวัยเรียนเป็นอย่างดี เด็กวัยเรียนเป็นจำนวน มากที่ได้รับการดูแลช่วยเหลือจากครูทางด้านจิตใจจนเติบโตเป็นผู้ใหญ่ ที่มีความสำเร็จความก้าวหน้าในชีวิต ครูจึงเป็นคนสำคัญ ที่จะ ช่วยเสริมสร้างอีคิวให้แก่เด็กได้ หลักการสำคัญในการเสริมสร้างอีคิวเด็กวัยเรียน คือ - เสริมสร้างอีคิวเด็ก ทั้งทางตรงและทางอ้อม ได้แก่ การสอน/จัดกิจกรรมในชั้นเรียน การบูรณาการองค์ประกอบด้าน ต่างๆ ของอีคิวไปกับ กระบวนการ/กิจกรรมต่างๆ ในโรงเรียน - อีคิวจะเกิดขึ้นได้เมื่อมีการเสริมสร้างในด้านนั้นๆ เป็นประจำซ้ำๆ อย่างต่อเนื่อง จนกว่าเด็ก จะทำเองโดยเป็นอัตโนมัติหรือเป็นหน้าที่ที่ต้องทำโดยไม่ต้องการรางวัล หรือสิ่งตอบแทน - มีการติดตามผลการเสริมสร้างอีคิวเด็กโดย ใช้แบบประเมินอีคิว แนวทางในการเสริมสร้างอีคิวเด็กมีดังนี้ 1. ครูประเมินอีคิวเด็กด้วยแบบประเมินความฉลาดทางอารมณ์ เด็กอายุ 6-11 ปี สำหรับครูฉบับย่อ 15 ข้อ หลังจากรู้จักเด็ก 4 เดือน / ปีละ 1 ครั้ง หากพบว่าเด็กมีอีคิวที่ต้องการพัฒนาให้ประเมิน ซ้ำด้วยแบบประเมินความฉลาดทางอารมณ์ ฉบับสมบูรณ์ 60 ข้อ เพื่อค้นหาจุดที่ต้องพัฒนาให้ชัดเจนขึ้นและประเมินด้วยแบบประเมิน ความฉลาดทางอารมณ์ฉบับ 60 ข้อ 6 เดือนหลังจากพัฒนาอีคิว เด็กแล้ว เพื่อติดตามความก้าวหน้า
2. กิจกรรมการเสริมสร้างอีคิวเด็กนักเรียนประถมศึกษาในโรงเรียน 5 2.1 เสริมสร้างอีคิวจากสิ่งแวดล้อมรอบตัวเด็ก เป็นการเสริมสร้างอีคิวทางอ้อมจาก กิจกรรมนอกห้องเรียนที่นักเรียนทุกคนต้องทำ ตัวอย่างกิจกรรม ดี การปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ กฎระเบียบของโรงเรียน เช่น การมาโรงเรียนตรงเวลา แต่งตัวตามระเบียบ รับประทานอาหารแล้วต้องเก็บจาน ทำให้เด็กควบคุมตัวเอง ผิดแล้วยอมรับผิด ยอมรับกฎเกณฑ์ของโรงเรียน เก่ง การแข่งขันกีฬา ดนตรี ทำให้เด็กต้องมีความมุ่งมั่น เอาชนะ ปรับตัวเพื่อให้เข้ากับ สิ่งแวดล้อม และกล้าแสดงออก ประเพณี วัฒนธรรม บรรยากาศที่ดีและเป็นมิตรของโรงเรียน สิ่งเหล่านี้ทำให้ สุข เด็กรักภาคภูมิใจในโรงเรียน มีความอบอุ่นใจ พอใจในตนเอง มีความสุข สนุกสนานเมื่ออยู่ในโรงเรียน กิจกรรมนอกห้องเรียนที่นักเรียนทุกคนต้องทำ ตัวอย่างกิจกรรม ดี การมีกฎระเบียบในห้องเรียน การทำเวร การส่งการบ้านตรงเวลา ทำให้เด็กต้อง มีวินัยในตัวเอง ควบคุมตัวเองได้ การทำงานเป็นกลุ่ม การทดสอบวิชาความรู้เป็นระยะๆ การท่องสูตรคูณทุกวัน เก่ง ก่อนเข้าเรียน /ท่องคำกลอน /ท่องหลักการของภาษาอังกฤษ จะช่วยให้เด็ก ต้องควบคุมตัวเอง มีความมุ่งมั่น และนำไปสู่ความสำเร็จ สุข การได้แสดงความคิดสร้างสรรค์ ผลงานที่ทำในห้องเรียน ทำให้เด็กมีความ ภาคภูมิใจ ความสุขใจ การได้เล่นในกลุ่มเพื่อนๆช่วยให้เด็กสนุกสนานร่าเริง 2.2 การจัดกิจกรรมในชั้นเรียนเพื่อเสริมสร้างอีคิวเด็ก ได้แก่กิจกรรมตามแผนการ จัดกิจกรรมในชั้นเรียน 2.3 กิจกรรมบูรณาการเพื่อเสริมสร้างอีคิวเด็ก เป็นกิจกรรมอื่นนอกหลักสูตรการ เรียนในชั้นเรียนที่ครูจัดขึ้นเพื่อให้เด็กเป็นคนดี คนเก่ง และมีความสุข 2.3 กิจกรรมบูรณาการเพื่อเสริมสร้างอีคิวเด็ก เป็นกิจกรรมอื่นนอกหลักสูตรการ เรียนในชั้นเรียนที่ครูจัดขึ้นเพื่อให้เด็กเป็นคนดี คนเก่ง และมีความสุข 3. การติดตามดูแล ช่วยเหลือเด็กที่ต้องพัฒนาอีคิว ควรดำเนินการเป็นรายบุคคล ใช้เทคนิคการพูดคุย รับฟังความคิดเห็นของเด็ก จูงใจ พูดถึงผลที่เด็กจะได้รับหาก ทำสิ่งที่ดี ชมเชยเมื่อเด็กทำได้หรือแก้ไขพฤติกรรมตัวเองได้ หากเกินกว่าความสามารถ ของครูที่จะพัฒนาเด็ก ครูอาจประสาน รพช. เพื่อขอคำปรึกษาหรือส่งต่อ
6
อีคิวกับไอคิวต่างกันอย่างไร 7 ไอคิว (Intelligence Quotient) อีคิว (Emotional Quotient) เป็นระดับเชาวน์ปัญญาที่เกี่ยวข้องกับ เป็นความสามารถในการรับรู้และเข้าใจ การคิดวิเคราะห์ การใช้เหตุผล อารมณ์ ทั้งของตัวเองและผู้อื่น การคำนวณ การเชื่อมโยงเหตุผล ตลอดจนสามารถปรับ หรือควบคุมได้ ความสัมพันธ์ อย่างเหมาะสมกับสภาวะการณ์ เป็นศักยภาพทางสมองที่ติดตัวมาแต่ สามารถปรับเปลี่ยนเรียนรู้และพัฒนาให้ กำเนิด เปลี่ยนแปลงแก้ไขได้ยาก ดีขึ้นได้และสามารถพัฒนาได้ตลอดชีวิต และพัฒนาเพิ่มขึ้น จนอายุ 20-25 ปี อีคิวดีเป็นตัวทำนายที่ดี ที่จะบ่งบอกว่า ไอคิวสูงไม่ได้ทำนายว่าจะต้องเป็นผู้ บุคคล นั้นมีแนวโน้มที่จะประสบความ ประสบความสำเร็จในชีวิต สำเร็จทั้ง ชีวิตส่วนตัวและการทำงาน ความสัมพันธ์ระหว่าง EQ และ IQ คนที่มีเชาวน์ปัญญาสูง (IQ สูง) แต่มีความฉลาดทางอารมณ์ต่ำ (EQ ต่ำ) มักจะ ไม่ค่อยมีความสุข แต่จะเป็นคนเก่ง มั่นใจตนเองสูง ทะเยอทะยาน เอาตัวเองเป็นใหญ่ วิตก กังวล คิดมาก และชอบอวดเก่ง ถ่อมตนลำบาก ไม่ค่อยมีมิตร ว้าเหว่ เหงา มีปัญหา สัมพันธภาพ กับผู้อื่น และถ้าไม่ได้ฝึกหัดตัวเองมาก่อน มักจะเป็นคนเก่ง แต่ไม่มีความสุข ดังนั้น IQ และ EQ ถึงแม้จะมีความแตกต่างกัน แต่ก็เป็นความสามารถที่จะช่วย ส่งเสริมซึ่งกันและกันให้ทำหน้าที่ได้ดียิ่งขึ้น เช่น คนที่มีความฉลาดทางอารมณ์สูง มักจะมีภาวะ อารมณ์ที่สงบมั่นคง ปลอดโปร่ง ไม่ตึงเครียด จึงสามารถนำความสามารถทางเชาวน์ปัญญา มาใช้ได้ อย่างมีประสิทธิภาพ ตรงกันข้ามคน ที่มีเชาวน์ปัญญาสูง หากอยู่ในภาวะที่มี ความเครียดมาก และ ไม่สามารถจัดการกับความเครียดนั้นได้ ก็อาจนึกคิดอะไรไม่ออก ไม่สามารถใช้เชาวน์ปัญญา มาครองตนและดำเนินชีวิตอย่างมีความสุขได้ ความสำคัญของความฉลาดทางอารมณ์ จากองค์ประกอบและความหมายของความฉลาดทางอารมณ์ข้างต้น จึงสรุปความสำคัญ ของความฉลาดทางอารมณ์ คือ 1. จะทำให้ตัวเราอยู่กับคนอื่นได้ดี มีความสุข และประสบความสำเร็จในชีวิต 2. เป็นคนดี รู้จักอารมณ์ มีน้ำใจ รู้ว่าอะไรผิดอะไรถูก 3. เป็นคนเก่ง กระตือรือร้น สนใจใฝ่รู้ ปรับตัวได้ดี กล้าพูดกล้าแสดงออก 4. มีความสุข มีความพอใจในชีวิต อบอุ่นใจ สนุกสนานร่าเริง
8 การประเมินความฉลาดทางอารมณ์ (EQ) การรู้ข้อมูลที่จำเป็นเกี่ยวกับนักเรียนเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้ครู มีความเข้าใจนักเรียนมากขึ้น สามารถนำข้อมูลมาประกอบการประเมิน ความฉลาดทางอารมณ์นักเรียน ตามคุณลักษณะของแบบประเมินความ ฉลาดทางอารมณ์ที่ครูจำเป็นต้องรู้จักหรือคุ้นเคยกับนักเรียนเป็นระยะ เวลาอย่างน้อย 4 เดือน การที่จะได้ข้อมูลของนักเรียนดังกล่าวข้างต้น จำเป็นต้องอาศัยเครื่องมือในการเก็บข้อมูลเครื่องมือรู้จักนักเรียนมีหลาก หลายดังตัวอย่างต่อไปนี้ ระเบียนสะสม สังคมมิติ เยี่ยมบ้าน บทบาทสมมติ สัมภาษณ์ ภาพวาด สังเกต เรียงความ อัตชีวประวัติ แบบสำรวจ บันทึกประจำวัน แบบทดสอบ ระเบียน แฟ้มสะสมงาน พฤติการณ์ บันทึกสุขภาพ หมายเหตุ : เลือกใช้เท่าที่จำเป็นและเหมาะสมกับนักเรียนแต่ละคน
9 การประเมินความฉลาดทางอารมณ์นักเรียน จะช่วยให้ครูทราบถึงจุดดีจุด เด่นของลักษณะความฉลาดทางอารมณ์ที่ควรส่งเสริมและจุดอ่อนที่ควรพัฒนาให้ ดียิ่งขึ้นต่อไป รวมทั้งสามารถใช้ในการติดตามเพื่อดูพัฒนาการทางอารมณ์ว่ามี ความก้าวหน้ามากน้อยเพียงใดเมื่ออายุเพิ่มขึ้น การประเมิน มีข้อพึงระวัง คือ 1. ครู/ผู้ตอบแบบประเมินจะต้องรู้จักหรือคุ้นเคยกับเด็กเป็นอย่างดีไม่น้อย กว่า 4 เดือน เพื่อจะได้มีโอกาสให้ข้อมูลเกี่ยวกับเด็กได้อย่างละเอียดและถูกต้อง 2. ครู/ผู้ตอบแบประเมิน ต้องตอบตามที่เด็กเป็นอยู่จริง 3. ไม่ควรนำผลการประเมินไปเปรียบเทียบกับเด็กอื่น ว่ากล่าวตำหนิเด็ก หรือใช้เป็นข้อตัดสินในการคัดเลือกเด็กในโอกาสต่างๆ เครื่องมือที่ใช้ประเมินความฉลาดทางอารมณ์ 1. แบบประเมินความฉลาดทางอารมณ์สำหรับเด็กอายุ 6-11 ปี ฉบับย่อ 2. แบบประเมินความฉลาดทางอารมณ์สำหรับเด็กอายุ 6-11 ปี ฉบับสมบูรณ์
10 แบบประเมินความฉลาดทางอารมณ์สำหรับเด็ก (อายุ 6-11 ปี) ความหมาย ของความฉลาดทางอารมณ์เด็ก หมายถึง ความสามารถในการรู้จัก เข้าใจและควบคุมอารมณ์ของตนเองได้สอดคล้องกับวัย มีการประพฤติปฏิบัติตนใน การอยู่ร่วมกับผู้อื่นอย่างเหมาะสมและมีความสุข ความฉลาดทางอารณ์เป็น คุณลักษณะพื้นฐานสำคัญที่จะนำไปสู่ความเป็น ผู้ใหญ่ ทั้งความคิด อารมณ์ และพฤติกรรม การประเมินความฉลาดทางอารมณ์สำหรับเด็ก การประเมินความฉลาดทางอารมณ์เด็กจะช่วยให้ครู ได้ทราบถึงจุดดีจุดเด่น ของลักษณะความฉลาดทางอารมณ์ที่ควรส่งเสริมและจุดอ่อนที่ควรพัฒนาให้ดียิ่งขึ้น ต่อไป รวมทั้งสามารถใช้ในการติดตามเพื่อดู พัฒนาการทางอารมณ์ว่ามีความก้าวหน้ามากน้อยเพียงใดเมื่ออายุเพิ่มขึ้น แบบประเมินความฉลาดทางอารมณ์สำหรับเด็กอายุ 6-11 ปี ฉบับย่อ จำนวน 15 ข้อ มี 3 ด้านหลัก 9 ด้านย่อย และฉบับสมบูรณ์ จำนวน 60 ข้อ มี 3 ด้านหลัก 9 ด้านย่อย การประเมินความฉลาดทางอารมณ์เด็ก ประเมินคุณลักษณะ 3 ด้าน คือ 1. ด้านดี เป็นความพร้อมทางอารมณ์ที่จะอยู่ร่วมกับผู้อื่น โดยประเมินจาก การควบคุมอารมณ์ การใส่ใจและเข้าใจอารมณ์ผู้อื่นและการยอมรับผิด 2. ด้านเก่ง คือความพร้อมที่จะพัฒนาตนไปสู่ความสำเร็จ โดยประเมินจาก การมุ่งมั่นพยายาม การปรับตัวต่อปัญหา และการกล้าแสดงออกอย่างเหมาะสม 3. ด้านสุข คือความพร้อมทางอารมณ์ที่ทำให้เกิดความสุข โดยประเมินจาก การมีความพอใจในตนเอง การรู้จักปรับใจ และความรื่นเริงเบิกบาน แบบประเมินความฉลาดทางอารมณ์สำหรับเด็กอายุ 6-11 ปี ฉบับย่อ จำนวน 15 ข้อ มี 3 ด้านหลัก 9 ด้านย่อย และฉบับสมบูรณ์ จำนวน 60 ข้อ มี 3 ด้าน หลัก 9 ด้านย่อย
11 คำชี้แจง ให้ครูตอบคำถามที่เกี่ยวกับเด็กในช่วง 4 เดือนที่ผ่านมา โดยเลือกคำตอบที่ใกล้ เคียงกับตัวเด็กที่เป็นอยู่จริงมากที่สุด ในข้อคำถามแต่ละข้อมีคำตอบที่เป็นไปได้ 4 คำตอบ ไม่เป็นเลย หมายถึง ไม่เคยปรากฏ เป็นบางครั้ง หมายถึง นานๆ ครั้งหรือทำบ้างไม่ทำบ้าง เป็นบ่อยครั้ง หมายถึง ทำบ่อยๆ หรือเกือบทุกครั้งเป็น ประจำ เป็นประจำ หมายถึง ทำทุกครั้งเมื่อเกิดสถานการณ์นั้น วิธีการประเมินและข้อพึงระวัง 1. ครูประเมินความฉลาดทางอารมณ์เด็กในภาคการศึกษาที่ 2 หรือหลังจาก คุ้นเคยกับนักเรียนอย่างน้อย4 เดือน 2. ผลการประเมินเป็นคะแนนของเด็กรายบุคคล ไม่ควรนำไปเปรียบเทียบกับ เด็กอื่น ว่ากล่าว ตำหนิเด็กหรือใช้เป็นข้อตัดสินในการคัดเลือกเด็ก รายละเอียดเพิ่มเติมแบบประเมินความฉลาดทางอารมณ์ฉบับย่อและฉบับ สมบูรณ์ที่กล่าวมาอยู่หน้าภาคผนวก หน้าที่ 32 เป็นต้นไป
13 ตัวอย่างการจัดกิจกรรมในชั้นเรียนเอเสริมสร้างอีคิวเด็ก การจัดกิจกรรม ในชั้นเรียนเพื่อเสริมสร้าง อีคิวเด็ก การจัดกิจกรรมในชั้นเรียนเพื่อเสริมสร้างอีคิวเด็ก ประกอบด้วยตัวอย่าง กิจกรรม 7 กิจกรรมตามองค์ประกอบของอีคิว 3 ด้านคือ ด้านดี ด้านเก่ง และด้านสุข กิจกรรมเหล่านี้ได้ผ่านการทดลองใช้ในชั้นเรียนและนำมาปรับปรุงเพื่อให้มี ความเหมาะสมขึ้นซึ่งครูสามารถประยุกตักิจกรรมอื่นๆมาใช้ในการเสริมสร้างอีคิว ของเด็กได้ แผนกิจกรรม 7 กิจกรรมมีดังนี้ อีคิว (EQ) ชื่อแผนกิจกรรม 1. อารมณ์นี้ อารมณ์ไหน ด้านดี 2. ใครเดือดร้อน 1. ปัญหา พาสนุก 2. ปิงปองพาเพลิน ด้านเก่ง 1. สวนสัตว์ของเรา 2. พัดส่งความสุข 3. ถักทอสายใย ด้านสุข
14 การเตรียมความพร้อมเพื่อนำเข้าสู่กิจกรรม เพื่อเป็นการเตรียมตัวให้เด็กพร้อมที่จะฟัง มีสมาธิ และสนใจ สิ่งที่ครูกำลังจะพูด ครูอาจทำความเข้าใจ หรือสร้างเงื่อนไข ใน ลักษณะเป็นข้อตกลงร่วมกันระหว่างครูและนักเรียน ดังนี้ การเตรียมความพร้อม ครู พูดว่า \"ปรบมือ 1 ครั้ง\" นักเรียน ปรบมือ 1 ครั้ง ครู พูดว่า \"ปรบมือ 2 ครั้ง\" นักเรียน ปรบมือ 2 ครั้ง ดรู พูดว่า \"ปรบมือเป็นชุด\" นักเรียน ปรบมือ ตามจังหวะ 12 123 12 12 1....... นักเรียน ตอบ เฮ้! (พร้อมกับ) เงื่อนไขข้อตกลงกับนักเรียน พู ดเงื่ชอื่อนโไรขงข้เอรียตนก..ล...ง....ก.ั..บนนัักกเเรรียียนน ตอบ ㆍ ครู พู ด(พชรื้่ออโมรกงับเรกียำนมื.อ...ข...ว...า..แนลัะกยเรกียขึ้นน)ตอบ เฮ้! ㆍ ครู เฮ้! เมื่อนักเรีย(นพตร้้อองมกกัาบรชกื่นำมชืมอเขพืว่อานแหลระืยอสกนขึุ้กนส) นานดีใจ เมื่อนักสเราียมนาตร้ถองแกสาดรงชื่อนอชกมไเพดื้่โอดนยหกรือารสปนุรกบสมนือานดีใจ สามารถแสดงออก ได้โดยการปรบมือ ㆍㆍ(พคครรรูู้อพพููมดดกัวว่่บาากำ\"\"เเมยยีีื่่อยยทมมั้งมมสาากกอ\"\"งขเเ้ดดา็็งกกยนนัั กกกนเเิรร้วีียยโปนน่งตตขออึ้นบบแวว่่ลาา้ว\"\"ชนนูไาาปยยข้เเายยีี่่งยยหมมนมม้าาา)กก\"\" (พร้อมกับกำมือทั้งสองข้างยกนิ้วโป่งขึ้นแล้วชูไปข้างหน้า)
15 การจูงใจเด็ก เพื่อให้มุ่งมั่นตั้งใจ ทำกิจกรรมผ่าน \"การให้รางวัล\" ในกรณีกิจกรรมรายบุคคล : ครูทำข้อตกลงกับเด็กว่ามีคะแนนความร่วมมือ ในการทำกิจกรรมเช่น การตอบคำถาม คนที่ชนะที่ 1 ในแต่ละกิจกรรม คนที่ มีน้ำใจช่วยเหลือเพื่อน เป็นต้น โดยครูจะมีบอร์ดให้คะแนนและสติ๊กเกอร์ เพื่อเป็นการสะสมคะแนนไปเรื่อยๆ ตลอดการทำกิจกรรม และเมื่อทำกิจกรรม เสร็จสิ้น ครูรวมคะแนนและมีรางวัลให้แก่เด็กที่สะสมสติ๊กเกอร์ได้มากที่สุด ในกรณีทำกิจกรรมกลุ่ม : ครูทำข้อตกลงกับเด็กว่ามีคะแนนความมุ่งมั่น พยายาม ความสามัคคีและความตั้งใจทำกิจกรรมให้กับแต่ละกลุ่ม โดยครูจะมี บอร์ดให้คะแนนและสติ๊กเกอร์ เพื่อเป็นการสะสมคะแนนไปเรื่อยๆ ตลอดการทำ กิจกรรม และเมื่อทำกิจกรรมเสร็จสิ้น ครูรวมคะแนนและมีรางวัสให้แก่กลุ่มที่สะสม สติ๊กเกอร์ได้มากที่สุด นอกจากนี้หากสมาชิกในกลุ่มใดไม่ร่วมมือ ทะเลาะกัน คุยกันเสียงดังแกลังเพื่อน หรือไม่สนใจทำกิจกรรม ครูสามารถสร้างข้อตกลง กับเด็กว่า ครูสามารถที่จะถอดถอน คะแนนคืน โดยดึงสติ๊กเกอร์ออกได้ เพื่อ เป็นการลดคะแนน
16 กิจกรรมส่งเสริมอีคิวด้าน \"ดี\" กิจกรรมที่ 1 อารมณ์นี้ อารมณ์ไหน วัตถุประสงค์ 1. เด็กสามารถยกแยะความแตกต่างของอารณ์ 2. เด็กสามารถแสดงอารมณ์ได้อย่างถูกต้อง 3. เด็กมีแนวทางควบคุมอารมณ์ตนเอง สื่อ/อุปกรณ์ - จิ๊กซอว์ ภาพใบหน้าแสดงอารมณ์ต่างๆ (ดีใจ เสียใจ โกรธ ตกใจ) - ใบงานเหตุการณ์การแสดงออกทางอารมณ์ ขั้นตอนการดำเนินกิจกรรม ขั้นตอนที่ 1 จิ๊กซอว์ บอกอารมณ์ 1. ครูแบ่งเด็กออกเป็น 4 กลุ่ม กลุ่มละเท่าๆกัน 2. ครูแจก จิ๊กซอว์ ภาพใบหน้าแสดงอารมณ์ให้เด็กแต่ละกลุ่ม ๆละ 1 ภาพ โดยที่แต่ละกลุ่มจะได้ภาพแสดงอารมณ์ที่แตกต่างกันให้เด็กช่วยกันต่อภาพ จิ๊กชอว์ โดยใช้เวลาในการต่อ 5 นาที 3. หลังจากที่ต่อเสร็จแล้ว ให้เด็กปรึกษากันในกลุ่มว่า ภาพที่ต่อนั้น เป็นใบหน้า แสดงอารมณ์อะไร 4. ครูให้ตัวแทนกลุ่มออกมาหน้าชั้นเรียน แล้วแสดงท่าใบ้อารมณ์ตามภาพจิ๊กซอว์ ของกลุ่มตัวเอง แล้วให้เพื่อนๆกลุ่มอื่นทายว่าเป็นอารมณ์อะไร 5. ครูคุยกับเด็ก ทำไมจึงสามารถทายได้ว่า เพื่อนแสดงท่าทางในอารมณ์ใด เราสังเกตอารมณ์ของเพื่อนจากท่าทางและสีหน้าใช่หรือไม่ ครูอธิบายให้เด็กฟัง ว่า สีหน้า ท่าทาง ความรู้สึกสัมพันธ์กันอย่างไร เช่น ถ้ายิ้ม แสดงว่าดีใจ มีความ สุข ถ้าร้องไห้ แสดงว่า เสียใจ ทุกข์ใจ เป็นต้น
17 ขั้นตอนการดำเนินกิจกรรม ขั้นตอนที่ ชั้นตอนที่ 2 จะทำยังไงดีนะ ? 1. กลุ่มย่อย 4 กลุ่มเดิม 2. ครูแจกใบงานกรณีศึกษาให้เด็กแต่ละกลุ่มๆ ละ 1 เรื่อง ใบงานที่ 1 - ณ โรงเรียน....ห้อง ป.......เจมส์จิ กำลังนั่งคุยกับเพื่อนๆอยู่ในห้องอย่าง สนุกสนาน แล้วโป๊บเพื่อนร่วมห้องเดินเข้ามากับเพื่อนๆ พร้อมกับล้อเลียนชื่อพ่อของ เจมส์ ด้วยเสียงดังมาก เจมส์จิโมโหจึงปาหนังสือไปที่โป๊บ - ให้เด็กๆ ช่วยกันคิดว่า การปหนังสือเหมาะสมหรือไม่ หากนักเรียนเป็นเจมส์จิ จะทำอย่างไร ใบงานที่ 2 - ณ โรงเรียน....ห้อง ป.....เข้านี้ คุณครู...(ชื่อครู) บอกคแนนสอบวิชาคณิศาสตร์ ซึ่ง ญาญ่าสอบตก ญาญ่าเสียใจมาก ร้องไห้ เสียงดัง ไม่ยอมพูดกับใคร - ให้เด็กๆ ช่วยกันคิดว่า การร้องไห้ไม่ยอมพูดกับใครดีไหม วิธีที่ดีกว่าทำ อย่างไร 3. ให้เด็กแต่ละกลุ่มช่วยกันอ่านใบงาน และช่วยกันคิดคำตอบในใบงาน 5 นาที เสร็จแล้วแต่ละกลุ่มส่งตัวแทนออกมาหน้าชั้นเรียนเพื่ออ่านใบงานเหตุการณ์ และ บอกคำตอบให้กับเพื่อนกลุ่มอื่นฟัง 4. ครูพูดคุยอธิบายว่า เมื่อเกิดอารมณ์ไม่ดี เช่น โกรธ หงุดหงิด ควรหายใจเข้าออ กช้าๆ หรือนับเลข 1-2-3-4-5 ในใจช้าๆ และพูดกับตนเองว่า \"เราจะไม่โกรธ และ จะไม่พูด ไม่ทำให้คนอื่นเดือดร้อน\"
18 กิจกรรมส่งเสริมอีคิวด้าน \"ดี\" กิจกรรมที่ กิจกรรมที่ 2 ใครเดือดร้อน วัตถุประสงค์ 1. เรียนรู้พฤติกรรมที่ส่งผลกระทบต่อตนเองและผู้อื่น 2. แบ่งแยกพฤติกรรมด้านลบและด้านบวก 3. รับรู้ความรู้สึกของตนที่มีต่อพฤติกรรมต่างๆ สื่อ/อุปกรณ์ - \"ถุงการกระทำ\" ภายในถุงบรรจุแผ่นป้ายข้อความกรกระทำต่างๆ ทั้งที่ตีและ ไม่ตี ให้เด็กฝึกแยกแยะ ได้แก่ เด็กทิ้งขยะบนถนน ขโมยยางลบเพื่อน เด็กจูงคน แก่ข้ามถนน ชอบแกลังเพื่อนแรงๆ ลอกข้อสอบเพื่อน โกหกพ่อแม่ว่าโรงเรียน หยุด เป็นต้น - ฟิวเจอร์บอร์ด - ปากกาเคมีสีแตง และ สีน้ำเงิน - กาว ขั้นตอนการดำเนินกิจกรรม ชั้นตอนที่ 1 แยกแยะ ถูกผิด 1.แบ่งกลุ่มเด็กออกเป็น 5 กลุ่ม กลุ่มละเท่าๆกัน 2. ครูแนะนำ \"ถุงการกระทำ\" ให้เด็กดูพร้อมอธิบายให้รู้ว่าภายในถุงบรรจุแผ่นป้าย การกระทำต่างๆมากมาย แล้วหยิบแผ่นป้ายให้เด็กดู ทั้งแผ่นป้ายที่บอกการกระทำ ที่ดี และไม่ดี เช่น เด็กทิ้งขยะบนถนน เด็กจูงคนแก่ข้ามถนน ขโมยยางลบเพื่อน ชอบแกลังเพื่อนแรงๆ ลอกข้อสอบเพื่อน โกหกพ่อแม่ว่าโรงเรียนหยุด เป็นต้น 3. ครูแจก \"ถุงการกระทำ\" ให้เด็กทุกกลุ่ม กลุ่มละ 1 ถุง และให้เด็กแต่ละกลุ่ม ช่วยกันแยกการกระทำที่ตี และไม่ดีเหล่านั้น เป็นสองฝั่ ง 4. ครูถามเด็กแต่ละกลุ่มว่า \"ทำไมจึงแยกการกระทำเหล่านั้น และใช้อะไรเป็นเกณฑ์ ในการเลือก\" 5. ครูพิจารณาดูว่าการกระทำที่ดี และไม่ดีที่แยกนั้นถูกต้องหรือไม่ ถ้าไม่ถูกต้อง ครูต้องพูดคุยกับเด็กว่าทำไมจึงแยกการกระทำเช่นนั้น แล้วถามเด็กกคนอื่นๆ ว่าคิดอย่างไร
19 ขั้นตอนการดำเนินกิจกรรม ขั้นตอนที่ 2 ใครเดือดร้อน 1. ครูแจกฟิวเจอร์บอร์ด ปากกาเคมี และกาว ให้แต่ละกลุ่ม หลังจากนั้นให้เด็กนำ แผ่นป้ายการกระทำที่แยกการกระทำที่ดี และไม่ตี เช่น เด็กทิ้งขยะบนถนน เด็กจูง คนแก่ข้ามถนน ขโมยยางสบเพื่อน ชอบแกล้งเพื่อนแรงๆ ลอกข้อสอบเพื่อน โกหกพ่อแม่ว่าโรงเรียนหยุด เป็นต้น ติดไว้บนแผ่นฟิวเจอร์บอร์ดที่ครูแจกให้ 2. ให้เด็กช่วยกันวาดวงกลมการกระทำที่ติดไว้บนแผ่นฟิวเจอร์บอร์ด - การกระทำที่ทำให้ผู้อื่นเดือนร้อน ให้วงด้วยปากกาสีน้ำเงิน - การกระทำที่ไม่ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน ให้วงด้วยปากกาสีแดง 3. ครูถามเด็กแต่ละกลุ่มรำ \"การกระทำที่ทำให้คนอื่นเดือดร้อนนั้น เป็นการกระทำ อะไรบ้างใครเดือดร้อน และเดือดร้อนอย่างไร 4. ครูอธิบายให้เด็กฟังถึงการกระทำที่ตีและไม่ ถ้าทำการกระทำที่ไม่ดีจะส่งผลกระ ทบต่อผู้อื่นอย่างไร พร้อมทั้งชวนเด็กคุยว่า \"เราไม่ชอบกรกระทำที่ไม่ดี เพราะฉะนั้น เราจะไม่ทำการกระทำเหล่านี้ ไม่ว่าจะมีคนเห็นหรือไม่ และเราจะมาทำการกระทำที่ดีกัน เพราะนอกจากจะทำให้ตัว เราเองรู้สึกดีแล้วยังไม่ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อนอีกด้วย\"
กิจกรรมส่งเสริมอีคิวด้าน \"เก่ง\" 20 เด็กในวัยนี้จะมีความเข้าใจในคนอื่นเพิ่มมากขึ้น ทั้งในด้านเจตนา ด้านความคิด ด้านอารมณ์โดยมองว่า \"คนอื่นคิดอย่างไร\" \"คนอื่น รู้สึกอย่างไร\" \"คนอื่นชอบอะไร\" ดังนั้นการได้มีโอกาสทำงานเป็นทีมเป็นกลุ่ม จะช่วยให้เด็กได้ เรียนรู้ผู้อื่นมากขึ้น ได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็น และจัดการกับ ความขัดแย้ง ซึ่งเป็นอีคิวในต้านเก่ง กิจกรรมที่ 1 ปัญหาพาสนุก วัตถุประสงค์ 1. ให้เด็กเรียนรู้เรื่องความพยายามนำไปสู่ความสำเร็จ 2. ฝึกการทำงานร่วมกันเป็นทีม 3. ฝึกทักษะในการควบคุมอารมณ์ สื่อ/อุปกรณ์ - ชุดจิ๊กซอว์ 4 แบบ สี่เหลี่ยมจัตุรัส ขนาด 11.5 นิ้ว x 11.5 นิ้ว (ทำด้วยกระดาษแข็งหรือฟิวเจอร์บอร์ด) - แบบเฉลยจิ๊กซอว์ ขั้นตอนการดำเนินกิจกรรม 1. แบ่งกลุ่มเด็กเป็นกลุ่มๆ ละ 10 คน 2. ให้สมาชิกกลุ่มเสือกตัวแทนกลุ่ม 1 คน โดยครูบอกว่าตัวแทนคนนี้เป็นคน ที่กลุ่มคิดว่า \"เป็นคนที่จำเก่ง จำแม่นที่สุด\" จากนั้นให้ตัวแทนกลุ่มเตินออก มาหน้าห้อง 3.ครูแยกตัวแทนกลุ่มออกมามุมหนึ่งของห้องหรือพื้นที่ที่ทำกิจกรรม เพื่ออธิบายกติกา ตังนี้ 3.1 ให้ตัวแทนกลุ่มดูแบบเฉลยจิ๊กชอว์ ซึ่งแต่ละคนจะได้แบบเฉลยคนละ 1 ชุด ให้เวลาในการจำคนละ 1 นาที 3.2 หลังจากนั้นครูชี้แจงตัวแทนกลุ่มว่าเมื่อกสับไปที่กลุ่มตัวแทนสามารถ พู ดอธิบายให้เพื่อนๆสมาชิกต่อจิ๊กชอวํได้แต่มีข้อแม้ว่าตัวแทนห้ามจับจิ๊กช อว์หากไม่ทำตามกติกาจะถูกหักคะแนน 3.3 แจกชุดจิ๊กชอวํให้กับตัวแทน คนละ 1 ชุด
21 4. เมื่อชี้แจงกติกกับตัวแทนกรุ่มแล้ว ครูบอกกับเด็กว่าให้สมาชิกทุกคนช่วยกัน ทำกิจกรรมให้สำเร็จโดยให้เวลา 10 นาที โดยตัวแทนกลุ่มจะอธิบายวิธีการให้ สมาชิกทุกคน แต่จะไม่สามารถจับจิ๊กซอว์ได้ 5. ขณะที่ให้เด็กทำกิจกรรม ครูสังเกตพฤติกรรมเด็ก และคอยพูดกระตุ้นเด็ก ดังนี้ 5.1 พูดกระตุ้นว่า \"ครูไม่ได้ดูว่ากลุ่มไหนจะต่อได้เหมือนเฉลย แต่ครูจะดูว่า กลุ่มไหนที่ทุกคนพยายาม ตั้งใจทำ และช่วยเหลือกัน ไม่ทะเลาะกัน\"การพูดเช่นนี้ เพื่อส่งเสริมให้เด็กช่วยเหลือกัน ไม่ใช่ต่างคนต่างทำ 5.2 หากกลุ่มใด เด็กมีการทะเละกัน พูดโทษ/ตำหนิเพื่อนหรือ มีสมาชิกคน ใดแยกตัวออก 5.3 หากกลุ่มใดเด็กแย่งจิ๊กชอว์กัน ไม่ยอมให้เพื่อนต่อ ให้ครูพูดเน้นกับเด็ก ให้คิดดว่า \"ตัวแทนมาให้ครูพูดย้ำคำพูดในข้อ 5.1 กลุ่ม เป็นคนที่รู้เฉลยมากที่สุด ทุกคนควรฟังตัวแทนใช่หรือไม่\" และ \"ถ้าทุกคนแย่งกันต่อหรือไม่ยอมให้เพื่อนได้ ลองต่อจิ๊กซอว์ งานจะเสร็จไหม\" 6. เมื่อครบ 10 นาทีศรูบอกให้ทุกคนหยุดต่อจิ๊กชอว์ และให้แต่ละกลุ่มนำจิ๊กซอว์ มาวางไว้หน้าห้องให้เด็กทุกคนสามาถมองเห็นได้ จากนั้นพูดสรุปกับเด็กว่า 6.1 \"แต่ละกลุ่มต่อจิ๊กชอว์ได้มากน้อยแตกต่างกันไป แต่ครูสังเกตแล้วว่า กลุ่มที่ต่อจิ๊กซอว์ได้มาก สมาชิกในกลุ่มจะฟังตัวแทนและช่วยกันทำ มากกว่ากลุ่ม ที่ต่อได้น้อย\" 6.2 \"ดังนั้น ในงานที่ยาก เราทุกคนต้องช่วยคิดช่วยกันทำ ให้เพื่อนได้ออก ความคิดเห็นไม่ทะเลาะกันงานจึงจะสำเร็จ\"
กิจกรรมที่ 2 ปิงปองพาเพลิน 22 วัตถุประสงค์ 1.ให้เด็กเรียนรู้เรื่องความพยายามนำไปสู่ความสำเร็จ 2. ฝึกการทำงานร่วมกันเป็นทีม สื่อ/อุปกรณ์ - ช้อนพลาสติก/ซ้อนโต๊ะ - ลูกปิงปอง ขั้นตอนการดำเนินกิจกรรม 1. แบ่งกลุ่มเด็กเป็นกลุ่มๆ ละ 10 คน และให้แต่ละกลุ่มเข้าแถวเรียงหน้ากระตาน 2. ครูแจกช้อนให้เด็กคนละ 1 คัน และแจกลูกปิงปองให้กับหัวแถวของแต่ละกลุ่ม 3. ครูชี้แจงกติกาการทำกิจกรรมดังนี้ 3.1 ให้เด็กทุกคนคาบช้อน โดยคนที่อยู่หัวแถวจะมีลูกปิงปองวางอยู่บนช้อน 3.2 ให้หัวแถวพยายามส่งลูกปิงปองให้กับเพื่อนข้างๆ โดยใช้ช้อนที่คาบอยู่ ห้าม ใช้มือช่วย 3.3 หากสมาชิกกลุ่มคนใดทำลูกปิงปองหล่นลงพื้น ให้เริ่มต้นส่งลูกปิงปองใหม่ ตั้งแต่หัวแถว 3.4 ครูบอกให้เด็กแต่ละกลุ่มลองส่งลูกปิงปอง ให้เด็กช่วยคิดหาวิธีที่จะช่วยให้ ส่งลูกปิงปองให้ถึงปลายแถว โดยให้เวลาประมาณ 5 นาที 3.5 หลังจากที่แต่ละกลุ่มได้ลองส่งลูกปีงปองแล้ว ครูให้เด็กเริ่มส่งลูกปิงปอง จากหัวแถวในขณะทำกิจกรรมครูพูดกระตุ้นเด็กให้ทุกคนช่วยกัน จับเวลาในการทำ กิจกรรม 5 นาที 4. กลุ่มใดที่สามารถส่งลูกปิงปองถึงปลายแถวได้สำเร็จ ครูให้แต้มเป็นรางวัล ความพยายาม 5. ครูสรุปสิ่งที่ได้จากการทำกิจกรรมว่า 5.1 “แต่ละกลุ่มส่งลูกปิงปองได้มากน้อยแตกต่างกันไป แต่ครูสังเกตแล้วว่า กลุ่มที่ส่งลูกปิงปองได้มากหรือใกล้ถึงปลายแถว สมาชิกในกลุ่มจะช่วยกันทำ ตั้งใจ และมีสมาธิมากกว่ากลุ่มที่ส่งได้น้อย\" 5.2 “ดังนั้น ในงานที่ยาก เราทุกคนต้องช่วยคิดช่วยกันทำ ช่วยกันคิดหาวิธีแก้ ปัญหา ไม่ทะเลาะกัน งานจึงจะสำเร็จ\"
23 กิจกรรมการส่งเสริมอีคิวด้าน “สุข” กิจกรรมที่ 1 \"สวนสัตว์ของเรา\" วัตถุประสงค์ \"เพื่อส่งเสริมให้\" 1. เด็กเกิดความภาคภูมิใจในตนเอง 2. เด็กไต้ใช้ความคิดสร้างสรรค์ให้เกิดประโยชน์ 3. เด็กไต้ทำงานร่วมกัน โดยอาศัยความร่วมมือของสมาชิกทุกคนในกลุ่ม 4. เกิดความสนุกสนาน ร่าเริง สื่อ/อุปกรณ์ - กระดาษสี - ดินสอไม้/ตินสอสี - ยางลบ - กาว/เทปใส - กระดาษแข็ง/ฟิวเจอร์บอร์ด ขั้นตอนการดำเนินกิจกรรม 1. ครูแบ่งเด็กเป็นกลุ่ม กลุ่มละ 5-10 คน 2. ครูพูดคุยกับเด็กว่า \"เด็กๆ ชอบวาตภาพกันหรือไม่? วันนี้ครูจะให้ทำกิจกรรม ชื่อว่า สวนสัตว์ของเรา\" ลงในกระดาษที่ครูแจกให้นั้น 3. ครูแจกกระดาษให้เด็กคนละ 1 แผ่น และเด็กสามารถวาตรูปสัตว์อะไรก็ได้ที่ ตนเองชอบ 1 ตัว 4. เมื่อวาดภาพเสร็จ ให้เด็กกเขียนชื่อตนเองที่ใต้รูปสัตว์ที่เด็กวาด 5. ครูตัดกระตาษตามรูปสัตว์และชื่อเด็ก จนครบทุกคน 6. ครูเตรียมกระดาษแข็ง หรือฟิวเจอร์บอร์ดให้เด็กกลุ่มละ 1 แผ่น 7. ให้เด็กนำภาพสัตว์แต่ละตัวที่ตัดออกมา วางประกอบกันในกระตาษแข็ง หรือฟิว เจอร์บอร์ดที่ครูแจกให้แต่ละกลุ่ม พร้อมกับตกแต่งอย่างอิสระตามจินตนาการ 8. ครูให้เด็กแต่ละกลุ่มส่งตัวแทนออกมานำเสนอหน้าชั้น และเล่าว่าในสวนสัตว์ ของเด็กแต่ละคนมีสัตว์อะไรบ้าง และใครเป็นคนวาตสัตว์ตัวไหน ครูสามารถกำหนดให้เด็กวาดภาพอย่างอื่นโดยการให้โจทย์ต่าง ๆ อาจเชื่อมโยงกับการเรียนการสอนของครู เพื่อเป็นการทบทวนบทเรียนที่ครูสอนไปแล้ว
24 กิจกรรมที่ 2\"พัดส่งความสุข\" วัตถุประสงค์ 1. ให้เด็กได้รู้จักชื่นชมผู้อื่น 2. ให้เด็กได้เรียนรู้ถึงความรู้สึกของการได้รับคำชมเชย คำพูดในแง่ดีและทำให้ เกิดความภาคภูมิใจ 3. เปิดโอกาสให้เด็กได้รู้จักกันมากขึ้น สื่อ/อุปกรณ์ - กระดาษตัดเป็นสี่เหลี่ยม หรือ กระดาษ A4 - เทปเพลงบรรเลง - ดินสอ ขั้นตอนการดำเนินกิจกรรม 1. ให้เด็กนั่งล้อมวงกันเป็นวงกลม แจกกระตาษ A4 ให้เด็กคนละ 1 แผ่น 2. ให้เด็กแต่ละคน พับกระดาษจากขอบบนสุดลงมาประมาณ 2 เชนติเมตร กลับกระดาษอีกด้านหนึ่ง แล้วพับกระดาษจากขอบลงมาอีก 2 เชนติเมตร กลับอีกต้านและทำเช่นเดิมไปเรื่อยๆ จนสุดขอบกระดาษ จะได้เป็นพัด 3. ให้เด็กแต่ละคนเขียนชื่อของตนเอง ลงที่ต้านหน้าสุดของพัด 4. ครูให้เด็กส่งต่อพัดนั้นไปทางขวามือของตนเอง คนที่ได้รับกระดาษ จะต้อง นึกถึงข้อดีของเพื่อนที่มีชื่ออยู่ที่หน้าแรกของพัดนั้น (เจ้าของพัด) แล้วเขียน ข้อดีของเพื่อนคนนั้นลงไปในหน้าพัด 5. ครูให้เด็กส่งกระดาษไปทางขวามือเรื่อยๆ จนครบวงกลม อาจจะเปิดเพลง หรือมีเสียงสัญญาณเพื่อเป็นจังหวะให้รู้ว่าต้องส่งพัดต่อให้คนขวามือ เป็นการ กำหนดเวลา 6. เมื่อพัดวนมาจนเจอเจ้าของ ให้แต่ละคนได้อ่านข้อตีของตนเองที่เพื่อนเขียน ให้ 7. ครูเลือกสุ่มตัวอย่างให้เด็กอ่านข้อดีของตนเอง แล้วพูดคุยกันว่าเด็กมี ความภาคภูมิใจในตนเองหรือไม่ ภูมิใจในคุณสมบัติข้อใดมากที่สุด เพราะอะไร (ครูอาจให้เด็กอ่านข้อดีของตนเองวันละคนทุกวัน จนครบทั้งห้อง)
25 กิจกรรมที่ 3 \"ถักทอสายใย\" วัตถุประสงค์ 1. ฝึกความคิดเชิงบวก การมองโลกในแง่ดี 2. ฝึกทักษะการสื่อสาร การพูดชื่นชมผู้อื่น 3. เกิดความสนุกสนานเพลิดเพลิน 4. เกิดความตระหนักว่าทุกคนล้วนมีส่วนดีในตนเอง สื่อ/อุปกรณ์ - ไหมพรมสีสตม้วนใหญ่ - เทปเสียงเพลง ขั้นตอนการดำเนินกิจกรรม 1. เปิดเพลง (เพลงที่เด็กกรู้จักหรือร้องตามใด้) 2. ให้เด็กยืนล้อมวงเป็นวงกลม ยืนไหล่ชิดกัน 3. เริ่มโยนไหมพรมออกไปให้คนอื่นในวง โดยเรียกชื่อเพื่อนที่เราจะโยนไหม พรมให้และต่อด้วยคุณสมบัติ ด้านบวกของเพื่อน เช่นแอนคนสวย อาร์ตช่วย เหลือ 4. คนที่เป็นเจ้าของชื่อวิ่งออกมารับ จับเส้นไหมพรมไว้ จากนั้นก็โยนกลุ่มไหม พรมออกไปข้างหน้า เรียกชื่อเพื่อนคนอื่นให้ออกมารับ พร้อมกับบอก คุณสมบัติที่เราชื่นชม 5. เมื่อทำครบทุกคน จะเห็นสายใยไหมพรม 6. พากันกลับไปนั่งที่ ครูชวนให้เด็กพูดคุยถึงลักษณะข้อดีของแต่ละคน เป็นไปได้ว่าบางคนในกลุ่มอาจจะมีคุณลักษณะที่เหมือนกัน ครูถามความรู้สึก ของเด็กเกี่ยวกับการพูดถึงข้อดีและข้อเสียของผู้อื่น อย่างไหนง่ายยากกว่ากัน ครูถามต่อไปว่าเด็กแต่ละคนอยากฟังข้อดีหรือข้อเสียของตัวเองมากกว่ากัน แน่นอนว่าเด็กจะต้องตอบว่าข้อดี ควรถือโอกาสนี้ส่งเสริมให้มีบรรยากาศของ การชื่นชมกันเป็นประจำในห้องเรียน การได้รับรู้ถึงความดี ความสามารถของตัวเราที่ผู้อื่นยกย่องนั้น เป็นความภาคภูมิใจ ในตัวเองอย่างหนึ่ง ซึ่งจะช่วยให้คนนั้นมีความนับถือตนเองสูง และสามารถปรับตัว ให้เข้ากับสั่งคมได้ง่าย ไม่มีปัญหาเรื่องความสัมพันธ์กับผู้อื่น
26 ตัวอย่างการจัดกิจกรรมบูรณาการ เพื่ อเสริมสร้างอีคิวเด็ก กิจกรรมบูรณาการเพื่อเสริมสร้างอีผิวเด็ก หมายถึง กิจกรรมที่ครูหรือนักเรียนจัดขึ้น นอกเหนือจากกิจกรรมการเรียน การสอนในชั้นเรียน มีเป้าหมายเพื่อเสริมสร้างให้เด็กเป็นคนตี คน เก่ง และมีความสุข เช่น การนั่งสมาธิ จิตอาสา บัดดี้ โครงการ พิเศษต่างๆ ตัวอย่างกิจกรรมบูรณาการเสริมสร้างอีคิวที่มีการจัดใน โรงเรียนประถมศึกษากิจกรรมบูรณาการเหล่านี้มาจากประสบการณ์ ของครูประถมศึกษาที่ได้มีการจัดกิจกรรมเพื่อเสริมสร้างอีคิวเด็กใน โรงเรียน บางกิจกรรมหลายๆ โรงเรียนได้ดำเนินการอยู่แล้ว บางกิจกรรมเป็นเรื่องใหม่ โรงเรียนประถมศึกษา สามารถประยุกต์ กิจกรรมบูรณาการเหล่านี้ใด้ตามบริบทของโรงเรียน ดี จิตสาธารณะ เก่ง เวทีคนดี คนเก่ง สุข ฝึกสมาธิก่อนเรียน
27จิตสาธารณะ คือ จิตใจที่คำนึงถึงส่วนรวม ทำให้เกิดความรู้สึกที่จะ ช่วยเหลือ เอื้อเฟื้ อ เกื้อกูลผู้อื่น ด้วยความเต็มใจ โดยไม่หวังผลตอบแทน การเสริมสร้างจิตสาธารณะในเด็กเป็นสิ่งจำเป็นเพราะจะช่วยให้เด็กไม่ นิ่งดูดาย เป็นการพัฒนาคุณลักษณะความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น ซึ่งเป็นพื้นฐาน สำคัญของการมีอีคิวที่ วัตถุประสงค์ เพื่อเสริมสร้างให้ 1. เด็กมีจิตสำนึกในการช่วยเหลือชุมชน/ผู้อื่น 2. ปลูกฝังความสามัคคีให้เกิดในหมู่คณะ กลุ่มเป้าหมาย - เด็กประถมศึกษาปีที่ 1-6 อุปกรณ์ - อุปกรณ์ทำความสะอาด/หรืออุปกรณ์อื่นตามกิจกรรมจิตสาธารณะ ระยะเวลา - ปีละ 1-2 ครั้งหรือจัดเป็นกิจกรรมสม่ำเสมอ เช่น เดือนละ 1 ครั้ง สถานที่ - โรงเรียน/ครูเป็นผู้กำหนดตามความเหมาะสม ขั้นตอนกิจกรรม 1. ครู กำหนดกิจกรรมที่เด็กทำเพื่อเป็นสาธารณะประโยชน์ ด้านศาสนา เช่น การช่วยดูแลศาสนสถาน กิจกรรมของวัด ด้านการสงเคราะห์ เช่น เป็น อสม.จิ๋ว ดูแลผู้สูงอายุ ช่วยเหลือผู้พิการ ด้านโรงเรียน/ชุมชน เช่น กิจกรรมอาสาในโรงเรียน การมีส่วนช่วยกิจกรรมของชุมชน 2. แบ่งหน้าที่ตามชั้นเรียน ประชาสัมพันธ์หรือสื่อสารให้เด็กได้ทราบ 3. ประเมินผลโดยติดตามผลการทำงานของเด็ก และสอบถามจากผู้รับ บริการ ตัวอย่าง การจัดกิจกรรมจิตอาสาเดือนมิถุนายน ของโรงเรียนประถมศึกษาแห่งหนึ่ง จัดกลุ่มรับผิดชอบงานตามระดับชั้น ป.1 - ป.3 และ ป.4 - ป.6 ดังนี้ ป.1 - ป.3 เก็บขยะบริเวณรอบอาคารเรียน (มิ.ย. ทุกวัน) ป.1 - ป.3 ช่วยกิจกรรมงานวัดข้างโรงเรียน (ตลอดปีตามเทศกาล) ป.4 - ป.6 ดูแลเด็กพิการที่บ้านพักเด็ก (เดือนละ 1 ครั้งตลอดปี ) ป.4 - ป.6 ดูแลผู้สูงอายุติดเตียงที่บ้าน (สัปดาห์ละครั้งตลอดปี)
เวทีคนดี คนเก่ง 28 เป็นการเปิดโอกาสให้เด็กทุกคน ทุกชั้นเรียน หมุนเวียนกันแสดง ความคิดสร้างสรรค์ที่มีตามสาระความรู้ที่ครูสอน เพื่อให้เพื่อนๆ ในโรงเรียน ทุกชั้น ได้ชมบนเวทีกลางของโรงเรียนในช่วงพักกลางวัน โดยเด็กได้รับ มอบหมายให้แสดงความคิดสร้างสรรค์หรือผลงานของตนเป็นรายบุคคล หรือกลุ่มก็ได้ เด็กทุกคนที่มาร่วมแสดงจะได้รับของขวัญเล็กๆ น้อยๆ จากครูเป็นการตอบแทน กิจกรรมนี้ช่วยเสริมประสบการณ์ด้านอีคิวให้เด็กในด้านดีคือความรับ ผิดชอบ การทำงานเป็นทีมร่วมกับผู้อื่น ด้านเก่งคือการคิดแก้ไขปัญหาและ ปรับตัว ด้านสุขคือการสร้างความภาคภูมิใจให้กับตนเอง วัตถุประสงค์ 1. เพื่อส่งเสริมทักษะความคิดสร้างสรรค์และกล้าแสดงออกของเด็ก 2. เพื่อให้เด็กเกิดความภาคภูมิใจในตัวเอง กลุ่มเป้าหมาย เด็กประถมศึกษาปีที่ 1-6 เป็นรายบุคคลหรือเป็นทีม หมุนเวียนกันจนครบ ทุกห้อง อุปกรณ์ - อุปกรณ์ประกอบการแสดงของเด็ก - รางวัลเล็กๆน้อยๆ จากกลุ่มสาระการเรียน เพื่อเป็นกำลังใจแก่เด็กทุกคน ที่มาแสดง โดยรางวัล จะเป็นชื่อต่างๆ กัน เช่น ขวัญใจเพื่อนๆ จิ๋วแต่แจ๋ว ระยะเวลา - จัดช่วงพักกลางวันประมาณ 30 นาที ทุกวัน ตลอดปีการศึกษา สถานที่ -เวทีกลางของโรงเรียนที่เด็กทุกคนสามารถเข้ามานั่งร่วมชมได้
ขั้นตอนกิจกรรม 29 1. ครูกลุ่มสาระ ประชุมร่วมกันเพื่อวางแผนเตรียมกิจกรรม เวทีคนดีคนเก่ง และร่วมกันกำหนดตารางการแสดงว่าวันไหนเป็นของกลุ่มสาระใด ชั้นอะไร 2. ครูมอบหมายเด็กแต่ละห้องคิดกิจกรรมที่น่าสนใจ แปลกใหม่ ตามสาระวิชา เพื่อให้เด็กคนอื่นได้เรียนรู้และได้ความสนุกสนาน กิจกรรมจัดบนเวทีกลางของ โรงเรียนหมุนเวียนกันไปจนครบทุกห้องของประถมศึกษาปีที่ 1-6 โดยเด็กต้องนำ เสนอกิจกรรมให้ครูกลุ่มสาระที่รับผิดชอบดูล่วงหน้าก่อนขึ้นเวที 3. กิจกรรมที่เด็กคิดขึ้นมาต้องเป็นกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับสาระการเรียนรู้ และอาจให้เด็กที่มาชมร่วมสนุกด้วย ทั้งนี้มีข้อห้ามในการแสดง 2 ข้อคือห้ามเด็ก พูดคำหยาบ ถ้อยคำที่ว่ากล่าวคนอื่นและกิจกรรมต้องไม่เป็นอันตราย 4. ตัวอย่างกิจกรรม - ภาษาไทย: เกมใบ้คำ สุภาษิต/คำทั่วไป/คำประสม - คณิตศาสตร์: คณิตคิดเร็ว โจทย์ปัญหาสั้นๆ - วิทยาศาสตร์: Science show การทดลองบนเวทีประกอบละคร - สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม: เต้นประกอบเพลงอาเซียน - สุขศึกษาและพลศึกษา : แอโรบิคประกอบฮูลาธูป - ศิลปะ: รำไทย/ดนตรีไทย - การงานอาชีพและเทคโนโลยี: ละครสั้นเกี่ยวกับการประกอบอาหาร - ภาษาอังกฤษ: ละครเวทีการสนทนาภาษาอังกฤษ/เกมแข่งขันสะกดคำ 5. จบการแสดงแล้ว ครูมอบรางวัลเล็กๆ น้อยๆ เป็นกำลังใจแก่ผู้แสดง 6. ประเมินผลจากการสอบถามความรู้สึกของเด็กที่มาร่วมการแสดงและที่เป็น ผู้ชม เพื่อนำข้อมูลมาปรับปรุงกิจกรรม เวทีคนดีคนเก่ง ให้น่าสนใจมากขึ้น
ฝึกสมาธิก่อนเรียน 30 การมีสมาธิที่ดีแน่วแน่ เป็นเครื่องมือสำคัญของการเรียนรู้และเป็นการผ่อน คลายจิตใจทำให้มีความสงบสุขในชีวิตการมีสมาธิที่ดีเกิดจากการฝึกฝนเป็นประจำ เมื่อเด็กทำได้เด็กก็จะไปประยุกต์ใช้กับการเรียนในห้องเรียน ดูหนังสือที่บ้าน และหากฝึกบ่อยๆ เด็กก็จะเรียนรู้เป็นอัตโนมัติว่าเมื่อเริ่มชั่วโมงเรียนเด็กต้องนิ่ง และมีสมาธิ รับฟังเรื่องราวที่คุณครูสอน ทำให้เป็นประโยชน์กับการเรียนการสอน และเด็กจะรู้จักรวบรวมจิตใจ สามารถควบคุมอารมณ์และความต้องการของตัว เอง ทำจิตใจให้สงบท่ามกลางความสับสนวุ่นวายได้ เป็นเด็กที่มีอีคิวดี เก่งและมี จิตใจที่สงบสุข วัตถุประสงค์เพื่อให้ - เด็กมีสมาธิในการเรียนมากขึ้น และมีจิตใจที่สงบ กลุ่มเป้าหมาย - เด็กประถมศึกษาทุกชั้นเรียน อุปกรณ์ - ระยะเวลา - เวลา : ประมาณ 5-10 นาทีในช่วงก่อนเริ่มเรียนหนังสือแต่ละวัน/หรือทุกวิชา ทุกวัน ตลอดปี สถานที่ - ห้องเรียน ขั้นตอนกิจกรรม 1. ในช่วงระยะแรกฝึก : ครูให้เด็กนั่งพิงเก้าอี้ วางมือบนตัก นิ่งเงียบ และหลับตา 2. ครูนำให้เด็กฝึกหายใจอย่างถูกต้องให้เด็กค่อยๆหายใจเข้ายาวๆ ท้องพอง หายใจออกท้องแฟบ 3. ครูนับ 1 หายใจเข้า นับ 2 หายใจออก นับ 3 หายใจเข้า นับ 4 หายใจออก 4. เด็กชั้นโตขึ้นให้นับนานขึ้น (นอกห้องเรียนอาจมีเสียงรบกวน ให้เด็กสนใจ เฉพาะแต่ลมหายใจเข้าออกของตัวเอง) ครูสังเกตให้เด็กได้ทำตามพร้อมกันทุกคน 5. ถ้าฝึกนานๆ เด็กมีสมาธิมากขึ้นเด็กสามารถติดตามลมหายใจได้เอง ครูไม่ต้อง นับ เพียงแต่บอกว่า \"นักเรียนนั่งสมาธิ 5 นาที\" 6. ติดตามผลการฝึกสมาธิและการเรียนในห้องเรียน เพื่อปรับปรุงและขยายผล
เอกสารอ้างอิง 31 สำนักส่งเสริมและพัฒนาสุขภาพจิต กรมสุขภาพจิต. (สิงหาคม 2565). คู่มือจัดกิจกรรมเสริมสร้างอีคิว นักเรียนสำหรับครูโรงเรียนประถมศึกษา. (สืบค้นเมื่อ 19 ธันวาคม 2565), จาก http://learning.heroapp.in.th/sites/default/files/ 2020-11/5-5954-1487572581.pdf/. โครงการ TO BE NUMBER ONE ในทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราช กัญญา สิริวัฒนาพรรณวดีกรมสุขภาพจิต กระทรวงสารารณสุข. (2558). คู่มือการ จัดกิจกรรม \"ฝึกคิดแก้ปัญหา พัฒนา EQ\". (สืบค้นเมื่อ 22 ธันวาคม 2565), จาก https://shorturl.asia/4wkFl
32 ภาคผนวก
33 แบบประเมินความฉลาดทางอารมณ์เด็ก อายุ 6-11 ปี (ฉบับย่อ)
34แบบประเมินความฉลาดทางอารมณ์เด็ก อายุ 6-11 ปี (ฉบับย่อ) ไม่เคย เป็นบาง เป็นบ่อย เป็น คะแนน เลย ครั้ง ครั้ง ประจำ 1.ดี 1 รู้จักให้กำลังใจผู้อื่น 2 รู้จักรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น 3 ชอบแกล้งเพื่อน 4 ยอมรับเมื่อทำผิด เช่น ขอโทษหรือยกมือไหว้ 5 ทักทายหรือทำความรู้จักกับเพื่อนใหม่ 2.เก่ง 6 มีความตั้งใจเมื่อทำสิ่งต่างๆ ที่สนใจ 7 พยายามทำงานที่ยากให้สำเร็จได้ด้วยตนเอง เช่น การบ้าน การฝีมือ 8 ท้อใจหรือล้มเลิกความตั้งใจเมื่อทำงานไม่สำเร็จ หรือเมื่อ มีปัญหา 9 รู้จักรอคอยเวลาที่เหมาะสมในการแก้ปัญหา เช่น เมื่อไม่ได้ในสิ่ง ที่ต้องการ 10 เมื่อมีปัญหาชอบคิดหาวิธีแก้ปัญหาหลายอย่างๆทาง 3. สุข 11 ภูมิใจในจุดดีของตนเอง 12 มีอารมณ์ขัน 13 ทำกิจกรรมสร้างสุขให้ตนเองได้อย่างเหมาะสม 14 มีวิธีผ่อนคลายความเครียดด้วยตนเอง เช่น อ่านหนังสือ ดูหนัง ฟังเพลง เล่นสนุก วาดรูป พูดคุยกับเพื่อน 15 เป็นเด็กอารมณ์ดี รวม
การให้คะแนน แบ่งเป็น 2 กลุ่ม 35 กลุ่มที่ 1 ให้คะแนนแต่ละข้อดังนี้ ไม่เป็นเลย ให้ 1 คะแนน เป็นบางครั้ง ให้ 2 คะแนน เป็นบ่อยครั้ง ให้ 3 คะแนน เป็นประจำ ให้ 4 คะแนน ข้อ 1 2 4 5 6 7 9 10 11 12 13 14 15 กลุ่มที่ 2 ให้คะแนนแต่ละข้อดังนี้ ไม่เป็นเลย ให้ 4 คะแนน 3 คะแนน เป็นบางครั้ง ให้ 2 คะแนน 1 คะแนน เป็นบ่อยครั้ง ให้ เป็นประจำ ให้ ข้อ 3 และ 8
การแปลผล 36 คะแนนเทียบกับเกณฑ์ปกติ องค์ประกอบ ต่ำกว่าเกณฑ์ ปกติ สูงกว่าปกติ ปกติ ด้านดี (คะแนนเต็ม 20 คะแนน) 1-12 13-19 20 ด้านเก่ง 1-12 13-18 19-20 (คะแนนเต็ม 20 คะแนน) 1-13 14-19 20 ด้านสุข (คะแนนเต็ม 20 คะแนน) 1-40 41-55 56-60 ความฉลาดทาง อารมณ์(EQ) (คะแนนเต็ม 60 คะแนน) เด็กที่มีความฉลาดทางอารมณ์สูงกว่าปกติ ควรส่งเสริมและรักษาคุณลักษณะนี้ ให้คงไว้ เด็กที่มีความฉลาดทางอารมณ์ปกติ เด็กควรได้รับการพัฒนาความฉลาดทาง อารมณ์ในด้านนั้นๆ ให้ดียิ่งขึ้นผู้ใหญ่ควรร่วมกันส่งเสริมให้เด็กมีความฉลาด ทางอารมณ์ในต้านนั้นๆ อย่างต่อเนื่อง เด็กที่มีความฉลาดทางอารมณ์ระดับที่ควรได้รับการพัฒนา ควรได้รับการประเมินซ้ำด้วยแบบประเมินความฉลาดทางอารมณ์ฉบับสมบูรณ์ ชุด 55 ข้อเพื่อความชัดเจนในการแก้ไขปัญหาความฉลาดทางอารมณ์และต้อง ได้รับการเอาใจใส่พัฒนาความฉลาดทางอารมณ์อย่างสม่ำเสมอและจริงจัง
37
38
การให้คะแนน แบ่งเป็น 2 กลุ่ม 39 กลุ่มที่ 1 ให้คะแนนแต่ละข้อดังนี้ ไม่เป็นเลย ให้ 1 คะแนน เป็นบางครั้ง ให้ 2 คะแนน เป็นบ่อยครั้ง ให้ 3 คะแนน เป็นประจำ ให้ 4 คะแนน กลุ่มที่ 1 ได้แก่ข้อ 1 2 3 7 8 9 10 11 12 14 15 16 17 18 19 21 22 23 24 25 26 27 30 31 32 33 34 35 36 37 38 39 43 44 45 46 49 50 51 55 56 57 28 59 60 กลุ่มที่ 2 ให้คะแนนแต่ละข้อดังนี้ ไม่เป็นเลย ให้ 4 คะแนน 3 คะแนน เป็นบางครั้ง ให้ 2 คะแนน 1 คะแนน เป็นบ่อยครั้ง ให้ เป็นประจำ ให้ กลุ่มที่ 2 ได้แก่ข้อ 4 5 6 13 20 28 29 40 41 42 47 48 52 53 54
การแปลผล 40 1. รวมคะแนนในแต่ละด้านย่อย คือ การรวมคะแนน ข้อ 1-7 ด้าน ด้านย่อย ข้อ 8-16 1.1 ควบคุมอารมณ์ ข้อ 17-23 ดี 1.2 ใส่ใจและเข้าใจอารมร์ผู้อื่น ข้อ 24-30 1.3 ยอมรับผิดถูก ข้อ 31-36 2.1 มุ่งมั่นพยายาม ข้อ 37-42 ข้อ 43-48 เก่ง 2.2 ปรับตัวต่อปัญหา ข้อ 49-54 2.3 กล้าแสดงออก ข้อ 58-60 3.1 พอใจในตนเอง สุข 3.2 รู้จักปรับใจ 3.3 รู้จักปรับตัวรื่นเริงเบิกบาน 2. นำคะแนนที่ได้ไปแปลงเป็นคะแนนมาตรฐาน คะแนน ( T - Score) ตามตารางเปรียบเทียบคะแนนที่ได้กับเกณฑ์ปกติคะแนนที (T - Score Norms ) ของความฉลาดทางอารมณ์แต่ละด้าน 3. กรอกคะแนนทีที่ได้ลงในตารางข้างล่าง ให้สอดคล้องกับช่วงเกณฑ์ คะแนนทีที่กำหนด 4. คิดคะแนนความฉลาดทางอารมณ์รวมโดยนำคะแนนทีทั้ง 9 ด้าน มารวมกันแล้วหารด้วย 9 (คะแนนทีข้อ 1.1 + 1.2+ 1.3 + 2.1 + 2.2 + 2.3 + 3.1 +3.2 + 3.3) + 9 แล้วกรอกคะแนนลงในตารางการแปลผลตารางการแปลผลคะแนนความฉลาด ทางอารมณ์ของเด็กอายุ 6-11 ปี ฉบับครู/ผู้ดูแลเด็ก
41 ตารางการแปลผลคะแนนความฉลาดทางอารมณ์ของ เด็กอายุ 6-11 ปี สำหรับครู/ผู้ดูแลเด็ก 1.ดี 2.เก่ง 3.สุข ความฉลาด เกณฑ์คะแนนที (T-Score Norms) ทางอารมณ์ คะแนน รวมคะแนน (คะแนนรวม 1.1 1.2 1.3 2.1 2.2 2.3 3.1 3.2 3.3 ทุกด้านหาร 9) 50-100 40-49 0-39 เกณฑ์คะแนนที่ คือเกณฑ์ที่ทำให้ทราบว่าเด็กมีระดับพัฒนาการความฉลาดทาง อารมณ์อยู่ในระดับใด มีความจำเป็นต้อง ได้รับการพัฒนาความฉลาดทางอารมณ์ในด้าน นั้น ๆ มากน้อยเพียงใด เกณฑ์คะแนนที่ ตั้งแต่ 50 ขึ้นไป บ่งบอกว่าเด็กมีความฉลาดทางอารมณ์อยู่ใน เกณฑ์ที่ดี ควรส่งเสริมและรักษาคุณลักษณะ นี้ให้คงไว้ เกณฑ์คะแนนที่ 40-49 บ่งบอกว่าเด็กควรได้รับการพัฒนาความฉลาดทางอารมณ์ ในด้านนั้นๆ ให้ดียิ่งขึ้น ผู้ใหญ่ควร ร่วมกันส่งเสริมให้เด็กมีความฉลาดทางอารมณ์ในด้าน นั้นๆ อย่างต่อเนื่อง เกณฑ์คะแนนที่ต่ำกว่า 40 คะแนน บ่งบอกว่าเด็กจำเป็นต้องได้รับการพัฒนาความ ฉลาดทางอารมณ์ในด้านนั้นๆ ให้ดี ยิ่งขึ้น ผู้ใหญ่จำเป็นต้องช่วยกันเอาใจใส่พัฒนาความ ฉลาดทางอารมณ์เด็กอย่างจริงจังและสม่ำเสมอ
Search
Read the Text Version
- 1 - 47
Pages: