10/12/2561 [สรุปหนังสือ] Sapiens : A Brief History of Humankind – Panasm's Blog Sapiens : A Brief History of Humankind (2014) by Yuval Noah Harari “You could never convince a monkey to give you a banana by promising him limitless bananas after death in monkey heaven.” 13.5 พันล ้านปีก่อน เหตุการณ์ระเบิดครั งใหญ่ (Big Bang) ได ้ก่อกําเนิดองค์ประกอบที สําคัญของจักรวาล ทั ง สสาร พลังงาน เวลาและห ้วงอวกาศ http://www.panasm.com/%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%B7%E0%B8%AD-sapiens/ 1/15
10/12/2561 [สรุปหนังสือ] Sapiens : A Brief History of Humankind – Panasm's Blog 3.8 พันล ้านปีก่อน สิ งมีชีวิตก็ได ้เริ มถือกําเนิดขึ นในดาวดวงหนึ งในระบบสุริยะที มีชื อว่า “โลก” 2.5 ล ้านปีก่อน สิ งมีชีวิตที มีความคล ้ายคลึงกับ “มนุษย์” สายพันธุ์ในปัจจุบันก็ได ้ถือกําเนิดขึ น 10,000 ปีก่อน Homo Sapiens คือ มนุษย์สายพันธุ์เดียวที ยังคงเหลือรอดอยู่ในโลก Sapiens : A Brief History of Humankind นําเสนอเรื องราวประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติผ่านการปฏิวัติ ที สําคัญ 3 ครั ง ได ้แก่ การปฏิวัติทางความตระหนักรู้ที ส่งเสริมให ้มนุษย์กลายเป็นสัตว์สังคมที มีสติปัญญา มากกว่าสิ งมีชีวิตทุกชนิดบนโลก การปฏิวัติทางการเกษตรกรรมที ส่งผลให ้เกิดการเปลี ยนแปลงโครงสร ้าง ทางสังคมมนุษย์จากป่ าสู่เมืองและการปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์ที เป็นจุดเริ มต ้นของการพัฒนาการแบบก ้าว กระโดดของมนุษยชาติในปัจจุบัน ผู้เขียน Yuval Noah Harari (ขอบคุณภาพจาก TED) Part One – The Cognitive Revolution Chapter 1 : An Animal of No Significance http://www.panasm.com/%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%B7%E0%B8%AD-sapiens/ 2/15
10/12/2561 [สรุปหนังสือ] Sapiens : A Brief History of Humankind – Panasm's Blog Homo Sapiens คือชื อทางวิทยาศาตร์ที ประกอบด ้วย 2 องค์ประกอบ ได ้แก่ genus (สกุล) ชื อ Homo ที แปลว่า “มนุษย์” และ species (ชนิด) ชื อ Sapiens ที มีความหมายว่า “ฉลาด” และ Homo Sapiens นั น ถือเป็นสิ งมีชีวิตใน Family (วงศ์) กลุ่ม the great ape ซึ งเป็นตระกูลด ้วยกับลิงชิมแปนซี กอริลล่าและลิง อุรังอุตัง มนุษย์ (Human) มีความหมายว่า “สิ งมีชีวิตในสกุล Homo” นั นไม่ได ้มีเพียงแค่ Sapiens ชนิดเดียว เมื อ 2.5 ล ้านปีก่อน วานรสามารถวิวัฒนาการกลายมาเป็นมนุษย์ได ้สําเร็จในทวีปแอฟริกาตะวันออก ซึ งต่อมา “มนุษย์” เหล่านั นก็ได ้เริ มเดินทางออกไปตั งถิ นฐานตามทวีปต่างๆซึ งมีภูมิอากาศที แตกต่างกันไปจนส่ง ผลให ้เกิดการวิวัฒนาการสายพันธุ์ของมนุษย์ที เหมาะสมกับภูมิอากาศนั นๆ เช่น Homo Neanderthalensis หรือ “Neanderthals” ที มีร่างกายที ใหญ่โตแข็งแรงสําหรับการอยู่อาศัยในภูมิอากาศ หนาวอย่างทวีปยุโรปและเอเชียตะวันตก ตลอดระยะเวลาหลายล ้านปีจนกระทั งถึงประมาณเมื อ 10,000 ปี ก่อน โลกไม่ได ้มีมนุษย์เพียงแค่สายพันธุ์เดียวเหมือนในปัจจุบันนี ที มีเพียง Homo Sapiens เท่านั นที ยัง คงเหลือรอดอยู่และเกือบตลอดระยะเวลาการดํารงอยู่ มนุษย์เป็นเพียง “สิ งมีชีวิตธรรมดา” ที ไม่ได ้ส่งผลก ระทบอะไรต่อสิ งแวดล ้อมอย่างมีนัยสําคัญ Homo (มนุษย์) หลากหลายสปีชี ส์นั นมีหลายองค์ประกอบที เหมือนกัน อาทิ สมองขนาดใหญ่ (ที ช่วย เสริมสร ้างความคิดที ซับซ ้ อนมากขึ นแต่ขณะเดียวกันก็กินพลังงานมากกว่าสัตว์ชนิดอื น) การยืนบนสองขา ที ช่วยปลดปล่อย “มือ” สําหรับใช ้ ทํากิจกรรมอื นๆได ้ (แต่ก็ทําให ้โครงสร ้างร่างกายมีจุดบกพร่องโดย เฉพาะเพศหญิงที ต ้องให ้กําเนิดลูกเร็วขึ นอันเป็นเหตุให ้ลูกของมนุษย์ต ้องได ้รับการเลี ยงดูอีกหลายปีกว่า จะเริ มพึ งพาตัวเองได ้) และการอยู่ร่วมกันเป็นสัตว์สังคม แต่กระนั น เกือบตลอดระยะเวลา 2 ล ้านปี มนุษย์ กลับกลายเป็นเพียงสิ งมีชีวิตระดับกลางในห่วงโซ่อาหาร พวกเขาไม่มีกําลังมากพอที จะต่อสู ้ กับนักล่าชั น สูงได ้และนักโบราณคดีเชื อว่ามนุษย์ริเริ มใช ้ หินครั งแรกสําหรับการกระแทกกระดูกเพื อกินไขสันหลังจาก ซากสัตว์ หนึ งในปัจจัยสําคัญที ผลักดันพัฒนาการของมนุษย์ก็คือ “ไฟ” ที มนุษย์หลากสปีชี ส์เริ มนํามาใช ้ งานตั งแต่ ประมาณ 800,000 ปีก่อน ไฟช่วยให ้มนุษย์สร ้าง “พลังงาน” ของตัวเองได ้ ทั งการให ้แสงสว่าง ความ อบอุ่น การเป็นอาวุธและการ “ปรุงอาหาร” ให ้สุก ซึ งการรับประทานอาหารที สุกแล ้วนั นส่งผลให ้ลําไส ้ ของ มนุษย์วิวัฒนาการหดสั นลง (อาหารใช ้ เวลาในการย่อยน้อยลง) ซึ งเป็นเสมือนการเพิ มช่องว่างให ้สมองที ใช ้ พลังงานสูงขยายใหญ่ขึ น Homo Sapiens ที มีรูปร่างหน้าตาเหมือนกับมนุษย์ในปัจจุบันถือกําเนิดขึ นประมาณ 150,000 ปีก่อนใน แถบทวีปแอฟริกาตะวันออก และตั งแต่ประมาณ 70,000 ปีก่อน Homo Sapiens ได ้เริ มขยายอาณาเขต เข ้าไปยังพื นที ส่วนต่างๆของโลก เริ มต ้นที ตะวันออกกลาง ยุโรป เอเชีย ออสเตรเลียและอเมริกา และ ภายในเวลา 60,000 ปี มนุษย์สายพันธุ์อื นก็สูญพันธุ์ไปจากโลกทั งหมด ทฤษฎีสําคัญที อธิบายถึงการสิ นสุดลงของมนุษย์สายพันธุ์อื น แบ่งอออกเป็น 2 ทิศทาง ได ้แก่ Interbreeding Theory ที ว่าด ้วยการผสมข ้ามสายพันธุ์ของมนุษย์เจ ้าถิ นกับ Homo Sapiens ที อาจสามารถอธิบายความแตกต่างของสีผิวของชาติพันธุ์ต่างๆของมนุษย์ในปัจจุบันได ้ (หลักฐานทาง วิทยาศาสตร์ตรวจพบ DNA ของมนุษย์สายพันธุ์อื นในปริมาณเล็กน้อยที แตกต่างกันไปตามแต่ละท ้องถิ น) และ Replacement Theory ที ว่าด ้วยการเข ้ามา “แทนที ” ของ Homo Sapiens ที มีสติปัญญาและทักษะ การอยู่รวมกันเป็นกลุ่มใหญ่มากกว่ามนุษย์สายพันธุ์อื น (ซึ งมีความเป็นไปได ้สูงมากหากเทียบกับความ รุนแรงและความขัดแย ้งของมนุษย์ต่างชาติพันธุ์ในปัจจุบัน) http://www.panasm.com/%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%B7%E0%B8%AD-sapiens/ 3/15
10/12/2561 [สรุปหนังสือ] Sapiens : A Brief History of Humankind – Panasm's Blog ลองคิดดูว่าถ ้าโลกในปัจจุบันนั นมีมนุษย์หลากหลายสายพันธุ์อาศัยอยู่ ความปั นป่ วนวุ่นวายจะเกิดขึ นมาก น้อยแค่ไหน Human หลากหลายสายพันธ์ุ (ขอบคุณภาพจาก Encyclopedia Britannica) Chapter 2 : The Tree of Knowledge ปัจจัยที ส่งผลให ้ Homo Sapiens เริ มเดินทางออกจากแอฟริกาและสามารถแย่งอาณาเขตของมนุษย์ สปีชี ส์อื นเมื อ 70,000 ปีก่อนนั นก็คือ “การปฏิวัติทางการตระหนักรู้” (cognitive revolution) ที ส่งผลให ้ Sapiens มีความคิดที ซับซ ้ อนเหมือนกับมนุษย์ปัจจุบันและยังก่อกําเนิด “ภาษา” ที ซับซ ้ อนสําหรับการ สื อสารที มีประสิทธิภาพมากยิ งขึ นด ้วย (นักโบราณคดีเชื อว่าแรกเริ มนั นภาษานั นเกิดขึ นเพื อให ้มนุษย์ gossip กันได ้สะดวกมากขึ น อาจฟังดูตลก แต่การนินทาชาวบ ้านถือเป็นการสร ้างความสัมพันธ์ที แน่นแฟ้นระหว่างมนุษย์กลุ่มใหญ่ได ้อย่างดีเลยทีเดียว) ความพิเศษอย่างหนึ งของ Sapiens ก็คือการใช ้ ภาษาในการบอกเล่าถึง “เรื องแต่งที พัฒนากลายมาเป็น ความเชื อ” หรือ imagined reality อาทิ ตํานาน เทพเจ ้า ภูติผีปีศาจ หลักมนุษยธรรม กฎหมายหรือแม ้ กระทั งการมีอยู่ขององค์กรขนาดใหญ่และประเทศชาติ อันส่งผลให ้ Sapiens สามารถอยู่อาศัยและทํา กิจกรรมร่วมกันเป็นกลุ่มใหญ่ที มีความเชื อเดียวกันได ้ (นักวิจัยเชื อว่าหากไม่มีความเชื อ สิ งมีชีวิตต่างๆจะ ไม่สามารถอยู่รวมกันเป็นกลุ่มที มีขนาดเกิน 150 คนได ้) อาทิ การต ้อนฝูงสัตว์ไปยังบริเวณช่องแคบเพื อ การล่าที มีประสิทธิภาพสูง Imagined reality ทําให ้ Sapiens สามารถ “วิวัฒนาการ” ทางความคิดได ้โดยไม่ต ้องอาศัยการ วิวัฒนาการของยีนส์อีกต่อไปและนั นคือจุดเริ มต ้นของการ “ก ้าวกระโดด” ครั งใหญ่ของมนุษยชาติ http://www.panasm.com/%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%B7%E0%B8%AD-sapiens/ 4/15
10/12/2561 [สรุปหนังสือ] Sapiens : A Brief History of Humankind – Panasm's Blog Animism หรือ ลัทธิที เชื อว่าทุกสิ งรอบกายมนุษย์ล ้วนมีชีวิต (ขอบคุณภาพจาก Haiku Deck) Chapter 3 : A Day in Life of Adam and Eve เกือบทั งหมดของการดํารงอยู่ของเผ่าพันธุ์ วิถีชีวิตของ Sapiens คือการเป็นนักล่าและนักหาของป่ า (นัก วิทยาศาสตร์เชื อว่าสัญชาตญาณของมนุษย์ในปัจจุบันได ้รับอิทธิพลจากมนุษย์ในยุคนั นแบบเต็มๆ) และ สิ งหนึ งที เป็นเอกลักษณ์ของมนุษย์ในยุคนี คือ “ความแตกต่าง” ระหว่างเผ่าพันธุ์ ทั ง ศาสนา ความเชื อและ ระบบการปกครอง ชีวิตความเป็นอยู่ของ Sapiens ในยุคล่าสัตว์นั นอาจเรียกได ้ว่า “สมบูรณ์” กว่ามนุษย์โดยเฉลี ยในปัจจุบัน ก็ว่าได ้ อาทิ เวลาทํางานออกหาของป่ าเพียงไม่กี ชั วโมงต่อวัน สุขภาพร่างกายที แข็งแรงกว่าจากการกิน เนื อสัตว์กับผลไม ้ที มีความหลากหลาย รวมไปถึงการมีองค์ความรู้และประสาทสัมผัสสําหรับการอยู่รอดที เหนือกว่ามนุษย์ปัจจุบันมาก http://www.panasm.com/%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%B7%E0%B8%AD-sapiens/ 5/15
10/12/2561 [สรุปหนังสือ] Sapiens : A Brief History of Humankind – Panasm's Blog แต่เอาจริงๆแล ้ว หลักฐานทางโบราณคดีในปัจจุบันก็ยังไม่สามารถบอกได ้อย่างชัดเจนถึง “พฤติกรรม” ของ Sapiens ในยุคก่อนการปฏิวัติทางเกษตรกรรม พวกเรารู้เพียงแค่ว่า “การกระทํา” ของพวกเขานั น “สําคัญ” และส่งผลถึงโลกของเราในปัจจุบัน Chapter 4 : The Flood เหตุการณ์ที แสดงถึงพลังอํานาจอันมหาศาลของ Sapiens ที มีผลต่อสิ งมีชีวิตชนิดอื นก็คือ การเดินทาง ข ้ามมหาสมุทรจากถิ นที อยู่ในแถบแอฟริกา-เอเชียไปยัง “ออสเตรเลีย” เมื อ 45,000 ปีก่อนทางเรือ เหตุการณ์นี คือ “การรบกวนครั งแรก” ของระบบนิเวศน์ในเกาะแบบปิดอันเต็มไปด ้วยสัตว์เลี ยงลูกด ้วยนม ชนิด marsupials (สัตว์ที มีถุงหน้าท ้องสําหรับเลี ยงลูกที คลอดในระยะเวลาสั น ex. จิงโจ ้ โคอาล่า) ใน รอบหลายล ้านปี ซึ งส่งผลให ้เกิดการสูญพันธุ์ของสัตว์จํานวนมากอย่างรวดเร็วโดยเฉพาะสัตว์ขนาดใหญ่ (megafauna) ต่อมาเมื อ 16,000 ปีก่อน Sapiens จากทวีปเอเชียก็ได ้ออกเดินทางด ้วยเท ้าท่ามกลางความเหน็บหนาว ของไซบีเรียเข ้าไปยังทวีปอเมริกาที เชื อมต่อกันด ้วยนํ าแข็ง (เหตุผลของการเดินทางไปยังชั วโลกนั นน่า จะเพื อล่า “แมมมอธ” และสัตว์ขนาดใหญ่ที ให ้ทั งเนื อที สามารถแช่แข็งเก็บไว ้ได ้ หนังขนาดใหญ่และ งาช ้ าง) และภายใน 6,000 ปี Sapiens ก็สามารถครอบครองพื นที ทั วทั งทวีปอเมริกาเหนือและใต ้ได ้ สําเร็จ และแน่นอนว่าไม่กี พันปีหลังจากการตั งถิ นฐาน สัตว์ขนาดใหญ่ อาทิ แมมมอธ สลอธยักษ์และเสือ เขี ยวดาบต่างก็ได ้สูญพันธุ์ไปในเวลาไม่นาน และอีกไม่นาน การ “สูญพันธุ์” ครั งใหม่ก็จะถือกําเนิดขึ นอีกครั งโดยฝีมือของมนุษย์ในปัจจุบันหากพวกเรา ยังคงมุ่งหน้าทําลายล ้างสิ งแวดล ้อมในอัตราที เป็นอยู่ http://www.panasm.com/%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%B7%E0%B8%AD-sapiens/ 6/15
10/12/2561 [สรุปหนังสือ] Sapiens : A Brief History of Humankind – Panasm's Blog เส ้ นทางการอพยพของ Homo Sapiens (ขอบคุณภาพจาก Wikimedia Commons) Part Two – The Agricultural Revolution Chapter 5 : History’s Biggest Fraud ประมาณ 12,000 ปีก่อน Sapiens ในแถบตะวันออกกลาง จีนและอเมริกากลางเป็นกลุ่มแรกที ริเริ ม “การ ปฏิวัติทางเกษตรกรรม” ด ้วยการเริ มปลูกพืชพันธุ์และนําสัตว์ป่ ามาเป็นสัตว์เลี ยง เหตุผลที มนุษย์ในพื นที เหล่านี สามารถคิดค ้นการเกษตรกรรมได ้ก่อนนั นมีความเป็นไปได ้ที จะเกิดขึ นจากลักษณะของพืชและสัตว์ ในท ้องถิ นที สามารถนํามาให ้ “เชื อง” ได ้ (คงไม่มีใครทําฟาร์มช ้ างแมมมอธได ้ในสมัยนั น) กว่า 90% ของ วัตถุดิบที มนุษย์รับประทานเป็นอาหารในปัจจุบันนั นได ้รับการสืบทอดมาตั งแต่ช่วงปี 9500 BC ถึง 3500 BC การปฏิวัติทางเกษตรกรรมนั นเป็นปัจจัยหลักของความก ้าวหน้าไปอีกขั นของ Sapiens ผ่านการเพิ มขึ น ของผลผลิตทางอาหารของมนุษย์ซึ งส่งอิทธิพลให ้จํานวนประชากรของมนุษย์เพิ มสูงขึ นอย่างรวดเร็ว (ซึ ง ย ้อนกลับมาทําให ้ผลผลิตทางการเกษตรไม่เพียงพอต่อความต ้องการซักที) แต่ถึงกระนั น ในยุคสมัยแรก เริ ม Sapiens ต่างหากที เป็นฝ่ าย “ถูกทําให ้เชื อง” เสียเอง ทั งจากการที ต ้องทุ่มเทเวลาและแรงกายไปกับ การเพาะปลูกข ้าวสาลีหรือมันฝรั งตั งแต่เช ้ าจดเย็น ปัญหาความขาดแคลนอาหารจากภัยแร ้งและโรค ระบาด และการต่อสู ้ ระหว่างเผ่าพันธุ์ที เข ้มข ้นมากขึ น (เพราะย ้ายหนีจากฟาร์มของตัวเองไม่ได ้แล ้ว) แล ้วทําไม Sapiens ถึงเลือกที จะก ้าวเข ้าสู่ยุคที พวกเขา “ลําบาก” กว่าเดิม คําตอบก็คือ การเกษตรกรรม คือ “กับดัก” ที ค่อยๆเปลี ยนแปลงพฤติกรรมมนุษย์ในหลายช่วงอายุคน ตั งแต่เริ มเพาะปลูกแบบชั วคราว จนกระทั งมนุษย์หันมาตั งถิ นฐานถาวรแทน การเปลี ยนแปลงนั นใช ้ เวลายาวนานมากจนมนุษย์ไม่สามารถ นึกย ้อนกลับไปถึงตอนที พวกเขาออกล่าสัตว์ได ้อีกแล ้ว และเมื อประชากรมนุษย์มีจํานวนเพิ มมากขึ น มนุษย์กลุ่มที ทําการเกษตรก็สามารถขับไล่กลุ่มที ยังคงออกล่าสัตว์ได ้อย่างง่ายดาย มนุษย์กลุ่มที เหลือก็ จะถูกบังคับให ้เปลี ยนพฤติกรรมมาทําการเกษตรไปโดยปริยาย และผลลัพธ์ที ตามมาก็คือการเพิ มจํานวนขึ นของ “ผู้เคราะห์ร ้าย” อย่าง ไก่ หมู วัวและแกะ ที ถึงแม ้จะมี จํานวนเพิ มขึ นอย่างรวดเร็วด ้วยผลพวงของการเกษตร คุณภาพชีวิตของสิ งมีชีวิตเหล่านี กลับเข ้าขั นเลว ร ้ายที สุด Chapter 6 : Building Pyramids Sapiens ในยุคเกษตรกรรมเริ มขยายจํานวนประชากรอย่างรวดเร็วพร ้อมๆกับการเริ มเกิดขึ นของชุมชน ขนาดใหญ่ที ขยายขอบเขตกว ้างไกลขึ นเรื อยๆ จนเป็นที มาของมหาอํานาจอย่าง อาณาจักรอียิปต์แห่งลุ่ม แม่นํ าไนล์ ราชวงศ์ฉินผู้รวมชาติจีนและอาณาจักรโรมันแห่งเมดิเตอร์เรเนียน http://www.panasm.com/%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%B7%E0%B8%AD-sapiens/ 7/15
10/12/2561 [สรุปหนังสือ] Sapiens : A Brief History of Humankind – Panasm's Blog ผลที ตามมาของการเพิ มจํานวนประชากรในสังคมมนุษย์อย่างรวดเร็วก็คือ การเกิดขึ นของ “ระเบียบการ ปกครอง” ซึ งทําหน้าที กําหนดโครงสร ้าง กฎระเบียบและค่านิยมของสังคมมนุษย์ที มีขนาดใหญ่มากขึ น กว่าสมัยก่อนมาก ถึงแม ้ระเบียบต่างๆนี จะเป็นสิ งที มนุษย์สร ้างขึ นมาเองทั งนั น (imagined order) ไม่ว่าจะ เป็น “พระเจ ้ามีอยู่จริง” “ทําชั วจะตกนรก” “ฆ่าคนตายต ้องได ้รับโทษประหาร” หรือ “มนุษย์ทุกคนเกิดมา เท่าเทียมกัน” แต่พวกเราต่างก็เชื อมั นในระบบเหล่านี และความเชื อที เกิดขึ นจากคนส่วนใหญ่ในสังคมนี เองที ช่วยให ้พวกเราอาศัยอยู่ร่วมกันได ้อย่างมีประสิทธิภาพ Voltaire กล่าวไว ้ว่า “There is no God, but don’t tell that to my servant, lest he murder me at night.” การจะสร ้างสังคมที แข็งแรงจากความเชื อที ถูกสร ้างขึ นมาโดยมนุษย์นั นนอกจากอาศัยการใช ้ กฎหมายและกําลังแล ้ว กลุ่มชนชั นปกครองส่วนใหญ่ต ้องมีความเชื อที แท ้จริงต่อระบบด ้วย (ระบบการเงิน โลกจะพังภายในวันเดียวถ ้าหากนักลงทุนหมดความเชื อมั นในระบบทุนนิยม) กฎข ้อแรกของการสร ้างความเชื อก็คือ ต ้องไม่ยอมรับว่าความเชื อนั นถูกสร ้างขึ นโดย “มนุษย์” เหมือนที คํา ประกาศอิสรภาพของอเมริกากล่าวถึงการสร ้างความเท่าเทียมกันของมนุษย์โดย “พระเจ ้า” และเมื อความ เชื อเหล่านั นได ้รับการ “สั งสอน” และ “หลอมรวม” เข ้ากับกิจวัตรประจําวันของมนุษย์อย่างสมบูรณ์ การ ถอดถอนความเชื อเหล่านั นออกจากสังคมนั นๆก็แทบจะเป็นไปไม่ได ้เลย Chapter 7 : Memory Overload สัตว์สังคมที อาศัยอยู่รวมกันเป็นกลุ่มใหญ่อย่าง “ผึ ง” นั นมีพฤติกรรมร่วมกันที ถูกกําหนดไว ้โดย DNA อย่างชัดเจน อาทิ ผึ งนางพญาทําหน้าที ออกไข่และผึ งงานทําหน้าที ออกหานํ าหวาน แต่สําหรับเหล่า Sapiens นั น พฤติกรรมส่วนใหญ่เกิดขึ นจาก “ความเชื อ” ที ถูกสร ้างขึ นเองโดยฝีมือมนุษย์และถูกกักเก็บ ไว ้ใน “สมอง” ของมนุษย์แต่ละคน และข ้อจํากัดของความทรงจําภายในสมองนี เองที ทําให ้มนุษย์ไม่สามารถอยู่ร่วมกันเป็นกลุ่มขนาดใหญ่ได ้ จนกระทั งมนุษย์ชาว Sumerians แห่งเมโสโปเตเมียได ้คิดค ้น “การเขียน” ขึ น โดยภาษาเขียนในช่วงแรก เริ มนั นมีหน้าที หลักๆในการบันทึกบัญชีแลกเปลี ยนซื อขายระหว่างชาวเมืองแต่ละคน ซึ งต่อมาไม่นาน ภาษาเขียนก็ได ้พัฒนาให ้สามารถใช ้ งานได ้เหมือนกับภาษาพูดในรูปของตัวอักษร “รูปลิ ม” หรือ Cuneiform ในช่วงประมาณปี 3000 BC และหลังจากนั นมนุษย์ก็ได ้พัฒนาภาษาที มีความหลากหลายแตกต่างกันไปตามท ้องถิ น พร ้อมๆกับการ เกิดขึ นของภาษาเฉพาะทาง (partial script) อย่าง ภาษาทางคณิตศาสตร์และภาษาคอมพิวเตอร์ http://www.panasm.com/%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%B7%E0%B8%AD-sapiens/ 8/15
10/12/2561 [สรุปหนังสือ] Sapiens : A Brief History of Humankind – Panasm's Blog อักษร Cuneiform (ขอบคุณภาพจาก British Museum) Chapter 8 : There is No Justice in History การจินตนาการ “ความเชื อ” และการคิดค ้น “ภาษา” สําหรับการสื อสารนั นเป็นจุดกําเนิดของการก่อสร ้าง “อาณาจักร” ที สามารถรวบรวมประชากรมนุษย์นับล ้านคนเข ้าไว ้ด ้วยกันอย่างสงบสุขได ้ แต่สิ งที มนุษยชาติ ต ้องสูญเสียไปเพื อแลกกับพัฒนาการครั งสําคัญนี ก็คือ “ความเท่าเทียม” ของมนุษย์แต่ละคน สังคมขนาดใหญ่ของมนุษย์ตั งแต่สมัยอดีตจนถึงปัจจุบันนั นล ้วนเต็มไปด ้วยการแบ่งแยก “ชนชั น” ระหว่าง กันอาทิ ชนชั นสูงกับไพร่ เจ ้านายกับทาส คนผิวขาวกับคนผิวสี คนรวยกับคนจน ระบบวรรณะในอินเดีย หรือแม ้กระทั งผู้ชายกับผู้หญิง (การมีพลังอํานาจที เหนือกว่าของ “เพศชาย” นั นเป็นปัญหาที สามารถพบ ได ้ทั วโลกแม ้กระทั งในยุคปัจจุบัน โดยที ยังไม่มีทฤษฎีทางชีววิทยาไหนเลยที สามารถอธิบายความไม่เท่า เทียมกันทางเพศได ้) http://www.panasm.com/%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%B7%E0%B8%AD-sapiens/ 9/15
10/12/2561 [สรุปหนังสือ] Sapiens : A Brief History of Humankind – Panasm's Blog ปัญหาความขัดแย ้งของมนุษย์นั นยังคงฝังรากลึกอยู่ในโลกปัจจุบันเพราะ “วงจร” ของโครงสร ้างทาง สังคมที คอยซํ าเติมชนกลุ่มน้อยอย่างไม่มีวันจบสิ นหากไม่ได ้รับการเปลี ยนแปลง อาทิ การกีดกันการเข ้า ถึงการศึกษาและการสร ้างค่านิยมว่าคนผิวสีมีสติปัญญาและความทะเยอทะยานที ตํ ากว่าคนผิวขาวใน สหรัฐอเมริกาอันเป็นผลให ้เกิดการแบ่งแยกสีผิวอย่างรุนแรงนานนับร ้อยปีหลังการประกาศยกเลิกระบบ ทาสในยุคของประธานาธิบดี Lincoln ซึ งปัญหาทั งหมดนี เกิดขึ นทั งๆที ในทางชีววิทยานั นพิสูจน์ไว ้อย่างชัดเจนแล ้วว่ามนุษย์ทุกคนนั นมี โครงสร ้างทางพันธุกรรมที มีความเท่าเทียมกัน “ธรรมชาติ” นั นเปิดโอกาสให ้มนุษย์ทําสิ งที ตัวเองต ้องการ ได ้สุดตามความสามารถ มีเพียงแค่ “วัฒนธรรม” ที มนุษย์สร ้างขึ นมาเองนั นแหละที คอยทําหน้าที ห ้าม ปรามพวกเราไม่ให ้ทําสิ งเหล่านั น Part Three – The Unification of Humankind Chapter 9 : The Arrow of History Sapiens ได ้สร ้าง “สัญชาตญาณ” ชนิดใหม่ที เกิดขึ นจากความเชื อที หลอมรวมเข ้ากับชีวิตประจําวันของ มนุษย์ในสังคมขนาดใหญ่อันแสนซับซ ้ อนตั งแต่เกิดจนตายอันมีชื อว่า “วัฒนธรรม” ตั งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน “การเคลื อนไหว” ของวัฒนธรรมที มีการเปลี ยนแปลงอยู่ตลอดเวลานั นมีแนวโน้ม ที ชัดเจนมากก็คือ “การรวมตัวกัน” ของมนุษยชาติ ทั งด ้านการค ้าขายกับเศรษฐกิจ ด ้านการเมืองกับการ ปกครองและด ้านศาสนากับความเชื อ Chapter 10 : The Scent of Money “Money is the most successful story ever invented and told by human because it is the only story everybody believes.” ระบบการแลกเปลี ยน (barter system) ในยุคล่าสัตว์ของ Sapiens นั นเกิดขึ นอยู่อย่างสมํ าเสมอระหว่าง ชนเผ่ากลุ่มต่างๆ แต่แล ้วการเริ มต ้นของชุมชนมนุษย์ขนาดใหญ่ที ส่งผลให ้เกิดการพัฒนางาน “เฉพาะ ทาง” ของมนุษย์แต่ละคนที ไม่จําเป็นต ้องออกเดินทางไปหาของป่ าอีกต่อไปได ้ทําให ้ระบบ barter trade นั นไร ้ประสิทธิภาพอย่างสิ นดี (ถ ้ามีของทั งหมด 1,000 ชิ น มนุษย์จะต ้องจําอัตราแลกเปลี ยนทั งหมด เกือบๆ 500,000 อัตราส่วน – ถ ้าโลกไม่มีเงิน ใครจะไปรู้ว่าการแลกเรือดํานํ าหนึ งลําด ้วยกีวี ต ้องใช ้ กีวีกี ผล) ระบบ “เงิน” เกิดขึ นจากการปฏิวัติทางความคิดครั งใหญ่ของมนุษย์ (เงินจะมี “มูลค่า” ก็ต่อเมื อกลุ่มของ มนุษย์ “เชื อมั น” ในมูลค่าของเงินร่วมกัน) เพื อทําหน้าที เป็นตัวกลางในการแลกเปลี ยนที มีประสิทธิภาพสูง สามารถเคลื อนย ้ายได ้สะดวก จัดเก็บได ้ง่ายและสามารถรักษาความมั งคั งของเจ ้าของได ้เป็นอย่างดี http://www.panasm.com/%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%B7%E0%B8%AD-sapiens/ 10/15
10/12/2561 [สรุปหนังสือ] Sapiens : A Brief History of Humankind – Panasm's Blog เงินในยุคแรกเริ มนั นอยู่ในรูปของสินค ้าการเกษตรหรือสิ งของที แข็งแรง อาทิ ข ้าวบาเลย์และเปลือกหอย (cowry shell) ต่อมามนุษย์ก็ได ้ริเริ มการใช ้ โลหะแวววาวอย่างทองคําและเงินที มีสัดส่วนคงที มาหลอม เป็นเหรียญพร ้อมตราประทับโดยกษัตริย์ของเมืองต่างๆเพื อการันตีมูลค่าและสร ้างความน่าเชื อถือให ้แก่ เจ ้าของเงิน ก่อนที เงินจะได ้รับการพัฒนามาเป็นเงินที ไร ้มูลค่าในตัวเอง อย่างธนบัตรและเงินดิจิตอลใน ปัจจุบัน (เงินกว่า 90% ของโลกถูกจัดเก็บอยู่ในรูปแบบดิจิตอล) นอกจากนั น เงินในรูปแบบอื นๆก็ยัง สามารถพบเห็นได ้ทั วไป อาทิ บุหรี ที เป็นตัวกลางในการแลกเปลี ยนชั นดีระหว่างนักโทษในเรือนจํา การเกิดขึ นของเงินนําพามาซึ งการควบรวมระบบเศรษฐกิจของเมืองต่างๆเข ้าหากัน เงินทําให ้คนที ไม่รู้จัก กันเลยสามารถ “เชื อใจ” และแลกเปลี ยนสิ งของระหว่างกันได ้ และเงินนี เองก็ได ้สร ้างภาวะเสพติดให ้กับ สังคมมนุษย์อันเป็นที มาของการพยายามทําทุกอย่างเพื อให ้ได ้มาซึ งเงิน อาทิ ขายลูกตัวเองเป็นทาส การ ประกอบอาชีพมือสังหารรับจ ้างหรือแม ้กระทั งการก่อสงคราม เหรียญเงินโรมันโบราณ (ขอบคุณภาพจาก Wikipedia) Chapter 11 : Imperial Visions อาณาจักร (empire) คือปัจจัยสําคัญของการรวมกลุ่มก ้อนของมนุษย์ ตั งแต่สมัยแรกเริ มของอาณาจักร Akkadian แห่งเมโสโปเตเมียเมื อ 2250 BC http://www.panasm.com/%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%B7%E0%B8%AD-sapiens/ 11/15
10/12/2561 [สรุปหนังสือ] Sapiens : A Brief History of Humankind – Panasm's Blog “อาณาจักร” มีคุณสมบัติที สําคัญ 2 ประการ คือ ความสามารถในการ “หลอมรวม” กลุ่มสังคมมนุษย์ที มี ความหลากหลายเข ้าด ้วยกันและความสามารถในการขยับขยายอาณาเขตได ้อย่างไม่จํากัด และ อาณาจักรนี เองคือตัวการสําคัญในการกลืนกินชมเผ่ากลุ่มน้อยใหญ่ต่างๆได ้อย่างสมบูรณ์ อาทิ อาณาจักร สเปนที กลืนกินอาณาจักร Inca ในแถบทวีปอเมริกาใต ้และอาณาจักร Aztec ที ตั งประเทศแม็กซิโกใน ปัจจุบันจนแทบไม่เหลือเค ้าโครงเดิม (เอาง่ายๆเลยก็คือคนในแถบละตินอเมริกาพูดภาษาสเปนกันหมด) ถึงแม ้ “อาณาจักร” และการล่าอาณานิคมจะถูกตีตราว่าเป็นสิ งชั วร ้ายในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ แต่ มนุษย์ก็ไม่อาจปฏิเสธ “มรดก” ที ตัวร ้ายเหล่านี คงเหลือไว ้ให ้อย่างระบบเศรษฐกิจและการปกครองที มี ประสิทธิภาพ รวมถึงการพัฒนาคุณภาพชีวิตและความเจริญรุ่งเรืองของ “อดีตผู้เคราะห์ร ้าย” ทั งหลาย (หลังอินเดียได ้อิสรภาพจากอังกฤษ พวกเขาได ้เปลี ยนชื อเมือง Bombay เป็น Mumbai แต่กลับเลือกที จะไม่ทําลายโครงสร ้างพื นฐานต่างๆที ศัตรูของเขาเป็นคนสร ้างให ้และพวกเขาก็ยังคงเล่นคริกเก็ทกีฬา ยอดนิยมของเมืองผู้ดีต่อไป) Chapter 12 : The Law of Religion ณ กรุง Mecca มหานครอันศักดิ สิทธิ ของชาวอิสลามตั งแต่เมื อ 700 ปีก่อน การพบเห็นมนุษย์หลากหลาย เชื อชาติ ทั ง อาหรับ เอเชียและแอฟริกัน นั นถือเป็นเรื องปกติ เพราะสิ งที ชักจูงให ้มารวมตัวกันอย่างไม่ได ้ นัดหมายนั นไม่ใช่ฐานะทางเศรษฐกิจหรือชาติกําเนิด แต่กลับเป็นสิ งที มีพลังอํานาจมหาศาลที มนุษย์สร ้าง ขึ นมาได ้สําเร็จอย่าง “ศาสนา” ศาสนาคืออีกหนึ งปัจจัยสําคัญที มีอิทธิพลต่อการหลอมรวมกันของมนุษยชาติพร ้อมๆกับการสร ้าง เสถียรภาพทางการปกครองผ่านความเชื อที ว่า “กฎเกณฑ์ทางสังคมนั นถือกําเนิดขึ นโดนสิ งที อยู่เหนือ มนุษย์” นักประวัติศาสตร์เชื อว่าการปฏิวัติทางเกษตรกรรมนั นเป็นตัวจุดประกายให ้มนุษย์เปลี ยนแปลงความเชื อ จากเดิมที เชื อถึงการมีชีวิตของสิ งต่างๆ (animist) ไปเป็นการมีอยู่ของ “พระเจ ้า” ผู้ที สามารถกําหนดชะตา ชีวิตของพวกเขาได ้ (หากเกิดภัยแล ้ง มนุษย์ไม่มีทางเลือกใดๆนอกจากการขอพรพระเจ ้า) ศาสนาในยุคแรกเริ มนั นส่วนใหญ่จะเกี ยวพันกับเทพเจ ้าหลากหลายองค์ (polytheism) อาทิ เทพโรมัน และกรีก ซึ งส่งผลให ้การควบรวมอาณาจักรพร ้อมๆกับความเชื อนั นเป็นสิ งที เป็นไปได ้ไม่ยากนัก (ประชาชนก็แค่ยอมรับว่าพวกเขามีเทพเจ ้าองค์ใหม่ๆมาให ้บูชา) ส่วนในเวลาต่อมา ศาสนาที เชื อมั นใน “พระเจ ้า” เพียงพระองค์เดียว (monotheism) อย่าง คริสต์และอิสลาม ก็ได ้ถือกําเนิดขึ นพร ้อมๆกับการ เผยแพร่ความเชื อที มาพร ้อมกับการ “ทําลาย” คนที เห็นต่างอย่างรวดเร็ว (“พระเจ ้าของเราเท่านั นคือความ จริง !”) ศาสนาอีกแขนงหนึ งที เกิดขึ นในเวลาใกล ้เคียงกันว่าด ้วยความเข ้าใจ “กฎของธรรมชาติ” โดยไม่ได ้ยึด เทพเจ ้าเป็นศูนย์กลาง อาทิ ศาสนาพุทธที มีมนุษย์อย่าง “เจ ้าชายสิทธัตถะ” เป็นศาสดาผู้เผยแพร่คําสอน “ธรรมะ” ที ว่าด ้วยการกําจัดความทุกข์ผ่านการละทิ งตัญหาและการทําความเข ้าใจปัจจุบันและธรรมชาติ ของโลกมนุษย์ http://www.panasm.com/%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%B7%E0%B8%AD-sapiens/ 12/15
10/12/2561 [สรุปหนังสือ] Sapiens : A Brief History of Humankind – Panasm's Blog และในช่วง 2-3 ศตวรรษที ผ่านมา กลุ่มศาสนารูปแบบใหม่ที ยึดมนุษย์เป็นศูนย์กลางก็ได ้ถือกําเนิดขึ น มากมาย ไม่ว่าจะเป็น ทุนนิยม (ผู้เชื อมั นในระบบเศรษฐกิจที มีทุนเป็นแรงผลักดัน) เสรีนิยม (ผู้เชื อมั นใน อิสรภาพของมนุษย์ทุกคน) สังคมนิยม (ผู้เชื อมั นในความเท่าเทียมกันของมนุษยชาติ) ลัทธินาซี (ผู้เชื อ มั นในการรักษาชาติพันธุ์ของตัวเองที พวกเขาเชื อมั นว่ามีการวิวัฒนาการที สูงกว่ามนุษย์ชาติพันธุ์อื น) และ ในอนาคต “ศาสนา” รูปแบบเดิมๆที เชื อมั นในสิ งที เกิดขึ นจากจินตนาการของมนุษย์ก็อาจจะต ้องพบกับจุด พลิกผันอีกครั งหากศาสตร์ “ชีววิทยา” สามารถอธิบายพฤติกรรมและที มาของมนุษย์ได ้อย่างสมบูรณ์ Zeus เทพเจ ้าสูงสุดของกรีกโบราณ (ขอบคุณภาพจาก Plantscapers) Chapter 13 : The Secret of Success คําตอบของคําถามที ว่า “ทําไมเหตุการณ์ต่างๆในอดีตจนถึงปัจจุบันถึงได ้ถือกําเนิดขึ น” คือ “เราไม่มีทางรู้ หรอก” http://www.panasm.com/%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%B7%E0%B8%AD-sapiens/ 13/15
10/12/2561 [สรุปหนังสือ] Sapiens : A Brief History of Humankind – Panasm's Blog โลกมนุษย์นั นคือระบบที มีความซับซ ้ อนสูงมากจนไม่สามารถทํานายอนาคตข ้างหน้าได ้อย่างแม่นยํา (ทาง ทฤษฎีเรียกว่าความซับซ ้ อน level 2 ที ทุกการพยากรณ์ถึงผลลัพธ์ของระบบจะย ้อนกลับมาส่งผลให ้เกิด การเปลี ยนแปลงภายในอย่างไม่มีวันจบสิ น) ในแต่ละช่วงเวลาของประวัติศาสตร์นั นเต็มไปด ้วยทางเลือก ต่างๆมากมาย การเปลี ยนแปลงเพียงแค่นิดเดียวอาจส่งผลให ้เกิดโลกที มีความแตกต่างไปจากปัจจุบันได ้ อย่างสิ นเชิง ลองคิดง่ายๆว่าหากกษัตริย์ Constantine แห่งอาณาจักรโรมันไม่เลือกศาสนาคริสต์ที ในช่วงเวลานั นยัง ถือเป็นศาสนาของคนเฉพาะกลุ่มขึ นมาเป็นศาสนาของอาณาจักร โลกของชาวตะวันตกในปัจจุบันจะเป็น อย่างไร สิ งเดียวที เรามั นใจได ้ก็คือ ทุกเหตุการณ์ที เกิดขึ นและกําลังจะเกิดขึ นในโลกมนุษย์โดยฝีมือของมนุษย์นั น ล ้วนไม่ใช่ “เรื องที เกิดขึ นเองตามธรรมชาติ” ไม่ใช่สิ งที สิ งมีชีวิตเหนือธรรมชาติเป็นผู้กําหนดและทุก เหตุการณ์นั น “สามารถหลีกเลี ยงได ้” Part Four – The Scientific Revolution Chapter 14 : The Discovery of Ignorance โลกในปัจจุบันกับโลกเมื อ 500 ปีก่อนนั นได ้แตกต่างกันอย่างสิ นเชิง จํานวนประชากรของมนุษย์นั นได ้ เพิ มจํานวนขึ น 14 เท่าจาก 500 ล ้านคนเป็น 7,000 ล ้านคน พร ้อมๆกับขีดความสามารถทางการผลิตที เพิมขึ นกว่า 240 เท่า !! (เทียบง่ายๆก็ลองนึกเล่นๆดูว่ามนุษย์ในปัจจุบันสามารถใช ้ เรือรบลําเดียวสําหรับ การถล่มกองทัพเรือของขาวสปาร์ต ้ารับร ้อยได ้อย่างง่ายดาย) ปรากฎการณ์ที ผลักดันให ้เกิดความเจริญรุ่งเรืองของมนุษยชาติในอัตราเร่งที เริ มต ้นขึ นเมื อประมาณ 500 ปีก่อนนั น คือ “การปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์” ที เริ มต ้นจากการเปลี ยนแปลงทางความคิดของมนุษย์ในการ “ลงทุน” วิจัยและพัฒนาวิทยาศาสตร์โดยมีจุดประสงค์เพื อสร ้าง “ก ้าวกระโดด” ให ้กับมนุษยชาติ (ก่อน หน้านั น มนุษย์ใช ้ ทรัพยากรเกือบทั งหมดในการแย่งชิงขีดความสามารถในปัจจุบันแทนที จะเอาเวลาไป พัฒนาขีดความสามารถใหม่ๆ) การปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์ถือเป็นจุดเริ มต ้นของการปรับเปลี ยนความคิดของมนุษย์จากการถือเป็นผู้รู้ใน ทุกสรรพสิ ง (ตามคําสอนของศาสนาต่างๆที เคยกล่าวว่า โรคภัย ความยากจน หรือ ความตาย นั นเป็นสิ งที หลีกเลี ยงไม่ได ้) เป็นการ “ยอมรับ” ถึงความ “ไม่รู้” ของตัวเองพร ้อมๆกับการพยายามตามหาคําตอบของ ความสงสัยหรือปัญหาเหล่านั นที เกิดขึ นผ่านกระบวนการทดลองที มีหลักการทางคณิตศาสตร์และ วิทยาศาสตร์รองรับ อันเป็นที มาของการตามหาความลับของธรรมชาติมากมาย อาทิ ระบการทํางานของ ร่างกาย การรักษาโรคภัยไข ้เจ็บ การเพิ มขีดความสามารถของการผลิตไปจนถึงการออกเดินทางไปยัง อวกาศ การปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์นั นจะเกิดขึ นไม่ได ้เลยหากไม่มี “แรงสนับสนุน” ในรูปของเงินทุนโดยกลุ่มก ้อน ความคิดที มีจุดประสงค์อยู่เบื องหลังอันสําคัญ ได ้แก่ ระบบอาณาจักรและระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม ที คอยช่วยเหลือให ้โครงการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ได ้ถือกําเนิดขึ น http://www.panasm.com/%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%B7%E0%B8%AD-sapiens/ 14/15
10/12/2561 [สรุปหนังสือ] Sapiens : A Brief History of Humankind – Panasm's Blog Chapter 15 : The Marriage of Science and Empire ปัจจัยสําคัญที ผลักดันให ้อังกฤษกลายมาเป็นมหาอํานาจทางทะเลผู้ครอบครองดินแดนต่างๆทั วโลกได ้ นั นคือ “วิทยาศาสตร์” หลังจากที ชาวอังกฤษทําการทดลองและสามารถคิดค ้นวิธีการแก ้ปัญหาโรค Scurvy ที คร่าชีวิตกะลาสีเรือไปกว่า 2 ล ้านคนจนค ้นพบว่าผลไม ้จําพวก “ไซตรัส” สามารถรักษาอาการ ป่ วยรุนแรงนี ได ้อย่างมีประสิทธิภาพ (ต่อมาเราก็ได ้รู้ว่าสิ งที กะลาสีเรือต ้องประสบคือภาวะการขาดวิตามิน ซี) เมื อประมาณ 250 ปีก่อน ชาวเอเชีย (จีน อินเดียและออตโตมาน) คือ ผู้ปกครองโลกที มีขนาดเศรษฐกิจ รวมกันกว่า 80% แต่แล ้วในอีกไม่ถึง 100 ปีถัดมา ขั วอํานาจใหม่ที ทวีป “ยุโรปตะวันตก” อย่าง อังกฤษ ฝรั งเศส เยอรมนี สเปนและเบลเยียมก็ได ้ผงาดขึ นมาเป็นผู้ปกครองโลกกลุ่มใหม่โดยมี “วิทยาศาสตร์” และ “โครงสร ้างทางสังคม” ที คอยเกื อหนุนวิทยาศาสตร์อยู่เบื องหลัง จุดเริ มต ้นของยุครุ่งเรืองของวิทยาศาสตร์เริ มต ้นขึ นหลังจากที นักเดินเรือชาวอิตาลีนามว่า Amerigo Vespucci ลงความเห็นว่าดินแดนที Christopher Columbus เป็นผู้ค ้นพบเมื อปี 1492 นั นไม่ใช่เอเชียแต่ กลับเป็น “ดินแดนผืนใหม่” ที ชาวยุโรปไม่เคยรู้จักมาก่อนอันถือเป็นจุดเริ มต ้นของยุคแห่งการ “ค ้นคว ้า” ที เปลี ยนทัศนคติของชาวยุโรปให ้ออกเดินทางไปยังดินแดนต่างๆรอบโลกภายในไม่กี ทศวรรษถัดมา (ชื อ ของ Amerigo ก็ถูกนํามาใช ้ เป็นชื อขงทวีปแห่งใหม่ที มีนามว่า America) และในเวลาไม่กี ปีถัดมา อาณาจักร Aztec และ Inca ที ปกครองตนเองมาอย่างยาวนานโดยปราศจากการ “รับรู้” ถึงโลกภายนอก ก็ได ้ถูกยึดครองโดย “สิ งมีชีวิตที พวกเขาคาดไม่ถึง” อย่างชาวสเปนภายในระยะเวลาอันสั น http://www.panasm.com/%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%B7%E0%B8%AD-sapiens/ 15/15
Search
Read the Text Version
- 1 - 15
Pages: