ภาคเหนือ ภาคนม้ี ีการแสดงหรอื การรา่ ยราท่มี ีจังหวะช้า ท่าหยาบนุ่มนวล เพราะมีอากาศเย็นสบาย ทาใหจ้ ิตใจของผูค้ น มคี วามนมุ่ นวล อ่อนโยน ภาษาพดู กน็ ุ่มนวลไปด้วย เพลงมีความไพเราะ อ่อนหวาน ผู้คนไมต่ อ้ งรีบร้อนในการ ทามาหากิน สง่ิ ต่างๆ เหล่าน้ันมอี ทิ ธิพลตอ่ การแสดงนาฏศิลปข์ องภาคเหนือ นาฏศิลป์ของภาคเหนือเชน่ ฟ้อนเมือง(ฟ้อนเล็บ ฟอ้ นก๋ายลาย)ฟ้อนเทยี น ฟอ้ นจ้อง ฟ้อนวี ฟ้อนขันดอก ฟ้อน ดาบ ฟ้อนเชงิ (ฟ้อนเจิง)ตกี ลองสะบัดไชย ฟ้อนสาวไหม ฟ้อนนอ้ ยไจยา ฟ้อนหรภิ ุญชัย ฟ้อนล่องนา่ น ฟอ้ นแง้น เปน็ ตน้ นอกจากน้ี นาฏศลิ ป์ของภาคเหนือยังได้รับอทิ ธพิ ลจากประเทศใกลเ้ คียง ไดแ้ ก่ พมา่ ลาว จนี และ วัฒนธรรมของชนกลุม่ น้อย เชน่ ไทยใหญ่ เงย้ี ว ชาวไทยภูเขา ยอง เป็นตน้ ดังน้ัน นาฏศิลป์พ้นื เมืองของภาคเหนอื นอกจากมีของทเี่ ป็น \"คนเมือง\" แท้ๆ แล้วยังมีนาฏศิลป์ที่ผสมกลมกลนื กับชนชาติตา่ งๆ และของชนเผ่าต่างๆ อกี หลายอยา่ ง เชน่ อทิ ธิพลจากพม่า เช่น ฟ้อนกาเบ้อ ฟ้อนมา่ นมุ้ยเชยี ง ตา นาฏศลิ ปข์ องชนเผา่ ต่างๆ เชน่ ฟอ้ นนก (กงิ กาหลา่ - ไทยใหญ่) ฟ้อนเงย้ี ว (เงย้ี ว ระบาซอ ระบาเก็บใบชา (ชาวไทยภเู ขา) ฟอ้ นไต ฟ้อนไตอ่างขาง ฟ้อนนกยูง เป็นต้น ภาคตะวันออกเฉียงเหนอื ภาคนี้โดยทั่วมกั เรยี กว่าภาคอีสาน ภาคอีสาน ภมู ปิ ระเทศภาคอีสานเปน็ ที่ราบสูง ค่อนขา้ งแห้งแลง้ เพราะ พ้ืนดนิ ไม่เก็บน้า ฤดแู ลง้ จะกันดาร ฤดูฝนนา้ จะทว่ ม แตช่ าวอสี านกม็ ีอาชีพทาไร่ทานา และเปน็ คนรักสนุกและ ขยนั อดทน เพลงพืน้ เมอื งอสี านจงึ มักบรรยายความทุกข์ ความยากจน ความเหงา ที่ต้องจากบา้ นมาไกล ดนตรพี ืน้ เมืองแต่ ละช้นิ เออ้ื ต่อการเล่นเด่ยี ว การจะบรรเลงรว่ มกันเปน็ วงจึงต้องทาการปรบั หรือต้งั เสียงเครื่องดนตรีใหมเ่ พื่อให้ ได้ระดับเสยี งที่เขา้ กันได้ทุกครงั้ แตอ่ ยา่ งไรก็ตาม คนอสี านก็พยายามหาความบนั เทงิ ในทุกโอกาส เพอ่ื ผ่อน คลายความไม่สบายใจหรือสภาพความทุกขย์ ากอนั เนื่องจากสภาพธรรมชาติ เครื่องดนตรีพ้ืนเมืองอีสาน เช่น พณิ แคน โหวด โปงลาง หนื ซอ ปีไ่ มซ้ าง กลองตุม้ กลองยาว เปน็ ตน้ ทานองเพลงพ้นื เมืองอีสานมที ง้ั ทานองที่ เศรา้ สรอ้ ยและสนุกสนาน เพลงทมี่ ีจังหวะเร็วนน้ั ถงึ จะสนกุ สนานอยา่ งไรก็ยังคงเจือความทุกขย์ ากลาบากใน บทเพลงอยเู่ สมอ ทานองเพลงหรือทานองดนตรีเรียกว่า “ลาย” เชน่ ลายแม่ฮ้างกล่อมลูก ลายนกไสบ่ ินขา้ มท่ง ลายลมพัดพรา้ ว ลายนา้ โตนตาด เป็นตน้ การขับร้องเรียกวา่ “ลา” ผทู้ ม่ี ีความชานาญในการลาเรยี กวา่ “หมอลา” ลามหี ลายประเภท เชน่ ลากลอน ลา เพลิน ลาเรื่องต่อกลอน ลาผญา(ผะหยา) ลาเตย้ เป็นต้น ส่วนบทเพลงหรือลายบรรเลงก็มาจากภูมปิ ญั ญาชาวท่ี มีความเชี่ยวชาญทางดา้ นดนตรีโปงลาง เช่นอาจารยท์ รงศักด์ิ ปทมุ สนิ ซ้งึ เปน็ ผู้เช่ียวทางด้านโหวด และ อาจารย์ทองคา ไทยกลา้ เปน็ ผเู้ ช่ยี วชาญทางด้าน แคน
ภาคใต้ ภาคใต้ เป็นดินแดนที่ตดิ ทะเลท้ังฝง่ั ตะวนั ตกและตะวนั ออก ทางด้านใต้ติดกบั มลายู ทาให้รบั วฒั นธรรมของ มลายมู าบา้ ง ขนบประเพณีวัฒนธรรมและบคุ ลิกบางอย่างคล้ายคลงึ กนั คือ พูดเรว็ อปุ นิสัยว่องไว ตดั สนิ ใจ รวดเร็ว เดด็ ขาด การแตง่ กาย การแสดง เพลง และดนตรคี ลา้ ยคลึงกนั มาก นาฏศิลป์ของชาวไทยภาคใต้ แบ่ง ออกเป็น 2 รปู แบบ คือการแสดงพนื้ บา้ นและระบาพนื้ บา้ น การแสดงพน้ื บ้าน สามารถแบง่ ออกออกตาม ลกั ษณะของพนื้ ที่ ดงั น้ี พืน้ ท่ี ภาคใตต้ อนบน ไดแ้ ก่ โนรา เพลงบอก เพลงเรือ คาตัก เพลงชานอ้ ง พ้ืนที่ ภาคใตบ้ รเิ วณลุ่มนาทะเลสาบสงขลา ได้แก่ โนรา หนังตะลงุ กาหลอ โต๊ะครึม(นายลมิ นต์) เพลงเรือ พื้นท่ี ชายฝ่งั ทะเลอนั ดามนั ลิเกปา่ รองเง็งชาวเล รองเงง็ ตันหยง กาบง กาหยง ดาระ พ้นื ที่ภาคใต้ตอนลา่ ง รองเงง็ ปัตตานี ดเิ กร์ฮลู ู ซีละ มะโยง่ (บือดกี า) บานอ กรือโต๊ะ ตอื ตรี ส่วนระบาพืน้ บ้าน ไดแ้ ก่ ตารีกปี ัส ระบารอ่ นแร่ ระบากรดี ยาง เป็นตน้ ภาคกลาง ภาคกลางได้ช่ือวา่ อู่ข้าวอนู่ ้าของไทย มีภูมิประเทศเปน็ ทีร่ าบลุม่ มีแมน่ ้าหลายสาย เหมาะแก่การกสิกรรม ทา นา ทาสวน ผ้คู นมคี วามเปน็ อยู่ท่ีสุขสบาย จึงมีเวลาที่จะคิดประดิษฐ์หรอื สร้างสรรคส์ ิ่งทีส่ วยงามได้มาก และมี การเล่นรน่ื เรงิ ในโอกาสต่างๆ มากมาย ทั้งตามฤดกู าล ตามเทศกาลและตามโอกาสท่ีมีงานรืน่ เรงิ ภาคกลางเปน็ ทร่ี วมของศลิ ปวฒั นธรร้ม การแสดงจงึ มกี ารถา่ ยทอดสืบต่อกันและพฒั นาดัดแปลงขึ้นเรอื่ ยๆและออกมาใน รปู แบบของขนบธรรมเนยี มประเพณี และการประกอบอาชีพ เช่น เตน้ การาเคยี ว เพลงเก่ียวข้าว เพลงเรือ เพลงฉ่อย เพลงอแี ซว ลิเก ลาตัด กลองยาว เถิดเทิง เป็นต้น บางอย่างกลายเป็นการแสดงนาฏศลิ ปแ์ บบฉบับ ไปกม็ ี เชน่ ราวง และเน่ืองจากเปน็ ท่รี วมของศลิ ปะน้เี อง ทาให้คนภาคกลางรบั การแสดงของทอ้ งถิน่ ใกล้เคยี ง เข้าไว้หมด แล้วปรุงแต่งตามเอกลกั ษณ์ของภาคกลาง คือการรา่ ยราทใ่ี ชม้ อื แขนและลาตัว เชน่ โขน ละคร ชาตรี ละครนอก ละครใน ลเิ ก หุ่น หนงั ใหญ่
ภาคกลาง ราโทน เป็นการรา และการร้องของชาวบา้ น โดยมีโทนเป็นเครื่องดนตรีประกอบจงั หวะ เป็นการร้อง และการราไปตามความถนดั ไม่มีแบบแผนหรือท่าราท่ีกาหนดแน่นอน รากลองยาว เป็นการแสดงเพ่ือความรื่นเริง ในขบวนแห่ต่างๆ ของไทยมีผแู้ สดงท้งั ชาย และหญิง ออกมราเป็นคู่ๆ โดย มีผตู้ ีกลองประกอบจงั หวะ พร้อม ฉิ่ง ฉาบ กรับ และโหม่ง
ระบาชาวนา เป็นวถิ ีชีวติ ความเป็นมาที่พากนั ออกมาไถนาหวา่ น และเกบ็ เก่ียวเม่ือขา้ ว เจริญงอกงาม หลงั จากน้นั พากนั ร้องราเพลงดว้ ยความสนุกสนาน ราเหย่อย หรือราพาดผา้ เป็นการละเล่นท่ีแสดงวธิ ีชีวติ อนั สนุกของชาวบา้ นหมู่บา้ นเก่า ตาบลจระเขเ้ ผอื ก อาเภอเมือง จงั หวดั กาญจนบุรี เป็นการร้องรา เก้ียวพาราสีระหวา่ งชาย-หญิง เริ่มการแสดงดว้ ยการประโคมกลองยาว จบแลว้ ผแู้ สดงชาย-หญิง ออกราทีละคู่ Posted by Unknown at 01:12 3 comments: Email ThisBlogThis!Share to TwitterShare to FacebookShare to Pinterest ภาคอสี าน ภาคอสี าน
เซิ้งสวงิ เป็นการละเล่นพ้ืนเมืองของภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือ ในทอ้ งถ่ินอาเภอยางตลาด จงั หวดั กาฬสินธุ์ เป็นการละเล่นเพ่ือส่งเสริมดา้ นจิตใจของประชาชนในทอ้ งถ่ิน ซ่ึงมีอาชีพใน การจบั สัตวน์ ้า โดยมีสวงิ เป็นเคร่ืองมือหลกั ในปี พ.ศ. ๒๕๑๕ ท่านผเู้ ชี่ยวชาญนาฎศิลป์ ไทย กรมศิลปากร จึงไดน้ าท่าเซิ้งศิลปะทอ้ งถิ่นมาปรับปรุงใหเ้ ป็นท่าท่ีกระฉบั กระเฉงข้ึน โดย สอดคลอ้ งกบั ท่วงทานองดนตรี ท่ีมีลกั ษณะสนุกสนานร่าเริง เครื่องดนตรี ที่ใชบ้ รรเลง ประกอบการแสดงชุดเซิ้งสวงิ ไดแ้ ก่ กลองยาว กลองแตะ๊ แคน ฆอ้ งโหม่ง กบั๊ แกบ๊ ฉ่ิง ฉาบ กรับ การแต่งกาย ชาย สวมเส้ือม่อฮ่อม นุ่งกางเกงขากว๊ ย มีผา้ ขาวมา้ โพกศรี ษะและคาดเอว มือถือตะขอ้ ง หญิง นุ่งผา้ ซิ่นพ้นื บา้ นอีสาน ผา้ มดั หมี่มีเชิงยาวคลุมเข่า สวมเส้ือตามลกั ษณะผหู้ ญิงชาวภูไท คือ สวมเส้ือแขนกระบอกคอปิ ด ผา่ อก ประดบั เหรียญโลหะสีเงิน ปัจจุบนั ใชก้ ระดุมพลาสติกสีขาว แทน ขลิบชายเส้ือ คอ ปลายแขน และขลิบผา่ อกตลอดแนวดว้ ยผา้ สีตดั กนั เช่น สีเขียวขลิบแดง หรือสวมเส้ือกระบอกคอปิ ด ผา่ อก ห่มสไบเฉียงทบั ตวั เส้ือ สวมสร้อยคอโลหะทาดว้ ยเงิน ใส่ กาไลขอ้ มือและกาไลขอ้ เทา้ ผมเกลา้ มวยสูงไวก้ ลางศรี ษะ ทดั ดอกไม้ มือถือสวงิ
เซิ้งโปงลาง โปงลางเดิมเป็นชื่อของโปงที่แขวนอยทู่ ี่คอของววั ต่าง โปงทาดว้ ยไมห้ รือ โลหะ ท่ีเรียกวา่ โปงเพราะส่วนล่างปากของมนั โตหรือพองออก ในสมยั โบราณชาวอีสานเวลา เดินทางไปคา้ ขายยงั ต่างแดน โดยใชบ้ รรทุกสินคา้ บนหลงั ววั ยกเวน้ ววั ต่างเพราะเป็นววั ท่ีใช้ นาหนา้ ขบวนผกู โปงลางไวต้ รงกลางส่วนบนของต่าง เวลาเดินจะเอียงซา้ ยทีขวาทีสลบั กนั ไป ทาใหเ้ กิดเสียงดงั ซ่ึงเป็นสัญญาณบอกใหท้ ราบวา่ หวั หนา้ ขบวนอยทู่ ่ีใด และกาลงั มุ่งหนา้ ไปทาง ไหนเพอ่ื ป้ องกนั มิใหห้ ลงทางส่วนระนาดโปงลางท่ีใชเ้ ป็นดนตรีปัจจุบนั น้ี พบมากที่จงั หวดั กาฬสินธุ์ เรียกวา่ \"ขอลอ\" หรือ \"เกาะลอ\" ดงั เพลงลอ้ สาหรับเด็กวา่ \"หวั โปก กระโหลกแขวน คอ ตีขอลอดงั ไปหม่องๆ\" ช่ือ \"ขอลอ\" ไม่ค่อยไพเราะจึงมีคนต้งั ช่ือใหม่วา่ \"โปงลาง\" และนิยม เรียกกนั มาจนถึงปัจจุบนั ไมท้ ่ีนามาทาเป็นโปงลางท่ีนิยมกนั ไดแ้ ก่ ไมม้ ะหาด และไมห้ มาก เหล่ือม . เซิ้งตงั หวาย เซิ้งตังหวาย เป็นการราเพอื่ บชู าส่ิงศกั ด์ิสิทธ์ิ ในพิธีขอขมาของชาวจงั หวดั อุบลราชธานี ภายหลงั นิยมแสดงในงานนกั ขตั ฤษแ์ ละตอ้ นรับแขกผมู้ ีเกียรติของภาคอีสาน ครู นาฏศลิ ป์ พ้นื เมือง วทิ ยาลยั นาฏศลิ ปร้อยเอด็ กรมศลิ ปากร ไดป้ ระยกุ ตแ์ ละจดั กระบวนราข้ึน ใหม่ รวม 12 ท่า จากท่าราแม่บทอีสาน โดยผแู้ สดงแต่งกายห่มผา้ คาดอก นุ่งซิ่นฝ้ ายมดั หมี่มีเชิง เกลา้ ผมสูง เคร่ืองดนตรีพ้นื เมืองที่ใชบ้ รรเลงประกอบ คือ โปงลาง แคน พิณ ซอ กบั๊ แกบ๊ ฉ่ิง และฉาบ Posted by Unknown at 01:07 No comments: Email ThisBlogThis!Share to TwitterShare to FacebookShare to Pinterest ภาคเหนือ ภาคเหนือ
ฟ้ อนสาวไหม ฟ้ อนสาวไหม เป็นการฟ้ อนพ้ืนเมืองท่ีเลียนแบบมาจากการทอผา้ ไหมของ ชาวบา้ น การฟ้ อนสาวไหมเป็นการฟ้ อนราแบบเก่า เป็นท่าหน่ึงของฟ้ อนเจิงซ่ึงอยใู่ นชุดเดียวกบั การฟ้ อนดาบ ลีลาการฟ้ อนเป็นจงั หวะที่คล่องแคล่วและรวดเร็ว (สะดุดเป็นช่วง ๆ เหมือนการ ทอผา้ ดว้ ยก่ีกระตุก ประมาณปี พ.ศ. 2500 คุณบวั เรียว รัตนมณีกรณ์ ไดค้ ิดท่าราข้ึนมาโดยอยู่ ภายใตก้ ารแนะนาของบิดา ท่าราน้ีไดเ้ นน้ ถึงการเคล่ือนไหวท่ีต่อเนื่องและนุ่มนวล ซ่ึงเป็นท่าท่ี เหมาะสมในการป้ องกนั ไม่ใหเ้ ส้นไหมพนั กนั ในปี พ.ศ. 2507 คุณพลอยศรี สรรพศรี ช่างฟ้ อน เก่าในวงั ของเจา้ เชียงใหม่องคส์ ุดทา้ ย (เจา้ แกว้ นวรัฐ) ไดร้ ่วมกบั คุณบวั เรียว รัตนมณีกรณ์ไดข้ ดั เกลาท่าราข้ึนใหม่ ดนตรีที่ใชป้ ระกอบการฟ้ อน จะใชว้ งดนตรีพ้ืนเมืองซ่ึงมีสะลอ้ ซอ ซึง เพลงร้องมกั ไม่ นิยมนามาแสดง จะมีแต่เพลงท่ีใชบ้ รรเลงประกอบ แต่เดิมท่ีบิดาของคุณบวั เรียวใชน้ ้นั เป็นเพลง ปราสาทไหว ส่วนคุณบวั เรียวจะใชเ้ พลงลาวสมเดจ็ เม่ือมีการถ่ายทอดมา คณะครูนาฎศลิ ป์ จึงได้ เลือกสรรโดยใชเ้ พลง \"ซอป่ันฝ้ าย\" ซ่ึงมีท่วงทานองเป็นเพลงซอทานองหน่ึงท่ีนิยมกนั ในจงั หวดั น่าน และมีลีลาที่สอดคลอ้ งกบั ท่ารา การแต่งกาย แต่งกายแบบพ้ืนเมือง คือนุ่งผา้ ถุง ใส่เส้ือแขน กระบอกห่มสไบทบั เกลา้ ผมมวยประดบั ดอกไม้
ระบาซอ เป็นฟ้ อนประดิษฐข์ อง พระราชชายาเจา้ ดารารัศมี พระราชชายาของรัชกาล ที่ 5 เป็นการผสมผสานการแสดงบลั เล่ตข์ องทางตะวนั ตกกบั การฟ้ อนแบบพ้ืนเมือง ใชก้ ารแต่ง กายแบบหญิงชาวกะเหรี่ยง โดยมีความหมายวา่ ชาวเขากม็ ีความจงรักภกั ดี ต่อพระมหากษตั ริยไ์ ทย ใชเ้ พลงทางดนตรีไทย หลายเพลงประกอบการแสดง เช่น เพลง ลาวจอ้ ย ตอ้ ยตลิ่ง ลาวกระแต ลาวดวงดอกไม้ ลาวกระแซ มีคาร้องทานองซอยนิ้ ที่แต่งเป็นคา สรรเสริญ ใชแ้ สดงในการสมโภชชา้ งเผอื กของรัชกาลที่ 7คร้ังเมื่อเสดจ็ เลียบมณฑลพายพั ปัจจุบนั ไดม้ ีการลดจานวนนกั แสดงลงและตดั เพลงบางท่อนออกเพ่อื ใหเ้ หมาะสมในการแสดง ในโอกาสต่างๆ ระบาชาวเขา เป็นการแสดงของชาวเขาเผา่ ลิซู หรือลีซอโดยเป็นระบาชุดท่ีใชแ้ สดงใน งานร่ืนเริงต่าง ๆ ชุดที่ใชไ้ ดร้ ับการประยกุ ตม์ าจากเครื่องแต่งกายท่ีชาวเผา่ ลิซูใชใ้ น ชีวติ ประจาวนั เคร่ืองดนตรีที่ใชป้ ระกอบการแสดงคือ ขลุ่ยไมไ้ ผ่ สะลอ้ และพณิ ฟ้ อนขนั ดอก เป็นฟ้ อนประดิษฐใ์ หม่ มีลีลาท่าฟ้ อนไดม้ าจากการใส่ขนั ดอกบูชาเสาอิน ทขิล ซ่ึงเป็นเสาหลกั เมืองเชียงใหม่ ช่วงเดือนพฤษภาคมของทุกปี ปัจจุบนั ฟ้ อนชนิดน้ีใชฟ้ ้ อนใน งานพิธีมงคล เพลงที่ใชใ้ นการประกอบการแสดงใชเ้ พลงกหุ ลาบเชียงใหม่ ลีลาท่าฟ้ อนอ่อนชอ้ ย เขา้ กบั ความอ่อนหวานของท่วงทานองเพลง
ฟ้ อนแพน ฟ้ อนแฟนหรือลาวแพนซ่ึงเป็นช่ือเพลงดนตรีไทยในจาพวกเพลงเดี่ยว ซ่ึงนกั ดนตรีใชเ้ ป็นเพลงสาหรับเด่ียวอวดฝี มือในทางดุริยางคศลิ ป์ เช่นเดียวกบั เพลงเดี่ยวอื่นๆ แต่เด่ียว ลาวแพนน้ีมีเครื่องดนตรีเหมาะสมแก่ทานองจริง ๆ อยเู่ พยี ง 2 อยา่ งคือจะเขแ้ ละปี่ ในเท่าน้นั ส่วนเครื่องดนตรีอ่ืนกท็ าไดน้ ่าฟังเหมือนกนั แต่กไ็ ม่มีเสน่ห์เท่าจะเขแ้ ละป่ี ใน เพลงน้ีบางทีเรียก กนั วา่ \"ลาวแคน\" การประดิษฐท์ ่าราท่ีพบหลกั ฐานนามาใชใ้ นละคร เรื่อง พระลอ พระราชนิพนธข์ อง พระเจา้ บรม วงศเ์ ธอกรมพระนราธิปประพนั ธ์พงศ์ ตอนพระลอลงสรงในแม่น้ากาหลง ท่าราไดป้ ระดิษฐข์ ้ึน โดยอาศยั เคา้ ท่าฟ้ อนของภาคเหนือและภาคอีสานเป็นแบบอยา่ ง และดดั แปลงใหเ้ หมาะสม กลมกลืนกบั ทานองเพลง การฟ้ อนลาวแพนในละครเรื่องพระลอเป็นการฟ้ อนเด่ียว ต่อมาจึงมีผู้ นาเอาไปใชใ้ นการฟ้ อนหมู่ โดยเอาท่าฟ้ อนเดี่ยวมาดดั แปลงเพมิ่ เติมแกไ้ ขใหเ้ หมาะสมกบั การรา หลาย ๆ คน ปัจจุบนั การฟ้ อนลาวแพนมีท้งั การแสดงที่เป็นหญิงลว้ นและชายหญิง บางโอกาสยงั เพ่ิมเติมแต่งบทร้องประกอบการแสดงไดอ้ ีกดว้ ย Posted by Unknown at 01:00 No comments: Email ThisBlogThis!Share to TwitterShare to FacebookShare to Pinterest ภาคใต้ การแสดงนาฏศิลป์ ไทย 4 ภาค ภาคใต้
โนรา เป็ นนาฏศิลป์ ที่ได้รับความนิยมมากทสี่ ดุ ในบรรดาศิลปะการแสดงของภาคใต้ มีความยง่ั ยนื มานบั เป็ นเวลาหลาย ร้อยปี การแสดงโนราเน้นทา่ ราเป็ นสาคญั ตอ่ มาได้นาเรื่องราวจากวรรณคดีหรือนทิ านท้องถิ่นมาใช้ในการแสดงเร่ือง พระสธุ นมโนห์รา เป็ นเร่ืองทมี่ ีอทิ ธิพลตอ่ การแสดงมากท่ีสดุ จนเป็นเหตใุ ห้เรียกการแสดงนวี ้ า่ มโนห์รา ตามตานานของชาวใต้เกี่ยวกบั กาเนิดของโนรา มีความเป็ นมาหลายตานาน เช่น ตานานโนรา จงั หวดั ตรัง จงั หวดั นครศรีธรรมราช จงั หวดั สงขลา และจงั หวดั พทั ลงุ มคี วามแตกตา่ งกนั ทงั้ ชื่อทปี่ รากฏในเรื่องและเนอื ้ เร่ืองบางตอน ทงั้ นอี ้ าจสบื เนอ่ื งมาจาก ความคิด ความเชื่อ ตลอดจนวิธีสบื ทอดท่ี ได้มาจากความประทบั ใจทีม่ ีตอ่ ธรรมชาติ เชน่ ทา่ ลลี าของสตั ว์บางชนดิ มี ทา่ มจั ฉา ทา่ กวางเดนิ ดง ทา่ นกแขกเต้าเข้ารัง ทา่ หงส์บิน ทา่ ยงู ฟ้ อน หาง ฯลฯ ทา่ เก่ียวกบั ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ เชน่ ทา่ พระจนั ทร์ทรงกลด ทา่ กระตา่ ยชมจนั ทร์ ตอ่ มาเมื่อได้รับ วฒั นธรรมจากอนิ เดยี เข้ามาก็มี ทา่ พระลกั ษมณ์แผลงศร พระรามน้าวศลิ ป์ และทา่ พระพทุ ธเจ้าห้ามมาร ทา่ ราและ ศิลปะการราตา่ งๆ ของโนรา ทา่ นผ้รู ู้หลายทา่ นเช่ือวา่ เป็ นต้นแบบของละครชาตรีและการราแมบ่ ทของราไทยด้วย ลเิ กป่ า เป็ นการแสดงพนื ้ บ้านทางภาคใต้ เดมิ เรียกวา่ ลเิ ก หรือ ย่ีเก เมือ่ ลเิ กของภาคกลางได้รับการเผยแพร่สภู่ าคใต้จึง เติมคาวา่ ป่ า เพือ่ แยกให้ชดั เจน เมื่อประมาณ ๓๐ ปี ทผ่ี า่ นมาลเิ กป่ าได้รับความนิยมอยา่ งกว้างขวาง แถบพนื ้ ทีท่ างฝ่ัง ตะวนั ตกโดยเฉพาะจงั หวดั กระบี่ ตรัง พงั งา สว่ นทางฝ่ังทะเลตะวนั ออก ทเ่ี ป็ นแหลง่ ความเจริญก็มลี เิ กป่ าอยู่ แพร่หลาย เชน่ อาเภอเมือง จงั หวดั พทั ลงุ อาเภอสะทิงพระ จงั หวดั สงขลา และอาเภอเมือง จงั หวดั สงขลา ปัจจบุ นั ได้ เสอื่ มความนยิ มลงจนถงึ ขนาดหาชมได้ยาก ลเิ กป่ า มชี ื่อเรียกตา่ งออกไป คอื - แขกแดง เรียกตามขนบการแสดงตอนหนงึ่ ซงึ่ เป็ นสญั ลกั ษณ์ของลเิ ก คอื การออกแขก“แขกแดง” ตามความ เข้าใจของชาวภาคใต้หมายถงึ แขกอนิ เดยี หรือแขกอาหรับ บางคนเรียกแขกแดงวา่ “เทศ” และ เรียกการออกแขกแดง วา่ “ออกเทศ” - ลเิ กรามะนา เรียกตามช่ือดนตรีหลกั ทใ่ี ช้ประกอบการแสดงคอื รามะนา ซงึ่ ช่ือนอี ้ าจได้รับอิทธิพลมาจากแสดง ชนดิ หนงึ่ ของมาลายทู ใี่ ช้กลอง “ราบานา” เป็ นหลกั อกี ตอ่ หนงึ่ ก็ได้ - ลเิ กบก อาจเรียกชื่อตามกลมุ่ ชนผ้เู ริ่มวฒั นธรรมด้านนขี ้ นึ ้ โดยชนกลมุ่ นอี ้ าจมสี ภาพวฒั นธรรมทล่ี ้าหลงั อยู่ ก่อน เพราะ “บก” หมายถึง “ล้าหลงั ” ได้ด้วยลเิ กบก จึงหมายถงึ ของคนทด่ี ้อยทางวฒั นธรรม ชื่อนใี ้ ช้เรียกแถบจงั หวดั สงขลา
มะโยง่ เป็ นศิลปะการแสดงละครอยา่ งหนงึ่ ของชาวไทยมสุ ลมิ กลา่ วกนั วา่ มะโยง่ เริ่มแสดงในราชสานกั เมอื ง ปัตตานี เม่ือประมาณ ๔๐๐ ปี มาแล้ว จากนนั้ ได้แพร่หลายไปทางรัฐกลนั ตนั วธิ ีการแสดง การแสดงมะโยง่ เร่ิมต้นด้วยการไหว้ครู โดยหวั หน้าคณะมะโยง่ ทาพธิ ีไหว้ครู คอื ไหว้บรรพบรุ ุษผ้ฝู ึกสอน วิธีการแสดงมะโยง่ เครื่องบชู าครูก็มีกานลั ด้วยเงิน ๑๒ บาท เทยี น ๖ แทง่ การไหว้ครูนนั้ ถ้าเลน่ ธรรมดา อาจไมต่ ้องมกี ารไหว้ครูก็ได้ แตถ่ ้าเลน่ ในงานพิธี หรือเลน่ ในงานทาบญุ ตอ่ อายผุ ้ปู ่ วยก็ ต้องมพี ธิ ีไหว้ครู จะตดั ออกไมไ่ ด้ โอกาสทีแ่ สดง ตามปกตมิ ะโยง่ แสดงได้ทกุ ฤดกู าล ยกเว้นในเดือนทถ่ี ือศีลอด (ปอซอ) ของชาวไทยมสุ ลมิ การ แสดงมกั แสดงในงานร่ืนเริงตา่ งๆ เชน่ งานฮารีรายอ รองเง็ง การเต้นรองเงง็ สมยั โบราณ เป็ นทีน่ ยิ มกนั ในบ้านขนุ นาง หรือเจ้าเมอื งในสจ่ี งั หวดั ชายแดน ตอ่ มาได้แพร่หลายสู่ ชาวบ้านโดยอาศยั การแสดงมะโยง่ เป็ นเรื่องและมกี ารพกั ครัง้ ละ ๑๐ – ๑๕ นาที ระหวา่ งทพี่ กั นนั้ สลบั ฉากด้วย รองเงง็ เมื่อดนตรีขนึ ้ เพลงรองเงง็ ฝ่ ายหญิงท่แี สดงมะโยง่ จะลกุ ขนึ ้ เต้นจบั คกู่ นั เอง เพอ่ื ให้เกิดความสนกุ สนานยงิ่ ขนึ ้ มี การเชิญผ้ชู มเข้าร่วมวงด้วย ภายหลงั มกี ารจดั ตงั้ คณะรองเง็งแยกตา่ งหากจากมะโยง่ ผ้ทู ี่ริเริ่มฝึกรองเงง็ คอื ขนุ จารุ วเิ ศษศกึ ษากร ถือวา่ เป็ นบรมครูทางรองเงง็ เดมิ การเต้นรองเงง็ จะมลี ลี าตามบทเพลงไมน่ ้อยกวา่ ๑๐ เพลง แตป่ ัจจบุ นั นี ้ ที่นิยมเต้นมีเพียง ๗ เพลงเทา่ นนั้
วธิ ีการแสดง การเต้นรองเง็ง สว่ นใหญ่มชี ายหญิงฝ่ ายละ ๕ คน โดยเข้าแถวแยกเป็ นชายแถวหนงึ่ หญิงแถวหนง่ึ ยนื หา่ ง กนั พอสมควร ความสวยงามของการเต้นรองเง็งอยทู่ ล่ี ลี าการเคลอื่ นไหวของเท้า มือ ลาตวั และลลี าการร่าย รา ตลอดจนการแตง่ กายของคชู่ ายหญิง และความไพเราะของดนตรีประกอบกนั การแตง่ กาย ผ้ชู ายแตง่ กายแบบพนื ้ เมือง สวมหมวกไมม่ ปี ี ก หรือใช้หมวกแขกสดี า นงุ่ กางเกงขายาวกว้างคล้าย กางเกงจีน สวมเสอื ้ คอกลมแขนยาวผา่ คร่ึงอกสเี ดยี วกบั กางเกง ใช้โสร่งยาวเหนือเขา่ สวมทบั กางเกงเรียกวา่ ซอแกะ เคร่ืองดนตรี และเพลงประกอบ ดนตรีทใี่ ช้ประกอบการเต้นรองเง็ง มีเพียง ๓ อยา่ ง คอื ๑. รามะนา ๒. ฆ้อง ๓. ไวโอลนิ โอกาสทีแ่ สดง เดิมรองเง็งแสดงในงานต้อนรับแขกเมอื งหรืองานพิธีตา่ งๆ ตอ่ มานยิ มแสดงในงานร่ืนเริง เชน่ งาน ประจาปี งานอารีรายอ ตลอดจนการแสดงโชวใ์ นโอกาสตา่ งๆ เชน่ งานแสดงศลิ ปวฒั นธรรมพนื ้ บ้าน การแสดงนาฏศิลปไ์ ทย 4 ภาค ภาคเหนือ จากสภาพภูมปิ ระเทศท่ีอดุ มไปด้วยปา่ มที รัพยากรมากมาย มอี ากาศหนาวเย็น ประชากรมีอุปนิสัยเยือกเยน็ นมุ่ นวล งดงาม รวมท้งั กริ ิยา การพดู จา มีสาเนยี งน่าฟงั จงึ มีอิทธพิ ลทาให้เพลงดนตรแี ละการแสดง มี ทว่ งทานองชา้ เนิบนาบ นุ่มนวล ตามไปด้วย การแสดงของภาคเหนอื เรยี กวา่ ฟ้อน เชน่ ฟอ้ นเลบ็ ฟ้อนเทยี น ฟ้อนเงยี้ ว ฟ้อนสาวไหม เปน็ ตน้ ภาคเหนือนมี้ ีการแสดงหรอื การร่ายราทม่ี ีจงั หวะช้า ท่าราท่อี ่อนช้อย นุ่มนวล เพราะมีอากาศเย็นสบาย ทาใหจ้ ติ ใจของผู้คนมีความนมุ่ นวล ออ่ นโยน ภาษาพูดก็นุ่มนวลไปดว้ ย เพลงมีความ ไพเราะ อ่อนหวาน ผ้คู นไม่ตอ้ งรบี รอ้ นในการทามาหากิน ส่ิงตา่ งๆ เหลา่ นัน้ มอี ทิ ธิพลต่อการแสดงนาฏศลิ ป์ ของภาคเหนือ นาฏศิลปข์ องภาคเหนือเช่น ฟอ้ นเทียน ฟ้อนเล็บ ฟ้อนมาลยั ฟอ้ นสาวไหม ฟ้อนดาบ ฟอ้ นเชิง(ฟ้อนเจงิ ) ตี กลองสะบัดไชย ซอ คา่ ว นอกจากน้ี นาฏศลิ ป์ของภาคเหนอื ยังได้รบั อทิ ธิพลจากประเทศใกลเ้ คยี ง ไดแ้ ก่ พมา่ ลาว จีน และวฒั นธรรมของชนกลุม่ น้อย เชน่ ไทยใหญ่ เง้ยี ว ชาวไทยภเู ขา ยอง เป็นตน้ ดงั นัน้ นาฏศลิ ปพ์ ้ืนเมืองของภาคเหนือ นอกจากมีของทเ่ี ปน็ \"คนเมือง\" แทๆ้ แล้วยังมนี าฏศลิ ปท์ ีผ่ สม กลมกลนื กบั ชนชาตติ ่างๆ และของชนเผา่ ต่างๆ อีกหลายอยา่ ง เชน่ อิทธิพลจากพม่า เช่น ฟอ้ นม่านมงคล ฟอ้ นม่านมยุ้ เชยี งตา นาฏศลิ ปข์ องชนเผา่ ต่างๆ เชน่ ฟ้อนนก(กิงกาหลา่ - ไทยใหญ่) ฟ้อนเงี้ยว (เงี้ยว) ระบา เก็บใบชา(ชาวไทยภูเขา)เปน็ ต้น ฟอ้ นสาวไหม ฟ้อนมา่ นมงคล ภาคใต้ ภาคใต้ เปน็ ดนิ แดนท่ีตดิ ทะเลฝงั่ ตะวันตกและตะวันออก ทางด้านใต้ตดิ กับมลายู ทาให้รับวัฒนธรรมของ มลายูบา้ ง ประเพณีและวัฒนธรรมบางอยา่ งคล้ายคลงึ กนั คอื พูดเร็ว ว่องไว ตัดสนิ ใจเรว็ เพลงและดนตรจี ึง คลา้ ยคลึงกัน เช่น หนังตะลุง ลเิ กป่า
โนราห์ หนงั ตะลุง รองเงง็ ภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือ (ภาคอสี าน)
ภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือ (ภาคอีสาน) ลักษณะพน้ื ท่ีโดยทัว่ ไปของภาคอีสานเป็นทร่ี าบสงู มี แหลง่ นา้ จากแมน่ า้ โขง แบ่งตามลกั ษณะของสภาพความเปน็ อยู่ ภาษาและขนบธรรมเนียม ประเพณีทีแ่ ตกต่างกัน ประชาชนมีความเชื่อในทางไสยศาสตรม์ พี ิธกี รรมบชู าภูตผิ ีและสงิ่ ศกั ด์ิสิทธ์ิ การแสดงจึงเกย่ี วขอ้ งกับชีวิตประจาวนั และสะท้อนใหเ้ ห็นถึงการประกอบอาชีพและความเปน็ อยู่ ได้เปน็ อย่างดี การแสดงของภาคอีสานเรยี กว่า เซ้ิง เปน็ การแสดงทคี่ อ่ นข้างเร็ว กระฉับกระเฉง สนกุ สนาน เชน่ เซงิ้ กระติบขา้ ว เซิ้งโปงลาง เซิง้ กระหยงั เซิ้งสวิง เซง้ิ ดึงครกดึงสาก เปน็ ตน้ นอกจากนย้ี ังมี ฟ้อนทเ่ี ปน็ การแสดงคล้ายกับภาคเหนอื เชน่ ฟอ้ นภไู ท (ผ้ไู ท) เป็นต้น เซิ้งกระติบขา้ ว ฟ้ อนภูไท ภาคกลาง คนภาคกลางส่วนใหญม่ ีอาชีพเกษตรกรรม ศลิ ปะการแสดงจงึ มีความสอดคลอ้ งกบั วิถีชีวติ และเพอื่ ความสนุกสนาน เป็นการพกั ผอ่ นหยอ่ นใจจากการทางาน เช่น การ เล่นเพลงเกี่ยวขา้ ว เตน้ การาเคียว ราเถิดเทงิ ราโทนหรือราวง รากลองยาว เป็ นตน้
เตน้ การาเคียว รากลองยาว นาฏศิลป์ ไทยสี่ภาค นาฏศิลป์ พนื้ เมอื งภาคเหนือ จากสภาพภูมิประเทศท่ีอุดมไปดว้ ยป่ า มีทรัพยากรมากมาย มีอากาศหนาวเยน็ ประชากร มีอุปนิสยั เยอื กเยน็ นุ่มนวล งดงาม รวมท้งั กิริยา การพดู จา มีสาเนียงน่าฟัง จึงมีอิทธิพลทาให้ เพลงดนตรีและการแสดง มีท่วงทานองชา้ เนิบนาบ นุ่มนวล ตามไปดว้ ย การแสดงของ ภาคเหนือเรียกวา่ ฟ้ อน เช่น ฟ้ อนเลบ็ ฟ้ อนเทียน ฟ้ อนเง้ียว ฟ้ อนสาวไหม เป็นตน้ ภาคเหนือน้ีมี การแสดงหรือการร่ายราท่ีมีจงั หวะชา้ ท่าราที่อ่อนชอ้ ย นุ่มนวล เพราะมีอากาศเยน็ สบาย ทาให้ จิตใจของผคู้ นมีความนุ่มนวล อ่อนโยน ภาษาพดู กน็ ุ่มนวลไปดว้ ย เพลงมีความไพเราะ อ่อนหวาน ผคู้ นไม่ตอ้ งรีบร้อนในการทามาหากิน ส่ิงต่างๆ เหล่าน้นั มีอิทธิพลต่อการแสดง นาฏศลิ ป์ ของภาคเหนือ
นาฏศิลป์ ของภาคเหนือเช่น ฟ้ อนเทียน ฟ้ อนเลบ็ ฟ้ อนมาลยั ฟ้ อนสาวไหม ฟ้ อนดาบ ฟ้ อนเชิง(ฟ้ อนเจิง) ตีกลองสะบดั ไชย ซอ ค่าว นอกจากน้ี นาฏศลิ ป์ ของภาคเหนือยงั ไดร้ ับ อิทธิพลจากประเทศใกลเ้ คียง ไดแ้ ก่ พม่า ลาว จีน และวฒั นธรรมของชนกลุ่มนอ้ ย เช่น ไทย ใหญ่ เง้ียว ชาวไทยภเู ขา ยอง เป็นตน้ ดงั น้นั นาฏศลิ ป์ พ้ืนเมืองของภาคเหนือ นอกจากมีของที่เป็น “คนเมือง” แทๆ้ แลว้ ยงั มี นาฏศิลป์ ที่ผสมกลมกลืนกบั ชนชาติต่างๆ และของชนเผา่ ต่างๆ อีกหลายอยา่ ง เช่น อิทธิพลจาก พม่า เช่น ฟ้ อนม่านมงคล ฟ้ อนม่านมุย้ เชียงตา นาฏศลิ ป์ ของชนเผา่ ต่างๆ เช่น ฟ้ อนนก(กิงกาห ล่า – ไทยใหญ่) ฟ้ อนเง้ียว (เง้ียว) ระบาเกบ็ ใบชา(ชาวไทยภเู ขา)เป็นตน้ ตวั อย่างนาฏศิลป์ พนื้ เมอื งของภาคเหนือ ฟ้ อนผาง เป็นศิลปะการฟ้ อนท่ีมีมาแต่โบราณ เป็นการฟ้ อนเพ่อื บชู าองคส์ ัมมาสัมพุทธเจา้ ลีลาการ ฟ้ อนดาเนินไปตามจงั หวะของการตีกลองสะบดั ชยั มือท้งั สองจะถือประทีปหรือผางผะต้ีบ แต่ เดิมใชผ้ ชู้ ายแสดง ต่อมานายเจริญ จนั ทร์เพื่อน ผอู้ านวยการวทิ ยาลยั นาฏศิลปเชียงใหม่ ดาริให้ คณะครูอาจารยห์ มวดวชิ านาฏศิลป์ พ้ืนเมืองเป็นผปู้ ระดิษฐท์ ่าราใหเ้ หมาะสมกบั ผหู้ ญิงแสดง โดยไดร้ ับความอนุเคราะหจ์ ากนายมานพ ยาระณะ ศิลปิ นพ้ืนบา้ นเป็นผถู้ ่ายทอดท่าฟ้ อนและให้ คาแนะนาเก่ียวกบั ท่าราโดยมีนายปรีชา งามระเบียบรักษาการในตาแหน่งผชู้ ่วยผอู้ านวยการ วทิ ยาลยั นาฏศลิ ปเชียงใหม่(ฝ่ ายกิจกรรม)เป็นผคู้ วบคุมการประดิษฐท์ ่ารา ลกั ษณะการแต่งกายแต่งแบบชาวไทยล้ือ สวมเส้ือป้ ายทบั ขา้ ง เรียกวา่ “เส้ือ ป๊ัด” หรือ “เส้ือป๊ัดขา้ ง”ขลิบริมดว้ ยผา้ หลากสีเป็นริ้ว นุ่งผา้ ซิ่นเป็นริ้วลายขวาง ประดบั ดว้ ยแผน่ เงิน รัดเขม็ ขดั เงินเสน้ ใหญ่ ติดพ่แู ผงเงิน ใส่ต่างหูเงินและสวมกาไลขอ้ มือเงิน สาหรับทานอง เพลงท่ีใชป้ ระกอบการแสดงชุดฟ้ อนผางใหช้ ่ือวา่ “เพลงฟ้ อนผาง” แต่งโดยนายรักเกียรติ ปัญญา ยศ
ที่มารูป : https://fonnthai.wordpress.com ระบาชาวเขา เป็นการแสดงของชาวเขาเผา่ ลิซู หรือลีซอโดยเป็นระบาชุดท่ีใชแ้ สดงในงานรื่นเริงต่าง ๆ ชุดท่ีใชไ้ ดร้ ับการประยกุ ตม์ าจากเคร่ืองแต่งกายท่ีชาวเผา่ ลิซูใชใ้ นชีวติ ประจาวนั เคร่ืองดนตรีที่ ใชป้ ระกอบการแสดงคือ ขลุ่ยไมไ้ ผ่ สะลอ้ และพิณ ทม่ี ารูป : www.veesmiletravel.com ฟ้ อนที คาวา่ “ที” หมายถึง “ร่ม” เป็นคาภาษา “ไต” ใชเ้ รียกในจงั หวดั แม่ฮ่องสอน “ที” ทาง ภาคเหนือมีลกั ษณะและรูปทรงแตกต่างกนั ไปแต่ละจงั หวดั “ที” ท่ีชาวแม่ฮ่องสอนนิยมใชม้ ี รูปทรงสวยนามาใชเ้ ป็นอุปกรณ์ประกอบการราไดฟ้ ้ อนทีเป็นผลงานประดิษฐส์ ร้างสรรคข์ อง วทิ ยาลยั นาฏศิลปเชียงใหม่ จดั แสดงในงานนิทรรศการและการแสดงศลิ ปวฒั นธรรมของ สถานศกึ ษาในสงั กดั กองศลิ ปศึกษา กรมศิลปากร เพ่ือเทิดพระเกียติมเดจ็ พระนางเจา้ สิริกิต์ิ พระบรมราชินีนาถ ในวโรกาสทรงเจริญพระชนมายคุ รบ ๖๐ พรรษา ณ โรงละครแห่งชาติ เมื่อ เดือนสิงหาคม พ.ศ.๒๕๓๕ การแสดงชุดน้ีนาร่มมาใชป้ ระกอบลีลานาฎศิลป์ โดยมีท่าฟ้ อนเหนือ
ของเชียงใหม่ผสมกบั ท่าราไตของแม่ฮ่องสอน มีการแปรแถว และลีลาการใชร้ ่มในลกั ษณะต่าง ๆ ท่ีงดงาม เช่น การถือร่ม การกางร่ม การหุบร่ม เป็นตน้ ดนตรีท่ีใชป้ ระกอบการแสดง ใชด้ นตรีพ้นื เมืองภาคเหนือประสมวง ไดแ้ ก่ สะลอ้ กลาง สะลอ้ เลก็ ซ่ึงใหญ่ ซึงกลาง ซึงเลก็ ขลุ่ย กรับคู่ กลองพ้ืนเมือง การแต่งกายและทานองเพลง มุ่งเนน้ ความสวยงามของเครื่องแต่งกายตามประเพณีนิยมภาคเหนือ แบ่งเป็น ๒ แบบ คือ แบบหญิงไทล้ือ และแบบหญิงลา้ นนาแบบไทล้ือ นุ่งซ่ินลายขวาง เส้ือป๊ัด เกลา้ ผมสูงประดบั ดอกไมเ้ งิน ผา้ เคียนศีรษะประดบั กาไลขอ้ มือ ต่างหูแบบลา้ นนา นุ่งซ่ินตีนจก ผา้ คาดเอว เส้ือ เขา้ รูปแขนยาว เกลา้ ผมมวยต้งั กระบงั ผมหนา้ สูง ประดบั ดอกไมเ้ งิน เครื่องประดบั มีเขม็ ขดั กาไลขอ้ มือ สร้อยคอ ต่างหู การแสดงชุดน้ีใชเ้ วลาประมาณ ๑๐ นาที ท่มี ารูป : Google Sites นาฏศิลป์ พนื้ เมอื งภาคกลาง การแสดงพ้นื เมืองภาคกลาง เป็นศิลปะการรา และการละเล่นของชาวพ้ืนบา้ นภาคกลาง ซ่ึง ส่วนใหญ่มีอาชีพเกษตรกรรมศิลปะการแสดงจึงมีความสอดคลอ้ งกบั วถิ ีชีวติ และเพอ่ื ความ บนั เทิง สนุกสนาน เป็นการพกั ผอ่ นหยอ่ นใจจากการทางาน หรือเมื่อเสร็จจากฤดูเกบ็ เกี่ยว ส่วนมากเป็นการละเล่นประเภทการร้องโตต้ อบกนั ระหวา่ งฝ่ ายชายและฝ่ ายหญิงโดยใชป้ ฏิภาณ ไหวพริบในการร้องดน้ กลอนสด เช่น ลาตดั เพลงฉ่อย เพลงพวงมาลยั เพลงเรือ เพลงเกี่ยวขา้ ว เตน้ การาเคียว เพลงอีแซว เพลงปรบไก่ เพลงเหยอ่ ย ราเถิดเทิง ฯลฯ ใชเ้ ครื่องดนตรีพ้ืนบา้ น เช่น กลองยาว กลองโทน ฉ่ิง ฉาบ กรับ และ โหม่ง
ตัวอย่างนาฏศิลป์ พนื้ เมอื งภาคกลาง เต้นการาเคยี ว เป็นการแสดงพ้ืนเมืองของจงั หวดั นครสวรรค์ นิยมเล่นกนั ตามทอ้ งนา ผแู้ สดงท้งั ชาย และหญิงถือเคียวมือหน่ึงถือถือรวงขา้ ว ร้องเก้ียวพาราสีกนั อยา่ งสนุกสนาน ท่มี ารูป: Google Sites ราเหย่อย หรือราพาดผ้า เป็นการละเล่นที่แสดงวถิ ีชีวติ อนั สนุกของชาวบา้ นหมู่บา้ นเก่า ตาบลจระเขเ้ ผอื ก อาเภอ เมือง จงั หวดั กาญจนบุรี เป็นการร้องรา เก้ียวพาราสีระหวา่ งชาย-หญิง เริ่มการแสดงดว้ ยการ ประโคมกลองยาว จบแลว้ ผแู้ สดงชาย-หญิง ออกราทีละคู่ ท่ีมารูป: http://nattapornpan.blogspot.com/ นาฏศิลป์ พนื้ เมอื งภาคอสี าน
ภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือ (ภาคอีสาน) ลกั ษณะพ้ืนที่โดยทวั่ ไปของภาคอีสานเป็นที่ราบ สูง มีแหล่งน้าจากแม่น้าโขง แบ่งตามลกั ษณะของสภาพความเป็นอยู่ ภาษาและขนบธรรมเนียม ประเพณีท่ีแตกต่างกนั ประชาชนมีความเชื่อในทางไสยศาสตร์มีพิธีกรรมบชู าภูตผแี ละส่ิง ศกั ด์ิสิทธ์ิ การแสดงจึงเก่ียวขอ้ งกบั ชีวติ ประจาวนั และสะทอ้ นใหเ้ ห็นถึงการประกอบอาชีพและ ความเป็นอยไู่ ดเ้ ป็นอยา่ งดี การแสดงของภาคอีสานเรียกวา่ เซิ้ง เป็นการแสดงที่ค่อนขา้ งเร็ว กระฉบั กระเฉง สนุกสนาน เช่น เซิ้งกระติบขา้ ว เซิ้งโปงลาง เซิ้งกระหยงั เซิ้งสวงิ เซิ้งดึงครกดึง สาก เป็นตน้ นอกจากน้ียงั มี ฟ้ อนท่ีเป็นการแสดงคลา้ ยกบั ภาคเหนือ เช่น ฟ้ อนภูไท (ผไู้ ท) เป็น ตน้ ตวั อย่างนาฏศิลป์ พนื้ เมอื งภาคอสี าน เซิ้งสวงิ เป็นการละเล่นพ้นื เมืองของภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือ ในทอ้ งถ่ินอาเภอยางตลาด จงั หวดั กาฬสินธุ์ เป็นการละเล่นเพอ่ื ส่งเสริมดา้ นจิตใจของประชาชนในทอ้ งถ่ิน ซ่ึงมีอาชีพในการจบั สตั วน์ ้า โดยมีสวงิ เป็นเครื่องมือหลกั ในปี พ.ศ. ๒๕๑๕ ท่านผเู้ ชี่ยวชาญนาฎศิลป์ ไทย กรม ศลิ ปากร จึงไดน้ าท่าเซิ้งศิลปะทอ้ งถ่ินมาปรับปรุงใหเ้ ป็นท่าท่ีกระฉบั กระเฉงข้ึน โดยสอดคลอ้ ง กบั ท่วงทานองดนตรี ที่มีลกั ษณะสนุกสนานร่าเริง เครื่องดนตรี ท่ีใชบ้ รรเลงประกอบการแสดง ชุดเซิ้งสวงิ ไดแ้ ก่ กลองยาว กลองแตะ๊ แคน ฆอ้ งโหม่ง กบ๊ั แก๊บ ฉิ่ง ฉาบ กรับ การแต่งกายและทานองเพลง ชาย สวมเส้ือม่อฮ่อม นุ่งกางเกงขาก๊วย มีผา้ ขาวมา้ โพกศรี ษะและคาดเอว มือถือตะ ขอ้ ง หญิง นุ่งผา้ ซิ่นพ้ืนบา้ นอีสาน ผา้ มดั หมี่มีเชิงยาวคลุมเข่า สวมเส้ือตามลกั ษณะผหู้ ญิงชาวภู ไท คือสวมเส้ือแขนกระบอกคอปิ ด ผา่ อก ประดบั เหรียญโลหะสีเงิน ปัจจุบนั ใชก้ ระดุมพลาสติก สีขาวแทน ขลิบชายเส้ือ คอ ปลายแขน และขลิบผา่ อกตลอดแนวดว้ ยผา้ สีตดั กนั เช่น สีเขียวขลิบ แดง หรือสวมเส้ือกระบอกคอปิ ด ผา่ อก ห่มสไบเฉียงทบั ตวั เส้ือ สวมสร้อยคอโลหะทาดว้ ยเงิน ใส่กาไลขอ้ มือและกาไลขอ้ เทา้ ผมเกลา้ มวยสูงไวก้ ลางศีรษะ ทดั ดอกไม้ มือถือสวงิ
ท่ีมารูป: Google Sites เซิ้งโปงลาง โปงลางเดิมเป็นชื่อของโปงที่แขวนอยทู่ ี่คอของววั ต่าง โปงทาดว้ ยไมห้ รือโลหะ ที่ เรียกวา่ โปงเพราะส่วนล่างปากของมนั โตหรือพองออก ในสมยั โบราณชาวอีสานเวลาเดินทางไป คา้ ขายยงั ต่างแดน โดยใชบ้ รรทุกสินคา้ บนหลงั ววั ยกเวน้ ววั ต่างเพราะเป็นววั ที่ใชน้ าหนา้ ขบวน ผกู โปงลางไวต้ รงกลางส่วนบนของต่าง เวลาเดินจะเอียงซา้ ยทีขวาทีสลบั กนั ไป ทาใหเ้ กิดเสียง ดงั ซ่ึงเป็นสัญญาณบอกใหท้ ราบวา่ หวั หนา้ ขบวนอยทู่ ่ีใด และกาลงั มุ่งหนา้ ไปทางไหนเพอื่ ป้ องกนั มิใหห้ ลงทางส่วนระนาดโปงลางท่ีใชเ้ ป็นดนตรีปัจจุบนั น้ี พบมากท่ีจงั หวดั กาฬสินธุ์ เรียกวา่ \"ขอลอ\" หรือ \"เกาะลอ\" ดงั เพลงลอ้ สาหรับเดก็ วา่ \"หวั โปก กระโหลกแขวนคอ ตีขอลอ ดงั ไปหม่องๆ\" ชื่อ \"ขอลอ\" ไม่ค่อยไพเราะจึงมีคนต้งั ชื่อใหม่วา่ \"โปงลาง\" และนิยมเรียกกนั มา จนถึงปัจจุบนั ไมท้ ี่นามาทาเป็นโปงลางท่ีนิยมกนั ไดแ้ ก่ ไมม้ ะหาด และไมห้ มากเหลื่อม การเล่น ทานองดนตรีของโปงลางจะใชล้ ายเดียวกนั กบั แคน และพิณ ลายที่นิยมนามาจดั ท่าประกอบการ ฟ้ อน เช่น ลายลมพดั พรา้ ว ลายชา้ งข้ึนภู ลายแม่ฮา้ งกล่อมลูก ลายนกไซบินขา้ มทุ่ง ลายแมงภู่ ตอมดอก ลายกาเตน้ กอ้ น เป็นตน้ การแต่งกายและทานองเพลง ใชผ้ แู้ สดงหญิงลว้ นสวมเส้ือแขนกระบอกสีพ้นื นุ่งผา้ มดั หมี่ใชผ้ า้ สไบเฉียงไหล่ ผกู โบว์ ตรงเอว ผมเกลา้ มวยทดั ดอกไม้ เครื่องดนตรี ใชด้ นตรีพ้นื เมืองอีสาน ลายโปงลางหรือลายอื่นๆ
ท่มี ารูป: Google Sites นาฏศิลป์ พนื้ เมอื งภาคใต้ โดยทว่ั ไปภาคใตม้ ีอาณาเขตติดกบั ทะเลฝ่ังตะวนั ตกและตะวนั ออก ทางดา้ นใตต้ ิดกบั มลายู ทาใหร้ ับวฒั นธรรมของมลายมู าบา้ ง ประชากรจึงมีชีวติ ความเป็นอยู่ ขนบธรรมเนียม ประเพณีและบุคลิกบางอยา่ งที่คลา้ ยคลึงกนั คือ พดู เร็ว อุปนิสัยวอ่ งไว ตดั สินใจ รวดเร็ว เดด็ ขาด มีอุปนิสยั รักพวกพอ้ ง รักถิ่นที่อยอู่ าศยั และศลิ ปวฒั นธรรมของตนเอง จึงมีความพยายามที่จะ ช่วยกนั อนุรักษไ์ วจ้ นสืบมาจนถึงทุกวนั น้ี การแสดงของภาคใตม้ ีลีลาท่าราคลา้ ยกบั การเคล่ือนไหวของร่างกายมากกวา่ การฟ้ อนรา ซ่ึงจะออกมาในลกั ษณะกระตุน้ อารมณ์ใหม้ ีชีวติ ชีวาและสนุกสนาน เช่น โนรา หนงั ตะลุง รองเงง็ ตารีกีปัส เป็นตน้ ตวั อย่างนาฏศิลป์ พนื้ เมอื งภาคใต้ ลเิ กป่ า เป็นการแสดงพ้นื บา้ นทางภาคใต้ เดิมเรียกวา่ ลิเก หรือ ยเ่ี ก เม่ือลิเกของภาคกลางไดร้ ับการ เผยแพร่สู่ภาคใตจ้ ึงเติมคาวา่ ป่ า เพ่ือแยกใหช้ ดั เจน เมื่อประมาณ ๓๐ ปี ท่ีผ่านมาลิเกป่ าไดร้ ับ ความนิยมอยา่ งกวา้ งขวาง แถบพ้ืนที่ทางฝั่งตะวนั ตกโดยเฉพาะจงั หวดั กระบี่ ตรัง พงั งา ส่วน ทางฝั่งทะเลตะวนั ออก ท่ีเป็นแหล่งความเจริญกม็ ีลิเกป่ าอยแู่ พร่หลาย เช่น อาเภอเมือง จงั หวดั
พทั ลุง อาเภอสะทิงพระ จงั หวดั สงขลา และอาเภอเมือง จงั หวดั สงขลา ปัจจุบนั ไดเ้ ส่ือมความ นิยมลงจนถึงขนาดหาชมไดย้ าก ทมี่ ารูป: https://www.manager.co.th รองเงง็ การเตน้ รองเงง็ สมยั โบราณ เป็นที่นิยมกนั ในบา้ นขนุ นาง หรือเจา้ เมืองในส่ีจงั หวดั ชายแดน ต่อมาไดแ้ พร่หลายสู่ชาวบา้ นโดยอาศยั การแสดงมะโยง่ เป็นเรื่องและมีการพกั คร้ังละ ๑๐ – ๑๕ นาที ระหวา่ งท่ีพกั น้นั สลบั ฉากดว้ ยรองเงง็ เม่ือดนตรีข้ึนเพลงรองเงง็ ฝ่ ายหญิงที่ แสดงมะโยง่ จะลุกข้ึนเตน้ จบั คู่กนั เอง เพ่ือใหเ้ กิดความสนุกสนานยงิ่ ข้ึน มีการเชิญผชู้ มเขา้ ร่วม วงดว้ ย ภายหลงั มีการจดั ต้งั คณะรองเงง็ แยกต่างหากจากมะโยง่ ผทู้ ่ีริเริ่มฝึ กรองเงง็ คือ ขนุ จารุ วเิ ศษศึกษากร ถือวา่ เป็นบรมครูทางรองเงง็ เดิมการเตน้ รองเงง็ จะมีลีลาตามบทเพลงไม่นอ้ ยกวา่ ๑๐ เพลง แต่ปัจจุบนั น้ีที่นิยมเตน้ มีเพยี ง ๗ เพลงเท่าน้นั วธิ ีการแสดงรองแงง็ การเตน้ รองเงง็ ส่วนใหญ่มีชายหญิงฝ่ ายละ ๕ คน โดยเขา้ แถวแยกเป็นชายแถวหน่ึงหญิง แถวหน่ึงยนื ห่างกนั พอสมควร ความสวยงามของการเตน้ รองเงง็ อยทู่ ่ีลีลาการเคล่ือนไหวของเทา้ มือ ลาตวั และลีลาการร่ายรา ตลอดจนการแต่งกายของคู่ชายหญิง และความไพเราะของ ดนตรีประกอบกนั การแต่งกาย ผชู้ ายแต่งกายแบบพ้นื เมือง สวมหมวกไม่มีปี ก หรือใชห้ มวกแขกสีดา นุ่ง กางเกงขายาวกวา้ งคลา้ ยกางเกงจีน สวมเส้ือคอกลมแขนยาวผา่ คร่ึงอกสีเดียวกบั กางเกง ใช้ โสร่งยาวเหนือเข่าสวมทบั กางเกงเรียกวา่ ซอแกะ
ท่ีมารูป: https://yala-patani-naratiwat.blogspot.com การแสดงนาฏศิลป์ ไทย4ภาค การแสดงนาฏศิลป์ ไทยภาคใต้ โนรา เป็นนาฏศิลป์ ท่ีไดร้ ับความนิยมมากท่ีสุด ในบรรดาศิลปะการแสดงของภาคใต้ มีความยง่ั ยนื มา นบั เป็นเวลาหลายร้อยปี การแสดงโนราเนน้ ท่าราเป็ นสาคญั ตอ่ มาไดน้ าเร่ืองราวจากวรรณคดีหรือนิทาน ทอ้ งถิ่นมาใชใ้ นการแสดงเรื่อง พระสุธนมโนห์รา เป็นเรื่องที่มีอิทธิพลตอ่ การแสดงมากท่ีสุดจนเป็นเหตุให้ เรียกการแสดงน้ีวา่ มโนห์รา ตามตานานของชาวใตเ้ กี่ยวกบั กาเนิดของโนรา มีความเป็นมาหลายตานาน เช่น ตานาน โนรา จงั หวดั ตรัง จงั หวดั นครศรีธรรมราช จงั หวดั สงขลา และจงั หวดั พทั ลุง มีความแตกต่างกนั ท้งั ชื่อที่ปรากฏในเร่ืองและเน้ือเรื่องบางตอน ท้งั น้ีอาจสืบเนื่องมาจาก ความคิด ความเช่ือ ตลอดจนวธิ ีสืบทอดที่ ตา่ งกนั จึงทาใหร้ ายละเอียดปลีกยอ่ ยของแตล่ ะตานานแตกตา่ งกนั
จากการศึกษาท่าราอยา่ งละเอียดจะเห็นวา่ ทา่ ราท่ีสืบทอดกนั มาน้นั ไดม้ าจากความประทบั ใจที่มีตอ่ ธรรมชาติ เช่น ทา่ ลีลาของสัตวบ์ างชนิดมี ทา่ มจั ฉา ทา่ กวางเดินดง ท่านกแขกเตา้ เขา้ รัง ทา่ หงส์ บิน ท่ายงู ฟ้ อนหาง ฯลฯ ทา่ เกี่ยวกบั ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ เช่น ท่าพระจนั ทร์ทรงกลด ท่ากระตา่ ยชม จนั ทร์ ตอ่ มาเม่ือไดร้ ับวฒั นธรรมจากอินเดียเขา้ มากม็ ี ท่าพระลกั ษมณ์แผลงศร พระรามนา้ วศิลป์ และทา่ พระพุทธเจา้ หา้ มมาร ท่าราและศิลปะการราต่างๆ ของโนรา ท่านผรู้ ู้หลายทา่ นเช่ือวา่ เป็นตน้ แบบของ ละครชาตรีและการราแม่บทของราไทยดว้ ย ท่าราโนรามีเอกลกั ษณ์เฉพาะตวั ผทู้ ่ีฝึกหดั นาฏศิลป์ ของภาคกลางแลว้ จะราทา่ ของโนราไม่สวย เพราะ การทรงตวั การทอดแขน ต้งั วงหรือลีลาต่างๆ ไม่เหมือนกนั ผทู้ ี่จะราโนราไดส้ วยงามจะตอ้ งมีพ้ืนฐานการ ทรงตวั ดงั น้ี ช่วงลาตวั จะตอ้ งแอน่ อกอยเู่ สมอ หลงั จะตอ้ งแอน่ และลาตวั ยน่ื ไปขา้ งหนา้ ไม่วา่ จะราทา่ ไหน หลงั จะตอ้ งมีพ้ืนฐานการวางตวั เช่นน้ีเสมอ ช่วงวงหนา้ วงหนา้ หมายถึง ส่วนลาคอกระทง่ั ศีรษะ จะตอ้ งเชิดหนา้ หรือแหงนข้ึนเลก็ นอ้ ยในขณะ รา ช่วงหลงั ส่วนกน้ จะตอ้ งงอนเล็กนอ้ ย การยอ่ ตวั เป็นสิ่งสาคญั ยง่ิ การราโนราน้นั ลาตวั หรือทุกส่วนจะตอ้ งยอ่ ลงเลก็ นอ้ ย นอกจาก ยอ่ ลาตวั แลว้ เข่าจะตอ้ งยอ่ ลงดว้ ย วธิ ีการแสดง การแสดงโนรา เร่ิมตน้ จากการลงโรง (โหมโรง)กาดโรงหรือกาดครู (เชิญครู) “พธิ ีกาด ครู” ในโนราถือวา่ ครูเป็นเรื่องสาคญั มาก ฉะน้นั ก่อนที่จะราจะตอ้ งไหวค้ รู เชิญครูมาคุม้ กนั รักษา หลาย ตอนมีการราพนั สรรเสริญครู สรรเสริญคุณมารดา เป็นตน้ ลิเกป่ า
เป็นการแสดงพ้ืนบา้ นทางภาคใต้ เดิมเรียกวา่ ลิเก หรือ ย่ีเก เม่ือลิเกของภาคกลางไดร้ ับการเผยแพร่สู่ ภาคใตจ้ ึงเติมคาวา่ ป่ า เพือ่ แยกใหช้ ดั เจน เมื่อประมาณ ๓๐ ปี ท่ีผา่ นมาลิเกป่ าไดร้ ับความนิยมอยา่ ง กวา้ งขวาง แถบพ้นื ท่ีทางฝ่ังตะวนั ตกโดยเฉพาะจงั หวดั กระบ่ี ตรัง พงั งา ส่วนทางฝ่ังทะเลตะวนั ออก ที่ เป็นแหล่งความเจริญกม็ ีลิเกป่ าอยแู่ พร่หลาย เช่น อาเภอเมือง จงั หวดั พทั ลุง อาเภอสะทิงพระ จงั หวดั สงขลา และอาเภอเมือง จงั หวดั สงขลา ปัจจุบนั ไดเ้ ส่ือมความนิยมลงจนถึงขนาดหาชมไดย้ าก ลิเกป่ า มีชื่อเรียกตา่ งออกไป คือ - แขกแดง เรียกตามขนบการแสดงตอนหน่ึงซ่ึงเป็ นสัญลกั ษณ์ของลิเก คือ การออกแขก “แขก แดง” ตามความเขา้ ใจของชาวภาคใตห้ มายถึงแขกอินเดีย หรือแขกอาหรับ บางคนเรียกแขกแดง วา่ “เทศ” และ เรียกการออกแขกแดงวา่ “ออกเทศ” - ลิเกรามะนา เรียกตามช่ือดนตรีหลกั ที่ใชป้ ระกอบการแสดงคือ รามะนา ซ่ึงช่ือน้ีอาจไดร้ ับอิทธิพล มาจากแสดงชนิดหน่ึงของมาลายทู ่ีใชก้ ลอง “ราบานา” เป็ นหลกั อีกต่อหน่ึงกไ็ ด้ - ลิเกบก อาจเรียกช่ือตามกลุ่มชนผเู้ ร่ิมวฒั นธรรมดา้ นน้ีข้ึน โดยชนกลุ่มน้ีอาจมีสภาพวฒั นธรรมที่ลา้ หลงั อยกู่ ่อน เพราะ “บก” หมายถึง “ลา้ หลงั ” ไดด้ ว้ ยลิเกบก จึงหมายถึงของคนที่ดอ้ ยทางวฒั นธรรม ช่ือ น้ีใชเ้ รียกแถบจงั หวดั สงขลา มะโยง่
เป็นศิลปะการแสดงละครอยา่ งหน่ึงของชาวไทยมุสลิม กล่าวกนั วา่ มะโยง่ เร่ิมแสดงในราชสานกั เมือง ปัตตานี เมื่อประมาณ ๔๐๐ ปี มาแลว้ จากน้นั ไดแ้ พร่หลายไปทางรัฐกลนั ตนั วธิ ีการแสดง การแสดงมะโยง่ เร่ิมตน้ ดว้ ยการไหวค้ รู โดยหวั หนา้ คณะมะโยง่ ทาพิธีไหวค้ รู คือไหวบ้ รรพ บุรุษผฝู้ ึกสอนวธิ ีการแสดงมะโยง่ เคร่ืองบูชาครูกม็ ีกานลั ดว้ ยเงิน ๑๒ บาท เทียน ๖ แทง่ การไหวค้ รูน้นั ถา้ เล่นธรรมดา อาจไม่ตอ้ งมีการไหวค้ รูก็ได้ แต่ถา้ เล่นในงานพิธี หรือเล่นในงานทาบุญ ตอ่ อายผุ ปู้ ่ วยกต็ อ้ งมีพธิ ีไหวค้ รู จะตดั ออกไมไ่ ด้ โอกาสท่ีแสดง ตามปกติมะโยง่ แสดงไดท้ ุกฤดูกาล ยกเวน้ ในเดือนที่ถือศีลอด (ปอซอ) ของชาวไทย มุสลิม การแสดงมกั แสดงในงานรื่นเริงตา่ งๆ เช่น งานฮารีรายอ รองเง็ง การเตน้ รองเงง็ สมยั โบราณ เป็นท่ีนิยมกนั ในบา้ นขุนนาง หรือเจา้ เมืองในส่ีจงั หวดั ชายแดน ต่อมาได้ แพร่หลายสู่ชาวบา้ นโดยอาศยั การแสดงมะโยง่ เป็นเร่ืองและมีการพกั คร้ังละ ๑๐ – ๑๕ นาที ระหวา่ งที่พกั น้นั สลบั ฉากดว้ ยรองเง็ง เมื่อดนตรีข้ึนเพลงรองเงง็ ฝ่ ายหญิงท่ีแสดงมะโยง่ จะลุกข้ึนเตน้ จบั คู่ กนั เอง เพอ่ื ใหเ้ กิดความสนุกสนานยง่ิ ข้ึน มีการเชิญผชู้ มเขา้ ร่วมวงดว้ ย ภายหลงั มีการจดั ต้งั คณะรองเง็ง
แยกต่างหากจากมะโยง่ ผทู้ ่ีริเร่ิมฝึกรองเง็ง คือ ขนุ จารุวเิ ศษศึกษากร ถือวา่ เป็นบรมครูทางรองเงง็ เดิมการ เตน้ รองเงง็ จะมีลีลาตามบทเพลงไมน่ อ้ ยกวา่ ๑๐ เพลง แต่ปัจจุบนั น้ีท่ีนิยมเตน้ มีเพยี ง ๗ เพลงเทา่ น้นั วธิ ีการแสดง การเตน้ รองเงง็ ส่วนใหญ่มีชายหญิงฝ่ ายละ ๕ คน โดยเขา้ แถวแยกเป็นชายแถวหน่ึงหญิง แถวหน่ึงยนื ห่างกนั พอสมควร ความสวยงามของการเตน้ รองเง็งอยทู่ ่ีลีลาการเคล่ือนไหวของเทา้ มือ ลาตวั และลีลาการร่ายรา ตลอดจนการแต่งกายของคู่ชายหญิง และความไพเราะของดนตรีประกอบ กนั การแต่งกาย ผชู้ ายแตง่ กายแบบพ้ืนเมือง สวมหมวกไมม่ ีปี ก หรือใชห้ มวกแขกสีดา นุ่งกางเกงขายาว กวา้ งคลา้ ยกางเกงจีน สวมเส้ือคอกลมแขนยาวผา่ คร่ึงอกสีเดียวกบั กางเกง ใชโ้ สร่งยาวเหนือเขา่ สวมทบั กางเกงเรียกวา่ ซอแกะ เคร่ืองดนตรี และเพลงประกอบ ดนตรีที่ใชป้ ระกอบการเตน้ รองเง็ง มีเพยี ง ๓ อยา่ ง คือ ๑. รามะนา ๒. ฆอ้ ง ๓. ไวโอลิน โอกาสที่แสดง เดิมรองเงง็ แสดงในงานตอ้ นรับแขกเมืองหรืองานพิธีต่างๆ ตอ่ มานิยมแสดงในงานร่ืน เริง เช่น งานประจาปี งานอารีรายอ ตลอดจนการแสดงโชวใ์ นโอกาสตา่ งๆ เช่น งานแสดงศิลปวฒั นธรรม พ้ืนบา้ น นาฏศิลป์ พ้ืนเมืองภาคเหนือ ภาคเหนือ จากสภาพภูมิประเทศที่อุดมไปดว้ ยป่ า มีทรัพยากรมากมาย มีอากาศหนาวเยน็ ประชากรมีอุปนิสยั เยอื กเยน็ นุ่มนวล งดงาม รวมท้งั กิริยา การพดู จา มีสาเนียงน่าฟัง จึงมีอิทธิพลทาใหเ้ พลงดนตรีและการแสดง มี ท่วงทานองชา้ เนิบนาบ นุ่มนวล ตามไปดว้ ย การแสดงของภาคเหนือเรียกวา่ ฟ้ อน เช่น ฟ้ อนเลบ็ ฟ้ อนเทียน ฟ้ อนเง้ียว ฟ้ อนสาวไหม เป็ นตน้ ภาคเหนือน้ีมีการแสดงหรือการร่ายราที่มีจงั หวะชา้ ทา่ ราท่ีอ่อนชอ้ ย นุ่มนวล เพราะมีอากาศเยน็ สบาย ทาใหจ้ ิตใจของผคู้ นมีความนุ่มนวล อ่อนโยน ภาษาพดู ก็นุ่มนวลไปดว้ ย เพลงมีความไพเราะ อ่อนหวาน ผคู้ นไม่ตอ้ งรีบร้อนในการทามาหากิน ส่ิงตา่ งๆ เหล่าน้นั มีอิทธิพลต่อการ แสดงนาฏศิลป์ ของภาคเหนือ นาฏศิลป์ ของภาคเหนือเช่น ฟ้ อนเทียน ฟ้ อนเล็บ ฟ้ อนมาลยั ฟ้ อนสาวไหม ฟ้ อนดาบ ฟ้ อนเชิง(ฟ้ อนเจิง) ตี กลองสะบดั ไชย ซอ คา่ ว นอกจากน้ี นาฏศิลป์ ของภาคเหนือยงั ไดร้ ับอิทธิพลจากประเทศใกลเ้ คียง ไดแ้ ก่
พม่า ลาว จีน และวฒั นธรรมของชนกลุ่มนอ้ ย เช่น ไทยใหญ่ เง้ียว ชาวไทยภูเขา ยอง เป็ นตน้ ดงั น้นั นาฏศิลป์ พ้นื เมืองของภาคเหนือ นอกจากมีของท่ีเป็ น \"คนเมือง\" แทๆ้ แลว้ ยงั มีนาฏศิลป์ ที่ผสม กลมกลืนกบั ชนชาติตา่ งๆ และของชนเผา่ ตา่ งๆ อีกหลายอยา่ ง เช่น อิทธิพลจากพม่า เช่น ฟ้ อนม่านมงคล ฟ้ อนมา่ นมุย้ เชียงตา นาฏศิลป์ ของชนเผา่ ต่างๆ เช่น ฟ้ อนนก(กิงกาหล่า - ไทยใหญ่) ฟ้ อนเง้ียว (เง้ียว) ระบา เก็บใบชา(ชาวไทยภูเขา)เป็ นตน้ ฟ้ อนสาวไหม ฟ้ อนสาวไหม เป็นการฟ้ อนพ้นื เมืองท่ีเลียนแบบมาจากการทอผา้ ไหมของชาวบา้ น การฟ้ อนสาวไหมเป็น การฟ้ อนราแบบเก่า เป็นท่าหน่ึงของฟ้ อนเจิงซ่ึงอยใู่ นชุดเดียวกบั การฟ้ อนดาบ ลีลาการฟ้ อนเป็นจงั หวะท่ี คล่องแคล่วและรวดเร็ว (สะดุดเป็นช่วง ๆ เหมือนการทอผา้ ดว้ ยกี่กระตุก ประมาณปี พ.ศ. 2500 คุณบวั เรียว รัตนมณีกรณ์ ไดค้ ิดทา่ ราข้ึนมาโดยอยภู่ ายใตก้ ารแนะนาของบิดา ทา่ ราน้ีไดเ้ นน้ ถึงการเคล่ือนไหวที่ต่อเนื่อง และนุ่มนวล ซ่ึงเป็นท่าท่ีเหมาะสมในการป้ องกนั ไม่ใหเ้ ส้นไหมพนั กนั ในปี พ.ศ. 2507 คุณพลอยศรี สรรพ ศรี ช่างฟ้ อนเก่าในวงั ของเจา้ เชียงใหมอ่ งคส์ ุดทา้ ย (เจา้ แกว้ นวรัฐ) ไดร้ ่วมกบั คุณบวั เรียว รัตนมณีกรณ์ไดข้ ดั เกลาท่าราข้ึนใหม่ ตอ่ มาในปี พ.ศ. 2520 คณะอาจารยว์ ทิ ยาลยั นาฏศิลป์ เชียงใหม่ ไดค้ ิดท่าราข้ึนมาเป็นแบบฉบบั ของวทิ ยาลยั เอง ดนตรีท่ีใชป้ ระกอบการฟ้ อน จะใชว้ งดนตรีพ้นื เมืองซ่ึงมีสะลอ้ ซอ ซึง เพลงร้องมกั ไม่นิยมนามาแสดง จะมี แต่เพลงท่ีใชบ้ รรเลงประกอบ แต่เดิมที่บิดาของคุณบวั เรียวใชน้ ้นั เป็นเพลงปราสาทไหว ส่วนคุณบวั เรียวจะ ใชเ้ พลงลาวสมเดจ็ เมื่อมีการถ่ายทอดมา คณะครูนาฎศิลป์ จึงไดเ้ ลือกสรรโดยใชเ้ พลง \"ซอปั่นฝ้ าย\" ซ่ึงมี ท่วงทานองเป็ นเพลงซอทานองหน่ึงที่นิยมกนั ในจงั หวดั น่าน และมีลีลาที่สอดคลอ้ งกบั ทา่ รา การแตง่ กาย แต่งกายแบบพ้นื เมือง คือนุ่งผา้ ถุง ใส่เส้ือแขนกระบอกห่มสไบทบั เกลา้ ผมมวยประดบั ดอกไม้ ฟ้ อนผาง
เป็นศิลปะการฟ้ อนท่ีมีมาแต่โบราณ เป็นการฟ้ อนเพ่ือบูชาองคส์ มั มาสมั พทุ ธเจา้ ลีลาการฟ้ อนดาเนินไปตาม จงั หวะของการตีกลองสะบดั ชยั มือท้งั สองจะถือประทีปหรือผางผะต้ีบ แต่เดิมใชผ้ ชู้ ายแสดง ตอ่ มานาย เจริญ จนั ทร์เพือ่ น ผอู้ านวยการวทิ ยาลยั นาฏศิลปเชียงใหม่ ดาริใหค้ ณะครูอาจารยห์ มวดวชิ านาฏศิลป์ พ้นื เมืองเป็นผปู้ ระดิษฐท์ า่ ราใหเ้ หมาะสมกบั ผหู้ ญิงแสดง โดยไดร้ ับความอนุเคราะห์จากนายมานพ ยาระณะ ศิลปิ นพ้ืนบา้ นเป็นผถู้ ่ายทอดท่าฟ้ อนและใหค้ าแนะนาเก่ียวกบั ทา่ ราโดยมีนายปรีชา งามระเบียบ อาจารย์ 2 ระดบั 7รักษาการในตาแหน่งผชู้ ่วยผอู้ านวยการวทิ ยาลยั นาฏศิลปเชียงใหม(่ ฝ่ ายกิจกรรม) เป็นผู้ ควบคุมการประดิษฐท์ า่ รา การแตง่ กายและทานองเพลง ลกั ษณะการแตง่ กายแตง่ แบบชาวไทยล้ือ สวมเส้ือป้ ายทบั ขา้ ง เรียกวา่ “เส้ือปั๊ด” หรือ “เส้ือป๊ัดขา้ ง” ขลิบริม ดว้ ยผา้ หลากสีเป็นริ้ว นุ่งผา้ ซิ่นเป็นริ้วลายขวาง ประดบั ดว้ ยแผน่ เงิน รัดเขม็ ขดั เงินเส้นใหญ่ ติดพแู่ ผงเงิน ใส่ ตา่ งหูเงินและสวมกาไลขอ้ มือเงิน สาหรับทานองเพลงท่ีใชป้ ระกอบการแสดงชุดฟ้ อนผางใหช้ ่ือวา่ “เพลงฟ้ อนผาง” แตง่ โดยนายรักเกียรติ ปัญญายศ อาจารย์ 3 ระดบั 8 หมวดวชิ าเคร่ืองสายไทย วทิ ยาลยั นาฏศิลปเชียงใหม่ ฟ้ อนแพน
ฟ้ อนแฟนหรือลาวแพนซ่ึงเป็ นชื่อเพลงดนตรีไทยในจาพวกเพลงเดี่ยว ซ่ึงนกั ดนตรีใชเ้ ป็นเพลงสาหรับเดี่ยว อวดฝีมือในทางดุริยางคศิลป์ เช่นเดียวกบั เพลงเดี่ยวอ่ืนๆ แตเ่ ดี่ยวลาวแพนน้ีมีเคร่ืองดนตรีเหมาะสมแก่ ทานองจริง ๆ อยเู่ พียง 2 อยา่ งคือจะเขแ้ ละปี่ ในเท่าน้นั ส่วนเคร่ืองดนตรีอื่นก็ทาไดน้ ่าฟังเหมือนกนั แต่กไ็ ม่มี เสน่ห์เท่าจะเขแ้ ละปี่ ใน เพลงน้ีบางทีเรียกกนั วา่ \"ลาวแคน\" การประดิษฐท์ ่าราที่พบหลกั ฐานนามาใชใ้ นละคร เร่ือง พระลอ พระราชนิพนธ์ของ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอกรม พระนราธิปประพนั ธ์พงศ์ ตอนพระลอลงสรงในแมน่ ้ากาหลง ทา่ ราไดป้ ระดิษฐข์ ้ึนโดยอาศยั เคา้ ทา่ ฟ้ อนของ ภาคเหนือและภาคอีสานเป็นแบบอยา่ ง และดดั แปลงใหเ้ หมาะสมกลมกลืนกบั ทานองเพลง การฟ้ อนลาว แพนในละครเรื่องพระลอเป็ นการฟ้ อนเด่ียว ตอ่ มาจึงมีผนู้ าเอาไปใชใ้ นการฟ้ อนหมู่ โดยเอาทา่ ฟ้ อนเดี่ยวมา ดดั แปลงเพม่ิ เติมแกไ้ ขใหเ้ หมาะสมกบั การราหลาย ๆ คน ปัจจุบนั การฟ้ อนลาวแพนมีท้งั การแสดงท่ีเป็น หญิงลว้ นและชายหญิง บางโอกาสยงั เพ่ิมเติมแตง่ บทร้องประกอบการแสดงไดอ้ ีกดว้ ย ระบาซอ เป็นฟ้ อนประดิษฐข์ อง พระราชชายาเจา้ ดารารัศมี พระราชชายาของรัชกาลที่ 5 เป็นการผสมผสานการแสดง บลั เล่ตข์ องทางตะวนั ตกกบั การฟ้ อนแบบพ้นื เมือง ใชก้ ารแตง่ กายแบบหญิงชาวกะเหร่ียง โดยมีความหมาย วา่ ชาวเขากม็ ีความจงรักภกั ดี ตอ่ พระมหากษตั ริยไ์ ทย ใชเ้ พลงทางดนตรีไทย หลายเพลงประกอบการแสดง เช่น เพลงลาวจอ้ ย ตอ้ ยตล่ิง ลาวกระแต ลาวดวงดอกไม้ ลาวกระแซ มีคาร้องทานองซอยนิ้ ที่แตง่ เป็นคาสรรเสริญ ใชแ้ สดงในการ สมโภชชา้ งเผือกของรัชกาลท่ี 7คร้ังเม่ือเสดจ็ เลียบมณฑลพายพั ปัจจุบนั ไดม้ ีการลดจานวนนกั แสดงลงและ ตดั เพลงบางทอ่ นออกเพ่ือให้เหมาะสมในการแสดงในโอกาสตา่ งๆ ระบาชาวเขา
เป็นการแสดงของชาวเขาเผา่ ลิซู หรือลีซอโดยเป็นระบาชุดท่ีใชแ้ สดงในงานรื่นเริงต่าง ๆ ชุดท่ีใชไ้ ดร้ ับการ ประยกุ ตม์ าจากเคร่ืองแตง่ กายที่ชาวเผา่ ลิซูใชใ้ นชีวติ ประจาวนั เครื่องดนตรีที่ใชป้ ระกอบการแสดงคือ ขลุ่ยไมไ้ ผ่ สะลอ้ และพณิ ฟ้ อนขนั ดอก เป็นฟ้ อนประดิษฐใ์ หม่ มีลีลาทา่ ฟ้ อนไดม้ าจากการใส่ขนั ดอกบูชาเสาอินทขิล ซ่ึงเป็นเสาหลกั เมืองเชียงใหม่ ช่วงเดือนพฤษภาคมของทุกปี ปัจจุบนั ฟ้ อนชนิดน้ีใชฟ้ ้ อนในงานพธิ ีมงคล เพลงที่ใชใ้ นการประกอบการ แสดงใชเ้ พลงกุหลาบเชียงใหม่ ลีลาท่าฟ้ อนออ่ นชอ้ ยเขา้ กบั ความอ่อนหวานของทว่ งทานองเพลง ฟ้ อนที คาวา่ “ที” หมายถึง “ร่ม” เป็นคาภาษา “ไต” ใชเ้ รียกในจงั หวดั แม่ฮ่องสอน “ที” ทางภาคเหนือมีลกั ษณะและ รูปทรงแตกต่างกนั ไปแตล่ ะจงั หวดั “ที” ท่ีชาวแมฮ่ อ่ งสอนนิยมใชม้ ีรูปทรงสวยนามาใชเ้ ป็นอุปกรณ์ ประกอบการราไดฟ้ ้ อนทีเป็นผลงานประดิษฐส์ ร้างสรรคข์ องวทิ ยาลยั นาฏศิลปเชียงใหม่ จดั แสดงในงาน นิทรรศการและการแสดงศิลปวฒั นธรรมของสถานศึกษาในสงั กดั กองศิลปศึกษา กรมศิลปากร เพ่อื เทิดพระ เกียติมเด็จพระนางเจา้ สิริกิต์ิ พระบรมราชินีนาถ ในวโรกาสทรงเจริญพระชนมายคุ รบ ๖๐ พรรษา ณ โรง ละครแห่งชาติ เมื่อเดือนสิงหาคม พ.ศ.๒๕๓๕ การแสดงชุดน้ีนาร่มมาใชป้ ระกอบลีลานาฎศิลป์ โดยมีท่า
ฟ้ อนเหนือของเชียงใหมผ่ สมกบั ทา่ ราไตของแมฮ่ ่องสอน มีการแปรแถว และลีลาการใชร้ ่มในลกั ษณะตา่ ง ๆ ที่งดงาม เช่น การถือร่ม การกางร่ม การหุบร่ม เป็นตน้ ดนตรีที่ใชป้ ระกอบการแสดง ใชด้ นตรีพ้ืนเมืองภาคเหนือประสมวง ไดแ้ ก่ สะลอ้ กลาง สะลอ้ เล็ก ซ่ึงใหญ่ ซึงกลาง ซึงเลก็ ขลุ่ย กรับคู่ กลองพ้ืนเมือง การแตง่ กาย มุ่งเนน้ ความสวยงามของเครื่องแตง่ กายตามประเพณีนิยมภาคเหนือ แบ่งเป็น ๒ แบบ คือ แบบ หญิงไทล้ือ และแบบหญิงลา้ นนาแบบไทล้ือ นุ่งซิ่นลายขวาง เส้ือป๊ัด เกลา้ ผมสูงประดบั ดอกไมเ้ งิน ผา้ เคียน ศีรษะประดบั กาไลขอ้ มือ ต่างหูแบบลา้ นนา นุ่งซ่ินตีนจก ผา้ คาดเอว เส้ือเขา้ รูปแขนยาว เกลา้ ผมมวยต้งั กระ บงั ผมหนา้ สูง ประดบั ดอกไมเ้ งิน เครื่องประดบั มีเขม็ ขดั กาไลขอ้ มือ สร้อยคอ ตา่ งหู การแสดงชุดน้ีใชเ้ วลาประมาณ ๑๐ นาที การแสดงภาคอีสาน ภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือ (ภาคอีสาน) ลกั ษณะพ้ืนท่ีโดยทว่ั ไปของภาคอีสานเป็นท่ีราบสูง มีแหล่งน้าจาก แม่น้าโขง แบ่งตามลกั ษณะของสภาพความเป็นอยู่ ภาษาและขนบธรรมเนียมประเพณีที่แตกต่างกนั ประชาชนมีความเช่ือในทางไสยศาสตร์มีพิธีกรรมบูชาภูติผแี ละสิ่งศกั ด์ิสิทธ์ิ การแสดงจึงเกี่ยวขอ้ งกบั ชีวติ ประจาวนั และสะทอ้ นใหเ้ ห็นถึงการประกอบอาชีพและความเป็นอยไู่ ดเ้ ป็ นอยา่ งดี การแสดงของภาคอีสานเรียกวา่ เซิ้ง เป็นการแสดงที่ค่อนขา้ งเร็ว กระฉบั กระเฉง สนุกสนาน เช่น เซิ้งกระติบ ขา้ ว เซิ้งโปงลาง เซิ้งกระหยงั เซิ้งสวงิ เซิ้งดึงครกดึงสาก เป็นตน้ นอกจากน้ียงั มี ฟ้ อนที่เป็นการแสดงคลา้ ย กบั ภาคเหนือ เช่น ฟ้ อนภไู ท (ผไู้ ท) เป็นตน้ เซิ้งสวงิ เป็นการละเล่นพ้ืนเมืองของภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือ ในทอ้ งถ่ินอาเภอยางตลาด จงั หวดั กาฬสินธุ์ เป็น การละเล่นเพ่อื ส่งเสริมดา้ นจิตใจของประชาชนในทอ้ งถิ่น ซ่ึงมีอาชีพในการจบั สัตวน์ ้า โดยมีสวงิ เป็น เครื่องมือหลกั ในปี พ.ศ. ๒๕๑๕ ท่านผเู้ ช่ียวชาญนาฎศิลป์ ไทย กรมศิลปากร จึงไดน้ าท่าเซิ้งศิลปะทอ้ งถ่ิน
มาปรับปรุงใหเ้ ป็นทา่ ที่กระฉบั กระเฉงข้ึน โดยสอดคลอ้ งกบั ทว่ งทานองดนตรี ท่ีมีลกั ษณะสนุกสนานร่าเริง เครื่องดนตรี ที่ใชบ้ รรเลงประกอบการแสดงชุดเซิ้งสวงิ ไดแ้ ก่ กลองยาว กลองแตะ๊ แคน ฆอ้ งโหม่ง กบั๊ แก๊บ ฉิ่ง ฉาบ กรับ การแตง่ กาย ชาย สวมเส้ือม่อฮ่อม นุ่งกางเกงขากว๊ ย มีผา้ ขาวมา้ โพกศีรษะและคาดเอว มือถือตะขอ้ ง หญิง นุ่งผา้ ซ่ินพ้ืนบา้ นอีสาน ผา้ มดั หม่ีมีเชิงยาวคลุมเขา่ สวมเส้ือตามลกั ษณะผหู้ ญิงชาวภไู ท คือสวมเส้ือ แขนกระบอกคอปิ ด ผา่ อก ประดบั เหรียญโลหะสีเงิน ปัจจุบนั ใชก้ ระดุมพลาสติกสีขาวแทน ขลิบชายเส้ือ คอ ปลายแขน และขลิบผา่ อกตลอดแนวดว้ ยผา้ สีตดั กนั เช่น สีเขียวขลิบแดง หรือสวมเส้ือกระบอกคอปิ ด ผา่ อก ห่มสไบเฉียงทบั ตวั เส้ือ สวมสร้อยคอโลหะทาดว้ ยเงิน ใส่กาไลขอ้ มือและกาไลขอ้ เทา้ ผมเกลา้ มวยสูงไว้ กลางศีรษะ ทดั ดอกไม้ มือถือสวงิ เซิ้งโปงลาง โปงลางเดิมเป็ นชื่อของโปงที่แขวนอยทู่ ่ีคอของววั ตา่ ง โปงทาดว้ ยไมห้ รือโลหะ ที่เรียกวา่ โปงเพราะส่วนล่าง ปากของมนั โตหรือพองออก ในสมยั โบราณชาวอีสานเวลาเดินทางไปคา้ ขายยงั ต่างแดน โดยใชบ้ รรทุก สินคา้ บนหลงั ววั ยกเวน้ ววั ต่างเพราะเป็นววั ท่ีใชน้ าหนา้ ขบวนผกู โปงลางไวต้ รงกลางส่วนบนของตา่ ง เวลา เดินจะเอียงซา้ ยทีขวาทีสลบั กนั ไป ทาใหเ้ กิดเสียงดงั ซ่ึงเป็ นสญั ญาณบอกใหท้ ราบวา่ หวั หนา้ ขบวนอยทู่ ่ีใด และกาลงั มุ่งหนา้ ไปทางไหนเพื่อป้ องกนั มิใหห้ ลงทางส่วนระนาดโปงลางที่ใชเ้ ป็นดนตรีปัจจุบนั น้ี พบมาก ท่ีจงั หวดั กาฬสินธุ์ เรียกวา่ \"ขอลอ\" หรือ \"เกาะลอ\" ดงั เพลงลอ้ สาหรับเดก็ วา่ \"หวั โปก กระโหลกแขวนคอ ตี ขอลอดงั ไปหม่องๆ\" ช่ือ \"ขอลอ\" ไม่คอ่ ยไพเราะจึงมีคนต้งั ช่ือใหม่วา่ \"โปงลาง\" และนิยมเรียกกนั มาจนถึง ปัจจุบนั ไมท้ ่ีนามาทาเป็นโปงลางท่ีนิยมกนั ไดแ้ ก่ ไมม้ ะหาด และไมห้ มากเหลื่อม การเล่นทานองดนตรีของโปงลางจะใชล้ ายเดียวกนั กบั แคน และพณิ ลายท่ีนิยมนามาจดั ทา่ ประกอบการ ฟ้ อน เช่น ลายลมพดั พร้าว ลายชา้ งข้ึนภู ลายแมฮ่ า้ งกล่อมลูก ลายนกไซบินขา้ มทุง่ ลายแมงภูต่ อมดอก ลาย กาเตน้ กอ้ น เป็นตน้
เครื่องแต่งกาย ใชผ้ แู้ สดงหญิงลว้ นสวมเส้ือแขนกระบอกสีพ้ืน นุ่งผา้ มดั หมี่ใชผ้ า้ สไบเฉียงไหล่ ผกู โบวต์ รง เอว ผมเกลา้ มวยทดั ดอกไม้ เครื่องดนตรี ใชด้ นตรีพ้นื เมืองอีสาน ลายโปงลางหรือลายอ่ืนๆ เซิ้งตงั หวาย เซิ้งตงั หวาย เป็นการราเพอ่ื บูชาส่ิงศกั ด์ิสิทธ์ิ ในพิธีขอขมาของชาวจงั หวดั อุบลราชธานี ภายหลงั นิยมแสดง ในงานนกั ขตั ฤษแ์ ละตอ้ นรับแขกผมู้ ีเกียรติของภาคอีสาน ครูนาฏศิลป์ พ้ืนเมือง วทิ ยาลยั นาฏศิลปร้อยเอ็ด กรมศิลปากร ไดป้ ระยกุ ตแ์ ละจดั กระบวนราข้ึนใหม่ รวม 12 ท่า จากท่าราแมบ่ ทอีสาน โดยผแู้ สดงแต่งกายห่มผา้ คาดอก นุ่งซ่ินฝ้ ายมดั หม่ีมีเชิง เกลา้ ผมสูง เครื่องดนตรีพ้ืนเมืองท่ีใชบ้ รรเลงประกอบ คือ โปงลาง แคน พิณ ซอ กบ๊ั แก๊บ ฉ่ิง และฉาบ การแสดงพ้ืนเมืองภาคกลาง
การแสดงพ้นื เมืองภาคกลาง เป็นศิลปะการรา และการละเล่นของชาวพ้นื บา้ นภาคกลาง ซ่ึงส่วนใหญม่ ี อาชีพเกษตรกรรม ศิลปะการแสดงจึงมีความสอดคลอ้ งกบั วถิ ีชีวติ และเพื่อความบนั เทิง สนุกสนาน เป็นการ พกั ผอ่ นหยอ่ นใจจากการทางาน หรือเมื่อเสร็จจากฤดูเก็บเกี่ยว ส่วนมากเป็นการละเล่นประเภทการร้อง โตต้ อบกนั ระหวา่ ง ฝ่ ายชายและฝ่ ายหญิงโดยใชป้ ฏิภาณไหวพริบในการร้องดน้ กลอนสด เช่น ลาตดั เพลง ฉ่อย เพลงพวงมาลยั เพลงเรือ เพลงเกี่ยวขา้ ว เตน้ การาเคียว เพลงอีแซว เพลงปรบไก่ เพลงเหยอ่ ย ราเถิดเทิง ฯลฯ ใชเ้ คร่ืองดนตรีพ้ืนบา้ น เช่น กลองยาว กลองโทน ฉ่ิง ฉาบ กรับ และ โหม่ง การละเล่นพ้นื เมืองภาคกลาง ภาคกลางมีภูมิประเทศเป็นที่ราบลุ่ม มีแม่น้าหลายสาย เหมาะแก่การกสิกรรม ทานา ทาสวน ประชาชน อยอู่ ยา่ งอุดมสมบูรณ์ จึงมีการเล่นร่ืนเริงในโอกาสต่าง ๆ มากมาย ท้งั ตามฤดูกาล ตามเทศกาล และตาม โอกาสท่ีมีงานร่ืนเริง ภาคกลางเป็นที่รวมของศิลปวฒั นธรรม การแสดงจึงมีการถ่ายทอดสืบตอ่ กนั และพฒั นาดดั แปลงข้ึน เรื่อยๆ จนบางอยา่ งกลายเป็นการแสดงนาฏศิลป์ แบบฉบบั ไปกม็ ี เช่น ราวง และเน่ืองจากเป็นท่ีรวมของ ศิลปะน้ีเอง ทาใหค้ นภาคกลางรับการแสดงของทอ้ งถิ่นใกลเ้ คียงเขา้ ไวห้ มด แลว้ ปรุงแต่งตามเอกลกั ษณ์ของ ภาคกลาง คือการร่ายราท่ีใชม้ ือ แขนและลาตวั เช่นการจีบมือ มว้ นมือ ต้งั วง การอ่อนเอียง และยกั ตวั การแสดงพ้นื เมืองภาคกลาง ไดแ้ ก่ ราวง ราเหยย่ เตน้ การาเคียว เพลงเก่ียวขา้ ว ราชาวนา เพลง เรือ เถิดเทิง เพลงฉ่อย ราตน้ วรเชษฐ์ เพลงพวงมาลยั เพลงอีแซว เพลงปรบไก่ ราแมศ่ รี ดนตรีที่ใชป้ ระกอบการแสดง ไดแ้ ก่ วงป่ี พาทย์ การแสดงพ้ืนเมืองของภาคกลาง ภาคกลางเป็นภาคท่ีมีความอุดมสมบูรณ์ ประชากรส่วนใหญ่ประกอบ อาชีพดา้ นกสิกรรม และเกษตรกรรม ทาใหเ้ ป็ นภาคที่มีความสมบรู ณ์ ประชาชนมีความเป็นอยสู่ ุขสบาย การ
แสดงหรือการละเล่น ที่เกิดข้ึนจึงเป็นไปในลกั ษณะที่สนุกสนาน หรือเป็นการร้องเก้ียวพาราสีกนั เช่น เพลง เรือ เพลงเก่ียวขา้ ว หรือเป็นการแสดงพ้นื เมืองที่สื่อให้เห็นการประกอบอาชีพ การแสดงพ้นื เมืองภาคกลาง ไดแ้ ก่ - ราโทน เป็ นการรา และการร้องของชาวบา้ น โดยมีโทนเป็นเครื่องดนตรีประกอบจงั หวะ เป็นการร้อง และ การราไปตามความถนดั ไมม่ ีแบบแผนหรือท่าราที่กาหนดแน่นอน - รากลองยาว เป็ นการแสดงเพอ่ื ความรื่นเริง ในขบวนแห่ตา่ งๆ ของไทยมีผแู้ สดงท้งั ชาย และหญิง ออกมรา เป็นคู่ๆ โดยมีผตู้ ีกลองประกอบจงั หวะ พร้อม ฉ่ิง ฉาบ กรับ และโหมง่ - ระบาชาวนา เป็นวถิ ีชีวติ ความเป็นมาที่พากนั ออกมาไถนาหวา่ น และเกบ็ เกี่ยวเมื่อขา้ วเจริญงอกงาม หลงั จากน้นั พากนั ร้องราเพลงดว้ ยความสนุกสนาน - เตน้ การาเคียว เป็นการแสดงพ้ืนเมืองของจงั หวดั นครสวรรค์ นิยมเล่นกนั ตามทอ้ งนา ผแู้ สดงท้งั ชายและ หญิงถือเคียวมือหน่ึงถือถือรวงขา้ ว ร้องเก้ียวพาราสีกนั อยา่ งสนุกสนาน - ราเหยอ่ ย หรือราพาดผา้ เป็ นการละเล่นท่ีแสดงวธิ ีชีวติ อนั สนุกของชาวบา้ นหมู่บา้ นเก่า ตาบลจระเขเ้ ผอื ก อาเภอเมือง จงั หวดั กาญจนบุรี เป็นการร้องรา เก้ียวพาราสีระหวา่ งชาย-หญิง เร่ิมการแสดงดว้ ยการประโคม กลองยาว จบแลว้ ผแู้ สดงชาย-หญิง ออกราทีละคู่ ภาคกลาง ประวตั คิ วามเป็ นมาของเพลงลาตดั ลาตัด เป็ นการแสดงทม่ี าจากการแสดงบนั ตนของแขกมลายู ลาตดั จะมลี ักษณะตดั และเฉือนกนั ดว้ ยเพลง (ลา) การวา่ ลาตดั จงึ เป็ นการวา่ เพลงรบั ฝีปากของฝ่ ายชาย และฝ่ ายหญงิ โดยตรง มที ัง้ บทเกย้ี วพาราสี ตอ่ วา่ เสยี ดสี แทรกลกู ขดั ลกู หยอด ใหไ้ ดต้ ลกเฮฮากนั สานวนกลอนมนี ัยยะออกเป็ นสองแงส่ องงา่ ม เครอ่ื งดนตรที ใ่ี ช ้ คอื กลองรามะนา ฉงิ่ วธิ แี สดงจะมตี น้ เสยี งรอ้ งกอ่ น โดยสง่ สรอ้ ยใหล้ กู ครู่ อ้ งรบั แลว้ จงึ ดน้ กลอนเดนิ ความ เมอื่ ลงลกู คกู่ จ็ ะรบั ดว้ ยสรอ้ ยเดมิ พรอ้ มกบั ตรี ามะนา และฉง่ิ เขา้ จงั หวะการรอ้ งรบั นัน้ ดว้ ย ลาตดั เป็ นการแสดงทม่ี าจากการแสดงลเิ กบนั ตนของมลายู
ลาตดั เรยี กไดว้ า่ เป็ นเพลงพนื้ บา้ นพน้ื เมอื งชนดิ หนงึ่ ของไทย ซง่ึ นยิ มรอ้ งกนั ในเขตภาคกลาง ทัง้ น้ี มตี น้ กาเนดิ มาจาก “ลเิ กบนั ตน” ของชาวมลายู ในตน้ รชั กาลที่ 5 แหง่ กรงุ รัตนโกสนิ ทร์ โดยลเิ กบนั ตน ดังกลา่ ว มรี ปู แบบของการแสดงแยกออกเป็ น 2 สาขา สาขาหนงึ่ เรยี กวา่ “ฮนั ดาเลาะ” และ “ลากเู ยา” และลเิ กบนั ตนลากเู ยา มลี ักษณะของการแสดงวา่ กลอนสดแกก้ นั โดยมลี กู คคู่ อยรบั เมอ่ื ตน้ บทรอ้ งจบ ตอ่ มาเมอื่ มกี ารดดั แปลงกลายเป็ นภาษาไทยทงั้ หมด จงึ เรยี กกนั วา่ “ลเิ กลาตดั ” ในระยะแรก และเรยี ก สนั้ ๆ ในเวลาตอ่ มาวา่ “ลาตดั ” ซงึ่ มลี กั ษณะของเพลงและทานองเพลงทนี่ ามาใหล้ กู ครู่ บั โดยมากกม็ กั ตัดมาจากเพลงรอ้ งหรอื เพลงดนตรอี กี ชนั้ หนงึ่ โดยเลอื กเอาแตต่ อนทเี่ หมาะสมแกก่ ารรอ้ งนมี้ าเทา่ นัน้ บดั นชี้ อื่ ถกู ตดั ลงไปโดยความกรอ่ นของภาษาเหลอื เพยี งวา่ “ลาตดั ” เป็ นการตัง้ ชอ่ื ทเี่ หมาะสม เรยี กงา่ ย มคี วามหมายรไู ้ ดด้ มี าก (มนตรี ตราโมท,2518 : 46 – 65) กลา่ วคอื ความหมายเดมิ “ลา” แปลวา่ เพลง เมอื่ นามารวมกบั คาวา่ “ตดั ” จงึ หมายถงึ การนาเอาเพลงพนื้ บา้ นอน่ื ๆ อกี หลายชนดิ ตัดรวมเขา้ เป็ นบท เพลง เพอ่ื การแสดงลาตดั เชน่ ตัดเอา เพลงเกย่ี วขา้ ว เพลงฉ่อย เพลงเรอื เพลงพวงมาลัย และ เพลงอแี ซว เป็ นตน้ เขา้ มาเป็ นการละเลน่ ทเี่ รยี กวา่ ลาตดั (ธนู บญุ ยรตั พันธ,์ สมั ภาษณ)์ วธิ แี สดงลาตดั ผเู ้ ลน่ ลาตดั สว่ นใหญจ่ ะเป็ นมสุ ลมิ ตา่ งจากลเิ กทผี่ แู ้ สดงจะเป็ นคนไทยลว้ นๆเพราะลเิ กตอ้ งไหวค้ รู ฤาษีซงึ่ ขดั กบั หลกั ของศาสนาอสิ ลาม ปัจจบุ นั คณะลาตดั ทมี่ ชี อื่ เสยี งในอยธุ ยา จะมอี ยู่ 2 คณะ คอื คณะ ซงึ่ เป็ นคนไทยเชอื้ สายมอญ และคณะคนไทยซง่ึ เป็ นชาวมสุ ลมิ การแสดงลาตดั เป็ นการเฉอื นคารมกนั ดว้ ยเพลง(ลา)โดยมกี ารราประกอบแตไ่ มไ่ ด ้ เลน่ เป็ นเรอ่ื งอยา่ งลเิ กและการแสดงตอ้ งมที ัง้ ฝ่ ายชายและ ฝ่ ายหญงิ และเป็ นทนี่ ยิ มกนั มากเนอื่ งจากเป็ นการแสดงโดยการใชไ้ หวพรบิ ปฏภิ าณใน การดน้ กลอนสด สว่ นการประชนั ลาตดั ระหวา่ ง2 คณะ จะใชเ้ สยี งฮาของคนดเู ป็ นเกณฑ์ คณะใดไดเ้ สยี งฮาเสยี งปรบมอื มากกวา่ กจ็ ะถอื เป็ นฝ่ ายชนะ ภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื ภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื (ภาคอสี าน) ลกั ษณะพน้ื ทโ่ี ดยท่ัวไปของภาคอสี านเป็ นทร่ี าบสงู มแี หลง่ น้า จากแมน่ ้าโขง แบง่ ตามลักษณะของสภาพความเป็ นอยู่ ภาษาและขนบธรรมเนยี มประเพณที แ่ี ตกตา่ งกนั ประชาชนมคี วามเชอ่ื ในทางไสยศาสตรม์ พี ธิ กี รรมบชู าภตู ผิ แี ละสงิ่ ศักดส์ิ ทิ ธิ์ การแสดงจงึ เกยี่ วขอ้ งกบั ชวี ติ ประจาวนั และสะทอ้ นใหเ้ ห็นถงึ การประกอบอาชพี และความเป็ นอยไู่ ดเ้ ป็ นอยา่ งดี การแสดงของภาค อสี านเรยี กวา่ เซง้ิ เป็ นการแสดงทคี่ อ่ นขา้ งเร็ว กระฉับกระเฉง สนุกสนาน เชน่ เซงิ้ กระตบิ ขา้ ว เซงิ้ โปงลาง เซงิ้ กระหยงั เซงิ้ สวงิ เซงิ้ ดงึ ครกดงึ สาก เป็ นตน้ นอกจากนย้ี งั มี ฟ้อนทเ่ี ป็ นการแสดงคลา้ ยกบั ภาคเหนอื เชน่ ฟ้อนภไู ท (ผไู ้ ท) เป็ นตน้ เซงิ้ สวงิ เป็ นการละเลน่ พน้ื เมอื งของภาคตะวนั ออกเฉียงเหนอื ในทอ้ งถน่ิ อาเภอยางตลาด จงั หวดั กาฬสนิ ธุ์ เป็ น การละเลน่ เพอื่ สง่ เสรมิ ดา้ นจติ ใจของประชาชนในทอ้ งถน่ิ ซง่ึ มอี าชพี ในการจบั สตั วน์ ้า โดยมสี วงิ เป็ น เครอื่ งมอื หลกั ในปี พ.ศ. ๒๕๑๕ ทา่ นผเู ้ ชย่ี วชาญนาฎศลิ ป์ ไทย กรมศลิ ปากร จงึ ไดน้ าทา่ เซง้ิ ศลิ ปะ ทอ้ งถน่ิ มาปรบั ปรงุ ใหเ้ ป็ นทา่ ทกี่ ระฉับกระเฉงขนึ้ โดยสอดคลอ้ งกบั ทว่ งทานองดนตรี ทมี่ ลี กั ษณะ สนุกสนานรา่ เรงิ เครอื่ งดนตรี ทใี่ ชบ้ รรเลงประกอบการแสดงชดุ เซง้ิ สวงิ ไดแ้ ก่ กลองยาว กลองแต๊ะ แคน ฆอ้ งโหมง่ ก๊บั แกบ๊ ฉงิ่ ฉาบ กรับ การแตง่ กายชาย สวมเสอื้ มอ่ ฮอ่ ม นุ่งกางเกงขากว๊ ย มผี า้ ขาวมา้ โพกศรี ษะและคาดเอว มอื ถอื ตะขอ้ ง หญงิ นุ่งผา้ ซน่ิ พนื้ บา้ นอสี าน ผา้ มดั หมม่ี เี ชงิ ยาวคลมุ เขา่ สวมเสอ้ื ตามลกั ษณะผหู ้ ญงิ ชาวภไู ท คอื สวมเสอ้ื แขนกระบอกคอปิด ผา่ อก ประดบั เหรยี ญโลหะสเี งนิ ปัจจบุ นั ใช ้ กระดมุ พลาสตกิ สขี าวแทน ขลบิ ชายเสอื้ คอ ปลายแขน และขลบิ ผา่ อกตลอดแนวดว้ ยผา้ สตี ดั กนั เชน่ สี เขยี วขลบิ แดง หรอื สวมเสอ้ื กระบอกคอปิด ผา่ อก หม่ สไบเฉียงทบั ตวั เสอ้ื สวมสรอ้ ยคอโลหะทาดว้ ยเงนิ ใสก่ าไลขอ้ มอื และกาไลขอ้ เทา้ ผมเกลา้ มวยสงู ไวก้ ลางศรี ษะ ทดั ดอกไม ้ มอื ถอื สวงิ เซง้ิ โปงลางโปงลางเดมิ เป็ นชอื่ ของโปงทแี่ ขวนอยทู่ ค่ี อของววั ตา่ ง โปงทาดว้ ยไมห้ รอื โลหะ ทเี่ รยี กวา่ โปงเพราะสว่ นลา่ งปากของมนั โตหรอื พองออก ในสมยั โบราณชาวอสี านเวลาเดนิ ทางไปคา้ ขายยงั ตา่ ง แดน โดยใชบ้ รรทกุ สนิ คา้ บนหลังววั ยกเวน้ ววั ตา่ งเพราะเป็ นววั ทใี่ ชน้ าหนา้ ขบวนผกู โปงลางไวต้ รงกลาง สว่ นบนของตา่ ง เวลาเดนิ จะเอยี งซา้ ยทขี วาทสี ลบั กนั ไป ทาใหเ้ กดิ เสยี งดัง ซง่ึ เป็ นสญั ญาณบอกให ้
ทราบวา่ หัวหนา้ ขบวนอยทู่ ใี่ ด และกาลังมงุ่ หนา้ ไปทางไหนเพอื่ ป้องกนั มใิ หห้ ลงทางสว่ นระนาดโปงลาง ทใ่ี ชเ้ ป็ นดนตรปี ัจจบุ นั น้ี พบมากทจ่ี งั หวดั กาฬสนิ ธุ์ เรยี กวา่ \"ขอลอ\" หรอื \"เกาะลอ\" ดงั เพลงลอ้ สาหรับ เด็กวา่ \"หัวโปก กระโหลกแขวนคอ ตขี อลอดงั ไปหมอ่ งๆ\" ชอ่ื \"ขอลอ\" ไมค่ อ่ ยไพเราะจงึ มคี นตงั้ ชอ่ื ใหม่ วา่ \"โปงลาง\" และนยิ มเรยี กกนั มาจนถงึ ปัจจบุ นั ไมท้ น่ี ามาทาเป็ นโปงลางทน่ี ยิ มกนั ไดแ้ ก่ ไมม้ ะหาด และไมห้ มากเหลอ่ื ม การเลน่ ทานองดนตรขี องโปงลางจะใชล้ ายเดยี วกนั กบั แคน และพณิ ลายทน่ี ยิ ม นามาจดั ทา่ ประกอบการฟ้อน เชน่ ลายลมพดั พรา้ ว ลายชา้ งขน้ึ ภู ลายแมฮ่ า้ งกลอ่ มลกู ลายนกไซบนิ ขา้ ม ทงุ่ ลายแมงภตู่ อมดอก ลายกาเตน้ กอ้ น เป็ นตน้ เครอ่ื งแตง่ กาย ใชผ้ แู ้ สดงหญงิ ลว้ นสวมเสอื้ แขนกระบอก สพี นื้ นุ่งผา้ มดั หมใี่ ชผ้ า้ สไบเฉยี งไหล่ ผกู โบวต์ รงเอว ผมเกลา้ มวยทดั ดอกไมเ้ ครอื่ งดนตรี ใชด้ นตรี พนื้ เมอื งอสี าน ลายโปงลางหรอื ลายอน่ื ๆ เซงิ้ ตงั หวาย เซง้ิ ตงั หวาย เป็ นการราเพอื่ บชู าสงิ่ ศกั ดสิ์ ทิ ธ์ิ ในพธิ ขี อขมาของชาวจังหวดั อบุ ลราชธานี ภายหลงั นยิ ม แสดงในงานนักขตั ฤษ์และตอ้ นรับแขกผมู ้ เี กยี รตขิ องภาคอสี าน ครนู าฏศลิ ป์ พนื้ เมอื ง วทิ ยาลยั นาฏศลิ ป รอ้ ยเอด็ กรมศลิ ปากร ไดป้ ระยกุ ตแ์ ละจดั กระบวนราขนึ้ ใหม่ รวม 12 ทา่ จากทา่ ราแมบ่ ทอสี าน โดยผู ้ แสดงแตง่ กายหม่ ผา้ คาดอก นุ่งซน่ิ ฝ้ายมดั หมม่ี เี ชงิ เกลา้ ผมสงู เครอ่ื งดนตรพี น้ื เมอื งทใ่ี ชบ้ รรเลงประกอบ คอื โปงลาง แคน พณิ ซอ ก๊บั แกบ๊ ฉง่ิ และฉาบ เซง้ิ กระหยงั เป็ นชดุ ฟ้อนทไี่ ดแ้ บบอยา่ งมาจากเซง้ิ กระตบิ ขา้ ว โดยเปลยี่ นจากกระตบิ ขา้ วมาเป็ นกระหยงั ซง่ึ เป็ น ภาชนะทาดว้ ยไมไ้ ผ่ มลี กั ษณะคลา้ ยกระบงุ แตม่ ขี นาดเล็กกวา่ เซง้ิ กระหยงั เป็ นการแสดงอยา่ งหนง่ึ ของ ชาวกาฬสนิ ธุ์ โดยอาเภอกฉุ นิ ารายณ์ไดป้ ระดษิ ฐข์ น้ึ โดยดัดแปลงและนาเอาทา่ ฟ้อนจากเซง้ิ อนื่ ๆ เชน่ เซง้ิ กระตบิ ขา้ ว เซง้ิ สาละวัน ฯลฯ เขา้ ผสมผสานกนั แลว้ มาจัดกระบวนขนึ้ ใหมม่ อี ยู่ 19 ทา่ ซงึ่ มชี อ่ื เรยี ก ตา่ งๆ กนั เชน่ ทา่ ไหว ้ ทา่ ไท ทา่ โปรยดอกไม ้ ทา่ ขยบั สะโพก ทา่ จับคถู่ อื กะหยงั ทา่ นั่งเกย้ี ว ทา่ สบั หน่อไม ้ ทา่ ยนื เกยี้ ว ทา่ ราสา่ ย ทา่ เกบ็ ผกั หวาน ทา่ กระหยงั ตงั้ วง ทา่ ตดั หนา้ ทา่ สาละวัน ทา่ กลองยาว ทา่ ราวง ทา่ ชวนกลบั ทา่ แยกวง ทา่ นั่ง ทไ่ี ดช้ อ่ื วา่ เซง้ิ กระหยงั เพราะผฟู ้ ้อนจะถอื กระหยงั เป็ น สว่ นประกอบในการแสดงเครอื่ งแตง่ กาย ฝ่ ายหญงิ สวมเสอ้ื แขนกระบอกสดี า หรอื น้าเงนิ ขลบิ ขาว นุ่ง ผา้ ซนิ่ มดั หมี่ ผมเกลา้ มวยทดั ดอกไม ้ ฝ่ ายชายสวมเสอ้ื มอ่ ฮอ่ มกางเกงขากว๊ ย ใชผ้ า้ ขาวมา้ คาดเอว และ โพกศรี ษะเครอื่ งดนตรี ใชด้ นตรพี น้ื เมอื งอสี านซงึ่ ประกอบดว้ ย กลองยาว ฉาบ และฉงิ่ ซงึ่ เป็ นเครอื่ ง กากบั จังหวะ ใชแ้ คน พณิ ป่ีแอ ้ เป็ นเครอื่ งดาเนนิ ทานอง อปุ กรณ์การแสดง กระหยงั เซง้ิ กะโป๋ เป็ นการละเลน่ ทเี่ นน้ ความสนุกสนานเป็ นหลกั โดยใชก้ ะโป๋ หรอื กะลามะพรา้ ว เป็ นอปุ กรณ์ทสี่ าคญั ใน การเลน่ เป็ นทนี่ ่าสงั เกตวา่ ประเทศตา่ งๆ ในแถบเอชยี ตะวนั ออกเฉียงใต ้ เชน่ ฟิลปิ ปิน อนิ โดนเี ซยี โดยเฉพาะมาเลเซยี มกี ารละเลน่ ซง่ึ ใชก้ ะลาประกอบอยู่ ซงึ่ เมอ่ื เสร็จจากการเกบ็ เกย่ี วชาวมาเลยก์ จ็ ะมี การรนื่ เรงิ และฉลองกนั บา้ งกช็ ว่ ยกนั ขดู มะพรา้ วและตาน้าพรกิ จงึ ไดน้ าเอากะลามะพรา้ วมาเคาะประกอบ จังหวะกนั เป็ นทสี่ นุกสนาน ระบากะลาของมาเลเซยี มชี อื่ เป็ นภาษามาเลยว์ า่ \"เดมปรุ ง\" หรอื แมแ้ ต่ ประเทศกมั พชู ากม็ กี ารละเลน่ ทใี่ ชก้ ะลาเป็ นอปุ กรณเ์ ชน่ เดยี วกนั เซงิ้ กะโป๋ คงไดแ้ บบอยา่ งมาจากระบา กะลาทน่ี ยิ มเลน่ กนั ในกมั พชู าและแถบอสี านใต ้ ระบากะลามจี ังหวะเนบิ นาบ จงึ มกี ารปรับปรงุ ใหมโ่ ดยใช ้ เพลงพน้ื เมอื งอสี าน และยงั นาเอาเพลงพนื้ เมอื งของอสี านใตม้ าใชป้ ระกอบอยคู่ อื เพลง เจรยี งซนั ตรจู เครอื่ งแตง่ กาย เซงิ้ กะโป๋ จะแบง่ ผแู ้ สดงออกเป็ น 2 ฝ่ าย คอื หญงิ และชาย ฝ่ ายหญงิ นุ่งซนิ่ พนื้ เมอื ง อสี าน สวมเสอื้ แขนกระบอก เกลา้ ผมมวยใชแ้ พรมนรดั มวย ฝ่ ายชายนุ่งกางเกงขากว๊ ย สวมเสอื้ คอกลม มี ผา้ ขาวมา้ ผกู เอวเครอ่ื งดนตรี ใชด้ นตรพี นื้ เมอื งอสี าน แตเ่ ลน่ ลายพน้ื เมอื งของอสี านใตค้ อื เจรยี งซนั ตรจู เซงิ้ กะโป๋ หรอื เซง้ิ กะลา นม้ี ผี ปู ้ ระดษิ ฐจ์ ัดทาเป็ นชดุ ฟ้อนทแี่ ตกตา่ งกนั ออกไป เชน่ • วทิ ยาลัยนาฏศลิ ป์ กาฬสนิ ธุ์ จะใชล้ ลี าการกระทบกะลาทไ่ี มค่ ลา้ ยกบั ระบากะลาของอสี านใตม้ ากนัก และนาการละเลน่ ของ พน้ื เมอื งของเด็กอสี านมาประกอบ เชน่ การเดนิ กะโป๋ หรอื หมากกบุ๊ ก๊บั ฯลฯ • วทิ ยาลัยนาฏศลิ ป์ รอ้ ยเอด็ จะใชล้ ลี าการกระทบกะลา ซง่ึ พอจะเห็นเคา้ วา่ ไดแ้ บบอยา่ งมาจากระบากะลาของอสี านใต ้ แตง่ กายเชน่ เดยี วกบั ระบากะลา คอื ฝ่ ายหญงิ นุ่งโจงกระเบน สวมเสอ้ื แขนกระบอก คลอ้ งสไบผกู ชายทเ่ี อว ฝ่ ายชายนุ่งโจงกระเบนสวมเสอ้ื คอกลมแขนสนั้ มผี า้ ขาวมา้ พับทบดา้ นหนา้ ทงิ้ ชายดา้ นหลัง ฟ้ อนผไู้ ท(ภไู ท)เป็ นฟ้อนผไู ้ ททม่ี ลี ลี าแตกตา่ งจากฟ้อนผไู ้ ทในทอ้ งถน่ิ อนื่ เนอื่ งจากฟ้อนผไู ้ ทจังหวดั สกลนครจะสวมเลบ็ คลา้ ยฟ้อนเลบ็ ทางภาคเหนอื ปลายเล็บจะมพี ไู่ หมพรมสแี ดง ใชผ้ หู ้ ญงิ ฟ้อนลว้ นๆ ทา่ ฟ้อนทช่ี าวผไู ้ ทสกลนครประดษิ ฐข์ นึ้ นัน้ มเี นอื้ เพลงสลับกบั ทานอง การฟ้อนจงึ ใชต้ บี ทตามคารอ้ งและ
ฟ้อนรับชว่ งทานองเพลง ทา่ ฟ้อนมดี ังนี้ ทา่ ดอกบวั ตมู ทา่ ดอกบวั บาน ทา่ แซงแซวลงหาด ทา่ บงั แสง ทา่ นางไอเ่ ลาะดอน หรอื นางไอเ่ ลยี บหาด ทา่ นาคมี ว้ นหาง ดนตรใี ชก้ ลองกงิ่ แคน กลองตมุ ้ กลองแตะ กลองยาว ฆอ้ งโหมง่ พังฮาด ไมก้ ๊บั แกบ๊ เครอ่ื งแตง่ กาย จะใสเ่ สอ้ื สดี า ผา้ ถงุ ดาขลบิ แดง สวมเล็บทาดว้ ย โลหะหรอื บางแหง่ ใชก้ ระดาษทาเป็ นเสน้ มพี ตู่ รงปลายสแี ดง หม่ ผา้ เบยี่ งสแี ดง ผมเกลา้ มวยทดั ดอกไมส้ ี ขาว บางครงั้ ผกู ดว้ ยผา้ สแี ดงแทน ในปัจจบุ นั พบวา่ เสอื้ ผา้ ชดุ ฟ้อนผไู ้ ทจงั หวดั สกลนครไดเ้ ปลย่ี นไปบา้ ง คอื ใชเ้ สอ้ื สแี ดงขลบิ สดี า ผา้ ถงุ สดี ามเี ชงิ ผา้ เบยี่ งอาจใชเ้ ชงิ ผา้ ตนี ซน่ิ มาหม่ แทนเครอ่ื งดนตรี ใชด้ นตรี พนื้ เมอื งอสี าน เพลงผไู ้ ท เพลงเตย้ โขง เพลงแมงตับเตา่ เพลงบง้ ไตข่ อน เพลงลาเพลนิ และเพลงลา ยาว เซงิ้ กระตบิ ขา้ ว เป็ นการแสดงของภาคอสี านทเ่ี ป็ นทร่ี จู ้ กั กนั ดี และแพรห่ ลายทส่ี ดุ ชดุ หนง่ึ จนทาใหค้ นท่วั ไปเขา้ ใจวา่ การแสดงของภาคอสี านมลี กั ษณะเป็ นการราเซง้ิ เพยี งอยา่ งเดยี ว เซงิ้ กระตบิ ขา้ วไดแ้ บบอยา่ งมาจากการ เซง้ิ บงั้ ไฟ ซง่ึ แตเ่ ดมิ เซง้ิ อสี านจรงิ ๆ ไมม่ ที า่ ทางอะไร มแี ตก่ นิ เหลา้ ยกมอื ไมส้ ะเปะสะปะใหเ้ ขา้ กบั จงั หวะ เสยี งกลองไปตามใจ (มผี นู ้ ยิ ามวา่ ฟ้อนตามแบบกรมสรรพสามติ ) โดยไมไ่ ดค้ านงึ ถงึ ความสวยงาม นอกจากใหเ้ ขา้ จังหวะกลอง ตบมอื ไปตามเรอื่ งตามฤทธเิ์ หลา้ ในราว พ.ศ. 2507 สมเด็จ พระบรมราชนิ นี าถตอ้ งการการแสดงของภาคอสี าน เพอื่ ตอ้ นรับสมเด็จพระนางเจา้ อะเลยี นา และเจา้ หญงิ บที รกิ ซ์ แหง่ ประเทศเนเธอแลนด์ จงึ มกี ารนาเอาเพลงอสี านคอื หมอลาจังหวะชา้ เรว็ โดยมที า่ ถวาย บงั คม ทา่ นกบนิ ทา่ เดนิ ทา่ ดดู าว ทา่ มว้ นตวั ทา่ สนุกสนาน ทา่ ปัน้ ขา้ วเหนยี ว ทา่ โปรยดอกไม ้ ทา่ บงั แสงอาทติ ย์ ทา่ เตยี้ (ราเตย้ี ) และในการแตง่ กายครงั้ แรกนัน้ จะนุ่งผา้ ซนิ่ หม่ ผา้ สไบ เกลา้ ผมสงู แตไ่ มม่ ี ใครยอมหอ้ ยกระตบิ ขา้ วเพราะเห็นวา่ รงุ รงั พระบาทสมเด็จพระเจา้ อยหู่ วั เสด็จทอดพระเนตร พระองคจ์ งึ รับสงั่ ใหใ้ ครสกั คนหนงึ่ ลองราดวู า่ ถา้ ไมห่ อ้ ยกระตบิ ขา้ ว หรอื หอ้ ยกระตบิ ขา้ วแลว้ จะเป็ นอยา่ งไร ? คณุ หญงิ เบญจวรรณ อรวรรณ เป็ นผทู ้ ดลองราดู ครงั้ แรกไมห่ อ้ ยกระตบิ ขา้ วกน็ ่ารักดี ครงั้ ทสี่ องราโดย หอ้ ยกระตบิ ขา้ วทกุ คนกค็ ดิ วา่ กาลังน่ารกั พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ ัวทรงรับสง่ั คาเดยี ววา่ \"น่าเอน็ ดดู นี \"่ี ผรู ้ าทกุ คนก็พากนั รบี หอ้ ยกระตบิ ขา้ วกนั ใหญท่ างไหลข่ วาทกุ คน การเซง้ิ ครัง้ นัน้ ทา่ นผหู ้ ญงิ มณีรัตน์ บนุ นาค เรยี กชอื่ วา่ \"เซงิ้ อสี าน\" ตอ่ มามผี นู ้ าเซงิ้ อสี านไปแสดงกนั ทว่ั ไปแตเ่ ปลยี่ นชอ่ื ใหมว่ า่ \"เซง้ิ กระตบิ ขา้ ว\"เครอ่ื งแตง่ กาย ผแู ้ สดงใชผ้ หู ้ ญงิ ลว้ น สวมเสอื้ แขนกระบอกคอกลมสพี นื้ นุ่งผา้ ซน่ิ มดั หม่ี หม่ ผา้ สไบ เฉยี ง ผมเกลา้ มวยทดั ดอกไมห้ อ้ ยกระตบิ ขา้ วทางไหล่ขวาเครอื่ งดนตรี ใชด้ นตรพี น้ื เมอื งอสี าน ทานอง เซงิ้ อปุ กรณ์การแสดง กระตบิ ขา้ ว หมากกบ๊ั แกบ๊ ลาเพลนิ การเลน่ หมากก๊บั แกบ๊ เป็ นการเลน่ ทไี่ มม่ ขี นบตายตัว สดุ แทแ้ ตผ่ แู ้ สดงจะมคี วามสามารถ แสดงออกลลี า ทา่ ทางทโี่ ลดโผน เป็ นทป่ี ระทับใจสาว ๆ ไดม้ ากนอ้ ยเพยี งใด ถา้ เลน่ กนั เป็ นคู่ ฝ่ ายหนง่ึ จะตอ้ งเป็ นฝ่ าย รกุ อกี ฝ่ ายหนงึ่ จะตอ้ งรบั แลว้ ผลดั เปลย่ี นกนั ไป ตามแตโ่ อกาสและปฏภิ าณไหวพรบิ ของผเู ้ ลน่ โดย อาจารยช์ มุ เดช เดชภมิ ล แหง่ วทิ ยาลยั นาฏศลิ ป์ รอ้ ยเอด็ เป็ นผผู ้ สมผสานการเลน่ หมากก๊บั แกบ๊ เขา้ กบั การเลน่ ลาเพลนิ ของชาวอสี าน ทยี่ งั คงลลี าการเลน่ หมากก๊บั แกบ๊ และลลี าของการฟ้อนลาเพลนิ ไดอ้ ยา่ ง สมบรู ณแ์ บบ จดุ เดน่ ของการแสดงอยทู่ จี่ ังหวะ ลลี าและทว่ งทานอง ของดนตรี อนั สนุกสนานเรา้ ใจ
Search
Read the Text Version
- 1 - 40
Pages: