คำนำ รายงานการวิจัยในช้ันเรียน การพัฒนาผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน โดยใช้บทเรียนบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต เร่ือง หลักการแก้ปัญหาด้วยคอมพิวเตอร์ สาหรับช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนชลราษฎรอารุงจังหวัดชลบุรี เป็นส่วนหนึ่งของหลักสูตรวิทยาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาคอมพิวเตอร์ศึกษา คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง จัดทาขึ้นเพ่ือเป็นแนวทางในการพัฒนาการเรียนการสอนให้มีประสิทธิภาพมากย่ิงขึ้น โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเพ่ิมผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนทเ่ี รยี นวชิ า เทคโนโลยสี ารสนเทศและการส่อื สาร1 ผู้วิจัยหวังเป็นอย่างยิ่งว่ารายงานฉบับน้ีจะเป็นประโยชน์ต่อครูผู้สอนท่ีสนใจไม่มากก็น้อย หากมีข้อผดิ พลาดประการใดขออภยั มา ณ ทีน่ ้ดี ว้ ย สาวติ รี หงษา
สำรบัญเรือ่ ง หนำ้คานา ................................................................................................................................................................iสารบัญ ............................................................................................................................................................iiสารบญั ตาราง .................................................................................................................................................ivสารบญั รปู ภาพ.................................................................................................................................................vบทท่ี 1 บทนา..................................................................................................................................................1 1.1 ความเป็นมาและความสาคญั ของการวิจัย..............................................................................................1 1.2 วตั ถุประสงค์ของการวิจัย ......................................................................................................................3 1.3 สมมตฐิ านของการวิจัย ..........................................................................................................................3 1.4 ขอบเขตของการวจิ ยั .............................................................................................................................3 1.5 คานิยามศัพทเ์ ฉพาะ..............................................................................................................................4 1.6 ประโยชนท์ ่ีคาดว่าจะไดร้ ับ ....................................................................................................................4บทที่ 2 เอกสารและงานวจิ ยั ที่เก่ยี วข้อง ...........................................................................................................5 2.1 รายวิชาการเขียนโปรแกรมภาษา ..........................................................................................................5 2.2 บทเรยี นบนเครอื ขา่ ยอนิ เทอร์เนต็ ..........................................................................................................7 2.3 ทฤษฎีการออกแบบบทเรียนบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต........................................................................ 10 2.4 ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี น...................................................................................................................... 13 2.5 การหาประสทิ ธภิ าพของบทเรียนบนเครือข่ายอินเทอร์เนต็ ................................................................. 16 2.6 งานวจิ ยั ท่ีเก่ียวข้อง............................................................................................................................. 17บทที่ 3 วธิ กี ารดาเนินงาน.............................................................................................................................. 19 3.1 ประชากรและกลุม่ ตวั อย่าง................................................................................................................. 19 3.2 เคร่ืองมือท่ีใชใ้ นการวจิ ยั ..................................................................................................................... 19 3.3 การเกบ็ รวบรวมข้อมูล........................................................................................................................ 26 3.4 การวิเคราะห์ขอ้ มลู ............................................................................................................................. 27
สำรบญั (ต่อ)เร่ือง หนำ้บทที่ 4 ผลการวเิ คราะห์ข้อมูล ...................................................................................................................... 29บทท่ี 5 สรปุ ผลการวิจัย อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ................................................................................. 30 5.1 สรปุ ผลการวิจยั .................................................................................................................................. 30 5.2 อภิปรายผลการวจิ ัย ........................................................................................................................... 32 5.3 ข้อเสนอแนะเพื่อการนาไปใช้.............................................................................................................. 33บรรณานุกรม ................................................................................................................................................ 34ภาคผนวก ..................................................................................................................................................... 36 ภาคผนวก ก แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี น ............................................................................... 37 ภาคผนวก ข ผลการวิเคราะห์หาผลสมั ฤทธิท์ างการเรียน.......................................................................... 43 ภาคผนวก ค ตัวอย่างบทเรียนบนเครอื ข่ายอินเทอร์เน็ต เรื่อง หลกั การแก้ปัญหาดว้ ยคอมพิวเตอร์........... 48
สำรบญั ตำรำงตำรำงที่ หน้ำตารางที่ 2.1 โครงสร้างรายวิชาการเขยี นโปรแกรมภาษา สาหรับนกั เรยี นชน้ั มัธยมศึกษาปีที่ 4……….……...…12ตารางท่ี 2.2 เกณฑ์ประสทิ ธภิ าพของบทเรียนบนเครือขา่ ยอินเทอร์เน็ต……………………………….…………….…..17ตารางท่ี 3.1 แผนการจดั การเรียนรู้ วิชาการเขียนโปรแกรมภาษา…………………………………………………..…..…20ตารางที่ 3.2 แผนผงั แบบทดสอบ (Test Blue Print) วิชาการเขยี นโปรแกรมภาษา …………………………..……23ตารางที่ 3.3 แสดงเกณฑพจิ ารณาคาความยากของขอสอบ………………………………………………………….…….…24ตารางที่ 3.4 แสดงเกณฑพิจารณาคาอานาจจาแนกของขอสอบ………..……………………………….……..…….…....25ตารางท่ี 3.5 แผนภาพการทดลองแบบกลุ่มเดยี วมกี ารวัดก่อนและหลังให้สิ่งสิง่ ทดลอง…………………….......…26ตารางท่ี 4.1 การเปรียบเทียบผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนของนักเรยี นระหวา่ งกอ่ นเรียนกบั หลงั เรยี น ดว้ ยบทเรยี นบนเครือขา่ ยอนิ เทอรเ์ น็ต เรอื่ ง การทางานแบบวนรอบทาซา้ ………………….…..29ตารางท่ี ข.1 แสดงคะแนนที่ไดจ้ ากการทาแบบทดสอบท้ายบท และแบบทดสอบหลังเรยี น เพื่อหาประสิทธิภาพของบทเรียนบนเครือขา่ ยอินเทอร์เน็ต เร่ือง การทางาน แบบวนรอบทาซา้ ……………………………………………………..……………………………….……….…...44ตารางท่ี ข.2 แสดงคะแนนท่ีได้จากการทาแบบทดสอบก่อนเรยี น และแบบทดสอบหลังเรยี นดว้ ย บทเรียนบนเครอื ขา่ ยอนิ เทอรเ์ นต็ เร่ือง การทางานแบบวนรอบทาซ้า………………..………....46
สำรบญั ภำพภำพท่ี หนำ้ค.1 หน้า Login เข้าบนเรียนบนเครือข่ายอินเทอรเ์ น็ต….……………………………………………………………………..49ค.2 หน้าแรกของบทเรยี นบนเครอื ข่ายอินเทอรเ์ น็ต วชิ า การทางานแบบวนรอบทาซ้า…………………………....49ค.3 หน้าคาอธบิ ายรายวิชา วชิ า การเขียนโปรแกรมภาษา…………………………………………………………….…..…50ค.4 หนา้ คาแนะนาการใชบ้ ทเรียน………………….……………………………………………………………………..…………..50ค.5 หนา้ ต่างแบบทดสอบก่อนเรยี น…………………………………………………………………………………………………...51ค.6 หนา้ ต่างแบบทดสอบหลงั เรียน…………………………………………………………………………………………………....51ค.7 หน้าตา่ งบทเรยี นการทางานแบบวนรอบทาซา้ ……………………………………………………………………………....52
บทที่ 1 บทนำ1.1 ควำมเป็นมำและควำมสำคัญของปัญหำ หลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 ซึ่งใชเปนแนวทางในการจัดการเรียนการสอนในปจจุบัน โดยมเี ปาหมายคอื การพัฒนาคณุ ภาพผูเรยี น การพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม พ้นื ฐานในการดารงชีวิต ซ่ึงหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพ้ืนฐานมุงพฒั นาผูเรียนทุกคนซึ่งเปนกาลังของชาติ ใหเปนมนุษยท่ีมีความสมดุลทั้งดานรางกาย ความรู คุณธรรม และจิตสานึกในการเปนพลเมืองไทย มีความรูและทักษะพ้ืนฐาน รวมทั้งเจตคติที่จาเปนตอการศึกษา การประกอบอาชีพและการศึกษาตลอดชีวิต โดยมุงเนนที่ผูเรียนเป นสาคัญบนพ้ืนฐานความเชื่อว าทุกคนสามารถเรียนรู และพัฒนาตนเองได เต็มตามศักยภาพ(กระทรวงศึกษาธิการ. 2551 : 226) และในศตวรรษท่ี 21 ถือวาเปนยุคเทคโนโลยีสารสนเทศ มีการเปล่ยี นแปลงในหลาย ๆ ดานทงั้ ดานเศรษฐกิจและสังคม อันนาไปสูการปรับตวั เพ่ือใหเกิดความสามารถในการแขงขันทามกลางกระแสโลกาภิวัตน และการมุงสูสังคมแหงการเรียนรู (Knowledge Society) และระบบเศรษฐกจิ ฐานความรู (Knowledge - Based Economy) ท่ตี องใหความสาคัญตอการใชความรูและนวัตกรรม(Innovation) เปนปจจัยในการผลิต และการพัฒนา แมกระท่ังการใชเทคโนโลยีสารสนเทศเพ่ือการศึกษาใหสามารถตอบสนองความตองการของผูเรียนเพื่อการเรียนรูตาม อัธยาศัยและการเรียนรูตลอดชีวิต ซึ่งจากพระราชบัญญัติการศึกษาแหงชาติ พ.ศ. 2542 มุงเนนการ จัดการศึกษาแบบเอกัตบุคคล (IndividualizedLearning) เนนใหนักเรียนเปนศูนยกลางในการเรียนรู (Student Center) นั่นเอง การจัดการเรียนรูในปจจุบันจึงควรจะตองนาเทคโนโลยีและสื่อนวัตกรรมที่ทันสมัยมาใชในการพัฒนาการเรียน (กรมวิชาการกระทรวงศึกษาธิการ 2544 : 23-24) ไดกลาวถึงส่ือการเรียนรูที่จะนามาใชในการจดั การเรียนรูวา ควรมีความหลากหลาย ทั้งสือ่ ธรรมชาติ สื่อสิง่ พิมพ สื่อเทคโนโลยี และส่อื อ่ืนๆ ซึ่งชวยสงเสริมใหการเรียนรูเปนไปอยางมีคุณคานาสนใจ ชวนคิด ชวนติดตาม เขาใจไดงายและรวดเร็วข้ึน รวมท้ังกระตุนใหผูเรียนรูจักวิธีการแสวงหาความรู เกดิ การเรียนรูอยางกวางขวางลึกซ้ึงและตอเนื่องตลอดเวลา เพื่อใหการใชส่อื การเรียนรูเปนไปตามแนวการจัดการเรียนรูรวมถึงพัฒนาผูเรียนใหเกิดการเรียนรูอยางแทจริง ซ่ึงหลักการสอนท่ีเนนผูเรียนเปนสาคัญการเรียนรูดวยการปฏบิ ัติและการเรียนรูดวยตนเอง (Self-Directed Learning) เปนวิธีการแสวงหาความรูอกีรูปแบบหนึ่งที่ทาใหผูเรียนสามารถดารงชีพอยูในสังคมไดอยางมีคุณภาพ การเรียนรูดวยตนเองจะทาใหผูเรียนสามารถเรียนรูเรื่องตางๆ ที่มีอยูไดตรงกับความตองการมากท่ีสุดและเปนการดาเนินการจัดการศึกษาอยางตอเนื่องโดยไมตองมีใครส่ังใหเรียนรูผูเรียนจะเปนผูริเริ่มวางแผนการศึกษาไปจนจบกระบวนการเรียนรูการเรยี นรูดวยตนเองจงึ เปนเครอื่ งมือทสี่ าคญั อยางย่ิงสาหรับบคุ คลในการเรียนรูตลอดชวี ติ บทเรียนบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต เป็นบทเรียนท่ีนาเสนอในรูปแบบของส่ือหลายมิติ (Hypermedia)ที่นาคุณสมบัติและทรัพยากรต่างๆ ของเวิร์ลไวด์เว็บ (World Wide Web) มาใช้ประโยชน์ในการจัดสภาพแวดล้อมท่ีส่งเสริมและสนับสนุนให้เกิดการเรียนรู้และการเรียนการสอน ด้วยบทเรียนบนเครือข่าย
อินเทอร์เน็ตเป็นการผสมผสานกันระหว่างเทคโนโลยีปัจจุบันกับกระบวนการออกแบบการเรียนการสอนเพื่อเพิ่มประสิทธภิ าพของการเรียนรแู้ ละแก้ปัญหาในเร่ืองของข้อจากัดทางดา้ นสถานท่ีและเวลา การเรยี นการสอนด้วยบทเรียนบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตเป็นรูปแบบการเรียนการสอนที่แตกต่างไปจากการเรียนการสอนในห้องเรียน กล่าวคือ นักเรียนจะเรียนผ่านคอมพิวเตอร์ ซ่ึงต่อเข้ากับเครอืข่ายอินเทอร์เน็ต โดยนักเรียนจะสามารถเรยี นจากทีไ่ หนก็ได้ในเวลาใดกไ็ ด้ (ถนอมพร เลาหจรัสแสง. 2544: 87) วิชาเทคโนโลยีสารสนเทศและการส่ือสาร เป็นวิชาท่ีมีเน้ือหาสาระกระบวนการเรียนรู้ท่ีมีรายละเอยี ดมาก ได้พบว่าปัญหาของการจัดการเรียนรู้วิชานี้มีปัญหาอยู่หลายประการ ได้แก่ พื้นฐานความรู้เดิมและความสนใจท่ตี ่างกันของนักเรียน จานวนนักเรยี นที่มากเกินและเวลาในช้ันเรยี นน้อยเกินไป จากการสังเกตของผู้วิจัยท่ีได้มโี อกาสได้ฝึกประสบการณว์ ชิ าชีพที่โรงเรียนชลราษฎรอารุง และได้รบั มอบหมายการสอนวชิ า เทคโนโลยีสารสนเทศและการส่ือสาร ของนกั เรยี นระดับชนั้ มัธยมศึกษาปีท่ี 4 พบวา่ เปน็ วชิ าทม่ี ีเน้ือหาสาระกระบวนการเรียนรู้ท่ีมีรายละเอียดมากและมีเนื้อหาทั้งทางด้านทฤษฎีและปฏิบัติ วิธีการสอนส่วนใหญ่ที่นามาใช้ คือการบรรยายและการสาธิต ซ่ึงนักเรียนแต่ละคนมีความสามารถ ทักษะ และการรับรู้ไม่เท่ากันจึงเป็นสาเหตุท่ีทาให้นักเรียนเรียนและรับรู้ในเวลาท่ีเท่ากันได้ยาก ในระหว่างการสอนผู้สอนต้องหยุดรอนักเรียนที่รับรู้ได้ช้าทาให้การจัดการเรียนรู้เป็นไปอย่างไม่ต่อเน่ือง นักเรียนที่เรียนรู้ได้เร็วเกิดความเบ่ือหน่าย ขาดแรงจูงใจและทาให้เวลาเรียนไม่เพียงพอ ส่งผลให้นักเรียนไม่สามารถศึกษาเน้ือหาได้อย่างครบถ้วน ส่งผลให้มาตรฐานการสอนในแต่ละช้ันเรียนท่ีเรียนเน้ือหาเดียวกันมีประสิทธิภาพไม่เท่ากัน ดังน้ันการใช้บทเรียนบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต จะช่วยให้นักเรียนเรียนทบทวนเน้ือหาในส่วนที่ยังไม่เข้าใจได้ ซ่ึงจะส่งผลดีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี นวิชาเทคโนโลยสี ารสนเทศและการส่อื สารด้วย จากปญั หาดังกล่าวทาใหผ้ ู้วจิ ัยเห็นถึงความสาคัญของการใช้บทเรียนบนเครือข่ายอนิ เทอรเ์ นต็ จงึ ได้ทาการศึกษาและพัฒนาด้วยการทาวิจัยในช้ันเรียนเร่ือง การพัฒนาผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี น โดยใช้บทเรียนบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต เรื่อง หลักการแก้ปัญหาด้วยคอมพิวเตอร์ ท้ังน้ีมีจุดมุ่งหมายเพ่ือให้นักเรียนท่ีได้เรียนผา่ นบทเรียนบนเครือขา่ ยอนิ เทอรเ์ น็ต สามารถพฒั นาผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรียนได้1.2 วัตถุประสงคข์ องกำรวจิ ัย เพอื่ เปรยี บเทยี บผลสัมฤทธ์ทิ างการเรยี นระหวา่ งกอ่ นเรยี นกับหลังเรียนดว้ ยบทเรยี นบนเครอื ขา่ ยอินเทอร์เน็ต เรื่อง หลักการแก้ปญั หาดว้ ยคอมพวิ เตอร์1.3 สมมติฐำนกำรวิจัย ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนหลังเรียนด้วยบทเรียนบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต เร่ือง หลักการแก้ปัญหาด้วยคอมพวิ เตอร์ สูงกว่าก่อนเรียน
1.4 ขอบเขตของกำรวิจยั 1.4.1 ประชำกรและกลุ่มตัวอย่ำง 1.4.1.1 ประชากร คือ นักเรียนระดับช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 4 โรงเรียนชลราษฎรอารุง ภาคเรียนท่ี 1ปีการศกึ ษา 2559 จานวน 4 ห้องเรียน จานวนนักเรียน 200 คน 1.4.1.2 กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนระดับช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 4 โรงเรียนชลราษฎรอารุง ภาคเรียนท่ี 1ปีการศึกษา 2559 จานวน 1 ห้องเรียน ห้องเรียนละ 50 คนท่ีได้มาจากการสุ่มตัวอย่างแบบกลุ่ม (Clusterrandom sampling) 1.4.2 ตัวแปรท่ีศึกษำ ประกอบด้วย ตัวแปรต้น คือ วิธีสอนโดยใช้บทเรียนบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต เร่ือง หลักการแก้ปัญหาด้วยคอมพิวเตอร์ ตัวแปรตาม คือ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนท่ีเรียนด้วยบทเรียนบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตเรอ่ื ง หลกั การแกป้ ัญหาด้วยคอมพวิ เตอร์ 1.4.3 เนอ้ื หำที่ใช้ในกำรวจิ ยั เน้ือหาที่ใช้ในการวิจัยคร้ังน้ีเป็นเนื้อหา วิชา เทคโนโลยีสารสนเทศและการส่ือสาร ช้ันมัธยมศึกษาปที ี่ 4 ประกอบด้วยเน้ือหา ดงั ตอ่ ไปน้ี 1.4.4.1 หลักการแก้ปญั หา 1.4.4.2 เครือ่ งมอื ท่ีใชใ้ นการออกแบบและขนั้ ตอนวิธีในการแก้ปญั หา 1.4.4.3 โครงสร้างการโปรแกรม 1.4.4 ระยะเวลำที่ใช้ในกำรวจิ ัย ดาเนนิ การในภาคเรียนที่ 1 ปีการศกึ ษา 2559 จานวน 2 สัปดาห์ สัปดาห์ละ 2 คาบ คาบละ 50 นาที1.5 นิยำมศพั ท์เฉพำะ 1.5.1 บทเรียนบนเครอื ข่ำยอินเทอรเ์ นต็ หมำยถึง การจัดกิจกรรมการเรยี นการสอน เร่ือง หลักการแก้ปัญหาด้วยคอมพิวแตอร์ ท่ีนาเสนอเน้ือหาความรู้ผ่านระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ที่สร้างข้ึนเพื่อใช้ในการเรยี นการสอนกบั นักเรียนชั้น มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 4 ภาคเรียนท่ี 1 ปีการศึกษา 2559 โรงเรียนชลราษฎรอารงุ 1.5.2 วิธีกำรสอนโดยใช้บทเรียนบนเครือข่ำยอินเทอร์เน็ต หมายถึง วิธีการสอนท่ีใช้บทเรียนบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตในการสอน โดยท่ีผู้เรียนสามารถเข้าไปเรียนรู้ด้วยตนเองได้ตลอดเวลาและสามารถเรยี นรู้ท่ีไหนกไ็ ดห้ ากมีอนิ เทอร์เน็ต 1.5.3 ผลสัมฤทธิ์ทำงกำรเรียน หมายถึง ความสามารถในด้านความรู้ความจา ด้านความเข้าใจด้านการนาไปประยุกต์ใช้ และด้านการวิเคราะห์ของนักเรียนท่ีเรียนเรอื่ ง หลักการแก้ปัญหาด้วยคอมพิวแตอร์โดยการวัดความสามารถนนั้ วัดได้จากแบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธท์ิ างการเรียน1.6 ประโยชนท์ ี่คำดวำ่ จะได้รบั 1.6.1 นกั เรยี นสามารถใชภ้ าษาโปรแกรมคอมพวิ เตอร์และเคร่ืองมือตา่ งๆในการแก้ปญั หาได้
1.6.2 นกั เรยี นสามารถนาความรูท้ ีไ่ ด้จากบทเรียนบนเครือขา่ ยอินเทอร์เน็ตมาใช้งานได้1.6.3 ผลสมั ฤทธ์ทิ างดา้ นการเรียน วิชา เทคโนโลยีสารสนเทศ ของนักเรยี นสงู ขนึ้
บทที่ 2 เอกสำรและงำนวจิ ยั ทเี่ กี่ยวข้อง การพฒั นาผลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี น โดยใชบ้ ทเรยี นบนเครือข่ายอนิ เทอรเ์ นต็ เร่ือง หลกั การแก้ปญั หาดว้ ยคอมพิวเตอร์ ผวู้ จิ ัยไดศ้ ึกษาแนวคิด ทฤษฎี หลักการเบื้องต้นและงานวจิ ยั ทเี่ กย่ี วขอ้ งตามหวั ขอ้ ต่อไปนี้ 2.1 รายวิชาเทคโนโลยีสารสนเทศและการสือ่ สาร 2.2 บทเรยี นบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต 2.3 ทฤษฎกี ารออกแบบบทเรียนบนเครือข่ายอินเทอร์เนต็ 2.4 ผลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี น 2.5 การหาประสทิ ธิภาพของบทเรยี นบนเครือข่ายอนิ เทอร์เน็ต 2.6 งานวิจยั ที่เกยี่ วข้อง2.1 รำยวชิ ำเทคโนโลยสี ำรสนเทศและกำรส่อื สำร 2.1.1 คำอธบิ ำยรำยวิชำ ศึกษาและอธิบายองค์ประกอบของระบบสารสนเทศ หลักการทางานของคอมพิวเตอร์ ระบบส่ือสารข้อมูลสาหรับเครือข่ายคอมพิวเตอร์ คุณลักษณะของคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ต่อพ่วง แก้ปัญหาด้วยกระบวนการเทคโนโลยีสารสนเทศอย่างมีประสิทธิภาพ เลือกใช้ฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ ให้เหมาะสมตดิ ตอ่ ส่ือสารคน้ หา้ ข้อมูลผ่านอินเตอร์เนต็ ใช้คอมพิวเตอร์ในการประมวลผลข้อมูลให้เป็นสารสนเทศ เพ่ือประกอบการตัดสินใจและนามาใช้ในการทางานได้อย่างเหมาะสมและมีประสิทธิภาพ โดยนาความรู้และทักษะกระบวนการทางคอมพิวเตอร์มาใช้ในการพัฒนาโครงงานคอมพวิ เตอร์ได้อย่างสร้างสรรค์ โดยใช้กระบวนการคิดวิเคราะห์ เพื่อให้เกิดความรู้ เกิดทักษะการปฏิบัติ มีคุณธรรม จริยธรรมเห็นคุณค่า มีจิตสานึกและใช้กระบวนการเทคโนโลยีสารสนเทศในการแก้ปัญหาการทางานได้อย่างมีประสิทธิภาพ 2.1.2 มำตรฐำน มำตรฐำน ง 3.1 เข้าใจ เหน็ คุณคา่ และใชก้ ระบวนการเทคโนโลยีสารสนเทศในการสบื ค้นข้อมูลการเรยี นรู้ การสือ่ สาร การแกป้ ญั หา การทางาน และอาชีพอยา่ งมปี ระสิทธภิ าพ ประสทิ ธิผล และมีคุณธรรม 2.1.3 ผลกำรเรียนรู้ 2.1.3.1 สามารถวเิ คราะห์และกาหนดรายละเอยี ดของปัญหาได้ 2.1.3.2 สามารถเลือกเคร่อื งมือทเ่ี หมาะในการออกแบบข้นั ตอนวิธกี ารแก้ปัญหา 2.1.3.3 สามารถเขียนถ่ายทอดความคดิ ในการแกป้ ัญหาโดยใช้ผังงานได้ 2.1.3.4 สามารถการเขยี นถ่ายทอดความคิดในการแก้ปัญหาโดยใช้รหัสลาลองได้ 2.1.3.5 สามารถเขียนโครงสรา้ งโปรแกรมได้2.2 บทเรียนบนเครอื ขำ่ ยอนิ เทอรเ์ นต็
2.2.1 ควำมหมำยของบทเรยี นบนเครอื ข่ำยอนิ เทอรเ์ นต็ จินตวีร์ คล้ายสังข์ (2556 : 1) ได้กล่าวถึงบทเรียนบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตว่า เป็นการเรียนการสอนที่รวมถึงการถ่ายทอดเนื้อหา การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนตลอดจนการวัดและประเมินผลผ่านตัวอักษรภาพน่ิง ผสมผสานกับการใช้ภาพเคลื่อนไหว วีดิทัศน์ และเสียง โดยอาศัยเทคโนโลยีของเว็บในการ ถ่ายทอด ศุภชัย สุขะนินทร์ และ กรกนก วงศ์พานิช (2545 : 19) กล่าวถึง บทเรียนบนเครือข่ายอินเทอรเ์ นต็คือ การเรียนทางไกล เป็นการเรียนท่ีใช้เทคโนโลยตี ่าง ๆ ท่ีมีบนโลกมาใช้เรียนผา่ นทางคอมพิวเตอร์โดยอาศยัเครือข่ายของอินเทอร์เน็ตมาช่วย เป็นการศึกษาที่ไร้ขอบเขตสามารถทากิจกรรมบนห้องเรียนออนไลน์ได้โดยไม่มีข้อจากัดในเร่ืองเวลา ระยะทาง และสถานท่ีในการ เรียนการสอน และยังสามารถตอบสนองต่อศักยภาพและความสามารถของผเู้ รียนได้ดี ชุณหพงศ์ ไทยอุปถัมภ์ (2545 : 26-28) กล่าวถึงความหมายของคาว่า บทเรียนบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต หมายถึง รูปแบบการเรียนการสอนแบบใหม่ท่ีมีการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี สื่ออิเล็กทรอนิกส์สมัยใหม่ มีวัตถุประสงค์ท่ีเอ้ืออานวยให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้องค์ความรู้ (Knowledge) ได้โดยไม่จากัดเวลาและสถานที่ (Anywhere-Anytime Learning) เพ่ือให้ระบบการเรียนการสอนเป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพมากข้นึ และเพือ่ ให้ผูเ้ รียนสามารถบรรลวุ ตั ถุประสงคข์ องกระบวนวชิ าที่เรยี นน้ัน ๆ สรุปได้ว่า เป็นรูปแบบการเรียนการสอนที่ใช้เทคโนโลยีต่าง ๆ ผ่านทางคอมพิวเตอร์ โดยอาศัยเทคโนโลยขี องเวบ็ (Web Technology) ในการถา่ ยทอดเน้ือหาในการบริหารจัดการงานสอนดา้ นต่างๆ มีการปฏิสัมพันธ์และการส่ือสารท่ีเอ้ืออานวยให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ได้โดยไม่จากัดเวลาและสถานท่ี(AnywhereAnytime Learning) 2.2.2 ประเภทของบทเรยี นบนเครือขำ่ ยอินเทอรเ์ นต็ การเรียนการสอนบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตตามแนวคิดของ Parson (1997) [ออนไลน์] ได้แบ่งประเภทของการเรยี นการสอนบนเครอื ขา่ ยอินเทอร์เน็ตออกเปน็ 3 ลกั ษณะ คือ 1. การเรียนการสอนบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตแบบรายวิชาเดียว (Stand–Alone Courses) เป็นรายวิชาท่ีมีเครื่องมือและแหล่งที่เข้าไปถึงและเข้าหาได้โดยผ่านระบบอินเทอร์เน็ตอย่างมากท่ีสุด ถ้าไม่มีการส่อื สารกส็ ามารถที่จะไปผา่ นระบบคอมพิวเตอร์ส่ือสารได้ (Computer Mediated Communication : CMC)ลักษณะของการเรียนการสอนบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตแบบนี้มีลักษณะเป็นแบบวิทยาเขตมีนักศึกษาจานวนมากที่เขา้ มาใช้จริงแตจ่ ะมกี ารสง่ ขอ้ มูลจากรายวชิ าทางไกล 2. การเรียนการสอนบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตแบบเว็บสนับสนุนรายวิชา (Web SupportedCourses) เป็นรายวิชาทีม่ ลี กั ษณะเป็นรปู ธรรมทมี่ กี ารพบปะระหวา่ งครูกับนักเรยี นและมีแหลง่ ใหม้ ากเชน่ การกาหนดงานท่ีให้ทาบนเว็บ การกาหนดให้อ่าน การส่ือสารผ่านระบบคอมพิวเตอร์หรือการมีเว็บที่สามารถชี้ตาแหนง่ ของแหล่งบนพ้ืนทขี่ องเว็บไซตโ์ ดยรวมกิจกรรมตา่ ง ๆ เอาไว้ 3. การเรียนการสอนบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตแบบศูนย์การศึกษา (Web Pedagogical Resources)เป็นชนิดของเว็บไซต์ที่มีวัตถุดิบเคร่ืองมือ ซึ่งสามารถรวบรวมรายวิชาขนาดใหญ่เข้าไว้ด้วยกันหรือเป็นแหล่งสนับสนุนกิจกรรมทางการศึกษาซึ่งผู้ท่ีเข้ามาใช้ก็จะมีสื่อให้บริการหลายรูปแบบเช่น ข้อความ ภาพน่ิงภาพเคลอ่ื นไหว และการสือ่ สารระหวา่ งบุคคล เปน็ ต้น Doherty (1998) [61-63] การเรียนการสอนบนเว็บจะต้องอาศัยคุณลักษณะของอินเทอร์เน็ต3 ประการในการนาไปใชแ้ ละประโยชนท์ จ่ี ะได้รับ น่นั คอื
1. การนาเสนอ (Presentation) ในลักษณะของเว็บไซต์ท่ีประกอบไปด้วยข้อความกราฟิกซึ่งสามารถนาเสนอได้อยา่ งเหมาะสมในลกั ษณะของส่ือ คอื 1.1 การนาเสนอแบบสือ่ ทางเดยี ว เช่น ข้อความหรือรูปภาพ 1.2 การนาเสนอแบบส่อื คู่ เชน่ ข้อความกับภาพกราฟกิ 1.3 การนาเสนอแบบมัลติมีเดีย คือ ประกอบด้วยข้อความ ภาพกราฟิก ภาพเคล่ือนไหว เสียง และภาพยนตร์ หรือวดิ โี อ 2. การสื่อสาร (Communication) การส่ือสารเป็นสิ่งจาเป็นที่ต้องใช้ทุกวันในชีวิตซึ่งเป็นลักษณะสาคญั ของอินเทอร์เนต็ โดยมีการส่ือสารบนอนิ เทอร์เน็ตหลายแบบ เช่น 2.1 การสอื่ สารทางเดียวโดยดจู ากเว็บเพจ 2.2 การสือ่ สารสองทาง เชน่ การส่งอีเมลโต้ตอบกนั การสนทนาผ่านอนิ เทอรเ์ นต็ 2.3 การส่ือสารแบบหน่ึงแหล่งไปหลายท่ี เป็นการส่งข้อความจากแหล่งเดียวแพร่กระจายไปหลายแหล่ง เชน่ การอภปิ รายจากคนเดยี วใหค้ นอืน่ ๆ ได้รับฟังด้วยหรอื การประชุมทางคอมพวิ เตอร์ 2.4 การสอ่ื สารหลายแหล่งไปสหู่ ลายแหล่ง เช่น การใชก้ ระบวนการกลุ่มในการสือ่ สารบนเวบ็ โดยมีคนใชห้ ลายคนและคนรบั หลายคนเช่นกนั 3. การก่อเกิดปฏิสัมพันธ์ (Dynamic Interaction) เป็นคุณลักษณะสาคัญของอินเทอร์เน็ตซ่ึงมีคณุ ลกั ษณะที่สาคัญ 3 ลักษณะคือ 3.1 การสืบค้น 3.2 การหาวธิ ีการเข้าสเู่ ว็บ 3.3 การตอบสนองของมนษุ ยใ์ นการใช้เวบ็ 2.2.3 ข้อดีและข้อจำกดั ของกำรเรยี นกำรสอนบนเครือขำ่ ยอินเทอรเ์ น็ต การเรียนการสอนบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตมีข้อดีพอสรุปได้ดังน้ี (กิดานันท์ มลิทอง. 2543 :350 -351) 1. ขยายขอบเขตของการเรียนรู้ของนักเรียนในทุกหนทุกแห่งจากห้องเรียนปกติไปยังบ้านและที่ทางานทาให้ไมเ่ สยี เวลาในการเดินทาง 2. ขยายโอกาสทางการศึกษาใหน้ ักเรยี นรอบโลกในสถานศึกษาต่างๆ ทีร่ ่วมมือกันไดม้ ีโอกาสได้เรียนรู้พร้อมกนั 3. นกั เรียนควบคุมการเรียนตามความตอ้ งการและความสามารถของตน 4. การสื่อสารโดยใช้ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ กระดานข่าว การพดู คยุ สด ๆ ทาใหก้ ารเรียนรู้มีชวี ิตชีวามากกวา่ เดิมส่งเสรมิ ให้นักเรยี นมีส่วนชว่ ยเหลือกนั ในการเรียน 5. กระตุ้นให้นักเรียนรู้จักการส่ือสารในสงัคมและก่อให้เกิดการเรียนแบบร่วมมือสามารถขยายขอบเขตจากหอ้ งเรยี นหนึ่งไปยงั หอ้ งเรยี นอื่นๆ ไดโ้ ดยการเชอ่ื มต่อทางอินเทอรเ์ นต็ 6. การเรียนด้วยส่ือหลายมิติทาให้นักเรียนสามารถเลือกเรียนเนื้อหาได้ตามความสะดวกโดยไม่ต้องเรียงลาดบั กัน 7. การสอนด้วยบทเรียนผ่านเครือข่ายเป็นวิธีการที่ดีเย่ียมในการให้นักเรียนได้ประสบการณ์ของสถานการณ์จาลอง ทั้งนี้เพราะสามารถใช้กราฟิก ภาพน่ิง ภาพเคล่ือนไหวและภาพสามมิติ ในลักษณะที่ใกล้เคียงกับชีวิตจรงิ ได้
8. ขอ้ มูลของหลกั สูตรและเนอื้ หารายวิชาสามารถหาไดโ้ ดยง่าย 9. การเรียนการสอนมีให้เลือกทั้งแบบประสานเวลา คือเรียนและพบกับผสู้อนเพ่ือปรึกษาหรือถามปญั หาได้ในเวลาเดียวกนั และแบบไม่ประสานเวลา คอื เรียนจากเน้ือหาในเวบ็ เพจและติดต่อผูส้ อนทางไปรษณีย์อิเลก็ ทรอนิกส์ การเรยี นการสอนบนเครือขา่ ยอนิ เทอร์เนต็ มีข้อจากัดพอสรปุ ได้ดังนี้ (กดิ านนั ท์ มลทิ อง. 2543 : 351) 1. ในการศึกษาทางไกลผสู้ อนและนกั เรียนอาจไม่ไดพ้ บหน้ากนั เลยรวมทัง้ การพบกนั ระหวา่ งนกั เรยี นคนอน่ื ๆ ด้วยวิธกี ารนอี้ าจทาให้นักเรยี นบางคนรู้สกึ อดึ อัดและไมส่ ะดวกในการเรยี น 2. เพื่อให้ได้ประโยชน์ในการสอนมากที่สุด ผู้สอนจาเป็นต้องใช้เวลามากในการเตรียมการสอนท้ังในด้านเนื้อหา การใช้โปรแกรมและคอมพิวเตอร์และในส่วนของนักเรียนจาเป็นต้องเรียนรู้การใช้โปรแกรมและคอมพวิ เตอร์เช่นกนั 3. การถามและตอบคาถามบางครง้ั ไม่เกิดขึ้นในทนั ทอี าจทาให้เกิดความไมเ่ ข้าใจอย่างถ่องแทไ้ ด้ 4. ผสู้ อนไม่สามารถควบคมุ การเรยี นไดเ้ หมือนช้ันเรียนปกติ 5. นักเรยี นตอ้ งรู้จักควบคมุ ตนเองในการเรียนจึงจะประสบความสาเร็จในการเรยี นได้2.3 ทฤษฎกี ำรออกแบบบทเรียนบนเครือข่ำยอนิ เทอรเ์ นต็ 2.3.1 ADDIE MODEL ADDIE MODEL เป็นการออกแบบระบบการเรียนการสอน กล่าวคือ กระบวนการพัฒนาโปรแกรมการสอน จากจุดเรม่ิ ตน้ จนถึงจุดสิ้นสุด มีแบบจาลองจานวนมากมายทน่ี ักออกแบบการสอนใช้และสาหรับตามความประสงค์ทางการสอนต่าง ๆ กระบวนการออกแบบการเรียนการสอนแบบ ADDIE สามารถสรุปเป็นข้นั ตอนทวั่ ไปได้เปน็ 5 ขัน้ ประกอบไปด้วย (Seels and Glasgow. 1998 : 7-22) 1. Analysis (การวิเคราะห)์ 2. Design (การออกแบบ) 3. Development (การพัฒนา) 4. Implementation (การนาไปใช)้ 5. Evaluation (การประเมินผล) 2.3.1.1 การวิเคราะห์ (A : Analysis) การวเิ คราะหเ์ ปน็ ข้ันตอนแรก ประกอบดว้ ยข้ันตอนตา่ ง ๆ ดงั นี้ - นิยามข้อขัดแย้ง (Define Discrepancy) หมายถึง การศึกษาเก่ียวกับข้อขัดแย้งหรือศึกษาปัญหาที่เกิดขึ้นรวมทั้งความต้องการต่าง ๆ เพื่อหาวิธีแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ดังกล่าว ซ่ึงเป็นวิธีหน่ึงในการหาเหตุผลสาหรับออกแบบบทเรียนคอมพิวเตอร์ เพือ่ ใชแ้ กป้ ญั หาหรอื แกไ้ ขข้อขดั แย้งตา่ ง ๆ ทเ่ี กิดข้นึ - กาหนดกลุ่มผู้เรียนเป้าหมาย (Specify Target Audience) หมายถึง การกาหนดกลุ่มผู้เรียนหรือผู้เข้าฝึกอบรมที่เป็นผู้ใช้บทเรียนปัจจัยต่างๆ ท่ีควรพิจารณา ได้แก่ ปัญหาทางการเรียน ความสัมพันธ์กับประสบการณเ์ ดมิ และรูปแบบของบทเรยี นทส่ี อดคล้องกับความต้องการของผู้เรยี น - วิเคราะห์งานหรือภารกิจ (Conduct Task Analysis) หมายถึง การวิเคราะห์งานหรือภารกิจที่ผเู้ รยี นจะตอ้ งกระทาก่อนระหว่างและหลังบทเรียน ผลทไ่ี ดจ้ ากขั้นตอนนี้จะนาไปกาหนดเปน็ วัตถุประสงค์ของบทเรยี น การวิเคราะห์งานในข้ันนจ้ี ะตอ้ งใชเ้ คร่ืองมือชว่ ย
- กาหนดวัตถุประสงค์ (Specify Objectives) หมายถึง การกาหนดวัตถุประสงค์ของบทเรียนซ่ึงสมั พันธก์ บั งานหรือภารกิจที่ผูเ้ รยี นจะตอ้ งกระทาในกระบวนการเรยี นรู้ - ออกข้อสอบสาหรับประเมินผล (Design Item of Assessment) หมายถึง การออกข้อสอบที่ใช้ในบทเรียนเพ่ือประเมินผลผู้เรียน ได้แก่ แบบฝึกหัด แบบทดสอบก่อนและหลังบทเรียน พร้อมท้ังกาหนดเกณฑ์ตัดสนิ น้าหนักคะแนน วิธีการตรวจสอบ และชนิดของข้อสอบ - วเิ คราะห์แหล่งข้อมูล (Analyze Resources) หมายถึง การวิเคราะห์แหล่งข้อมูลการ เรียนการสอนทีจ่ ะใชใ้ นการออกแบบบทเรยี น ไดแก่ แหลง่ เนอื้ หา แหล่งวสั ดกุ ารเรียน แหลง่ ส่ือ และแหล่งกิจกรรมการเรียนการสอน - นิยามความจาเป็นในการจดั การบทเรยี น (Define Needs of Management) หมายถึง การกาหนดวิธีการจัดการบทเรียน โดยพิจารณาประเด็นต่างๆ เช่น รูปแบบการนาเสนอบทเรียน การจัดการบทเรียนการรักษาความปลอดภัย การเก็บบันทึก วิธีการปฏิสัมพันธ์กับบทเรียน รวมถึงวิธีการนาส่งบทเรียนไปยังกลมุ่ผเู้ รียนเปา้ หมาย 2.3.1.2 การออกแบบ (D : Design) การออกแบบประกอบดว้ ยข้ันตอนต่าง ๆ ดังน้ี - ระบุมาตรฐาน (Specify Standards) หมายถงึ การกาหนดมาตรฐานของบทเรยี น เพอ่ื ให้ไดบ้ ทเรียนท่ีมีคุณภาพท้ังด้านเนื้อหา ภาษาท่ีใช้ หน้าจอภาพ การควบคุมโดยผู้ใช้ ระบบช่วยเหลือผู้เรียน ระบบการตดิ ต่อสือ่ สารทใี่ ช้ และอ่ืน ๆ - ออกแบบโครงสร้างบทเรียน (Design Course Structure) หมายถึง การออกแบบโครงสร้างที่แสดงความสัมพันธ์ของบทเรียน โดยใช้เครื่องมือช่วยในการออกแบบรวมท้ังการพิจารณารูปแบบของการจัดการบทเรยี น เพื่อใหส้ อดคลองกบั คุณสมบตั ิและประสบการณ์ของผูเ้ รียน - ออกแบบโมดูล (Design Module) หมายถึง การออกแบบโมดูลการเรียนออกเป็นส่วนๆ ตามลกั ษณะโครงสรา้ งบทเรยี นและปริมาณเนอ้ื หา - ออกแบบบทเรียน (Design Lessons) หมายถึง การออกแบบในส่วนรายละเอียดของบทเรียนแต่ละโมดูลว่าประกอบด้วยเน้ือหา กิจกรรม สื่อการเรียนการสอน คาถาม การตรวจปรับและกระบวนการเรยี นรู้อื่น ๆ - เรียงลาดับการเรียนการสอน (Instructional Sequencing) หมายถึง การจัดลาดับ ความสัมพันธ์ของบทเรยี นแตล่ ะโมดูล เพอ่ื จดั กระบวนการเรยี นรู้ให้ครบตามขอบเขตของเนื้อหา - เขยี นบทดาเนนิ เรื่อง (Storyboards) เป็นการเขียนบทดาเนนิ เรื่องของบทเรียนทงั้ หมด ซ่ึงจะใช้เป็นแนวทางในการพฒั นาบทเรียนดว้ ยระบบนิพนธ์บทเรียนตอ่ ไป - วิเคราะห์เน้ือหา (Analyze Content) หมายถึง การวิเคราะห์รายละเอียดของเนื้อหาบทเรียนเพ่ือนาเสนอกบั ผเู้ รยี น - ระบุการประเมินผล (Specify Assessment) หมายถึง การกาหนดรูปแบบการประเมินผลรวมท้ังเกณฑ์การพิจารณาและวธิ กี ารประเมินผลการเรียนการสอน - ระบุการจัดการบทเรียน (Specify Management) หมายถึง กาหนดการจัดการบทเรียน ได้แก่การจัดการฐานข้อมลู ขอ้ มลู สว่ นตวั ของผู้เรยี น บทเรียน รวมท้ังการเก็บบนั ทึกและรายงานผลการเรียน - เลือกแหล่งข้อมูล (Select Resource) หมายถึง การเลือกแหล่งวัสดุการเรียนการสอนท่ีจะนามาใช้ในกระบวนการพัฒนาบทเรียน 2.3.1.3 การพฒั นา (D : Development)
การพัฒนาประกอบด้วยขั้นตอนต่าง ๆ ดังนี้ - การพัฒนาบทเรียน (Lesson Development) หมายถึง การพัฒนาเน้ือหาบทเรียนให้เป็นบทเรียนคอมพวิ เตอร์ โดยนาเสนอผา่ นจอภาพของคอมพิวเตอร์ - ทดสอบบทเรียน (Lesson Test) หมายถึง การทดสอบบทเรียนขั้นต้นก่อน เพ่ือตรวจสอบความสมบูรณ์ในแต่ละส่วนแต่ละโมดูลกอ่ นนาไปรวมเปน็ บทเรยี นท้งั ระบบ - การรวมบทเรียน (Integration) หมายถึง การรวมบทเรียนแต่ละโมดูลหรือแต่ละหน่วยเข้าด้วยกันเปน็ บทเรยี นตามวตั ถปุ ระสงคท์ ีก่ าหนดไว้ - การยอมรับบทเรียน (Acceptance) หมายถึง การตรวจสอบบทเรียนอีกคร้ังหน่ึงหลังจากรวมบทเรียนเป็นระบบแลว้ เพอื่ พจิ ารณาการยอมรบั บทเรยี น - การผนวกวัสดุการเรยี นการสอน (Supplementary Materials) หมายถึง การใส่วัสดุ การเรียนการสอนเขา้ ไปในตัวบทเรียนตามแนวทางท่อี อกแบบไว้ - การผนวกแบบทดสอบ (Supplementary Test) หมายถึง การใส่แบบทดสอบเข้าไปในตัวบทเรียนเพ่อื ให้บทเรยี นมีกระบวนการเรยี นรู้ครบทกุ ขนั้ ตอน - การพัฒนาระบบจัดการบทเรียน (Management Development) หมายถึง การพัฒนาระบบการจดั การบทเรยี นให้มีความสามารถจดั การเรียนการสอนได้ตามความต้องการ 2.3.1.4 การทดลองใช้ (I : Implementation) การทดลองใชป้ ระกอบด้วยขน้ั ตอนต่าง ๆ ดังนี้ - การเตรียมสถานที่ (Site Preparation) หมายถึง การเตรียมสถานท่ีสาหรับทดลองใช้บทเรียนรวมท้ังการเตรียมเคร่ืองคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์อานวยความสะดวกสาหรับการฝึกอบรมผู้ใช้หรอื ผู้เรียนตามความต้องการ - การฝึกอบรมผู้ใช้ (User Training) หมายถึง การดาเนินการฝึกอบรมผู้ใช้ตามกาหนดการในสถานท่ีเตรียมไว้ในข้ันตอนแรก - การยอมรับบทเรียน (Acceptance) เป็นการตรวจสอบบทเรียนจากการทดลองใช้โดยการสอบถามจากกลุ่มผใู้ ชบ้ ทเรยี น เพื่อใหพ้ จิ ารณาบทเรียนใหผ้ ่านการยอมรบั อีกครั้งหนง่ึ ก่อนทจี่ ะทาการประเมนิ ผล 2.3.1.5 การประเมนิ ผล (E : Evaluation) ประกอบดว้ ยขั้นตอนต่าง ๆ ดังนี้ - การประเมินผลระหว่างดาเนินการ (Formative Evaluation) หมายถึง การประเมินผลการออกแบบและการพฒั นาบทเรียนวา่ แตล่ ะขนั้ ตอนได้ผลอย่างไร มีขอ้ แก้ไขปรับปรุงประการใดบ้าง - รายงานการประเมินผลระหว่างดา เนินการ (Formative Evaluation Report) หมายถึงการรายงานผลที่ได้จากการประเมินในขั้นตอนที่ไปยังผู้ท่ีเก่ียวข้องเพ่ือนาข้อมูลไปพิจารณาดาเนินการแก้ไขตอ่ ไป - การประเมินผลสรุป (Summative Evaluation) หมายถึง การประเมินผลสรุปการใช้บทเรียนเพือ่ หาคณุ ภาพของบทเรยี นโดยใช้วธิ ีการต่างๆ ทางสถติ ิ - รายงานการประเมินผลสรุป (Summative Evaluation Report) หมายถึง การรายงานผลสรุปคุณภาพของตวั บทเรยี นไปยังผูท้ ีเ่ กีย่ วข้อง รวมท้งั การแจ้งผลการเรียนรไู้ ปยงั กลุ่มผใู้ ช้ ในการวิจัยครง้ั นีผ้ ูว้ จิ ัยใช้ ADDIE MODEl เปน็ แนวทางในการพัฒนาบทเรียนบนเครือขา่ ยอนิ เทอร์เนต็
2.4 ผลสัมฤทธิท์ ำงกำรเรียน 2.4.1 ควำมหมำยของผลสัมฤทธิ์ทำงกำรเรียน ชนินทรชัย อินทิราภรณ์ และคณะ (2540 : 5) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง ความสาเร็จในด้านความรู้ ทักษะ สมรรถภาพด้านต่างๆ ของสมองหรือมวลประสบการณ์ ทั้งปวงของบุคคลท่ีได้รับการเรียนการสอนหรือผลงานท่ีนกั เรียนไดจ้ ากการประกอบกจิ กรรม ธวชั ชัย บญุ สวัสดก์ิ ุลชัย (2543 : 4) ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรยี น หมายถงึ ความรู้ ทกั ษะและ สมรรถภาพทางสมองในด้านต่างๆ ท่ีนักเรียนได้รับจากการสั่งสอนของครูผู้สอน ซึ่งสามารถตรวจสอบได้โดยใช้แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิ (Achievement Test) รัตนาภรณ์ ผ่านพิเคราะห์ (2543 : 7) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง ผลของความสามารถทางวชิ าการที่ได้จากการทดสอบโดยวิธีต่าง ๆ กระทรวงศึกษาธิการ (2544 : 11) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง ความสาเร็จหรือความสามารถในการกระทาใดๆ ท่ีจะต้องอาศยั ทักษะหรือมิฉะน้ันก็ต้องอาศัยความรอบรู้ในวชิ าใดวชิ าหน่ึงโดยเฉพาะ สรุปได้ว่า ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน หมายถึง คะแนนที่ได้จากการทาแบบทดสอบหลังจากเรียนด้วยบทเรียนบนเครอื ข่ายอินเทอร์เน็ต ซึ่งเปน็ การวัดความรู้ ความจา ความเข้าใจและการนาไปใช้ 2.4.2 กำรวดั ผลสัมฤทธิท์ ำงกำรเรียน การวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนมีความจาเป็นต่อการเรียนการสอนหรือการตัดสินผลการเรียน เพราะเป็นการวัดระดับความสามารถในการเรียนรู้ของบุคคลหลังจากที่ไดรับการฝึกฝนโดยอาศัยเครื่องมือประเภทแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิซ่ึงเป็นเครอ่ื งมอื ที่นิยมมากทส่ี ุด เยาวดี วิบูลย์ศรี (2540 : 19) ได้กล่าวถึงข้อตกลงเบื้องต้นท่ีควรคานึงถึงในการสร้างแบบทดสอบผลสมั ฤทธิไ์ ว้ดังนี้ 1. เนื้อหา หรือทักษะภายในขอบเขตท่ีครอบคลุมในแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์นั้น จะต้องสามารถจากัดอยู่ในรูปของพฤติกรรม ซึ่งมีความเฉพาะเจาะจงในลักษณะท่ีจะส่ือสารไปยังบุคคลอ่ืนได้ ถ้าเป้าหมายทางการศึกษาไม่สามารถจากัดอยู่ในรูปของพฤติกรรมแล้ว ย่อมไม่สามารถที่จะวัดได้ในลักษณะของผลสัมฤทธิ์ไดอ้ ยา่ งชัดเจน 2. ผลติ ผลทีแ่ บบทดสอบวัดผลสัมฤทธวิ์ ัดน้ัน จะต้องเป็นผลิตผลเฉพาะท่เี กดิ ขนึ้ จากการเรยี นการสอนตามวัตถปุ ระสงค์ท่ีต้องการเทา่ นั้น จะวดั ผลิตผลอย่างอน่ื ไม่ได้ 3. ผลสัมฤทธ์ิหรือความรู้ต่างๆ ท่ีแบบทดสอบผลสัมฤทธ์ิวัดได้น้ัน ถ้าจะนาไปเปรียบเทียบกันแล้วผู้เข้าสอบทุกคนจะต้องมโี อกาสได้เรยี นรู้ในเร่ืองนนั้ ๆ เท่าเทยี มกัน 2.4.3 กำรสรำ้ งขอ้ สอบวดั ผลสมั ฤทธิ์ทำงกำรเรยี น การสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิให้มีคุณภาพนั้น นอกจากจะต้องคานึงถึงความครอบคลุมเน้ือหาและการใชค้ าถามทดี่ ีแล้ว จาเปน็ ตอ้ งนกึ ถึงพฤติกรรมการเรียนรู้ต่างๆ ทเ่ี ปน็ จดุ มงุ่ หมายของหลักสูตร กล่าวคือต้องพยายามเขียนคาถามวัดพฤติกรรมต่างๆ ให้สอดคล้องกับจุดมุ่งหมายของรายวิชาน้ันๆ ด้วย ซึ่งพฤติกรรม
ดังกล่าวสามารถแบ่งออกเป็นชนิดใหญ่ ๆ ได้ 6 ระดับ ตามวัตถุประสงค์ทางด้านพุทธิพิสัยของ Benjamin S.Bloom ท่ไี ด้รบั การปรบั ปรุงใหมโ่ ดย Anderson และ Krathwohl (ศักดชิ์ ยั หริ ัญรกั ษ.์ 2556) [Online] ดงั น้ี 1. จา (remembering) ได้แก่ การเรียกข้อมูลกลับคืนมา (retrieving) การจาได้ถึงความรู้(recognizing) และการสามารถนาเอาความรู้ทจี่ าได้นั้นออกมาใช้ได้ด้วยตนเอง (recalling) โดยในขนั้ นเ้ี ปน็ ข้ันความจาท่ีผู้เรียนสามารถจาความรู้ เก็บความรู้ และสามารถนาเอาความรู้ท่ีได้จาไว้นากลับมาใช้ใหม่ได้ในระยะเวลาท่ียาวนานและมีความสัมพันธ์กับเรื่องท่ีเก่ียวข้องกับประเด็นหัวข้อเร่ืองท่ีต้องใช้ความรู้จากการจานั้นมาใช้ให้เป็นประโยชน์ ในข้ันความจาประกอบด้วยองค์ประกอบย่อยท่ีเรียงจากการใช้กระบวนการคิดที่ซบั ซ้อนนอ้ ยที่สดุ ไปมากท่ีสดุ ดังนี้ 1.1. การจาได้ (remember) สามารถจาความรทู้ ี่เรยี นไปแลว้ และนามาใช้ใหม่ได้ 1.2. การจาและระลึกได้ (recognizing) เป็นข้ันที่สามารถจาได้และสามารถระบุถึงข้อมูลท่ีชัดเจนเช่น สาระ วัน เหตกุ ารณ์ที่สาคัญได้ 1.3. การจาระลึกถึงชุดความรู้ และสามารถเรียกนากลับมาใช้ได้ (recalling) เป็นขั้นที่สามารถจาได้ และสามารถจาสาระหรือสงิ่ ที่สาคญั ในรูปแบบของชุดความรู้ท่ีเรียงต่อเน่ืองกนั ได้แสดงถึงความสมบูรณ์ของชดุ ความรทู้ ี่จาและเรียกกลบั นามาใช้ได้ 2. เข้าใจ (understanding) ได้แก่ การสร้างความรู้ด้วยตนเอง (constructing) ผ่านการพูดการเขียน การใช้ภาพสัญลักษณ์ (graphic messages) ด้วยการตีความ (interpreting) การทดสอบ(exemplifying) การจัดหมวดหมู่ (classifying) การสรุป (summarizing) การสรุปอ้างถึง (inferring) การเปรยี บเทียบ (comparing) และการอธิบาย (explaining) ประกอบด้วยองค์ประกอบย่อย ดังน้ี 2.1 การเขา้ ใจ (understand) 2.2 การจับใจความสาคัญ (interpreting) 2.3 ความสามารถในการยกตวั อยา่ งทเ่ี ปน็ ตัวแทน 2.4 การจัดกลุ่ม (classifying) 2.5 การสรุปความ (summarizing) 2.6 การอนุมาน (inferring) 2.7 การเปรียบเทยี บ (comparing) 2.8 การอธิบาย (explaining) 3. ประยุกต์ใช้ (applying) ข้ันการนาเอาความรู้ไปประยุกต์ใช้ (applying) ได้แก่ การนาเอาความรู้เดิมไปใช้ผ่านกระบวนการคิด เม่ือประสบกับปัญหาสามารถนาเอาความรู้เดิมไปใช้ในการบริหารจัดการในสถานการณ์ใหม่ (executing) หรือเอาความรู้เดิมนั้นไปปรับใช้ในสถานการณ์ใหม่ให้เกิดผล (implementing)ในข้ันการนาเอาความรู้ไปประยุกต์ใช้ประกอบด้วย องค์ประกอบย่อยท่ีเรียงจากการใช้กระบวนการคิดที่ซับซอ้ นนอ้ ยท่ีสุดไปมากทีส่ ดุ ดงั น้ี 3.1 การนาเอาความรู้ หลักการ ทฤษฎีไปใช้ (apply) เมื่อประสบปัญหาสามารถนาเอา ความรู้หลกั การ ทฤษฏีที่ได้เรยี นรู้ไปใชไ้ ดอ้ ยา่ งเหมาะสม 3.2 การนาเอาความรู้ หลักการ ทฤษฎีไปใช้ในการบริหารจัดการความรู้ งานที่ทา ภาระท่ีรบั ผิดชอบ (executing) สามารถเลือกใชค้ วามรู้ ทฤษฏี หลักการ ไปใช้กับงานและปัญหาทเ่ี กิดข้นึ 3.3 การนาเอาความรู้ หลักการ ทฤษฎีไปใช้ให้งานที่ทา ภาระท่ีกระทานั้นบรรลุผลสาเร็จด้วยดีด้วยความเหมาะสมกับสถานการณ์ (implementing) สามารถเลือกความรู้ ทฤษฎี ไปใช้ได้ใน สถานการณ์ท่ีเหมาะสม เพ่ือใหเ้ กิดผลทด่ี ที ี่สดุ ถกู ต้องทส่ี ุด
4. วิเคราะห์ (analyzing) ประกอบด้วยการแยกย่อยส่ิงที่ต้องศึกษาออกเป็นส่วนๆ และทาการศึกษาถึงองค์ประกอบของส่วนย่อยๆ และทาการศึกษาตัดสินใจว่าในแต่ละส่วนน้ันมี ความสัมพันธ์กันอย่างไรในรูปแบบใด ตลอดจนศึกษาในแง่ภาพรวมของโครงสร้างของสิ่งท่ีศึกษา หรือการศึกษาเพ่ือการวิเคราะห์ถึงความเหมือนและความแตกต่าง (differentiating) การศึกษาถึงรูปแบบของการจัดโครงสร้างรูปแบบ รูปแบบการบริหาร รูปแบบการดาเนินการ (organize) และวิเคราะห์ถึงคุณลักษณะ คุณสมบัติของสิ่งที่ศึกษา(attribution) ในขั้นการวิเคราะห์ 5. ประเมินค่า (evaluating) ประกอบด้วย การตัดสินใจจากเกณฑ์ที่กาหนดข้ึน (criteria) หรือจากมาตรฐาน (standard) ท่ีสร้างข้ึนไว้แล้วด้วยการตรวจสอบท้ังแบบการสารวจรายการหรือ แบบอื่น ๆ(checking) และการวิเคราะห์ (critiquing) ประกอบด้วย 5.1 การประเมนิ (evaluate) เปน็ การประเมินทปี่ ระเมนิ จากเกณฑ์มาตรฐาน ท่ีไดก้ าหนดข้ึนว่าส่ิงที่ประเมินนนั้ มีคุณสมบัติ คณุ ภาพ คณุ ลักษณะตรงไปตามทก่ี าหนดไว้ในเกณฑ์หรือมาตรฐานหรือไม่ 5.2 การตรวจสอบรายการ (checking) การศึกษา สังเกต ตรวจสอบเพ่ือการวิเคราะห์ และประเมินว่าส่ิงท่ีศึกษาน้ันมีระบบ ระเบียบ ข้ันตอน กรรมวิธี กระบวนการ หลักการ คุณสมบัติ คุณภาพคุณลกั ษณะมากน้อยเพยี งใด 5.3 การอภิปราย การวิพากษ์ วิจารณ์ เพ่ือหาข้อสรุปท่ีดีท่ีสุด (critiquing) เป็นการเปรียบเทียบระบบ ระเบยี บ ขั้นตอน กรรมวธิ ี กระบวนการ หลกั การ ทฤษฎีคุณสมบัติ คณุ ภาพ คุณลักษณะจากสิ่งท่ีศึกษาซึ่งตามปกติจะมีมากกว่า 2 แบบว่ารูปแบบใดมีคุณค่า มีความเหมาะสม ช่วยแก้ปัญหา หรือสอดคล้องกับสถานการณ์ไดม้ ากกว่ากนั 6. คิดสร้างสรรค์ (creating) ได้แก่ การนาเอาองค์ความรู้ท่ีกล่าวไปแล้วนั้นมาบูรณาการใช้ร่วมกันท้ังในด้านความสอดคล้องของความรู้ (coherent) สามารถนาเอาความรู้มาใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ(functional whole) สามารถนาเอาความรู้เดิมมาจัดระบบความคิดเกิดเป็นองค์ความรู้ใหม่ (reorganize) ทง้ัในด้านแบบแผน (pattern) หรือโครงสร้างของชุดความรู้ (structure) ซ่ึงผลของขั้นการสร้างสรรค์อาจอยู่ท้ังในรูปของการได้มาซ่ึงชุดความรู้ใหม่ (generate) รูปแบบการวางแผนท่ีแตกต่างไปจากเดิม (plan) หรืออาจเปน็ ผลผลติ ใหม่ (product) ในขน้ั น้ปี ระกอบด้วย 6.1 การสร้าง (creating) 6.2 การผลิต (generating) 6.3 การวางแผน (planning) 6.4 การสรา้ งผลิตผล (producing)2.5 กำรหำประสทิ ธภิ ำพของบทเรียนบนเครอื ข่ำยอินเทอรเ์ นต็ เกณฑ์ประสิทธิภำพ หมายถึง ระดับประสิทธิภาพของบทเรียนบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตท่ีจะช่วยให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้ เป็นระดับท่ีผู้พัฒนาบทเรียนบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตพึงพอใจว่าถ้าบทเรียนบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตมีประสิทธิภาพถึงระดับนั้นแล้ว แสดงว่าบทเรียนบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตชุดนั้นนาไปสอนนักเรียนได้ (ชยั ยงค์ พรหมวงศ์.2520 : 136) ประสิทธิภาพของบทเรียนบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต จะกาหนดเกณฑ์ประสิทธิภาพของกระบวนการโดยการประเมินผลของนักเรยี นเป็น 2 ประเภท คือ ประสิทธิภาพในกระบวนการ ซ่ึงคานวณได้จากอัตราสว่ น
ของคะแนนเฉลี่ยคิดเป็นร้อยละ ท่ีได้จากการประเมินในแต่ละบทเรียนรวมกัน กับร้อยละของคะแนนเฉลี่ย ที่ไดจ้ ากการประเมนิ หลงั เรยี นดงั นี้ E1 หมายถึง ประสิทธิภาพในกระบวนการคิดจากคะแนนเฉลี่ยคิดเป็นร้อยละที่นักเรียนทาแบบทดสอบระหวา่ งเรียน E2 หมายถึง ประสิทธิภาพของผลลัพธ์คิดจากคะแนนเฉลี่ยคิดเป็นร้อยละที่นักเรียนทาแบบทดสอบหลังเรยี น การหาประสิทธิภาพของบทเรียนถือได้ว่าเป็นขั้นตอนท่ีสาคัญข้ันตอนหน่ึงเพ่ือที่จะรบั ประกันบทเรียนมีคุณภาพอยู่ในระดบั ดขี ึน้ ไป และมปี ระสทิ ธภิ าพไม่ต่ากว่าเกณฑ์ทกี่ าหนด 70/70 สตู รการหาประสิทธิภาพ E1 / E2 มีดงั น้ีE1 = ∑ X × 100 nAE1 = ∑ F × 100 nB เมอ่ื E1 คือ ประสทิ ธิภาพของกระบวนการ E2 คอื ประสิทธิภาพของผลลพั ธ์ ∑ X คอื คะแนนรวมทต่ี อบถูกของแบบทดสอบระหว่างเรียน ∑ F คอื คะแนนรวมที่ตอบถกู ของแบบทดสอบหลังเรียน A คอื คะแนนเต็มของแบบทดสอบระหวา่ งเรยี น B คือ คะแนนเต็มของแบบทดสอบหลงั เรียน n คือ จานวนผู้เรียน เม่ือได้ค่าประสิทธิภาพออกมาเป็นตัวเลขแล้ว บางครั้งค่าที่คานวณได้ออกมาก็มากกว่าเกณฑ์ท่ีต้ังไว้แต่มีหลายคร้งั ทค่ี านวณไดเ้ กณฑน์ ้อยกว่าทต่ี ั้งไว้ การยอมรบั ประสิทธภิ าพจะกาหนดคา่ ความแปรปรวนไว้ตำรำงท่ี 2.1 เกณฑป์ ระสิทธิภาพของบทเรยี นบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต เกณฑ์ แปลผลมากกวา่ เกณฑท์ ่ีตั้งไว้ 2.5% ถือว่าสูงกวา่ เกณฑ์มากกวา่ เกณฑท์ ี่ตัง้ ไวแ้ ตไ่ มเ่ กิน 2.5% ถอื วา่ เทา่ เกณฑ์ทก่ี าหนดนอ้ ยกว่าเกณฑ์ทต่ี งั้ ไว้ 2.5% ถือวา่ ตา่ กวา่ เกณฑ์ แตอ่ ยใู่ นชว่ งที่ยอมรับได้น้อยกว่าเกณฑ์ที่ตั้งไวม้ ากกวา่ 2.5% ถือวา่ ตา่ กวา่ เกณฑใ์ ชไ้ มไ่ ด้ หากผลการทดลองท่ีเป็นไปตามเกณฑ์ที่ต้ังไว้หรือสูงกว่าเกณฑ์ที่ต้ังไว้ ถือว่าบทเรียนน้ีมีประสิทธิภาพและมีประสิทธิผลทางการเรียน สามารถนาไปใช้ได้จริง แต่ถ้าไม่ผ่านเกณฑ์ท่ีต้ังไว้จะต้องทาการปรับปรุงบทเรียนน้ัน โดยการพิจารณาจากองค์ประกอบหลาย ๆ ด้าน เช่น แบบทดสอบคะแนนท้ายหน่วยการเรียนมีค่าน้อย นามาปรับปรุงแก้ไข จนกว่าจะได้ตามเกณฑ์ที่ตั้งไว้ ถือว่าบทเรียนมีคุณภาพสามารถนามาใช้ได้เพราะการหาประสิทธิภาพของบทเรยี นถือได้ว่าเป็นขั้นตอนที่สาคัญตอนหนึ่ง เพ่ือที่จะรับประกันว่าบทเรียนมีคณุ ภาพจริง
2.6 งำนวจิ ัยทเ่ี กยี่ วข้อง พรพิมล เผือกบาง (2553:17) ได้ศึกษาการพัฒนาทักษะเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์บนระบบปฏิบตั กิ าร GUI โดยใชช้ ดุ ฝกึ ปฏบิ ตั ิของนักเรียนระดับประกาศนยี บัตรวชิ าชีพ (ปวช.) ชัน้ ปที ่ี 3 โรงเรียนชลบรุ บี ริหารธุรกิจและเทคโนโลยี ผลการวิจยั พบว่า 1. ผู้เรียนผ่านกระบวนการเรียนโดยใช้ชุดฝึกปฏิบัติการเขียนโปรแกรม มีค่าคะแนนรวมเฉลี่ย 34.78จากคะแนนเต็ม 50 คะแนน คิดเป็นรอ้ ยละ 69.57 ดังนัน้ ความสามารถในเขียนโปรแกรมของเรียนระดบั ปวช.3เทา่ กับ 69.57 2. เมื่อผู้เรียนได้เรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะการเขียนโปรแกรมแล้ว มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เฉล่ีย7.21 คะแนน จากคะแนนเต็ม 10 คะแนน คิดเป็นร้อยละ 72.14 พัฒนาการเรียนรู้เพิ่มขึ้นโดย เฉลี่ย 4.39คะแนน บษุ ยพล วารีย์ (2553 : บทคดั ยอ่ ) ศึกษาเร่ือง ผลการใช้เลิร์นนิงอ็อบเจกต์ที่มีต่อความสามารถในการสร้างความรู้ด้วยตนเองของนกั เรียนชน้ั มธั ยมศกึ ษาปีที่ 1 ผลการวิจยั พบวา่ 1. นักเรียนท่ีเรียนรู้ผ่านเลิร์นนิงอ็อบเจกต์ในสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เรื่องคานสมดุล และความถว่ งจาเพาะ ที่เนน้ การสร้างความรดู้ ้วยตนเองมีความสามารถในการสร้างความรู้ด้วยตนเอง โดยรวมอยรู่ ะดับดีมาก คือ มีค่าเฉลี่ยของคะแนนรวม 90.09/100.00 ซ่ึงประกอบไปด้วยผลที่ได้จากแบบตรวจสอบพฤติกรรมการสร้างความรู้ด้วยตนเองของนักเรียน มีค่าเฉล่ียของคะแนน 16.58/20.00 แบบประเมินตนเองมีค่าเฉล่ียของคะแนน 17.26/20.00 และแบบประเมินช้นิ งานมี ค่าเฉลยี่ ของคะแนน 56.25/60.00 2. นักเรียนทีเ่ รียนรู้ผา่ นเลิรน์ นงิ อ็อบเจกต์ ในสาระการเรยี นร้วู ิทยาศาสตร์ เรอื่ งคานสมดุล และความถ่วงจาเพาะ ที่เน้นการสร้างความรู้ด้วยตนเองมีความสามารถในการสร้างความรู้ด้วยตนเองหลังการเรียนสูงกวา่ กอ่ นเรยี น อย่างมนี ยั สาคญั ทางสถิตทิ ร่ี ะดับ .001 3. นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 1 ท่ีเป็นกลุ่มเป้าหมายมีความคิดเห็นโดยรวมต่อการเรียนการสอนที่เน้นการสร้างความรู้ด้วยตนเองผ่านเลิร์นนิงอ็อบเจกต์ ในสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เร่ือง คานสมดุลและความถ่วงจาเพาะ อยู่ในระดบั มากทส่ี ดุ คอื มคี า่ เฉลย่ี เทา่ กับ 4.60/5.00 อุมาพร ต้อยแก้ว (2554 : บทคัดย่อ) ได้พัฒนาบทเรียนออนไลน์โดยใช้เทคนิคการเรียนรู้ แบบปัญหาเปน็ ฐานเพ่อื พัฒนาทักษะการคดิ วิเคราะห์ วชิ าการเขยี นโปรแกรมภาษาซี สาหรบั นกั เรียนชัน้ มธั ยมศึกษาปีที่ 5 ผลการวจิ ัยพบว่า 1) ประสิทธิภาพของบทเรียนออนไลน์โดยใช้เทคนิคการเรียนรู้ แบบปัญหาเป็นฐานท่ีพัฒนาข้ึนมีประสทิ ธิภาพ 82.53:81.50 ซง่ึ สงู กวา่ เกณฑ์ทีต่ ้งั ไว้ 2) ผลสัมฤทธท์ิ างการเรยี นของผูเ้ รยี นที่เรียนผ่านบทเรยี นออนไลน์โดยใช้เทคนิคการเรยี นร้แู บบปัญหาเป็นฐานท่ีพฒั นาข้ึน มีคะแนนการทดสอบหลังเรียนสูงกวา่ ก่อนเรียนอยา่ งมีนัยสาคญั ทางสถิติที่ระดับ .05
3) ทักษะด้านการคิดวิเคราะห์ วิชาการเขียนโปรแกรมภาษาซีหลังเรียนผ่านบทเรียนออนไลน์โดยใช้เทคนิคการเรียนรู้แบบปัญหาเป็นฐาน มีค่าสูงกว่าก่อนเรียน โดยมีค่าดัชนีประสิทธิผล (E.I.) เพิ่มขึ้นร้อยละ69.25 4) ผู้เรียนมีความพึงพอใจต่อบทเรียนออนไลน์โดยใช้เทคนิคการเรียนรู้แบบปัญหาเป็นฐานท่ีพัฒนาขึ้นอยู่ในระดับมาก มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.39 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.67 สรุปได้ว่า บทเรียนออนไลน์โดยใชเ้ ทคนิคการเรยี นรู้แบบปัญหาเปน็ ฐานท่ีสร้างข้นึ มีคณุ ภาพและสามารถนาไปใช้สอนได้ จากการศึกษางานวิจัยที่เกี่ยวข้อง สามารถสรุปได้ว่า การพัฒนาทักษะการเขียนโปรแกรม โดยใช้บทเรียนอีเลิร์นนิ่งในการจัดการเรียนการสอนช่วยทาให้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนสูงขึ้น ช่วยทาให้นกั เรยี นมีความสนใจในการเรียน มีความกระตอื รือร้น และชว่ ยทาให้นกั เรียนสามารถคดิ แก้ปัญหาได้ดียง่ิ ขนึ้
บทที่ 3 วธิ ดี ำเนนิ กำรวิจยั การวิจัยในคร้ังน้ีมีวัตถุประสงค์เพ่ือการพัฒนาผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน โดยใช้บทเรียนบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต เร่ือง หลักการแก้ปัญหาด้วยคอมพิวเตอร์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โดยมีรายละเอียดและข้ันตอนการดาเนินงานวิจัยดังนี้ 3.1 ประชากรและกลุ่มตวั อย่าง 3.2 เคร่อื งมอื ท่ีใชใ้ นการวจิ ัย 3.3 การเกบ็ รวบรวมข้อมูล 3.4 การวิเคราะห์ข้อมูล3.1 ประชำกรและกลมุ่ ตัวอย่ำง ประชำกร คือ นักเรียนระดับช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนชลราษฎรอารุง ภาคเรียนท่ี 1ปีการศึกษา 2559 จานวน 4 หอ้ งเรยี น จานวนนักเรียน 200 คน กลุ่มตัวอย่ำง คือ นักเรียนระดับช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 4 โรงเรียนชลราษฎรอารุง ภาคเรียนท่ี 1ปีการศึกษา 2559 จานวน 1 ห้องเรียน ห้องเรียนละ 50 คนท่ีได้มาจากการสุ่มตัวอย่างแบบกลุ่ม (Clusterrandom sampling)3.2 เคร่อื งมอื ทใ่ี ช้ในกำรวจิ ัย 3.2.1 แผนการจัดการเรียนรู้วิชาเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เร่ือง หลักการแก้ปัญหาด้วยคอมพิวเตอร์ โดยใช้บทเรียนบนเครอื ขา่ ยอินเทอร์เนต็ 3.2.2 บทเรียนบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต วิชาเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เรื่อง หลักการแก้ปญั หาดว้ ยคอมพวิ เตอร์ 3.2.3 แบบประเมินคุณภาพบทเรียนบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต วิชาเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เรอ่ื ง หลกั การแก้ปญั หาดว้ ยคอมพวิ เตอร์ 3.2.4 แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน วิชาเทคโนโลยีสารสนเทศและการส่ือสาร เร่ืองหลักการแก้ปัญหาดว้ ยคอมพิวเตอร์ โดยใช้บทเรียนบนเครือขา่ ยอนิ เทอรเ์ นต็ ข้นั ตอนการสรา้ งและพัฒนาเครอื่ งมือ ดงั น้ี 1. แผนการจัดการเรียนรู้วิชาเทคโนโลยีสารสนเทศและการส่ือสาร เรื่อง หลักการแก้ปัญหาด้วยคอมพิวเตอร์ โดยใช้บทเรยี นบนเครอื ขา่ ยอินเทอร์เน็ต มขี น้ั ตอนการสร้างดังนี้
ข้ันที่ 1 วิเคราะห์หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 และหลักสูตรสถานศึกษา กลุ่มสาระการเรยี นรูก้ ารงานอาชีพและเทคโนโลยี ขน้ั ที่ 2 ศึกษาเอกสารแนวคิด และเอกสารการวจิ ัยท่ีเกีย่ วขอ้ งกับวิธสี อนและนวัตกรรมท่มี ีลักษณะแบบเดยี วกนั ข้ันท่ี 3 ศึกษาขั้นตอนการสร้างแผนการจัดการเรียนรู้ท่ีใช้สาหรับจัดการเรียนรู้ด้วยนวัตกรรมบทเรยี นบนเครือข่ายอนิ เทอรเ์ นต็ ข้ันท่ี 4 สร้างแผนการจัดการเรียนรู้วิชาเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เรื่อง หลักการแกป้ ัญหาดว้ ยคอมพิวเตอร์ โดยใช้บทเรยี นบนเครือข่ายอนิ เทอร์เนต็ ข้ันที่ 5 นาแผนการจัดการเรียนรู้ ท่ีจัดการเรียนรู้โดยใช้บทเรียนบนเครอื ข่ายอินเทอรเ์ น็ต ไปใช้ในการจดั การเรียนการสอนเพอ่ื แก้ปัญหานกั เรยี น 2. บทเรียนบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต วิชาเทคโนโลยีสารสนเทศและการส่ือสาร เร่ือง หลักการแกป้ ัญหาดว้ ยคอมพวิ เตอร์ ผู้วจิ ยั ดาเนนิ การตามข้ันตอนดังน้ี ขั้นท่ี 1 การวิเคราะห์เน้ือหา (Analysis) ศึกษาแนวทางการสร้างบทเรียนบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตวิชาเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เร่ือง หลักการแก้ปัญหาด้วยคอมพิวเตอร์ จากเอกสารและงานวิจัยตา่ งๆ แล้วทาการวเิ คราะหเ์ น้อื หา ขั้นท่ี 2 การออกแบบบทเรียน (Design) ออกแบบบทเรียนบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตวชิ าเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เรอ่ื ง หลักการแก้ปญั หาดว้ ยคอมพวิ เตอร์ โดยเนื้อหาภายในบทเรียนบนเครือขา่ ยอนิ เทอร์เน็ตประกอบไปดว้ ยสื่อการสอน ใบงานและแบบฝึกหดั ขั้นที่ 3 การพัฒนาบทเรียน (Development) สร้างบทเรียนบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต เรื่องหลกั การแกป้ ญั หาด้วยคอมพิวเตอร์ โดยสร้างเมนกู ารใช้งานภายในบทเรียนตามเนื้อหารายวชิ า แล้วทาการอัพโหลดไฟล์ ใบงาน สอื่ การสอนและแบบฝึกหัด ข้ันที่ 4 การนาไปทดลองใช้ (Implementation) ตรวจสอบความถูกต้องและความเหมาะสมของบทเรียนบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต วิชาเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เร่ือง หลักการแก้ปัญหาด้วยคอมพิวเตอร์ หลังจากน้ันนาบทเรียนบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตท่ีสร้างเสร็จแล้วเสนออาจารย์ท่ีปรึกษาวิทยานิพนธ์ ตรวจสอบความถูกต้องเหมาะสม ความเป็นปัจจุบัน เพ่ือหาข้อบกพร่องและแก้ไขให้สมบูรณ์หลังจากน้ันนาบทเรียนบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตที่ผ่านการแก้ไขแล้วเสนอผู้ทรงคุณวุฒิ เพ่ือประเมินคุณภาพบทเรียนท่ีผู้วิจัยสรา้ งขึ้น แล้วปรับปรุงแก้ไขตามคาแนะนาของผู้ทรงคุณวุฒิ ก่อนไปทดลองใช้กับนักเรียน โดยทดลองกับกลุ่มท่ีไม่ใช่กลุ่มตัวอย่างแต่มีลักษณะคล้ายกับกลุ่มตัวอย่างในการทดลอง แล้วปรับปรุงแก้ไขขอ้ บกพรอ่ งของบทเรยี นบนเครือขา่ ยอินเทอรเ์ นต็ ขั้นท่ี 5 การประเมินผล (Evaluation) นาบทเรียนบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต วิชาเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เรื่อง หลักการแก้ปัญหาด้วยคอมพิวเตอร์ไปทดลองใช้กับกลุ่มตัวอย่างจานวน50 คน เพ่ือหาประสิทธิภาพของบทเรียน (E1 / E2) ตามเกณฑ์ท่ีกาหนด 70/70 แล้วทาการเก็บรวบรวมข้อมูลที่ได้ เพื่อนาไปวิเคราะห์หาค่าประสิทธิภาพของบทเรียนบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตเพื่อนาไปวิเคราะห์หาค่าผลสมั ฤทธิท์ างการเรยี น
3. แบบประเมินคุณภาพบทเรียนบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต วิชาเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเรอื่ ง หลักการแกป้ ัญหาดว้ ยคอมพวิ เตอร์ ผู้วจิ ยั ดาเนินการตามขนั้ ตอนดงั น้ี ขั้นท่ี 1 กาหนดจดุ ประสงค์และหวั ข้อของแบบประเมินคุณภาพบทเรียนบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตวชิ าเทคโนโลยสี ารสนเทศและการส่อื สาร เรอ่ื ง หลกั การแกป้ ัญหาด้วยคอมพวิ เตอร์ ขนั้ ท่ี 2 สร้างแบบประเมินคณุ ภาพบทเรียนบนเครือขา่ ยอินเทอร์เน็ต โดยมีลักษณะคาถามเป็นมาตราส่วนประเมินค่าแบบ 5 ระดับ (Rating Scale) ได้แก่ มากท่สี ดุ มาก ปานกลาง พอใช้ ควรปรบั ปรงุ ขั้นที่ 3 นาแบบประเมินบทเรียนบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตท่ีผู้วิจัยสร้างขึ้นเสนอต่ออาจารย์ท่ีปรึกษาเพ่ือพิจารณาความเหมาะสม ขน้ั ที่ 4 ปรับปรุงแก้ไขตามคาแนะนาของอาจารยท์ ปี่ รึกษาและอาจารย์ทป่ี รึกษาร่วม ข้ันที่ 5 นาแบบประเมินบทเรียนบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตที่ผ่านการพิจารณาและปรับปรุงแก้ไขแล้วไปให้ผู้ทรงคุณวุฒิประเมินบทเรียนบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตเพื่อเปรียบเทียบเป็นคะแนนอิงเกณฑ์ โดยใช้เกณฑ์ในการประเมินค่าเฉลี่ยโดยรวม 3.50 ข้ึนไป และมีการกาหนดเกณฑ์ (ล้วน สายยศ และ อังคณา สายยศ. 2558 : 73) ดงั น้ี คะแนนเฉล่ีย 4.50 – 5.00 หมายถึง ระดบั คณุ ภาพบทเรียนมากท่สี ดุ คะแนนเฉล่ยี 3.50 – 4.49 หมายถึง ระดบั คุณภาพบทเรียนมาก คะแนนเฉล่ยี 2.50 – 3.49 หมายถงึ ระดับคุณภาพบทเรยี นปานกลาง คะแนนเฉลย่ี 1.50 – 2.49 หมายถงึ ระดบั คณุ ภาพบทเรียนพอใช้ คะแนนเฉลี่ย 1.00 – 1.49 หมายถึง ระดับคุณภาพบทเรยี นควรปรับปรงุ พบว่า โดยรวมมคี า่ เฉลี่ยเทา่ กับ 4.11 และมีคา่ เบ่ยี งเบนมาตรฐานเท่ากบั 0.22 ซ่งึ ถือวา่ ผา่ นเกณฑ์ท่กี าหนดไว้โดยมีค่าเฉลี่ยไม่ตา่ กวา่ 3.50 แสดงว่า เคร่อื งมอื มคี ณุ ภาพอยใู่ นระดับดี 4. แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน วิชาเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เร่ือง หลักการแก้ปญั หาด้วยคอมพวิ เตอร์ โดยใช้บทเรยี นบนเครอื ข่ายอินเทอร์เนต็ ผวู้ จิ ัยดาเนินการตามขั้นตอนดงั น้ี ข้ันที่ 1 ศึกษาแนวทางการสร้างข้อสอบและเน้ือหา วิชาเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเรอ่ื ง หลกั การแกป้ ญั หาดว้ ยคอมพวิ เตอร์ จากเอกสารและงานวจิ ัยตา่ งๆ ขั้นท่ี 2 สร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน วิชาเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเรื่อง หลกั การแกป้ ัญหาด้วยคอมพิวเตอร์ โดยการเขยี นแผนผังแบบทดสอบ (Test Blue Print) กอ่ นการสร้างแบบทดสอบ ซง่ึ แบบทดสอบมีลกั ษณะเปน็ แบบเขียนตอบ ท้งั หมด 20 ขอ้ ดงั น้ีตำรำงท่ี 3.1 แผนผังแบบทดสอบ (Test Blue Print) วิชาเทคโนโลยีสารสนเทศและการส่ือสาร เรื่อง หลักการ แกป้ ญั หาดว้ ยคอมพวิ เตอร์
ขน้ั ท่ี 3 สรา้ งแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ทิ างการเรียนให้สอดคล้องกบั เน้อื หาและตัวชี้วดั ข้ันท่ี 4 นาแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธทิ์ างการเรียน ทสี่ ร้างขึ้นไปใหผ้ ู้ทรงคณุ วุฒิ 3 ทา่ น ตรวจสอบความเท่ียงตรงเชิงเนื้อหา (content validity) ของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี น เร่ือง หลกั การแกป้ ัญหาดว้ ยคอมพวิ เตอร์และลงความเห็น ซง่ึ มหี ลักเกณฑก์ ารใหค้ ะแนนดังน้ี +1 เมือ่ แนใ่ จว่าขอ้ คาถามนน้ั สามารถใช้วดั จดุ ประสงค์ได้ 0 เม่ือไมแ่ น่ใจว่าข้อคาถามนั้นสามารถใชว้ ัดจุดประสงค์ได้หรอื ไม่ ระดบั พฤติกรรม สำระ มำตรฐำน นำ้ หนัก รวม รู้ – จำ กำรเรียนรู้ (รอ้ ยละ) (ขอ้ ) เ ้ขำใจ นำไปใ ้ช ิวเครำะ ์ห ัสงเครำะห์ ประเ ิมนค่ำ MC MC MC MC MC MC MC1. กระบวนการแก้ปัญหา ง.3.1 50 10 5322. เครื่องมือที่ใชใ้ นการออกแบบและโครงสร้าง ง.3.1 50 10 5122โปรแกรม รวม 100 20 10 4 4 2 -1 เมอ่ื แน่ใจวา่ ข้อคาถามนั้นไมส่ ามารถใช้วัดจดุ ประสงค์ได้ขัน้ ที่ 5 นาผลการพิจารณาแบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรยี นแต่ละข้อ ไปหาค่าดัชนคี วามสอดคลอ้ ง (IOC) ระหวา่ งขอ้ สอบกับตวั ชวี้ ดั โดยใชเ้ กณฑใ์ นการคัดเลือกทม่ี คี ่าต้งั แต่ 0.5 ข้ึนไป การหาความเที่ยงตรงตามเน้ือหา โดยใช้วิธีการหาค่าดัชนีความสอดคล้อง (Index of Congruency:IOC) (พิชติ ฤทธ์ิจรูญ. 2551: 121) ΣR IOC = N เม่อื IOC หมายถงึ ดัชนีความสอดคลอ้ ง R หมายถึง คา่ คะแนนรายขอ้ ตามดุลยพนิ จิ ของผูท้ รงคุณวุฒิ Σ หมายถงึ ผลรวมของคะแนนจากผู้ทรงคุณวุฒทิ ัง้ หมด N หมายถึง จานวนผ้ทู รงคุณวฒุ ิ พบว่า แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธทิ์ างการเรยี น มคี ่าดัชนคี วามสอดคล้อง (IOC) ตั้งแต่ 0.67 – 1.00 ขน้ั ที่ 6 นาแบบทดสอบมาปรับปรงุ แก้ไข ตามคาแนะนาของผเู้ ชี่ยวชาญ ขั้นท่ี 7 นาแบบทดสอบท่ีปรบั ปรุงแก้ไขแลว้ ไปทดลองใช้กบั นักเรยี นที่เรียนวชิ าเทคโนโลยีสารสนเทศและการสอ่ื สาร มาแลว้ และไม่ใช่กลุ่มตัวอย่างแต่มลี กั ษณะคลา้ ยกลุ่มตัวอยา่ งในการทดลอง
ขนั้ ที่ 8 นาแบบทดสอบที่ปรับปรงุ แก้ไขแล้วไปหาค่าความยากงา่ ย (p) หาคา่ อานาจจาแนก (r)และการหาคา่ ความเชือ่ ม่นั ของแบบทดสอบตามสูตรดังน้ี คาความยากงาย (difficulty : P) คานวณจากสูตรดังนี้ (ลวน สายยศ และ อังคณา สายยศ. 2538 :209-210) R P=Nเมื่อ P แทน คาความยากของขอสอบ R แทน จานวนคนตอบถูก N แทน จานวนคนทั้งหมด โดยมเี กณฑพจิ ารณาคาความยากของขอสอบ ตามตารางท่ี 3.2คำควำมยำก(p) ควำมหมำย ขอ้ เสนอแนะ 0.81-1.00 ง่ายมาก ควรแกไขปรบั ปรุงหรือตัดท้ิง 0.61-0.80 0.41-0.60 ค่อนข้างง่าย ดี 0.21-0.40 ความยากงายพอเหมาะ ดมี าก 0.00-0.20 คอ่ นข้างยาก ดี ยากมาก ควรแกไขปรบั ปรงุ หรอื ตัดท้งิตำรำงที่ 3.2 แสดงเกณฑพจิ ารณาคาความยากของขอสอบคาอานาจจาแนก (discrimination : r) คานวณจากสูตร (พรรณี ลกี จิ วฒั นะ. 2558 : 203) ดังน้ี r = RH− nเมือ่ r แทน ค่าอานาจจาแนก RH แทน จานวนที่ตอบถกู ในกลุ่มสูง RL แทน จานวนที่ตอบถูกในกลมุ่ ต่า n แทน จานวนผ้เู ขา้ สอบของกล่มุ สูงหรอื กลุม่ ต่าโดยมีเกณฑพิจารณาคาอานาจจาแนกของขอสอบ ตามตารางที่ 3.3คำอำนำจจำแนก(r) ระดับอำนำจจำแนก กำรนำไปใช้ .40 - 1.00 สูงมาก ใชไ้ ด้ดี .30 - .39 สงู ใชไ้ ด้ .20 - .29 ปานกลาง ใช้ได้ .10 - .19 ตา่ ไมค่ วรใช้ .01 - .09 ต่ามาก ใช้ไม่ได้ .00 ไม่มี ใชไ้ ม่ได้ตำรำงท่ี 3.3 แสดงเกณฑพิจารณาคาอานาจจาแนกของขอสอบ
จากการวิเคราะห พบวา มีขอคาถามจานวน 20 ขอ ท่ีมคี าความยากงายและคาอานาจ จาแนกผานเกณฑ โดยมีคาความยากงายระหวาง 0.25 – 0.69 และคาอานาจจาแนกระหวาง 0.27 – 0.73 ขัน้ ที่ 9 นาแบบทดสอบที่ได้ไปหาคาความเช่ือม่ันแบบทดสอบทั้งฉบบั (Internal consistency) โดยใชสตู ร KR20 ของ Kuder-Richardson (พรรณี ลีกิจวัฒนะ. 2558 : 203) ดงั นี้ k ∑ pq rtt = K − 1 [1 − S2 ] เมอ่ื rtt แทน คา่ สมั ประสทิ ธ์ิความเช่ือมนั่ ของแบบทดสอบ k แทน จานวนข้อสอบ S2 แทน ความแปรปรวนของคะแนนรวมทั้งฉบบั p แทน สดั สว่ นของคนทที่ าถกู แตล่ ะข้อ q แทน สัดสว่ นของคนทท่ี าผิดแต่ละขอ้ จากการวิเคราะห์ พบว่า แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี น วิชา เทคโนโลยีสารสนเทศและการส่อื สาร เรอื่ ง หลักการแก้ปัญหาดว้ ยคอมพิวเตอร์ มคี า่ ความเชื่อม่ันเท่ากับ 0.77 ขน้ั ท่ี 10 นาแบบทดสอบท่ีได้ไปทดลองใชก้ ับกลุ่มตวั อย่างในงานวิจยั3.3 กำรเกบ็ รวบรวมข้อมลู 3.3.1 รูปแบบกำรทดลอง ผู้วิจัยกาหนดระยะเวลาในการทดลองการวิจัยคร้ังน้ีในเวลาการทดลอง 4 คาบ ภาคเรียนท่ี 1 ปีการศึกษา 2559 การศึกษาค้นคว้าคร้ังน้ีเป็นการวิจัยเชิงทดลอง (Experimental research) ซึ่งดาเนินการทดลองโดยใช้รูปแบบการทดลองแบบกลุ่มเดียวมีการวัดก่อนและหลังให้สิ่งส่ิงทดลอง (one group pretest-postest design) (พรรณี ลีกจิ วฒั นะ.2558 : 289) ซ่งึ มีรูปแบบการทดลองดังน้ีตำรำงที่ 3.4 แผนภาพการทดลองแบบกลุ่มเดียวมีการวดั ก่อนและหลังใหส้ ง่ิ สิ่งทดลอง กลุ่ม วดั กอ่ น ส่ิงทดลอง วดั หลัง E T1 X T2 เมอ่ื E แทน กลุม่ ตวั อยา่ งทเ่ี ปน็ กล่มุ ทดลอง (experimental group) T1 แทน ผลสอบก่อนเรยี นดว้ ยบทเรยี นบนเครือข่ายอินเทอร์เนต็ X แทน การเรยี นด้วยบทเรียนบนเครือข่ายอินเทอรเ์ นต็ T2 แทน ผลสอบหลังเรียนดว้ ยบทเรยี นบนเครือขา่ ยอนิ เทอรเ์ นต็ 3.3.2 ข้ันตอนกำรเก็บรวบรวมขอ้ มูล ในการวิจัยครั้งนี้ได้ทาการเก็บรวบรวมข้อมูล กับนักเรียนระดับช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 4โรงเรียนชลราษฎรอารงุ ภาคเรยี นที่ 1 ปีการศึกษา 2559 โดยมีการดาเนนิ การดังน้ี 3.3.2.1. ผวู้ จิ ยั ช้ีแจงใหก้ ลมุ่ ตัวอย่างเข้าใจเกีย่ วกับขอ้ กาหนดที่ไดท้ าข้นึ และตกลงกบั นักเรยี นให้เขา้ ใจ
3.3.2.2. จัดรูปแบบการเรียนรู้วชิ าเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เรื่อง หลักการแก้ปัญหาด้วยคอมพวิ เตอร์ให้กบั นกั เรียนชนั้ มธั ยมศึกษาปีที่ 4 โดยใช้กลุ่มตวั อย่าง 3.3.2.3 ใหน้ กั เรยี นกลุ่มตัวอย่างทาแบบทดสอบกอ่ นเรียน (Pretest) เพอ่ื นาคะแนนไปใชเ้ ปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี น 3.3.2.4 ให้นักเรียนศึกษาบทเรียนบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตในขณะจัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแผนการจัดการเรียนรู้ เมื่อเรียนจบในแต่ละหัวข้อเรยี บร้อยแลว้ ให้นักเรียนทาแบบทดสอบย่อยท้ายบทเพ่ือทาการเก็บคะแนน เมอ่ื เรยี นครบทกุ หัวขอ้ แล้วดาเนินการทดสอบอีกครัง้ โดยเปน็ ข้อสอบรวมทุกหัวข้อ 3.3.2.5 เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนระหว่างหลังเรยี นกับก่อนเรยี น โดยใช้บทเรียนเครือขา่ ยอินเทอรเ์ นต็ วชิ า เทคโนโลยสี ารสนเทศและการสื่อสาร เรือ่ ง หลกั การแกป้ ัญหาดว้ ยคอมพวิ เตอร์3.4 กำรวเิ ครำะหข์ อ้ มลู3.4.1 สถติ ิพืน้ ฐำน3.4.1.1 หาค่าสถิติพ้ืนฐานโดยใช้ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (ล้วน สายยศ และอังคณา สายยศ. 2558 : 73) ของคะแนนที่ได้จากการทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิชา เทคโนโลยีสารสนเทศและการสอ่ื สาร เร่อื ง หลกั การแก้ปัญหาด้วยคอมพวิ เตอร์ ̅X = Σx Nเมอ่ื ̅X แทน ค่าเฉลี่ย แทน ผลรวมของผลคะแนน Σx แทน จำนวนกลมุ่ ตวั อยำ่ ง N N ∑ x 2 − (∑ x)2 √ SD = N(N − 1)เม่ือ SD แทน สว่ นเบ่ียงเบนมำตรฐำน ∑ x2 แทน ผลรวมทัง้ หมดของคะแนนแตล่ ะตัวยกกาลงั ∑ x2 แทน ผลรวมทงั้ หมดของคะแนนทัง้ หมดยกกาลงั สอง N แทน จำนวนกลมุ่ ตวั อยำ่ ง 3.4.2 สถติ ิทใี่ ช้หำประสิทธิภำพของบทเรียนบนเครือขำ่ ยอนิ เทอรเ์ น็ต การวิเคราะห์ข้อมูลเพ่ือหาประสิทธิภาพของบทเรียนบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต เรื่อง หลักการแก้ปัญหาด้วยคอมพิวเตอร์ จากสมการตามเกณฑ์ E1 / E2 (ชัยยงค์ พรหมวงศ์.2520 : 136) สูตรการหาประสิทธภิ าพ E1 / E2 มีดงั นี้
E1 = ∑ X × 100 nAE1 = ∑ F × 100 nBเมื่อ E1 คอื ประสิทธิภาพของกระบวนการ E2 คอื ประสิทธภิ าพของผลลัพธ์ ∑ X คอื คะแนนรวมท่ีตอบถกู ของแบบทดสอบระหว่างเรยี น ∑ F คือ คะแนนรวมที่ตอบถูกของแบบทดสอบหลังเรยี น A คอื คะแนนเตม็ ของแบบทดสอบระหว่างเรียน B คอื คะแนนเต็มของแบบทดสอบหลงั เรยี น n คือ จานวนผู้เรยี นโดยกาหนดเกณฑ์ประสิทธภิ าพ (E1 / E2) ไมต่ ่ากวา่ 70/703.4.3 สถิติท่ใี ช้ทดสอบสมมตุ ิฐำน 3.4.2.1 เปรียบเทียบคะแนนเฉล่ียของผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนเม่ือนักเรียนเรียนด้วยบทเรียน บนเครอื ขา่ ยอนิ เทอร์เน็ต เร่ือง หลักการแก้ปัญหาดว้ ยคอมพวิ เตอร์ โดยใช้สถิติแบบ t-test Dependent Sample(พรรณี ลีกจิ วฒั นะ.2558 : 274) t = ∑ D ; df = n -1 √n ∑ D2−(∑ D)2 n−1เมื่อ D แทน ผลต่างระหว่างคะแนนแตล่ ะคู่ ∑ D แทน ผลรวมของผลตา่ งระหวา่ งคะแนนแต่ละคู่ n แทน จานวนนักเรยี นทที่ าแบบทดสอบ
บทท่ี 4 ผลกำรวิเครำะหข์ ้อมลู การวิจัยคร้ังนี้เป็นการศึกษาพัฒนาผลสัมฤทธท์ิ างการเรียน วิชาเทคโนโลยสี ารสนเทศและการส่ือสารเร่ือง หลักการแก้ปัญหาด้วยคอมพิวเตอร์โดยใช้บทเรียนบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต โดยมีวัตถุประสงค์เพ่ือเปรียบเทียบผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรยี นของนกั เรยี นก่อนเรียนกับหลังเรียนด้วยบทเรยี นบนเครือข่ายอินเทอรเ์ น็ตเร่อื ง หลักการแกป้ ญั หาด้วยคอมพิวเตอร์ ซึ่งผู้วจิ ยั นาเสนอผลการวเิ คราะห์ข้อมลู ดังนี้ 4.1 ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนระหว่างก่อนเรียนกับหลังเรียนด้วยบทเรียนบนเครอื ข่ายอินเทอรเ์ นต็ เรื่อง หลกั การแก้ปัญหาดว้ ยคอมพิวเตอร์ 4.1 ผลกำรเปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ิทำงกำรเรียนของนักเรียนระหว่ำงก่อนเรียนกับหลังเรียนด้วยบทเรียนบนเครือข่ำยอนิ เทอรเ์ นต็ เรื่อง หลกั กำรแกป้ ัญหำด้วยคอมพวิ เตอร์ การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิชา เทคโนโลยีสารสนเทศและการส่ือสาร เร่ือง หลักการแก้ปัญหาด้วยคอมพิวเตอร์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 4 ระหว่างก่อนเรียนกับหลังการเรียนด้วยบทเรยี นบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ผู้วิจัยได้ทดลองใช้กับกลุ่มตัวอย่างซึ่งเป็นนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 4 โรงเรียนชลราษฎรอารงุ จานวน 50 คน ได้ผลลพั ธด์ ังตารางท่ี 4.1ตำรำงท่ี 4.1 การเปรยี บเทยี บผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี นของนักเรยี นระหว่างก่อนเรยี นกบั หลงั เรยี นด้วยบทเรยี น บนเครอื ข่ายอนิ เทอร์เน็ต เร่ือง หลักการแก้ปัญหาด้วยคอมพวิ เตอร์ ผลสัมฤทธิ์ จำนวน คะแนน x̅ S ∑D ∑D2 t Sig ทำงกำรเรียน นกั เรียน เตม็ กอ่ นเรยี น 50 20 6.65 2.10 10.79 116.47 28.93* 0.00 หลงั เรียน 17.44 1.66*Sig ≤ .05, df = 49 จากตาราง 4.1 พบว่า คะแนนเฉล่ียก่อนเรียนด้วยบทเรียนบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต เท่ากับ 6.65และหลงั เรยี นด้วยบทเรียนบนเครือข่ายอินเทอรเ์ นต็ เท่ากบั 17.44 โดยผลการเปรียบเทยี บผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เรื่อง หลักการแก้ปัญหาด้วยคอมพิวเตอร์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ระหว่างก่อนเรียนกับหลังเรียนด้วยบทเรียนบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรยี น อย่างมนี ัยสาคญั ทางสถติ ิทีร่ ะดับ .05 ซง่ึ สอดคล้องกบั สมมุตฐิ านทตี่ ้งั ไว้
บทท่ี 5 สรปุ ผลกำรวิจยั อภิปรำยผล และขอ้ เสนอแนะ การวิจัยครั้งนี้ เป็นการวิจัยเพ่ือพัฒนาหาประสิทธิภาพและเปรียบเทียบเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ท า ง ก า ร เ รี ย น ข อ ง นั ก เ รี ย น ร ะ ห ว่ า ง ก่ อ น เ รี ย น กั บ ห ลั ง เ รี ย น ด้ ว ย บ ท เ รี ย น บ น เ ค รื อ ข่ า ย อิ น เ ท อ ร์ เ น็ ตเรื่อง หลักการแก้ปัญหาด้วยคอมพิวเตอร์ สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนชลราษฎรอารุงจงั หวดั ชลบรุ ีโดยมสี าระสาคัญในการวจิ ัยสรปุ ได้ดงั นี้5.1 สรปุ ผลกำรวิจัย 5.1.1 วตั ถปุ ระสงคข์ องกำรวิจัย เพ่ือเปรยี บเทียบผลสมั ฤทธท์ิ างการเรียนระหว่างกอ่ นเรียนกบั หลงั เรียนดว้ ยบทเรียนบนเครือข่ายอินเทอรเ์ นต็ เร่ือง หลกั การแกป้ ัญหาด้วยคอมพิวเตอร์ 5.1.2 สมมตฐิ ำนกำรวิจัย ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนของนักเรียนหลังเรียนด้วยบทเรียนบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต เร่ือง หลักการแกป้ ญั หาดว้ ยคอมพวิ เตอร์ สูงกวา่ กอ่ นเรียน 5.1.3 ประชำกรและกล่มุ ตวั อยำ่ ง ประชากร คือ นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 4 โรงเรียนชลราษฎรอารุง ภาคเรียนท่ี 1ปีการศึกษา 2559 จานวน 4 ห้องเรียน จานวนนกั เรียน 200 คน กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 4 โรงเรียนชลราษฎรอารุง ภาคเรียนที่ 1ปีการศึกษา 2559 จานวน 1 ห้องเรียน ห้องเรียนละ 50 คนท่ีได้มาจากการสุ่มตัวอย่างแบบกลุ่ม (Clusterrandom sampling) 5.1.4 เครอ่ื งมอื ทีใ่ ชใ้ นกำรวจิ ัย เคร่ืองมอื ท่ใี ช้ในการเกบ็ รวบรวมข้อมลู ในการวจิ ยั ครงั้ น้ี ประกอบดว้ ย 5.1.4.1 แผนการจัดการเรียนรู้ วิชาเทคโนโลยสี ารสนเทศและการสื่อสาร เร่อื ง หลักการแก้ปญั หาด้วยคอมพวิ เตอร์ โดยใช้บทเรียนบนเครอื ข่ายอนิ เทอรเ์ น็ต 5.1.4.2 บทเรียนบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต วิชาเทคโนโลยีสารสนเทศและการส่ือสาร เร่ือง หลักการแก้ปญั หาด้วยคอมพิวเตอร์ 5.1.4.3 แบบประเมินคุณภาพบทเรียนบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต วิชาเทคโนโลยีสารสนเทศและการส่อื สาร เรือ่ ง หลกั การแก้ปัญหาด้วยคอมพวิ เตอร์ 5.1.4.4 แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน เรื่อง หลักการแก้ปัญหาด้วยคอมพิวเตอร์จานวน 20 ข้อ โดยมีค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) อยู่ระหว่าง 0.67-1.00 ค่าความยากง่ายอยู่ระหว่าง 0.27-0.73 และค่าความเช่ือมนั่ เทา่ กับ 0.77 5.1.5 กำรเก็บรวบรวมขอ้ มูล
ในการวิจยั ครัง้ นี้ มขี ้ันตอนการดาเนนิ การทดลองและเก็บรวบรวมข้อมูล ดังนี้ 5.1.5.1. ผูว้ ิจัยช้ีแจงให้กลุ่มตวั อยา่ งเข้าใจเกี่ยวกับข้อกาหนดทไี่ ด้ทาขึน้ และตกลงกบั นักเรียนให้เข้าใจ 5.1.5.2. จัดรูปแบบการเรียนรู้วิชาเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เร่ือง หลักการแก้ปัญหาดว้ ยคอมพวิ เตอรใ์ ห้กบั นกั เรียนชั้นมัธยมศกึ ษาปีท่ี 4 โดยใชก้ ลุ่มตัวอย่าง 5.1.5.3 ให้นักเรียนกลุ่มตัวอย่างทาแบบทดสอบก่อนเรียน (Pretest) เพื่อนาคะแนนไปใช้เปรียบเทียบผลสัมฤทธิท์ างการเรียน 5.1.5.4 ให้นักเรียนกลุ่มตัวอย่างศึกษาบทเรียนบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตในขณะจัดกิจกรรมการเรียนรตู้ ามแผนการจดั การเรียนรู้ เมอื่ เรียนจบในแต่ละหวั ข้อเรยี บร้อยแล้วให้นักเรียนทาแบบทดสอบย่อยท้ายบทเพื่อทาการเก็บคะแนน เมือ่ เรยี นครบทุกหัวขอ้ แลว้ ดาเนินการทดสอบอีกครง้ั โดยเป็นข้อสอบรวมทุกหัวข้อ 5.1.5.5. เปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี นระหว่างหลังเรียนกบั ก่อนเรียน โดยใชบ้ ทเรียนเครือข่ายอนิ เทอร์เน็ต วชิ า เทคโนโลยสี ารสนเทศและการส่อื สาร เรือ่ ง หลกั การแกป้ ญั หาด้วยคอมพวิ เตอร์ 5.1.6 กำรวิเครำะหข์ ้อมลู 5.1.6.1. เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนด้วยบทเรียนบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต เร่ือง หลักการแก้ปัญหาด้วยคอมพิวเตอร์ ของนักเรียนโดยใช้สถิติการทดสอบที (t-test fordependent samples) 5.1.7 ผลกำรวิจัย การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเพ่ือพัฒนาผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนของนัก เรียนที่เรียนด้วยบทเรียนบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต เร่ือง หลักการแก้ปัญหาด้วยคอมพิวเตอร์ สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 4โรงเรียนชลราษฎรอารงุ จงั หวดั ชลบรุ ี โดยสรุปได้ดงั น้ี 5.1.7.1 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนหลังเรียนด้วยบทเรียนบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต เร่ืองหลักการแก้ปัญหาด้วยคอมพิวเตอร์ สูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติท่ีระดับ .05 ซึ่งสอดคล้องกับสมมตุ ฐิ านทต่ี ัง้ ไว้ 5.2 อภปิ รำยผล จากผลการวิจัยเร่ือง การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน โดยใช้บทเรียนบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตเรื่อง หลักการแก้ปัญหาด้วยคอมพิวเตอร์ สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 4 โรงเรียนชลราษฎรอารุงสามารถอภปิ รายผลได้ดงั นี้ 5.2.1 กำรเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทำงกำรเรียนของนักเรียนท่ีเรียนด้วยบทเรียนบนเครือข่ำยอนิ เทอรเ์ นต็ เรอ่ื ง หลักกำรแกป้ ญั หำดว้ ยคอมพิวเตอร์ ผลการเปรียบเทียบผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรียนของนักเรียนท่ีเรียนด้วยบทเรยี นบนเครือข่ายอินเทอรเ์ น็ตเรื่อง หลักการแก้ปัญหาด้วยคอมพิวเตอร์ พบว่า นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 ท่ีเรียนดวยบทเรียนบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต เร่ือง หลักการแก้ปัญหาด้วยคอมพิวเตอร์ หลังเรียนสูงกวากอนเรียน อยางมีนัยสาคัญทางสถิติท่ีระดับ .05 ทั้งน้ีอาจเนื่องมาจากบทเรียนบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตมีการนาเสนอโดยใชรูปแบบท่ี
หลากหลายดึงดูดความสนใจโดยมีเน้ือหา ภาพน่ิง ภาพเคลื่อนไหว วีดิโอ และมีแบบทดสอบความเขาใจแทรกอยูเปนระยะ ท้ังนี้เนือ่ งจากผู้วิจยั ได้พัฒนาบทเรยี นบนเครอื ขา่ ยอินเทอร์เน็ตตามแนวคดิ ADDIE MODELโดยเน้นในส่วนของข้ันตอนการออกแบบและพัฒนา เพื่อให้ผู้เรียนสามารถเข้าถึงตัวบทเรียนได้ง่ายและไม่สบั สน เพอื่ กระตุน้ ให้นักเรยี นมีความสนใจในบทเรียน ทาให้บรรยากาศในการเรียนรแู้ ตกตา่ งออกไปจากเดิมท่ีผู้วิจัยสอนโดยใช้วิธีบรรยายในห้องเรียน อาจทาให้นักเรียนบางคนไม่เข้าใจ อาจเป็นเพราะเวลาที่ใช้ในการเรียนน้ันยังน้อยไป การท่ีจะเข้าใจหลักการแก้ปัญหาได้นั้นจะต้องใช้เวลา การฝึกฝนและความพยายามพอสมควร ซึ่งบทเรียนบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ทาให้นักเรียนมีความกระตือรือร้นและสนใจในการเรียนมากขึ้น เนื่องจากนักเรียนสามารถเลือกเรียนด้วยตนเองได้ทุกท่ี ทุกเวลาและยังสอดคล้องกับงานวิจัยของอุมาพร ต้อยแก้ว (2554 : บทคัดย่อ) ไดทาการวิจัยเรื่อง การพัฒนาบทเรียนออนไลนโดยใชเทคนิคการเรียนรูแบบปญหาเปนฐานเพื่อพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห วิชาการเขียนโปรแกรมภาษาซี สาหรับนักเรียนชนั้ มัธยมศกึ ษา ปท่ี 5 ผลการวิจยั พบวา ผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี นของผูเรยี นทเ่ี รยี นผานบทเรียนออนไลนโดยใชเทคนิค การเรียนรูแบบปญหาเปนฐานท่ีพัฒนาข้ึน มีคะแนนการทดสอบหลังเรียนสูงกวากอนเรียนอยางมีนยั สาคัญทางสถติ ิทร่ี ะดับ .05 และยังสอดคลองกบั งานวิจยั ของ วชั ราภรณ วงั มนตรี (2552 : บทคัดยอ) ไดทาการวิจัยเรื่อง การพัฒนาบทเรียนออนไลนโดยใชเทคนิคปญหาเปนฐาน วิชาการเขียน โปรแกรมภาษาซีหลกั สตู รระดับประกาศนยี บตั รวิชาชีพชั้นสูง ผลการวจิ ัยพบวา ผลสัมฤทธ์ทิ างการ เรียนของผูเรียนท่ีเรยี นดวยบทเรยี นออนไลนโดยใชเทคนิคปญหาเปนฐานกบั การเรยี นแบบปกติ ผลการวิจยั พบวา คะแนนเฉลีย่ ของท้ังสองกลุมแตกตางกนัอยางมนี ยั สาคญั ทางสถิติ ทร่ี ะดับ .05 5.3 ขอ้ เสนอแนะ 5.3.1 จากผลการวิจัยพบว่า ครูผู้สอนสามารถนาบทเรียนบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต เรื่อง หลักการแก้ปัญหาด้วยคอมพิวเตอร์ไปสอนในหอ้ งเรียน ซึ่งจะทาให้นักเรียนมีความรู้และความเข้าในหลักการแก้ปญั หาและการเขียนผังงานมากยิ่งข้ึน ทาให้นักเรียนมีความกระตือรือร้น มีความสนใจและจะช่วยเสริมสร้างบรรยากาศในการเรียนการสอนได้ดียง่ิ ขึน้ 5.3.2 ผู้เรียนสามารถศึกษาบทเรียนบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต เรื่อง หลักการแก้ปัญหาด้วยคอมพิวเตอร์ได้ด้วยตนเองเพื่อทบทวนความรู้โดยไม่จากัดเวลาและสถานท่ี ซ่ึงจะส่งผลให้ผู้เรียนมีความรู้และความเขา้ ใจมากยิง่ ขน้ึ
บรรณำนุกรมกระทรวงศึกษาธกิ าร.2544. หลกั สตู รกำรศึกษำขัน้ พน้ื ฐำน พทุ ธศกั รำช 2544. กรงุ เทพฯ : ครุสภา ลาดพร้าว.จินตวีร์ คล้ายสังข.์ 2556. อีเลริ ์นนิ่งคอร์สแวร์ : แนวคดิ สู่กำรปฏิบัติสำหรับกำรเรยี นกำรสอนอีเลริ ์นน่งิ ใน ทกุ ระดบั . กรุงเทพฯ : สานักพมิ พแ์ หง่ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยชนินทรชยั อนิ ทริ าภรณและคณะ. 2540. พจนำนกุ รมศัพท์กำรศึกษำ. กรุงเทพฯ : ไอ. คิว. บคุ เซ็นต์เตอร์.ชยั ยงค์ พรหมวงศ.์ 2550. ระบบสือ่ กำรสอน. กรงุ เทพฯ : จุฬาลงกรณม์ หาวิทยาลยั .ชณุ หพงศ์ ไทยอุปถัมภ์. 2545. “e-learrning.” DMV. ปีที่ 3 (ฉบบั ที่ 12). 26-28.ถนอมพร เลาหจรสั แสง. 2545. Designing e-Learning : หลักกำรออกแบบและสร้ำงเวบ็ เพจ เพ่ือกำร เรยี นกำรสอน เชียงใหม่ : อรณุ การพิมพ์.ทศิ นา แขมมณ.ี 2558. ศำสตรก์ ำรสอน. กรงุ เทพฯ : สานกั พิมพ์แหง่ จฬุ าลงกรณม์ หาวิทยาลัยธวัชชัย บุญสวสั ด์กิ ุลชยั . 2543. กำรพฒั นำผลสมั ฤทธิท์ ำงกำรเรยี นและทกั ษะกระบวนกำรวทิ ยำศำสตร์ ของนักเรียนชัน้ ประถมศกึ ษำปที ี่ 6 โดยใชก้ จิ กรรมฝึกทกั ษะกระบวนกำรวิทยำศำสตร์. วทิ ยานิพนธ์ศกึ ษาศาสตรมหาบณั ฑติ มหาวิทยาลยั ขอนแกน่ .นพิ นธ์ ศุภศร.ี 2551. สอนง่ำย สนุกเรยี นกับกำรโปรแกรมภำษำโลโก. กรงุ เทพฯ : สถาบันส่งเสริมการสอน วิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลย.ีบษุ ยพล วารีย์ . 2553. “ผลกำรใช้เลิรน์ นิงออ็ บเจกต์ท่มี ีควำมสำมำรถในกำรสร้ำงควำมรูด้ ้วยตนเองของ นักเรยี นชน้ั มธยั มศึกษำปที ่ี 1”. ศกึ ษาศาสตรมหาบณั ฑติ สาขาวิชาเทคโนโลยีทางการศกึ ษา. บณั ฑติ วิทยาลัย,มหาวทิ ยาลยั เชยี งใหม.่พรพิมล เผือกบาง. 2553. กำรพฒั นำทกั ษะเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอรบ์ นระบบปฏบิ ัติกำร GUI โดยใช้ ชุดฝกึ ปฏบิ ัตขิ องนกั เรยีนระดบั ประกำศนียบัตรวชำิ ชพี (ปวช.) ชน้ั ปีที่ 3 โรงเรยี น ชลบรี บริหำรธุรกจิ และเทคโนโลยี. ฝ่ายวิชาการ แผนกคอมพวิ เตอร์ธรุ กจิ . โรงเรยี นชลบุรี บรหิ ารธรุ กจิ และ เทคโนโลยี .พรรณี ลกี ิจวัฒนะ. 2558. วธิ วี ิจยั ทำงกำรศึกษำ. กรงุ เทพฯ : มีน เซอร์วิส ซพั พลายพชิ ติ ฤทธจ์ิ รญู . 2556. หลกั กำรวดั และประเมินผลกำรศึกษำ. กรงุ เทพฯ : เฮ้าส์ ออฟ เคอร์มสิ ท.์เยาวดี วิบูลย์ศรี. 2540. กำรวัดผลและกำรสรำ้ งแบบสอบสมั ฤทธิ.์ กรงุ เทพฯ : จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลยัรัตนาภรณ์ ผานพิเคราะห.์ 2543. กำรพฒั นำทักษะกำรคดิ ทกั ษะกระบวนกำรวทิ ยำศำสตรแ์ ละ รูปแบบ กำรสอนเพ่ือพัฒนำทกั ษะกำรคดิ ดว้ ยกระบวนกำรวิทยำศำสตร์. วิทยานพิ นธ์ ศึกษาศาสตร มหาบณั ฑติ มหาวทิ ยาลยั ขอนแกน.ลว้ น สายยศ และ องั คณา สายยศ. 2538. เทคนิคกำรวิจัยทำงกำรศกึ ษำ. พมิ พ์ครง้ั ท่ี 5. กรุงเทพฯ : สุวีริยาสาส์นศกั ดิ์ชัย หริ ญั รกั ษ์. 2556. จดุ มงุ่ หมำยทำงกำรศึกษำ (Taxonomy of Educations) ทำงด้ำน สติปัญญำ (Cognitive Domain) ฉบบั ปรบั ปรงุ ใหม่ ค.ศ. 2001. [ออนไลน์]. เข้าถงึ ได้ จาก : http:// www.musickrusak.com/article/c8adebb7.pdf
ศุภชยั สขุ ะนนิ ทร์. 2545. เปิดโลก e-learning กำรเรียนกำรสอนแบบอินเทอรเ์ น็ต. กรงุ เทพฯ : ซี เอ็ด ยูเคช่ัน.อมุ าพร ต้อยแกว้ . 2554. กำรพฒั นำบทเรียนออนไลนโ์ ดยใชเ้ ทคนิคกำรเรียนรู้แบบปัญหำเป็นฐำน เพ่ือ พฒั นำทักษะกำรคดิ วิเครำะห์ วชิ ำกำรเขยี นโปรแกรมภำษำซีสำหรบั นักเรยี นช้นั มัธยมศกึ ษำปที ี่ 5. วิทยานพิ นธ์ปรญิ ญาครุศาสตร์อตุ สาหกรรมมหาบณั ฑิต คณะครศุ าสตร์อตุ สาหกรรม มหาวิทยาลยั เทคโนโลยพี ระจอมเกลา้ ธนบุร.ีSeels, B. and Glasgow, Z. 1998. Making Instructional Design Decisions. (2nd ed.). Columbus, Ohio : Prentice-Hall.
ภำคผนวกภำคผนวก ก แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทำงกำรเรยี นภำคผนวก ข ผลกำรวิเครำะหห์ ำผลสัมฤทธิ์ทำงกำรเรียนภำคผนวก ค ตัวอย่ำงบทเรยี นบนเครอื ข่ำยอนิ เทอรเ์ น็ต เรื่อง หลักกำรแกป้ ญั หำดว้ ยคอมพิวเตอร์
ภำคผนวก กแบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธิ์ทำงกำรเรยี น
แบบทดสอบหลังเรียน วิชำ กำรงำนอำชีพและเทคโนโลยี เร่ือง หลักกำรแก้ปญั หำด้วยคอมพวิ เตอร์จำนวน 20 ข้อ คะแนนเตม็ 20 คะแนน เวลำ 50 นำที โรงเรยี นชลรำษฎรอำรงุ................................................................................................................................................ ..............................คำชแี้ จง ให้นกั เรยี นเลอื กคาตอบที่ถูกต้องที่สดุ เพยี งคาตอบเดียว1. ขอ้ ใดอธบิ ายความหมายคาว่า “ประสิทธภิ าพ” ได้ถูกตอ้ งที่สุด ก. มีราคาสงู และหาได้ยาก ข. แกป้ ญั หาไดร้ วดเร็วและใช้ทรพั ยากรน้อย ค. ใชง้ านไดห้ ลากหลาย และความสามารถหลายด้าน ง. มีหนว่ ยความจาและพืน้ ที่เกบ็ ข้อมลู จานวนเพยี งพอตอ่ ความตอ้ งการ2. ข้อใด ไมใ่ ช่ กระบวนการในการแกป้ ญั หาด้วยเทคโนโลยสี ารสนเทศ ก. การดาเนนิ การแก้ปญั หา ข. การเลือกเครื่องมือและออกแบบข้นั ตอนวธิ ี ค. การวเิ คราะห์และกาหนดรายละเอียดของปัญหา ง. การสรุปผลการแกป้ ญั หาและรายงานผลใหผ้ เู้ กีย่ วข้องทราบ3. จุดประสงคส์ าคัญของการวิเคราะห์และกาหนดรายละเอียดของปัญหาคือข้อใดa. เพ่ือทาความเข้าใจกับปัญหา b. เพ่อื หาวิธีการทจ่ี ะใช้ในการแก้ปญั หาc. เพือ่ บง่ ช้ีว่าสิ่งท่ตี ้องการคืออะไร d. เพื่อสรปุ ผลของปัญหานั้นก. ขอ้ a ถูกเทา่ นั้น ข. ข้อ a และ b ถูกค. ขอ้ a, b และ c ถูก ง. ข้อ a, b, c และ d ถูก4. ข้อใด ไมใ่ ช่ สงิ่ ทไ่ี ดจ้ ากการวเิ คราะห์และกาหนดรายละเอียดของปัญหาก. ขอ้ มูลที่ต้องนาเขา้ ข. รปู แบบผลลพั ธ์ทต่ี อ้ งการค. ผลลัพธ์ทีไ่ ดจ้ ากการหาคาตอบ ง. ขัน้ ตอนหรอื วธิ ีการที่ต้องใช้ในการหาคาตอบ5. หากนักเรียนต้องการหาคะแนนเฉลย่ี วชิ าคอมพวิ เตอร์ของนักเรยี น 30 คน ข้อมลู นาเขา้ คือข้อใดก. คะแนนของนกั เรยี นแต่ละคน ข. สูตรหาค่าเฉลยี่ค. ผลลัพธ์ท่ีได้ ง. วิชาคอมพิวเตอร์6. ข้อใดเป็นหลกั การท่ีถูกต้องและสาคัญทส่ี ดุ ในการเลอื กเคร่ืองมือเพอื่ ใช้ในการแกป้ ญั หา ก. เปน็ เครอ่ื งมือที่ใชง้ านง่าย ไม่ยงุ่ ยากซบั ซ้อน ข. ความค้นุ เคยในการใช้เคร่ืองมือของผู้แกป้ ญั หา ค. ความเหมาะสมระหว่างเครอื่ งมือกบั เง่ือนไขของปัญหา ง. ความสามารถของเครอ่ื งมือน้ันมคี ณุ สมบัติทใี่ ชใ้ นการแก้ปัญหาได้รวดเรว็7. เหตุใดจึงต้องมีการตรวจสอบและปรบั ปรุงวิธีการแก้ปัญหา หลังจากท่ดี าเนนิ การแกป้ ัญหาเสรจ็ สิน้ แล้ว
ก. เพื่อชว่ ยแก้ไขกระบวนการแกป้ ญั หาให้มคี วามรวดเรว็ มากขนึ้ข. เพอื่ อัพเดทโปรแกรมหรือวิธกี ารแกป้ ัญหาใหท้ นั สมยัค. เพือ่ ตรวจสอบว่าขัน้ ตอนนั้นรองรบั ทุกกรณหี รือไม่ง. เพื่อหาวธิ กี ารแก้ปัญหาใหมท่ ี่ดกี วา่ เดิม8. ข้อใดเปน็ วธิ กี ารถา่ ยทอดความคิดในการแก้ปัญหา ข. การเขยี นรายงานการแก้ปัญหา ก. การเขียนโปรแกรมคอมพวิ เตอร์ ง. การเขียนผงั งาน ค. การวาดภาพประกอบความเขา้ ใจจงใช้รูปต่อไปนี้ ตอบคำถำมขอ้ 9-12ก. ข.ค. ง. 9. สัญลักษณ์ที่ใช้ในการเปรยี บเทียบหรอื การตดั สินใจเพ่ือทดสอบเง่ือนไขคอื ขอ้ ใด10. สัญลักษณ์ท่ีใช้ในการนาเข้าข้อมลู คือข้อใด11. สญั ลกั ษณ์ที่ใช้ในการเร่ิมต้นหรอื จบการทางานคือข้อใด12. สัญลักษณ์ท่ีใชใ้ นการปฏบิ ตั ิงานคอื ข้อใด13. ข้อใด ไมใ่ ชห่ ลกั การเขยี นผงั งานทถ่ี กู ต้อง ก. มีทศิ ทางจากบนลงล่างหรือจากซ้ายไปขวา ข. เขียนคาอธิบายการทางานในแต่ละขนั้ ตอน ค. ผังงานจะตอ้ งมจี ดั เร่ิมต้นและจดุ ส้ินสดุ ง. เส้นเชือ่ มแต่ละเสน้ ไม่มีหัวลูกศร14. ข้อใด ไมใ่ ชป่ ระโยชนข์ องการเขยี นผังงาน ก. ใชแ้ สดงความสัมพนั ธร์ ะหวา่ งข้นั ตอนตา่ งๆ ข. แสดงความคิดเป็นสญั ลกั ษณ์ท่เี ข้าใจง่าย ค. ทาให้ได้โปรแกรมทไ่ี ม่มปี ัญหาในการทางาน ง. งา่ ยต่อการแกไ้ ขและบารุงรักษาโปรแกรม15. โครงสร้างโปรแกรมแบบใดไม่มกี ารตรวจสอบเง่ือนไขก. โครงสร้างแบบลาดบั ข. โครงสรา้ งแบบทางเลอื กค. โครงสร้างวนซา้ แบบ while ง. โครงสร้างวนซ้าแบบ until16. โครงสร้างวนซา้ แบบ while ต่างจากโครงสร้างวนซา้ แบบ until อยา่ งไร
ก. โครงสร้างวนซา้ แบบ until ไม่จาเป็นตอ้ งตรวจสอบเงื่อนไขข. โครงสร้างวนซา้ แบบ while ตรวจสอบเงอ่ื นไขกอ่ นทาชุดคาสง่ัค. โครงสร้างวนซ้าแบบ until มีการตรวจสอบเงือ่ นไขทยี่ ุ่งยากกวา่ง. โครงสร้างวนซ้าแบบ while จะทางานจนครบจานวนครัง้ ที่กาหนดไว้17. คาวา่ Overflow มกั พบบ่อยในการเขียนโปรแกรม คาน้มี ีความหมายถึงสง่ิ ใดก. การประมวลผลข้อมูลที่รบั เข้าไป ข. การเขยี นโปรแกรมเกินขอบเขตท่กี าหนดค. การวนซา้ ไม่รูจ้ บของโปรแกรม ง. การทห่ี นว่ ยความจาท่ีกาหนดไว้เต็ม18. จากรูป เปน็ โครงสร้างโปรแกรมแบบใด เร่ิมต้น คำสง่ั ที่ 1 เท็จ เง่ือนไข จริง คำสงั่ ท่ี 2 คำสง่ั ที่ 3ก. โครงสร้างวนซ้าแบบ while ข. โครงสรา้ งวนซา้ แบบ untilค. โครงสรา้ งแบบลาดับ ง. โครงสร้างแบบทางเลือก19. “นกั เรยี นตน่ื เช้า อาบน้า แต่งชดุ นักเรยี นเพื่อมาโรงเรยี น หากตื่นก่อน 7 นาฬกิ า นักเรียนจะทานข้าวเชา้ แต่ถ้าไม่ใช่นกั เรียนจะไม่ทานข้าวเชา้ แลว้ จึงเดินทางไปโรงเรียน” ประโยคขา้ งตน้ เขยี นเปน็ ผงั งานได้ ตามข้อใด ก. ข.
ค. ง.
20. แผนผงั ในข้อใดอธบิ ายการดาเนนิ งานตอ่ ไปน้ี ข. 1. ข้อมูลนาเข้า ได้แก่ - รัศมี 2. ข้ันตอนการทางาน 2.1 รบั ข้อมลู รัศมี แทนดว้ ย r 2.2 คานวณพืน้ ทวี่ งกลม จากสตู ร พ้นื ท่วี งกลม = ¶r2 2.3 แสดงผลลพั ธ์บนจอภาพ 3. สนิ้ สดุ การทางาน ก.ค. ง.
ภำคผนวก ขผลกำรวิเครำะหห์ ำผลสัมฤทธ์ทิ ำงกำรเรยี น
ตำรำงที่ ข.1 แสดงคะแนนที่ไดจ้ ากการทาแบบทดสอบทา้ ยบท และแบบทดสอบหลงั เรียน เพือ่ หา ประสิทธิภาพของบทเรียนบนเครอื ขา่ ยอินเทอร์เน็ต เรื่อง หลกั การแก้ปญั หาดว้ ยคอมพวิ เตอร์คนท่ี คะแนนแบบทดสอบท้ำยบท (E1) คะแนนแบบทดสอบหลังเรยี น (E2)(20 คะแนน) (20 คะแนน)1 18 202 19 183 20 194 20 205 19 206 19 207 20 178 17 179 20 1610 19 1811 18 1812 19 1713 20 1814 20 1615 19 1616 20 1717 18 1818 20 1819 15 1620 16 1621 19 1622 20 1823 20 1824 19 1725 16 1726 14 1827 16 1828 14 1629 20 1830 19 1531 16 16
32 14 20 33 14 20 34 16 20 35 16 19 36 19 18 37 17 19 38 18 18 39 17 19 40 20 16 41 17 17 42 19 19 43 14 20 44 20 17 45 17 20 46 20 19 47 18 17 48 17 17 49 20 18 50 20 16เฉล่ยี 17.71 17.44รอ้ ยละ 88.57 87.20
ตำรำงที่ ข.2 แสดงคะแนนทีไ่ ด้จากการทาแบบทดสอบก่อนเรียน และแบบทดสอบหลงั เรียนดว้ ย บทเรยี นบนเครอื ขา่ ยอินเทอรเ์ นต็ เรอื่ ง หลักการแก้ปัญหาด้วยคอมพิวเตอร์คนที่ คะแนนทดสอบก่อนเรียน คะแนนทดสอบหลังเรยี น 1 10 20 29 18 38 19 46 20 53 20 65 20 77 17 84 17 97 1610 5 1811 9 1812 11 1713 10 1814 9 1615 12 1616 9 1717 8 1818 9 1819 7 1620 7 1621 6 1622 7 1823 4 1824 7 1725 4 1726 3 1827 10 1828 7 1629 7 1830 10 1531 6 1632 4 2033 4 2034 6 20
35 7 19 36 7 18 37 7 19 38 8 18 39 7 19 40 10 16 41 7 17 42 9 19 43 4 20 44 3 17 45 6 20 46 7 19 47 7 17 48 7 17 49 9 18 50 8 16เฉลี่ย 6.65 17.44 S 2.10 1.66
ภำคผนวก คตัวอยำ่ งบทเรยี นบนเครือขำ่ ยอินเทอรเ์ นต็ เรอ่ื ง หลกั กำรแกป้ ญั หำดว้ ยคอมพวิ เตอร์
ภำพที่ ค.1 หน้าแรกของบทเรยี นบนเครือข่ายอนิ เทอร์เน็ต วิชา เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ภำพท่ี ค.2 หน้าคาอธบิ ายรายวิชา วชิ า เทคโนโลยสี ารสนเทศและการส่อื สาร
Search