สบื คน้ ตามหา ปะโอทเี่ ชยี งคา1 ศริ าพร แปะ๊ เสง็ 2 เมอื่ เอ่ยถึงเชียงคำ อำเภอเชยี งคำ จังหวัดพะเยำ หลำยคนมักคดิ ถึงชมุ ชนไทล้อื เน่ืองจำกประชำกร ส่วนใหญ่ในพ้ืนที่เมืองเชียงคำน้ันเป็นไทล้ือท่ีอพยพเข้ำมำหลำยระลอก จนสร้ำงชุมชนไทลื้อขนำดใหญ่ มี กำรสืบทอดตำนำนเร่ืองเล่ำและพิธีกรรมมำหลำยต่อหลำยรุ่น หำกแต่เม่ือค้นลึกลงไปในองค์ประกอบของ พ้ืนท่ีแล้วจะพบว่ำ มีควำมหลำกหลำยของผู้คนกระจำยอยู่เป็นหย่อมบ้ำน หรือชุมชนเล็กกอยู่ทั่วไป ได้แก่ กลุ่มคนไทยวน ไทใหญ่ ไทอีสำน ไทลำว ปะโอ ล้ือ จีน ม้ง เม่ียน โดยเฉพำะปัจจุบันเม่ือกำรเดินทำง เคลอ่ื นย้ำยสะดวก คนจำกตำ่ งถน่ิ เข้ำมำปกั หลักทำมำค้ำขำยมำกขึ้นกวำ่ ยุคก่อน กำรสืบค้นหำกลุ่มคนปะโอที่เชียงคำ เกิดข้ึนเม่ือประมำณช่วงปี 2555 ถึง 2556 เม่ือเครือข่ำย วัฒนธรรมอำเภอให้กำรส่งเสริมศิลปวัฒนธรรมท้องถ่ินและกลุ่มชำติพันธ์ุ โดยมีแปดกลุ่มได้แก่ ล้ือ จีน ม้ง เมี่ยน ไทอีสำน ไทใหญ่ ไทยวน ไทยลำว ท้ังนี้ข้อมูลระบุว่ำชุมชนชำวไทใหญ่นั้นอยู่ท่ีวัดนันตำรำม แต่ใน ชีวิตประจำวันไม่มีปรำกฏประเพณีวัฒนธรรมแบบไทใหญ่ มีกำรแต่งกำยปรำกฏอยู่บ้ำงแต่ไม่สำมำรถสืบ ทรำบได้ว่ำสืบทอดหรือส่งต่อมำจำกท่ีได ประกอบกับมีกำรส่งเสริมเร่ืองกำรท่องเที่ยว เจ้ำอำวำสจึงเริ่ม สืบคน้ ประเพณวี ัฒนธรรมของวัด เนอื่ งจำกอดีตไมเ่ คยมีกำรบนั ทึกไว้ กบั ทั้งมคี วำมขัดแยง้ กันหลำยอย่ำงท้ัง ข้อมูลในส่ือ หรือข้อมูลเชิงประเพณี กับกำรบอกเล่ำของคนในชุมชน เม่ือเริ่มศึกษำค้นคว้ำพบคำว่ำ “ตอง
สู้” หลังจำกนั้นจึงเร่ิมค้นหำข้อมูลจำกคนในชุมชน คนเฒ่ำคนแก่ รวมถึงกำรเดินทำงไปวดั สันปำ่ ก่อ อำเภอ เมือง จังหวัดเชียงรำย และพบควำมสัมพันธ์กำรเคล่ือนย้ำยติดต่อสัมพันธ์กับคนในชุมชนวัดนันตำรำม คือ “พ่อทวกน้อยลือชัย” เป็นน้องชำย “พ่อเฒ่ำจองตะก๋ำนันตำ” เป็นพ่อค้ำผ้ำแพร แต่งงำนกับชำวไทใหญ่ บ้ำนสันปำ่ กอ่ ในปี 2556 วดั นนั ตำรำมก็มีกำรทำบุญฉลองถวำยแท่นพระ ฉตั ร และหอพระอุปคุต และได้นิมนต์ พระท่ีวัดหนองคำ จังหวัดเชียงใหม่ มำร่วมงำน พร้อมกับคณะศรัทธำวัดซ่ึงเป็นชำวปะโอจำกประเทศพม่ำ มำรว่ มกิจกรรม มกี ำรแสดงทำงวฒั นธรรมท้ังกำรแตง่ กำยและอำหำร กำรฟ้อน แสดงบนเวที และมผี ู้เฒำ่ ใน ชมุ ชนสะทอ้ นว่ำ คนกลุ่มนีเ้ ป็นตองสู้ ซ่งึ เป็นเชือ้ สำยเดียวกับบรรพบุรุษในชุมชนท่ีมำสร้ำงวัดนันตำรำม นน่ั คอื จดุ เริม่ ตน้ ในกำรสืบคน้ ตวั ตนของชำวปะโอในชมุ ชนข้นึ มำ ปะโอคอื ใคร ??? ต่องสู่ ตองตู ตองสู้ ตองซู่ กะเหรี่ยงดำฯ ชื่อเรียกเหลำ่ นี้เป็นหลำกหลำยช่ือทใี่ ช้เรยี กชำว “ปะโอ” ชื่อของ “ปะโอ” ถือเป็นช่ือใหม่ที่เพิ่งได้ยินในรำวทศวรรษท่ีผ่ำนมำน่ีเอง เนื่องจำกที่ผ่ำนมำต่ำงถูกนิยำม ตัวตนในชอื่ อื่น ถิน่ เดิมของชำวปะโอน้นั อยู่ในเขตตอนเหนือของประเทศพม่ำ แถบเมอื งตองยี เมอื งปน่ั เมืองป๋ำงปี้ เมืองหนองอ้อ เมืองกิ่วเกำะ ในเขตรัฐฉำนของพม่ำ อย่ำงไรก็ดี บุญช่วย ศรีสวัสด์ิ ได้เขียนในหนังสือ “คน ไทยในพม่ำ”กล่ำวถึงชำวต่องสู้ท่ีอยู่ในรัฐฉำน ปะโอ เป็นกลุ่มชนที่อยู่กระจัดกระจำยในตอนเหนือของ ประเทศพม่ำ เนอื่ งจำกต้ังถ่ินฐำนรว่ มกับชำวไทใหญ่ โดยชำวปะโออยู่บนพน้ื ท่ีสูงและทรี่ ำบเชิงเขำ สว่ นชำว ไทใหญ่อยู่บริเวณท่ีรำบมีกำรปฏิสัมพันธ์กับชำวไทใหญ่และมีวัฒนธรรมคล้ำยคลึงกัน ชำวไทใหญ่เรียกชำว ปะโอวำ่ “ต่องสู้” พม่ำเรียกวำ่ “ต่องต”ู่ แปลว่ำ “ชำวดอย” หรือ “คนหลอย” แตช่ ำวปะโอไมช่ อบให้เรียก คำนี้ ถอื วำ่ เปน็ คำไม่สภุ ำพ และอยำกให้เรยี กเชอื้ ชำตขิ องตนเองวำ่ “ปะ่ โอ่” หรอื “ปะโอ” แปลวำ่ ชำวดอย เหมือนกัน เมื่อแยกคำแล้ว มีผู้สันนิษฐำนที่มำของคำว่ำ “ป่ะโอ” ว่ำน่ำจะมำจำกคำว่ำ “ผะโอ่” แปลว่ำ ผู้ อยู่ป่ำ เพรำะในภำษำไทยคำต่ี คำว่ำ “อู่” แปลว่ำอยู่ ครั้นเมื่ออพยพเข้ำมำตั้งรกรำกในดินแดนล้ำนนำ คน ลำ้ นนำเรียกตำมชำวไทใหญ่ แต่สำเนียงเปลย่ี นไปว่ำ “ต่องสู้” รากเหงา้ ชาวปะโอแห่งเชียงคา ชุมชนทุ่งบำนเยน็ ตำบลหย่วน อำเภอเชียงคำ จังหวัดพะเยำ เป็นชุมชนท่ีสืบเชื้อสำยมำจำกคหบดี ชำวปะโอทเี่ ดินทำงคำ้ ขำยในเสน้ ทำงกำรค้ำในพน้ื ที่ภำคเหนือในยุคท่ีกำรคำ้ ทำงไกลเฟ่ืองฟู เรือ่ งเลำ่ จำกเจ้ำ อำวำสวัดนันตำรำมเกี่ยวกับสถำปัตยกรรมของวัดนันตำรำม เรื่องรำวของผู้คนท่ีผสมผสำนระหว่ำง วัฒนธรรมปะโอ ไทใหญ่ ไทล้ือ ไทยวน เรื่องรำวของพ่อใหญ่นันตำอู๋ คหบดีชำวปะโอที่บริจำกเงินสร้ำงวดั เรื่องรำวเหล่ำนี้ ค่อยๆ ถูกถ่ำยทอดให้ผู้มำเยือนจำกภำยนอกได้รับทรำบถึงควำมเป็นมำของชุมชนน้ีก่อนท่ี จะพฒั นำเป็นชมุ ชนกลำงเมืองเชยี งคำในปจั จุบนั 2
ชุมชนทุ่งบำนเย็น ได้เข้ำร่วมโครงกำรพัฒนำคลังข้อมูลชุมชนและเครือข่ำยข้อมูล ร่วมกับศูนย์ มำนุษยวิทยำสิรินธร (องค์กำรมหำชน) ในปีงบประมำณ 2562 พร้อมกับชุมชนอ่ืนๆ อีก 12 ชุมชน โดยมี พระอธิกำรสันติ ชยธมฺโม เจ้ำอำวำสวัดนันตำรำม ลูกหลำนชำวปะโอโดยแท้ รับหน้ำที่เป็นหัวเรือใหญ่ใน กำรดำเนินงำน โดยมีประเด็นหลักๆ ในกำรสืบค้นรำกเหง้ำของชำวปะโอในชุมชน มิติทำงประวัติศำสตร์ เครือญำติ และสำยสมั พันธ์ของคนในชมุ ชน เพ่ือเก็บไว้เป็นข้อมลู สำคญั ในกำรส่งต่อให้ลูกหลำยไดร้ ะลึกรู้ถึง บรรพชนคนรุน่ ก่อนทสี่ ร้ำงบ้ำนแปงเมอื งกันมำจวบจบเจรญิ รุ่งเรืองอย่ำงเช่นทุกวันนี้ พ้ืนท่ีชุมชนแต่เดิมนั้นเป็นท่ีรกร้ำงว่ำงเปล่ำ เม่ือขุดลึกลงไปในดิน 1 เมตร มักจะพบแต่ตอไม้และ รำกไม้ของคนสมัยก่อนเรียกบริเวณนี้ว่ำ “บ้ำนทุ่ง” ต่อมำเมื่อระบบกำรปกครองของรัฐเข้ำมำสวมครอบ พื้นท่ีนี้อยู่ในเขตของบ้ำนใหม่บุญนำค ต่อมำแยกออกมำเป็นหมู่บ้ำนใหม่ในปี 2520 และตั้งชื่อหมู่บ้ำนว่ำ “ทุ่งบำนเย็น” หำกนับรวมอำยุชุมชนนี้แล้ว นับเป็นชุมชนเก่ำแก่ ทศวรรษ 2450 เนื่องจำกอยู่บนเส้นทำง กำรค้ำของกลุ่มพ่อค้ำทำงไกลท่ีเดนิ ทำงค้ำขำยเช่ือมโยงระหวำ่ งพมำ่ ลำ้ นนำ ลำว ประวัติศำสตร์คำบอกเล่ำของผู้เฒ่ำในหมู่บ้ำนได้กล่ำวไว้ว่ำ รำวปี 2450 พ่อหม่องโพธิชิตอริยภำ ช่ำงซ่อมจักรเย็บผ้ำ เป็นชำวปะโอ จำกเมืองสะเทิม ซ่ึงเดินทำงค้ำขำยได้เข้ำมำแผ้วถำงพ้ืนท่ีเพื่อใช้เป็นจุด พักค้ำงระหว่ำงกำรเดินทำง เป็นที่พักพระสงฆ์ที่เดินทำงร่วมกับคำรำวำน หรือพระสงฆ์ท่ีเดินทำงธุดงค์ บรเิ วณนม้ี ตี ้นโพธ์ิใหญ่ (ปจั จุบันตง้ั อย่ใู นบริเวณวดั นนั ตำรำม) ผู้เดนิ ทำงยคุ น้ันต่ำงเช่ือวำ่ มีส่ิงศกั ดส์ิ ิทธิ์ มีพ่อ เฒ่ำอุบล บุญเจริญ พื้นเพเป็นชำวเชียงตุง อำชีพเป็นสล่ำ เป็นช่ำงฝีมือ มีควำมเชี่ยวชำญในกำรออกแบบที่ เดินทำงมำรว่ มกบั ขบวนพ่อคำ้ ไดร้ ว่ มกับพ่อหมอ่ งโพธชิ ติ อรยิ ภำ สรำ้ งกุฎิทพ่ี กั สงฆ์ ลักษณะสรำ้ งดว้ ยไม้มุง ด้วยใบคำ จึงเรียกว่ำ “จองคำ” โดยคำว่ำ “จอง=เจำง์” มำจำกภำษำพม่ำ หมำยถึงวัด หรืออำคำร คำว่ำ “คำ” มำจำก กำรใช้ใบคำ คือหญ้ำคำมำใช้มุงหลังคำนั่นเอง วัดจองคำ จึงเป็นชื่อเรียกขำนที่พักสงฆ์แห่งนี้ นับแตน่ ัน้ มำ หลังจำกน้ัน ในปี 2451 พ่อหม่องโพธิชิตอริยภำ ได้ไปนิมนต์ “อู่นันทิยะ” พระภิกษุชำวปะโอ ซ่ึง ขณะนน้ั เดนิ ทำงไปมำหำสกู่ นั ระหว่ำงพม่ำล้ำนนำ และลำปำง มำจำพรรษำวดั จองคำ โดย “อู วณั ณะ” นั้น พื้นเพเป็นพระชำวปะโอจำก รัฐฉำนใต้ ประเทศพม่ำ วัดจองคำได้ถูกต้ังเป็นที่พักสงฆ์ท่ีขึ้นตรงต่อคณะสงฆ์ พม่ำ (ในจงั หวดั ลำปำงขณะนัน้ ) คนท้องถ่นิ ล้ำนนำหรือละแวกใกล้เคียงเรียกวำ่ วดั ม่ำน ซึง่ มำจำกคำว่ำ “มะ ล่ำน” ในภำษำล้ำนนำทีห่ มำยถึงพม่ำ หรือเรียกวำ่ วัดจองเหนือ เพรำะอยู่ทำงทศิ เหนอื ของแม่นำ้ ลำว ต่อมำในปี 2467 พ่อเฒ่ำตะก๋ำจองนันตำ คหบดีชำวพม่ำเชื้อสำยปะโอซ่ึงเดินทำงเข้ำมำค้ำขำย ใน เสน้ ทำงนี้ รวมถึงเข้ำมำรับจ้ำงขนส่งไมใ้ หก้ ับบรษิ ัทบอมเบย์เบอร์มำร์ของอังกฤษได้มำทำสมั ปทำนไม้ในเขต ลำปำง พะเยำ เชียงรำยท่ำนมีศรัทธำท่ีจะบรู ณะวัดจองคำใหเ้ ป็นวัดที่ทำศำสนกิจทำงศำสนำอย่ำงถำวร ได้ ชักชวนกลุ่มพ่อค้ำอำเภอเชียงคำ และผู้มีจิตศรัทธำท่ัวไปร่วมบูรณะปฏิสังขรณ์และร่วมกันบริจำคทรัพย์ สร้ำงวิหำรหลังใหม่ในคร้ังน้ีโดยมีแม่เฒ่ำจ๋ำมเฮิง ประเสริฐกุล บริจำคที่ดินให้สร้ำงวัด ได้นำแบบแปลนกำร สร้ำงวหิ ำรมำจำกจังหวัดลำปำงพร้อมช่ำง โดยมีพ่อสลำ่ ต้ัน จติ ตระกลู (ชำวพมำ่ ) ซึง่ เปน็ พ่อของยำยต๋นุ แก้ว จนิ ดำรศั มี ทำหนำ้ ท่เี ป็นหวั หนำ้ ช่ำงชุดแรกในกำรสร้ำง โดยใช้เวลำในกำรก่อสร้ำง 10 ปี จำกน้นั พอ่ เฒ่ำตะ 3
ก๋ำจองนันตำได้ไปอันเชิญพระประธำนซ่ึงทำด้วยไม้สักทองทั้งต้น จำกวัดจองเหม่ถ่ำ บ้ำนดอนแก้ว ตำบล ออย อำเภอปง จังหวัดพะเยำ (ซึ่งพ่อเฒ่ำเหม่ถ่ำเป็นสหำยค้ำไม้ในเขตอำเภอปงได้ส่ังเสียไว้ว่ำหำกได้ เสียชีวิตลงให้นำพระประธำนมำไว้วัดนันตำรำม) จำกน้ัน วัดนันตำรำมก็ดำรงสถำนะของวัดม่ำน อันเป็น ศูนย์กลำงรวมใจของเหล่ำพ่อค้ำทำงไกลจำกประเทศพม่ำ หลำกหลำยเช้ือสำย เป็นรำกแห่งศรัทธำของผู้ สืบเช้อื สำยชำวปะโอในเชยี งคำและใกล้เคียง พระประธานวัดนนั ตาราม ทาจากไมส้ ักทองทง้ั ต้น ทน่ี ามาจากวัดจองเหม่ถา่ ตาบลออย อาเภอปง จงั หวัดพะเยา พอ่ เฒา่ เหม่ถา่ เปน็ สหายของพอ่ เฒ่าตะกา๋ จองนนั ตา สหายค้าไมใ้ นเขตอาเภอปง ได้สัง่ เสยี ไว้วา่ หาก ไดเ้ สียชีวติ ลงใหน้ าพระประธานมาไว้วัดนันตาราม กำรสืบค้นของชุมชนทำให้ตระหนักรู้ว่ำ กำรก่อร่ำงสร้ำงตัวของวัดนันตำรำม และชุมชนน้ันใชเ้ วลำ ยำวนำนหลำยสิบปี และหลำยชว่ งอำยุคน โดยมีตระกูลหลักที่ทำหน้ำท่ีอุปถัมภ์คือ ตระกูล “วงษ์อนันต์” มี “พ่อเฒ่ำจองตะก่ำนันตำ” เป็นต้นตระกูล ที่สืบต่อหน้ำท่ีดูแลวัดนันตำรำม และสบทอดอำชีพค้ำไม้มำจำก บรรพบุรุษ มำจวบจนถงึ คนร่นุ ทีส่ ำมในปัจจุบัน อกี ตระกลู สำคัญคือ ตระกลู “กันทะมำลำ” มี “พอ่ เฒ่ำสล่ำ หนำน อุง” เป็นต้นตระกูล ท่ำนเป็นอดีตเจ้ำอำวำสวัดคนท่ี 5 (พ.ศ. 2476-2479) ฉำยำ “อู่นันทิยะ” เดินทำงมำจำกบ้ำนบำงโจ่ง เมืองสีแสง รัฐฉำนใต้ ประเทศพม่ำ ท่ำนเป็นผู้มีควำมสำมำรถด้ำนกำรปรุงยำ จนได้เป็นผู้ประกอบและมีสิทธิประกอบโรคศิลปะแผนโบรำณ ในสำขำเวชกรรม ท่ีคณะกรรมกำรควบคุม กำรประกอบโรคศิลปะเป็นผู้ออกใบอนุญำต ภำยหลังจำกสึก ท่ำนได้แต่งงำนกับแม่เฒ่ำข่อง มีลูกหลำนสืบ เชือ้ สำยอุปภมั ภ์วัดมำจนถงึ คนรนุ่ ทีส่ ำมในปัจจบุ ัน 4
วัดนนั ตาราม อ่นู นั ทิยะ อดตี เจ้าอาวาสวัดนนั ตาราม ช่วงปี 2476-2479 ทา่ นเปน็ ชาวปะโอ บา้ นปางโจง ตองจี เมียนมา ภาพนี้ปา้ เหม่ ลูกสาวทา่ นบอกวา่ ถา่ ยทวี่ ดั ท่ามะโอ จงั หวดั ลาปาง นอกจำกนน้ั ยังค้นพบอำหำรท้องถิ่นของคนปะโอท่ียังคงทำกนั อยู่ในครัว เชน่ นำ้ พริกค่ัว แกงส้มปู มีขนมอย่ำง ซอมยำคู และขนมป้ิง ซ่ึงคณะทำงำนได้จัดทำข้อมูลเหล่ำน้ีเพื่อเก็บเข้ำสู่คลังควำมรู้ของชุมชน 5
เพ่ือกำรสืบทอด ส่งต่อให้คนรุ่นหลัง รวมถึงจะดำเนินกำรสืบค้นเพิ่มเติมท้ังด้ำนอำหำรกำรกิน เครื่องมือ เคร่ืองใช้ ยำสมุนไพร ที่คนรุ่นเก่ำก่อนได้ทิ้งไว้เป็นมรดกให้ลูกหลำนได้สืบค้นหำรำกเหง้ำ ตัวตนของตนเอง ขณะเดียวกัน กำรเดนิ ทำงเพ่ือเรยี นร้สู ังคมวัฒนธรรมปะโอจำกชมุ ชนอืน่ ๆ ท้งั ในพืน้ ท่จี ังหวัดลำปำง จังหวดั เชียงรำย จังหวัดแม่ฮ่องสอน หรือกำรเดินทำงไปยังต้นทำงประเทศพม่ำ เพื่อศึกษำและแลกเปล่ียนควำมรู้ ระหวำ่ งกัน ผนวกสร้ำงเป็นเครอื ขำ่ ยปะโอในประเทศไทย สำหรับกลุ่มชำติพันธุ์ปะโอในประเทศไทยนั้น พบว่ำอำศัยในพื้นท่ีจังหวัดแม่ฮ่องสอน เชียงรำย เชียงใหม่ และพะเยำ อีกท้ังยังกระจัดกระจำยเข้ำมำทำงำนในหลำยพ้ืนที่ ท้ังพื้นท่ีหัวเมืองภำคเหนือ และ กรงุ เทพมหำนคร ชำวปะโอ เคลือ่ นยำ้ ยเขำ้ สูป่ ระเทศไทยในชว่ งปญั หำทำงกำรเมืองและกำรสู้รบในประเทศ พม่ำ ทั้งกำรเข้ำมำต้ังถ่ินฐำนถำวร และกำรเข้ำมำแสวงหำงำนทำ โดยในบำงพ้ืนท่ีน้ันอำศัยอยู่เฉพำะกลุ่ม ในบำงพ้ืนที่อำศัยอยู่ร่วมปะปนกับกลุ่มชำติพันธ์ุอ่ืน ในอดีตท่ีผ่ำนมำกลุ่มชำติพันธ์ุปะโอในพื้นท่ีเชียงใหม่ เชียงรำยและพะเยำไม่ค่อยปรำกฏตัวและแสดงออกทำงอัตลักษณ์วัฒนธรรมขอ งตนเองให้คนอื่นเห็น เน่ืองจำกกำรเป็นชนกลุ่มน้อยท่ีอำศัยอยู่ปะปนกับชนกลุ่มใหญ่ หรือกลุ่มชำติพันธุ์กลุ่มใหญ่ในพ้ืนที่จึงอำ พรำง ปกปดิ อตั ลกั ษข์ องตัวเองตลอดมำ หำกแต่ในช่วงทศวรรษท่ีผ่ำนมำนั้น ขบวนกำรของกำรส่งเสริมสิทธิมนุษยชน และประเด็นชนเผ่ำ พ้ืนเมือง ได้รับกำรหยิบยกกมำเคล่ือนไหวในสังคม และสำธำรณชน และพบว่ำ มีกลุ่มชำติพันธ์ุหลำกหลำย กลุ่มที่เคยปิดตัวต่อสังคม ออกมำเปิดเผยตัวตนต่อสำธำรณะ แสดงออกถึงอัตลักษณ์ และเริ่มทำกำรสืบค้น ประวัติศำสตร์ ท่ีมำของตนเองมำกขึ้น และชำวปะโอก็เป็นหน่ึงในหลำกหลำยกลุ่มชำติพันธุ์ ท่ีเดินออกมำ จำกเงำมืด เพื่อบอกแกส่ งั คมวำ่ ปะโอคือใคร 1 ขอ้ เขียนนี้ เรยี บเรยี งมาจากรายงานผลการดาเนินงานโครงการสบื คน้ ขอ้ มลู ทางสงั คมและวฒั นธรรมชาติพนั ธุป์ ะโอ 2 นกั วิชาการ ศนู ยม์ านษุ ยวิทยาสิรนิ ธร 6
Search
Read the Text Version
- 1 - 6
Pages: