Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore โภชนาการและสุขภาพ

โภชนาการและสุขภาพ

Published by waroonaoy99, 2020-08-13 01:37:41

Description: โภชนาการและสุขภาพ

Search

Read the Text Version

โภชนาการกบั สขุ ภาพ โดย ศูนยว์ ทิ ยาศาสตรแ์ ละวฒั นธรรมเพื่อการศกึ ษารอ้ ยเอด็

โภชนาการ กับ สขุ ภาพ โภชนาการมีความสาคัญต่อสุขภาพและคุณภาพชีวิตมาก ร่างกายมีความต้องการ สารอาหาร เพ่ือช่วยให้เซลล์ทาหน้าที่ได้อย่างสมบูรณ์ ความต้องการสารอาหารของ แต่ละบุคคลจะมีความแตกต่างกันข้ึนกับ เพศ น้าหนัก ส่วนสูง อายุ การเจริญเติบโต และกิจกรรม ในชีวิตประจาวัน อิทธิพลจากปัจจัยและสิ่งแวดล้อมอื่น จะเป็น ส่วนประกอบ เช่น ความต้องการสารอาหารโปรตีนข้ึนอยู่ กับการรักษาดุลของสาร ไนโตรเจนในร่างกาย ความต้องการธาตุเหล็กสัมพันธ์กับการคงสภาพของการเก็บ รักษาธาตุเหล็กไว้ใช้ ประโยชน์ของร่างกาย ธาตุสังกะสีมีบทบาทสาคัญต่อการ สงั เคราะห์ และเมตาบอลิซึม (metabolism)ของกรดนวิ คลิอิก กรดอะมโิ น

โภชนาการ กบั สขุ ภาพ หากร่างกายได้รับสารอาหารไม่ครบถว้ น ร่างกายจะสามารถสังเคราะห์สารอาหาร ที่ขาดหายไปได้ส่วนหนึ่ง โดยอาศัยการแปรสภาพมาจากสารอาหารอื่นๆ แต่มี สารอาหารส่วนหนึ่งซึ่งร่างกายไม่สามารถสังเคราะห์ได้ จาเป็นจะต้องได้รับจากการ บริโภคอาหาร เท่านั้น ได้แก่ กรดอะมิโนที่จาเป็น กรดไขมันบางชนิด วิตามิน และ เกลือแร่ชนิดต่างๆ ซ่ึงรวมเรียกว่าสารอาหารท่ีจาเป็น (essential nutrients) หาก ได้รับไมเ่ พียงพอจะมีผลกระทบต่อการทางานของเซลล์ต่างๆ ภายในร่างกาย ร่างกาย จงึ ต้องได้รับอาหารใหค้ รบ 5 หมู่

ความรู้ทั่วไปเก่ียวกับโภชนาการ คนเรามีสุขภาพที่ดีได้น้ัน การรับประทานอาหารนับเป็นปัจจัย อันดับแรกๆ เราจึงจาเป็นต้องมีความรู้ทางด้านโภชนาการและ อาหาร เพื่อจะได้เลือกรับประทานอาหารท่ีมีประโยชน์ ได้สัดส่วนที่ เหมาะสมกับความต้องการของร่างกาย อันเป็นการเสริมสร้าง สุขภาพท่ดี ใี ห้ห่างไกลจากโรคภยั ไขเ้ จ็บ

ความหมายของอาหาร อาหาร หมายถึง ส่ิงท่ีรับประทานแล้วมีประโยชน์ ต่อร่างกาย อาจอยใู่ นรปู ของของเหลวหรอื ของแข็งก็ได้

ความหมายของโภชนาการ โภชนาการ หมายถึง เนื้อหาวิชาการท่ีเป็นข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ท่ี เก่ียวข้องกบั อาหาร ซ่งึ เรียกวา่ วทิ ยาศาสตรก์ บั อาหาร โดยเป็นความสัมพันธ์ ร ะ ห ว่ า ง อ า ห า ร กั บ ก ร ะ บ ว น ก า ร ท่ี เ กี่ ย ว ข้ อ ง กั บ สุ ข ภ า พ แ ล ะ ก า ร เจริญเติบโต เช่น การจัดแบ่งประเภท และประโยชน์ของสารอาหาร การ เปล่ียนแปลงของอาหารท่ีรบั ประทานเขา้ ไป เปน็ ต้น

ภาวะโภชนาการ ภาวะโภชนาการ หมายถงึ สภาพหรือสะภาวะของร่างกาย อันเน่ืองมาจากการ บริโภคอาหาร ซ่ึงร่างกายนาอาหารที่ได้รับไปใช้เพ่ือความเจริญเติบโต ซ่อมแซมส่วนท่ี สึกหรอของร่างกาย ตลอดจนช่วยให้อวัยวะต่างๆของร่างกายทางานได้ตามปกติ โดย มีปัจจัยต่างๆที่มีผลต่อภาวะโภชนาการ เช่น ปัจจัยด้านเศรษฐกิจ สังคม การศึกษา สิ่งแวดล้อม ขนบธรรมเนียม วัฒนธรรม รูปแบบการบริโภค อาหาร ตลอดจนสภาพร่างกายและจติ ใจ เปน็ ต้น

ประเภทของภาวะโภชนาการ แบ่งออกเป็น 2 ประเภท ดงั นี้ 1. ภาวะโภชนาการทีด่ ี คอื การทีร่ า่ งกายไดบ้ รโิ ภคอาหารในปริมาณท่ีเพยี งพอถูกสัดส่วน หลากหลาย เหมาะสม และครบถ้วนตามความตอ้ งการของร่างกาย ทาใหส้ ามารถนาสารอาหารที่ ได้รับไปใชใ้ หเ้ กดิ ประโยชนก์ ับรา่ งกายและจิตใจ สง่ ผลใหม้ ีสมรรถภาพรา่ งกายที่ดี 2. ภาวะทพุ โภชนาการ คือ การท่ีรา่ งกายบริโภคอาหารในลกั ษณะทไ่ี มเ่ หมาะสมกบั ความ ต้องการของรา่ งกาย ทัง้ ในดา้ นปรมิ าณและสดั สว่ น ทาให้รา่ งกายเกดิ ภาวะโภชนาการท่ไี ม่ดี ขนึ้ ซง่ึ แบง่ ออกเป็นซ่ึงมที ั้งภาวะโภชนาการต่า และภาวะโภชนาการเกนิ เนือ่ งจากไดร้ ับอาหารไม่ เพียงพอต่อความตอ้ งการของร่างกายอาจทาใหม้ ีสขุ ภาพทไี่ ม่ดีได้

ภาวะโภชนาการต่า ภาวะโภชนาการต่า หรือภาวะขาดสารอาหาร หมายถึง ภาวะที่เกิดจาก การบรโิ ภคอาหารไม่เพยี งพอ หรอื ได้รบั สารอาหารไมค่ รบตามความ ตอ้ งการของรา่ งกายซง่ึ มผี ลทาให้สุขภาพไมแ่ ข็งแรง อาจกอ่ ใหเ้ กดิ โรค หรือมคี วามตา้ นทานตอ่ โรคต่างๆ ไดน้ ้อย เจ็บปว่ ยได้

ภาวะโภชนาการเกนิ ภาวะโภชนาการเกนิ หมายถึง ภาวะที่เกดิ จากการบรโิ ภคอาหาร หรอื สารอาหารทเี่ กนิ ต่อความต้องการของรา่ งกายเชน่ บริโภคอาหารที่ ให้พลงั งานเกนิ กวา่ ทร่ี ่างกายจะใช้ ร่างกายจึงเกดิ การสะสมพลงั งาน เหลา่ นน้ั ไว้ในรปู ของไขมนั ทาใหเ้ กดิ โรคอ้วน หรอื หมายรวมถึงการไดร้ ับ วิตามนิ บางชนิดมากเกนิ ไป ก็อาจสะสมจนกอ่ ใหเ้ กดิ อนั ตรายต่อรา่ งกาย ได้เชน่ กนั เชน่ วติ ามินเอ วติ ามนิ ดี วิตามนิ อี วติ ามนิ เค

ปัญหาการเกดิ โรคจากภาวะทพุ โภชนาการ อาหารและโภชนาการ เปน็ สิ่งทส่ี าคัญอยา่ งมาก การเลอื กบริโภคอาหารที่ดี มีประโยชน์และถูกต้อง ยอ่ มมีผลดตี ่อรา่ งกาย แตถ่ า้ เลอื กบริโภคอาหารไม่ ถกู ต้อง ยอ่ มกอ่ ให้เกดิ โรคตา่ งๆ และมีโทษรา่ งกายได้ ซึ่งโรคทเ่ี กดิ จากภาวะ ทุพโภชนาการ สามารถแบ่งออกไดเ้ ป็นโรคภาวะโภชนาการเกนิ และโรค ภาวะโภชนาการต่า ดังน้ี

ปญั หาการเกิดโรคจากภาวะทพุ โภชนาการ 1. โรคอ้วน เป็นโรคหนึ่งซึง่ เกิดจากภาวะโภชนาการเกนิ สง่ ผลใหเ้ กิดโรคต่างๆ ตามมา เชน่ โรค ความดนั โลหติ สงู โรคเบาหวาน โรคหัวใจ โรคไขข้ออกั เสบ โรคเก่ียวกบั ทางเดินหายใจ เป็นตน้ สาเหตโุ รคอ้วน 1) รับประทานอาหารมากเกนิ กว่าทรี่ า่ งกายตอ้ งการ 2) ขาดการออกกาลังกาย 3) พนั ธุกรรม 4) ความผิดปกตขิ องรา่ งกาย อาจจะเกิดจากความผดิ ปกตขิ องต่อมไทรอยด์ที่อยู่ในร่างกาย โดยตอ่ ม ไทรอยดน์ ี้จะผลิตฮอร์โมน “ไทรอกซิน”ซ่งึ ถ้าต่อมไทรอยดผ์ ิดปกติ ฮอรโ์ มนนี้จะถกู ผลติ ออกมานอ้ ย จะทาให้รา่ งกายเผาผลาญพลงั งานไดไ้ ม่ดี เกิดการสะสมไขมนั ไว้มาก เกดิ โรคอ้วนได้

การลดความอว้ น 1) ลดอาหารประเภท แปง้ นา้ ตาล และไขมัน 2) ลดปริมาณอาหารในแตล่ ะมอ้ื ลงแต่ยังต้องรับประทานให้ครบ 5 หมู่ 3) ไมร่ บั ประทานจุบจิบ 4) ไม่ดม่ื หรือรับประทานอาหารท่ีมนี า้ ตาลสงู เช่น นา้ อดั ลม ขนมรสหวานจัด 5) อาหารม้ือเยน็ เปน็ ม้ือท่ีมักจะรบั ประทานเกนิ กวา่ ท่ีร่างกายจะนาไปใชไ้ ด้หมด ดังนัน้ ควรลดปริมาณอาหารม้อื เยน็ ลง และงดรบั ประทานอาหารม้ือดกึ 6) อาจรบั ประทานผกั ผลไมเ้ พิม่ ข้ึน ทดแทนขา้ ว แปง้ ขนมหวาน โดยตอ้ งเลอื กผลไมท้ ี่ รสไมห่ วานจัด ( ผลไมบ้ างชนิดมแี ปง้ และน้าตาลสูง ควรงดรับประทาน เชน่ สัปปะ รด ทเุ รียน ขนุน กล้วยน้าว้า ) 7) ออกกาลังกายสมา่ เสมอ เพ่อื เรง่ การเผาผลาญไขมนั ส่วนเกินออกไป โดยออกกาลัง กายให้หัวใจเตน้ แรงกว่าปกติ ต่อเนือ่ งกนั อย่างน้อย 30 นาที อย่างนอ้ ยสปั ดาหล์ ะ 3 ครง้ั

ปญั หาการเกดิ โรคจากภาวะทพุ โภชนาการ 2.โรคขาดสารอาหาร คอื โรคที่เกิดจากภาวะโภชนาการบกพรอ่ งทาให้รา่ งกาย ขาดสารอาหารบางชนิด สาเหตุ 1. รบั ประทานอาหารไมเ่ พียงพอ ซงึ่ ไมม่ อี ะไรทดแทนในการปอ้ งกันโรคอาจเนือ่ งมาจากความ ยากจนหา่ งไกลความเจริญและแหลง่ อาหารรับประทานอาหารไมถ่ กู ตอ้ ง อาจเนื่องมาจาก การขาดความรู้ ในการเลือกกรับประทานอาหารท่ถี กู หลกั โภชนา 2. การรบั ประทานอาหารไมถ่ กู ต้อง หรอื มคี วามเชอ่ื ผดิ ๆ เกี่ยวกบั การรับประทานอาหาร 3. มคี วามผดิ ปกติของร่างกาย เชน่ มโี รคประจาตัว

ปญั หาการเกดิ โรคจากภาวะทพุ โภชนาการ โรคเหนบ็ ชา เปน็ ผลจากการขาดวิตามนิ บี 1 ซ่ึงทาหนา้ ที่เรง่ ปฏกิ ริ ิยาในการเผาผลาญ คาร์โบไฮเดรต โปรตีน และไขมัน เมอื่ รา่ งกายขาดวติ ามนิ บี 1 จะทาใหก้ ารทางานของระบบ ทางเดิน อาหารแปรปรวนไปจากปกติ เปน็ โรคท่พี บบอ่ ยในหญิงมีครรภ์ ผใู้ ช้แรงงาน ทารกและผู้ ด่ืมสุราเปน็ ประจา โรคลกั ปิดลักเปิด เกดิ จากการกนิ อาหารทมี่ ีวติ ามนิ ซีไม่เพยี งพอ คนท่ีขาดวิตามินซี มกั จะ เจบ็ ปว่ ยบ่อย เนื่องจากมคี วามตา้ นทานโรคตา่ เหงอื กบวมแดง เลอื ดออกงา่ ย ถา้ เป็นมากฟันจะ โยก รวน และมเี ลือดออกตามไรฟนั ง่าย โรคเอ๋อ หรือ โรคคอพอก เกิดจากการกนิ อาหารท่ีมีไอโอดีนตา่ หรืออาหารท่ีมสี ารขดั ขวาง การใช้ ไอโอดีนในรา่ งกาย ถา้ เป็นตั้งแต่เด็กจะมีผลต่อการพฒั นาทางร่างกายและจิตใจ ร่างกาย เจรญิ เติบโตช้า เตีย้ แคระแกร็น สติปัญญาเสอื่ ม อาจเป็นใบ้หรอื หูหนวกดว้ ย คนไทยภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือจะเป็นโรคนก้ี นั มาก

โภชนบญั ญัติ 9 ประการ โภชนบัญญัติ เปน็ ข้อปฏบิ ัตกิ ารบริโภคอาหารเพื่อสขุ ภาพที่ดีของคนไทย 9 ประการ มี รายละเอยี ดดังน้ี 1. รบั ประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ แตล่ ะหมู่ให้หลากหลาย และหมนั่ ดูแลนา้ หนัก 2. รับประทานข้าวเป็นอาหารหลกั สลบั กบั อาหารประเภทแป้งเปน็ บางมอื้ 3. รับประทานพืชผกั ใหม้ ากและรบั ประทานผลไม้เป็นประจา 4. รบั ประทานปลา เนอื้ สตั ว์ไม่ติดมัน ไข่ และเมล็ดถ่วั แหง้ เปน็ ประจา 5. ด่ืมนมใหเ้ หมาะสมตามวัย 6. รบั ประทานอาหารท่มี ีไขมันแต่พอควร 7. หลีกเลยี่ งการรบั ประทานอาหารรสหวานจดั และเค็มจัด 8. รับประทานอาหารทสี่ ะอาดปราศจากการปนเปื้อน 9. งดหรอื ลดเครอื่ งด่มื ทม่ี ีแอลกอฮอล์

ธงโภชนาการ ธงโภชนาการ เป็นคาแนะนากวา้ งๆว่า ในแต่ละวนั เราควรจะ รับประทานอะไรบา้ ง และรับประทานในปริมาณเท่าใด จึงจะไมม่ าก หรอื ไม่น้อยเกินไป เพ่อื เสรมิ สรา้ งสุขภาพที่ดี ธงโภชนาการมีลกั ษณะเป็นธงสามเหล่ยี มถูกแขวนโดยการเอาปลาย แหลมลง โดยแบ่งอาหารที่ควรรบั ประทานออกเป็น 6 กลุ่ม ไล่จากทค่ี วร รับประทานปรมิ าณมากไปนอ้ ย ( หรือบนลงล่าง )



สารอาหารทีร่ า่ งกายต้องการ สารอาหาร คือ สารประกอบหรือสารเคมที มี่ ีอยใู่ นอาหาร ซึ่ง สารอาหารมี 6 ประเภท คือ 1. คารโ์ บไฮเดรต 2. โปรตนี 3. ไขมัน 4. แรธ่ าตุ 5. วติ ามิน 6. นา้

 คาร์โบไฮเดรต เปน็ สารอาหารทพ่ี บมากในอาหารประเภท ข้าว แป้ง น้าตาล เผือก มัน และพืชผกั ผลไมท้ มี่ รี สหวาน 1. ใหพ้ ลังงานและความอบอุ่นแกร่ ่างกาย คารโ์ บไฮเดรต 1 กรัม ใหพ้ ลังงานประมาณ 4 แคลอร่ี และเปน็ พลงั งานทีจ่ ะถกู รา่ งกายนามาใชก้ อ่ นสารอาหารไขมนั และโปรตนี ตามลาดับ 2. ชว่ ยให้รา่ งกายนาสารอาหารโปรตีนไปใช้ประโยชน์ไดเ้ ต็มท่ี กล่าวคอื ถ้ารา่ งกายได้ พลงั งานจาก คาร์โบไฮเดรตมาใชไ้ มเ่ พยี งพอ รา่ งกายจะนาเอาโปรตีนมาสลายใหเ้ กิดพลังงาน แทนร่างกายกจ็ ะผอมลง ได้ 3. ใช้เปน็ พลงั งานสารองของรา่ งกาย ถา้ ร่างกายรับประทานพวกตารโ์ บไฮเดรตมากเกินไป ส่วนเกนิ นี้จะถกู เปล่ยี นเป็นไขมนั สะสมไวต้ ามเนือ้ เยอ่ื ตา่ งๆ ของร่างกาย และจะถกู นามาใชเ้ มอ่ื รา่ งกายขาดแคลน พลังงาน 4.เป็นองคป์ ระกอบที่สาคัญของตบั ซ่งึ เป็นอวยั วะส่วนสาคญั ของรา่ งกายในการขจดั สารพิษ ในเลือด

 โปรตีน (Protien) เป็นสารอาหารที่ช่วยในการเสริมสร้างกล้ามเนื้อ ควรได้รับมากสุด ไม่เกินวันละ 2 กรัมต่อน้าหนักตัว 1 กิโลกรัม แหล่งของโปรตีนท่ีดีได้จาก เน้อื สตั วท์ ุกชนิด ร่างกายต้องการโปรตีนเพื่อการเจริญเติบโต สารโปรตีน จึงมี ความสาคัญต่อร่างกายมากท่ีสุด เพราะเลือด กล้ามเนื้อ ผิวหนัง เล็บ และ อวยั วะตา่ งๆ ของรา่ งกาย ล้วนมีโปรตนี เปน็ องค์ประกอบท่ีสาคญั

 ไขมัน (Fat) ไขมันเป็นสารอาหารท่คี นทั่วไปมกั ไมข่ าด สว่ นมากมีปัญหาจากการรับไว้ มากเกนิ ไป ซ่งึ จะ ทาให้เกิดโรคตา่ งๆตามมา ประโยชน์ของไขมนั ทม่ี ีตอ่ รา่ งกาย 1.ใหพ้ ลังงานแกร่ า่ งกายมากกว่าสารอาหารชนิดอ่นื ไขมนั 1 กรัม ใหพ้ ลงั งานประมาณ 9 แคลอรี่ ซง่ึ นับวา่ มากทส่ี ดุ ในบรรดาสารอาหารท้งั หลาย ไขมนั จึงเป็นสารอาหารท่ี ใหพ้ ลงั งานแกร่ ่างกายเป็นส่วนใหญ่ 2.ชว่ ยใหค้ วามอบอุ่นแก่รา่ งกาย เพราะไขมนั ท่ีอยู่ใต้ผวิ หนังจะชว่ ยปอ้ งกันมใิ หค้ วามรอ้ นออกจากร่าง กาย และช่วยบรรเทาความหนาวเย็นจากภายนอก 3.ช่วยป้องกนั การกระทบกระเทือนของอวยั วะภายในของร่างกาย และเปรยี บเสมอื นนวมที่บอุ ยทู่ ว่ั ร่างกาย 4. ละลายวิตามนิ A, D, E, K เพอื่ ใหร้ า่ งกายดดู ซึมวติ ามนิ เหล่านี้เขา้ ส่รู ่างกาย 5.เปน็ ส่วนประกอบที่สาคญั ทข่ี องอวัยวะบางอย่างของรา่ งกาย เช่น เนือ้ สมอง เสน้ ประสาท เป็นตน้

 วติ ามนิ (Vitamin) วติ ามิน (Vitamin) คอื สารอาหารท่ีมีสมบตั ิเปน็ สารอนิ ทรีย์ท่จี าเปน็ ต่อ ร่างกาย ของส่ิงมชี วี ิต แต่ตอ้ งการในปริมาณนอ้ ย ๆ เป็น มลิ ลกิ รมั หรือไมโครกรมั ตอ่ วนั มีหนา้ ทเ่ี ก่ียวกบั กระบวนการเมทาบอลิซึมของรา่ งกาย โดยเป็นสารตัง้ ต้นท่ีจะ นาไปสร้างเป็นโคเอนไซม์ ซงึ่ เป็นปจั จัยร่วมของเอนไซม์ในการเรง่ ปฏกิ ิริยาต่าง ๆ ทา ใหก้ ารยอ่ ยสลายการดดู ซึม การใชแ้ ละการสร้าง คารโ์ บไฮเดรต โปรตีนและเกลือแร่ เป็นไปอยา่ งมปี ระสิทธภิ าพ ➢ วิตามินท่ีละลายในน้า ไดแ้ ก่ B1 B2 B6 C B12 ➢ วิตามินทล่ี ะลายได้ในไขมัน ไดแ้ ก่ A D E K

ประโยชน์วติ ามนิ ท่ีมีตอ่ รา่ งกาย วติ ามิน A 1.ช่วยบารงุ สายตา และปอ้ งกนั โรคตาฟางกลางคืน ซง่ึ เปน็ อาการท่ีนยั นต์ าไมส่ ามารถปรับสายตาใหม้ องเหน็ ในท่มี ดื ได้ 2.ช่วยบารุงผิวหนงั และเยื่อบอุ วยั วะตา่ งๆ เชน่ นยั นต์ า ปาก หลอดลม หลอดอาหาร และทางเดินปสั สาวะใหเ้ กิดความชมุ่ ชน้ื และป้องกันมใิ หต้ ิดเช้ือได้ง่าย 3.วิตามินเอ ชว่ ยในการเจริญเตบิ โตของร่างกาย เนื่องจาก วติ ามนิ เอช่วยสงเสรมิ การทางานของแคลเซียม 4.วิตามินเอช่วยสร้างความต้านทานโรคทั่วไปให้แก่ร่างกาย เมือ่ รา่ งกายไดร้ ับวติ ามนิ เอพอเหมาะแกค่ วามต้องการ วิตามิน D 1. ช่วยทาใหธ้ าตุแคลเซียมและฟอสฟอรัสดดู ซมึ ผ่านผนงั บางๆ ของเซลล์ไดด้ ขี นึ้ 2. วติ ามนิ ดีช่วยทาให้ธาตุแคลเซียมและฟอสฟอรสั รวมตวั กันเพือ่ สรา้ งกระดกู และฟันใหเ้ จริญเตบิ โตแข็งแรง ป้องกันโรค กระดกู ออ่ น หาก ขาดวติ ามนิ ดีจะทาให้เปน็ โรคกระดูกออ่ น ขาโก่งงอ ฟนั ผุงา่ ยและภูมติ า้ นทานต่า

ประโยชน์วติ ามินท่ีมตี อ่ ร่างกาย วิตามนิ อี (E) 1.การเปน็ หมนั ในบางราย 2.อาการผิดปกตขิ องสตรีในระหว่างมปี ระจาเดือน 3.การแทง้ โดยไม่ทราบสาเหตุ 4.เลอื ดจากบางชนดิ ในทารก 5.ช่วยปอ้ งกันไมใ่ ห้เมด็ เลือดแดงแตกงา่ ย วติ ามินเค (K) 1.วิตามนิ เคช่วยให้เลอื ดแขง็ ตวั 2.ทาให้เลือดหยุดไหลไดเ้ รว็ เม่อื เกิดบาดแผล

 เกลือแร่ เกลอื แร่ คอื อาหารหลักหม่ทู ่ี 3 ทปี่ ระกอบไปด้วยพชื ผัก ชนิดตา่ ง ๆ ท้ังผกั ใบเขียวและผัก ใบสีต่าง ๆ เช่น สีเหลือง สีขาว สีม่วง สีแดง ฯลฯ ซ่ึงจะให้คุณค่าทางอาหารที่แตกต่างกันออกไป โดยเกลอื แร่เป็นกลมุ่ ของสารอนินทรียท์ ่รี ่างกายขาดไมไ่ ด้ แบง่ เกลือแร่ท่ีคนเราตอ้ งการออกเปน็ 2 ประเภท คือ 1. เกลอื แร่ท่คี นต้องการในขนาดมากกว่าวนั ละ 100 มิลลิกรัม (แคลเซียม ฟอสฟอรัส โซเดียม โพแทสเซียม แมกนีเซียม กามะถนั คลอรีน) 2. เกลือแร่ที่คนเราต้องการในขนาดเพียงวันละ 2-3 มิลลิกรัม (ธาตุเหล็ก ทองแดง โคบอลต์ โครเมยี ม ซีลเี นยี ม ฟลูออรีน แมงกานสี สังกะสี ไอโอดนี โมลิบดีนมั )

ประโยชน์ของเกลือแรช่ นดิ ตา่ งๆ แคลเซยี ม 1. เปน็ สว่ นประกอบสาคญั ของกระดกู และฟนั หากร่างกายขาดแคลเซียม จะทาให้โครงรา่ งของรา่ งกาย เจรญิ เติบโตไมเ่ ตม็ ท่ี และเปน็ โรคกระดูกออ่ น 2. ช่วยควบคมุ การทางานของหวั ใจ กลา้ มเนือ้ และระบบประสาท 3. ช่วยทาให้เลือดแขง็ ตัว และทาให้เลอื ดหยุดเม่อื รา่ งกายเกดิ บาดแผล ฟอสฟอรสั 1. ทางานร่วมกับแคลเซียมในการสรา้ งกระดูกและฟนั 2. ควบคุมการปลอ่ ยพลังงานในการเผาไหม้ของคารโ์ บไฮเดรต ไขมัน และโปรตนี 3 .ควบคมุ สมดลุ ของความเปน็ กรดและดา่ งในเลือด 4. เป็นส่วนประกอบของสมองและไขสนั หลงั

ประโยชนข์ องเกลือแร่ชนดิ ต่างๆ เหลก็ 1.เป็นส่วนประกอบสาคญั ของ \"ฮโี มโกลบิน\" ในเม็ดเลอื ดแดง หากรา่ งกายขาดธาตเุ หลก็ จะทาใหเ้ ปน็ โรคโลหติ จาง ซ่งึ มอี าการซดี ออ่ นเพลยี เหน่อื ยง่าย 2. เหล็กยงั เปน็ สว่ นประกอบของกลา้ มเน้ือเยื่อตา่ งๆ โดยทาหนา้ ท่ีขบั ออกซิเจนทเ่ี ลอื ดนามาไว้ใช้ ไอโอดีน ธาตไุ อโอดนี มีประโยชนต์ อ่ รา่ งกาย คอื เป็นสว่ นประกอบทส่ี าคญั ของฮอรโ์ มนท่ีผลติ จากตอ่ มธัยรอยด์ ฮอร์โมนนี้ทาหน้าที่ควบคมุ ให้รา่ งกายเจริญเติบโตตามปกติ ถ้ารา่ งกายขาดไอโอดนี จะทาใหต้ อ่ มธัยรอยด์ โตขึ้น ซ่งึ เรยี กว่า \"โรคคอพอก\" ไอโอดีนจึงมีประโยชน์ในการป้องกันโรคคอพอก และไม่ทาให้รา่ งกาย เตย้ี แคระแกร็น

ประโยชน์ของเกลือแร่ชนดิ ตา่ งๆ โซเดยี ม 1. ข่วยทาให้น้าในเนอ้ื เยอ่ื และหลอดเลือดมคี วามสมดุล 2. ชว่ ยทาให้ระบบตา่ งๆ ของรา่ งกายทางานปกติ โดยเฉพาะการขบั ถา่ ยของเสยี ทางไตและ ผวิ หนงั

 น่า (Water) น้า จัดเป็นสารอาหารประเภทหน่ึง ซ่ึงมีความจาเป็นต่อการดาดงชีวิต อย่างมาก เพราะน้าเป็นส่วนประกอบท่ีสาคัญของร่างกาย ซึ่งมีอยู่ประมาณร้อยละ 60 หรือสองในสาม ส่วน ของน้าหนักท้ังหมดของร่างกาย หากร่างกาขาดน้าร้อยละ 20 ของน้าท้ังหมดจะเกิด อนั ตรายต่อรา่ งกายได้ น้ามีความสาคัญมาก ช่วยระบบย่อยอาหารและการขับถ่ายของเสียออกจากร่างกาย ความต้องการน้าโดยปกติ 6 –8 แก้ว ต่อวัน หรือประมาณ 30 มิลลิลิตร / น้าหนักตัว 1 กิโลกรัม ในกรณีท่ีสูญเสียน้ามาก ๆ เช่น การเสียเหงื่อในการทางานกลางแดด หรือการเล่น กีฬา ตอ้ งได้รับน้าทดแทนให้เพียงพอ น้าท่ีดีท่ีสุดคือ น้าเปล่า ควรจิบน้าอยู่เสมอในระหวา่ งท่ี ออกกาลังกาย เพือ่ ชดเชยการสญู เสยี เหงอ่ื

ประโยชน์ของนา่ ที่มีตอ่ ร่างกาย 1. ช่วยใหร้ า่ งกายชมุ่ ชน้ื ผิวพรรณเปลง่ ปลงั่ สดชื่น 2. เป็นส่วนปรกอบของทุกเซลล์ในรา่ งกาย 3. ชว่ ยในการยอ่ ยและดูดซมึ อาหารเข้าสูร่ า่ งกาย 4. ช่วยนาอาหารและออกซิเจนไปเลยี้ งส่วนต่างๆ ของรา่ งกาย 5. ชว่ ยขบั ถ่ายของเสียออกจากรา่ งกายเช่น เหง่ือ ปัสสาวะ และอุจจาระ 6. ช่วยควบคมุ อุณหภูมขิ องร่างกายให้คงที่ เชน่ เมอ่ื ร่างกายมีความร้อนสงู รา่ งกายจะขับ เหง่อื เพ่ือระบายความ รอ้ นออกจากร่างกาย 7.ช่วยหล่อเลย้ี งให้อวัยวะต่างๆ เคล่อื นไหวได้ดีและปอ้ งกนั การกระทบกระแทก เช่น นา้ ท่หี ลอ่ เล้ียง ในลกู ตา ชอ่ ง หวั ใจ ชอ่ งปอด ไขขอ้ ต่างๆ เป็นต้น


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook