Kru apiluk junthakam สรุปและวเิ คราะห์พุทธประวตั ิ▪ พระพุทธเจา้ มีพระนามเดิมวา่ อยา่ งไร ชาติตระกลู ของพระองคม์ ีความเป็นมาอยา่ งไร ▪ พุทธประวตั ิก่อนเสด็จออกผนวชเป็นอยา่ งไร ▪ หลงั จากผนวชทรงบาเพญ็ เพียรอยา่ งไร ครูนาพุทธประวตั ิ ตอน ผจญมารมาให้นกั เรียนอา่ น ดงั น้ี พทุ ธประวตั ิ ตอน ผจญมาร พทุ ธประวตั ิ หมายถึง เร่ืองราวเก่ียวกบั พระพุทธเจา้ เร่ิมต้งั แต่ประสูติ เสด็จออกผนวชตรัสรู้ ประกาศพระพทุ ธศาสนา จนถึงปรินิพพาน หลงั จากพระสิทธตั ถะทรงเลิกการบาเพญ็ ทุกรกิริยา ดว้ ยทรงเห็นวา่ วธิ ีทรมานร่างกายน้นัมิใช่วธิ ีอนั ถูกตอ้ งสาหรับการคน้ หาสจั ธรรม และไดท้ รงต้งั พระทยั วา่ จะทรงเลิกการปฏิบตั ิดงั กล่าวโดยเด็ดขาด แต่จะกลบั ไปบาเพญ็ เพยี รทางจิตใหม้ ากข้ึนกวา่ เดิมที่เคยปฏิบตั ิมาแลว้ แต่หนหลงัพระองคจ์ ึงไดท้ รงเร่ิมเสวยอาหารตามปกติจนพระวรกายแขง็ แรงข้ึนโดยลาดบั ส่วนปัญจวคั คีย์ คือ โกณฑญั ญะ วปั ปะ ภทั ทิยะ มหานามะ และอสั สชิ ท่ีตามเสด็จมาคอยใหค้ วามดูแล เห็นพระสิทธตั ถะกลบั มาเสวยอาหาร กเ็ กิดความไมเ่ ชื่อถือ จึงชวนกนั ผละหนีไปอยทู่ ่ีป่ าอิสิปตนมฤคทายวนั ใกลเ้ มืองพาราณสี เม่ือพระสิทธตั ถะทรงอยตู่ ามลาพงั พระองคก์ ็ทรงเริ่มบาเพญ็ เพียรทางจิต ก่อนเริ่ม ตอนเชา้ทรงรับและเสวยอาหารที่นางสุชาดานามาถวาย หลงั จากเสวยแลว้ ไดท้ รงนาถาดไปลอยในแม่น้าเนรัญชราและทรงสรงน้าที่นน่ั ตอนกลางวนั ไดเ้ สด็จไปพกั ผอ่ นในดงไมส้ าละ ตอนเยน็ ไดเ้ สดจ็มุง่ หนา้ สู่โคนไมม้ หาโพธ์ิ ระหวา่ งทางทรงรับหญา้ คาจากนายโสตถิยะและเสดจ็ ตอ่ ไปจนถึงตน้ มหา-โพธ์ิ ทรงลาดหญา้ ปเู ป็นที่นงั่ ตา่ งบลั ลงั กท์ างดา้ นตะวนั ออกของโคนตน้ มหาโพธ์ิ และประทบั นง่ับนแท่นหญา้ คาน้นั ทรงต้งั พระทยั อยา่ งแน่วแน่วา่ “แมเ้ น้ือและเลือดในกายจะเหือดแหง้ ไปไม่มีอะไรเหลืออยนู่ อกจากหนงั เอน็ และกระดูกกต็ าม ถา้ ยงั ไม่ตรัสรู้สัจธรรม จะไม่ยอมลุกข้ึนจากท่ีนงั่ น้ี” จากน้นั พระสิทธตั ถะทรงเริ่มบาเพญ็ เพยี รทางจิตตามหลกั ฌานที่เคยทรงมีพ้นื ฐานมาก่อนทรงต้งั พระทยั ระดมกาลงั จิตตอ่ สู้กบั ธรรมชาติฝ่ ายต่า เพอื่ ยกระดบั จิตของพระองคใ์ ห้สูงข้ึนและเพ่อื คน้ หาความจริงใหไ้ ดว้ า่ ความทุกขข์ องชีวติ เกิดข้ึนมาไดอ้ ยา่ งไร และจะทาอยา่ งไรคนเราจึงจะรอดพน้ จากความทุกขน์ ้นั ได้ แตเ่ น่ืองจากพระองคย์ งั ทรงอยใู่ นวยั หนุ่ม ภาพแห่งอดีตที่เป็นความบนั เทิงเริงร่ืนในท่ามกลางการบารุงบาเรอของเหล่านางสนมท่ีพระองคเ์ คยไดร้ ับในพระราชวงั ไดป้ รากฏข้ึนและชกั จงู พระทยั ของพระองคใ์ หค้ ิดหวนกลบั ไปถึงความสุขสบายในหนหลงั แตด่ ว้ ยพระทยั ที่เดด็ เด่ียวและมนั่ คงตอ่ สัจอธิษฐาน พระองคไ์ ดท้ รงต่อสู้กบั ภาพดงั กล่าวดว้ ยกาลงั พระทยั ท้งั หมด ในท่ีสุดก็
Kru apiluk junthakamทรงสามารถปัดเป่ าความคิดอนั ชวั่ ร้ายที่เรียกวา่ มารท้งั หลาย ท่ีเขา้ มารบกวนพระทยั ของพระองคใ์ ห้สูญสิ้นไปได้ พระทยั ของพระองคจ์ ึงสงบเหมือนน้าในสระน้าเวลาท่ีคลื่นลมสงบ ขณะท่ีพระองคท์ รงนง่ั บาเพญ็ ทางจิต มีพญามาร นามวา่ วสวตั ตี ผตู้ ามผจญพระองคม์ าตลอดต้งั แต่วนั เสด็จออกผนวช มาปรากฏตวั พร้อมเสนามาร มีอารุธครบครันน่าสะพรึงกลวั พญามารร้องบอกใหพ้ ระองคเ์ สด็จลุกจากอาสนะวา่ “บลั ลงั กน์ ้ีเป็นของขา้ ท่านจงลุกข้ึนเดี๋ยวน้ี” เมื่อพระองคแ์ ยง้ วา่บลั ลงั กเ์ ป็นของพระองค์ พญามารถามหาพยาน พระองคท์ รงเหยยี ดพระดรรชนีลงยงั พ้ืนดินและตรัสวา่“ขอใหว้ สุนธรา (พระแมธ่ รณี) จงเป็นพยาน” ทนั ใดน้นั พระแม่ธรณีกผ็ ดุ ข้ึนจากพ้นื ดินปรากฏตวั บีบมวยผม บนั ดาลใหม้ ีกระแสน้าหลากมาท่วมทบั พญามารพร้อมท้งั กองทพั พ่ายไปในที่สุด เหตุการณ์ตอนน้ีต่อมาได้ถูกจาลองเป็ นพระพุทธรูปปางหน่ึง เป็นปางนง่ั สมาธิพระหตั ถว์ างบนพระเพลา ช้ีพระดรรชนีลงพ้ืนดิน เรียกวา่“ปางมารวชิ ยั ” ครูใหน้ กั เรียนศึกษาวเิ คราะห์ความหมายของคาวา่ มาร ตามความหมายของพระพุทธศาสนา โดยครูเขียนยกตวั อยา่ งใหน้ กั เรียนแสดงความคิดเห็นและวเิ คราะห์ร่วมกนั ดงั น้ี กิเลสมาร กิเลสที่เป็นตวั ราคะ โทสะ โมหะ ท่ีมีอยใู่ นใจ ขนั ธมารอภิสังขารมาร รูป (ร่างกาย) เวทนา (ความสุข-ทุกข)์ สัญญา (ความทรงจา) สังขาร (ความปรุงแตง่ อารมณ์ท่ีเกิดกบั ใจ) ที่มนุษยย์ งั ยดึ ติดละไม่ได้ วญิ ญาณ (การรับรู้อารมณ์ท่ีผา่ นทาง ตา หู จมกู ลิ้น กาย และใจ) การยงั ละเลิกความชวั่ และความดียงั ไมไ่ ด้ ทาใหต้ อ้ งยงั เวยี นวา่ ยตาย-เกิดในวฏั สงสารเทวปุตตมาร การยงั ยดึ ติดในความสุขทางกามารมณ์ คือ ตา หู จมกู ลิ้น กาย ใจ จนไม่กลา้ สละออกไปบาเพญ็ ความดีมจั จุมาร ความตาย เป็นมารท่ีปิ ดก้นั โอกาสการบาเพญ็ ความดีของ มนุษย์ เกิดเป็นมนุษยแ์ ลว้ แต่อายสุ ้ัน เลยหมดโอกาสทาความดี
Kru apiluk junthakam ตีความไดว้ า่ มาร ก็คือกิเลส ไดแ้ ก่ โลภะ โทสะ โมหะ ที่มารบกวนพระทยั พระองคใ์ นขณะนง่ั สมาธิ เสนามาร ก็คือกิเลสเลก็ ๆ นอ้ ย ๆ ท่ีเป็นบริวารของโลภะ โทสะ โมหะ การที่ทรงผจญมารก็คือ ทรงต่อสู้กบั อานาจของกิเลสเหล่าน้ีนน่ั เอง ส่วนพระแม่ธรณี กค็ ือบารมีท้งั 10 ที่ทรงบาเพญ็ มา การอา้ งพระแม่ธรณี กค็ ือทรงอา้ งถึงคุณความดีท่ีทรงบาเพญ็ มา เป็นกาลงั ใจใหต้ ่อสู้กบั อานาจของกิเลส เพราะพระบารมีที่ทรงบาเพญ็มาเตม็ เป่ี ย2ม. คพรูใรหะอน้ งกั คเรจ์ ียึงนสารม่วามรกถนั เอศาึกชษนาะถอึงากนาราจตขรัสองรกู้ขิเอลงสพทร้งัะปพวทุ งธแเจลา้ะโบดรยรคลรุอูเขนียุตนรแสผัมนมภาาสพมั อโธพิบธาิญยาณใถนึงทลาี่สดุดบั การตรัสรู้ของพระพุทธเจา้ ดงั ตวั อยา่ ง ลาดบั ญาณที่ทรงตรัสรู้ หลกั ธรรมปฐมยาม ● ปุพเพนิวาสานุสติญาณ ● การระลึกชาติท่ีนบั ประมาณไม่ไดข้ องมชั ฌิมยาม ● จุตูปปาตญาณ พระพุทธองค์ ● การรู้การจุติและการเกิดของสตั ว์ ท้งั หลาย (วฏั สงสาร)ปัจฉิมยาม ● อาสวกั ขยญาณ ● การตรัสรู้อริยสัจ 4 คือ รู้แจง้ ทุกข์ สมุทยั นิโรธ มรรค ครูใหน้ กั เรียนวเิ คราะห์ถึงการตรัสรู้ของพระพุทธเจา้ โดยครูใชค้ าถามใหน้ กั เรียนแสดงความคิดเห็น ดงั น้ี ▪ พระพทุ ธเจา้ ทรงตรัสรู้เพราะทรงดาเนินแนวทางการปฏิบตั ิของพระองคอ์ ยา่ งไร (ตัวอย่างคาตอบทรงเลกิ การบาเพ็ญทกุ รกิริยาแล้วดาเนินตามแนวทางของมรรคมีองค์ 8) ▪ มรรคมีองค์ 8 มีแนวคิดขอ้ ปฏิบตั ิท่ีเป็นหลกั ใหญใ่ จความสาคญั สอนเอาไวอ้ ยา่ งไร (ตัวอย่างคาตอบ มีข้อปฏิบัตทิ สี่ อนแนะแนวทางเอาไว้ 2 ประการคือ 1. ไม่ควรปฏิบัตทิ เี่ ป็ นการทรมานตนเองจนสุดโต่ง ซึ่งไม่อาจนาไปสู่การบรรลุธรรมได้ เป็ นการทรมานตนเองโดยเปล่าประโยชน์ 2. ไม่ควรปฏิบตั ิทห่ี ย่อนยาน คอื การหมกมุ่นในโลกียวสิ ัยหรือความสุขทางโลก จนเป็ นสาเหตุปิ ดก้นั การบรรลธุ รรม) ▪ มรรคมีองค์ 8 มีอะไรบา้ ง (สัมมาทฏิ ฐิ สัมมาสังกปั ปะ สัมมาวาจา สัมมาวายามะสัมมากมั มนั ตะ สัมมาอาชีวะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ)
Kru apiluk junthakam▪ การดาเนินตามมรรคมีองค์ 8 ทาใหพ้ ระพทุ ธเจา้ ทรงตรัสรู้หลกั ธรรมใด (อริยสัจ 4)4. ครูเขียนแผนภาพอธิบายอริยสจั 4 ใหน้ กั เรียนศึกษาพิจารณาเป็ นหลกั ความรู้เบ้ืองตน้ ดงั ตวั อยา่ ง อริยสัจ 4 คือ หลกั แห่งการใช้ปัญญานาหน้า นิพพาน (นิโรธ = สุข)รูป จิต เจตสิก เหตุสุขต่อสู้กบั เหตุทุกข์ อตั ตา โลภะ มานะ (ทกุ ข์) เมื่อเหตุทุกขด์ บั ผลสุขกเ็ กิด (สมุทยั = เหตุทกุ ข์)เหน็ สภาวะอนตั ตา สัมมาทฏิ ฐิ + สัมมาสังกปั ปะ พจิ ารณาวา่ เป็ นอนตั ตา (มรรค = เหตุสุข)อธิบายคาศัพท์รูป = ขนั ธ์ 5 คือ ร่างกาย เวทนา (ความรู้สึก) สัญญา (ความจา) สังขาร (จิตปรุงแต่งความคิด) วญิ ญาณ (การรับรู้อารมณ์ท่ีผา่ นมา ทาง ตา หู จมกู ลิ้น กาย ใจ)จิต = ความคิดท้งั ดีและชวั่ (ความรู้สึกที่เกิดจากการปรุงแต่ง หรือที่เรียกวา่ สังขาร)เจตสิก = อารมณ์ท่ีเกิดกบั จิต คือ โลภะ โทสะ โมหะ ท่ีผา่ นประสาทสมั ผสั ท้งั 5 (ตา หู จมกู ลิ้น กายและใจ)อตั ตา = การยดึ มนั่ ถือมนั่ วา่ เป็นตวั ตน ไมเ่ ห็นกฎของไตรลกั ษณ์ คือ อนิจจงั ทุกขงั อนตั ตามานะ = การถือตวั ความหยงิ่ ทนงตน ดว้ ยอานาจของกิเลส 1. ครูนาเหตุการณ์พุทธประวตั ิหลงั การตรัสรู้มาให้นกั เรียนอา่ น ดงั น้ี หลงั จากตรัสรู้แลว้ พระพทุ ธเจา้ ทรงเสวยวมิ ุติสุข (สุขเกิดจากการพน้ จากกิเลส) ในวนั หน่ึงทรงหวนระลึกถึงธรรมท่ีตรัสรู้ และเห็นวา่ เป็นสิ่งละเอียดอ่อนลึกซ้ึง ยากที่ปุถุชนซ่ึงหมกมุน่ และมวั เมาในโลกียสุขจะรู้ตามได้ จึงทรงคิดท่ีจะไมเ่ ผยแผค่ าสอนของพระองค์ แตใ่ นท่ีสุดดว้ ยพระเมตตาคุณ คือความปรารถนาดีอยากใหผ้ อู้ ่ืนพน้ จากความทุกขจ์ ึงตดั สินพระทยั แสดงธรรม โดยทรงจาแนกสติปัญญาของคนออกเป็น 4 ระดบั เรียกวา่ บวั 4 เหล่า และพระพทุ ธเจา้ ก็ไดแ้ สดงปฐมเทศนาโปรดแก่ปัญจวคั คีย์ โดยทรงแสดงพระธรรมเทศนาชื่อ ธมั มจกั กปั ปวตั นสูตร ซ่ึงเป็นเหตุการณ์ที่สาคญัเกิดข้ึนตรงกบั วนั ข้ึน 15 ค่า เดือน 8 (เดือนอาสาฬหะ) ต้งั แตน่ ้นั มาพระพทุ ธศาสนากเ็ จริญรุ่งเรืองไปยงัแควน้ ตา่ ง ๆ และไปยงั ประเทศต่าง ๆ จนถึงปัจจุบนั
Kru apiluk junthakamใหน้ กั เรียนศึกษาขอ้ มลู เกี่ยวกบั พุทธประวตั ิเร่ือง การส่งั สอนหลกั ธรรม จากน้นั ครูใชค้ าถามใหน้ กั เรียนแสดงความคิดเห็น ดงั น้ี ▪ การส่ังสอนหลกั ธรรมของพระพุทธเจา้ เป็นอยา่ งไร ▪ ผลท่ีเกิดข้ึนจากการส่งั สอนหลกั ธรรมของพระพุทธเจา้ คืออะไร ▪ นกั เรียนไดข้ อ้ คิดจากการศึกษาเรื่องน้ีอยา่ งไร ▪ นกั เรียนจะนาขอ้ คิดที่ไดม้ าปฏิบตั ิในการดาเนินชีวติ ประจาวนั ในเรื่องใดบา้ ง อธิบายและยกตวั อยา่ งประกอบ ▪ การสงั่ สอนหลกั ธรรมสะทอ้ นถึงพระคุณของพระพทุ ธเจา้ ในดา้ นใด ▪ การตดั สินพระทยั สงั่ สอนหลกั ธรรมของพระพทุ ธเจา้ ส่งผลตอ่ ประเทศไทยและสงั คมโลกในปัจจุบนั น้ีหรือไม่ อยา่ งไรการส่ังสอนหลกั ธรรมของ ผลทเ่ี กดิ ขึน้ ข้อคิดทไี่ ด้จากการศึกษา พระพุทธเจ้า มีสาวกผปู้ ฏิบตั ิตามมากมาย ความมีเมตตาธรรมช่วยเหลือพระพุทธเจา้ ทรงจาแนกสติ- โดยสามารถบรรลุธรรมตาม ผอู้ ่ืนใหพ้ น้ ทุกขเ์ ป็นสิ่งท่ีปัญญาของผทู้ ่ีพระองคจ์ ะ จุดประสงคข์ องพระองคแ์ ละ ประเสริฐ ทาให้โลกเกิดแสดงธรรมโปรดออกเป็ น พระพทุ ธศาสนาไดเ้ ผยแผเ่ ป็ น ความสันติสุข4 จาพวก เพื่อง่ายต่อการแสดง ที่รู้จกั และยอมรับของคนมากข้ึนธรรม และจุดประสงคใ์ น จนถึงปัจจุบนัการสง่ั สอนหลกั ธรรมเพ่อื ใหเ้ วไนยสตั วห์ ลุดพน้ จากกิเลสเหมือนพระองค์ โดยสรุป ทรงคานึงถึงความแตกตา่ งระหวา่ งบุคคล วธิ ีการสอน ทรงสอนหลกั ธรรมที่ตรงกบั อุปนิสัยของผรู้ ับธรรมโดยหยง่ั รู้อุปนิสัยของผทู้ ่ีทรงโปรดของพระพุทธเจา้ ทรงคานึงถึงลกั ษณะการสอนท่ีถูกกบั กาล บุคคล สถานท่ี หลกั คาสอนทางพระพทุ ธศาสนาเป็นความจริงท่ีมีเหตุผลสมบรู ณ์ถูกตอ้ งและสามารถนามาปฏิบตั ิไดผ้ ลดว้ ยตนเอง พิสูจนไ์ ด้ ไมจ่ ากดั กาลเวลา
Kru apiluk junthakam พทุ ธสาวก พทุ ธสาวิกา ชาดก และพทุ ธศาสนิกชนตัวอย่าง ครูใหน้ กั เรียนศึกษาประวตั ิพทุ ธสาวก 2 องค์ คือ 2.1 พระสารีบุตร 2.2 พระโมคคลั ลานะ โดยครูแบ่งนกั เรียนออกเป็น 2 กลุ่ม ร่วมกนั ศึกษา แลว้ อภิปรายเก่ียวกบั ประวตั ิ โดยยอ่ บทบาทสาคญั ในทางพระพทุ ธศาสนาและคุณธรรมแบบอยา่ งที่ดีของทา่ น สรุปความรู้ 2 กลุ่ม ครูใหน้ กั เรียนสรุป ประวตั ิ บทบาทสาคญั และคุณธรรมแบบอยา่ งท่ีดี ลงในแผนภาพ ดงั ตวั อยา่ ง พระสารีบุตร พุทธสาวก พระโมคคลั ลานะ ประวตั โิ ดยย่อ : เดิมช่ือ อุปติสสะ ประวตั โิ ดยย่อ : เดิมชื่อ โกลิตะบุตรของพราหมณ์ วงั คนั ตะ กบั นางสารี เคยเป็ นศิษย์ เป็ นเพอ่ื นกบั อปุ ติสสะ มารดาชื่อโมคคลั ลี ไดฟ้ ังธรรมของสญั ชยั ปริพาชก และตอ่ มาไดฟ้ ังธรรมจากพระอสั สชิจน จากอปุ ติสสะท่ีนามาแสดงตอ่ จนบรรลโุ สดาบนั และทูลขอไดด้ วงตาเห็นธรรมและไดข้ ออปุ สมบทเป็ นพทุ ธสาวก จนบรรลุ อุปสมบทตอ่ พระพทุ ธเจา้ ไดฟ้ ังธรรม วธิ ีการแกง้ ่วง ขณะปฏิบตั ิพระอรหนั ต์ ธรรมจากพระพทุ ธเจา้ จนไดบ้ รรลุเป็ นพระอรหนั ต์บทบาทสาคญั : เป็ นพระอคั รสาวกเบ้ืองขวาของพระพทุ ธเจา้ บทบาทสาคญั : เป็ นพระอคั รสาวกเบ้ืองซา้ ยของพระพทุ ธเจา้ ผเู้ ลิศผเู้ ลิศกวา่ ภิกษทุ ้งั หลายทางปัญญาและตาแหน่งพระธรรมเสนาบดี กวา่ ภิกษทุ ้งั หลายทางดา้ น การแสดงฤทธ์ิปาฏิหาริย์ คณุ ธรรมแบบอย่าง : เป็ นผรู้ ู้จกั คิด ใฝ่ เรียนรู้ มีปัญญาเลิศ มีความ- คณุ ธรรมแบบอย่าง : เป็ นผใู้ ฝ่ เรียนรู้ เป็นผมู้ ีฤทธ์ิเป็ นเลิศ รักซื่อตรงตอ่ เพอ่ื น เป็ นผมู้ ีความกตญั ญเู ป็ นเลิศโดยการ เป็ นผมู้ ีความกตญั ญตู อ่ เพอื่ นโดยการชกั ชวนเขา้ สู่ สงเคราะห์พราหมณ์ ราธะ อุปสมบทเป็ นพระภิกษุ พระพุทธศาสนา เพราะพราหมณ์เคยถวายขา้ วท่าน 1 ทพั พขี ณะบิณฑบาต เม่ือคิดถึงสิ่งใดอยใู่ หค้ ดิ ถึงส่ิงน้นั เขา้ ไว้ ใหท้ บทวนธรรมที่เรียนมาอยา่ งละเอียด ใหท้ ่องธรรมที่ไดเ้ รียนมาดงั ๆ ใหแ้ ยงหูท้งั 2 ขา้ ง แลว้ ลูบตวั ดว้ ยฝ่ ามือ ใหล้ บู นยั น์ตาดว้ ยน้า เหลียวไปรอบ ๆ หรือแหงนหนา้ ดูดาว ใหน้ ึกวา่ เวลาน้ีเป็ นเวลากลางวนั ที่มีแสงอาทิตยส์ วา่ งไสวไปหมด ใหล้ ุกเดิน4ว. งใกหลน้ มกั เรียนร่วมกนั สรุปความรู้ ดงั น้ี ถา้ ยงั ไม่หายง่วงใหน้ อนสีหไสยาสน์ ตะแคงขวา ต้งั สติตื่นอยเู่ สมอ และจะไม่ยนิ ดีกบั การนอน หรือการเคลิม้ หลบั
Kru apiluk junthakam พทุ ธสาวก และพทุ ธสาวกิ า พุทธสาวก : ผนู้ บั ถือพระพุทธเจา้ และหลกั ธรรมคาสอนของพระพทุ ธเจา้ ซ่ึงเป็ นเพศชาย ไดแ้ ก่ภิกษุและอุบาสก พุทธสาวกิ า : ผนู้ บั ถือพระพทุ ธเจา้ และหลกั ธรรมคาสอนของพระพุทธเจา้ ซ่ึงเป็นเพศหญิงไดแ้ ก่ ภิกษุณีและอุบาสิกา2. ครูใหน้ กั เรียนร่วมกนั ศึกษาประวตั ิพุทธสาวก และพทุ ธสาวกิ า 2.1 พระเจา้ พิมพิสาร 2.2 นางขชุ ชุตตรา โดยครูแบง่ ออกเป็น 2 กลุ่ม ศึกษาแลว้ กนั อภิปรายเก่ียวกบั ประวตั ิโดยยอ่ บทบาทสาคญั ในทางพระพุทธศาสนาและแบบอยา่ งที่ดีของทา่ น ใหน้ กั เรียนบูรณาการความรู้ประวตั ิพทุ ธสาวก และพทุ ธสาวกิ าสรุปเป็นแผนภาพความคิด ดงั ตวั อยา่ งพระเจา้ พิมพิสาร กษตั ริยแ์ ห่งแควน้ มคธ เมือง นางขชุ ชุตตรา เคยเป็นนางบาจาริการับใชพ้ ระ-หลวงคือกรุงราชคฤห์มีศรัทธาต่อพระพุทธเจา้ นางสามาวดี พระมเหสีของพระเจา้ อุเทนแห่งต้งั แตค่ ร้ังเสด็จออกผนวช หลงั ตรัสรู้ พทุ ธสาวก กรุงโกสัมพี ภายหลงั ไดฟ้ ังธรรมจากพระพุทธเจา้ แสดงธรรมโปรดจนบรรลุ พุทธสาวกิ า พระพุทธเจา้ และบรรลุโสดาบนั และไดน้ าพระโสดาบนั และไดถ้ วายเวฬุวนั เป็น หลกั ธรรมมาแสดงต่อพระนางสามาวดี และวดั แห่งแรกในพระพุทธศาสนา และเป็น นางกานลั 500 คน จนบรรลุพระโสดาบนัศูนยก์ ลางการเผยแผพ่ ระพทุ ธศาสนาคร้ังน้นั ตาม และไดร้ ับการยกยอ่ งให้เป็นพระมารดาแบบอยา่ งคุณธรรม ทรงทศพธิ ราธรรม ของพระนางสามาวดี และนางกถานลั 500 คนทรงอุปถมั ภพ์ ระพุทธศาสนาอยา่ งดียง่ิ และทรง แบบอยา่ งคุณธรรม แมร้ ่างกายพกิ ารแตก่ ็ไม่เคยเป็นแบบอยา่ งบิดาที่มีเมตตากรุณาต่อบุตร เอามาเป็ นอุปสรรค ฉลาดหลกั แหลมไดร้ ับยกยอ่ ง วา่ เป็นอุบาสิกาผเู้ สิศในการแสดงธรรมใหน้ กั เรียนแสดงความคิดเห็นเพื่อสรุปความรู้เก่ียวกบั ประวตั ิพุทธสาวก พุทธสาวกิ า โดยครูใชค้ าถามเพอื่ ให้นกั เรียนแสดงความคิดเห็น ดงั น้ี ▪ จุดประสงคข์ องการศึกษาประวตั ิพทุ ธสาวก พทุ ธสาวกิ าคืออะไร ▪ ขอ้ คิดที่ไดจ้ ากการศึกษาประวตั ิพทุ ธสาวก พทุ ธสาวกิ าไดแ้ ก่อะไรบา้ ง
Kru apiluk junthakam ▪ ประโยชน์ท่ีไดร้ ับจากการศึกษาประวตั ิพทุ ธสาวก พทุ ธสาวกิ าคืออะไร เม่ือนกั เรียนแสดงความคิดเห็นเพ่ือตอบคาถามจนไดข้ อ้ มูลร่วมกนั แลว้ ใหน้ กั เรียนนาขอ้ มลู ท่ีไดม้ าสรุปลงในแผนภาพความคิด จุดประสงค์ของการศึกษา ข้อคิดทไี่ ด้จากการศึกษา ประโยชน์ทไ่ี ด้รับ ไดห้ ลกั ธรรมและแบบอยา่ งประวตั ิพทุ ธสาวก พุทธสาวกิ า พทุ ธสาวก พทุ ธสาวกิ าในอดีต ท่ีดีงาม มาปฏิบตั ิในชีวติ ซ่ึงจะเพือ่ ศึกษาแนวปฏิบตั ิที่ดีงาม ทา่ นมุ่งมน่ั ปฏิบตั ิตามคาสอน ทาใหป้ ระสบความสาเร็จในของทา่ นและชื่นชมบทบาท ของพระพุทธเจา้ อยา่ งมุ่งมน่ั ชีวติ และเป็นบุคคลท่ีมีคุณคา่ ต่อหนา้ ที่ของท่านในดา้ นการ จริงจงั และทา่ นยงั บาเพญ็ สงั คมและพระพทุ ธศาสนาตอ่ ไปเผยแผห่ ลกั คาสอนของ ประโยชนต์ ่อส่วนรวมโดยพระพุทธศาสนา ฯลฯ ไมย่ อ่ ทอ้ พุทธศาสนิกชนตวั อย่าง 1. ใหน้ กั เรียนแสดงความคิดเห็นเก่ียวกบั ชาวพทุ ธตวั อยา่ งท่ีนกั เรียนรู้จกั โดยครูใชค้ าถามเพ่ือให้นกั เรียนแสดงความคิดเห็น ดงั น้ี ▪ นกั เรียนรู้จกั ชาวพทุ ธตวั อยา่ งคนใดบา้ ง ▪ ชาวพทุ ธตวั อยา่ งคนน้นั มีคุณธรรมท่ีควรนามาเป็นแบบอยา่ งอะไรบา้ ง ▪ นกั เรียนนาคุณธรรมน้นั มาประยกุ ตใ์ ชก้ บั การดาเนินชีวติ ประจาวนั อยา่ งไร ใหน้ กั เรียนแสดงความคิดเห็นตามพ้ืนฐานความรู้ประสบการณ์ของตนเอง 2. ใหน้ กั เรียนศึกษาและวเิ คราะห์พระราชประวตั ิของพระมหาธรรมราชาที่ 1 (ลิไทย)ในชุดกิจกรรมขอ้ 1 แลว้ ร่วมกนั อภิปรายขอ้ มลู ในหวั ขอ้ ต่อไปน้ี ▪ ขอ้ คิดท่ีไดจ้ ากการศึกษาพระราชประวตั ิ ▪ คุณธรรมแบบอยา่ งท่ีดี ▪ พระราชกรณียกิจท่ีทรงปฏิบตั ิ เม่ือไดข้ อ้ สรุปจากการอภิปรายแลว้ ใหน้ กั เรียนนาขอ้ สรุปที่ไดม้ าสรุปลงในแผนภาพ
Kru apiluk junthakam ข้อคิดทไี่ ด้จากการศึกษา คุณธรรมแบบอย่างทด่ี ี พระราชกรณียกจิ ทรงเป็นพระมหากษตั ริย์ พระราชประวตั ิ ผทู้ รงคุณธรรม เป็ นผแู้ ตกฉาน ทที่ รงปฏิบตั ิชาวพทุ ธที่ดีควรศึกษาหลกั - ในหลกั คาสอนทางพระพทุ ธ-ธรรมของพระพุทธเจา้ ให้ ศาสนา และทรงเป็น ต่อพระพุทธศาสนาแตกฉาน และมีส่วนร่วม พระมหากษตั ริยท์ ่ีมีความอจั ฉริยะ ทรงทานุบารุงโบราณสถานทางในการเผยแผห่ ลกั ธรรมใหเ้ ป็นที่ โดยทรงพระราชนิพนธ์ พระพุทธศาสนา และทรงกวา้ งขวางดว้ ยเหมือนองค์- หนงั สือไตรภูมิพระร่วง เผยแผห่ ลกั คาสอนโดยพระมหากษตั ริยไ์ ทยในอดีตท่ี ทรงสร้างมรดกทางพทุ ธศิลป์ ท่ี พระราชนิพนธ์หนงั สือต่าง ๆทรงปฏิบตั ิ และทรงเป็ น ทรงคุณค่าต่อพระพทุ ธศาสนา ต่อสังคมไทย ทรงปกครองพระมหากษตั ริยท์ ่ีออกผนวช คือ พระพุทธชินราช บา้ นเมืองอยา่ งสงบสุขขณะครองราชยม์ ีผตู้ ิดตามออก พระศรีศากยมุนี โดยทรงยดึ หลกั ธรรมทางบวชถึง 400 รูป พระพุทธชินสีห์ และพระศรี พระพทุ ธศาสนาเป็นหลกั ศาสดา ใหน้ กั เรียนศึกษาและวเิ คราะห์พระประวตั ิของสมเด็จพระมหาสมณเจา้ กรมพระยา-วชิรญาณวโรรส แลว้ ร่วมกนั อภิปรายขอ้ มูลในหวั ขอ้ ต่อไปน้ี ▪ ขอ้ คิดที่ไดจ้ ากการศึกษาพระราชประวตั ิ ▪ คุณธรรมแบบอยา่ งที่ดี ▪ พระกรณียกิจท่ีทรงปฏิบตั ิ เมื่อไดข้ อ้ สรุปจากการอภิปรายแลว้ ใหน้ กั เรียนร่วมกนั ออกแบบแผนภาพความคิดแลว้ นาขอ้ มูลที่ไดจ้ ากการอภิปรายมาสรุปลงในแผนภาพดงั กล่าว เมื่อสรุปขอ้ มลู ลงในแผนภาพแลว้ ใหน้ กั เรียนทุกคนพิจารณาขอ้ มูลในแผนภาพดงั กล่าวอีกคร้ังเพื่อใหไ้ ดข้ อ้ มูลที่ถูกตอ้ งและสมบรู ณ์ท่ีสุด จากน้นั ใหน้ กั เรียนนาขอ้ มูลจากแผนภาพบนกระดานมาสรุปลงในสมุด
Kru apiluk junthakam ข้อคิดทไี่ ด้จากการศึกษา คุณธรรมแบบอย่างทด่ี ี คุณประโยชน์ทที่ รงปฏบิ ัติ พระราชประวตั ิ ทรงมีความเพยี รต้งั ใจศึกษา ต่อพระพุทธศาสนาชาวพทุ ธที่ดีควรศึกษาความรู้ ความรู้ต่าง ๆ และทรงมีความ ทรงเผยแผห่ ลกั คาสอนทางท้งั ทางโลกและทางธรรมให้ เสียสละ บาเพญ็ พระองคเ์ พอื่ พระพทุ ธศาสนา และทรงใหก้ ารแตกฉาน และใชค้ วามรู้ดงั กล่าว ประโยชนต์ ่อส่วนรวม สนบั สนุนการเรียนการสอนเพ่อื พฒั นาสังคม และ ทรงวางรากฐานพฒั นา วชิ าการทางพระพทุ ธศาสนาพระพทุ ธศาสนาใหเ้ จริญรุ่งเรือง การศึกษาของวงการคณะสงฆ์ ต่อสังคมไทย ทรงอบรมหลกั -ทรงเป็นเช้ือพระวงศท์ ี่มีศรัทธา จนเป็ นระเบียบแบบแผน ธรรมใหแ้ ก่ชาวพทุ ธ และทรงในพระพุทธศาสนาอยา่ ง ทวั่ ประเทศทาให้ สนบั สนุนการศึกษาเพ่ือแรงกลา้ จนสละยศฐาน พระพุทธศาสนามีรากฐาน ประชาชนของชาติบรรดาศกั ด์ิออกผนวช มนั่ คง ชาดก ใหน้ กั เรียนแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกบั ชาดกที่ตนเองเคยไดอ้ ่านหรือฟัง โดยครูใชค้ าถามเพอ่ื ให้นกั เรียนแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกบั ชาดกดงั กล่าว ดงั น้ี ▪ นกั เรียนเคยอ่านหรือฟังชาดกเร่ืองอะไรบา้ ง ▪ ชาดกเรื่องน้นั มีใจความสาคญั อยา่ งไร ▪ ชาดกเร่ืองน้นั ใหข้ อ้ คิดอะไรบา้ ง ▪ นกั เรียนนาขอ้ คิดน้ีมาประยกุ ตใ์ ชใ้ นการดาเนินชีวติ ประจาวนั อยา่ งไร ครูสรุปคาตอบของนกั เรียนเขียนอธิบายเป็นแผนภาพ ดงั ตวั อยา่ ง เร่ืองเล่าของคนในอดีต ที่ปรากฏในตาราทาง พระพทุ ธศาสนาสามารถนามา ชาดก เป็ นเรื่ องเก่ียวกบัใชเ้ ป็นคติธรรม อดีตชาติของ พระพทุ ธเจา้ สอนตนได้
Kru apiluk junthakam เป็ นเรื่ องราวท่ีมี ขอ้ คิด คุณธรรมใหน้ กั เรียนวิเคราะห์มิตตวนิ ทุกชาดก แลว้ ครูใชค้ าถามเพื่อใหน้ กั เรียนร่วมกนั แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกบั ผลการวเิ คราะห์เร่ืองดงั กล่าว ดงั น้ี เรื่องราวในมิตตวนิ ทุกชาดกเป็นเรื่องเกี่ยวกบั อะไร (ชายหนุ่มผ้ไู ม่เช่ือฟังคาส่ังสอนของบิดามารดาและยงั ทาร้ายท่านท้งั สองจากผลกรรมทที่ า ทาให้ชีวติ ต้องประสบกบั ความทกุ ข์ต่าง ๆ มากมาย) การศึกษาชาดกเร่ืองน้ีใหข้ อ้ คิดอะไรแก่นกั เรียน (การอกตญั ญู ไม่เชื่อฟังคาสอนของบิดามารดา และการทาร้ายท่านเป็ นบาป ย่อมได้รับผลกรรมตามมาในภายหน้า) เรื่องราวจากมิตตวินทุกชาดกสะทอ้ นใหเ้ ห็นปัญหาในสังคมทุกวนั น้ีเร่ืองใดบา้ ง (ปัญหาลูกอกตญั ญูทาร้ายพ่อแม่ และปัญหาเยาวชนทหี่ ลงมัวเมาในอบายมุขต่าง ๆโดยไม่ต้ังใจเรียน และไม่เชื่อฟังครูอาจารย์ หรือพ่อแม่ทสี่ ั่งสอนอยู่เสมอ) นกั เรียนจะนาขอ้ คิดที่ไดจ้ ากการศึกษามิตตวนิ ทุกชาดกไปใชใ้ นชีวติ ประจาวนั ไดอ้ ยา่ งไร (ปฏบิ ตั ติ นเป็ นลกู ทด่ี ขี องพ่อแม่ เชื่อฟังคาสอนของท่าน และช่วยเหลอื การงานของท่านเป็ นการแบ่งเบาภาระทาให้ท่านได้สบาย เป็ นต้น หรือตามประสบการณ์การเรียนรู้ของผู้เรียน) 3. ใหน้ กั เรียนวเิ คราะห์ชาดก เรื่อง ราโชวาทชาดก และแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกบั ผลการวเิ คราะห์โดยครูใชค้ าถามเพ่ือใหน้ กั เรียนแสดงความคิดเห็นเก่ียวกบั ผลการวเิ คราะห์เรื่องดงั กล่าว ดงั น้ี ▪ เรื่องราวในชาดกเป็ นเร่ืองเกี่ยวกบั อะไร ▪ นกั เรียนไดข้ อ้ คิดอะไรจากการศึกษาราโชวาทชาดก ▪ นกั เรียนจะนาขอ้ คิดจากชาดกไปประยกุ ตใ์ ชแ้ กป้ ัญหาการทะเลาะววิ าทของนกั เรียนไดอ้ ยา่ งไรบา้ ง เมื่อนกั เรียนแสดงความคิดเห็นเพอื่ ตอบคาถามจนไดข้ อ้ มูลร่วมกนั แลว้ ใหน้ กั เรียนนาขอ้ มูลท่ีได้จากการตอบคาถามมาเขียนคาตอบ ดงั น้ี เร่ืองราวในชาดกเป็นเร่ืองเก่ียวกบั อะไร (การตัดสินคุณค่าของคนในสังคมทถี่ ูกต้องตามหลกั พระพุทธศาสนาต้องตัดสินกนั ด้วยหลกัคุณธรรมทมี่ ใี นใจเป็ นสาคญั โดยคนทด่ี มี ีคุณธรรมเท่าน้ันทคี่ วรได้รับการยกย่องเชิดชูในสังคม) นกั เรียนไดข้ อ้ คิดอะไรจากการศึกษาราโชวาทชาดก
Kru apiluk junthakam (คุณค่าของคนไม่ได้วดั กนั ทฐี่ านะทางการเงนิ หรือตาแหน่งหน้าที่ แต่วดั กนั ทค่ี ุณธรรมความดีต่างหาก หรือตามประสบการณ์การเรียนรู้ของผู้เรียน) นกั เรียนจะนาขอ้ คิดจากชาดกไปประยกุ ตใ์ ชแ้ กป้ ัญหาการทะเลาะววิ าทของนกั เรียนได้อยา่ งไรบา้ ง (เวลาเกดิ ปัญหาการทะเลาะววิ าทกนั ควรใช้หลกั เหตุผลทดี่ ใี นการแก้ไขและทาความเข้าใจกนั โดยไม่ใช้กาลงั หรือความรุนแรงในการแก้ไข หรือตามประสบการณ์การเรียนรู้ของผู้เรียน)ครูใหน้ กั เรียนสรุปความรู้ขอ้ คิดที่ไดจ้ ากชาดกท้งั 2 เร่ือง สรุปเป็นแผนภาพความคิด ดงั ตวั อยา่ ง แผนภาพความคดิ เร่ือง มติ ตวนิ ทุกชาดก 1. ทาร้ายบิดามารดา 2. โดนโยนทิ้งลงกลางทะเล 3. เสพสุขกบั สาวงามเปรตเพศเมีย บนเกาะ 4. ไม่รู้จกั พอ หนีไปเสพสุขกบั สาวอื่น (เปรตอีกจาพวก) 5. เห็นกงจกั รเป็นดอกบวั 6. โดนกงจกั รทาร้ายไดร้ ับความเจบ็ ปวด แผนภาพความคิด เร่ือง ข้อคดิ ทไ่ี ด้จากราโชวาทชาดกรู้จกั พจิ ารณาสาเหตุของปัญหา ข้อคดิ ทไ่ี ด้จาก หาหนทางแกไ้ ขปัญหา ราโชวาทชาดก โดยใชห้ ลกั เหตุผล ไมใ่ ชค้ าส่ัง หรือความรุนแรง ตดั สินช้ีขาดไดถ้ ูกตอ้ งและมีคุณธรรม
Kru apiluk junthakam พระไตรปิ ฎก 1. ครูนาตวั อยา่ งหนงั สือพระไตรปิ ฎกมาแลว้ ใหน้ กั เรียนอภิปรายถึงความหมายและความสาคญั ของพระไตรปิ ฎก โดยครูใชค้ าถามกระตุน้ ใหน้ กั เรียนอภิปราย ดงั น้ี * พระไตรปิ ฎกหมายถึงอะไร * พระไตรปิ ฎกมีความสาคญั อยา่ งไร * พระวนิ ยั ปิ ฎกคืออะไร * พระสุตตนั ตปิ ฎกคืออะไร * พระอภิธรรมปิ ฎกคืออะไร * นกั เรียนสามารถสรุปความรู้เก่ียวกบั พระไตรปิ ฎกไดว้ า่ อยา่ งไร จากน้นั ครูและนกั เรียนสรุปความรู้ เขียนเป็นแผนภาพอธิบายบนกระดาน ดงั ตวั อยา่ ง ความหมาย : คมั ภีร์หรือตะกร้า 3 ใบ คมั ภีร์อนั ประเสริฐ 3 หมวด ที่รวบรวมหลกั คาสอนของพระพทุ ธเจา้ ตลอดระยะเวลาการประกาศพระพทุ ธศาสนา 45 พรรษาความสาคญั : ตาราบนั ทึก พระไตรปิ ฎก ประโยชน์ : สะดวกในการศึกษาคาสอนของพระพทุ ธเจา้ เป็ นแหล่งศึกษาคน้ ควา้ หลกั คาสอน ทาให้เป็ นแหล่งขอ้ มูลสาคญั ทาง พระพทุ ธศาสนามีการเผยแผห่ ลกั คาสอนพระพทุ ธศาสนา อยา่ งตอ่ เน่ืองหมวดหมู่พระไตรปิ ฎกพระวนิ ยั ปิ ฎก หรือพระวนิ ยั (21,000 พระธรรมขนั ธม์ ี 8 เล่ม) ไดแ้ ก่ ประมวลระเบียบขอ้ บงั คบั ของบรรพชิตที่ พระพทุ ธเจา้ ทรงบญั ญตั ิไวส้ าหรับภิกษแุ ละภิกษุณีพระสุตตนั ตปิ ฎก หรือพระสูตร (21,000 พระธรรมขนั ธม์ ี 25 เลม่ ) ไดแ้ ก่ ประมวลพระพทุ ธพจนท์ ี่พระพทุ ธเจา้ ทรงแสดงยงั ที่ตา่ ง ๆ ใหเ้ หมาะกบั บคุ คล สถานท่ี และเหตกุ ารณ์ มีเร่ืองราวประกอบพระอภิธรรมปิ ฎก หรือพระอภิธรรม (42,000 พระธรรมขนั ธ์มี 12 เล่ม) ไดแ้ ก่ ประมวลคาสอนท่ีเป็ นหลกั วชิ าการ ลว้ น ๆ ไม่เกี่ยวดว้ ยบุคคลหรือเหตุการณ์ ไมม่ ีเร่ืองราวประกอบ พระไตรปิ ฎกมีเน้ือหารวมท้งั สิ้น 84,000 ธรรมขนั ธ์ ฉบบั พมิ พภ์ าษาไทยนิยมจดั แยกเป็ น 45 เล่ม เพ่อื หมายถึงระยะเวลา 45 พรรษาแห่งพทุ ธกิจ ครูแบง่ ออกเป็ น 3 กลุ่ม ศึกษาวเิ คราะห์โครงสร้างและสาระโดยสงั เขปของพระไตรปิ ฎก สรุปความรู้ 3. จบกกิจกรรม 3 กลุ่ม ครูสรุปความรู้โครงสร้างพระไตรปิ ฎกเป็นแผนภาพ PowerPoint อธิบายเพิม่ เติม ดงั ตวั อยา่ ง
Kru apiluk junthakam วนิ ยั ปิ ฎก มหาวภิ งั ค์ (วนิ ยั ท่ีเป็ นหลกั ใหญข่ องภิกษุ) ภิกขนุ ีวภิ งั ค์ (วนิ ยั ที่เป็ นหลกั ใหญข่ องภิกษุณี) มหาวรรค (กาเนิดภิกษสุ งฆ์ ระเบียบความเป็นอยู่ และกิจการของภิกษุสงฆ)์ จุลลวรรค (ระเบียบความเป็ นอยู่ และกิจการของ ภิกษสุ งฆเ์ ร่ืองภิกษุณี และสงั คายนา) ปริวาร (คูม่ ือถามตอบซกั ซอ้ มความรู้พระวนิ ยั )พระไตรปิ ฎก สุตตนั ตปิ ฎก ทีฆนิกาย (ชุมนุมพระสูตรขนาดยาว) อภิธรรมปิ ฎก มชั ฌิมนิกาย (ชุมนุมพระสูตรขนาดกลาง) สงั ยตุ ตนิกาย (ชุมนุมพระสูตรที่จดั กลุม่ ตามหวั เร่ืองที่เกี่ยวขอ้ ง) องั คุตตรนิกาย (ชุมนุมพระสูตรที่จดั เป็ นหมวดตามจานวนขอ้ ธรรม) ขทุ ทกนิกาย (ชุมนุมพระสูตร ภาษิต คาอธิบาย และเรื่องราว เบด็ เตลด็ ) ธมั มสงั คณี (แจงนบั ธรรมที่จดั รวมเป็ นหมวด เป็ นประเภท) วภิ งั ค์ (อธิบายธรรมแตล่ ะเรื่อง แยกแยะออกช้ีแจงวนิ ิจฉยั อยา่ งละเอียด) ธาตุกถา (สงเคราะห์ขอ้ ธรรมตา่ ง ๆ เขา้ ในขนั ธ์ อายตนะ ธาตุ) ปุคคลบญั ญตั ิ (บญั ญตั ิความหมายบคุ คลประเภทตา่ ง ๆ ตาม คุณธรรมที่มี) กถาวตั ถุ (แถลงและวนิ ิจฉยั ทรรศนะของนิกายต่าง ๆ สมยั ตติย- สงั คายนา) ยมก (ยกขอ้ ธรรมข้ึนวนิ ิจฉยั โดยตอบคาถามท่ีต้งั ยอ้ นกนั เป็ นคู่ ๆ) ปัฏฐาน (อธิบายปัจจยั คือลกั ษณะความสมั พนั ธ์ เนื่องอาศยั กนั 24 แบบ) จูฬกมั มวภิ งั คสูตรใหน้ กั เรียนศึกษา และแสดงความคิดเห็นเก่ียวกบั เร่ืองน่ารู้จากสุตตนั ตปิ ฎกเรื่องจูฬกมั มวภิ งั คสูตร โดยครูใช้คาถาม ดงั น้ี พระสุตตนั ตปิ ฎกซ่ึงเป็ นส่วนหน่ึงในพระไตรปิ ฎกมีความสาคญั อยา่ งไร (เป็ นคัมภีร์ทบี่ ันทกึ
Kru apiluk junthakamหลกั ธรรมทวั่ ๆ ไป โดยมีเร่ืองราวประกอบให้เข้าใจง่าย และหมวดสุตตันตปิ ฎกนีเ้ ป็ นหมวดทช่ี าวพุทธศึกษากนั มากทส่ี ุด เพราะเป็ นหลกั ธรรมทใ่ี กล้ตวั และง่ายต่อการศึกษาและนาไปปฏิบตั ิ) การท่ีพระสุตตนั ตปิ ฎกไดแ้ บ่งหวั ขอ้ ยอ่ ยของคาสอนตา่ ง ๆ เป็นหมวดหมูม่ ีประโยชน์ต่อผศู้ ึกษาอยา่ งไร (สะดวกในการศึกษาค้นคว้า และสามารถนามาปฏบิ ัติและเผยแผ่ให้เกดิ ความเข้าใจได้ง่ายและสามารถใช้อ้างองิ ทม่ี าหรือยนื ยนั ข้อเทจ็ จริงได้สะดวก รวดเร็ว) จฬู กมั มวภิ งั คสูตรในพระสุตตนั ตปิ ฎกมีเน้ือหาเกี่ยวกบั อะไร (กฎแห่งกรรมทวี่ ่าคนเราเกดิ มาแตกต่างกนั เพราะแต่ละคนมีกรรม (การกระทา) ทเ่ี ป็ นภูมหิ ลงั ในอดีตไม่เหมอื นกนั ทากรรมดไี ว้ผลทตี่ ามมาย่อมประสบแต่สิ่งดี ๆ ทากรรมช่ัวไว้ ย่อมเดอื ดร้อนภายหลงั ) จูฬกมั มวภิ งั คสูตรสอนใหช้ าวพุทธปฏิบตั ิตนอยา่ งไร (สอนให้ชาวพทุ ธยดึ มัน่ ในเร่ืองกรรมเพราะกรรมเป็ นเคร่ืองจาแนกมนุษย์ให้ดีและเลว ชาวพุทธควรทากรรมดไี ว้เพอ่ื ให้เกดิ ผลดีต่อตนเองในอนาคต) ถา้ ชาวพุทธนาหลกั ธรรมในจฬู กมั มวภิ งั คสูตรไปปฏิบตั ิ จะเกิดผลอยา่ งไร ต่อตนเอง (ชีวติ มีแต่ความสุข ประสบผลสาเร็จในส่ิงท่ดี งี าม) ตอ่ ส่วนรวม (สังคมสงบสุข ปัญหาต่าง ๆ ลดลง และสังคมมคี วามเจริญรุ่งเรือง)ใหส้ รุปความเป็นมาของจฬู กมั มวภิ งั คสูตรในพระสุตตนั ตปิ ฎกมาเล่าใหน้ กั เรียนฟังเป็ นความรู้เพมิ่ เติม ดงั น้ี จูฬกมั มวภิ งั คสูตร● สถานท่ี พระเชตวนั วหิ าร วดั ท่ีท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีถวาย● ผสู้ อน พระพทุ ธเจา้● ผรู้ ับคาสอน สุภมาณพ โตเทยยบุตร● หวั ขอ้ ธรรม กรรมเป็ นเหตุใหม้ นุษยแ์ ตกต่างกนัสมยั หน่ึง พระผมู้ ีพระภาคเจา้ ประทบั อยู่ ณ พระวิหารเชตวนั อารามของอนาถบิณฑิกเศรษฐี นครสาวตั ถี สุภมาณพโตเทยยบุตรไดเ้ ขา้ เฝ้ าพระพุทธองค์ และไดก้ ราบทูลถามวา่ เพราะเหตุใดมนุษยเ์ กิดมาจึงแตกต่างกนั คือ มีอายสุ ้ัน มีอายยุ นื มีโรคมาก มีโรคนอ้ ย มีผวิ พรรณงามมีผวิ พรรณทราม มีศกั ดานอ้ ย มีศกั ดามาก มีโรคะนอ้ ย มีโรคะมาก เกิดในตระกลู ต่า เกิดในตระกลู สูงมีปัญญาทราม มีปัญญามาก ดงั น้ีพระพุทธเจา้ ไดต้ รัสตอบวา่ : สัตวท์ ้งั หลายมีกรรมเป็ นของตนเป็ นทายาทแห่งกรรมมีกรรมเป็ นกาเนิด มีกรรมเป็ นเผา่ พนั ธุ์ มีกรรมเป็ นท่ีพ่ึงอาศยั กรรมยอ่ มจาแนกใหส้ ัตวแ์ ตกตา่ งกนั ไปจากน้นั พระพุทธองคจ์ ึงตรัสแสดงสาเหตุของความแตกต่างของมนุษยใ์ หส้ ุภมานพโตเทยยบุตรฟัง
Kru apiluk junthakam ครูนาบตั รคาและแถบประโยคมาใหน้ กั เรียนอ่านแลว้ เล่นกิจกรรมจบั คูก่ นั เพ่ือแสดงใหเ้ ห็นถึงกรรมที่เกิดจากผลการกระทาจากเร่ืองจฬู กมั มวภิ งั คสูตร ดงั น้ีผทู้ ี่มีอายสุ ้นั เน่ืองจากฆ่าสัตวต์ ดั ชีวิตผทู้ ่ีมีอายยุ นื เนื่องจากไม่ฆา่ สัตวต์ ดั ชีวิต ผทู้ ่ีมีโรคมาก เน่ืองจากเบียดเบียนชีวติ ผทู้ ่ีมีโรคนอ้ ย เนื่องจากไมเ่ บียดเบียนชีวิตผทู้ ี่มีผวิ พรรณไมด่ ี เนื่องจากมกั มีอารมณ์โกรธ ผทู้ ี่มีผวิ พรรณดี เนื่องจากไมม่ ีอารมณ์โกรธผทู้ ี่มีอานาจนอ้ ย เนื่องจากอิจฉาริษยาผอู้ ื่น ผทู้ ี่มีอานาจมาก เนื่องจากไม่อิจฉาริษยาผอู้ ่ืนผทู้ ี่มีฐานะยากจน เนื่องจากไม่ใหท้ านผทู้ ่ีมีฐานะร่ารวย เนื่องจากใหท้ านมากผทู้ ี่เกิดในตระกลู ต่า เน่ืองจากกระดา้ ง ถือตวั ไมอ่ ่อนนอ้ มผทู้ ่ีเกิดในตระกลู สูง เนื่องจากไม่กระดา้ ง ไม่ถือตวั อ่อนนอ้ มผทู้ ่ีมีสติปัญญานอ้ ย เนื่องจากไมเ่ ขา้ หาผมู้ ีปัญญา เพ่อื ไต่ถามเร่ืองบาปบุญคุณโทษผทู้ ี่มีสติปัญญามาก เนื่องจากเขา้ หาผมู้ ีปัญญา เพ่ือไตถ่ ามเร่ืองบาปบุญคุณโทษ กตกิ า การเล่นกจิ กรรม(1) ครูติดบตั รคาซา้ ยมือไวบ้ นกระดานแลว้ คละแถบประโยคดา้ นขวามือรวมกนั(2) ครูแบ่งเป็ น 2 กลุ่ม รับผดิ ชอบกลุ่มละ 7 บตั รคา โดยแบ่งกลุ่มละคร่ึงจากท้งั หมด 14 บตั รคา(3) ครูจบั เวลาและใหส้ ัญญาณใหน้ กั เรียนจบั แถบประโยคที่กองรวมกนั ติดใหต้ รงกบั บตั รคากลุ่ม ตนเอง กลุ่มใดติดเสร็จก่อนและถูกตอ้ งเป็นผชู้ นะ โดยนกั เรียนสามารถแกะเอา
Kru apiluk junthakam แถบประโยคท่ีอีกกลุ่มติดผดิ มาติดใหต้ รงกบั บตั รคาของตนเองได้ 4. จบกิจกรรมกลุ่มใหน้ กั เรียนอา่ นขอ้ ความพร้อมกนั เพื่อทบทวนความรู้ คาศัพท์ทางพระพทุ ธศาสนาทคี่ วรทราบ ครูเขียนคาศพั ทท์ างพระพทุ ธศาสนา เช่น สุข อุเบกขา เอกคั คตา ใหน้ กั เรียนศึกษาและสรุปความหมายร่วมกนั จากน้นั ครูเขียนสรุปความหมายอธิบายแผนภาพ ดงั น้ีฌาน การปฏิบตั ิสมถกมั มฏั ฐาน โดการเพง่ อารมณ์จนเกิดสมาธิแน่วแน่มี 4 ระดบั คือ ■ ปฐมฌาน จิตและสมาธิท่ีประกอบดว้ ย วติ ก วจิ าร ปี ติ สุข เอกคั คตา ■ ทุติยฌาน จิตและสมาธิท่ีประกอบดว้ ย ปี ติ สุข เอกคั คตา ■ ตติยฌาน จิตและสมาธิที่ประกอบดว้ ย สุข เอกคั คตา ■ จตุตถฌาน จิตและสมาธิที่ประกอบดว้ ย อุเบกขา เอกคั คตา วติ ก การคิดในองคฌ์ านขณะทาสมาธิ วจิ าร การพจิ ารณาในองคฌ์ านท่ีเกิดขณะทาสมาธิ ปี ติ ความอิ่มเอิบใจที่เกิดจากการทาสมาธิจนน้าตาไหล สุข ความสุขที่เกิดจากสมาธิ โดยปราศจากอามิสเจือปนเป็ นความสุข ทางใจลว้ นอเุ บกขา จิตวางเฉยในอารมณ์ไมย่ ินดียนิ ร้ายตอ่ อารมณ์ใด ๆ ท้งั ภายในและภายนอกเอกคั คตา จิตมีอารมณ์เป็นหน่ึงเดียวไม่วอกแวกกบั อารมณ์ต่าง ๆ ท่ีเขา้ มากระทบ จากน้นั ใหค้ รูอธิบายเป็นความรู้เพิ่มเติม ดงั น้ี ฌาน เป็ นองคธ์ รรมที่เกิดจากการปฏิบตั ิสมถกมั มฏั ฐาน โดยการเพง่ อารมณ์อยกู่ บั สิ่งใด ส่ิงหน่ึง เช่น กาหนดลมหายใจ เพง่ กสิณจนจิตเกิดสมาธิ ซ่ึงพระพทุ ธเจา้ เคยสาเร็จมาต้งั แตท่ รงออก ผนวชใหม่ ๆ ขณะท่ีเขา้ ไปศึกษายงั อุทกดาบส กบั อาฬารดาบส แตย่ งั ไม่สามารถตรัสรู้ได้ โดยทรง สาเร็จถึงฌานสมาบตั ิ 8 ภายหลงั จึงทรงนามาใชป้ ฏิบตั ิกบั การปฏิบตั ิวปิ ัสสนากมั มฏั ฐานจึงสามารถ ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจา้ ได้
Kru apiluk junthakam ครูใหน้ กั เรียนศึกษาหาความหมายของคาวา่ ญาณ โดยครูถามคาถาม ดงั น้ี ญาณ ในพระพุทธศาสนาหมายถึงอะไร เกิดข้ึนไดอ้ ยา่ งไร (ญาณ หมายถงึ ปัญญาหยง่ั รู้ตามความเป็ นจริงทเี่ กดิ จากปัญญาทบ่ี ริสุทธ์ิทผี่ ่านการปฏิบัติวิปัสสนากมั มฏั ฐาน โดยการเจริญภาวนาพจิ ารณากาย เวทนา จิต ธรรม ทเ่ี รียกว่ามหาสตปิ ัฏฐาน 4 จนเกดิ ปัญญารู้แจ้งตามความเป็ นจริงของทุกสรรพสิ่งเรียกว่า ญาณ ซ่ึงมอี ยู่ในเฉพาะหลกั คาสอนของพระพทุ ธศาสนาเท่าน้ันทพ่ี ระพุทธเจ้าทรงค้นพบ ไม่มีอยู่ในศาสนาอน่ื ใด ๆ ในโลกนี)้ ญาณ ในพระพทุ ธศาสนามีกี่หมวดอะไรบา้ ง และสมั พนั ธ์กนั อยา่ งไรใหค้ รูสรุปคาตอบของนกั เรียนเขียนอธิบายเป็นแผนภาพเพมิ่ เติม ดงั ตวั อยา่ ง ญาณ เป็ นไวพจนค์ าหน่ึงของปัญญา แต่มกั ใชใ้ นความหมายท่ีจาเพาะกวา่ คือเป็นปัญญาที่ทางานออกผลมาเป็นเร่ือง ๆ กล่าวไดว้ า่ ญาณ คือ ความรู้บริสุทธ์ิที่ผดุ โพลงสวา่ งแจง้ ข้ึน มองเห็นตามสภาวะของสิ่งน้นั ๆ หรือเรื่องน้นั ๆ บางคร้ังญาณเกิดข้ึนโดยอาศยั ความคิดเหตุผล แต่ญาณน้นั เป็นอิสระจากความคิดเหตุผล คือไม่ตอ้ งข้ึนตอ่ ความคิดเหตุผล แต่ออกไปสมั พนั ธ์กบั ตวั สภาวะที่เป็นอยจู่ ริงหมวดท่ี 1 หมวดที่ 3อตีตงั สญาณ : ปัญญาหยงั่ รู้อดีต ปุพเพนิวาสานุสติญาณ ความรู้ที่ระลึกชาติได้ปัจจุปปันนงั สญาณ : ปัญญาหยงั่ รู้ปัจจุบนั จุตปู ปาตญาณ ความรู้การตายและการเกิดของสตั วท์ ้งั หลายอนาคตงั สญาณ : ปัญญาหยงั่ รู้อนาคต อาสวกั ขยญาณ ความรู้ที่ทาใหอ้ าสวะกิเลสหมดไป ญาณ สจั จญาณ ญาณรู้อริยสจั แตล่ ะอยา่ ง หมวดท่ี 2 กิจจญาณ ญาณรู้กิจในอริยสจั กตญาณ ญาณรู้กิจอนั ไดท้ าแลว้ ในอริยสจั ญาณท้งั 3 หมวดน้ีสงเคราะห์ เขา้ ในวปิ ัสสนาญาณ 9
Kru apiluk junthakamธรรมคุณและข้อธรรมสาคญั ในกรอบอริยสัจ 4 ครูใหน้ กั เรียนสนทนาเก่ียวกบั พระรัตนตรัย เพอ่ื ทบทวนความรู้ก่อนนาเขา้ สู่บทเรียน โดยครูใช้คาถาม ดงั น้ี o พระรัตนตรัย หมายถึงอะไร (แก้วอนั ประเสริฐ 3 ประการ ได้แก่ พระพุทธพระธรรม พระสงฆ์) o พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ หมายถึงอะไร (พระพุทธ คือ พระพทุ ธเจ้า ผ้ตู รัสรู้ธรรมโดยพระองค์เอง ประกอบด้วยคุณ 9 ประการ เรียกว่า พุทธคุณ 9 และพระคุณโดยย่อ 3 ประการ พระธรรม คอื คาสอนทพ่ี ระพทุ ธเจ้าทรงแสดงเอาไว้หลงั จากตรัสรู้ เรียกว่า พระธรรมคุณ 6พระสงฆ์ คือ ผ้ปู ฏิบตั ติ ามคาสั่งสอนของพระพทุ ธเจ้า ประกอบด้วยบุคคล 2 ประเภท คอื สมมุติสงฆ์ คือ ผู้อปุ สมบท ศึกษาพระธรรมวินัย และพระอริยสงฆ์ คอื ผู้ศึกษาปฏบิ ัตธิ รรมจนบรรลธุ รรมตามพระพุทธเจ้าต้งั แต่พระโสดาบนั -พระอรหันต์) ครูใหน้ กั เรียนศึกษาพระธรรมคุณ 6 ประการโดยครูใหน้ กั เรียนจาแนก พระธรรมคุณ 6 ประการโดยการสวดบทพระธรรมคุณพร้อมกนั ดงั น้ีบทสรรเสริญพระธรรมคณุ (รับพร้อมกนั ) ส่วนชอบสาทร (นา) ธรรมะคือคุณากร ส่องสตั วส์ นั ดาน เป็ นแปดพงึ ยลดุจดวงประทีปชชั วาล อนั ลึกโอฬาร แห่งองคพ์ ระศาสดาจารย์ นามขนานขานไข ใหล้ ่วงลปุ องสวา่ งกระจ่างใจมล นบธรรมจานง ธรรมใดนบั โดยมรรคผลและเกา้ กบั ท้งั นฤพาน สมญาโลกอุดรพิสดารพิสุทธ์ิพเิ ศษสุกใส อีกธรรมตน้ ทางครรไลปฏิบตั ิปริยตั ิเป็ นสอง คือทางดาเนินดุจคลองยงั โลกอดุ รโดยตรง ขา้ ขอโอนอ่อนอตุ มงค์ดว้ ยจิตและกายวาจา (กราบ)
Kru apiluk junthakamจากน้นั ครูเขียนพระธรรมคุณ 6 เป็นภาษาบาลี ใหน้ กั เรียนแปลความหมายร่วมกนั ดงั น้ีสวากขาโต ภควตา ธมฺโมสนฺทิฏฐิโกอกาลิโกเอหิปสฺสิโก โอปนยโิ ก ปจฺจตฺต เวทิตพฺโพ วิ ฺฺ ญูหี ติ 3. ใหน้ กั เรียนแสดงความคิดเห็นเพื่อสรุปความรู้เกี่ยวกบั หลกั ธรรมคุณ 6 โดยครูใชค้ าถาม ดงั น้ี ▪ นกั เรียนเขา้ ใจเกี่ยวกบั หลกั ธรรมคุณ 6 วา่ อยา่ งไร ▪ นกั เรียนมีวธิ ีนาหลกั ธรรมคุณ 6 ไปปฏิบตั ิในชีวติ อยา่ งไร ▪ เม่ือนาหลกั ธรรมคุณ 6 มาใชป้ ฏิบตั ิในชีวติ ก่อให้เกิดผลต่อตนเองและสังคมอยา่ งไร เม่ือนกั เรียนแสดงความคิดเห็นเพือ่ ตอบคาถามจนไดข้ อ้ สรุปร่วมกนั แลว้ ใหน้ กั เรียนนาขอ้ สรุปที่ได้ไปเขียนสรุปลงในแผนภาพ ดงั ตวั อยา่ ง ความเขา้ ใจของนกั เรียน วธิ ีนาหลกั ธรรมคุณ 6 ผลท่ีเกิดข้ึน เกี่ยวกบั หลกั ธรรมคุณ 6 ไปปฏิบตั ิในชีวติ ต่อตนเอง ชีวติ มีความสงบสุขหลกั ธรรมคณุ 6 คือ ลกั ษณะ ตระหนกั ถึงคุณค่าและความ ไมว่ นุ่ วาย และไมต่ กไปสู่อบาย-หรือคุณสมบตั ขิ องหลกั ธรรม สาคญั ของหลกั ธรรมเสมอ มขุ หนทางแห่งความเสื่อมของพระพทุ ธเจา้ เป็นคุณลกั ษณะ ดาเนินชีวติ โดยยดึ หลกั ธรรมเป็ น ต่อสังคม สงั คมสงบสุข ปัญหาที่แทจ้ ริง โดยชาวพทุ ธหรือบคุ คล แสงสวา่ งนาทาง ต่าง ๆ ลดลง สงั คมมีความเจริญ-ทวั่ ไปสามารถพิสูจน์ไดด้ ว้ ยการ รุ่งเรืองในดา้ นตา่ ง ๆนาไปปฏิบตั ิ 4. ใหน้ กั เรียนสรุปความรู้ ดงั น้ี ธรรมคุณ 6 เป็ นหน่ึงในพระรัตนตรัย เป็ นธรรมที่พระพุทธเจา้ ตรัสไวด้ ีแลว้ พระธรรมท่ีผศู้ ึกษาพึงปฏิบตั ิเห็นไดด้ ว้ ยตนเองไม่จากดั กาลเวลา สามารถพิสูจน์ได้ เป็ นธรรมที่ควรนอ้ มนามาปฏิบตั ิผปู้ ฏิบตั ิสามารถรู้ไดเ้ ฉพาะตน 5. ใหน้ กั เรียนแสดงความคิดเห็นโดยครูใชค้ าถามทา้ ทาย ดงั น้ี ธรรมะคือคุณากร นกั เรียนจะนาธรรมะมาปฏิบตั ิเสริมสร้างชีวติ ของตนเองให้ประสบกบั ความสุขความเจริญรุ่งเรืองอยา่ งไร
Kru apiluk junthakam อริยสัจ 4 : ทุกข์ (ธรรมทคี่ วรรู้) 1. ครูเขียนหรือติดบตั รคา อริยสจั 4 ใหน้ กั เรียนทบทวนความหมายก่อนนาเขา้ สู่บทเรียน 2. ใหน้ กั เรียนศึกษาหลกั ธรรมอริยสัจ 4 เร่ือง ทุกข์ และแสดงความคิดในประเดน็ ต่อไปน้ี o ทุกขใ์ นความหมายของอริยสัจ 4 คืออะไร o ที่เกิดแห่งทุกขค์ ืออะไร o พระพุทธศาสนาสอนวธิ ีการดบั ทุกขอ์ ยา่ งไร 3. ครูอธิบายและสรุปเพิ่มเติม ดงั น้ี ○ ทุกข์ คือ สภาพท่ีทนไดย้ าก หมายถึง ความเกิด แก่ เจบ็ ตาย คือ เป็นความทุกขท์ างกาย และทุกขท์ างใจคือทุกขท์ ่ีเกิดจากการบีบค้นั ทาง อารมณ์ต่าง ๆ ท่ีเกิดจากความเศร้าโศกหรือถูกอานาจกิเลส แผดเผาใจ ○ ท่ีเกิดแห่งทุกข์ คือ ขนั ธ์ 5 และอายตนะ 6 ○ ทุกขต์ อ้ งดบั ดว้ ยการรู้เท่าทนั ความเป็นจริงดว้ ยปัญญา 4. ใหน้ กั เรียนบนั ทึกสาระสาคญั 5. ใหน้ กั เรียนศึกษา หลกั ธรรมแห่งทุกขท์ ่ีควรรู้ไดแ้ ก่ ขนั ธ์ 5 และอายตนะ 6และใหน้ กั เรียนแสดงความคิดเห็นโดยครูใชค้ าถาม ดงั น้ี o ขนั ธ์ 5 คืออะไร และประกอบดว้ ยอะไรบา้ ง o อายตนะ 6 คืออะไร และประกอบดว้ ยอะไรบา้ ง จากน้นั ครูสรุปการแสดงความคิดเห็น นกั เรียนอธิบายเป็นแผนภาพแบบตารางเพ่มิ เติม ดงั น้ี
Kru apiluk junthakam หลกั ธรรม รายละเอยี ด1. ขนั ธ์ 5 ขนั ธ์ แปลวา่ กอง หรือส่วนประกอบของชีวติ มี 5 อยา่ ง ไดแ้ ก่2. อายตนะ 6 1. รูป คือ สิ่งที่จบั ตอ้ งได้ สมั ผสั ได้ คือ ร่างกาย 2. เวทนา คือ ความรู้สึกตา่ ง ๆ ที่เกิดข้ึน เช่น สุข ทุกข์ 3. สญั ญา คือ ความจาไดห้ มายรู้จดจาส่ิงตา่ ง ๆ 4. สงั ขาร คือ ความรู้สึกนึกคิดปรุงแตง่ ภายในใจ 5. วญิ ญาณ คือ การรับรู้หรือการรู้แจง้ ในอารมณ์ต่าง ๆ ขนั ธ์ 5 สรุป โดยยอ่ เป็น 2 อยา่ ง คือ รูป ส่วนท่ีจบั ตอ้ งสมั ผสั ได้ ไดแ้ ก่ขอ้ 1 นาม ส่วนท่ีจบั ตอ้ งสมั ผสั ไม่ได้ ไดแ้ ก่ ขอ้ 2-5 อายตนะ หมายถึง แดนเกิดแห่งความรู้ หรือสิ่งท่ีเช่ือมต่อกนั ให้ เกิดความรู้ แบ่งออกเป็ น 2 ส่วน คือ อายตนะภายในและอายตนะ ภายนอกท้งั 2 ส่วน มกั จะมาเป็ นคู่ ๆ กนั เสมอ ไดแ้ ก่ อายตนะภายใน อายตนะภายนอก 1. ตา คู่กบั 1. รูป 2. หู คูก่ บั 2. เสียง 3. จมูก คู่กบั 3. กล่ิน 4. ลิ้น คู่กบั 4. รส 5. กาย คูก่ บั 5. โผฏฐพั พะ (การสมั ผสั ) 6. ใจ คูก่ บั 6. ธรรมารมณ์ (ใจรู้ ใจคิด) ใหน้ กั เรียนศึกษาวธิ ีการปฏิบตั ิตนเพอ่ื ดบั ทุกขท์ ี่เกิดจากขนั ธ์ 5 และอายตนะ 6 และแสดงความคิดเห็นโดยครูใชค้ าถาม ดงั น้ี ○ นกั เรียนมีวธิ ีนาหลกั ธรรมเรื่องขนั ธ์ 5 และอายตนะ 6 ไปปฏิบตั ิในชีวติ ประจาวนั อยา่ งไร ○ เมื่อนาหลกั ธรรมไปปฏิบตั ิ แลว้ คาดวา่ ผลจากการปฏิบตั ิจะเป็นอยา่ งไร ครูสรุปคาตอบของนกั เรียนบนั ทึกเป็นแผนภาพความคิดเป็ นความรู้ร่วมกนั ดงั น้ี แนวทางปฏิบตั ิ ผลการปฏิบตั ิ ขันธ์ 5 : ใหเ้ ขา้ ใจวา่ ร่างกายมนุษยป์ ระกอบดว้ ย ต่อตนเอง : มีสติรู้เท่าทนั สภาพที่เป็ นจริงของ 2 ส่วนคือ รูปกบั นาม ลว้ นตกอยใู่ นอานาจของ ธรรมชาติ ดาเนินชีวติ ดว้ ยความไม่ประมาททาให้การเปลี่ยนแปลง 3 ลกั ษณะ คือ ไม่เท่ียง คงทนอยใู่ น ชีวติ มีความสุขและสมดุล สภาพเดิมไม่ได้ และไมใ่ ช่ตวั ตนของใครท่ีแทจ้ ริง ต่อสังคม : สงั คมเกิดความสงบสุขเพราะดาเนินชีวติ อายตนะ 6 : สอนใหร้ ู้สารวมระวงั อารมณ์ท่ีผา่ นมา ดว้ ยการรู้เท่าทนั สภาพท่ีเป็ นจริง ไมเ่ บียดเบียนกนั ทางตา หู จมูก ลิน้ กาย และใจ ไมต่ กเป็ นทาส มีความเมตตาต่อกนั เพราะการหลงไปยดึ ติด
Kru apiluk junthakam อริยสัจ 4 : สมุทัย (ธรรมท่ีควรละ) 1. ครูนาขา่ วจากหนงั สือพมิ พร์ ายวนั มาใหน้ กั เรียนอ่านและวเิ คราะห์ขา่ วละช่วยกนั บอกถึงปัญหา(ทุกข)์ สาเหตุของปัญหา (สมุทยั ) วา่ เป็นเหตุและผลเช่ือมกนั อยา่ งไร 2. ใหน้ กั เรียนศึกษาหลกั ธรรมอริยสัจ 4 หมวดสมุทยั และร่วมกนั แสดงความคิดเห็นในประเดน็ดงั ต่อไปน้ี o สมุทยั ในอริยสัจ 4 คืออะไร o ตน้ ตอหรือสาเหตุแห่งทุกขม์ ีอะไรบา้ ง o การรู้และเขา้ ใจเหตุแห่งทุกขม์ ีความสาคญั อยา่ งไร ตามความหมายของอริยสัจ 4 3. ครูสรุปการแสดงความคิดเห็นของนกั เรียนอธิบายเพม่ิ เติม ดงั น้ี สมุทยั ในอริยสจั 4 หมายถึง เหตุแห่งทุกขห์ รือตน้ ตอท่ีทาใหเ้ กิด ทุกข์ ไดแ้ ก่ กามตณั หา (ความใคร่ความอยากตา่ ง ๆ) ภวตณั หา (ความอยาก มีอยากเป็น) วิภวตณั หา (ความไม่อยากเป็นในส่ิงท่ีตนเองไม่ปรารถนา) การรู้เท่าทนั เหตุแห่งทุกขท์ าใหส้ ามารถดบั ตน้ ตอเหตุแห่งทุกขไ์ ด้ คือ ดบั ทุกขไ์ ดก้ ่อนทุกขเ์ กิด 4. ครูเขียนบตั รคา คือ หลกั กรรม สมบตั ิ 4 วบิ ตั ิ 4 อกศุ ลกรรมบถ 10 อบายมุข 6ใหน้ กั เรียนนาความรู้หลกั ธรรม 5. ใหน้ กั เรียนศึกษาคน้ ควา้ หลกั ธรรมบตั รคาได้ สรุปความรู้แลว้ 6. จากน้นั ใหน้ กั เรียนสรุปความรู้เร่ืองหลกั ธรรมเป็นแผนภาพความคิด ดงั ตวั อยา่ ง หลกั ของกรรมกรรมดี กายกรรม กรรมชว่ั (เหตุแห่งทุกข)์ วจีกรรม มโนกรรมสมบัติ 4 วบิ ตั ิ 4 คติสมบตั ิ อยใู่ นถ่ินดี คติวบิ ตั ิ เกิดในถ่ินไมด่ ี อปุ ธิสมบตั ิ สุขภาพร่างกายดี อปุ ธิวบิ ตั ิ ร่างกายสุขภาพไม่ดี กาลสมบตั ิ กระทาสิ่งดีถกู เวลา กาลวบิ ตั ิ เกิดในสมยั ท่ีบา้ นเมือง ปโยคสมบตั ิ องคป์ ระกอบดีพร้อม เกิดวกิ ฤติ ปโยควบิ ตั ิ องคป์ ระกอบไม่อานวย
Kru apiluk junthakam ฆ่าสตั ว์ ลกั ทรัพย์ อบายมขุ 6 ทาความชว่ั ทางกาย (กายกรรม)หนทางนาไปสู่ความเสื่อม 6 ประการ ลว่ งเกินทางเพศ อกศุ ล- พดู ส่อเสียด กรรมบถ 10 คิดพยาบาท ดื่มสุราและ ปองร้ายผอู้ ่ืนเสพสารเสพติด เลน่ การพนนั ทาความชว่ั ทางวาจา (วจีกรรม) ทาความชว่ั ทางใจ (มโนกรรม)เที่ยวกลางคืน คบคนชว่ั เป็นมิตร พดู โกหก พดู เพอ้ เจอ้ คิดโลภ เห็นผิดจาก พดู หยาบคาย ไร้สาระ อยากไดข้ อง ทานองคลองธรรมเที่ยวดูการละเล่น เกียจคร้านทาการงาน ผอู้ ่ืน อริยสัจ 4 : นิโรธ (ธรรมที่ควรบรรลุ)ครูเขียนบตั รคา นิโรธ ใหน้ กั เรียนแสดงความคิดเห็นโดยครูใชค้ าถาม ดงั น้ี ○ นิโรธ หมายถึงอะไร ○ เพราะเหตุใดจึงกล่าววา่ นิโรธเป็นธรรมท่ีควรทาใหร้ ู้แจง้ครูสรุปการแสดงความคิดเห็นของนกั เรียนอธิบายเพิ่มเติมดงั น้ี นิโรธ คือธรรมท่ีดบั ความทุกข์ ความสารอกออกซ่ึงกิเลส สลดั ทิง้ ปลดปล่อยไม่มีเยอื่ ใยในสมุทยั อนั เป็นบ่อเกิดแห่งทุกขโ์ ดยสิ้นเชิงใหน้ กั เรียนศึกษาหลกั ธรรมนิโรธเรื่องสุข 2 และแสดงความคิดเห็นโดยครูใชค้ าถาม ดงั น้ี ○ สุข หมายถึง อะไร ○ สามิสสุขคืออะไร ○ นิรามิสสุขคืออะไร ○ สุขในนิโรธในความหมายของพระพุทธศาสนา คือสุขในความหมายใดครูสรุปการแสดงความคิดเห็นเป็นแผนภาพความคิดอธิบายเพิม่ เติม ดงั น้ี
Kru apiluk junthakam ความหมาย : ความสบายกาย และใจ ความปลอดโปร่งโล่งใจสุขเพราะอาศยั ปัจจยั ภายนอกเรียกวา่ โลกสุข สุขอยา่ งยงิ่ คือ หมดกิเลส คือ พระนินพาน เรียกวา่ โลกุตตรสุข สุขสามิสสุข นิรามิสสุขความสุขของสามญั ชนทว่ั ไป ความสุขของพระอริยบุคคลที่เกิดจากการบริโภคปัจจยั 4 คือมีจิตใจที่ประเสริฐ ไม่โลภที่ไดร้ ับมาโดยสุจริต ไมผ่ ดิ ไมโ่ กรธ และไม่หลงกฎหมายสุขในความหมายทางพระพทุ ธศาสนาคือ นิรามิสสุข5. ใหน้ กั เรียนสรุปความรู้เก่ียวกบั หลกั ธรรมเร่ืองสุขในหวั ขอ้ ดงั น้ี ความเขา้ ใจเก่ียวกบั หลกั ธรรมเร่ืองสุข วธิ ีการนาหลกั ธรรมไปใชใ้ นชีวติ ประจาวนั ผลที่เกิดจากการปฏิบตั ิ จากน้นั ร่วมกนั สรุปเป็ นแผนภาพความรู้ ดงั ตวั อยา่ ง ความเขา้ ใจของนกั เรียน วธิ ีการนาหลกั ธรรมไปใช้ ผลท่ีเกิดข้ึน เก่ียวกบั หลกั ธรรมเรื่องสุข ในชีวติ ประจาวนัหลกั ธรรมเร่ือง สุข คือ ความสุข ต่อตนเอง มีความสุขในชีวติ ท่ีแทจ้ ริงที่เกิดข้ึนแก่คนเราในโลกน้ีโดย ฝึ กใจไม่ยดึ ตดิ ในวตั ถสุ ิ่งของ มีจิตใจดีงามเบิกบานเสมอพระพทุ ธเจา้ ทรงจาแนกไวโ้ ดย ไมฟ่ ่ มุ เฟื อยใชจ้ ่ายซ้ือของใชท้ ่ี ไม่ประสบปัญหาทางสงั คมต่าง ๆยอ่ มี 2 ประการ ไดแ้ ก่ สามิสสุข เกินความจาเป็ น มีความสนั โดษ ต่อสังคม สงั คมสงบสุขคือสุขที่เกิดจากปัจจยั 4 หรือสุข พออยพู่ อกิน ไมเ่ ดือดร้อน และ มีความสุขเจริญรุ่งเรือง ปัญหาที่อิงกบั วตั ถุ และนิรามิสสุข คือ พยายามฝึ กฝนใจใหม้ องโลกใน ตา่ ง ๆ ลดลง เช่น ปัญหาโจรผรู้ ้ายสุขเกิดจากการไม่ยดึ ติดกบั วตั ถุ แง่ดีคิดแต่ส่ิงดี ๆ และหมน่ั ฝึ กจิต ปัญหาการทุจริตและปัญหาต่าง ๆ เป็ นสุขที่ประเสริฐ ใหส้ งบเสมอ การทะเลาะววิ าท เป็ นตน้(สุขของพระอริยสจั ) ท้งั 2 น้ีพระพทุ ธเจา้ ทรงสรรเสริญความสุขที่เป็ นนิรามิสสุข
Kru apiluk junthakam อริยสัจ 4 : มรรค (ธรรมทีค่ วรเจริญ)ครูเขียนบตั รคา มรรค แลว้ ใหน้ กั เรียนใหค้ วามหมาย และแสดงความคิดเห็นในประเดน็ ต่อไปน้ี ○ มรรค หมายถึงอะไร ○ มรรคในความหมายทางพระพุทธศาสนามีอะไรบา้ งครูสรุปคาตอบหรือการแสดงความคิดเห็นของนกั เรียนเป็ นแผนภาพความคิด ดงั ตวั อยา่ ง ความหมาย : ขอ้ ปฏิบตั ิหนทางที่นาไปสู่ความดบั ทุกขเ์ ป็นหนทาง สายกลางมชั ฌิมาปฏิปทาสมั มาทิฏฐิ : เห็นชอบ สมั มาอาชีวะ : เล้ียงชีวติ ชอบสมั มาสงั กปั ปะ : ดาริชอบสมั มาวาจา : เจรจาชอบ มรรค สมั มาวายามะ : เพยี รชอบ สมั มาสติ : ระลึกชอบสมั มากมั มนั ตะ : การงานชอบ สมั มาสมาธิ : ต้งั จิตชอบครูแบง่ เป็ น 6 กลุ่มเพอ่ื ร่วมกนั สืบคน้ ขอ้ มลู หลกั ธรรมที่เก่ียวกบั เรื่องมรรคท่ีครูกาหนดใหส้ รุปความรู้เร่ืองหลกั ธรรม การปฏิบตั ิตามหลกั ธรรมนาเสนอแลกเปลี่ยนความรู้กนั หนา้ ช้นั เรียน ดงั น้ี กลุ่มที่ 1 บุพพนิมิตของมชั ฌิมาปฏิปทา กลุ่มที่ 2 ดรุณธรรม 6 กลุ่มท่ี 3 กลุ จิรัฏฐิติธรรม 4 กลุ่มที่ 4 กศุ ลกรรมบถ 10 กลุ่มที่ 5 สติปัฏฐาน 4 กลุ่มที่ 6 มงคล 38 4. จบทุกกลุ่มใหแ้ ต่ละกลุ่มสรุปเป็นแผนภาพความคิด ตกแต่งใหส้ วยงามติดแสดงท่ีป้ ายนิเทศในช้นั เรียน ดงั ตวั อยา่ ง
Kru apiluk junthakam 1 ธรรมท่ีเป็นเครื่องหมายบ่งบอกลว่ งหนา้ วา่ มรรคมีองค์ 8 จะเกิดแก่บุคคลน้นั ความมีกลั ยาณมิตร บุพพนิมิต ความถึงพร้อมดว้ ยสมั มาทิฏฐิ ความถึงพร้อมดว้ ยศีล ของ ความถึงพร้อมดว้ ยความไมป่ ระมาท ความถึงพร้อมดว้ ยฉนั ทะ ความถึงพร้อมดว้ ยโยนิโสมนสิการ มชั ฌิมาปฏิปทา ความถึงพร้อมที่จะฝึ กฝนตนเอง2 ดรุณธรรม หมายถึง ธรรมที่นาไปสู่ความเจริญกา้ วหนา้ หรือหนทางแห่งความสาเร็จ มี 6 ประการ คือ. ศีล คือ การมีระเบียบวนิ ยัอาโรคยะ คือ การรักษาสุขภาพดีท้งั ทางร่ายกายและจิตใจ ไม่ก่อความเดือดร้อนใหแ้ ก่สงั คมพทุ ธานุมตั ิ คือ ไดค้ นดีเป็ นแบบอยา่ ง ดรุณธรรม 6 สุตะ คือ ต้งั ใจเรียนใหร้ ู้จริง คน้ ควา้ ใหร้ ู้ให้ประพฤติตามแบบอยา่ งของคนดี เชี่ยวชาญติดตามขา่ วสารใหร้ ู้เท่าทนัอลีนตา คือ ความขยนั หมนั่ เพยี รมีกาลงั ใจ ธรรมานุมตั ิ คือ ทาแตส่ ิ่งท่ีถูกตอ้ ง ดีงาม ดารงแขง็ กลา้ ไม่ยอ่ หยอ่ น ทอ้ ถอยเฉ่ือยชาเพยี ร มน่ั อยใู่ นสุจริต ท้งั ในชีวติ และการงานพยายามหาความกา้ วหนา้ เร่ือยไป3 กลุ จิรัฏฐิติธรรม หมายถึง ธรรมสาหรับดารงความมง่ั คงั่ ของตระกลู ใหย้ ง่ั ยนื มี 4 ประการ คือกลุ จิรัฏฐิติ ทรัพยส์ ินหรือสิ่งของใดท่ีหมดหรือหายไป ควรรู้จกั หามาทดแทนไว้ (นฏั ฐคเวสนา) ธรรม 4 รู้จกั ซ่อมแซมบูรณะของเก่าหรือของที่ชารุดใหใ้ ชก้ ารได้ (ชิณณปฏิสงั ขรณา) รู้จกั กิน รู้จกั ใชเ้ ท่าที่จาเป็ นใหเ้ หมาะสมแก่ฐานะของตน (ปริมิตปานโภชนา) ต้งั ผมู้ ีศีลใหเ้ ป็นพอ่ บา้ นแมเ่ รือน เพอ่ื ความเป็นระเบียบและสงบสุขของครอบครัว (อธิปัจจสีลวนั - ตฐปนา)
Kru apiluk junthakam4 กายสุจริต : การทาความดีทางกาย กศุ ลกรรมบถ 10 ● มีเมตตา งดเวน้ จากการฆ่า และเบียดเบียนสตั วม์ ีชีวติ ทางแห่งความดี ● ประกอบอาชีพสุจริต งดจากการหาทรัพยส์ ินโดยมิชอบ ความเจริญความ ● สารวจระวงั ในกาม ไมป่ ระพฤติผดิ ประเวณี บุตรภรรยา สามีผอู้ ื่น ฉลาด วจีสุจริต : การทาความดีทางวาจา ● มีความสตั ยไ์ มก่ ล่าวคาเทจ็ ● มีความเมตตาไมพ่ ดู สอเสียด ทาใหเ้ กิดแตกความสามคั คี ● มีความสุภาพ ไม่กล่าวคาหยาบคาย ● มีสติขณะพดู ไม่กลา่ วคาเฟ้ อเจอ้ มโนสุจริต : การทาความดีทางใจ ● พอใจในส่ิงที่ตนมีไม่โลภอยากไดข้ องผอู้ ่นื ● รู้จกั การใหอ้ ภยั ไม่คิดพยาบาทปองร้ายผอู้ ื่น ● มีความเห็นตามทานองคลองธรรม มีสมั มาทิฏฐิ5 การต้งั สติพิจารณา การต้งั สติพิจารณา เวทนาเป็ นฐาน ร่างกายเป็ นฐาน เวทนานุปัสสนา กายานุปัสสนา สติปัฏฐาน 4 ธมั มานุปัสสนา จิตตานุปัสสนา การต้งั สติพจิ ารณา การต้งั สติพจิ ารณา ธรรมใหร้ ู้เห็นตามความเป็ นจริง จิตเป็ นฐาน
Kru apiluk junthakam6 ส่ิงท่ีนาความสุขความเจริญสู่ชีวติ ของผปู้ ฏิบตั ิประพฤติธรรม มงคล 38 เวน้ จากความชว่ั ท้งั ปวง เวน้ จากการดื่มน้าเมา ใหน้ กั เรียนต้งั ใจอา่ นดว้ ย ครู อภิลกั ษณ์
Search
Read the Text Version
- 1 - 29
Pages: