วิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี เลม 1 ชั้นมัธยมศึกษาปท่ี 3 กลุมสาระการเรยี นรวู ทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี หนว ยการเรยี นรูท่ี 1 หนว ยการเรียนรูที่ 2 หนวยการเรยี นรูที่ 3 หนว ยการเรียนรทู ่ี 4 Slide PowerPoint_ส่อื ประกอบการสอน บรษิ ัท อกั ษรเจรญิ ทศั น อจท. จาํ กัด : 142 ถนนตะนาว เขตพระนคร กรุงเทพฯ 10200 Aksorn CharoenTat ACT.Co.,Ltd : 142 Tanao Rd. Pranakorn Bangkok 10200 Thailand โทร./แฟกซ : 0 2622 2999 (อตั โนมัติ 20 คูสาย) [email protected] / www.aksorn.com
1หนวยการเรยี นรทู ี่ ระบบนิเวศ ตวั ช้ีวัด • อธิบายปฏสิ มั พันธขององคป ระกอบของระบบนเิ วศท่ีไดจากการสํารวจ • อธิบายรูปแบบความสมั พันธร ะหวางสงิ่ มีชีวติ กับส่ิงมีชีวิตรปู แบบตา ง ๆ ในแหลงท่ีอยูเ ดียวกนั ที่ไดจ ากการสาํ รวจ • สรางแบบจําลองในการอธบิ ายการถา ยทอดพลังงานในสายใยอาหาร • อธิบายความสมั พนั ธข องผผู ลิต ผูบริโภค และผูยอยสลายสารอินทรยี ในระบบนิเวศ • อธบิ ายการสะสมสารพษิ ในสง่ิ มีชีวติ ในโซอาหาร • ตระหนักถงึ ความสัมพันธของสงิ่ มีชวี ิต และสง่ิ แวดลอมในระบบนิเวศ โดยไมท าํ ลายสมดุลของระบบนเิ วศ
เรอื ขนนํา้ มนั ลมกลางทะเล มผี ลตอระบบนเิ วศทางทะเลอยา งไร
ระบบนิเวศ หนวยของความสมั พันธระหวา งส่งิ มีชวี ติ กับสงิ่ แวดลอมทั้งทีเ่ ปน ส่งิ มชี ีวิตและสิ่งไมม ชี ีวติ ในแหลงท่ีอยอู าศยั แหลง ใดแหลง หนง่ึ สิง่ ไมม ชี ีวติ สงิ่ มีชวี ิต • แสง สิง่ มชี วี ิตชนดิ ตางๆ ท่ีมาอาศัย • ดิน อยรู วมกนั เรียกวา • หนิ กลมุ สิง่ มชี ีวิต (community) • นา้ํ • อากาศ องคประกอบของระบบนเิ วศ • อณุ หภมู ิ ประกอบดวยอะไรบาง
องคป ระกอบของระบบนิเวศ แบงออกเปน 2 ประเภท ดงั น้ี องคป ระกอบทไี่ มมชี ีวติ องคป ระกอบทม่ี ชี วี ติ สวนท่ที ําใหระบบนเิ วศ ส่ิงมชี ีวิตทกุ ชนดิ ทีอ่ าศยั เกดิ ความสมดลุ ซึ่งมีอิทธพิ ลตอ อยใู นระบบนเิ วศ การดาํ รงชวี ติ และการกระจาย เชน พชื จุลนิ ทรีย สตั ว ของสิ่งมชี วี ิต ในระบบนิเวศ โดยส่ิงมีชีวติ แตล ะชนดิ มีความสัมพนั ธ หากขาดองคป ระกอบที่ไมม ชี วี ิตเหลานี้ กับส่ิงมีชวี ติ ชนดิ อืน่ สง่ิ มชี วี ิตจะไมสามารถ และมคี วามสมั พันธ ดํารงชวี ิตอยไู ด กับส่ิงแวดลอม
องคป ระกอบทไี่ มม ีชวี ติ อนนิ ทรยี สาร (inorganic substance) แสง แกสออกซิเจน แกส ตา งๆ นา้ํ ตาล น้าํ เชน แกส ออกซิเจน แกส คารบอนไดออกไซด เปนแกส ทเี่ กีย่ วขอ งกับกระบวนหายใจของ เปนปจ จยั กําหนดสภาพแวดลอม สิง่ มีชวี ิต ตวั อยางเชน พชื ใชแกส คารบ อนได- ความอุดมสมบรู ณ ลกั ษณะ และชนดิ ออกไซดในการสังเคราะหดวยแสง และได ของระบบนิเวศ สิง่ มชี ีวิตทุกชนิดลว น แกสออกซิเจนเปนผลผลิต ซึ่งสิ่งมีชีวิตอื่นจะ จาํ เปนตองอาศยั นา้ํ ในการดาํ รงชวี ิต หายใจเอาแกสออกซิเจนเขาสูรางกาย นาํ้ แรธ าตุ แรธาตุ พืชและสัตวแ ตล ะชนิดมีความตองการ แรธาตุตางๆ ในปริมาณทแ่ี ตกตา งกัน เชน ถาพชื ขาดธาตแุ มกนเี ซียมจะเกดิ โรคคลอโรซิส
องคป ระกอบทไี่ มม ีชีวติ อนิ ทรยี สาร (organic substance) เปนสารทไ่ี ดจ ากสง่ิ มชี ีวิต เชน คารโบไฮเดรต โปรตีน ไขมัน ซ่ึงไดจากการเนาเปอ ยและผุพงั ของซากพชื ซากสัตว ซากพืชซากสัตวทีท่ บั ถมในดนิ อินทรียสารแตกตางจาก เปน เวลานาน จะกลายเปนฮวิ มสั อนนิ ทรียสารอยา งไร ซ่ึงดนิ ท่มี ฮี วิ มสั มกั มีสีดาํ คลํ้า
องคประกอบทไ่ี มม ชี ีวติ สภาพแวดลอ มทางกายภาพ (physical environment) แสงสวาง ความเปน กรด-เบสของดนิ และนํ้า แสงจากดวงอาทติ ยเปน แหลง พลงั งานท่ีสําคญั ของโลก แสงเปน ตวั กําหนดพฤตกิ รรมของ สิ่งมีชีวติ แตละชนิดตองอาศัยอยใู นสภาพแวดลอมท่มี ี สงิ่ มีชีวติ เชน การออกหากินของ ความเปนกรด-เบส ทเ่ี หมาะสมจงึ จะดํารงชวี ติ อยไู ด สัตวบ างชนิด เชน พชื สว นใหญเ จริญไดดีในดนิ ที่มีสภาพเปนกลาง
องคประกอบทไ่ี มม ีชีวิต สภาพแวดลอ มทางกายภาพ (physical environment) ความเค็ม อุณหภูมิ ความเค็มมอี ิทธิพลอยา งมากกับสง่ิ มีชีวติ ทอ่ี าศัยอยูบริเวณ เปนปจจัยท่ีควบคุมการเจริญเติบโต การสืบพันธุ ผิวนาํ้ ตวั อยางเชน ปา ชายเลนเปน บริเวณชายฝง ทะเลทมี่ ี และการแพรกระจายของส่ิงมีชีวิต นอกจากน้ีอุณหภูมิ การเปล่ียนแปลงความเค็มตลอดเวลา เน่ืองจากอิทธิพล ยงั มผี ลตอการปรับตัวท้งั ดา นโครงสรางและพฤตกิ รรม ของนาํ้ ข้นึ น้ําลง ของสิ่งมีชวี ติ
องคประกอบทไ่ี มมีชีวิต องคประกอบทีไ่ มมชี ีวติ มีความสําคญั กับสง่ิ มีชีวิต สภาพแวดลอ มทางกายภาพ (physical environment) ในระบบนิเวศอยา งไร ความชนื้ ความชน้ื มผี ลตอ การระเหยของนํ้าในรางกายของสิง่ มีชีวติ ทาํ ใหส ิ่งมชี วี ติ มีการปรับตวั เพอื่ รักษาสมดลุ ของนาํ้ ภายใน รางกาย เชน กระบองเพชรในทะเลทรายลดรูปจากใบ กลายเปน หนาม กระแสลม มีอทิ ธิพลตอการผสมพันธขุ องพืช การแพรกระจายพันธุพชื และการคายน้ําของพชื เชน ลมชว ยพดั พาเกสรของดอกหญา ไปยังพน้ื ท่ตี า งๆ
องคประกอบทม่ี ชี วี ิต ไดแ ก พชื จลุ นิ ทรยี สตั ว ซ่งึ มีบทบาทและหนา ที่ท่แี ตกตา งกนั
ความสัมพนั ธร ะหวา งสิ่งมชี วี ติ ในระบบนเิ วศ ทาํ ไมตน ไม 2 ตน จงึ เจริญเติบโตแตกตา งกนั
สง่ิ มีชวี ิตชนดิ ตา งกนั ทมี่ าอยูร วมกัน จะมคี วามสัมพนั ธ ในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง โลก ระบบนเิ วศ กลมุ สงิ่ มีชีวิต ประชากร ส่งิ มชี วี ิต (Biosphere) (Ecosystem) (Community) (Population) (Organism) โลกเปนระบบนิเวศท่ีมีขนาด หนวยความสัมพันธระหวาง สิ่งมชี ีวติ หลายชนิดมาอาศัย สิ่งมชี ีวติ ชนดิ เดียวกันมาอาศัย สง่ิ มีชีวิตตอ งการอาหาร ใหญท่ีสุด ปร ะกอบ ดว ย ส่ิงมีชีวิตกับส่ิงแวดลอม ท้ังที่ อ ยู ใ น แ ห ล ง ท่ี อ ยู เ ดี ย ว กั น อยูรวมกนั ในบริเวณเดยี วกนั นํ้า และปจ จัยทางกายภาพ ส่ิงมชี วี ิตและส่ิงไมมชี วี ติ เปน ส่งิ มีชีวิตและสงิ่ ไมมีชวี ิต และมีความสัมพันธกนั และชว งเวลาเดียวกัน ในการดาํ รงชีวิต
รูปแบบความสมั พนั ธระหวางส่ิงมีชีวิตในระบบนิเวศ ฝา ยหนง่ึ ไดร บั ประโยชน อีกฝา ยหนึ่งไมไดร ับ ตางฝายตางไดร บั ประโยชน ฝายหนึ่งไดรบั ประโยชน อีกฝา ยหนงึ่ ตา งฝายตา งเสยี ประโยชน และไมเสยี ประโยชน เสียประโยชน (+,+) (-,-) (+,0) (+,-) • ภาวะอิงอาศัย • ภาวะการไดรับประโยชน • ภาวะประสิต • ภาวะการแกงแยงแขง ขนั รว มกนั • ภาวะการลาเหย่อื • ภาวะพ่งึ พากนั
ภาวะอิงอาศัย (commensalism) เปนความสัมพนั ธของส่งิ มชี ีวิต 2 ชนิด ทม่ี าอยูร วมกัน โดยฝายท่ขี อองิ อาศัยจะไดร ับประโยชน (+) สวนอีกฝา ยที่เปน ผใู หอาศัยจะไมไดรับและไมเสียประโยชน (0) ตัวอยา งเชน ปลาฉลาม (0) นก (+) เหาฉลาม (+) ตน ไม (0) เหาฉลามกบั ปลาฉลาม นกทํารงั บนตน ไม เหาฉลามกินเศษอาหารที่เหลอื จากปลาฉลาม และไมไดสราง นกทํารังบนที่สูงโดยอาศัยความสูงของตนไม เพื่อปองกัน ความเดอื ดรอ นใหกับปลาฉลาม จึงอาศัยอยูร วมกันได อันตรายจากสัตวใ หญ โดยนกไมไดสรางความเสียหายใหกับ ตนไม จงึ อาศยั อยูร ว มกันได
ภาวะพึง่ พากัน (mutualism) เปน ความสัมพนั ธของส่ิงมชี ีวิต 2 ชนิด ทม่ี าอยรู วมกนั แลวพึ่งพาซึง่ กนั และกัน ไมสามารถแยกจากกนั ได ตองอยูรว มกนั ไปตลอดชีวติ ตวั อยางเชน โพรโทซัวในลาํ ไสปลวก (+) (Trichonympha sp.) รา (+) กบั สาหราย (+) ปลวก (+) โพรโทซัวในลาํ ไสป ลวก ไลเคนหรอื รากับสาหราย ปลวกกนิ ไมเปนอาหารได เนื่องจากในลําไสปลวกมีโพรโทซัวชนิด สาหรายสามารถสรางอาหารเองไดดวยการสงั เคราะหด ว ยแสง ไทรโคนิมฟา ทีส่ รา งเอนไซมเ ซลลเู ลสมาชวยยอ ยไม และโพรโทซัว สว นราใหค วามชื้นแกส าหราย และดูดซึมอาหารจากสาหราย จะไดรบั สารอาหารจากการยอยไมเ ปน อาหาร
ภาวะการไดร ับประโยชนรวมกนั (cooperation) เปน ความสัมพนั ธของสิง่ มชี วี ิต 2 ชนิด ทมี่ าอยรู วมกนั แลว ตา งฝายตางไดร บั ประโยชนร วมกนั สามารถแยกจากกันได โดยไมส ง ผล กระทบกบั การดาํ รงชวี ิต ตวั อยางเชน นกเอี้ยง (+) ดอกไม (+) ผเี สื้อ(+) ควาย (+) ดอกไมกับผีเสือ้ ควายกบั นกเอ้ียง ผีเสื้อดูดนํ้าหวานจากดอกไมเปนอาหาร และดอกไมไดรับ นกเอ้ียงชวยกินเห็บ หมัด บนผิวหนังควายเปนอาหาร ประโยชนจากผเี ส้อื ในการชวยผสมเกสร สว นควายไดน กเอย้ี งชวยกาํ จัดปรสติ บนผวิ หนัง
ภาวะปรสติ (Parasitism) เปน ความสมั พันธของส่งิ มีชวี ติ ท่มี าอยูรวมกนั แลว ฝา ยหน่งึ ไดรับประโยชน เรียกวา ปรสติ (parasite) สวนฝา ยเสยี ประโยชน เรียกวา ผูถ ูกอาศยั (host) ตวั อยา งเชน พยาธิใบไมตับ (+) กาฝาก (+) กบั ตนไม (-) ในทอ น้ําดีของคน (-) พยาธิตัวตดื (+) เพล้ีย (+) กับตน ไม (-) ในลําไสใหญข องคน (-) ปรสิตภายใน ปรสิตภายนอก
ภาวะการลาเหยอ่ื (predation) เปน ความสมั พนั ธข องสิง่ มีชวี ติ ท่ีมาอยรู วมกัน แลว ฝายหน่ึงไดรับประโยชน เรียกวา ผูลา (predator) สว นฝายเสยี ประโยชน เรยี กวา เหย่ือ (prey) ตัวอยางเชน หมีสนี าํ้ ตาล (+) สงิ โต (+) ปลา (-) มา ลาย (-) หมสี ีนํา้ ตาลลา ปลาเปน อาหาร สงิ โตลามา ลายเปนอาหาร
ภาวะการแกง แยงแขงขัน (Competition) เปน ความสมั พนั ธข องสงิ่ มีชีวิต 2 ฝา ย ท่ตี อ งการทรัพยากรเดยี วกัน ทาํ ใหเกิดการแกงแยง กนั แบงออกเปน 2 แบบ ดังนี้ การแกงแยงแขง ขนั ระหวางสง่ิ มชี ีวิตชนดิ เดยี วกัน การแกง แยง แขงขันระหวางสงิ่ มีชีวิตตางชนดิ กนั (intraspecific competition) (interspecific competition) หมตี อ สูกนั เพ่อื แยงอาหาร หมตี อ สูกบั หมาปาเพอ่ื แยงอาณาเขต กวางตอสกู นั เพื่อแยง อาณาเขต หมาในและแรง แยงกนั กนิ ซากสิ่งมีชีวิต
การถายทอดพลงั งานในระบบนิเวศ เมอ่ื สัตวก นิ พชื และสัตวกินสตั วตอไป อีกทอดหนึง่ พลังงานจากผูผลิตจะถายทอดไป พชื เปนผูผลิตท่ีสามารถสรางอาหารเองได ยั ง ผู บ ริ โ ภ ค ผ า น ก า ร กิ น ข อ ง ส่ิ ง มี ชี วิ ต ดว ยการสังเคราะหดว ยแสง โดยเปล่ยี น เ รี ย ก ค ว า ม สั ม พั น ธ น้ี ว า โ ซ อ า ห า ร พลังงานแสงใหเปนพลงั งานเคมี (food chain) ธรรมชาติส่ิงมีชีวิตไมไดกินสัตว เพียงชนิดเดียว แตอาจกินมากกวา 1 ชนิด จงึ ทําใหเกิดโซอ าหารหลายโซท่ีมคี วามซบั ซอน มากขึน้ เรียกความสัมพนั ธนีว้ า สายใยอาหาร (food web) ความสัมพันธของสิ่งมีชีวติ รปู แบบใด ทาํ ใหเ กิดการถา ยทอดพลังงาน ในระบบนเิ วศ
การเขียนแผนภาพโซอาหาร สามารถเขยี นเปน แผนภาพโดยเร่ิมจากผผู ลิตอยทู างดา นซา ย และตามดว ยผูบ ริโภคลาํ ดับท่ี 1 ผบู ริโภคลาํ ดับท่ี 2 ตอไปเรือ่ ยๆ จนถึงผูบรโิ ภคลําดบั สุดทาย และเขียนลกู ศรแทนการถา ยทอดพลงั งาน โดยใหหัวลกู ศรชไ้ี ปทางผูบ ริโภค ปรมิ าณพลงั งานในส่ิงมีชวี ติ ในโซอาหารเปนอยางไร ปริมาณ พลงั งาน ผผู ลิต ผบู รโิ ภคลําดบั ท่ี 1 ผบู ริโภคลาํ ดบั ที่ 2 ผูบรโิ ภคลาํ ดับที่ 3 ผูบริโภคพชื ผบู ริโภคสัตว ผบู ริโภคซากสัตว
การสะสมสารพิษในโซอาหาร มาก นอ ย ผบู ริโภคลาํ ดบั ท่ี 4 นอ ย มาก ผบู ริโภคลาํ ดบั ที่ 3 ปริมาณสารพิษ ปรมิ าณพลังงาน ผบู รโิ ภคลาํ ดบั ท่ี 2 ผบู รโิ ภคลําดบั ที่ 1 ผูผลติ
Summary หนว ยการเรียนรทู ี่ 1 ระบบนิเวศ ระบบนเิ วศ คือ กลมุ สิ่งมีชวี ิตทอ่ี าศัยอยูใ นบริเวณ ของระบบนิเวศ เดียวกันและมีความสัมพันธกันและ สมั พนั ธกับสง่ิ ไมมีชวี ติ ในส่งิ แวดลอม องคป ระกอบทมี่ ีชีวิต นั้นๆ อยา งเปนระบบ “ผผู ลติ ”พชื องคประกอบทไี่ มมชี ีวติ “ผบู รโิ ภค” อนินทรียสาร ผบู ริโภคพืช เชน กระตาย ผบู รโิ ภคสัตว เชน เสือ - แรธ าตุ เชน N, P, K ผบู ริโภคท้งั พืชและสตั ว เชน มนุษย - แกสตางๆ เชน CO2, O2, N2 ผูบริโภคซากสตั ว เชน แรง - นํ้า “ผูยอ ยสลายสารอินทรยี ” อนิ ทรยี สาร รา แบคทีเรยี - ซากพืชซากสตั ว สภาพแวดลอมทางกายภาพ - แสงสวา ง - อุณหภูมิ - ความเปนกรด-เบส - ความชืน้ - ความเค็ม - กระแสลม
ความสัมพันธ ในระบบนเิ วศ ลกั ษณะ รปู แบบ ตวั อยา ง ความสมั พนั ธ ,ความสัมพันธ ความสมั พนั ธ ความสัมพนั ธของสง่ิ มีชวี ติ 2 ชนิด ที่ไดรับประโยชน • ไลเคน (รากับสาหราย) ภาวะพึ่งพากนั รว มกนั ขาดจากกนั ไมไ ด • โพรโทซวั ในลําไสปลวก (mutualism) • แบคทีเรียในปมรากถว่ั ความสมั พนั ธข องสิ่งมีชีวิต 2 ชนดิ ฝา ยหนึ่งไดร ับประโยชน • เหาฉลามกับปลาฉลาม , (ผอู าศัย) อกี ฝายหนึ่งไมไดรับและไมเสียประโยชน • นกทํารังบนตนไมใ หญ (ผูใหอาศยั ) • กลวยไมก ับตน ไมใ หญ ภาวะองิ อาศัย (commensalism) ความสัมพันธข องสงิ่ มีชวี ติ 2 ชนดิ ฝา ยปรสติ (parasite) • พยาธิในลาํ ไสใหญมนษุ ย ไดรับประโยชนอาจอยภู ายนอกหรืออยภู ายในอีกฝาย • กาฝากกบั ตนไมใหญ , หน่งึ ซง่ึ เปน ผูถกู อาศยั (host) จะเสยี ประโยชน • เหบ็ และหมัดบนตัวสนุ ขั ภาวะปรสติ ความสัมพันธของสง่ิ มชี ีวติ 2 ชนิด ฝา ยทเ่ี ปน ผลู า • เสอื ลากวาง (parasitism) (predator) ไดร บั ประโยชน สวนอกี ฝา ยทีเ่ ปนเหย่ือ • นกกินหนอน (prey) จะเสียประโยชน เพราะเปน อาหารของผูล า • ตนกาบหอยแครงกับแมลง , ภาวะการลาเหยื่อ (predation)
โซอาหารที่มีความซับซอ นมากขนึ้ ความสัมพันธข องสิง่ มชี ีวิตในบริเวณเดียวกัน ทม่ี ีการถายทอดพลังงานผานการกินตอ กัน เปน ทอด ๆ เชน หญา = ผูผ ลติ ตก๊ั แตน = ผบู ริโภคลาํ ดับที่ 1 กบ = ผบู รโิ ภคลาํ ดับท่ี 2 งู = ผบู ริโภคลําดบั ที่ 3 เหยยี่ ว = ผูบรโิ ภคลําดับท่ี 4 โดยปริมาณพลงั งานทีถ่ กู ถา ยทอดจะลดลง ไปทีละขน้ั ตามลาํ ดบั ของผูบรโิ ภคทส่ี งู ขน้ึ
Search
Read the Text Version
- 1 - 28
Pages: