ใบความรทู้ ่ี 1 เรอื่ ง ภาวะโลกรอ้ น ภาวะโลกรอ้ น (GlobalWarming)เปน็ ปรากฏการณอ์ นั เนือ่ งจากการที่โลกไม่สามารถระบายความร้อนออกไป ได้ จึงทาใหอ้ ุณหภูมิสูงข้ึน ปัจจุบันโลกของเรากาลงั ถูกปกคลุมดว้ ยกา๊ ซเรือนกระจก (GreenhouseGases) ที่มากเกิน สมดุลของธรรมชาติ ซึ่งก๊าซเรือนกระจกจะทาการเก็บกักความร้อนไม่ให้สะท้อนออกนอกผิวโลก ทาให้อุณหภูมิ พ้ืนผิวโลกเพ่ิมสูงข้ึน องค์การสหประชาชาติได้ประมาณการว่าอุณหภูมิของโลก จะสูงขึ้นโดยเฉลี่ย 2-4oC ส่งผลให้ ระดับน้าทะเลสูงข้ึน 20-50 cm. ในเวลาอีก 10-50ปี นับจากปัจจุบัน โดยสาเหตุหลักท่ีทาให้อุณหภูมิโลกสูงข้ึน ประกอบด้วยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ,ก๊าซมีเทน (CH4) , ก๊าซไนตรัสออกไซด์ (N2O), คลอโรฟลู โอโร คาร์บอน (CFC3) และ โอโซน (O3) ซ่งึ มาจากการดาเนินกิจกรรมของมนุษย์ ได้แก่การใช้ไฟฟูา การใช้น้ามัน เช้ือเพลิง ในการขนส่งและภาพอุตสาหกรรมเป็นต้น เป็นเวลากว่าทศวรรษมาแล้วที่SyanteArrhenius นักวิทยาศาสตร์ชาว สวีเดน ได้พิสูจน์ว่าก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) สามารถเก็บกักความร้อนได้ โดย CO2 ในช้ันบรรยากาศซึ่งมีอยู่ ตามธรรมชาติได้เก็บความร้อนท่ีส่งมาจากดวงอาทิตย์ให้คงอยู่ภายในโลก ทาให้โลก มีอุณหภูมิที่เหมาะสม ไม่หนาว เยน็ จนสิง่ มีชีวติ ไมส่ ามารถดารงชีวติ อยูไ่ ด้ แต่ขณะน้ี CO2 กา๊ ซเรือนกระจกทีเ่ ปน็ สาเหตสุ าคญั ของปญั หาโลกร้อน ปรากฏการณ์เรือนกระจกภมู ิอากาศของโลกเกิดจากการไหลวนของพลังงานจากดวงอาทิตย์ ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ ในรปู ของแสงแดด พลงั งานประมาณรอ้ ยละ 70 ไดถ้ กู ดูดซับโดยผ่านชั้นบรรยากาศลงมาให้ความอบอุ่นกับพ้ืนผิวโลก แต่อีกร้อยละ 30 จะสะท้อนกลับไปสู่ห้วงอวกาศ ในรูปของแสงอินฟราเรดหรือรังสี ความร้อนทาให้โลกไม่ร้อน จนเกินไป สงู จากโลกเราขนึ้ ไปในชน้ั บรรยากาศมี “ก๊าซเรือนกระจก” ซ่ึงเปรียบเสมือน “ผ้าห่มธรรมชาติ” ห่อหุ้มอยู่ ก๊าซเรอื นกระจกท่ีสาคัญ คือ ไอน้า ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์(CO2) โอโซน(O3) มีเทน(CH4) ไนตรัสออกไซด์ (N2O) ซึ่งเกิดข้ึนตามธรรมชาติ ก๊าซเหล่าน้ีมีปริมาณรวมกันทั้งสิ้นไม่ถึงร้อยละ 1 ของบรรยากาศ แต่ก็มากเพียงพอที่จะทา ให้โลกของเรามีอุณหภูมิอุ่นข้ึนจากเดิมประมาณ 30 องศาเซลเซียส ซ่ึงเป็นระดับท่ีจาเป็นต่อการดารงชีพของมนุษย์ CO2 คือตัวการสาคัญสาเหตุสาคัญของปัญหาโลกร้อนกว่าร้อยละ 80 เป็นผลมาจากการเพ่ิมขึ้นของ CO2 ในชั้น บรรยากาศ ในปี พ.ศ. 2534 มีการปล่อย CO2 รวมท้ังโลกในปริมาณสูงถึง 26.4 พันล้านตัน จากการเผาไหม้ เชื้อเพลิงฟอสซิลอย่างถ่านหิน น้ามันและก๊าซธรรมชาติ รวมท้ังการตัดไม้ทาลายปุา ซ่ึงการเปลี่ยนแปลงนี้เกิดข้ึ น อย่างรวดเร็วมาก นักวิทยาศาสตร์ประมาณการเปล่ียนแปลงของ CO2 ในช่วง 10,000 ปี ก่อนการปฏิวัติ อุตสาหกรรมว่ามีไม่ถึงร้อยละ 10 และธรรมชาติสามารถปรับตัวให้สมดุลกับการเปล่ียนแปลงนั้นได้ แต่ในช่วง ระยะเวลาเพียง 200 ปี ท่ีผ่านมาระดับ CO2 ได้เพ่ิมขึ้นถึงประมาณร้อยละ 30 ถึงแม้บางส่วนจะถูกดูดซับไปโดย มหาสมุทรและพืช แต่ปริมาณ CO2 ก็ยังคงเพ่ิมขึ้นไม่น้อยกว่าร้อยละ10ในทุกๆ 20 ปี ซ่ึงขณะนี้มีก๊าซเรือนกระจกใน ชั้นบรรยากาศมากท่ีสุดในรอบ 420,000 ปี ที่ผ่านมา คาดการณ์ว่าปริมาณการปล่อย CO2 อาจเพ่ิมสูงข้ึนจากระดับ ปัจจุบัน ร้อยละ 4 ถงึ 320 ในปี พ.ศ. 2643 ซ่ึงจานวนน้ีถือว่ามากกว่าระดับที่มีอยู่ตามธรรมชาติก่อนท่ีมนุษย์จะเร่ิม เผาเชื้อเพลิงฟอสซิลคร้ังใหญ่ ในยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม ประมาณสองถึงสามเท่า ก๊าซเรือนกระจกที่มีปริมาณ รองลงมาอยา่ งก๊าซมีเทน (CH4) กเ็ พิ่มปริมาณข้ึนเป็นสองเท่าเนื่องจาก การทาการเกษตรโดยเฉพาะการปลูกข้าวใน นาที่มีน้าขังและการปศุสัตว์ นอกจากน้ี การฝังกลบขยะ การทาเหมืองถ่านหินและการผลิตก๊าซธรรมชาติก็ปล่อย
CH4 เช่นกัน คาดว่าปริมาณก๊าซเรือนกระจกท่ีเพิ่มข้ึนเป็นผลมาจาก CH4 ประมาณร้อยละ 15-20 และการเพิ่มข้ึน ของไนตรัสออกไซด์ (N2O) คลอโรฟลูออโอคาร์บอน (CFCs) และโอโซน (O3) ประมาณร้อยละ 20 ปริมาณ N2O ท่ี เพ่ิมข้ึนประมาณร้อยละ 15 เป็นผลมาจากการทาการเกษตรเป็นส่วนใหญ่ ในปี พ.ศ.2541 ประเทศอุตสาหกรรมชั้น นา 7 ประเทศ (แคนาดา ฝรั่งเศส เยอรมัน อิตาลี ญ่ีปุน สหราชอาณาจักร และสหรัฐอเมริกา) ปล่อย CO2 รวมกันถึง รอ้ ยละ 79ของปริมาณทป่ี ลอ่ ยจากประเทศทีพ่ ัฒนาแล้ว 25 ประเทศ (OECD)ในปี พ.ศ.2542 กลุ่มประเทศ G8 ได้แก่ ประเทศอุตสาหกรรมชั้นนา 7 ประเทศ และรัสเซีย ได้ปล่อย CO2 รวมกัน คิดเป็นร้อยละ 48.7 ของการปล่อยจาก ท่ัวโลก ดังน้ันประเทศอุตสาหกรรมชั้นนาจึงควรแสดงความรับผิดชอบโดยการเร่งดาเนินการเพ่ือลดการปล่อย CO2 อย่างจริงจังในประเทศของตนเพ่ือเป็นตัวอย่างและแนวทางให้แก่ประเทศอื่นๆ ได้ปฏิบัติตาม ซึ่งเป็นไปตามหลักการ ของพิธีสารเกียวโต คือ ไม่มีการกาหนดพันธกรณีในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้แก่ประเทศ ที่กาลังพัฒนา ในขณะที่ประเทศท่ีพัฒนาแล้วต้องเป็นผู้นาในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพ่ือมุ่งสู่การแก้ปัญหาการ เปล่ยี นแปลงสภาพภูมอิ ากาศอยา่ ง เกิดอะไรข้ึนกับโลกใบนี้จากเหตุการณ์ไม่คาดฝันคลื่นยักษ์สึนามิถล่มภาคใต้ของประเทศไทย และอีกหลาย ประเทศแถบมหาสมุทรอินเดียเม่ือปลายปี 2547 ยังไม่ทันจางหาย ก็เกิดเหตุการณ์น้าท่วมคร้ังใหญ่ท่ีประเทศจีน ตามมาด้วยพายุพดั ถล่มญปี่ ุน และไต้หวนั รวมถึงภาคเหนือของประเทศไทย และท่ีหนักที่สุดในประวัติศาสตร์อเมริกา ก็คือ พายุเฮอริเคนพัดถล่มทางภาคใต้ของประเทศ สร้างความเสียหายไม่ต่ากว่า 35,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ ประมาณ 1.4 ลา้ นลา้ นบาทตอ่ มาในปีน้ี พาเหรดน้าท่วมได้ย้อนรอยสร้างความเสียหายมหาศาลในหลายพื้นที่ท่ัวโลก รวมท้ังประเทศไทย ซึ่งรุนแรงและครอบคลุมพ้ืนท่ีกว้างกว่าเดิมเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเหล่านี้จึงดึงความสนใจของมนุษย์ โลก โดยเฉพาะนักวิทยาศาสตร์ให้หันกลบั มาตั้งคาถามดว้ ยความวติ กกงั วลวา่ “เกิดอะไรข้นึ กบั โลก?” นกั วิทยาศาสตรจ์ ากท่ัวโลกพยายามหาคาตอบในเร่ืองน้ี นักวิทยาศาสตร์หลายคนพยายามตั้งสมมติฐาน(ท่ียัง รอคาตอบ)ว่าหายนะบางอย่างที่เกิดข้ึน เป็นผลพวงมาจากปรากฏการณ์ Climate Change หรือ การเปล่ียนแปลง ของสภาพอากาศ ภาวะเรอื นกระจก เปน็ ภาวะที่ชั้นบรรยากาศของโลกกระทาตัวเสมือนกระจก ท่ียอมให้รังสีคล่ืนสั้น ผ่านลงมายังผิว โลกได้ แต่จะดูดกลืนรังสีคลื่นยาวช่วงอินฟราเรดที่แผ่ออกจากพื้นผิวโลกเอาไว้ จากน้ันจึงคายพลังงานความร้อน ให้ กระจายอยู่ในช้นั บรรยากาศและพ้นื ผิวโลก จงึ เปรียบเสมือนกระจกที่ปกคลมุ ผิวโลกใหม้ ีภาวะสมดลุ ทางอุณหภูมิ และ เหมาะสมต่อสิ่งมชี ีวิตบนผวิ โลก แต่ในปจั จุบนั มีก๊าซบางชนิดสะสมอยู่ในช้ันบรรยากาศมากเกินสมดุล ซึ่งส่วนมากเป็น ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ก๊าซน้ีมีคุณสมบัติดูดกลืนรังสีคลื่นยาว ช่วงอินฟราเรดและคายพลังงานความร้อนได้ดี
พ้ืนผิวโลกและช้ันบรรยากาศ จึงมีอุณหภูมิสูงขึ้น ส่งผลกระทบต่อสภาพภูมิอากาศของโลก และส่ิงมีชีวิตพื้นผิวโลก อย่างมากมาย 20 ปีที่ผ่านมา นักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกพบว่าอุณหภูมิโลกสูงขึ้นเฉลี่ย 0.5 องศาเซลเซียส สาหรับคน ท่ัวไปอาจเป็นตัวเลขที่ไม่น่าต่ืนเต้น แต่กลับภูมิอากาศ หากลองได้เปลี่ยนแล้ว ผลลัพธ์ไม่ได้ “น้อยนิด” ตามตัวเลขท่ี ปรากฏเลย.มีรายงานผลการวิจยั ว่าในรอบ 40 ปี หากอุณหภูมิของโลกท่ีสูงขึ้นเพียง 0.6 หรือ 1 องศาเซลเซียส ส่งผล ตอ่ ระดับความรนุ แรงของภยั ธรรมชาตทิ างอากาศ เช่น พายุหมนุ เพ่มิ ข้นึ 4-5 เท่าตัว ในขณะเดียวกัน ก็มีรายงานว่า มีความเป็นไปได้สูงว่าภัยธรรมชาติท่ีเก่ียวกับอากาศและเกิดข้ึนในหลายประเทศทั่วโลก เช่น พายุพัดถล่มในประเทศ สหรฐั อเมรกิ า นา้ ท่วม ภัยแลง้ ทีม่ รี ะดบั ความรนุ แรงมากข้นึ อาจเปน็ ผลกระทบจากภาวะโลกร้อน การแก้ปัญหาโลกร้อน การจัดการกับปัญหาโลกร้อนไม่ใช่ส่ิงที่เกินความสามารถของมนุษย์ เพราะ เทคโนโลยีท่ีเรามีอยู่ในปัจจุบันมีประสิทธิภาพเพียงพอท่ีจะช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและช่วยแก้ปัญหาโลก ร้อนได้ ทางแก้ปัญหาเรม่ิ ตน้ อยา่ งง่ายๆจากการประหยัดพลงั งานในชวี ติ ประจาวัน เช่น ใช้พลังงาน ให้มีประสิทธิภาพ และเลอื กใชเ้ คร่อื งใช้ไฟฟูารนุ่ ทีป่ ระหยดั พลังงาน เราใชพ้ ลงั งานน้อยลงเทา่ ไหรก่ ช็ ่วยลดการปล่อย CO2 ได้มากเท่าน้ัน การใช้พลังงานจากแหล่งพลังงานสะอาด เช่นพลังงานแสงอาทิตย์ และพลังงาน ชีวมวล (แกลบ ชานอ้อย มัน สาปะหลัง ฟืน ฯลฯ)ก็เป็นอีกหน่ึงทางออกท่ีดี ท่ีช่วยลดการปล่อย CO2 ซึ่งเหมาะสมกับประเทศไทยเพราะประเทศ ไทยมแี สงแดดเปน็ ระยะเวลานาน และมีความเข้มข้นของแสงมากอีกท้ังเรายังมีวัตถุดิบเหลือใช้ทางการเกษตรจานวน มากท่ีพรอ้ มจะเปล่ียนให้กลายเปน็ พลงั งาน
ใบความรทู้ ี่ 3 เรอื่ ง ภยั ธรรมชาติ ภัยธรรมชาติ คือผลกระทบท่เี กดิ จากอนั ตรายจากภยั ธรรมชาติ (เช่น ภเู ขาไฟระเบิด, แผน่ ดนิ ไหว, หรือ แผน่ ดนิ ถล่ม) ซึ่งทาใหเ้ กิดผลกระทบต่อการดารงชีวติ ของมนษุ ย์ ภยั ธรรมชาติมีหลายรปู แบบแตกต่างกนั ไปบางอยา่ ง ร้ายแรงนอ้ ย บางอย่างรา้ ยแรงมากซ่ึงอาจสร้างผลเสียต่อชีวิตและทรัพย์สนิ เชน่ อทุ กภยั หรือนา้ ท่วม การเกิดพายุ (วาตภัย) การเกิดแผน่ ดนิ ไหว ภูเขาไฟระเบิด แผน่ ดนิ ไหว เปน็ ปรากฏการณ์การส่ันสะเทอื นหรือเขยา่ ของพนื้ ผิวโลก สาเหตขุ องการเกิดแผ่นดินไหวน้ันส่วนใหญ่เกิดจาก ธรรมชาติ โดยแผ่นดินไหวบางลักษณะสามารถเกิดจากการกระทาของมนุษย์ ซึ่งแผ่นดินไหวจากธรรมชาติเป็นธรณี พิบัติภัยชนิดหนึ่ง ส่วนมากเป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติท่ีเกิดจากการสั่นสะเทือนของพื้นดิน อันเนื่องมาจากการ ปลดปล่อยพลงั งานเพือ่ ระบายความเครยี ด ทีส่ ะสมไว้ภายในโลกออกมาอยา่ งฉับพลันเพื่อปรับสมดุลของเปลือกโลกให้ คงท่ี ข้อปฏบิ ัตใิ นการปอู งกันและบรรเทาภยั จากแผน่ ดินไหว ก่อนเกิดแผ่นดินไหว เตรียมเคร่ืองอุปโภคบริโภคที่จาเป็น เช่น ถ่านไฟฉาย ไฟฉาย อุปกรณ์ดับเพลิง น้าดื่ม น้าใช้ อาหารแห้ง ไว้ใช้ในกรณีไฟฟูาดับหรือกรณีฉุกเฉินอ่ืน ๆ จัดให้มีการศึกษาถึงการปฐมพยาบาล เพ่ือเป็นการ เตรียมพร้อมที่จะช่วยเหลือผู้ท่ีได้รับบาดเจ็บ หรืออันตรายให้พ้นขีดอันตรายก่อนท่ีจะถึงมือแพทย์ จาตาแหน่งของ
วาลว์ เปิด-ปิดน้า ตาแหน่งของสะพานไฟฟูาเพ่ือตัดตอนการส่งน้า และไฟฟูา ยึดเคร่ืองเรือน เคร่ืองใช้ไม้สอย ภายใน บ้าน ท่ีทางานและในสถานที่ศึกษาให้ความมั่นคงแน่นหนา ไม่โยกเยกโคลงเคลงไปทาความเสียหายแก่ชีวิตและ ทรพั ย์สิน ขณะเกิดแผ่นดินไหว ปฏิบัติตามคาแนะนา ข้อควรปฏิบัติของทางราชการอย่างเคร่งครัด ไม่ตื่นตระหนกจนเกินไป ตรวจเช็คการบาดเจ็บ และการทาการปฐมพยาบาลผู้ท่ีได้รับบาดเจ็บ แล้วรีบนาส่งโรงพยาบาลโดยด่วนเพื่อให้แพทย์ ไดท้ าการรักษาต่อไป ตรวจเช็คระบบน้า ไฟฟูา หากมีการรั่วซึมหรือชารุดเสียหายให้ปิดวาล์ว เพื่อปูองกันน้าท่วมเอ่อ ยกสะพานไฟฟูาเพ่อื ปูองกนั ไฟฟูารว่ั ไฟฟูาดูด หรอื ไฟฟาู ช๊อต ดนิ โคลนถล่ม เป็นภัยธรรมชาติท่ีเกิดขึ้นตามเชิงเขา โดยอาจจะเป็นการถล่มของโคลน น้า ส่ิงปฏิกูล เศษขยะ ดินเปียก หลังจากฝนตกหนักและเกิดน้าท่วมฉับพลัน หรือการเกิดแผ่นดินไหวสาเหตุหน่ึงที่ทาให้เกิดโคลนถล่มก็คือ การตัดไม้ ทาลายปาุ ทาใหร้ ากไมท้ ยี่ ึดดิน ทาให้ดินถล่มได้งา่ ยหลังจากฝนตกหนกั นา้ จะซึมลงไปในดนิ อยา่ งรวดเร็ว ข้อสงั เกตหรอื สิ่งบอกเหตุ - ฝนตกหนักถงึ หนักมาก (มากกว่า 100 มลิ ลิเมตรต่อวนั ) - นา้ ในลาห้วยสงู ขนึ้ อย่างรวดเร็ว และเปลยี่ นเป็นสีของดินภเู ขา - มเี สยี งดงั อ้ืออึง ผิดปกตมิ าจากภเู ขาและลาหว้ ย นา้ ปาุ หรอื น้าท่วมฉบั พลนั (flash flood) คือนา้ ทว่ มที่เกดิ ขึน้ อยา่ งรวดเร็วมากในบรเิ วณที่ลุม่ ต่า ในแม่น้า ลาธารหรือร่องน้าท่ีเกิดจากฝนท่ีตกหนักมาก ติดต่อกันหรือจากพายุฝนที่เกิดซ้าท่ีหลายคร้ัง น้าปุาอาจเกิดจากท่ีสิ่งที่ปลูกสร้างโดยมนุษย์ เช่น เข่ือนหรือฝาย พังทลายสาเหตุของน้าปุาเกิดจากการอ่ิมตัวของผืนดินจากฝนที่ตกมากเกินขีดความสามารถในการดูดซับน้าทาให้ ปราณของนา้ ฝนที่ตกลงมาทงั้ หมดไหลไปตามผวิ พ้นื ดนิ จากทเ่ี คยถูกซึมซับไว้ได้ น้าจะรวมตัวไหลสู่ท่ีต่าอย่างรวดเร็วใน ระหว่างทางก็จะมีนา้ ปาุ สว่ นอ่ืนเพิม่ ปริมาณสมทบทะลกั ลงไปตามร่องน้าอย่างรวดเร็ว ย่ิงชันและมีพ้ืนท่ีรับน้ามากก็ยิ่ง มคี วามเรว็ และพลังท่รี นุ แรงมากขนึ้ อทุ กภัย เกิดจากฝนตกหนกั ต่อเน่อื งกันเป็นเวลานานบางครั้งทาให้เกิดแผ่นดินถล่มอาจมีสาเหตุจากพายุหมุนเขตร้อน ลมมรสุมมีกาลังแรงร่องความกดอากาศต่ามีกาลังแรง อากาศแปรปรวน น้าทะเลหนุนหนุน แผ่นดินไหว เข่ือนพัง ทา ใหเ้ กิดอทุ กภัยได้เสมอ อุทกภยั แยกออกเป็น 1. น้าปุาหลากเกิดจากฝนตกหนักบนภูเขา ต้นน้าลาธารและไหลบ่าลงที่ราบอย่างรวดเร็วเพราะไม่มีต้นไม้ ชว่ ยดดู ซบั ชะลอกระแสนา้ ความเรว็ ของน้าของทอ่ นซุง และต้นไมซ้ ง่ึ พัดมาตามกระแสนา้ จะทาลายต้นไม้ อาคาร ถนน สะพาน และชีวิตมนษุ ยแ์ ละสัตวไ์ ด้
2. น้าท่วมขัง น้าเอ่อนอง เกิดจากน้าล้นตลิ่ง มีระดับสูงจากปกติท่วมแช่ขังทาให้การคมนาคมหยุดชะงักเกิด โรคระบาดไดท้ าลายพชื ผลเกษตรกร 3. คลื่นซดั ฝั่ง เกิดจากพายลุ มแรงซัดฝ่ัง ทาให้น้าท่วมบรเิ วณชายฝง่ั ทะเล บางครัง้ มีคลื่นสูงถึง 10 เมตรซัดเข้า ฝัง่ ทาลายทรพั ย์สนิ และชวี ติ ได้ การปูองกนั และลดความเสียหายจากอทุ กภัย เม่อื กรมอุตนุ ิยมวิทยาเตือนใหอ้ พยพ ควรรบี อพยพไปอยู่ในท่ีสูงอาคารที่ม่ันคงแข็งแรงท้ังคนและสัตว์เล้ียง ถ้า อยู่ในที่ราบให้ระมัดระวังน้าปุาหลากจากภูเขาที่ราบสูงลงมากระแสน้าจะรวดเร็วมากควรสังเกตเม่ือมีฝนตกหนัก ติดต่อกันบนภูเขาหลาย ๆ วันให้เตรียมตัวอพยพขนของไว้ที่สูง หลังจากน้าท่วมจะเกิดโรคระบาดในระบบทางเดิน อาหารทั้งคนและสัตวใ์ ห้ระวังน้าบรโิ ภค ควรสะอาด ต้มสุกเสยี กอ่ น วาตภยั วาตภยั คอื ภัยธรรมชาติซงึ่ เกดิ จากพายลุ มแรง เมื่อพายุท่ีมีกาลังขนาดไต้ฝุน คือ กาลังความเร็วของลมต้ังแต่ 65 น๊อต หรือ 118 กิโลเมตรต่อชั่วโมงข้ึนไปพัดผ่านท่ีใดย่อมทาให้เกิดความเสียหายร้ายแรงท่ัวไปซึ่งพอท่ีจะกล่าวได้ ดงั ต่อไปนี้ 1. ความรุนแรงและอันตรายจากพายไุ ต้ฝุน บนบก ต้นไม้ล้ม ถอนราก ถอนโคน จะทาให้เกิดอันตรายจากต้นไม้ล้มทับบ้านเรือน บ้านเรือนพังทับผู้คนใน บ้านและใกล้เคียงบาดเจ็บหรือตาย เรือกส่วนไร่นาเสียหายหนักมาก เสาไฟฟูาล้ม สายไฟฟูาขาด ไฟฟูาช๊อตเกิดเพลิง ไหม้และผู้คนอาจเสียชีวิตจากไฟฟูาดูดได้ ผู้คนที่มีอาคารพักอาศัยอยู่ริมทะเลอาจถูกน้าพัดพาลงทะเล จมน้าตายได้ ดังเชน่ ปรากฏการณ์ท่แี หลมตะลุมพกุ จังหวดั นครศรธี รรมราช ในทะเล ในทะเลลมแรงจัดมาก คล่ืนใหญ่ เรือขนาดใหญ่ ๆ ขนาดหม่ืนตันอาจจะถูกพัดพาไปเกยฝ่ังล่มจมได้ บรรดาเรอื เลก็ เป็นอันตรายล่มจมสิน้ ไม่สามารถจะต้านความรุนแรงของพายุได้คลื่นใหญ่ซัดข้ึนริมฝั่งจนทาให้ระดับน้า ขึน้ สงู มากจนท่วมอาคารบา้ นช่องริมทะเลได้ บรรดาโปะฺ จบั ปลาในทะเลถูกทาลายลงโดยสิน้ เชิงโดยคลน่ื และลม 2. ความรนุ แรงและอนั ตรายจากพายุโซนร้อน พายุโซนร้อนมีความรุนแรงน้อยกว่าพายุไต้ฝุน ความเร็วของลมบริเวณใกล้ศูนย์กลางต้ังแต่ 34 น๊อต หรือ 62 กิโลเมตรต่อชั่วโมงขึ้นไป แต่ไม่เกิน 63 น็อต หรือ 117 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ฉะนั้นอันตรายอันจะเกิดจากการที่พายุน้ี พัดมาปะทะลดลงในระดับรองลงมาจากพายุไต้ฝุน แต่ถึงกระน้ันก็ตามความรุนแรงที่จะทาให้ความเสียหายก็ยังมีมาก เหมือนกัน ในทะเลลมจะแรงมากจนสามารถจะจมเรือขนาดใหญ่ ๆ ได้ต้นไม้ถอนรากถอนโคนดังพายุโซนร้อนที่ปะทะ ฝงั่ แหลมตะลมุ พกุ จังหวดั นครศรีธรรมราช 3. ความรุนแรงและอนั ตรายจากพายุดีเปรสช่ัน พายุดีเปรสชั่นเป็นพายุที่มีกาลังอ่อนความเร็วของลมใกล้บริเวณศูนย์กลางไม่เกิน 33 น็อต หรือ 61 กิโลเมตร ต่อช่ัวโมง ไม่มอี ันตรายรุนแรงแต่ทาใหม้ ีฝนตกหนักปานกลางทวั่ ไปตลอดทางทีพ่ ายดุ ีเปรสช่ันผ่านไป และมีฝนตกหนัก เป็นแห่ง ๆ พร้อมด้วยลมกรรโชกแรงเป็นคร้ังคราว ซ่ึงบางคราวจะรุนแรงจนทาให้เกิดความเสียหายได้บ้าง ไม่
ปลอดภัยเสียทีเดียว ในทะเลค่อนข้างแรงและคล่ืนจัด บรรดาเรือประมงขนาดเล็กขนาดต่ากว่า 50 ตันควรงดออก ทะเลเพราะอาจจะลม่ ลงได้ 4. ความรุนแรงและอันตรายจากพายฤุ ดูร้อน พายฤุ ดูรอ้ นเป็นพายุท่ีเกิดข้ึนโดยเหตุและวิธีการต่างกับพายุดีเปรสชั่น และเกิดบนผืนแผ่นดินที่ร้อนอบอ้าวใน ฤดูร้อนแต่เป็นพายุที่มีบริเวณย่อม ๆ มีอาณาเขตเพียง 20-30 ตารางกิโลเมตร แต่อาจมีลมแรงมากถึง 47 น็อต หรือ 87 กิโลเมตรต่อช่ัวโมง ดังพายุที่เกิดข้ึนที่จังหวัดขอนแก่น เม่ือวันท่ี 2 พฤษภาคม พ.ศ.2494 และพายุท่ีเกิดขึ้นท่ี อาเภอมกุ ดาหารเมอ่ื วันท่ี 8 เมษายน พ.ศ.2497 พายนุ มี้ กี าลังแรงทจี่ ะทาใหเ้ กดิ ความเสียหายได้มากเหมือนกันแต่เป็น ช่วงระยะเวลาสนั้ ๆ ประมาณ 2-3 ช่วั โมง การเตรยี มการปูองกันอนั ตรายจากวาตภยั 1. ติดตามสอบถามสภาวะอากาศ ฟังคาเตือนจากกรมอตุ ุนยิ มวทิ ยาสมา่ เสมอ 2. ฝกึ ซ้อมการปูองกนั ภยั พิบัติ เตรียมพร้อมรับมือ และวางแผนอพยพหากจาเป็น 3. เตรยี มเครือ่ งอุปโภค บริโภค ไฟฉาย แบตเตอรว่ี ิทยกุ ระเปาหวิ้ ติดตามข่าวสาร 4. เตรียมพรอ้ มอพยพเม่ือได้รบั แจ้งให้อพยพ
ใบความรทู้ ่ี 5 เรอ่ื ง ทรพั ยากรทางนา้ โลกของเราประกอบข้ึนด้วยพ้นื ดินและพน้ื น้า โดยส่วนทเ่ี ปน็ ฝืนน้าน้ัน มีอยปู่ ระมาณ 3 ส่วน (75%) และเปน็ พืน้ ดิน 1 สว่ น (25%) นา้ มีความสาคัญอยา่ งย่งิ กับชวี ติ ของพืชและสตั ว์บนโลกรวมทงั้ มนุษย์เราด้วยน้าเป็นทรัพยากรท่ี สามารถเกิดหมุนเวยี นไดเ้ รื่อย ๆ ไม่มวี นั หมดสน้ิ เม่ือแสงแดดสอ่ งมาบนพืน้ โลก น้าจากทะเลและมหาสมุทรกจ็ ะ ระเหยเปน็ ไอนา้ ลอยขน้ึ ส่เู บอ้ื งบนเนอ่ื งจากไอน้ามีความเบากวา่ อากาศ เม่ือไอนา้ ลอยสเู่ บอ้ื งบนแลว้ จะไดร้ บั ความเยน็ และกลั่นตัวกลายเป็นละอองน้าเล็ก ๆ ลอยจับตัวกนั เป็นกลุ่มเมฆ เม่ือจับตัวกันมากขนึ้ และกระทบความเยน็ กจ็ ะกลัน่ ตวั กลายเป็นหยดนา้ ตกลงสู่พื้นโลก น้าบนพ้ืนโลกจะระเหยกลายเป็นไอน้าอีกเม่ือได้รับความร้อนจากดวงอาทิตย์ ไอน้า จะรวมตัวกันเปน็ เมฆและกล่ันตวั เป็นหยดน้ากระบวนการเชน่ นี้ เกดิ ขนึ้ เปน็ วฏั จกั รหมุนเวยี นต่อเนือ่ งกันตลอดเวลา เรยี กว่า วัฏจกั รน้าทาให้มนี ้าเกดิ ขึ้นบนผิวโลกอยู่สม่าเสมอ ประโยชนข์ องนา้ นา้ เปน็ แหลง่ กาเนิดชีวิตของสัตวแ์ ละพชื คนเรามชี วี ิตอยูโ่ ดยขาดนา้ ได้ไม่เกนิ 3 วัน และน้ายงั มคี วามจาเปน็ ทัง้ ในภาคเกษตรกรรมและอุตสาหกรรม ซ่ึงมีความสาคัญอย่างยงิ่ ในการพฒั นาประเทศ ประโยชนข์ องนา้ ไดแ้ ก่ น้าเปน็ สิ่งจาเปน็ ท่ีเราใช้สาหรับการดืม่ กนิ การประกอบอาหาร ชาระร่างกาย ฯลฯ น้ามีความจาเป็นสาหรบั การเพาะปลูกเล้ยี งสตั ว์ แหล่งนา้ เป็นที่อยู่อาศยั ของปลาและสัตว์น้าอน่ื ๆ ซึง่ คนเราใชเ้ ปน็ อาหาร ในการอุตสาหกรรม ต้องใช้นา้ ในขบวนการผลิตใชล้ า้ งของเสียใช้หล่อเคร่ืองจักรและระบายความ ร้อน ฯลฯ การทานาเกลอื โดยการระเหยน้าเค็มจากทะเล น้าเปน็ แหล่งพลังงาน พลังงานจากนา้ ใช้ทาระหัด ทาเขื่อนผลติ กระแสไฟฟูาได้ แม่น้า ลาคลอง ทะเล มหาสมุทร เป็นเส้นทางคมนาคมขนส่งที่สาคัญ ทัศนียภาพของริมฝ่งั ทะเลและนา้ ที่ใสสะอาดเป็นแหลง่ ท่องเที่ยวของมนษุ ย์ ปัญหาของทรพั ยากรนา้
ปญั หาสาคญั ๆ ทีเ่ กิดขนึ้ คือ 1. ปญั หาการมนี ้านอ้ ยเกนิ ไป เกดิ การขาดแคลนอันเป็นผลเนอื่ งจากการตัดไม้ทาลายปุา ทาให้ปรมิ าณนา้ ฝน น้อยลง เกดิ ความแห้งแล้งเสียหายตอ่ พืชเพาะปลูกและการเลย้ี งสตั ว์ 2. ปญั หาการมนี ้ามากเกนิ ไป เป็นผลมาจากการตัดไม้มากเกนิ ไป ทาให้เกิดน้าท่วมไหลบ่าในฤดฝู น สร้าง ความเสยี หายแกช่ ีวิตและทรัพยส์ ิน 3. ปญั หานา้ เสยี เป็นปญั หาใหม่ในปจั จุบนั สาเหตทุ ่ที าให้เกดิ นา้ เสีย ได้แก่ - น้ำทิ้งจำกบำ้ นเรือน ขยะมลู ฝอยและส่ิงปฎิกลู ท่ีถกู ทิ้งสู่แม่น้ำลำคลอง - น้าเสยี จากโรงงานอตุ สาหกรรม - น้าฝนพดั พาเอาสารพิษทีต่ กค้างจากแหลง่ เกษตรกรรมลงสู่แมน่ า้ ลาคลอง นา้ เสียทีเ่ กดิ ข้ึนนี้ส่งผลเสียหายทง้ั ตอ่ สุขภาพอนามยั เป็นอันตรายต่อสตั ว์นา้ และมนษุ ย์ ส่งกลิ่นเหมน็ รบกวน ทาให้ ไมส่ ามารถนาแหลง่ นา้ นน้ั มาใชป้ ระโยชน์ได้ทั้งการอปุ โภค บริโภค เกษตรกรรม และอุตสาหกรรม ผลกระทบของนา้ เสยี ตอ่ สิ่งแวดล้อม - เปน็ แหลง่ แพรร่ ะบาดของเช้ือโรค เช่น อหวิ าตกโรค บดิ ท้องเสีย - เป็นแหลง่ เพาะพนั ธขุ์ องแมลงนาโรคต่าง ๆ - ทาใหเ้ กดิ ปญั หามลพิษต่อดิน นา้ และอากาศ - ทาใหเ้ กิดเหตรุ าคาญ เช่น กลิน่ เหมน็ ของนา้ โสโครก - ทาให้เกดิ การสูญเสียทศั นยี ภาพ เกดิ สภาพที่ไม่นา่ ดู เช่น สภาพนา้ ที่มสี ีดาคล้าไปด้วยขยะ และสง่ิ ปฎิกูล - ทาให้เกิดการสญู เสยี ทางเศรษฐกจิ เช่น การสูญเสียพนั ธ์ุปลาบางชนิดจานวนสตั วน์ า้ ลดลง - ทาใหเ้ กิดการเปลย่ี นแปลงระบบนิเวศในระยะยาว การอนรุ กั ษน์ า้
ดังไดก้ ลา่ วมาแลว้ จะเหน็ ว่า นา้ มคี วามสาคัญและมปี ระโยชนม์ หาศาล เราจงึ ควรช่วยแก้ไขปญั หานา้ เสยี หรอื การสูญเสยี ทรัพยากรนา้ ด้วยการอนรุ ักษน์ ้า ดังน้ี 1. การใชน้ า้ อย่างประหยัด การใชน้ า้ อยา่ งประหยดั นอกจากจะลดคา่ ใช้จา่ ยเกยี่ วกับคา่ น้าลงได้แล้ว ยงั ทาให้ ปริมาณนา้ เสียท่ีจะทิง้ ลงแหล่งนา้ มปี รมิ าณน้อย และปอู งกันการขาดแคลนน้าไดด้ ว้ ย 2. การสงวนน้าไว้ใช้ ในบางฤดหู รอื ในสภาวะทม่ี นี ้ามากเหลือใช้ควรมกี ารเก็บน้าไว้ใช้ เชน่ การทาบอ่ เกบ็ น้า การสร้างโอง่ น้า ขุดลอกแหลง่ น้า รวมท้ังการสรา้ งอ่างเกบ็ น้า และระบบชลประทาน 3. การพฒั นาแหล่งน้า ในบางพืน้ ท่ที ี่ขาดแคลนน้า จาเปน็ ที่จะตอ้ งหาแหลง่ นา้ เพิ่มเตมิ เพื่อใหส้ ามารถมีนา้ ไว้ ใช้ ทง้ั ในครัวเรือนและในการเกษตรได้อย่างพอเพียง ปจั จบุ นั การนานา้ บาดาลขนึ้ มาใชก้ าลงั แพรห่ ลายมาก ขึน้ แต่อาจมีปัญหาเรื่องแผน่ ดินทรดุ 4. การปอู งกันนา้ เสยี การไม่ท้ิงขยะและสิ่งปฎิกลู และสารพษิ ลงในแหล่งนา้ นา้ เสยี ทเ่ี กิดจากโรงงาน อุตสาหกรรม โรงพยาบาล ควรมีการบาบัดและขจดั สารพษิ กอ่ นทีจ่ ะปล่อยลงสู่แหล่งนา้ 5. การนาน้าเสียกลบั ไปใช้ นา้ ทไ่ี ม่สามารถใช้ไดใ้ นกจิ การอย่างหนง่ึ อาจใช้ไดใ้ นอีกกิจการหน่ึง เช่น น้าทงิ้ จาก การล้างภาชนะอาหาร สามารถนาไปรดตน้ ไม้ได้ ใบความรทู้ ่ี 2 เรอ่ื งการจดั การขยะในชมุ ชน ขยะ ถือเปน็ เร่ืองใกล้ตัวที่สดุ ที่ทกุ คนทราบกันดี แตก่ ็ไม่ให้ความสาคญั และคิดว่าเป็นปัญหาใหญ่ทห่ี นว่ ยงาน ราชการตอ้ งเป็นผู้รบั ผิดชอบเท่านน้ั แต่จริง ๆ แล้วตัวเราเองกส็ ามารถจดั การกับขยะได้โดยงา่ ย และมีคุณค่ากับเรา ทุกคนหากได้ตระหนักถงึ ขยะคอื อะไร ขยะหรอื มลู ฝอย (Solid waste) หมายความถงึ เศษกระดาษ เศษผา้ เศษอาหาร เศษสินค้า เศษ วัตถุ ถงุ พลาสติก ภาชนะทใ่ี สอ่ าหาร เถา้ มูลสตั ว์ ซากสัตว์ หรือส่งิ อื่นใดทเี่ ก็บกวาดจากถนน ตลาด ท่เี ลย้ี งสัตวห์ รือที่ อน่ื และหมายความรวมถงึ มูลฝอยตดิ เช้ือ มลู ฝอยทเ่ี ปน็ พิษ หรอื อนั ตรายจากชุมชนหรือครัวเรอื น ยกเวน้ วัสดุทีไ่ ม่ใช้ แล้วของโรงงานซ่ึงมีลกั ษณะและคณุ สมบัตทิ ่ีกาหนดไวต้ ามกฎหมายวา่ ด้วยโรงงาน ประเภทของขยะมลู ฝอย
โดยทั่วไปจะพบขยะมูลฝอยท่ีทง้ิ รวมกันในสถานทต่ี ่าง ๆ จาแนกออกเปน็ 4 ประเภท คือ 1) ขยะย่อยสลาย (Compostable waste) หรือ มูลฝอยย่อยสลาย หมายความถึง ขยะที่เน่าเสีย และยอ่ ยสลายได้เร็ว สามารถนามาหมักทาปุยได้ เชน่ เศษผกั เปลอื กผลไม้ เศษอาหาร ใบไม้ เศษเน้อื สตั ว์ เปน็ ตน้ 2) ขยะรีไซเคิล (Recyclable waste) หรือ มูลฝอยที่ยังใช้ได้ หมายความถึง ของเสียบรรจุภัณฑ์ หรือวัสดุเหลือใช้ ซึ่งสามารถนากลับมาใช้ประโยชน์ใหม่ได้โดยการนามาแปรรูปเป็นวัตถุดิบในขบวนการผลิตหรือใช้ สาหรับผลิตเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ เช่น แก้ว กระดาษ กระปองเครื่องดื่ม เศษพลาสติก เศษโลหะ อลูมิเนียม ยาง รถยนต์ กลอ่ งเคร่ืองดื่ม UHT เป็นต้น 3) ขยะทั่วไป (General waste) หรือ มูลฝอยท่ัวไป หมายความถึง ขยะประเภทอ่ืนนอกเหนือจาก ขยะย่อยสลาย ขยะรีไซเคิล และขยะอันตราย มีลักษณะท่ีย่อยสลายยากและไม่คุ้มค่าสาหรับการนากลับมาใช้ ประโยชน์ใหม่ เช่น ห่อพลาสติกใส่ขนม ถุงพลาสติกบรรจุผงซักฟอก พลาสติกห่อลูกอม ซองบะหมี่กึ่งสาเร็จรูป ถงุ พลาสติกเปอ้ื นเศษอาหาร โฟมเป้อื นอาหาร ฟอลย์ เปื้อนอาหาร เป็นตน้ 4) ขยะอันตราย (Hazardous waste) หรือ มูลฝอยอันตราย หมายความถึง ขยะที่มีองค์ประกอบ หรือปนเปื้อนวัตถุอันตรายชนิดต่าง ๆ ซึ่งได้แก่ วัตถุระเบิด วัตถุไวไฟ วัตถุออกซิไดซ์วัตถุมีพิษ วัตถุที่ทาให้เกิดโรค วัตถุกัมมันตรังสี วัตถุท่ีทาให้เกิดการเปล่ียนแปลงทางพันธุกรรม วัตถุกัดกร่อน วัตถุที่ก่อให้เกิดการระคายเคืองวัตถุ อย่างอ่ืนไม่ว่าจะเป็นเคมีภัณฑ์หรือส่ิงอื่นใดที่อาจทาให้เกิดอันตรายแก่บุคคล สัตว์ พืชทรัพย์สินหรือสิ่งแวดล้อม เช่น หลอดฟูออเรสเซนต์ ถ่านไฟฉาย แบตเตอรี่โทรศัพท์เคล่ือนท่ี ภาชนะบรรจุสารกาจัดศัตรูพืชกระปองสเปรย์บรรจุสี หรือสารเคมีเปน็ ตน้ แหล่งกาเนดิ ของมลู ฝอย ขยะมูลฝอยมีแหล่งกาเนิดตามลักษณะการใช้ประโยชนข์ องท่ีดิน ไดด้ งั นี้ 1) แหล่งทีอ่ ยู่อาศัย 2) สถานประกอบธุรกจิ การค้า 3) แหลง่ เกษตรกรรม 4) สถานทีพ่ ักผ่อนหย่อนใจหรอื แหลง่ ท่องเทย่ี ว 5) สถานพยาบาล 6) โรงงานอุตสาหกรรม ผลกระทบของขยะมลู ฝอย
การเพ่มิ จานวนประชากรและความเจรญิ ก้าวหนา้ ทางดา้ นเทคโนโลยีและเศรษฐกิจ ได้ส่งผลให้จานวน มูลฝอยมีปรมิ าณเพ่ิมขนึ้ เปน็ จานวนมาก ก่อให้เกิดปญั หามูลฝอยลน้ เมอื ง สรา้ งผลกระทบตอ่ มนุษย์และส่งิ แวดล้อม ใน ด้านตา่ ง ๆ ดังนี้ ผลกระทบต่อสภาพแวดลอ้ ม 1) กอ่ ใหเ้ กดิ ปญั หามลพษิ ทางอากาศ เน่อื งจากปัญหากลิ่นเหมน็ จากมูลฝอย และปัญหา จากควนั และละอองเถา้ ถา่ นต่าง ๆ ท่ีเกดิ จากการเผาไหม้ของมูลฝอยเอง รวมทง้ั การฟูงุ กระจายของฝุนละอองและเศษ ขยะช้นิ เลก็ ๆ ต่อบรเิ วณใกล้เคยี ง 2) ก่อใหเ้ กดิ ปญั หามลพิษทางดิน มูลฝอยบางชนิดประกอบดว้ ยสารพิษต่าง ๆ เมอ่ื นามาฝงั ไวใ้ นดินอาจเกดิ การรว่ั ไหลทาให้สารพิษปนเปื้อนเข้าสู่ดิน 3) ก่อใหเ้ กดิ มลพิษทางนา้ โดยเฉพาะมูลฝอยทีม่ สี ารอนิ ทรยี ท์ เ่ี นา่ เปื่อยได้ปะปนอยู่ เมือ่ ท้งิ ลงในแมน่ ้าลาคลองจะทาใหแ้ หลง่ นา้ เกิดเน่าเสยี สง่ ผลต่อการดารงชีวิตของมนษุ ยแ์ ละสัตว์นา้ ผลกระทบทางดา้ นเศรษฐกจิ และสงั คม 1) ทาใหบ้ า้ นเมืองขาดความสะอาดและความสวยงาม จนอาจเปน็ การเส่ือมเสยี ต่อชอื่ เสยี ง ในดา้ นการรกั ษาความสะอาดของประเทศชาติและจะมีผลต่ออุตสาหกรรมการท่องเทย่ี วด้วย 2) การสญู เสียทางเศรษฐกจิ โดยประชาชนและชุมชนตอ้ งเสยี ค่าใช้จา่ ยในการเกบ็ รวบรวม และการกาจัดมลู ฝอย นอกจากนีก้ ารกาจดั ขยะท่ีไม่ถูกต้อง จะสง่ ผลกระทบทาให้สูญเสยี ทางเศรษฐกจิ ดา้ นอนื่ ๆ ตามมาอกี ดว้ ย เชน่ การขุดลอกคูคลอง การบาบัดนา้ เสยี เปน็ ต้น 3) ก่อใหเ้ กดิ เหตรุ าคาญ ขยะมลู ฝอย นอกจากจะทาใหเ้ กิดภาพไมช่ วนมอง ขาดความเป็น ระเบียบเรียบรอ้ ยในสงั คมแล้ว ยังก่อให้เกดิ ความราคาญแก่ประชาชนได้อีก เช่น กลน่ิ เหม็นจากขยะซงึ่ เกิดจากการเน่า เปื่อยของสารอนิ ทรีย์ตา่ ง ๆ ผลกระทบทางดา้ นสขุ ภาพอนามยั ขยะมลู ฝอยบางชนิดอาจปนเบอ้ื นของเชอ้ื โรคหรือสารเคมีทเี่ ป็น พษิ หรือสารทก่ี ่อใหเ้ กดิ อันตราย ซ่งึ ถ้าการเกบ็ มูลฝอยไปทาลายไมห่ มด การกาจดั หรือการทาลายมูลฝอยโดยไมถ่ ูก วิธกี าร อาจเปน็ บ่อเกิดของเช้ือโรคตา่ ง ๆ ได้ เชน่ เป็นแหล่งกาเนิดและเป็นอาหารของหนู แมลงวนั สัตวเ์ ลือ้ ยคลาน อ่ืน ๆ ซึ่งเปน็ พาหะนาโรคมาสคู่ นได้ วถิ ชี วี ติ ของมนษุ ยใ์ นปจั จบุ นั กบั การเกดิ ขยะมลู ฝอย สถานการณป์ รมิ าณขยะมลู ฝอย ขยะมูลฝอยในสถานท่ีต่าง ๆ ท่ีพบได้โดยทั่วไปจะมีปริมาณเกิดจากการกระทาของประชากร มีค่าเฉล่ีย ประมาณ 0.9-1.0 กิโลกรัมต่อคนต่อวัน ข้ึนอยู่กับลักษณะของชุมชน ความหนาแน่นของชุมชน ฤดูกาล สภาวะ ทางเศรษฐกจิ อปุ นสิ ยั ของประชาชนในชุมชน การจดั บรกิ ารเก็บขนมลู ฝอยและความสะดวกในการเก็บขนมลู ฝอย
จากรายงานสถานการณ์มลพิษของประเทศไทยปี2551 พบว่ามีปริมาณขยะมูลฝอยเกิดขึ้นทั่วประเทศ ประมาณ 15.04 ล้านตันหรือวันละ 41,213 ตัน เพิ่มข้ึนจากปี 2550 ประมาณ 0.32 ล้านตันหรือร้อย ละ 2.18 นอกจากน้ีพบว่า มีขยะท่ีได้รับการจัดการอย่างถูกต้องประมาณ 15,444 ตันต่อวันหรือ ร้อยละ 37 ของ ปริมาณขยะทั่วประเทศ สาหรับการใช้ประโยชน์มูลฝอย พบว่า มีการนาขยะมูลฝอยกลับมาใช้ประโยชน์ใหม่ ประมาณ 3.405 ล้านตัน หรือคิดเป็นร้อยละ 23 ของปริมาณท่ีเกิดขึ้นทั้งหมด 15.04 ตัน โดยมีการคัด แยกและนากลบั คืนขยะรีไซเคิล ประเภทเศษแกว้ กระดาษ เหลก็ อะลมู เิ นยี ม ผ่านกิจกรรมต่างๆ เช่น ศูนย์วัสดุรี ไซเคิลชุมชน ธนาคารขยะรีไซเคิล การนาขยะอินทรีย์มาทาปุยหมัก ปุยชีวภาพ และการผลิตพลังงานไฟฟูา จากขยะ สาเหตุทท่ี าใหเ้ กดิ ขยะมลู ฝอย 1) ความมกั งา่ ยและขาดความสานึกถึงผลเสียท่ีจะเกิดข้ึน เป็นสาเหตุที่พบบ่อยมากซึ่งจะเห็นได้ จากการทิง้ ขยะลงตามพ้นื หรอื แหล่งน้าโดยไม่ทิง้ ลงใน ถงั รองรับทจ่ี ัดไวใ้ หแ้ ละโรงงานอุตสาหกรรมบางแห่งลักลอบ นาส่ิงปฏกิ ลู ไปทิ้งตามทวี่ ่างเปลา่ 2) การผลิตหรือใช้สิ่งของมากเกินความจาเป็น เช่น การผลิตสินค้าท่ีมีกระดาษหรือพลาสติกหุ้ม หลายชนั้ และการซือ้ สนิ คา้ โดยห่อแยกหรอื ใสถ่ งุ พลาสติกหลายถงุ ทาให้มขี ยะปริมาณมาก 3) การเก็บและทาลายหรือนาขยะไปใช้ประโยชน์ไม่มีประสิทธิภาพ จึงมีขยะตกค้างกอง หมกั หมมและสง่ กลิ่นเหม็นไปท่ัวบริเวณจนก่อปัญหามลพิษให้กบั สงิ่ แวดลอ้ ม การลดปรมิ าณขยะมูลฝอยในชมุ ชนด้วยหลกั 7 R ก่อนจะทิง้ ขยะควรหยดุ คดิ สักนิดว่าเราจะลดปรมิ าณขยะทต่ี ้นทางได้อย่างไร ซึง่ มแี นวทางปฏิบัติท่ีทุกคน สามารถนามาใชไ้ ด้ โดยการใชห้ ลกั 7R ทีส่ ามารถเลือกทาในขอ้ ใดข้อหนึ่ง หรอื หลาย ๆ ขอ้ ต่อไปนี้ 1) REFUSE คือ การปฏเิ สธ หรอื หลกี เลยี่ งสง่ิ ของ หรอื บรรจภุ ัณฑ์ท่ีจะสร้างปัญหาขยะ รวมทงั้ เปน็ มลพษิ ต่อสิ่งแวดล้อม เชน่ กลอ่ งโฟม ถุงพลาสติก ขยะมีพิษตา่ งๆ 2) REFILL คอื การเลือกใชส้ ินค้าชนดิ เติม ซ่ึงใช้บรรจุภัณฑน์ ้อยช้ินกว่า ขยะก็น้อยด้วย เช่น ผงซกั ฟอก สบเู่ หลว นา้ ยาลา้ งจาน เปน็ ต้น 3) RETURN คือ การเลือกใชส้ นิ คา้ ทสี่ ามารถสง่ คืน บรรจภุ ัณฑ์ส่ผู ผู้ ลิตได้ หรือระบบมดั จา – คนื เงนิ ได้ เช่น ขวดเครื่องดม่ื ประเภทตา่ งๆ 4) REUSE คอื การนาบรรจุภัณฑ์ทีใ่ ช้แลว้ กลับมาใชใ้ หม่ เชน่ กลอ่ งกระดาษ ขวดน้า ใช้ถงุ ผา้ แทน ถงุ พลาสติก และถุงพลาสติกสามารถนามาใชซ้ า้ ได้อีก
5) REPAIR คอื การซ่อมแซมเคร่ืองใช้ อปุ กรณ์ตา่ งๆ ใหส้ ามารถใช้ประโยชนไ์ ด้ต่อไป ไมใ่ ห้ กลายเป็นขยะ 6) REDUCE คอื การลดการบรโิ ภคและหาทางเพิม่ ประสิทธิภาพ การใช้งานของส่ิงของเคร่ืองใช้ ตา่ งๆ 7) RECYCLE คือ การคดั แยกขยะที่ยงั ใช้ประโยชน์ได้ ให้ง่ายต่อการจัดเกบ็ และสง่ แปรรปู เช่น พลาสตกิ แกว้ กระปอง เครื่องด่มื การคัดแยกขยะทงิ้ ให้ถกู ท่ีและถกู ถงั เพื่อความเป็นระเบียบเรยี บรอ้ ยและง่ายในการจดั เกบ็ ลดการปนเปอ้ื นของขยะมูลฝอยที่มศี ักยภาพใน การนากลบั มาใช้ประโยชนไ์ ด้ จึงควรมกี ารคัดแยกขยะทิ้งให้ถกู ประเภทของถังรองรับขยะมูลฝอยตามสีต่างๆ ดงั น้ี 1) ถงั สเี ขยี ว รองรบั ขยะย่อยสลาย เช่น เศษผัก เปลอื กผลไม้ เศษอาหาร เปน็ ต้น 2) ถงั สเี หลือง รองรบั ขยะที่สามารถนามารีไซเคิลหรอื ขายได้ เช่น แกว้ กระดาษ พลาสติก โลหะ เป็น ตน้ 3) ถงั สแี ดง รองรบั ขยะท่ีมีอันตรายต่อส่งิ มชี วี ิตและส่ิงแวดล้อม เชน่ หลอดไฟท่หี มดอายุจากการ ใช้งาน ขวดยา ถา่ นไฟฉาย กระปอ งสเปรย์ กระปองยาฆ่าแมลง ภาชนะ บรรจสุ ารอันตรายตา่ งๆ 4) ถงั สฟี าู รองรบั ขยะทว่ั ไปทไ่ี มส่ ามารถยอ่ ยสลายได้ เช่น พลาสติกหอ่ ลูกอม ซองบะหม่ี สาเร็จรูป ถุงพลาสติก โฟมและฟอล์ยทเี่ ปื้อนอาหาร การใชป้ ระโยชนข์ ยะมลู ฝอยในชุมชน การคดั แยกขยะทาใหเ้ ราสามารถนาขยะที่คัดแยกมาใช้ประโยชนไ์ ด้ ดังนี้ 1 ใชเ้ ปน็ ภาชนะเกบ็ ส่งิ ของภายในบา้ น ขยะบางประเภททซี่ ้ือมาใช้ เช่น ภาชนะสาหรับใส่อาหาร เครอื่ งดื่ม หรือแมแ้ ต่ของใช้ต่างๆ เมือ่ ใชห้ มดแลว้ ไม่ควรจะทิง้ ควรพิจารณารูปทรงของภาชนะเหมาะสาหรับบรรจุ อะไร ลองมอง ลองคิด และลองนามาใช้อีกครัง้ ก็จะไดภ้ าชนะใหมๆ่ โดยท่ไี ม่ต้องเสียอะไรเลย แตก่ อ่ นนาภาชนะ เหล่านี้มาใช้อีกครัง้ หนึ่ง จะต้องแนใ่ จวา่ ภาชนะนนั้ ๆ สะอาดจรงิ ๆ เสยี ก่อน ดงั ตัวอยา่ งได้แก่ 1) แกนกระดาษชาระ นามาเรียงไว้ในลิน้ ชักเพ่ือแบง่ พื้นทีใ่ หเ้ ปน็ สดั สว่ น สาหรับเก็บถุงเท้า เนกไท หรอื ชดุ ชั้นในให้เป็นระเบียบ ไมป่ ะปนกนั 2) ขวดซปุ ไก่สกัดใบย่อม ใส่เครอื่ งเทศ เครื่องปรงุ ท่ีมากบั ถุงพลาสติก โดยอาจเลอื กฝาเป็นจกุ กอ๊ ก ฝาไม้ หรือผ้าหุ้มสไตลโ์ บราณ เพื่อความสะดวกในการหยบิ ใช้
3) ถงุ กระดาษท่ีใส่ของมา นามาเกบ็ ของระเกะระกะหรือเก็บของเพื่อกนั ลืม โดยใช้คลิปหนีบแล้ว แขวนไวใ้ นท่ที ี่เห็นได้ชดั เจน 4) กลอ่ งอาหารพลาสตกิ หลังจากรบั ประทานอาหารหมดแลว้ ล้างใหส้ ะอาด นามาใส่โปสการ์ด ทเี่ ก็บสะสมไว้ได้พอดี และเม่ือเกบ็ ไดห้ ลายกล่อง ก็นามาวางซอ้ นแลว้ มัดเชือกรวมกนั ไว้ได้ 2 การประดษิ ฐส์ งิ่ ของและวสั ดุต่าง ๆ ขยะรไี ซเคลิ สามารถนามาดดั แปลงใหเ้ กดิ ประโยชน์ได้หลาย อย่าง เช่น นามาประดิษฐ์เป็นดอกไม้ มู่ล่ี กล่องใส่กระดาษทิชชู่ หมวก กระเปา โต๊ะ เก้าอ้ี กรอบรูป ฝูา เพดาน เป็นต้น สามารถนาไปขายสร้างรายไดห้ รอื ใชใ้ นครัวเรอื นกไ็ ด้ 3 ทาเปน็ ปุย น้าสกัดชีวภาพ โดยเฉพาะขยะเศษอาหารในครัวเรือนสามารถนามาหมักเป็นสารสกัด ชีวภาพ นาไปใช้ประโยชนใ์ นการเกษตรและส่งิ แวดลอ้ มได้เป็นอย่างดี กิจกรรมส่งเสริมการคดั แยกขยะในชุมชน การจัดการขยะมูลฝอยที่ดี คือ การลดและคัดแยกขยะที่ต้นทาง ดังน้ันชุมชนจึงควรสร้างกิจกรรมท่ีส่งเสริม การคดั แยกขยะกอ่ นนาไปกาจัด ดังนี้คอื 1 กิจกรรมขยะแลกไขห่ รอื สิ่งของ เป็นกิจกรรมท่ีใช้ไข่และส่ิงของที่จาเป็นต่อการดารงชีวิตประจาวัน เชน่ ผงซกั ฟอก สบู่ แชมพู ปลากระปอง เป็นต้น เปน็ สิ่งของแลกเปลี่ยนกับวัสดุรีไซเคิล ที่ชาวบ้านในชุมชนนามา แลกตามราคาของไข่ในตลาด มขี น้ั ตอนการดาเนนิ งานดงั นี้ 1) จดั เตรยี มสถานทีแ่ ละอุปกรณ์ทีจ่ าเป็น ตาชั่ง เคร่ืองกระจายเสียง และไข/่ สิ่งของ 2) ตง้ั คณะทางาน 3)กาหนดวันและเวลาทจ่ี ะจดั กจิ กรรม 4) สอบถามราคาวัสดุรไี ซเคิลกับรา้ นรบั ซื้อของเกา่ 5) ประชาสัมพันธ์เชญิ ชวนโดยใชห้ อกระจายข่าว 6) เปดิ กิจกรรม โดนนาขยะรีไซเคิลมาชั่งนา้ หนกั คิดราคา เทียบกับราคาไข่/สิ่งของ รวบรวม ขายใหร้ า้ นรับซอื้ ของเก่า 2 กิจกรรมผ้าปุารไี ซเคลิ เป็นกจิ กรรมที่นาวิถีการดารงชวี ิตของคนไทยทผี่ กู พันกบั พธิ กี รรมทางศาสนา มาเสริมสร้างความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับการคัดแยกขยะมูลฝอยและสร้างความสามัคคีในชุมชน นอกจากช่วยลด ปรมิ าณขยะมลู ฝอยแลว้ ยังเปน็ การทาบญุ กศุ ลได้อกี ทางหน่ึง โดยมีข้ันตอนการดาเนินงานดงั น้ี 1) ตงั้ คณะกรรมการผ้าปุา
2) กาหนดวัน เวลา และสถานท่ที จ่ี ะจัดกจิ กรรมพรอ้ มพิมพ์ใบฎีกา 3) ประสานกบั วัดและร้านรบั ซื้อของเกา่ 4)ประชาสัมพันธเ์ ชิญชวนโดยใชห้ อกระจายข่าวหรือเรียกประชมุ ชแ้ี จงกบั สมาชกิ 5) สรุปผลการดาเนินการใหส้ มาชกิ ได้รับทราบ ปัญหาขยะมลู ฝอย ปัญหาขยะมูลฝอย นับวันจะทวีความรุนแรงมากขึ้น เนื่องจากปริมาณและลักษณะขยะมูลฝอยเปล่ียนแปลง ไปด้วยสาเหตุต่างๆ เช่น การเพ่ิมขึ้นของจานวนประชากร พฤติกรรมการบริโภคที่ต้องการความสะดวกสบาย บรรจุ ภัณฑ์ ท่ีใช้แล้วท้ิงเป็นต้น การจัดการขยะมูลฝอยท่ีไม่ถูกหลักวิชาการส่งผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมโดยรวม เช่น กลนิ่ รบกวนและนา้ เนา่ เสยี จากอนิ ทรยี ส์ ารในขยะเกดิ การเน่าเปือ่ ย เป็นแหลง่ เพาะเช้อื โรคเป็นต้น หน่วยงานภาครัฐที่ มหี น้าทร่ี บั ผิดชอบต้องรับภาระในการจัดการขยะมูลฝอยท่ีเกิดขึ้นด้วยวิธีท่ีแตกต่างกันเช่น การฝังกลบ การใช้เตาเผา การกองทิ้งไว้กลางแจ้ง เป็นต้น แต่ละวิธีท่ีกล่าวถึงเป็นการแก้ปัญหาปลายเหตุท่ีไม่ยั่งยืนเพราะมีการใช้พื้นท่ีในการ กาจดั และมโี อกาสในการกอ่ มลพิษเกดิ ขึ้นได้ การจัดการขยะมูลฝอยที่มีประสิทธิภาพและเร่ิมใช้การแพร่หลายในหลายท้องถิ่นคือ การจัดการขยะมูลฝอยณ แหล่งกาเนิดต่าง ๆ เช่น ครัวเรือน โรงแรม สถานศึกษาเป็นต้น โดยอาศัยการมีส่วนร่วมของประชาชนในการคัด แยกขยะออกเปน็ 4 ประเภท คือ ขยะยอ่ ยสลายได้ ขยะรไี ซเคิล ขยะอันตราย ขยะท่ัวไป ทาไมจึง ให้คดั แยกเชน่ นมี้ กี รณเี ปรียบเทียบการคัดแยก ดังน้ี รปู แบบ ภาชนะรองรบั ขอ้ ดี ขอ้ เสีย 1 แยกขยะมูลฝอย ถังขยะรไี ซเคลิ ขยะ วัสดทุ ่นี ากลบั ไปใช้ เพม่ิ จานวนภาชนะรองรับ 4 ประเภท ทว่ั ไปขยะยอ่ ยสลาย ประโยชนใ์ หม่ ขยะมลู ฝอยมากขึน้ ไดแ้ ละขยะอันตราย มีคณุ ภาพดี 2 แยกขยะสด ถังขยะสด ขยะแหง้ งา่ ยต่อการนาขยะสด วสั ดุท่ีนากลับไปใช้ ขยะแห้งและ และขยะอันตราย ไปใช้ประโยชน์และขยะ ประโยชนย์ ังปะปนกันอยู่ ขยะอนั ตราย อันตรายไปกาจัด ไมไ่ ดแ้ ยกประเภท 3 แยกขยะสดและ ถงั ขยะแห้งและถัง ง่ายต่อการนาขยะเปยี ก สบั สนตอ่ นยิ ามคาว่าขยะ ขยะแหง้ ขยะเปยี ก ใชป้ ระโยชน์ เปียก ขยะแห้ง ทาให้ทงิ้ ไมถ่ ูกต้องกบั ถังรองรับ จะเห็นวา่ การคัดแยกในรปู แบบที่1สามารถนาขยะมูลฝอยมาใช้ประโยชน์ใหม่ได้มากกว่าวิธีอ่ืน สามารถสร้าง รายได้แก่ครัวเรือนหรือชุมชนท่ีมีการคัดแยกณ แหล่งกาเนิด เช่นขยะย่อยสลายได้อาจนาไปผลิตปุยจาหน่าย ซึ่งจะ ช่วยลดปริมาณขยะปญั หากลิ่นรบกวนและน้านา่ เสีย
ขยะรีไซเคิล รวบรวมเพื่อจาหน่าย แล้วอาจนาไปสู่กระบวนการแปรรูปใหม่หรือใช้ซ้า จะช่วยลดปริมาณขยะ และมลพษิ จากการเผา ขยะอันตรายและขยะทั่วไป ซึ่งนามาใช้ประโยชน์ใหม่ไม่ได้แล้วสามารถนาสู่กระบวนการกาจัดที่ถูก วธิ ไี ด้ง่ายขน้ึ จะเปน็ การอนรุ กั ษ์ทรัพยากรธรรมชาติไปดว้ ย สาเหตทุ ่ีทาใหเ้ กดิ ปญั หาขยะมลู ฝอย 1. ความมักง่ายและขาดความสานึกถึงผลเสียที่จะเกิดข้ึน เป็นสาเหตุที่พบบ่อยมาก ซึ่งจะเห็นได้จากการทิ้ง ขยะลงตามพื้นหรอื แหลง่ น้า โดยไมท่ ิ้งลงในถังรองรบั ทีจ่ ดั ไวใ้ ห้และโรงงานอตุ สาหกรรมบางแห่งลักลอบนาส่ิงปฏิกูลไป ทิ้งตามท่วี ่าเปล่า 2. การผลิตหรือใช้ส่ิงของมากเกินความจาเป็นเช่น การผลิตสินค้าท่ีมีกระดาษหรือพลาสติกหุ้มหลายชั้นและ การซอ้ื สินค้าโดยห่อแยกหรือใส่ถุงพลาสติกหลายถุง ทาใหม้ ีขยะปริมาณมาก 3. การเก็บและทาลายหรือนาขยะไปใช้ประโยชน์ไม่มปี ระสิทธภิ าพ จงึ มขี ยะตกคา้ ง กองหมักหมมและส่งกลิ่น เหม็นไปทัว่ บริเวณจนก่อปญั หามลพิษให้กับสงิ่ แวดลอ้ ม การนาขยะมลู ฝอยกลบั มาใชป้ ระโยชนใ์ หม่ การนาขยะมลู ฝอยกลบั มาใชป้ ระโยชนใ์ หม่มอี ยหู่ ลายวธิ ขี ้ึนอยู่กับสภาพและลักษณะสมบัติของขยะมูลฝอยซึ่ง สามารถสรปุ ได้เปน็ 5 แนวทางหลัก ๆ คือ 1. การนาขยะมลู ฝอยกลบั มาใชป้ ระโยชน์ใหม่ (Material Recovery) เป็นการนามูลฝอยที่สามารถคัดแยกได้ กลับมาใช่ใหม่โดยจาเป็นต้องผ่านกระบวนการแปรรูปใหม่ (Recycle) หรือแปรรูป (Reuse) ก็ได้ 2. การแปรรูปเพื่อเปล่ียนเป็นพลังงาน (Energy Recovery) เป็นการนาขยะมูลฝอยท่ีสามารถเปล่ียนเป็น พลังงานความรอ้ นหรือเปล่ยี นเปน็ รูปกา๊ ซชวี ภาพมาเพื่อใช้ประโยชน์
3.ก า ร น า ข ย ะ มู ล ฝ อ ย จ า พ ว ก เ ศ ษ อ า ห า ร ท่ี เ ห ลื อ จ า ก ก า ร รั บ ป ร ะ ท า น อ า ห า ร ไ ป เ ลี้ ย ง สั ต ว์ 4. การนาขยะมูลฝอยไปปรับสภาพให้มีประโยชน์ต่อการบารุงรักษาดิน เช่นการนาขยะมูลฝอยสดหรือเศษ อาหารมาหมกั ทาปยุ 5. การนาขยะมูลฝอยปรับปรงุ พ้นื ทโี่ ดยนาขยะมลู ฝอยมากาจัดโดยวิธีฝังกลบอย่างถูกหลักวิชาการ (Sanitary landfill) จะไดพ้ ืน้ ทส่ี าหรับใชป้ ลูกพชื สร้างสวนสาธารณะ สนามกฬี าเปน็ ตน้ ใบความรทู้ ่ี 6 เรอ่ื ง ประเภทของทรพั ยากรธรรมชาติ ในโลกนีม้ ที รพั ยากรธรรมชาติมากมายทง้ั ในอากาศ บนผิวโลก ใต้ผวิ โลก มสี ภาพท้ังของแขง็ ของเหลวกา๊ ซ บางชนดิ มกี ารเจริญเติบโตได้ บางชนิดไม่เตบิ โตแตม่ กี ารเปลี่ยนแปลงได้ เช่น เกิดการผุพังสลายไปนักอนุรกั ษ์วทิ ยาได้ แบ่งประเภทของทรพั ยากรธรรมชาติไว้ 3 ประเภทคือ 1) ทรพั ยากรธรรมชาตทิ ่ีใชแ้ ลว้ ไมห่ มดสน้ิ (Non-Exhausting Natural Resources) หรอื ทรัพยากรธรรมชาติที่ มีใช้ตลอด (Inexhuastible Natural Resources) เปน็ ทรพั ยากรธรรมชาติท่ีจาเป็นต่อการดารงชวี ติ ของมนุษย์ บาง ชนิดมนุษยข์ าดเปน็ เวลานานได้ บางชนดิ ขาดไม่ได้แมเ้ พยี งระยะเวลาสัน้ ๆ ก็อาจถงึ ตายได้ ทรพั ยากรดังกล่าวได้แก่ ก) อากาศ มีอยอู่ ย่างสมบูรณ์ในโลก จาเป็นและสาคญั ตอ่ มนษุ ย์ สตั ว์ พชื สง่ิ มีชีวิตทกุ ชนิด ข) น้า (ในวัฏจักร) หมายถงึ น้าในลักษณะการเก็บน้าแล้วแปรสภาพเป็นนา้ ไหลบ่า นา้ ท่า น้าในลาน้า นา้ ใต้ ดิน น้าขัง และน้าในมหาสมุทร มีความจาเป็นต่อสง่ิ มชี ีวิต มีการหมนุ เวยี น ไม่จบสิ้น โดยท่วั ไปมีปริมาณคงทใ่ี นแต่ละแหง่ ของแต่ละปี นอกจากนี้ยงั มี ทรัพยากรแสงอาทิตย์ ดนิ ชน้ั บรรยากาศ เป็นต้น
2) ทรพั ยากรธรรมชาตทิ ีท่ ดแทนได้ (Replaceable or Renewable Natural Resources) เปน็ ทรัพยากรที่ มคี วามจาเป็นต่อมนุษย์ในการดารงชีพเพื่อตอบสนองปัจจยั ส่แี ละ ความสะดวกสบาย เมื่อใช้แล้วสามารถเกิดทดแทนข้นึ ได้ ซ่ึงการทดแทนนัน้ อาจใช้ระยะเวลาส้นั หรือยาวนานไม่เท่ากัน ทรพั ยากรดังกล่าวไดแ้ ก่ ก) นา้ ที่ใช้ได้ หมายถึงนา้ ในท่ีใดทห่ี น่งึ เม่อื ใช้หมดแลว้ จะมีการทดแทนได้ดว้ ยฝนท่ีตกตามปกติ ในแตล่ ะแห่ง จะมีฝนตกเกอื บเท่า ๆ กนั ในแตล่ ะปี นอกจากเกดิ ความแห้งแลง้ ผิดปกติเท่านั้น ข) ดิน เปน็ ปจั จัยสาคญั ท่ีให้อาหารเสื้อผ้า ท่ีอยู่อาศยั ซงึ่ กาเนิดจากพื้นดนิ ปัจจยั ที่ทาใหเ้ กิดดนิ คือ หนิ อากาศ พืช ระยะเวลา ลักษณะภูมิประเทศ การทดแทนตอ้ งใช้ระยะเวลานาน นอกจากนีย้ ังมีทรัพยากรชนดิ อื่นอีก เช่น ทรพั ยากรประมง ทรพั ยากรเกษตร (พืชผัก เนื้อสตั ว์) พชื สตั วป์ ุา ปุาไม้ ทงุ่ หญา้ เลีย้ งสัตว์ เปน็ ต้น 3) ทรัพยากรทีใ่ ชแ้ ลว้ หมดไป (Exhausting Natural Resources) หรือทรัพยากรทไี่ มส่ ามารถทดแทนได้ (Irreplaceable Natural Resources) เปน็ ทรพั ยากรที่ไม่สามารถจะทามาทดแทนได้ เม่ือใช้หมดไป เช่น แร่ โลหะ กา๊ ซธรรมชาติ น้ามันปโิ ตรเลยี ม ถ่านหนิ เป็นตน้ ซึ่งทรัพยากรดังกลา่ วจาเป็นมากต่อการ พัฒนาทางวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยีนอกจากน้ีพื้นที่ในลกั ษณะ ธรรมชาติ (Land in Natural Condition) กถ็ ือวา่ เปน็ ส่ิงทีท่ ดแทนไม่ได้ เพราะเมอื่ ถูกทาลายลงแล้ว ไมส่ ามารถทาใหเ้ หมือนสภาพเดิมได้ทั้งในสว่ นประกอบต่าง ๆ และ ทศั นยี ภาพ
ใบความรทู้ ่ี 4 เรอื่ ง สารเคมใี นชวี ติ ประจาวนั ผบู้ ริโภคส่วนใหญ่เลอื กซอ้ื อาหารออรแ์ กนคิ (อาหารที่ผลติ จากระบบเกษตรอินทรยี ์) ก็เพราะความเปน็ ห่วงใน เรื่องพิษภัยจากสารเคมกี ารเกษตรทตี่ กคา้ งปนเปื้อนในผลผลติ อาหารทผี่ ลติ จากระบบเกษตรทั่วไป แมว้ ่าหน่วยงาน ราชการจะได้พยายามควบคุมการผลิตอาหารให้มคี วามปลอดภัย โดยการออกมาตรการต่างๆ แต่เนือ่ งจากการควบคุม ตรวจตราท่ยี ังมีช่องโหว่ ทาให้ผลติ ภัณฑ์อาหารท่วี างขายอยู่ทัว่ ไปยังมีปญั หาการปนเป้ือนสารเคมีการเกษตรอยู่มาก
ทงั้ ปุยเคมี สารเคมกี าจัดศตั รูพชื สารเรง่ การเจรญิ เติบโต หรือแม้แต่สารกันบดู และสารแต่งสี รส และกลน่ิ สารเคมที ่ี ใช้ในอาหารเหล่านีม้ ีพิษภัยอย่างไรบา้ ง ชนดิ ของสารเคมีกาจัดศตั รพู ชื สารเคมีกาจดั ศตั รูพชื ในทางการเกษตร ที่มกี ารจาหนา่ ยทางการคา้ มีกว่า 1,000 ชนิด ซงึ่ แบ่งออกเปน็ กลุ่มใหญๆ่ ตาม ชนิดของสง่ิ มชี วี ติ ที่ใช้ในการควบคมุ และกาจัด คือ สารเคมีกาจัดแมลง สารปูองกนั กาจดั วชั พืช สารปอู งกนั กาจดั เช้ือ รา สารกาจดั หนูและสัตวแ์ ทะ สารเคมีกาจัดหอยและปู เป็นต้น 1. สารเคมกี าจัดแมลง สารเคมกี าจดั แมลงเปน็ สารเคมกี ารเกษตรท่ีมจี านวนชนิดมากที่สุด สารเคมีกาจัดแมลงแบ่งออกเป็นกลุ่มใหญ่ๆ ตาม ชนิดของสารเคมีได้ 4 ประเภท คอื 1.1 กล่มุ ออร์กาโนคลอไรน์ ซง่ึ เปน็ กลุ่มของสารเคมีท่ีมคี ลอรีนเป็นองค์ประกอบ สารเคมกี าจดั แมลงในกล่มุ นีท้ ่ี นยิ มใช้กันมาก คือ ดดี ที ี (DDT), ดีลดริน (dieldrin), ออลดริน (aldrin), ทอ็ กซาฟีน (toxaphene), คลอเดน (chlordane), ลินเดน (lindane), เอนดริน (endrin), เฮปตาครอ (heptachlor) เป็นต้น สารเคมีในกล่มุ น้ีสว่ นใหญ่ เป็นสารเคมที ี่มีพิษไมเ่ ลือก (คือเปน็ พิษต่อแมลงทุกชนดิ ) และคอ่ นขา้ งจะสลายตวั ช้า ทาให้พบตกคา้ งในหว่ งโซ่อาหาร และสิ่งแวดล้อมไดน้ าน บางชนิดอาจตกค้างได้นานหลายสิบปี ปจั จุบัน ประเทศสว่ นใหญ่ทว่ั โลกจะไม่อนญุ าตใหใ้ ช้ สารเคมใี นกลุ่มน้ี หรอื ไม่ก็มกี ารควบคมุ การใช้ ไม่อนุญาตให้ใชอ้ ย่างเสรี เพราะผลกระทบดา้ นสขุ ภาพและสิง่ แวดล้อม 1.2 กล่มุ ออร์กาโนฟอสเฟต ซงึ่ เป็นกล่มุ ที่มีฟอสฟอรัสเป็นองคป์ ระกอบ โดยสารเคมใี นกล่มุ นี้ท่ีรจู้ ักกนั คือ มา ลาไธออน (malathion), พาร June, 2009#3604;อาซนิ อน (diazinon), เฟนนิโตรไธออน (fenitrothion), พริ ิ มฟิ อสเมธิล (pirimiphos methyl), และไดคลอวอส (dichlorvos หรือ DDVP) เป็นตน้ สารเคมใี นกลุ่มนี้จะมีพษิ รุนแรงมากกว่ากลุ่มอืน่ โดยเปน็ พิษทั้งกบั แมลงและสตั ว์อ่ืนๆ ทกุ ชนิด แต่สารในกลุ่มน้ีจะยอ่ ยสลายไดเ้ ร็วกว่ากล่มุ แรก 1.3 กลุ่มคาร์บาเมต ซึ่งมคี าร์บารลิ เป็นองค์ประกอบสาคัญ โดยสารเคมีกาจัดแมลงทีร่ ้จู ักและใชก้ นั มาก คือ คาร์ บาริว (carbaryl ทีม่ ชี ่ือการค้า Savin), คารโ์ บฟแุ รน (carbofura), โพรพอ็ กเซอร์ (propoxur), เบนไดโอคาร์บ (bendiocarb) สารเคมีในกลุ่มคารบ์ าเมตจะมีความเปน็ พษิ ต่อสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมนอ้ ยกวา่ พวกออร์กาโนฟอสเฟต 1.4 กลมุ่ สารสงั เคราะหไ์ พรที อย เปน็ สารเคมกี ลุม่ ที่สงั เคราะห์ขึ้นโดยมีความสัมพันธต์ ามโครงสร้างของไพรีทริน ซึง่ เป็นสารธรรมชาตทิ ส่ี กัดได้จากพชื ไพรที รมั สารเคมใี นกลุ่มน้ีมคี วามเป็นพิษต่อแมลงสงู แต่มีความเปน็ พษิ ต่อ สตั ว์เลือดอนุ่ ต่า อยา่ งไรกต็ าม สารเคมีกลมุ่ น้มี ีราคาแพงจึงไม่คอ่ ยเปน็ ท่นี ยิ มใช้ สารเคมกี าจัดแมลงในกล่มุ นี้ ได้แก่ เดลตาเมธริน (deltamethrin), เพอรเ์ มธริน (permethrin), เรสเมธริน (resmethrin), และไบโอเรสเมธริน (bioresmethrin) เป็นตน้ 2. สารปอู งกนั กาจดั วชั พชื สารเคมีกาจดั วชั พชื แบ่งออกไดเ้ ป็น 2 กลมุ่ ใหญ่ คือ พวกท่ีมพี ษิ ทาลายไมเ่ ลือก กบั พวกท่มี ีพิษเฉพาะกลุ่มวชั พชื คือ ทาลายเฉพาะวชั พชื ใบกวา้ ง หรือวัชพชื ใบแคบ สารกาจัดวชั พชื ทม่ี พี ิษทาลายไมเ่ ลอื ก คือ พาราควอท (paraquat) สว่ นท่มี ีพิษทาลายเฉพาะ คือ พวก แอทราซิน (atrazine), 2,4-D, 2,4,5-T เปน็ ต้น
3. สารกาจดั เชอ้ื รา มอี ย่หู ลายกลมุ่ มาก บางชนดิ มพี ิษน้อย แต่บางชนดิ มพี ิษมาก กลุ่มสาคัญของสารกาจดั เช้ือราในการเกษตร (สรุป รายงานการเฝูาระวงั โรค 2546) ได้แก่ กลุ่ม Dimethey dithiocarbamates (Ziram, Ferbam, Thiram) มีฤทธย์ิ ับย้ังเอนไซม์ Acetaldehyde dehydrogenase เกิด antabuse effect ในคนท่ดี ื่มสรุ าร่วมดว้ ย กลมุ่ Ethylenebisdithiocarbamates (Maneb, Mancozeb, Zineb) กลุม่ น้ีจะถูก metabolize เปน็ Ethylene thiourea ซ่ึงเป็นสารกอ่ มะเรง็ ในสตั ว์ กลมุ่ Methyl mercury ดดู ซึมไดด้ ที างผิวหนังและมีพษิ ตอ่ ระบบประสาท กลมุ่ Hexachlorobenzene ยับยัง้ เอนไซม์ Uroporphyrinogen decarboxylase มพี ิษต่อตบั ผิวหนงั ข้อ กระดูกอักเสบ กลุ่ม Pentachlorophenol สัมผสั มากๆ ทาให้ไขส้ ูง เหงื่อออกมาก หัวใจเตน้ เร็ว 4. สารกาจดั หนแู ละสตั วแ์ ทะ (Rodenticides) สารกาจัดหนูและสัตวแ์ ทะท่ีนิยมใชก้ ัน สว่ นใหญ่เป็นสารกลุ่มท่มี ีฤทธ์ติ า้ นการแขง็ ตวั ของเลือด ตัวอยา่ ง เชน่ Warfarin หยุดย้ังการสรา้ งวิตามิน เค ทาใหเ้ ลอื ดออกตามผวิ หนงั และสว่ นต่างๆ ของรา่ งกาย เม็ดเลอื ดขาวตา่ ลมพิษ ผมรว่ ง ผลตอ่ การเกษตร หลายคนมกั จะเชอ่ื ว่า การใช้สารเคมีการเกษตรช่วยเพิ่มผลผลติ ทางการเกษตรได้ แต่ท่ีจรงิ หาเปน็ เชน่ น้ันไม่ อกี ทั้งการใช้สารเคมียังมผี ลกระทบต่อระบบนิเวศการเกษตรได้อีกดว้ ย 1. แมลงพฒั นาภมู ิตา้ นทานสารเคมี ผลทเ่ี กิดข้นึ อยา่ งหนึ่งกับแมลงศตั รพู ชื เม่ือมีการใช้สารเคมกี าจดั แมลงอย่าง ตอ่ เน่ือง ก็คือ การพฒั นาภูมิต้านทานสารเคมี ซึ่งเปน็ คุณสมบัติทางวิวฒั นาการของแมลงในการเอาดารงเผ่าพันธุ์ของ ตวั เอง เพราะการพฒั นาความสามารถในการทนต่อสารเคมีทีม่ พี ิษได้ และถ่ายทอดภมู ิต้านทานดังกลา่ วสลู่ กู หลาน จะ ทาให้เผา่ พันธุข์ องแมลงสามารถอยู่รอดได้ จากการศึกษาของนกั วิจยั พบว่า เพยี ง 50 ปีที่เรม่ิ มกี ารใช้สารเคมีนัน้ มี แมลงมากกวา่ 400 ชนดิ ท่ีได้พัฒนาภมู ิตา้ นทานยาฆา่ แมลงชนดิ ต่างๆ ซ่งึ ทาให้ตอ้ งใชย้ าฆา่ แมลงที่เขม้ ขน้ มากข้ึน หรือ เปลย่ี นไปใชย้ าฆ่าแมลงชนดิ ใหม่ เช่น ในกรณขี องหนอนเจาะสมอฝูาย ในช่วงเร่ิมต้นในปี พ.ศ. 2503 ทม่ี ีการใชส้ าร ดดี ที ีเพื่อฆ่าหนอน จะใช้สารดดี ที ีเพียง 0.03 มลิ ิกรมั /นา้ หนักตวั ของหนอนหน่ึงกรมั แต่เพียง 5 ปหี ลังจากนัน้ ตอ้ งเพิ่ม ปริมาณเปน็ 1,000 มิลิกรัมจึงจะทาใหห้ นอนตายได้ (Raven, Berg, Johnson 1993, 500) ผลทเ่ี กดิ ข้ึนตามมาก็คอื เกษตรกรตอ้ งใชส้ ารเคมีกาจัดแมลงในปริมาณที่มากข้ึน ห รือไม่กเ็ ปลย่ี นไปใช้สารเคมชี นิดใหม่ๆ เพ่ือควบคุมกาจัด แมลง แต่ผลก็คือ แมลงศตั รูพืชก็จะเรง่ การววิ ัฒนาการให้สามารถต้านทานสารเคมีการเกษตรไดเ้ ร็วข้นึ ดว้ ย 2. การทาลายสมดลุ ของระบบนเวศ ไมเ่ พยี งแต่แมลงศัตรูพืชทต่ี ายลง เม่ือมีการใชส้ ารเคมีการเกษตร แต่ส่ิงมีชวี ิต ต่างๆ ในระบบนิเวศการเกษตร โดยเฉพาะแมลงท่ีเปน็ ประโยชน์ ทีท่ าหน้าทีใ่ นการควบคุมศตั รพู ชื หรือแมลงผสม เกษร กจ็ ะได้รบั ผลกระทบจากสารเคมีการเกษตรด้วยเชน่ กัน จากการศึกษาวิจยั พบวา่ ศตั รธู รรมชาติ ท่กี ินแมลง ศตั รูพืชเปน็ อาหาร เชน่ แมงมุม ดว้ งดิน เตา่ ทอง ด้วงเพชรฆาต จะมปี ระชากรลดลงอยา่ งมากหลงั จากท่มี ีการใช้
สารเคมกี าจัดแมลงฉดี พน่ เนื่องจากศัตรูธรรมชาตเิ หลา่ นไ้ี ดร้ บั ผลกระทบโดยตรงจากสารเคมี และโดยออ้ มจากการที่มี แมลงศตั รูพืชลดลง จนทาใหม้ ีอาหารไม่เพียงพอ แตห่ ลังจากน้ันไม่นาน แมลงศตั รูพชื จะขยายประชากรเพิ่มขึ้นอย่าง รวดเรว็ ในขณะท่ีศตั รูธรรมชาตจิ ะต้องใชร้ ะยะเวลานานกว่า จึงจะเพมิ่ จานวนประชากรได้ สมดุลของระบบนเิ วศจงึ เสยี ไป ทาใหเ้ กิดการระบาดของแมลงศตั รูพชื ข้นึ อีก ดังนน้ั จึงกลายเป็นวา่ การใชส้ ารเคมกี าจัดศัตรพู ืชไมไ่ ดช้ ว่ ย ปอู งกนั การระบาดของแมลงศัตรูพืชได้จริง ซึง่ ตรงกบั ผลงานวจิ ัยในสหรฐั อเมริกา ทีใ่ นชว่ งระหวา่ งปี พ.ศ. 2488 - 2532 มกี ารใชส้ ารเคมีกาจัดแมลงเพมิ่ ข้นึ กวา่ 33 เทา่ ตัว แตอ่ ตั ราการสญู เสยี ผลผลติ จากการระบาดของแมลงยงั คงอยู่ ในระดับ 13% เท่าเดมิ ไม่เปล่ียนแปลง (Raven, Berg, Johnson 1993, 501) นอกจากนี้ แมลงทใ่ี นอดีตอาจไม่ไดเ้ ป็น ศัตรพู ชื เน่อื งจากมีศตั รูธรรมชาติควบควบคมุ ประชากรให้อยูใ่ นระดับต่า แตเ่ มอ่ื มีการสารเคมีกาจัดศตั รูพชื ทาใหศ้ ัตรู ธรรมชาตลิ ดลงจนเกอื บหมด แมลงในกล่มุ น้ีก็จะสามารถขยายจานวนประชากรได้อย่างมากมาย จนกลายเป็นแมลง ศัตรพู ืชขนึ้ เชน่ กรณีไรแดงยโุ รป ซึง่ ไม่เคยพบระบาดในสวนแอปเปล้ิ ในสหรฐั อเมริกา เร่ิมมีการระบาดอยา่ งมาก หลังจากทีไ่ ด้เริ่มมีการใชส้ ารเคมีกาจดั แมลง (Raven, Berg, Johnson 1993, 502)
3. การสะสมของสารเคมใี นหว่ งโซอ่ าหาร สารเคมีกาจดั ศตั รพู ชื นั้นไม่ได้คงอย่เู ฉพาะในบรเิ วณพ้นื ทก่ี ารเกษตร แตม่ กั จะแพรก่ ระจายออกไปในสิง่ แวดลอ้ ม เพราะนา้ ท่ีไหลผ่านแปลงเกษตร ท่ีมีการฉีดพ่นสารเคมกี าจัดศตั รพู ชื จะ ไหลลงไปส่แู หลง่ นา้ ธรรมชาติ ทาใหเ้ กดิ การปนเป้ือนของสารเคมีในระบบนเิ วศอย่างกวา้ งขวาง สิ่งมชี ีวิตในแหล่งน้า อาจไดร้ บั ผลกระทบโดยตรงจากสารเคมีเหลา่ น้ี โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลตอ่ ระบบภูมิตา้ นทานของปลา ทาใหป้ ลาเปน็ โรค ตา่ งๆ ได้ง่ายข้นึ นอกจากนี้ สารเคมีเหลา่ น้ี โดยเฉพาะในกลุ่มออร์กาโนคลอไรน์ ซง่ึ ย่อยสลายชา้ อาจจะไปสะสมอยู่ใน รา่ งกายของสง่ิ มชี วี ติ ตา่ งๆ และถา่ ยทอดไปยังสิง่ มชี วี ิตที่อยู่ด้านบนของห่วงโซอ่ าหาร เกดิ การสะสมของสารพษิ ใน ปริมาณทเ่ี ข้มขน้ ขึน้ (biological magnification) ดงั ตวั อย่างในรูป ซึง่ เปน็ การสะสมของ DDT ในห่วงโซอ่ าหาร ทีเ่ รมิ่ จากการปนเป้ือนของ DDT ในน้าในอตั ราเพียง 0.000003 สว่ นในล้านสว่ น แต่ในสิ่งมีชวี ติ ขนาดเล็กท่ีอาศัยอยูใ่ นน้า เชน่ พวกไรแดง หนอนแดง จะพบว่ามีการสะสมของ DDT ในสัตวเ์ หล่าน้เี พมิ่ ข้ึนเป็น 0.04 ส่วนในล้านสว่ น และใน ปลาทก่ี ินสงิ่ มีชวี ติ ขนาดเล็กเป็นอาหาร จะมีการสะสมของ DDT ในตัวปลามากถึง 2 สว่ นในลา้ นสว่ น และเม่อื ถึงนกที่ กนิ ปลาเปน็ อาหาร จะมี DDT สะสมในตวั ได้มากถึง 25 สว่ นในล้านส่วนทีเดยี ว แม้วา่ นกจะมีการสะสม DDT ในตวั ค่อนข้างมาก แตก่ ารสะสมน้ีอาจไม่ไดท้ าให้นกตายลงทันที่ แตก่ ม็ ผี ลกระทบด้านอืน่ ๆ ได้ เชน่ DDT ทอ่ี ยใู่ นตัวนกจะ ทาให้เปลือกไข่บางลง สง่ ผลให้ไขแ่ ตกขณะที่กาลังฟักอยู่ ส่งผลใหป้ ระชากรของนกลดลงไดอ้ ย่างรวดเรว็ ซ่ึงปัญหานี้ ไมไ่ ดเ้ กิดเฉพาะกบั นกที่กนิ ปลา แตร่ วมถึงนกทีก่ ินแมลง และนกท่ีกนิ ผลไม้ด้วยเชน่ กัน ตกคา้ งในผลผลติ
แนน่ อนว่า สารเคมีกาจดั ศัตรูพชื ทีใ่ ช้ในการจดั การกับศัตรูพืชนนั้ สว่ นหน่ึงจะตกคา้ งอยู่ในผลผลติ การเกษตร ซง่ึ ไม่ สามารถล้างออกได้ดว้ ยนา้ หรอื ทาลายดว้ ยความร้อนจากการหุงต้ม ดังนนั้ อาหารที่เราบริโภคกันอยทู่ ุกวันนี้มสี ารเคมี กาจดั ศัตรูปนเป้ือนอยู่ค่อนขา้ งมาก โดยเฉพาะผลผลติ การเกษตรในประเทศกาลงั พัฒนา ซึ่งเกษตรกรมักจะไมม่ ีความรู้ เก่ียวกับการใช้สารเคมีการเกษตรอยา่ งถกู ต้อง และหน่วยงานราชการทเี่ กีย่ วข้องกไ็ ม่สามารถกากบั และควบคุมการใช้ สารเคมขี องเกษตรกรได้ จงึ ทาใหเ้ กดิ การใช้สารเคมีกาจัดศัตรูพชื อย่างไม่ถกู ต้อง ส่งผลกระทบทง้ั ต่อตวั เกษตรกรเอง ส่งิ แวดลอ้ ม และผู้บริโภค ที่ไดร้ ับผลพวงจากการบรโิ ภคอาหารที่มีสารเคมตี กค้าง เป็นท่ีรกู้ นั ในหมผู่ ทู้ ที่ างานในดา้ น สาธารณะสุขว่า สารเคมีกาจัดศตั รูพืชถูกประดิษฐ์ขึน้ เพื่อใช้ทาอนั ตรายต่อสงิ่ มีชีวติ จึงอาจมอี นั ตรายต่อมนุษยไ์ ด้ เชน่ กัน ซ่งึ ผลกระทบต่อสุขภาพของสารเคมีกาจัดศัตรพู ชื ท่ีตกค้างอยใู่ นอาหารน้นั แบ่งออกไดเ้ ป็น 2 ลักษณะคือ อาการพษิ เฉยี บพลนั และอาการพษิ สะสม อาการพษิ เฉยี บพลนั มักจะเกิดข้ึนกบั ผูท้ ที่ างานหรืออยูใ่ กล้ชดิ กับสารเคมีกาจดั ศัตรูพืช (โดยเฉพาะอย่างยงิ่ เกษตรกร หรอื คนงานในร้าน ขายสารเคมีการเกษตร) ซงึ่ มโี อกาศท่จี ะไดร้ บั สารเคมีการเกษตรจากการสูดดมหรือสัมผัสโดยตรง ซึ่งอาการทาง สขุ ภาพแบบเฉยี บพลันนี้ อาจมีไดห้ ลายลกั ษณะ ข้ึนอยู่กับชนิดของสารเคมวี ่า เป็นสารพิษต่อระบบประสาท ระบบ กลา้ มเนื้อ หรือระบบการทางานอนื่ ของรา่ งกายความเป็นพิษแบบเฉยี บพลนั อาจเกดิ ขน้ึ ได้เมือ่ ได้รับพิษอย่างอ่อนๆ ปานกลาง หรือเขม้ ขน้ ซ่ึงอาจทาใหม้ ีอาการแตกต่างกนั ได้ดังนี้ พษิ อย่าง วงิ เวยี น ปวดศรีษะ หมดเรี่ยวแรง ตาพร่า กระสบั กระสา่ ย เหงื่อออก คลืน่ ไส้ ออ่ น ท้องเดนิ เบื่ออาหาร น้าหนกั ลด กระหายนา้ ปวดตามข้อ มีผน่ื คนั ตามผวิ หนัง เคอื งตา แสบตา ระคายจมกู ระคายคอ พิษปาน คลืน่ ไส้ ทอ้ งเดิน นา้ ลายฟูมปาก กระเพาะอาหารบบี เกร็ง เหง่ือออกมาก มือสน่ั กลาง กลา้ มเน้อื ทางานไมป่ ระสานกัน กล้ามเนอื้ บิดเกร็ง ตาพรา่ จัด หายใจลาบาก ชพี จรเตน้ เร็ว ผิวหนงั รอ้ นแดง หรือเป็นสเี หลือง พิษ หายใจถ่ีเรว็ อาเจียน กลา้ มเน้ือบิดเกร็ง บังคับไม่ได้ ม่านตาหร่ีเลก็ ชกั หายใจไม่ รุนแรง ออก หมดสติ ผู้ปุวยจากการได้รับสารพิษทางการเกษตรแบบเฉยี บพลนั โดยสว่ นใหญจ่ ะเป็นการไดร้ ับพษิ อยา่ งอ่อน ซ่งึ อาจมีอาการ ทางสขุ ภาพเล็กน้อย และไมไ่ ดใ้ ส่ใจว่า เปน็ ผลกระทบจากความเป็นพิษของสารเคมีการเกษตร เลยทาให้ไม่ได้ ระมัดระวงั ตัว ส่งผลใหเ้ กิดการสะสมสารพษิ และมีการเจบ็ ปุวยทเี่ กดิ จากพษิ สะสมได้อีก อาการพษิ สะสม
เม่อื ได้รบั สารเคมีการเกษตรไปแล้วระยะหนงึ่ (อาจนานหลายเดอื น หรอื ปีกไ็ ด้) หรอื ได้รับสารเคมกี ารเกษตรแตเ่ พยี ง เลก็ นอ้ ย ต่อเนอ่ื งกนั ทาใหเ้ กิดการ สะสมของสารเคมใี นร่างกายถึงจดุ ๆ หนง่ึ สารพิษเหลา่ น้นั อาจทาให้เกิดการ เปลยี่ นแปลงในร่างกาย (โดยตรง หรอื โดยอ้อม) ที่เป็นปัญหาสขุ ภาพไดห้ ลายลักษณะ เชน่ การเปล่ยี นแปลงพนั ธุกรรมของเซลล์ (mutagen) โดยสารเคมกี าจัดศัตรูพชื หลายชนิดถูกออกแบบให้รบกวนต่อ พันธกุ รรมของเซล สง่ ผลใหเ้ กิดเนื้องอกหรือมะเรง็ หรือทาใหก้ ารพฒั นาร่างกายของเด็กทารกในครรถ์แม่ผิดปกติ ไป ซงึ่ รวมไปผลกระทบตอ่ เซลสืบพันธุ์ เน้อื งอกและมะเรง็ (carcinogen) กระบวนการทสี่ ารเคมีการเกษตรทาใหเ้ กิดเน้ืองอกและมะเร็งน้นั ยงั เป็นส่ิงทไ่ี ม่ สามารถบง่ ชีไ้ ดช้ ดั เจน แตส่ ามารถยืนยนั ผลไดใ้ นสัตว์ทดลอง ซงึ่ พบวา่ เมอื่ สตั ว์ทดลองได้รบั สารเคมีเหลา่ นี้แลว้ เกิดเนือ้ งอกหรอื มะเรง็ ขึ้น การเปลีย่ นแปลงของเซลลต์ วั ออ่ นท่ีอยใู่ นครรถ์แม่ (teratogenic) ซึง่ ทาให้ลูกที่คลอดออกมามรี า่ งกายผิดปกติ หรอื แมแ่ ท้งลูก สารเคมตี กคา้ งในระดบั ปลอดภยั ? แม้วา่ ทางหน่วยงานราชการที่เก่ยี วข้องจะได้กาหนดค่ามาตรฐานความปลอดภัยไว้ แต่ก็ยังมกี ารวจิ ารณว์ ่า ค่า มาตรฐานดงั กล่าวปลอดภยั ต่อผูบ้ ริโภคจรงิ หรือ เพราะค่ามาตรฐานความปลอดภยั น้กี าหนดเปน็ ปรมิ าณสารเคมสี งู สุด ของสารแต่ละชนดิ ที่ยนิ ยอมให้มีตกค้างในอาหาร โดยเชื่อว่าผบู้ รโิ ภคสามารถบริโภคสารตกค้างน้ีได้ทุกวนั ตลอดชว่ ง ชวี ติ โดยไม่มีอนั ตราย แต่ขอ้ วิจารณ์สาคัญก็คอื คา่ ความปลอดภยั น้พี จิ ารณาเฉพาะพษิ เฉียบพลนั ของสารเคมี แต่ไม่ได้ พจิ ารณาถึงผลกระทบระยะยาวจากการสะสมของสารเคมีในร่างกาย ซ่งึ สารเคมจี านวนมากมีผลต่อสขุ ภาพได้ทงั้ สิ้น ไม่วา่ จะเป็นผลกระทบตอ่ ระบบกลา้ มเน้ือ, ระบบประสาท, การเปลี่ยนแปลงพนั ธุกรรมของเซลล์ หรอื การก่อมะเรง็ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อผ้บู รโิ ภคไดร้ ับสารเคมีหลายชนดิ ร่วมกัน ซึง่ มีความเปน็ ไปได้ที่สารเคมเี หล่าน้อี าจมีผลในการ เสริมฤทธกิ์ ันได้ ยกตวั อย่างเช่น มีการทดสอบผลกระทบของสารปอู งกนั กาจัดเช้ือรา perchloraz รว่ มกับสารกาจัด แมลง malathion ปรากฏว่า สตั ว์ทดลองทีไ่ ด้รับสารทง้ั สองชนิดร่วมกนั มีอัตราการเสยี ชีวิตสงู กว่าเมอ่ื ได้รบั สารเพยี ง ชนิดเดียวในปริมาณทเ่ี ทา่ กัน (Robbins 1991, 83)
Search
Read the Text Version
- 1 - 26
Pages: