Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore บทที่5 การจัดการเรียนรู้เชิงรุก

บทที่5 การจัดการเรียนรู้เชิงรุก

Published by pk.patompong, 2021-10-26 08:24:59

Description: บทที่5 การจัดการเรียนรู้เชิงรุก

Search

Read the Text Version

การเรยี นการสอนแบบ Active Learning Active Learning คือกระบวนการจดั การเรยี นรู้ทีผ่ เู้ รียนไดล้ งมือกระทาและได้ใช้กระบวนการคดิ เก่ยี วกบั สิ่งทเี่ ขาได้กระทาลงไป (Bonwell, 1991) เปน็ การจดั กิจกรรมการเรียนร้ภู ายใต้สมมติฐานพ้นื ฐาน 2 ประการคือ 1) การเรียนร้เู ป็นความพยายามโดยธรรมชาติของมนุษย์, และ 2) แตล่ ะบคุ คลมแี นวทางในการ เรียนรทู้ แ่ี ตกตา่ งกนั (Meyers and Jones, 1993) โดยผู้เรยี นจะถูกเปล่ยี นบทบาทจากผู้รับความร(ู้ receive) ไปสู่การมสี ว่ นร่วมในการสรา้ งความรู้(co-creators) ( Fedler and Brent, 1996) Active Learning จึงเป็นกระบวนการจัดการเรียนรู้ตามแนวคดิ การสร้างสรรค์ทางปัญญา (Constructivism) ทเี่ นน้ กระบวนการเรยี นรมู้ ากกวา่ เนื้อหาวชิ า เพอื่ ชว่ ยใหผ้ ้เู รยี นสามารถเชอ่ื มโยงความรู้ หรือสร้างความรใู้ หเ้ กดิ ข้ึนในตนเอง ดว้ ยการลงมือปฏิบัตจิ รงิ ผา่ นสอื่ หรือกจิ กรรมการเรียนรู้ ท่มี ีครผู สู้ อนเป็นผู้ แนะนา กระตุ้น หรืออานวยความสะดวก ใหผ้ ู้เรียนเกิดการเรียนรูข้ นึ้ โดยกระบวนการคิดขั้นสงู กลา่ วคือ ผเู้ รยี นมกี ารวเิ คราะห์ สังเคราะห์ และการประเมนิ คา่ จากส่งิ ทไ่ี ดร้ บั จากกิจกรรมการเรยี นรู้ ทาใหก้ ารเรียนรู้ เป็นไปอยา่ งมคี วามหมายและนาไปใช้ในสถานการณ์อืน่ ๆได้อย่างมปี ระสิทธิภาพ (สถาพร พฤฑฒกิ ุล, 2558) ลกั ษณะของการจดั การเรยี นการสอนแบบ Active Learning เปน็ ดงั น้ี (ไชยยศ เรืองสวุ รรณ, 2553) 1. เป็นการเรียนการสอนท่ีพัฒนาศกั ยภาพทางสมอง ได้แก่ การคดิ การแกป้ ัญหา และการนาความรู้ ไปประยุกตใ์ ช้ 2. เป็นการเรียนการสอนที่เปิดโอกาสให้ผู้เรียนมสี ว่ นร่วมในกระบวนการเรียนรูส้ ูงสุด 3. ผเู้ รียนสรา้ งองคค์ วามรู้และจัดกระบวนการเรยี นรู้ดว้ ยตนเอง 4. ผู้เรียนมสี ว่ นรว่ มในการเรียนการสอนท้ังในดา้ นการสร้างองค์ความรู้ การสร้างปฏสิ มั พนั ธร์ ่วมกัน รว่ มมอื กนั มากกว่าการแข่งขัน 5. ผเู้ รยี นเรียนรู้ความรบั ผิดชอบร่วมกนั การมีวนิ ัยในการทางาน และการแบง่ หน้าที่ความรบั ผดิ ชอบ 6. เป็นกระบวนการสร้างสถานการณ์ใหผ้ ู้เรียนอา่ น พูด ฟัง คดิ อยา่ งลมุ่ ลึก ผู้เรยี นจะเปน็ ผจู้ ดั ระบบ การเรยี นรู้ด้วยตนเอง 7. เป็นกิจกรรมการเรียนการสอนท่เี น้นทักษะการคิดขั้นสูง 8. เป็นกจิ กรรมท่เี ปดิ โอกาสใหผ้ ู้เรียนบูรณาการข้อมูลข่าวสาร หรอื สารสนเทศ และหลักการความคิด รวบยอด 9. ผ้สู อนจะเป็นผู้อานวยความสะดวกในการจดั การเรยี นรู้ เพื่อให้ผู้เรยี นเปน็ ผู้ปฏบิ ตั ิด้วยตนเอง 10. ความรู้เกดิ จากประสบการณ์ การสร้างองค์ความรู้ และการสรปุ ทบทวนของผเู้ รยี น

บทบาทของอาจารยผ์ สู้ อนในการจัดกิจกรรมการเรยี นรตู้ ามแนวทางของ Active Learning ดังน้ี (ณัชนัน แกว้ ชยั เจรญิ กิจ, 2550) จดั ให้ผเู้ รียนเปน็ ศนู ย์กลางของการเรยี นการสอน กิจกรรมต้องสะท้อน ความต้องการในการพัฒนาผ้เู รียนและเน้นการนาไปใชป้ ระโยชน์ในชีวิตจรงิ ของผู้เรยี น 1. สรา้ งบรรยากาศของการมีส่วนร่วม และการเจรจาโต้ตอบทีส่ ง่ เสรมิ ใหผ้ ูเ้ รยี นมีปฏิสัมพันธ์ทด่ี ี กับผูส้ อนและเพ่ือนในช้นั เรยี น 2 .จัดกิจกรรมการเรียนการสอนให้เปน็ พลวตั สง่ เสริมให้ผูเ้ รยี นมสี ่วนร่วมในทุกกจิ กรรมรวมทงั้ กระตนุ้ ใหผ้ ู้เรยี นประสบความสาเร็จในการเรียนรู้ 3. จดั สภาพการเรียนรแู้ บบรว่ มมือ สง่ เสริมให้เกดิ การรว่ มมอื ในกลุ่มผู้เรียน 4. จัดกิจกรรมการเรยี นการสอนให้ท้าทาย และให้โอกาสผู้เรยี นไดร้ บั วิธีการสอนท่หี ลากหลาย 5. วางแผนเก่ียวกับเวลาในจัดการเรียนการสอนอยา่ งชัดเจน ทงั้ ในส่วนของเน้ือหา และกจิ กรรม 6. ครผู ู้สอนตอ้ งใจกว้าง ยอมรบั ในความสามารถในการแสดงออก และความคิดเของทผ่ี ู้เรียน ตัวอย่างเทคนคิ การจดั การเรยี นรแู้ บบ Active Learning การจัดการเรยี นรู้แบบ Active Learning สามารถสร้างให้เกดิ ข้นึ ไดท้ ้งั ในห้องเรยี นและนอกห้องเรยี น รวมทั้งสามารถใช้ได้กับนักเรียนทุกระดับ ท้ังการเรียนรเู้ ป็นรายบคุ คล การเรยี นรู้แบบกลุ่มเล็ก และการเรียนรู้ แบบกลมุ่ ใหญ่ McKinney (2008) ได้เสนอตวั อย่างรูปแบบหรือเทคนิค การจดั กจิ กรรมการเรยี นรทู้ ีจ่ ะชว่ ยให้ ผเู้ รียนเกดิ การเรียนรู้แบบ Active Learning ไดด้ ี ได้แก่ 1. การเรียนรแู้ บบแลกเปล่ยี นความคิด (Think-Pair-Share) คอื การจัดกิจกรรมการเรยี นรู้ท่ใี ห้ ผู้เรยี นคิดเกยี่ วกบั ประเด็นที่กาหนดแตล่ ะคน ประมาณ 2-3 นาที (Think) จากน้นั ให้แลกเปล่ยี นความคดิ กบั เพ่ือนอีกคน 3-5 นาที (Pair) และนาเสนอความคดิ เห็นตอ่ ผ้เู รยี นทัง้ หมด (Share) 2. การเรยี นรู้แบบรว่ มมือ (Collaborative learning group) คือการจดั กิจกรรมการเรยี นร้ทู ใ่ี ห้ ผู้เรียนไดท้ างานรว่ มกับผอู้ นื่ โดยจัดเป็นกลุม่ ๆ ละ 3-6 คน 3. การเรยี นรแู้ บบทบทวนโดยผเู้ รียน (Student-led review sessions) คือการจดั กิจกรรมการ เรียนรู้ที่เปิดโอกาสให้ผู้เรยี นได้ทบทวนความรูแ้ ละพิจารณาขอ้ สงสยั ตา่ ง ๆ ในการปฏิบัติกจิ กรรมการเรยี นรู้ โดยครูจะคอยช่วยเหลอื กรณีทีม่ ีปัญหา 4. การเรยี นรแู้ บบใช้เกม (Games) คอื การจดั กิจกรรมการเรยี นรทู้ ผ่ี ูส้ อนนาเกมเขา้ บรู ณาการใน การเรียนการสอน ซึง่ ใชไ้ ด้ทงั้ ในขนั้ การนาเขา้ สบู่ ทเรียน การสอน การมอบหมายงาน และหรอื ขั้นการ ประเมนิ ผล 5. การเรยี นรู้แบบวิเคราะห์วีดีโอ (Analysis or reactions to videos) คอื การจัดกจิ กรรมการ เรียนรู้ที่ใหผ้ ู้เรยี นได้ดวู ีดีโอ 5-20 นาที แล้วใหผ้ ูเ้ รียนแสดงความคดิ เหน็ หรอื สะทอ้ นความคิดเกี่ยวกบั สงิ่ ท่ีไดด้ ู อาจโดยวิธีการพูดโตต้ อบกัน การเขยี น หรือ การรว่ มกันสรุปเปน็ รายกลุม่ 6. การเรียนรแู้ บบโต้วาที (Student debates) คอื การจัดกจิ กรรมการเรียนรทู้ ีจ่ ัดให้ผู้เรียนได้ นาเสนอข้อมูลที่ไดจ้ ากประสบการณ์และการเรียนรู้ เพ่ือยืนยนั แนวคดิ ของตนเองหรอื กลมุ่

7. การเรียนร้แู บบผเู้ รยี นสร้างแบบทดสอบ (Student generated exam questions) คอื การ จดั กจิ กรรมการเรียนรทู้ ใี่ หผ้ ู้เรียนสรา้ งแบบทดสอบจากสิ่งท่ีได้เรียนรู้มาแล้ว 8. การเรียนรู้แบบกระบวนการวจิ ัย (Mini-research proposals or project) คอื การจดั กิจกรรม การเรียนรทู้ ี่อิงกระบวนการวิจัย โดยให้ผ้เู รียนกาหนดหัวขอ้ ทีต่ ้องการเรยี นรู้ วางแผนการเรียน เรยี นรตู้ ามแผน สรปุ ความรู้หรือสร้างผลงาน และสะท้อนความคดิ ในส่งิ ทีไ่ ด้เรยี นรู้ หรืออาจเรียกวา่ การสอนแบบโครงงาน (project-based learning) หรือ การสอนแบบใชป้ ญั หาเปน็ ฐาน(problem-based learning) 9. การเรยี นรแู้ บบกรณีศกึ ษา (Analyze case studies) คือการจัดกิจกรรมการเรยี นรทู้ ี่ใหผ้ เู้ รยี น ไดอ้ า่ นกรณีตัวอย่างทต่ี ้องการศกึ ษา จากนนั้ ใหผ้ ้เู รียนวเิ คราะห์และแลกเปลยี่ นความคิดเหน็ หรอื แนวทาง แก้ปญั หาภายในกลมุ่ แล้วนาเสนอความคดิ เห็นต่อผเู้ รียนทั้งหมด 10. การเรียนรแู้ บบการเขยี นบันทึก (Keeping journals or logs) คือการจดั กิจกรรมการเรยี นร้ทู ่ี ผู้เรียนจดบันทึกเรอ่ื งราวต่างๆ ที่ได้พบเห็น หรือเหตุการณ์ทเ่ี กดิ ข้นึ ในแต่ละวนั รวมทั้งเสนอความคิดเพิ่มเติม เก่ียวกับบันทึกที่เขยี น 11. การเรยี นรูแ้ บบการเขยี นจดหมายขา่ ว (Write and produce a newsletter) คอื การจดั กจิ กรรมการเรยี นรทู้ ีใ่ ห้ผู้เรยี นร่วมกนั ผลติ จดหมายขา่ ว อันประกอบดว้ ย บทความ ขอ้ มูลสารสนเทศ ขา่ วสาร และเหตุการณท์ ี่เกดิ ข้นึ แลว้ แจกจ่ายไปยังบุคคลอื่นๆ 12. การเรียนร้แู บบแผนผงั ความคิด (Concept mapping) คอื การจดั กิจกรรมการเรียนรู้ท่ีให้ ผู้เรียนออกแบบแผนผังความคิด เพ่ือนาเสนอความคดิ รวบยอด และความเช่อื มโยงกันของกรอบความคิด โดย การใช้เส้นเป็นตัวเชอ่ื มโยง อาจจดั ทาเปน็ รายบคุ คลหรอื งานกลุม่ แล้วนาเสนอผลงานตอ่ ผ้เู รียนอ่ืนๆ จากน้ัน เปดิ โอกาสใหผ้ เู้ รยี นคนอนื่ ได้ซกั ถามและแสดงความคดิ เห็นเพิ่มเติม เอกสารประกอบการฝึกอบรม “คุณภาพผูเ้ รยี น.......เกดิ จากกระบวนการเรยี นรู้” โดย ดร.สถาพร พฤฑฒกิ ลุ (3 ธนั วาคม 2558) คณะเทคโนโลยีการเกษตร มหาวิทยาลัยบูรพา วิทยาเขตสระแกว้

แนวความคิดการเรียนการสอนแบบ Active Learning Active Learning สรา้ ง หมายถึง กระบวนการจัดการ ประสบการณ์ เรยี นรู้ท่ีผู้เรียนได้ลงมือกระทาและ เริ่มทเ่ี ขา้ ใจ จากการเรยี นรู เช่ือมโยง ได้ใช้กระบวนการคิดเกี่ยวกับส่ิงท่ี ธรรมชาติ เนื้อหาไปสู่สิง่ เขาได้กระทาลงไป เป็นการจัด ของมนุษย Active ทถี่ ูก กิ จ ก ร ร ม ก า ร เ รี ย น รู้ ภ า ย ใ ต้ Learning สมมติฐานพื้นฐาน 2 ประการ คือ ฝึกการเรียนรู้ ฝกึ แกไ้ ขปญั หา 1) การเรียนรู้เป็นความพยายาม และ ไม่จาเปน็ ตอ้ งมี แกไ้ ขโจทย์ โดยธรรมชาติของมนุษย์ และ 2) แ ต่ ล ะ บุ ค ค ล มี แ น ว ท า ง ใ น ก า ร การนาเสนอ เรียนรู้ที่แตกต่างกัน โดยผู้เรียนจะ เอกสารจานวน ถูกเปล่ียนบทบาทจากผู้รับความรู้ มาก (ทhretม่ี tาcpse::/i/vpea)rnwไปarสd8ู่กinาfoร.wมoีสrd่วpนreรs่sว.cมoใmน/2014/01/29/... %A3/ และการจัดโครงการอบรมและแลกเปลยี่ นเรยี นรู้ เร่อื ง Active กLาeรarสnรinา้ gง(คทาวอายมา่ งรไู้ร(cไมoใ่ ห-cน้ rกั eศaกึ tษoาหrsล)บั ในวิชาเรียน) เม่ือวนั ที่ 17 พ.ค. 2559 ประโยชนก์ ารเรียนการสอนแบบ Active Learning ท่ีมา : การจดั โครงการอบรมและแลกเปลี่ยนเรียนรู้ เรื่อง Active Learning (ทาอยา่ งไร ไม่ให้นักศกึ ษาหลบั ใน วชิ าเรยี น) เม่ือวันที่ 17 พ.ค. 2559

แนวทางการเรยี นการสอนแบบ Active Learning ท่มี า : การจัดโครงการอบรมและแลกเปล่ียนเรียนรู้ เรื่อง Active Learning (ทาอยา่ งไร ไมใ่ ห้นักศกึ ษาหลับใน วชิ าเรียน) เม่อื วนั ท่ี 17 พ.ค. 2559 การบวนการเรียนรู้ Active Learning - การใหผ้ เู้ รียนมีบทบาทในการแสวงหาความรแู้ ละเรยี นรู้อยา่ งมปี ฏสิ ัมพนั ธ์จนเกิดความรู้ ความเข้าใจ นาไปประยุกตใ์ ช้สามารถวิเคราะห์ สงั เคราะห์ ประเมินคา่ หรือ สร้างสรรค์สงิ่ ต่างๆ และพัฒนาตนเองเต็ม ความสามารถ รวมถึงการจดั ประสบการณ์การเรียนรใู้ ห้เขาได้มีโอกาสรว่ มอภปิ รายให้มโี อกาสฝึกทักษะการ สอ่ื สาร ทาใหผ้ ลการเรยี นรูเ้ พ่ิมขน้ึ 70% - การนาเสนองานทางวชิ าการ เรยี นรูใ้ นสถานการณ์จาลอง ท้ังมกี ารฝึกปฏิบตั ิ ในสภาพจรงิ มีการ เช่อื มโยงกับสถานการณ์ ตา่ งๆ ซึง่ จะทาให้ผลการเรยี นรเู้ กิดขึน้ ถึง 90% https://parnward8info.wordpress.com ลกั ษณะของ Active Learning (อ้างองิ จาก :ไชยยศ เรืองสวุ รรณ) - เป็นการเรยี นการสอนทีพ่ ัฒนาศักยภาพทางสมอง ได้แก่ การคิด การแก้ปญั หา การนาความรูไ้ ป ประยกุ ตใ์ ช้ - เป็นการเรียนการสอนทเ่ี ปดิ โอกาสใหผ้ ู้เรียนมีส่วนร่วมในการเรียนรู้ - ผเู้ รียนสร้างองคค์ วามรแู้ ละจดั ระบบการเรยี นรดู้ ว้ ยตนเอง - ผูเ้ รียนมสี ่วนร่วมในการเรียนการสอน มีการสรา้ งองค์ความรู้ การสร้างปฎิสมั พันธร์ ่วมกัน และรว่ มมือกัน มากกว่าการแข่งขัน - ผ้เู รยี นไดเ้ รียนรูค้ วามรบั ผดิ ชอบรว่ มกัน การมวี ินยั ในการทางาน และการแบ่งหน้าทคี่ วามรับผิดชอบ - เป็นกระบวนการสร้างสถานการณใ์ ห้ผู้เรยี นอ่าน พดู ฟัง คิด

- เป็นกจิ กรรมการเรียนการสอนเน้นทกั ษะการคิดขั้นสูง - เป็นกจิ กรรมท่ีเปดิ โอกาสให้ผเู้ รยี นบูรณาการข้อมลู , ข่าวสาร, สารสนเทศ, และหลกั การสู่การสร้าง ความคดิ รวบยอดความคิดรวบยอด - ผู้สอนจะเปน็ ผู้อานวยความสะดวกในการจัดการเรยี นรู้ เพื่อใหผ้ ู้เรียนเป็นผปู้ ฏิบตั ิดว้ ยตนเอง - ความร้เู กิดจากประสบการณ์ การสรา้ งองคค์ วามรู้ และการสรุปทบทวนของผู้เรยี น ทีม่ า https://parnward8info.wordpress.com/2014 การจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้ท่เี นน้ บทบาทและการมีส่วนร่วมของผู้เรียน (Active Learning) ในศตวรรษที่ ๒๑ เป็นยคุ ของข้อมูลข่าวสารและการเปลีย่ นแปลง ด้วยความก้าวหน้าของเทคโนโลยี สารสนเทศทาให้การสอ่ื สารไร้พรมแดน การเข้าถงึ แหลง่ ข้อมลู สามารถทาได้ทุกท่ีทุกเวลา ผลกระทบจากยุค โลกาภิวตั น์นสี้ ่งผลใหผ้ ู้เรยี นจาเปน็ จะต้องมคี วามสามารถเรียนรูไ้ ดด้ ้วยตนเองอยา่ งตอ่ เนื่องและเป็น ผู้แสวงหาความรอู้ ยู่ตลอดเวลา ประกอบกบั ปัจจบุ ันมอี งคค์ วามรใู้ หมเ่ กิดขน้ึ มากมายทุกวินาทที าใหเ้ นื้อหาวชิ า มีมากเกนิ กว่าท่ีจะเรียนรู้จากในหอ้ งเรียนไดห้ มด ซึ่งการสอนแบบเดิมดว้ ยการ “พดู บอก เลา่ ” ไมส่ ามารถ จะพฒั นาผูเ้ รยี นใหน้ าความรู้ที่ไดจ้ ากการเรยี นในชนั้ เรียนไปปฏิบตั ิได้ดี ดังน้ันจึงจาเปน็ ต้องปรับเปลยี่ นวิธีการ จดั การเรียนรใู้ ห้ตอบสนองความเปล่ยี นแปลงของสังคมเทคโนโลยี จากผสู้ อนทม่ี บี ทบาทเป็นผ้ถู า่ ยทอด ปรบั เปลี่ยนบทบาทเปน็ ผ้ชู แ้ี นะวิธีการค้นคว้าหาความรเู้ พื่อพฒั นาผเู้ รียนใหส้ ามารถแสวงหาความรู้ และ ประยกุ ต์ใช้ทักษะตา่ งๆ สร้างความเขา้ ใจด้วยตนเองจนเกดิ เปน็ การเรยี นร้อู ยา่ งมคี วามหมาย การเรียนรู้ที่เน้นบทบาทและการมสี ่วนรว่ มของผู้เรียน “เป็นกระบวนการเรียนรู้ท่ีใหผ้ ู้เรยี นไดเ้ รียนรู้ อยา่ งมีความหมายโดยการร่วมมือระหวา่ งผูเ้ รียนด้วยกัน ในการนี้ ครตู ้องลดบทบาทในการสอนและการให้ ขอ้ ความรแู้ ก่ผเู้ รียนโดยตรง แต่ไปเพิ่มกระบวนการและกิจกรรมทีจ่ ะทาให้ผ้เู รยี นเกิดความกระตือรือรน้ ในการจะทากจิ กรรมต่างๆ มากขน้ึ และอย่างหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการแลกเปลยี่ นประสบการณ์ โดยการพูด การเขียน การอภปิ รายกับเพื่อนๆ” กรวยแห่งการเรียนรู้ (The Cone of Learning) การเรียนรูท้ ่เี นน้ บทบาทและการมีสว่ นร่วมของผเู้ รยี น หรือการเรยี นร้เู ชิงรกุ (Active Learning) เป็น กระบวนการเรียนการสอนอย่างหนงึ่ เปน็ การเรียนรผู้ า่ นการปฏบิ ตั ิ หรอื การลงมือทาซ่ึง “ความรู้” ทีเ่ กิดข้นึ กเ็ ป็นความรทู้ ่ีได้จากประสบการณ์ จากกระบวนการในการจัดกิจกรรมการเรยี นรู้ผู้เรียนมโี อกาส ลงมือกระทา มากกวา่ การฟังเพยี งอย่างเดียว ผเู้ รยี นไดเ้ รียนรโู้ ดยการอ่าน การเขียน การโตต้ อบ และการวเิ คราะหป์ ัญหา อกี ท้ังให้ผเู้ รยี นได้ใช้กระบวนการคิดขัน้ สงู ได้แก่ การวิเคราะห์ การสงั เคราะห์ และการประเมินค่า การเรียนรทู้ ี่เนน้ บทบาทและการมสี ่วนร่วมของผู้เรยี น (Active Learning) ทาใหผ้ ู้เรียนสามารถ รักษาผลการเรียนร้ใู ห้อยู่คงทนไดม้ ากและนานกว่ากระบวนการเรียนรู้ทีผ่ ู้เรียน เปน็ ฝา่ ยรับความรู้ (Passive

Learning) เพราะกระบวนการเรียนรู้แบบ Active Learning สอดคล้องกบั การทางานของสมองท่ีเก่ยี วข้องกับ ความจา โดยสามารถเก็บและจาสิ่งท่ีผ้เู รียนเรียนรู้อยา่ งมสี ่วนรว่ ม มปี ฏสิ มั พันธก์ ับเพ่ือน ผ้สู อน ส่ิงแวดล้อม การเรียนรู้ที่ไดผ้ า่ นการปฏบิ ัติจริง จะสามารถเกบ็ ความจา ในระบบความจาระยะยาว (Long Term Memory) ทาใหผ้ ลการเรียนรู้ ยงั คงอยู่ไดใ้ นปริมาณทมี่ ากกวา่ ระยะยาวกว่า ซึ่งอธิบายได้ ดงั รปู จากรปู จะเห็นไดว้ ่า กรวยแหง่ การเรยี นรูน้ ้ไี ดแ้ บ่งเป็น 2 กระบวนการ คือ ๑. กระบวนการเรียนรแู้ บบต้ังรับ (Passive Learning) - การเรยี นรโู้ ดยการอา่ น ท่องจา ผู้เรียนจะจาได้ในสิ่งท่เี รียนเพยี ง ๒๐% - การเรียนรูโ้ ดยการฟงั บรรยายเพยี งอย่างเดียวโดยท่ผี ้เู รยี นไมม่ โี อกาสได้มสี ว่ นร่วมใน การเรียนรดู้ ว้ ยกจิ กรรมอืน่ ในขณะที่ครสู อน เมอื่ เวลาผ่านไปผู้เรยี นจะจาได้เพียง ๒๐% หากในการเรียนการ สอนผู้เรยี นมีโอกาสไดเ้ ห็นภาพประกอบด้วยกจ็ ะทาใหผ้ ลการเรียนรูค้ งอยู่ได้เพ่มิ ขน้ึ เป็น ๓๐% - การเรยี นรทู้ ่ผี ูส้ อนจดั ประสบการณ์ให้กบั ผูเ้ รยี นเพิ่มขน้ึ เช่น การใหด้ ภู าพยนตร์ การสาธิต จัดนทิ รรศการให้ผเู้ รียนไดด้ ู รวมทั้งการนาผู้เรียนไปทศั นศกึ ษาหรือดูงาน กท็ าให้ผลการเรียนรู้เพ่มิ ขนึ้ เปน็ ๕๐% ๒. กระบวนการเรยี นรู้เชิงรุก ( Active Learning) - ผ้เู รยี นมบี ทบาทในการแสวงหาความรแู้ ละเรยี นรู้อย่างมีปฏิสัมพนั ธ์จนเกดิ ความรู้ ความ

เขา้ ใจ นาไปประยกุ ตใ์ ช้ สามารถวิเคราะห์ สงั เคราะห์ ประเมินคา่ หรอื สรา้ งสรรคส์ ่ิงต่างๆ และพัฒนาตนเอง เตม็ ความสามารถ รวมถงึ การจัดประสบการณก์ ารเรียนรูใ้ ห้ไดร้ ว่ มอภิปราย ใหฝ้ ึกทักษะการสือ่ สาร ทาให้ผล การเรียนรู้เพม่ิ ขึ้นเปน็ ๗๐% - การนาเสนอผลงานทางการเรียนร้ใู นสถานการณ์จาลอง ทั้งมีการฝกึ ปฏิบัติในสภาพจรงิ มี การเช่อื มโยงกับสถานการณต์ ่างๆ จะทาให้ผลการเรียนร้เู กิดขนึ้ ถงึ ๙๐% ลักษณะสาคัญของการจดั การเรียนร้ทู ี่เนน้ บทบาทและการมีสว่ นร่วมของผ้เู รียน - ความรู้เกิดจากประสบการณ์ การสร้างองค์ความรู้ และการสรปุ ทบทวนของผู้เรยี น - เปน็ การจัดการเรียนรูท้ มี่ ่งุ พฒั นาศักยภาพทางสมอง ได้แก่ การคิด การแก้ปญั หา การนาความรู้ ไปประยุกตใ์ ช้ - เปน็ การจดั การเรียนร้ทู ีเ่ ปดิ โอกาสใหผ้ เู้ รยี นมสี ่วนร่วมในการเรยี นรู้ - เปน็ กระบวนการสร้างสถานการณ์ให้ผู้เรียนอา่ น พดู ฟัง คิด - เป็นกิจกรรมการเรียนรู้ที่เน้นทักษะการคดิ ข้นั สูง - เป็นกจิ กรรมการเรียนร้ทู ี่เปิดโอกาสให้ผเู้ รียนบูรณาการข้อมลู ข่าวสาร สารสนเทศ และหลกั การ สกู่ ารสรา้ งความคิดรวบยอด - ผูเ้ รียนมสี ว่ นรว่ มในการจดั การเรยี นรู้ มกี ารสร้างองค์ความรู้ การสรา้ งปฎิสัมพันธร์ ่วมกนั และ ร่วมมือกนั มากกว่าการแข่งขนั - ผูเ้ รียนสรา้ งองค์ความรแู้ ละจัดระบบการเรียนรู้ด้วยตนเอง - ผ้เู รียนไดเ้ รียนรู้ความรับผดิ ชอบร่วมกัน การมีวินัยในการทางาน และการแบ่งหน้าทค่ี วาม รับผดิ ชอบ - ผสู้ อนเปน็ ผ้อู านวยความสะดวกในการจดั การเรยี นรู้ เพื่อใหผ้ เู้ รียนเป็นผ้ปู ฏิบัติด้วยตนเอง หลักการจดั การเรยี นรูท้ ่ีเน้นบทบาทและการมีส่วนรว่ มของผู้เรยี น ๑. จดั กจิ กรรมการเรยี นรู้ภายใตค้ วามเช่ือพน้ื ฐาน 2 ประการคือ ๑) การเรียนรเู้ ป็นความพยายามโดยธรรมชาตขิ องมนษุ ย์ ๒) แต่ละบุคคลมแี นวทางในการเรยี นรู้ทแ่ี ตกต่างกนั โดยผเู้ รยี นจะถูกเปลยี่ นบทบาทจาก ผ้รู บั ความร้ไู ปสู่การมสี ว่ นรว่ มในการสรา้ งความรู้ ๒. ส่งเสรมิ ให้ผ้เู รยี นมีสว่ นร่วมในช้ันเรียน มปี ฏสิ มั พนั ธ์ระหว่างผ้สู อนกบั ผเู้ รยี น และระหวา่ งผเู้ รียน ดว้ ยกัน โดยใชเ้ ทคนิคหรือกิจกรรมตา่ งๆ ๓. เนน้ กระบวนการจดั การเรียนรูท้ ่ีผเู้ รียนได้ลงมือกระทาและได้ใช้กระบวนการคิดเกีย่ วกับสง่ิ ทเ่ี ขาได้ กระทาลงไป ๔. ผสู้ อนมบี ทบาทอานวยความสะดวกและจดั สภาพแวดล้อมท่ีเอื้อใหผ้ เู้ รียนสรา้ งความรู้ดว้ ยตนเอง

จนเกดิ เปน็ การเรยี นรู้อยา่ งมคี วามหมาย (Meaningful Learning) บทบาทของครผู ูส้ อน ๑. ให้ความสาคญั กับผเู้ รียนเป็นหลกั ในการจัดการเรยี นรู้ กจิ กรรมต้องสะท้อนความต้องการในการ พฒั นาผเู้ รยี นและเนน้ การนาไปใช้ประโยชน์ในชวี ิตจรงิ ของผู้เรียน ๒. วางแผนเกี่ยวกบั เวลาในจัดการเรียนการสอนอยา่ งชดั เจน ทงั้ ในส่วนของเน้ือหา และกจิ กรรม ๓. สร้างบรรยากาศของการมสี ่วนรว่ ม การอภปิ ราย และการเจรจาโต้ตอบ ท่ีสง่ เสรมิ ใหผ้ ้เู รยี นมี ปฏสิ ัมพันธ์ที่ดีกับผู้สอนและเพ่อื นในชนั้ เรยี น ๔. จดั กิจกรรมการเรยี นการสอนใหเ้ กิดความเล่ือนไหล มีชีวติ ชวี า สง่ เสริมให้ผ้เู รียนมสี ว่ นรว่ มใน ทุกกิจกรรมรวมท้ังกระตนุ้ ให้ผเู้ รยี นประสบความสาเรจ็ ในการเรยี นรู้ ๕. จัดสภาพการเรียนร้แู บบร่วมแรงร่วมใจ ส่งเสริมให้เกิดการร่วมมือในกลมุ่ ผเู้ รยี น ๖. จดั กิจกรรมการเรยี นการสอนใหท้ า้ ทาย และใหโ้ อกาสผู้เรียนไดป้ ฏบิ ตั ิกิจกรรมการเรียนรู้ ท่ีหลากหลาย ๗. ครผู ้สู อนต้องใจกวา้ ง ยอมรบั ความสามารถในการแสดงออก และความคิดเห็นเของผู้เรียน รปู แบบวิธีการจัดกจิ กรรมการเรยี นรู้ การจดั การเรยี นรทู้ ี่เนน้ บทบาทและการมีส่วนร่วมของผ้เู รยี น (Active Learning) ครอบคลมุ วิธี การจดั การเรยี นรหู้ ลากหลายวิธี เชน่ - การเรยี นรโู้ ดยใชก้ ิจกรรมเป็นฐาน (Activity-Based Learning) - การเรยี นรเู้ ชิงประสบการณ์ (Experiential Learning) - การเรียนร้โู ดยใชป้ ัญหาเป็นฐาน (Problem-Based Learning) - การเรยี นรโู้ ดยใช้โครงงานเป็นฐาน (Project-Based Learning) - การเรียนรทู้ ่ีเนน้ ทักษะกระบวนการคดิ (Thinking Based Learning) - การเรยี นรู้การบริการ (Service Learning) - การเรียนรู้จากการสืบคน้ (Inquiry-Based Learning) - การเรยี นรดู้ ว้ ยการค้นพบ (Discovery Learning) ฯลฯ อยา่ งไรก็ตาม รปู แบบ วธิ ีการจดั กจิ กรรมการเรยี นรเู้ หล่านี้ มีพนื้ ฐานมาจากแนวคิดเดยี วกัน คือให้ ผู้เรียนเปน็ ผูม้ ีบทบาทหลกั ในการเรียนรู้ของตนเอง ขอ้ พึงระมดั ระวัง ๑. เน่ืองจากการจดั การเรียนรู้แบบ Active Learning มีรากฐานมาจากแนวคิดทางการศกึ ษาท่ีเนน้ การสร้างองค์ความร้ใู หม่ (Constructivist) โดยผเู้ รยี นเป็นผู้สรา้ งความรู้จากข้อมลู ท่ีไดร้ บั มาใหมด่ ้วยการ

นาไปประกอบกบั ประสบการณ์สว่ นตัวท่ีผา่ นมาในอดีต นอกจากน้ียงั มีมิตขิ องกจิ กรรมทเี่ ก่ียวข้องอยู่ 2 มติ ิ ได้แก่ กิจกรรมดา้ นการรคู้ ดิ (Cognitive Activity) และกิจกรรมดา้ นพฤตกิ รรม (Behavioral Activity) ผนู้ าไปใช้อาจเขา้ ใจคลาดเคลอ่ื น วา่ การเรยี นรู้แบบน้ี คือรปู แบบทเี่ น้นความต่ืนตัวในกิจกรรมดา้ น พฤตกิ รรม (Behavioral Active) โดยเขา้ ใจว่าความตื่นตัวในกิจกรรมดา้ นพฤตกิ รรมจะทาใหเ้ กดิ ความ ตน่ื ตัวในกิจกรรมด้านการร้คู ดิ (Cognitively Active) ไปเอง จึงเปน็ ท่ีมาของการประยุกตใ์ ช้ผิดๆว่าให้ ผูส้ อนลดบทบาทความเปน็ ผู้ใหค้ วามรู้ลง เปน็ เพียงผอู้ านวยความสะดวกและบริหารจดั การหลกั สูตร โดย ปล่อยให้ผเู้ รยี นได้เรียนรู้เองอยา่ งอิสระจากการทากจิ กรรมและการแลกเปลี่ยนประสบการณ์กบั ผูเ้ รยี น ด้วยกันเอง ตามยถากรรม โดยผูเ้ รียนไมไ่ ดเ้ รียนรู้ พัฒนามิตดิ า้ นการรูค้ ิด ๒. ความตื่นตัวในกจิ กรรมด้านพฤติกรรมอาจไม่ก่อให้เกิดความตน่ื ตัวในกิจกรรมดา้ นการรู้คดิ เสมอไป การท่ผี ูส้ อนให้ความสาคญั กบั กจิ กรรมด้านพฤตกิ รรมเพยี งอยา่ งเดยี ว เชน่ การฝึกปฏบิ ัตแิ ละการ อภิปรายในกลมุ่ ของผู้เรียนเอง โดยไม่ให้ความสาคัญกับกิจกรรมด้านการรู้คดิ เชน่ การลาดบั ความคดิ และการ จัดองค์ความรู้ จะทาให้ประสิทธผิ ลของการเรยี นรู้ลดลง ๓. กรณีการนารปู แบบการจดั การเรยี นรู้แบบท่ีให้ผู้เรยี นทากิจกรรมและคน้ พบความรู้ดว้ ยตนเองน้ี ไปใช้กบั การพัฒนาการเรยี นรู้ตามลาดบั ขัน้ การเรียนรดู้ า้ นพุทธิพิสัย (Cognitive Domain) จะเหมาะกับการ พัฒนาในข้นั การทาความเข้าใจ การนาไปประยุกต์ใช้ และการวเิ คราะห์ ข้นึ ไปมากกวา่ ขนั้ ให้ข้อมลู ความรู้ เพราะเปน็ การเสยี เวลามาก และไม่บรรลุผลเทา่ ที่ควร โดยสรุป การจดั การเรยี นรู้ที่เนน้ บทบาทและการมสี ว่ นรว่ มของผเู้ รยี น โดยการนาเอาวิธีการสอน เทคนิคการสอนทห่ี ลากหลายมาใช้ออกแบบแผนการจัดการเรียนรู้และกิจกรรม กระต้นุ ให้ผ้เู รียนมีส่วนรว่ มใน ชั้นเรียน สง่ เสรมิ ปฏสิ ัมพนั ธ์ระหวา่ งผเู้ รียนกับผเู้ รยี นและผู้เรียนกับผสู้ อน เป็นการจดั การเรยี นรู้ที่มงุ่ เนน้ พัฒนากระบวนการเรียนรู้ สง่ เสริมให้ผู้เรยี นประยกุ ต์ใช้ทกั ษะและเชอ่ื มโยงองค์ความรู้นาไปปฏิบตั เิ พื่อแกไ้ ข ปัญหาหรอื ประกอบอาชีพในอนาคต และถือเป็นการจัดการเรยี นร้ปู ระเภทหนงึ่ ที่ส่งเสริมใหผ้ เู้ รียนมี คุณลกั ษณะสอดคล้องกบั การเปลีย่ นแปลงในยคุ ปจั จบุ นั


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook