ใบเตรียมการสอน ครั้งที่ 1 เลขหนา 1 / 15 เนือ้ หา ความรูเบอ้ื งตน เกี่ยวกบั รปู คลื่น1.1 ลกั ษณะและชนดิ ของรปู คลน่ื 1.1.1 คําจาํ จัดความของรปู คลน่ื แบบตา ง ๆ ส่งิ ประดษิ ฐสารก่ึงตัวนําชนิดตาง ๆ เชน ไดโอด , ทรานซิสเตอรชนิดไบโพลาร , ฟลดเอฟเฟคทรานซิสเตอร (FET) และส่ิงประดิษฐสารกึ่งตัวนําชนิดพิเศษอื่น ๆ อีกเปนจํานวนมากสามารถถูกนํามาใชงานเปนสวิตชอิเล็กทรอนิกสไดเปนอยางดี การนําส่ิงประดิษฐเหลานี้มาใชงานเพื่อเปนสวิตชอิเล็กทรอนิกส ปกติมักจะมีชิ้นสวนอิเล็กทรอนิกสอ่ืน ๆ เชน ตัวตานทาน , ตัวเก็บประจุไฟฟามาประกอบรวมกันเปนวงจรไฟฟา วงจรไฟฟาน้ีถูกเรียกวา \"วงจรสวิตชช่ิง\" (Switchingcircuits) ซึ่งผลการทํางานของวงจรสวิตชนี้จะทําใหไดสัญญาณไฟฟาซ่ึงอาจเปนกระแสหรือแรงดนั ก็ไดที่มีรปู รางลักษณะเปนหวง ๆ ซึ่งไมใชคล่ืนไซน (Nonsinusoidal wave) แตเปนลักษณะของคล่ืนที่มเี หลยี่ มมีมุม โดยทรี่ ูปคลื่นแตละชว งอาจจะซ้ํากันหรือไมก็ได คล่ืนไฟฟาดังกลาวน้ีเราเรยี กวา \"พลั ส\" (Pulse) ดงั นน้ั อาจกลา วไดวาวงจรสวิตชชิ่งสามารถทําหนาที่สรางพัลสของกระแสหรอื แรงดันออกมาได(ก) คลื่นขน้ั บนั ได (ค) คลน่ื เอก็ โพเนนเช่ยี ล (ข) คลืน่ เอียงรปู ท่ี 1.1 แสดงรปู ทรงและลักษณะของคลื่นไฟฟา (แรงดันหรือกระแส) อยางพืน้ ฐาน
ใบเตรียมการสอน ครง้ั ที่ 1 เลขหนา 2 / 15 เนื้อหา พลั สเหลานเ้ี มื่อพจิ ารณาดใู หดีแลวจะเหน็ วา สว นใหญเ กดิ จากการประกอบของรปู คลน่ืข้นั บนั ได (Step) , คล่นื เอียง (Ramp), หรอื คลื่นเอ็กโพเนนเชีย่ ล ดังแสดงในรปู ท่ี 1.1 (ก),(ข) และ(ค) ตามลําดบั รูปคลน่ื ของแรงดนั ไฟฟาทีเ่ รานิยมนํามาใชง านกนั มากท่ีสดุ ก็คือ รูปคล่ืนที่มีลกั ษณะเปนรูปสี่เหล่ยี มมุมฉากดังแสดงในรปู ท่ี 1.2 (ก). คล่นื รปู สี่เหล่ียมมมุ ฉาก (Rectangularwave) นก้ี ไ็ ดมาจากการรวมตัวกนั ของรปู คลนื่ ขน้ั บันได 2 สว นนั้นเอง และมักถกู เรียกวาพัลสหรอื ในกรณขี องคล่ืนรูปฟนเลอ่ื ย (Sawtooth wave) ดังแสดงในรูปที่ 1.2 (ข) กไ็ ดมาจากการรวมกนัของคล่นื เอียง 2 สวน หรอื อาจเปนการรวมกันของคล่นื เอียงหน่ึงสว นกบั คลืน่ ขน้ั บนั ไดอีกหนง่ึ สว นก็ได นอกจากน้ีคลน่ื อินติเกรตเตด (Integrated) ดังแสดงในรปู ที่ 1.2 (ค) กค็ ือรูปคลนื่ ซึ่งประกอบข้นึ มาจากคลืน่ ยอยรปู เอก็ โพเนนเช่ยี ล สองรปู และคล่ืนดฟิ เฟอเรนทเิ อเตด (Differentiated) ดังแสดงในรูปท่ี 1.2 (ง) กค็ ือคลืน่ ซึ่งประกอบขึน้ จากคล่นื ยอยขน้ั บันไดและคล่ืนเอ็กโพเนนเชย่ี ลรวมตวั กันนน่ั เอง1.1.2 ประเภทของรูปคลนื่ แบบตาง ๆ(ก) คลื่นรปู ส่ีเหลี่ยมมุมฉาก (ข) คลน่ื รปู ฟนเลอื่ ย(ค) คล่ืนอินทเิ กรตเตด (ง) คล่นื ดฟิ เฟอเรนทเิ อเตด รูปท่ี 1.2 แสดงรูปคล่ืนลกั ษณะตา ง ๆ
ใบเตรยี มการสอน ครง้ั ที่ 1 เลขหนา 3 / 15 เนอื้ หา1.1.3 คาํ จาํ กัดความของรูปคลื่นพัลสคลื่นทรงสี่เหล่ียมจัตุรัสของแรงดันไฟฟาเรามักนิยมเรียกวา \"คล่ืนจัตุรัส\" (Square wave)คลื่นจัตรุ ัสจะมีลกั ษณะคลา ยคลื่นรูปสเ่ี หลย่ี มมุมฉากซ่ึงปรากฏอยา งตอเนือ่ งเปนชวง ๆ โดยลักษณะพิเศษประการหนึ่งคือ ชวงเวลาของพัลสท่ีปรากฏกับชวงเวลาของพัลสที่ไมปรากฏจะมีคาเทากันดังแสดงในรูปท่ี 1.3 และในเรื่องน้ีจะไดกลาวถึงลักษณะคุณสมบัติ, การสรางและการวิเคราะหสัญญาณพัลสรูปคลน่ื จตั รุ ัสโดยละเอียด ชว งเวลาทไี่ มป รากฏรปู พลั สแรงดนั 0 ชว งเวลาทปี่ รากฏรูปพลั ส รปู ที่ 1.3 แสดงรปู คลืน่ จตั ุรัส1.2 พารามิเตอรข องรูปคล่ืนพลั ส วงจรไฟฟาทแ่ี สดงในรปู ท่ี 1.4 (ก) เปน วงจรทใ่ี ชส รางพลั สรปู สเ่ี หลี่ยมมมุ ฉากดังแสดงในรปู ท่ี 1.4 (ข) ในวงจรน้ีจะมีระดับของแรงดันอยูส องระดับคือ ท่ปี ลายออก หรือเอาตพตุ ของวงจรน้ีจะมแี รงดัน 10 โวลต เม่อื ขั้วของสวติ ชอยูท่ีตาํ แหนง 1 และจะมีแรงดนั เปน 0 โวลต เมื่อขัว้ ของสวิตชอยทู ีต่ าํ แหนง 2 เมื่อพจิ ารณาขนาดของพลั สนกี้ บั เวลาทเ่ี ปล่ียนแปลงไปจะเห็นไดดงั ในรปู ท่ี1.4 (ข) กลา วคอื ขนาดของพัลสน ก้ี ็คอื \"จดุ ยอด\" (Peak value) เมื่อเวลาเพม่ิ ข้ึนจากศนู ย \"ขอบนํา\"(Leading edge) ของพลั สกจ็ ะปรากฏ และตอมาเม่ือขนาดของพัลสต กลงมา กจ็ ะปรากฏ \"ขอบหลงั \" (Trailing edge) ชวงของคล่นื ระหวา งขอบนาํ กบั ขอบหลงั เรียกวา \"ความกวางของพลั ส\"เขยี นแทนดวย tP และชว งระหวางจุดท่ีเร่มิ เกดิ พลั สหนงึ่ ๆ จนกระทั้งถงึ ชว งที่เกิดพัลสอ ่นื ถดั มา เราเรยี กวา \"เวลาทพี่ ลั สเ กิดซํา้ \" (Pulse repetition time) เขยี นแทนดว ย prt และพัลสซ ่ึงเกดิ ข้ึนอยา งตอ เนอ่ื งกันหลาย ๆ พลั สถ กู เรยี กวา \"ขบวนพัลส\" (Pulse train)
ใบเตรยี มการสอน ครัง้ ท่ี 1 เลขหนา 4 / 151.2.1 คาพารามเิ ตอรข องรปู คลื่นพัลส เน้ือหา 1 S t1 t2 t1 2 10 คาจุดยอด V e o (V) ขอบหลัง10V eo 5 ขอบนํา 2 Eav t S 0 10 20 30 40 50 60 tp (คาเฉลี่ยเวลา) ชอ งระหวา งพัลส prt t1 = tp ร(ปูก)ที่ 1.4 แสดงลักษณะของพัลสร ูป(สขี่เ)หลี่ยมมมุ ฉากในทางทtฤ1ษ+ฎี t2 = prt ในขบวนพลั สหนง่ึ ๆ จํานวนของพัลสที่เกิดข้ึนใน 1 วินาที เราเรียกวา \"อัตราการเกิดพัลสซํ้า\" (Pulse repetition rate) และเขียนแทนดวย prr หรือบางคร้ังก็ถูกเรียกวา \"ความถ่ีของการเกิดพัลสซํ้า\" (Pulse repetition frequency) เขียนแทนดวย prf ซ่ึงมีหนวยเปนจํานวนรอบตอวินาทีหรือเฮิรตซ (Hz) จากรูปท่ี 1.4 (ข) ถาหาก tP หรือ t1 มีคาเทากับ t2 แลวพัลสน้ีก็คือคล่ืนจัตุรัส (Squarewave) นน้ั เอง \"อตั ราการเกิดพลั สซํ้า\" (prr) กค็ ือสวนกลบั ของ \"เวลาทพ่ี ลั สจะเกดิ ซาํ้ \" (prt) ดงั นัน้ อาจเขยี นไดว า prr = 1 (Hz) (1.1) prtเม่ือ prr คอื อัตราการเกดิ พัลสซ าํ้ (Pulse repetition rate) มีหนว ยเปน เฮิรตซ (Hz) prt คอื เวลาทพ่ี ลั สเกดิ ซํ้า (Pulse repetition time) มีหนว ยเปน วินาที (S)
ใบเตรียมการสอน คร้งั ที่ 1 เลขหนา 5 / 15 เนอ้ื หา คาเฉลี่ยของรปู คล่นื ใด ๆ (อาจเปนแรงดันหรอื กระแส) กค็ อื สว นซ่งึ เปน \"กระแสตรง\"(Direct current) ของคลนื่ น้ัน ๆ และการคดิ หาคาเฉลย่ี (Average value) ของแรงดันของคลืน่ ตามทฤษฎใี นรปู ที่ 1.4 (ข) ทาํ ไดโดยการหารพน้ื ท่ี (AP) ของพัลส ดว ยคาของเวลาทีพ่ ัลสเ กิดซํา้ (prt)คาเฉลยี่ ของแรงดนั นีก้ ็คือ คา ซึง่ สามารถอานไดจากเครือ่ งวัดแรงเคลอ่ื นกระแสตรง (DCVoltmeter) ที่ใชวดั ขนาดของพัลส=AP tp Epeak (S.V) (1.2)เมือ่ AP คอื พนื้ ท่พี ลั ส tp คือ ความกวางของพลั ส มหี นวยเปน วนิ าที (S) Epeak คอื คา แรงดันสูงสุดของพัลส มหี นวยเปน โวลต (V) Eav คอื คา แรงดนั เฉลีย่ ของพัลส มหี นว ยเปน โวลต (V)ดังนั้น AP = 10 10-6 10 = 100 10-6 วนิ าที – โวลต=Eav Ap (V) prt (1.3)Eav = 100 = 2.5 V 40น้ันคือคาเฉล่ีย ของพัลสในรูปท่ี 1.4 (ข) Eav คือ 2.5 โวลต อน่ึงพัลสอาจจะเร่ิมตนท่ีคาแรงดันใด ๆ ก็ได ไมจําเปนตองเร่ิมจากแรงดันเปนศูนยเสมอไป ดังนั้นคาตัวเลขท่ีใชหาคา AP ในสมการที่ 1.2 กค็ อื ผลรวมทางคณติ ศาสตรของพื้นที่ของพัลสก ลา วคอื เปน ผลรวมสุทธิของพ้ืนที่ของพัลสซ ่ึงเปนบวกและพ้นื ท่ที ีเ่ ปน ลบ
ใบเตรียมการสอน คร้งั ท่ี 1 เลขหนา 6 / 15 เน้อื หา1.2.2 คาประสทิ ธิผลของเครอื่ งมือวัดดงั นนั้ ในรูปที่ 1.5 (ก) จะเหน็ ไดวามลี กั ษณะคลายพลั สในรปู ท่ี 1.4 (ข) ทกุ ประการหากแตระดับเร่ิมตน ของพลั สม คี าตางกัน รูปของพัลสซ่งึ ปรากฏบนจอของออสซิลโลสโคปดังรูปที่ 1.5(ก) เปน รปู คลื่นขณะทท่ี ําการวัดแบบกระแสสลับ (Alternating current) และในรปู ที่ 1.5 (ข) เปนรูปคล่ืนขณะท่ีทาํ การวัดแบบกระแสตรง (D.C) สง่ิ สาํ คัญทค่ี วรคาํ นึงถงึ ในที่นี้กค็ ือเสนประทีเ่ กดิ ขึ้นบนจอภาพของออสซลิ โลสโคป (Oscilloscope) ทัง้ สองกรณีในขณะทีไ่ มม ีการปอนสัญญาณใดๆ จะตองอยทู ่ีตาํ แหนง กง่ึ กลางของจอภาพ และการวัดขนาดของพลั สจะตองมีระดบั เปรียบเทียบระดับหนึง่ ซง่ึ เปนระดับกระแสตรง พัลสท ่ีเรยี กวา \"พัลสบ วก\" (Positive pulse) หมายถงึ คา ของกระแสหรอื แรงดันของพัลสน้ันจะมคี าเปนบวกเมื่อเทยี บกบั ระดบั ศนู ย และพัลสล บ (Negativepulse) หมายถึง คาของกระแสหรือแรงดันของพัลสนัน้ มีคา เปน ลบเทยี บกับระดับศนู ย ดงั นั้นในรูปท่ี 1.5 (ก) ในขบวนพัลสทป่ี รากฏมีท้ังพลั สบ วกและพลั สล บ การหาพ้ืนทส่ี ุทธิของพัลสกค็ อืผลตางของพนื้ ทีข่ องพลั สบ วกและพัลสล บน้นั เอง ในรปู ท่ี 1.6 (ก) และ (ข) กระทั้งถงึ (ฉ) แสดงตวั อยางของลกั ษณะของพลั สข องแรงดันที่อาจเปน ไปได และระดบั เปรยี บเทียบของพลั สนน้ั ๆ10Vpeak Eav 10Vpeak 2V (ก) (ข) รปู ที่ 1.5 แสดงภาพบนจอของออสซลิ โลสโคปขณะทําการวัดแบบ (ก) กระแสสลับ และ (ข) กระแสตรง
ใบเตรยี มการสอน ครั้งที่ 1 เลขหนา 7 / 15 เน้อื หา พัลสซึ่งมีรูปรางเหมือนกัน อาจมีระดับเปรียบเทียบแตกกันได การสรางหรือการเปล่ียนแปลงระดับเปรียบเทียบกระแสตรงของพัลสอาจทําไดโดยวงจรไฟฟาที่เรียกวา \"วงจรปรับระดับ\" (Clamper circuit) ตัวพารามิเตอรท่คี วรรูอ กี ตัวหนึ่งซง่ึ ใชงานเกี่ยวกบั พัลสก ค็ ือ \"ดวิ ตี้ ไซเคลิ \" (Duty cycle)ซง่ึ ก็คอื อัตราสวนระหวา งคา เฉลย่ี กับคาจุดยอดของคลื่นพัลสของแรงดัน โดยท่วั ไปแลวเราจะใชค าดิวต้ี ไซเคิล ในสวนท่เี กี่ยวกับกําลังของเครื่องสง (Transmitter power) ซึ่งปกติจะแสดงในรูปของเปอรเซ็นต เราสามารถคํานวณคา ดวิ ต้ี ไซเคลิ ของรปู คลื่นพลั สข องแรงดันทแ่ี สดงในรปู ท่ี 1.4 (ข)ไดโดยจากนยิ าม % duty cycle = Eav 100 % (1.4) E peak ดังน้ัน % duty cycle = 2.5100 % = 25% 10 หรือ % duty cycle = Eav 100 % = Aprpt 100 % E peak E peak t p E peak prt 10106 100 % = E peak 100 % = 40 106 นน้ั คือ คา ดิวตี้ ไซเคิล = 25%
ใบเตรียมการสอน คร้งั ที่ 1 เลขหนา 8 / 15 เนอื้ หา +E (ก) (พลั สบ วก) พลั สบ วกเริม่ จากระดับ แรงดนั มคี าเปน ศนู ย 0 เวลา 0 (ข) (พลั สล บ) พลั สลบเรม่ิ จากระดบั -E แรงดันมคี า เปน ศูนย +E (ค) พลั สบ วกเริ่มจากระดับ แรงดนั มคี าเปน บวกแรงดัน + 0 + (ง) พลั สลบเริม่ จากระดบั แรงดันมคี าเปน บวก 0 -E 0 - (จ) พลั สลบเรม่ิ จากระดับ แรงดันมคี าเปน ลบ -E +Eรูปที่ 1.6 แสดงพัลสของแรงดันซงึ่ มขี นาด E โวลต แ(ตฉม) ีลพกั ลั ษสณบวะกตเรา่ิมงจกาันกระดบั 0 แรงดนั มคี าเปน ลบ -
ใบเตรยี มการสอน ครง้ั ที่ 1 เลขหนา 9 / 15 เนือ้ หา คลื่นพัลสข องแรงดันท่ีแสดงในรูป 1.4 (ข) เปนรปู คล่ืนทีเ่ ปน ไปตามทฤษฎี แตใ นทางปฏบิ ตั แิ ลว พัลสรปู สีเ่ หล่ียมมมุ ฉากจะไมเปนมุมฉากที่สมบูรณเ ลยทีเดียว แตโดยทั่วไปจะปรากฏเปน รปู คลนื่ พลั สด งั แสดงในรูปท่ี 1.7 เมอ่ื รปู ของพลั สไ มเปน มมุ ฉากปญ หาทจี่ ะตดิ ตามมากค็ ือการหาคา คุณสมบตั ติ า ง ๆ ของพลั สจ ะไมมมี าตราฐานเปรียบเทยี บที่แนน อนและเหมอื นกัน ดงั น้ันจงึจําเปน ตองมีกฎเกณฑข อกําหนดทีใ่ ชเปนมาตราฐานข้นึ เพ่ือสามารถเปรยี บเทียบคุณสมบัติของพลั สท ตี่ า งกนั ได เชน ในการหาคาความกวางของพัลส กใ็ หยดึ ถือขอกําหนดดังนค้ี ือความกวา งของพลั ส กําหนดวาเปน ชว งเวลาระหวางตาํ แหนงท่พี ลั สมีขนาดเปน 90 เปอรเซ็นตของคาจดุ ยอด(ขนาดของพลั ส) 100 90แรงดัน (เปอ รเซ็น ต) 10 เวลา 0 tr tp tf รปู ท่ี 1.7 แสดงลกั ษณะของรปู สเ่ี หล่ยี มมุมฉากในทางปฏบิ ัติซึ่งสรางข้นึ ไดจ รงิ ๆ ดังในรปู ที่ 1.7 กค็ ือชว ง tp และสาํ หรับชวงระยะเวลาทพ่ี ัลสมขี นาดจาก 10 เปอรเซ็นตเพมิ่ ข้นึ เปน 90 เปอรเซน็ ตของขนาดสงู สุดของพลั ส เรยี กวา “เวลาไตข ้นึ ” (Rise time) เขยี นแทนดวย tr ชวงระยะเวลาที่พัลสล ดลงจาก 90 เปอรเ ซน็ ต เหลือเปน 10 เปอรเ ซ็นตข องขนาดสงู สุดของพลั ส เรียกวา “เวลาตก” (Fall time) เขยี นแทนดว ย tf หรอื บางคร้ังเรยี กวา “เวลาลด” (Decay time)ในตํารางบางเลม สัญลกั ษณ td อาจใชแทนความกวางของพัลสก ไ็ ดวา แตในที่นจ้ี ะขอใช tp เหตทุ ี่เลอื กใช tp แทนความกวางของพลั สก็เพราะสัญลกั ษณ td มักจะใชแสดงคา ของเวลาชา (Delay time)ซงึ่ อาจทาํ ใหส ับสน
ใบเตรยี มการสอน คร้งั ท่ี 1 เลขหนา 10 / 15 เน้อื หา สาํ หรับในบางคลื่นสัญญาณของพัลส คาเวลาไตขึ้นและเวลาตกจะมีคานอยมากซ่ึงในทางปฎิบัติแลวเปนเร่ืองยากมากที่จะวัดใหไดคาแมนยํา หรือถูกตองจริง ๆ แมวาจะใชออสซิสโลสโคปแบบความถส่ี ูงก็ตาม และเมื่อความกวางของพัลสมีคานอยมาก ๆ เวลาไตขึ้นและเวลาตกก็ใหถือวาเปน เวลาทง้ั หมดของพัลส1.3 ลกั ษณะของรูปคลื่นพัลสและการสรา งสัญญาณ1.3.1 ลักษณะของรปู คล่นื พัลส พัลสรูปส่ีเหลี่ยมมุมฉากอาจถูกสรางไดหลายวิธี แตที่จะกลาวถึงตอไปน้ีเปนเพียงบางวิธีเทานั้น 1. คลื่นรูปสี่เหลี่ยมมุมฉากหรือคลื่นจัตุรัสของแรงดันไฟฟาอาจสรางไดโดยการปอนสัญญาณรูปไซนผานเขาไปในวงจรขยายประเภท A (Class A amplifier) โดยใหสัญญาณรูปไซนเปน ตัวกระตุน ใหว งจรขยายทํางานเกินขอบเขต (Overdriven) กลา วคือในชวงคร่ึงแรกของสัญญาณรปู ไซนจะทาํ ใหท รานซิสเตอรในวงจรขยายทํางานในยานอ่ิมตัว (Saturation) และชวงคร่ึงหลังของสัญญาณรูปไซนจะทําใหทรานซิสเตอรในวงจรขยายทํางานในยาน คัตออฟ (Cutoff) ดังน้ันที่ทางออก (Output) ของวงจรขยายจะทําใหไดคล่ืนแรงดัน ซ่ึงลักษณะท่ีพอจะอนุโลมไดวาเปนคลื่นรูปส่ีเหลี่ยมมุมฉาก หรือคล่ืนจัตุรัสและการท่ีคล่ืนแรงดันน้ีจะมีลักษณะคลายกับคลื่นรูปส่ีเหลี่ยมมุมฉากหรือคล่ืนจัตรัสมากนอยเพียงใดก็ขึนอยูกับการกําหนดจุดทํางาน (Operating point) ของทรานซิสเตอรในวงจรขยายนัน้ 2. คลื่นจัตุรัสของแรงดันอาจถูกสรางโดยการใชวงจรมัลติไวเบรเตอร (Multivibrator)แบบหน่ึงแบบใดก็ได ซึ่งวงจรแบบน้ีก็คือวงจรขยาย 2 ภาคมาตอรวมกันโดยมีตัวตานทานและตัวเก็บประจุไฟฟาเปนตัว “คัปปล้ิง” (Coupling) หรือนิยมเรียกวา “อาร-ซี คัปปล้ิงแอมปลิไฟร (R-Ccoupling amplifier) และผลที่ไดจากวงจรขยายภาคแรกจะถูกปอนเขาท่ีทางเขา (Input) ของวงจรขยายภาคที่สองแลว ผลที่ไดจ ากวงจรขยายของภาคสองนีก้ ็จะถูกปอ นใหย อนกลับไปยังทางเขาของวงจรขยายภาคแรกอีก การทํางานของวงจรขยายน้ีจะอยูในลักษณะทํางานเกินขอบเขต ผลก็คือทําใหไ ดส ัญญาณของแรงดันทที่ างออกเปน รปู คลื่นจัตรุ ัสหรอื คลื่นรปู สมี่ ุมฉาก 3. คลื่นจตั ุรสั ของแรงดันอาจถูกสรา งไดโดย การใชแ หลง จายแรงดนั คลน่ื รปู ไซนซงึ่ มีคาความถี่หลักมลู (Fundamental frequency) ตอ ขนานรวมกบั แหลงจายแรงดันคล่ืนรูปไซนอ ืน่ ๆซ่ึงมีคา ความถ่เี ทากับคาความถ่หี ลกั คูณกบั เลขค่จี าํ นวนเต็มใด ๆ หรอื นิยมเรียกวา “ออ ดฮารโมนคิ ”
ใบเตรียมการสอน ครั้งที่ 1 เลขหนา 11 / 15 เนอื้ หา(Odd harmonic frequencies) ทั้งน้ีตองทําใหคล่ืนรูปไซนของแหลงจายตาง ๆ มีขนาด (Amplitude)และเฟส (Phase) ที่ถูกตอง ผลจากการรวมกันระหวางคลื่นหลักและคลื่นฮารโมนิคน้ีจะทําใหไดสัญญาณของแรงดนั รูปจัตุรัส ซ่ึงอัตราการเกิดพัลสซ้ํา (prr) หรือท่ีเรียกงาย ๆ วาความถ่ีของพัลสนี้จะมีคา ทากบั ความถีห่ ลกั ท่ีกาํ หนดขนึ้1.3.2 วธิ สี รางสัญญาณพลั ส 1.3.2. 1 การสรางคลน่ื รูปส่ีเหลีย่ มมุมฉากของแรงดันโดยวิธใี ชว งจรขยายสัญญาณที่ทาํ งานเกิน ขอบเขต คล่นื จัตุรัสของแรงดันอาจจะสรา งมาจากคลื่นรปู ไซนข องแรงดันได โดยการใชวงจรขยายประเภท A ซึ่งทรานซิสเตอรในวงจรน้ันจะถูกทําใหมีการทํางานที่เกินขอบเขต เม่ือถูกปอนดวยสัญญาณรูปไซน กลาวคือสัญญาณแรงดันรูปไซนจะตองมีขนาดมากพอท่ีจะทําใหทรานซิสเตอรในวงจรขยายมีการทํางานอยูในลักษณะท่ีเกินขอบเขต นั้นคืออยูในภาวะอ่ิมตัวและภาวะคัตออฟขณะทีแ่ ตละครงึ่ ชว งของสัญญาณรูปไซนถ ูกปอ นเขา ไป ดังแสดงในรูปท่ี 1.8 (ก) รูปท่ี 1.8 (ข) แสดงการทํางานของทรานซิสเตอร เนื่องจากสัญญาณไซนท่ีปอนเขาไปในวงจรขยาย จะทาํ ใหทรานซสิ เตอรทํางานอยูในภาวะอ่มิ ตัวและภาวะคัตออฟ แรงดันท่ีทางออกของวงจรขยายมีลักษณะคลายกับเปนคลื่นรูปจัตุรัส และถาหากจุด Q ไมอยูที่ตําแหนงกึ่งกลางของ“เสน โหลด” (Load line) คลื่นท่ีไดจะมีลกั ษณะเปน คล่นื รปู ส่เี หลีย่ มมุมฉาก ยกตัวอยางเชนในการออกแบบวงจรสวิตซช่ิง เพ่ือใหไดคลื่นจัตุรัสของแรงดันซึ่งมีความถี่1000 HZ ตองการขนาดสูงสุดของพัลสมีคา 20 โวลต จากสัญญาณไซนของแรงดันซ่ึงมีความถ่ี1000 HZ และมีขนาดของคลื่นระหวางจุดยอด (Peak to peak) เปน 2 VP – P และทรานซิสเตอรในวงจรขยายเปนซิลิกอนทรานซิสเตอรชนิด NPN และมีพารามิเตอรตาง ๆ ดังน้ัน hfe = 50 , hie =1,000 , ICO มคี านอ ยมากสามารถตดั ทง้ิ ได , แหลงจายแรงดันกระแสตรงที่ใชมีคาปรับไดต้ังแต 0ถึง 30 โวลต และจา ยกระแสได 250 มลิ ลแิ อมป จากรปู ลักษณะคุณสมบัตซิ งึ่ แสดงในรูปที่ 1.8(ข) จะเหน็ ไดว าเพอื่ ใหขนาดของพัลสมีคา20 โวลตด ังนนั้ คา Vcc ในวงจรรปู ท่ี 1.8 (ก) จงึ ตอ งมีคา 20 โวลตด ว ย สวนการเลอื กคา ของกระแสคอลเลก็ เตอรอาจทําไดไ มจ ํากัดแตตองเขาใจวา ทีค่ าของกระแสคอลเล็กเตอรสงู ๆ คา อมิ พแี ดนซ(Input impedance) ของวงจรจะมคี าไมเปน เชงิ เสน (Nonlinear) ดังนั้นจึงควรเลือกคา กระแสคอลเลก็ เตอรท่ีตา่ํ ๆ
ใบเตรยี มการสอน ครง้ั ท่ี 1 เลขหนา 12 / 15 เน้อื หา Vcc 20V RB Ic RL 20 eout Rg CC 10mA T - 1 10ein f = 1KHz hie1k (ก) Rg 600 hfe 50 ein 2Vp - pIc (mA) 30 0.6 iin 20 Q 0.4 10 10 VCE(V) 0.2 mA 0ภาวะอมิ่ ตวั 0 20 Ib 0mA ภาวะคตั ออฟ (ข)รปู ที่ 1.8 แสดง (ก) วงจรขยายประเภท A ซ่งึ ทรานซสิ เตอรถกู ตอไวแ บบอิมติ เตอรรว มและ ถกู กาํ หนดใหม ีการทํางานทเี่ กนิ ขอบเขต (ข) สัญญาณคลื่นท่อี ินพุตและเอาตพ ุตของวงจร
ใบเตรียมการสอน ครงั้ ที่ 1 เลขหนา 13 / 15 เน้ือหาเพ่ือใหคาอินพุตอิมพีแดนซของวงจรมีคาเปนเชิงเสนซึ่งจะทําใหไดคลื่นรูปจัตุรัสท่ีสมบูรณกวา เชน เมื่อเลือกคาของกระแสคอลเล็กเตอร 10 mA. สําหรับจุด Q จุดทํางานของวงจรจากขอกาํ หนดเหลา นที้ ําใหส ามารถหาคา RL ในวงจรไดด งั นี้RL = ERL = VCC VCE = 20 10 = 10V = 1,000 Ic IC 10mA 10mA ความสัมพันธระหวางกระแสคอลเลคเตอร, กระแสเบสและ hfe ของทรานซิสเตอร เราใชในการกําหนดคา ที่ถูกตอ งของกระแสเบสเพอื่ ใหกระแสคอลเตอรม คี า 10 mA โดย IB = IC = 10mA = 0.2 mA h fe 50สมมุติวาแรงดันที่ตกครอมท่ีรอยตอ อิมิตเตอร-เบส มีคานอยกระท่ังตัดท้ิงได ดังน้ันคาที่ถูกตองของ RB คือ RB = VCC = 20 100 k IB 0.2mAนอกจากนี้แลว ขณะท่ีวงจรทํางานเก่ียวของกับสัญญาณกระแสสลับ สวนประกอบของวงจรท่ีสําคัญซ่ึงเก่ียวของกับการทํางานของวงจรขณะไดรับสัญญาณกระแสสลับคือตัวตานทาน(RS) และตวั เกบ็ ประจุไฟฟา (CC) ซึ่งทําหนาท่คี ปั ปล้ิงสญั ญาณกระแสสลบั ดังน้ันคา ของ RS และ CCจงึ ตอ งมีสวนสมั พนั ธก ับพารามิเตอรตัวอนื่ ๆ ของวงจรดวย การกําหนดคา ของ CC อาจทําไดโดยการพิจารณาวาคา “รีแอคแตนซ” XC (Reactance) ของCC จะมีผลคลายกับความตานทานที่ตออนุกรมกับอินพุตอิมพีแดนซของวงจร ขณะท่ีสัญญาณกระแสสลับเขามาทางอินพุตโดยผาน CC ก็จะทําใหเกิดแรงดันตกครอม CC ดวย คาของแรงดันที่ตกครอ ม CC ควรมีคานอยมาก เพ่ือใหแรงดันเกือบทั้งหมดของสัญญาณท่ีเขามาไปปรากฏท่ีอินพุตของวงจรขยาย คา อินพตุ อิมพแี ดนซของวงจรขยายโดยไมคดิ คา ของ RB กค็ ือคา hie ซง่ึ เทากบั 1000 และคา อินพตุ อิมพแี ดนซข อง RB ของวงจรขยายเมื่อคิดรวมกับคา RB ก็คือซ่ึงเกดิ จากอิมพแี ดนซของ RBและ hfe ตอขนานกัน ซ่งึ ก็จะมีคา ราว 1000 นั้นเอง ดงั นน้ั ถาหากคา “รแี อคแตนซ” XC(Reactance)ของตวั เกบ็ ประจุ CC มคี า 1 10 เทา หรือนอ ยกวาคาอิมพีแดนซ
ใบเตรียมการสอน ครั้งท่ี 1 เลขหนา 14 / 15 เนื้อหาของวงจรขยาย 10 เทาแลวคาแรงดัน (กระแสสลบั ) ทตี่ กครอมตัวเก็บประจไุ ฟฟา CC ก็อาจพิจารณาไดวามคี า นอยและสามารถตดั ทิ้งได 1 1ดังนั้น XC = 10 Z in = 10 1000 = 100 CC = 1 = 1 = 1.59 F 2fXC 6.28103 102โดยที่ XC คือ คา รแี อคแตนซข อง CC Zin คอื อินพุตอมิ พีแดนซของวงจรขยายCC คือ คา ความจุไฟฟา และ f คือคา ความถข่ี องสัญญาณไซนจากรูปท่ี 1.8 (ข) จะเหน็ วา ทรานซิสเตอรสามารถทํางานไดเต็มท่ีเม่ือขนาดกระแสอินพุต(หรือกระแสเบส) IB มีคาสูงถึง 0.4 mAp-pหรือ 0.1414 mArms (rms :คารูทมีนสแควร) น้ันคือทรานซิสเตอรจะทํางานในภาวะอิ่มตัวและคัทออฟไดพอดี ดังนั้นเม่ือสัญญาณกระแสเบสเพิ่มเปนสองเทาคอื 0.8 mAp-p หรอื 0.2828 mArms แลวจะทําใหไดรูปสญั ญาณแรงดันที่เอาตพุตเปนรูปคลายกับคล่นื จัตุรัสน่นั คือสญั ญาณของกระแสเบสจะตองมคี า 0.8 mAp-p หรือ 0.2828 mArms น้นั เอง สําหรบั คา ของ RS ในวงจรก็เชน กนั จะตอ งมีคาที่เหมาะสมกลาวคือ เม่ือพิจารณาวา RT คือคาอนิ พตุ อิมพแี ดนซรวมซ่งึ มองจากเครอ่ื งกาํ เนดิ สัญญาณโดย Rg คอื คา อิมพแี ดนซของเครือ่ งกาํ เนดิ สัญญาณดวั นน้ั RT = Rg + RS + Zin RT = e in = 0.707 V = 2.5 k ib 0. 2828 mA RS = RT - (Rg + Zin) = 2.5 k - (0.6 k + 1k) = 900 สง่ิ ทคี่ วรเขาใจใหดกี ็คอื สญั ญาณแรงดนั ท่ีเอาตพตุ อาจมลี ักษณะเปนรปู ส่ีเหล่ยี มมุมฉากก็ได ทงั้ นเ้ี น่ืองจากวงจรนไ้ี มมีเสถียรภาพ (Unstability) และคาของอินพตุ อมิ พแี ดนซกไ็ มเปล่ียนแปลงอยางเชิงเสน
ใบเตรียมการสอน คร้งั ท่ี 1 เลขหนา 15 / 15 เนื้อหา1.3.2.2 การสรา งคลื่นจัตุรัสของแรงดันโดยการรวมคล่ืนรปู ไซน ผลรวมทางเวคเตอร ความถหี่ ลกั มูล ฮารโมนคิ ทสี่ ามของคลื่นหลักขนาด (V) เวลา (วนิ าท)ี คลื่นผลลัพทร ปู จตั ุรสั รูปที่ 1.9 แสดงการรวมคลืน่ รปู ไซนทางเวคเตอรเพ่ือใหไดคล่ืนใหมใ นรปู จตั ุรัส ดงั ทเ่ี คยกลา วมาแลววา เม่อื ตอ แหลงจายแรงดันคล่ืนรูปไซน ซึ่งมีคาความถี่หลักคาหน่ึงตอขนานรวมกับแหลงจายแรงดันคลื่นรูปไซนอ่ืนๆ ซึ่งมีคาความถ่ีเทากับความถ่ีหลักคูณกับเลขค่ีจํานวนเต็มใด (3, 5, 7, 9,...) แลวจะทําใหไดคลื่นจัตุรัสออกมา, คาความถ่ีของคลื่นจัตุรัสที่ไดนี้จะเปนคาเดียวกันกับความถ่ีคล่ืนหลัก การสรางคล่ืนจัตุรัสดวยวิธีน้ีสามารถพิสูจนไดโดยการเขียนรูปกราฟของคลื่นหลักและความถ่ีอ่ืนๆ อีก แลวรวมกันทางเวคเตอร ดังแสดงในรูปท่ี 1.9 ซึ่งเปนการรวมคลื่นหลักกับคลื่นอื่นที่มีคาความถ่ีเปน 3 เทาของความถี่คล่ืนหลัก ผลการรวมของคล่ืนรูปไซนดังกลาวน้ีทางเวคเตอร จะทําใหไดคลื่นใหมซ่ึงมีลักษณะใกลเคียงกับคลื่นจัตุรัสดังแสดงดวยเสนประ ยงิ่ มกี ารรวมคล่ืนรปู ไซนม ากเพียงใดลกั ษณะของคล่นื ทีร่ วมที่ไดจะมีลักษณะใกลเคียงกับคลืน่ จัตุรสั มากยงิ่ ข้นึ ดังนั้นจงึ อาจกลา วไดว า คลื่นจัตรุ สั ก็คือ คลนื่ ซ่งึ เกิดจากการรวมคลน่ื รูปไซนจ าํ นวนมากมายไมจํากดั ซ่งึ มคี า ความถ่ีตา ง ๆ กนั ต้งั แต 0 หรือสวนทเี่ ปน กระแสตรงกระทง่ั ถงึ คา อนนั ตนอกจากนี้ยงั เปนทน่ี า สงั เกตอีกวาในทางทฤษฎแี ลว เครื่องขยายสญั ญาณพัลสร ูปจัตรุ ัส โดยท่ัวไปจะตอ งมคี วามสามารถขยายสญั ญาณไดดีทุก ๆ ความถี่ตงั้ แตต ่ําสดุ จนถึงคาอนันต
Search
Read the Text Version
- 1 - 16
Pages: