Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore หน่วยที่ 9

หน่วยที่ 9

Published by ครูเกตุ, 2020-06-30 03:40:32

Description: หน่วยที่ 9
น้ำ

Search

Read the Text Version

หนว่ ยที่ 9 นำ้ คำ้ สั่ง จงศึกษำและปฏบิ ัติตำมคำ้ ส่งั ดังต่อไปนี 1. อ่านบทความ ( 60 นาท)ี 2. วเิ คราะห์ และศกึ ษาเพิ่มเตมิ จากส่อื ตา่ งๆ เช่น หนังสอื เว็บไซต์ หรือสื่อออนไลน์ต่างๆ (40 นาที) 3. ทาแบบทดสอบ 20 คะแนน ( 20 นาท)ี https://forms.gle/WgSJzBMHCn5mnQ969

นำ้ นาเป็นสารอาหารจาเป็นชนิดหน่ึงท่ีร่างกายขาดไม่ได้ มี ความสาคัญและจาเป็นต่อการดารงชีวิตรองจากอากาศ คนที่ ขาดนาประมาณ 2-3 วันจะเสียชีวิต นาเป็นส่วนประกอบที่มี มากท่ีสุดในร่างกาย คือ ประมาณร้อยละ 60 ของนาหนักตัว เนื อเยื่อต่าง ๆ ใน ร่า ง กา ยก า ยล้ วน แ ต่มีนา เป็น ส่วน ปร ะก อบ ทารกแรกเกิดมีนาในร่างกายประมาณร้อยละ 75-80 ของ นาหนักตัว ปริมาณนาทังหมดในร่างกายจะลดลงเมื่ออายุ เพมิ่ ขึน

1. องค์ประกอบของน้ำในร่ำงกำย นาในรา่ งกายสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ส่วนคือ 1.1 นาที่อยใู่ นเซลล์ (Intracellular Fluid) พบอยู่ในเซลล์ทุกเซลล์ เป็นนาที่มีปริมาณมากถึงร้อย ละ 38 ของนาหนักตัวทาหน้าท่ีละลายสารเคมีต่างๆ ภายใน เซลล์ และทาหน้าท่ีสาคัญในกระบวนการเมตาบอลิซึมของ ร่างกาย 1.2 นาทอี่ ยนู่ อกเซลล์ (Extracellular Fluid) ประมาณร้อยละ 22 ของนาหนักตัวคือนา นาทาหน้าท่ี รักษาภาวะแวดล้อมของเซลล์ให้คงที่ นานอกเซลล์ยังแบ่งออก ได้เป็น 2 ส่วนคอื

1.2.1 นาท่ีอยู่ในกระแสโลหิต มีอยู่ประมาณร้อยละ 5 ของนาหนักตวั นาสามารถเขา้ ไปยู่ในหลอเลือดได้เพราะโปรตีน ภายในหลอดเลอื ดทาหนา้ ทีด่ ึงนาไว้ตามหลักออสโมซิส 2. หนำ้ ทขี่ องนำ้ ในร่ำงกำย 2.1 นำ้ เป็นองค์ประกอบของเซลล์ นาเป็นองค์ประกอบของเซลล์และเลือด นาเหลือง นาตา เหงื่อ ปัสสาวะและเอนไซม์ในกระเพาะอาหาร นอกจากนีนายังช่วยในการทางานของอวัยวะต่างๆ ในร่างกาย ในเซลล์และเนอื เยือ่ ตา่ งๆ มีนาในปรมิ าณทแ่ี ตกต่างกัน

2.2 ช่วยรกั ษำสมดลุ ของนำ้ ภำยในร่ำงกำย นาช่วยรักษาสมดุลของนาภายในร่างกาย โดยนาจะ เคล่ือนที่ผ่านผนังเซลล์เมื่อมีการเปล่ียนแปลงความเข้มข้นของ ไอออน ไอออนที่มีประจุบวก เช่น โซเดียม โพแทสเซียม จะ จับคกู่ ับไอออนทมี่ ปี ระจุลบ เช่น ฟอสเฟตและคลอไรด์ ปริมาณ ของนาภายในเซลล์ขึนกับความเข้มข้นของโพแทสเซียมและ ฟอสเฟตที่อยู่ในภายในเซลล์ ปริมาตรของนาท่ีอยู่ภายนอก เซลล์ขึนกับความเข้มข้นของโซเดียมและคลอไรด์ท่ีอยู่นอก เซลล์ 2.3 เปน็ ตวั ท้ำละลำย นาเป็นตัวทาละลายที่สาคัญในการพาอาหารไปให้เซลล์ และนาของเสียออกจากเซลล์โดยละลายสารต่างๆ ให้อยู่ในรูป ของเหลวและขนส่งจากท่ีหนึ่งไปสู่อีกที่หนึ่ง เช่น สารอาหารที่ ผ่านการย่อยเป็นสารละลายเพ่ือช่วยในการดูดซึมผ่านเยื่อบุ ลาไส้ไปสู่อีกที่หน่ึง เช่น สารอาหาร ท่ีผ่านการย่อยเป็น สารละลายเพ่อื ชว่ ยในการดดู ซมึ ผ่านเยือ่ บุลาไส้เขา้ ไปในกระแส เลือด ของเสียที่เกิดจากกระบวนการเมตาบอลิซึมต่างๆ เช่น คาร์บอนไดออกไซด์ แอมโมเนีย และอิเล็กไทรไลต์จะถูกนา

ออกจากเซลล์ไปยังปอด ไต ลาไส้ ผิวหนัง และถูกเจือจางด้วย นากอ่ นขบั ออกมา 2.4 นำ้ ชว่ ยควบคมุ อณุ หภมู ขิ องรำ่ งกำยให้คงที่ โดยนาจะทาหน้าท่ีกระจายความร้อนจากอวัยวะท่ีผลิต ความร้อนไปยังอวัยวะอ่ืนๆ ทาให้ร่างกายทาให้มีความร้อน สม่าเสมอและช่วยระบายความร้อนท่ีมากเกินไปออกจาก ร่างกาย ความร้อนร้อยละ 25 จะสูญเสียออกไปโดยการระเหย ทางปอดและผวิ หนัง 2.5 นำ้ ชว่ ยในกำรหลอ่ ล่นื นาช่วยในการหล่อล่ืนอวัยวะต่างๆ ของร่างกาย โดยเฉพาะอวัยวะที่ต้องทางานและมีการเสียดสีตลอดเวลาของ อวัยวะภายใน เช่น นาลายช่วยในการกลืน ของเหลวที่หล่อลื่น ตามขอ้ ต่อ นาชว่ ยให้ทางเดินหายใจช่มุ ชืน เปน็ ต้น 3. กำรรกั ษำสมดลุ ของนำ้ ในรำ่ งกำย ปกติร่างกายจะพยายามรักษาสมดุลนาในร่างกายให้คงท่ี อยู่เสมอ เม่ือนาในร่างกายลดลง ซ่ึงอาจเกิดจากการเสียเหงื่อ มาก ออกกาลังกายมาก ท้องเสีย อาเจียนหรือปัสสาวะบ่อย อาการเหลา่ นจี ะไปกระตนุ้ ให้ศนู ยก์ ารควบคมุ การกระหายนาใน

สมองส่วนกลาง (Hypothalamus) ทาให้อยากดื่มนาและ ขณะเดียวกันการดูดซึมนากลับของไตเข้าสู่ร่างกายจะเพิ่มขึน ทาใหก้ ารขับนาออกจากร่างกายลดลง ระดั บขอ ง เห ลวใ นร่า ง กา ยมีค วา ม สัมพั นธ์กั บปริ มา ณ โซเดียมในร่างกาย ถ้าปริมาณโซเดียมในร่างกายต่าปริมาณ ของเหลวจะต่าไปด้วย แต่ถ้าระดับโซเดียมสูงปริมาณของเหลว กจ็ ะมากตามไปเช่นกัน การรับประทานอาหารที่มีโซเดียมสูงจะ ทาให้ไตต้องใช้นาเป็นจานวนมากเพื่อเอาโซเดียมส่วนเกินออก จากร่างกาย นอกจากนีกาเฟอีนยังทาหน้าที่คล้ายสารขับ ปัสสาวะ เม่ือดื่มชาหรือกาแฟเข้าไปไม่นานจะรู้สึกอยาก ปสั สาวะได้ ในคนปกตินาในร่างกายที่ได้รับเข้าไปจะเท่าปริมาณนาท่ี ร่างกายขับออกมา โดยภายในร่างกายมีการหมุนเวยี นนา 3.1 ปรมิ ำณนำ้ ทร่ี ำ่ งกำยได้รับเขำ้ ไป ร่างกายจะได้รับนาประมาณวันละ 2,350 มิลลิลิตร จาก 3.1.1 การดื่มนา ประมาร 1,000 มลิ ลิลิตร 3.1.2 นาจากอาหารท่ีรบั ประทานเขา้ ไป ประมาณ 1,000 มิลลิลิตร เพราะในอาหารทกุ ชนดิ มนี าเป็นองคป์ ระกอบ

3.1.3 จากปฏกิ ิริยาการเผาผลาญอาหารในร่างกายทา ใหเ้ กดิ นา() และคารบ์ อนไดออกไซดอ์ อกมา นาในกรณนี ีมี ประมาณ 350 มิลลลิ ลิตร โดยท่ี 100 กรมั ของไขมนั จะใหน้ า 107.1 คารโ์ บไฮเดรต 55.5 และโปรตนี 41.3 มิลลิลติ ร 3.2 ปริมำณนำ้ ที่ร่ำงกำยขับออก 3.2.1 ไต เปน็ อวัยวะท่ีสาคัญในการควบคุมปริมาณนา ในร่างกาย โดยหน้าที่หลักของไต คือรักษาส่วนประกอบและ ปริมาณเลือดให้คงท่ี โดยไตทาหน้าที่แยกกรองของเสียออก จากร่างกายและดูดสารอาหารตลอดจนนาท่ีมีประโยชน์

กลับคืนสกู่ ระแสเลือดเพือ่ แจกไปยังเซลลต์ า่ งๆ ทัว่ ร่างกาย ของ เสียท่ีขับออกนอกร่างกาย ได้แก่ ของเสียจากการเมตาบอลิซึม เช่น ยูเรีย เกลือโซเดียม รวมทังสารพิษอื่นๆ และสารท่ีร่างกาย ไม่ต้องการออกมา โดยส่งผ่านไปยังท่อไตลงมากระเพาะ ปัสสาวะเพื่อขบั ถา่ ยต่อไป กระเพาะปัสสาวะของคนมีความจุประมาณ 250 มิลลิลิตร ในวันหน่ึงๆ จะมีการขับปัสสาวะประมาณ 1,200- 1,300 มลิ ลลิ ติ ร การผลิตปสั สาวะของไตจะผลิตตลอดเวลาโดย จะมีนาผ่านไตนาทีละ 116 มิลลิลิตร ปริมาณนาท่ีน้อยที่สุดที่ ทาให้ส่วนปะกอบของเลือดอยู่ในระดับปกติคือประมาณ 400- 600 มิลลิลิตรต่อวัน สาหรับละลายของเสียออกวันละ 50-70

มิลลิลิตรต่อวัน ถ้ามีการขับปัสสาวะออกน้อยจะทาให้มีความ เข้มข้นของสารต่างๆ ในเลือด ไตต้องทางานหนักจึงมีโอกาส เส่ียงต่อการเป็นนิ่วในไต และกรณีท่ีได้รับมากเกินความ ต้องการของร่างกายนาส่วนเกินจะถูกขับออกทางปัสสาวะ ปริมาณปัสสาวะมีการเปล่ียนแปลงได้ ขึนอยู่กับปัจจัยต่างๆ ไดแ้ ก่ 1) การรับประทานอาหาร ถ้ารับประทานอาหารที่มี โปรตีนมาก ร่างกายจะเป็นต้องขับไนโตรเจนในรูปของยูเรีย ออกมาทางปัสสาวะ จะมีการถ่ายปัสสาวะมากและยูเรียก็เป็น สารขับปัสสาวะ ซึ่งสามารถสังเกตได้ว่าทานอาหารที่มีโปรตีน มากจะกระหายนามาก 2)การรับประทานอาหารทีม่ ีโซเดยี มมาก 3)ปริมาณของเหลวท่ีขับถา่ ยทางอ่นื เช่น เหง่ือ 4) อุณหภูมิส่ิงแวดล้อม ถ้าอากาศเย็นเสียเหงื่อน้อย ปสั สาวะจะเพ่มิ มากขึน 5) ปริมาณนาท่ีด่ืมเข้าไป 3.2.2 ผิวหนัง ตามปกติจะมีการสูญเสียเหงื่อที่ผิวหนัง วันละ 500 มิลลลิ ิตรออกทางต่อมเหงอ่ื โดยร่างกายมีต่อมเหงื่อ 2 ชนิด คือ ชนิดแรก Opocrine Sweat Gland เป็นต่อมท่ี

สร้างกลิ่นพบท่ีบริเวณรักแร้ และชนิดท่ีสอง Eccrine Sweat Gland เป็นต่อมเหง่ือที่เป็นของเหลวใสท่ีพบตามผิวหนังท่ัวไป เพ่ือระบายความร้อนทาให้อุณหภูมิร่ายกายคงที่ เหง่ือที่ขับ ออกมาเป็นของเหลวไสไม่มีสี ไม่มีกล่ิน มีเฉพาะนาอย่างเดียว เมื่อนาระเหยจะพาความร้อนออกไปมาก ถ้าร่างกายต้องการ ขับความร้อนออกมากจะมีการขับนาและเกลือประเภทโซเดียว และคลอไรด์มาก ดังนันการสูญเสียเหง่ือมากจะทาให้ร่างกาย ขาดโซเดยี มมากด้วย 3.2.3 ปอด มีการระเหยนาทางการหายใจเฉลี่ยวันละ 300-400 มิลลิลิตรต่อวัน คนที่ออกกาลังกายกลางแจ้งจะ สูญเสียนามากขึน การขับนาออกทางปิดเพ่ือให้ทางเดินหายใจ

ชุ่มชืนตลอดเวลาและเป็นการสูญเสียนาโดยไม่รู้ตัว ผู้ที่มีไข้สูง จะสูญเสียนาทังทางปอดและทางผิวหนังเพิ่มขึนประมาณร้อย ละ 13 ตอ่ อณุ หภูมิทเี่ พ่มิ ขึน 1 องศาเซลเซยี ส 3.2.4 ระบบทางเดินอาหาร ในระยะเวลา 24 ชั่วโมง จะมีมีนาหลั่งเข้ามาในระบบทางเดินอาหารซ่ึงอยู่ในรูปของ นาย่อย ได้แก่ นาลาย นาย่อยในกระเพาะอาหาร นาดี นาย่อย จากตบั ออ่ น นายอ่ ยจากลาไส้เล็ก ปริมาณนาท่ีหลั่งออกมานีขึนกับปริมาณนาในอาหาร ถ้าในอาหารท่ีกินมีนาน้อยนาลายจะหล่ังออกมาเพื่อหล่อล่ืน สะดวกต่อการกลืนและการทางานของนาย่อย การบริโภค อาหารทีม่ ไี ขมันมากจะทาให้นาดีถกู กระตนุ้ ออกมามาก สาหรับ เอนไซม์ในกระเพาะ ตับอ่อน และลาไส้จะหล่ังออกมามากน้อย

ตามปริมาณนาท่ีมีอยู่ในอาหารเช่นกัน ตามปกตินาที่หลัง ออกมานจี ะถูกดูดซึมกลบั เข้าไปหมดที่บริเวณลาไส้ใหญ่ มีเพียง 150 มิลลิลิตรที่ถูกขับออกทางอุจจาระเพ่ือไม่ให้อุจจาระแข็ง เกินไป 4. ควำมตอ้ งกำรน้ำของรำ่ งกำย รา่ งกายไม่สามารถสะสมนาได้ ดังนันจึงจาเป็นต้องได้รับนา ทุกวันเพ่ือทดแทนส่วนท่ีสูญเสียไป การดื่มนาหรือหารที่มีนา เป็นองค์ประกอบสามารถดื่มได้ไม่จากัดตราบที่ไตยังคงทางาน ได้ดีอยู่ ความกระหายนาเป็นอาการแสดงถึงความต้องการนา ของร่างกายว่าขาดนาไปร้อยละ 1 ของนาท่ีมีทังหมด โดยเฉล่ีย คนเราต้องการนาวันละประมาณ 35-40 มิลลิกรัม/นาหนักตัว 1 กิโลกรัม หรือประมาณ 2 ลิตรต่อวัน แต่ความจริงแล้วการ ด่ืมนาจะสามารถดื่มได้มากกว่านี ยิ่งมากเท่าไรยิ่งดีแต่ต้องดื่ม ในปริมาณท่ีพอสมควรไม่ใช่ในปริมาณมากๆ ในครังเดียว การ ดื่มนาในครังเดียวในปริมาณมากๆ จะทาให้อึดอัดท้องและนา จ๔ุ กดดู ซมึ เข้ากระแสดเลือดปริมาณมาก หัวใจต้องทางานหนัก จนเกินไปเพื่อจะขับนาปริมาณมาก ออกไปท่ีไต ถ้าหัวใจมีการ ทางานไม่ดีอาจมผี ลเสียตอ่ หวั ใจได้

การดืม่ นามากทาใหไ้ ตทาหนา้ ที่ขบั ของเสียไดด้ ี เพราะของ เสียท่ีขับออกมาทางปัสสาวะใช้นาเป็นตัวทาละลายของเสีย และขับออกมา ถ้ามีนาปริมาณไม่มากพอไตจะทางานหนัก ส่ิง ท่ีเป็นพิษต่อร่างกายจะถูกขับออกมา ทาให้เซลล์อ่ิม ผิวหนัง แต่งตึง ทาให้ต่อมเหงื่อทางานขับของเสียออกจากร่างกายได้ดี แตเ่ มอื่ อม่ิ นาปรมิ าณน้อยมากจะมผี ลทาให้ปากแหง้ เบื่ออาหาร การด่ืมนาในปริมาณท่ีเหมาะสมจะทาให้คอชุ่มชืน นาลายมาก กลนื อาหารได้ดี

ความช่ือท่ีว่าการด่ืมนาระหว่างการรับประทานอาหารจะ ไปลดกรดเกลือในกระเพาะอาหารนันไม่เป็นความจริง เพราะ ปกตนิ าจะไหลผ่านกระเพาะอาหารอย่างรวดเร็วและดูดซมึ ส่วน ใหญ่ที่ลาไส้เล็ก ส่วนน้อยเกิดท่ีลาไส้ใหญ่ นอกจากนีนาจะช่วย ยอ่ ยอาหารทางอ้อมเพาะทาให้อาหารเปียก อ่อนนุ่ม จึงยอ่ ยได้ ง่าย นาท่ีด่ืมเข้าไปถ้าเป็นนาอุ่น จะช่วยกระตุ้นให้กระเพาะ อาหารเคลอ่ื นไหวไดด้ ี 4.1 ปัจจัยทเ่ี กย่ี วข้องกบั ควำมต้องกำรนำ้ ความต้องการนาของในแต่ละวันแตกต่างกันไปตาม ปจั จัยตา่ งๆ ได้แก่ 4.1.1 อายุ เด็กทารกต้องการนามากกว่าผู้ใหญ่ คือวัน ละ 1.5 มิลลิลิตรต่อพลังงานท่ีได้รับจากอาหาร 1 กิโลแคลอรี และเม่ืออายมุ ากขึนกจ็ ะต้องการนานอ้ ยลงตามลาดบั 4.1.2 อุณหภูมิของส่ิงแวดล้อม เมื่ออุณหภูมิสิ่งรอบๆ ตัวเพิ่มมากขึน ร่างกายจะพยายามขับเหงื่อและระเหยนาออก ทางผิวหนังมากขึน เช่น อากาศร้อนหรือทางานหนักๆ อากาศ ที่ร้อนจะทาให้ร่างกายสูญเสียเหงื่อออกไปมาก ซึ่งอาจจะมาก ถงึ 6 ลติ ร เปน็ ต้น

4.1.3 การออกกาลังกาย ถ้ามีการออกกาลังกายมากๆ โดยเฉพาะในสภาวะท่ีอากาศร้อนจะสูญเสียนาทางเหงื่อ เน่ืองจากความร้อนท่ีเพ่ิมขึนในร่างกาย นายังมีการสูญเสียทาง ปอดมากขึนด้วย กิจกรรมและอัตราการหายใจจะกระตุ้นให้มี การสูญเสียนา ในขณะท่ีพักผ่อนหรือนอนหลับร่างกายจะเสีย นาน้อยลง 4.1.4 ส่วนประกอบของอาหารท่ีรับประทาน การ รับประทานอาหารที่มีนาเป็นองค์ประกอบมากทาให้ร่างกาย ตอ้ งการนานอ้ ยลง กระหายนาน้อยลง การบริโภคโปรตีนจะทา ให้ร่างกายต้องการนามากขึนเพื่อนาไปขับไนโตรเจนออกทาง ปัสสาวะ การบริโภคอาหารท่ีมีรสเค็มหรือมีผงชูรสมากก็ทาให้ กระหายนามากขนึ เช่นกัน

4.1.5 ปริมาณของเสียท่ีละลายในนา ได้แก่ ยูเรีย และ โซเดียมคลอไรด์ เป็นส่วนที่ร่างกายต้องกาจัดออกเพ่ือลด ปริมาณสารดังกล่าวโดยการขับออกทางปัสสาวะ ในกรณีที่ ของเหลวในร่างกายมีความเข้มข้นสูง เช่น กินอาหารที่มีเกลือ มมาก ร่างกายจะพยายามขับเหงื่ออกมาเพ่ือให้ความเข้มข้น ของเกลือลดลงและร่างกายกระหายนามากขึน 5. ควำมผิดปกตขิ องร่ำงกำยทีเ่ กย่ี วข้องกบั นำ้ ในคนปกติร่างกายจะรักษาปริมาณนาให้คงที่อยเู่ สมอ คือถ้า ร่างกายได้รับนามากจะขับออก หากได้รับนาน้อยจะลดการขับ ออกและกระตุ้นความกระหายนามากขึน ซึ่งความผิดปกติของ การได้รับนาสามารถแบ่งได้เป็น 5.1 รำ่ งกำยขำดนำ้ ร่างกายจะมีอาการขาดนาเม่ือมีการด่ืมนาจากัด ขาด การด่ืมนาหรือเสียนาออกจากร่างกายมากกว่าปกติ เช่น ท้องเสียรุนแรง อาเจียน ตกเลือด ไข้สูงพร้อมมีการสูญเสียนา ทางผิวหนังมาก ไฟไหม้ นาร้อนลวก มีผลทาให้สูญเสียนาทาง ผิวหนังมาก คนไข้ที่เป็นเบาหวานหรือปัสสาวะบ่อยไม่สามารถ

ควบคุมการขับถ่ายได้หรือคนไข้ที่ไตอักเสบเรือรังขาดนา มีผล ทาใหร้ ่างกายขาดนาและแสดงอาการขาด เม่ือร่างกายสูญเสียนาร้อยละ 2 ของนาหักตัวริมฝีปาก และในปากแห้งไม่ค่อยมีนาลาย ผิวหนังแห้งและท้องผูก หาก ขาดนาร้อยละ 4 จากสาเหตุต่างๆ เช่น เสียเหง่ือมากในวันที่ อากาศร้อน จะรู้สึกอ่อนเพลีย ไม่มีแรงเพราะนาในเซลล์มี ปริมาณลดลงและการท่ีเหงื่อออกมากจะทาให้เสียเกลือแร่ ออกไปมากเช่นกัน เมื่อเสียนาแลเกลือแร่จะทาให้กล้ามเนือ และอวยั วะต่างๆ ทางานได้ไม่ดี อ่อนล้า เส้นประสาททางานช้า ลง และเซลล์สมองทางานได้ไม่ดีจะรู้สึกอ่อนเพลียไม่ กระปรีกระเปร่า ถ้าสูญเสียนาและเกลือแร่มากๆ จะปวดตาม

กล้ามเนือ เมื่อยเกร็งไปทังตัว อาจเวียนศีรษะ การเสียนามาก ร้อยละ 10-12 จนส่งผลให้ร่างกายทนความร้อนได้น้อยลง อ่อนเพลียและเสียนาอย่างรวดเร็ว เช่น อาเจียนติดกันเป็น เวลานาน ท้องร่วงรุนแรง เป็นลมหมดสติ การเสียนามากๆ ทา ให้เกิดภาวะขาดนา() ซึ่งนานอกเซลล์มีความเข้มข้นสูงกว่านา ในเซลล์ ดังนันนาในเซลล์จะไหลออกมานอกเซลล์ทาให้ใน เซลล์เกิดภาวะขาดนา ในขณะเดียวกันร่างกายจะตอบสนอง โดยการลดการขบั นาออก ลดการขบั ปสั สาวะ แต่ไม่สามารถลด การเสียเหง่ือและเสียนาทางการหายใจได้ ทาให้ปัสสาวะมี โซเดียมและคลอไรด์สูงขึน ส่วนโพแทสเสียมลดลง และถ้า ปล่อยทิงไว้จะทาให้รบกวนระบบการทางานของประสาท เช่น ซึมไม่ค่อยรู้สึกตัว อาจหมดสติได้เน่ืองจากสมองขาดนา การ ไหลเวียนของเลือดไม่ดี สามารถแก้ไขได้โดยการให้นาทางปาก หรอื ใหท้ างเสน้ เลอื ด 5.2 รำ่ งกำยได้รับนำ้ มำกเกินไป ในกรณีท่ีร่างกายได้รับนามากเกินไป เช่น ดื่มเหล้า ไต ต้องทางานหนักในการขับของเสียออก ถ้าดื่มนาปกติคนส่วน ใหญ่จะไม่ค่อยมีปัญหา ยกเว้นดื่มนาเข้าไปในปริมาณมากและ รวดเร็วอาจเป็นอันตรายได้ เพราะร่างกายดูดซึมเข้ากระแส

เลือดไม่ทัน จานวนนาในเลือดเพิ่มมากขึนทันที หัวใจต้อง ทางานหนักเพ่ือให้ไตขับนาออกมากขึน ไตต้องทางานหนักเพื่อ ขับนาออก หากขับออกไม่ทันนาจะไปอยู่ตามเซลล์ต่างๆ ทาให้ มีอาการบวมไปทั่วร่างกาย การบวมเกิดได้ทุกอวัยวะรวมทัง สมอง อาจทาให้มีอาการกระสับกระส่าย ซึม ปวดหวั ชัก หมด สติ ปอดบวม ทาให้ไอและหายใจไม่สะดวก อาการเหล่านีเกิด ง่ายเมื่อมีการให้นาเข้าสู่ร่างกายโดยเฉพาะการฉีดเข้าสู่เส้น เลือด หรือการให้นาเกลือ นาตาลกลูโคสหรือการให้เลือด อาการเหล่านีรวมเรียกว่า “นาเปน็ พษิ ” อำกำรบวมน้ำ

6. สรุป นาเป็นสารอาหารชนิดหนึ่งท่ีจาเป็นต่อร่างกาย ร่างกายไม่ สามารถขาดได้ นาในร่างกายมีอย่ใู นทุกๆเซลล์ แบ่งออกได้เป็น 2 ส่วน คือ นาท่ีอยู่ในเซลล์ และนาที่อยู่นอกเซลล์ นามีหน้าท่ี เป็นส่วนประกอบของเซลล์ ช่วยรักษาสมดุลของนาภายใน ร่างกาย นาเป็นตัวทาละลาย ช่วยควบคุมอุณหภูมิของร่างกาย ให้คงท่ี ช่วยในการหล่อลื่นและการรักษาสมดุลของนาใน ร่างกายให้คนปกติ นาในร่างกายได้รับเข้าไปจะเท่ากับปริมาณ นาท่ีร่างกายขับออกมา โดยภายในร่างกายมีการหมุนเวียนนา ประมาณวันละ 2,350 มิลลิลิตร ร่างกายได้รับนาทุกวันเพื่อ ทดแทนส่วนที่สูญเสียไป ปัจจัยท่ีเก่ียวข้องกับความต้องการ ได้แก่ อายุ อุณหภูมิส่ิงแวดล้อม การออกกาลังกาย ส่วนประกอบของอาหารที่รับประทานและปริมาณของเสียที่ ละลายในนา สาหรับความผิดปกติของร่างกายท่ีเกี่ยวข้องกับนาคือ ร่างกายขาดนา ถ้าขาดนาร้อยละ 2 จะกระหายนา ขาดนาร้อย ละ 4 ทาให้กล้ามเนืออ่อนแรงและทางานได้น้อยลง ขาดนา ร้อยละ 10-12 ทาให้ทนต่อความร้อนได้น้อยลงและมีอาการ อ่อนเพลีย หากขาดถึงร้อยละ 20 อาจทาให้เสียชีวิตได้ กรณีที่

ร่างกายได้รับนามากเกินไป เช่น ได้รับทางเส้นเลือด อาจทาให้ เกดิ ภาวะ “นาเปน็ พิษ” ได้


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook