Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore atom

atom

Published by muaynoynoy, 2019-07-31 00:23:33

Description: atom เป็นหน่วยที่เล็กที่สุด

Keywords: atom

Search

Read the Text Version

สรปุ เขม้ เคมี เลม่ 1 http://www.pec9.com บทท่ี 1 อะตอมและตารางธาต ุ บทที่ 1อะตอมและตารางธาตุ 1. แบบจำลองอะตอม แบบจาลองอะตอม ของดอลตนั 1.1 แบบจำลองอะตอมของดอลตัน ดอลตนั ( John Dalton ) กล่าววา่ “ สสารท้งั หลายประกอบดว้ ยอะตอมซ่ึงเป็นหน่วยท่ีเลก็ ที่สุดมี ลกั ษณะเป็นทรงกลมทึบตนั ไมส่ ามารถแบ่งแยกไดอ้ ีก ” 1.2 แบบจำลองอะตอมของทอมสัน ทอมสนั ( J.J Thomson )ไดท้ าการทดลองโดยใชห้ ลอดแกว้ สุญญากาศคน้ พบวา่ ภายใน อะตอมจะมีอนุภาคไฟฟ้าลบ (อิเลก็ ตรอน) อยู่ ต่อมาโกลดส์ ไตน์ (Eugen Goldstein ) พบวา่ ภายในอะตอมยงั มีอนุภาคไฟฟ้าบวก (โปรตอน) อยอู่ ีกดว้ ย ทอมสันจึงไดเ้ สนอแบบจาลองของ อะตอมไวว้ า่ “ อะตอมมีลกั ษณะเป็นทรงกลม ประกอบไป ดว้ ยโปรตอนซ่ึงมีประจุบวก และอิเลก็ ตรอนซ่ึงมีประจุ ลบกระจายอยทู่ วั่ ไปอยา่ งสม่าเสมอและในอะตอมท่ี แบบจาลองอะตอม เป็นกลางทางไฟฟ้าจะมีจานวนโปรตอนเทา่ กบั จานวน ของทอมสนั อิเล็กตรอน” ในเวลาตอ่ มานกั วทิ ยาศาสตร์ช่ือมิลลิแกน ( Robert A. Millikan ) ไดท้ าการทดลองโดย ใชห้ ยดน้ามนั แลว้ สามารถหาคา่ ประจุของอิเลก็ ตรอน 1 ตวั ไดค้ า่ เทา่ กบั 1.6x10–19คูลอมบ์ และ สามารถคานวณหาค่ามวลของอิเล็กตรอน 1 ตวั ไดเ้ ทา่ กบั 9.11x10–28กรัม อีกดว้ ย 1. ขอ้ มูลใดที่ทราบจากการทดลองโดยใชห้ ลอดรังสีแคโทด 1. นิวเคลียสของธาตุมีโปรตอน 2. สสารทุกรูปแบบประกอบดว้ ยอิเลก็ ตรอน 3. รังสีบวกจะเป็นโปรตอน 4. อนุภาคแอลฟาหนกั กวา่ โปรตอน 1

สรปุ เขม้ เคมี เลม่ 1 http://www.pec9.com บทที่ 1 อะตอมและตารางธาต ุ 1.3 แบบจำลองอะตอมของรัทเทอร์ฟอร์ด รัทเทอร์ฟอร์ด ( Ernest Rutherford ) เสนอ ++ แบบจาลองอะตอมเอาไวว้ า่ “ อะตอมประกอบดว้ ย นิวเคลียสที่มีขนาดเลก็ มากอยตู่ รงกลาง และมีประจุ แบบจาลองอะตอม ไฟฟ้าเป็นบวก โดยมีอิเล็กตรอนวงิ่ วนอยรู่ อบๆ ” ของรัทเทอร์ฟอร์ด เพราะเมื่อรัทเทอร์ฟอร์ดไดท้ าการทดลองยงิ รังสีแอลฟา ซ่ึงเป็นอนุภาคไฟฟ้าบวกเขา้ ไปกระทบ อะตอมในแผน่ ทองคาบางๆ ผลปรากฏวา่ รังสสี ว่ นน้อยเบีย่ งเบน รังสีส่วนมากจะลอดช่องวา่ งระหวา่ งนิว- ++ เคลียสกบั อิเล็กตรอนแลว้ ทะลุออกไปเป็น เส้นตรง รังสีส่วนนอ้ ย จะพงุ่ เขา้ ใกล้ รังสสี ว่ นมาก นิวเคลียสซ่ึงมีขนาดเลก็ แลว้ เกิดแรง ++ ทะลตุ รง ผลกั ระหวา่ งประจุบวกของนิวเคลียสกบั ประจุบวกของรังสีแอลฟาแลว้ ทาใหร้ ังสี รังสนี ้อยทส่ี ดุ สะท้อนกลบั แอลฟาเกิดการเบี่ยงเบน และรังสีส่วน นอ้ ยที่สุดจะพงุ่ เขา้ ชนนิวเคลียสตรงๆ แลว้ เกิดการสะทอ้ นยอ้ นกลบั ออกมา แตก่ ารพุง่ เขา้ ใกล้ กบั การพงุ่ ชนตรงๆ จะเกิดไดน้ อ้ ยเพราะนิวเคลียสมีขนาดเล็กนน่ั เอง 2. แผน่ โลหะบางมากแผน่ หน่ึงถูกยงิ ดว้ ยอนุภาคที่มีประจุบวก แผนภาพใดต่อไปน้ีแสดง ทิศทางการเคล่ือนท่ีของอนุภาคเหล่าน้ีไดถ้ ูกตอ้ งท่ีสุด 2

สรปุ เขม้ เคมี เลม่ 1 http://www.pec9.com บทท่ี 1 อะตอมและตารางธาต ุ 3. ถา้ ทาการทดลองโดยใชห้ ลอดรังสีแคโทดที่สร้างข้ึนเป็ นพิเศษและจดั อุปกรณ์ดงั น้ี ผลการทดลองต่อไปน้ีขอ้ ใดถูก 1. เกิดจุดสวา่ งตรงจุดก่ึงกลางของฉากเรืองแสง ก. 2. เกิดจุดสวา่ งเหนือจุดก่ึงกลางของฉากเรืองแสง ก. 3. เกิดจุดสวา่ งตรงจุดก่ึงกลางของฉากเรืองแสง ข. 4. เกิดจุดสวา่ งเหนือจุดก่ึงกลางของฉากเรืองแสง ข. คำชี้แจง ใชร้ ูปหลอดรังสีแคโทดและอุปกรณ์สร้างสนามไฟฟ้าตอ่ ไปน้ีในการตอบคาถาม 2 ขอ้ ถดั ไป 4. ถา้ เลื่อนอุปกรณ์สร้างสนามแมเ่ หลก็ ไฟฟ้าไปไวท้ ี่ตาแหน่งตา่ งๆ จะมีปรากฏการณ์ใดเกิดข้ึน 1. ท่ีตาแหน่ง 1 รังสีจะเบนข้ึนดา้ นบน 2. ที่ตาแหน่ง 2 รังสีจะคงท่ีเพราะหกั ลา้ งกนั หมด 3. ที่ตาแหน่ง 2 รังสีจะเบนข้ึนและเบนลง 4. ท่ีตาแหน่ง 3 รังสีจะเบนลงดา้ นล่าง 5. ถา้ ใชแ้ กส๊ ไฮโดรเจนและดิวเทอเรียม ทาการทดลองเปรียบเทียบกนั โดยเลื่อนอุปกรณ์สร้าง สนามไฟฟ้าไปไวท้ ี่ตาแหน่งตา่ งๆ เช่นเดิม แก๊สท้งั สองชนิดจะใหผ้ ลไมแ่ ตกต่างกนั เม่ือ อุปกรณ์สร้างสนามไฟฟ้าอยทู่ ่ีตาแหน่งใด 1. ตาแหน่ง 1 2. ตาแหน่ง 2 3. ตาแหน่ง 1 และ2 4. ตาแหน่ง 3 3

สรปุ เขม้ เคมี เลม่ 1 http://www.pec9.com บทท่ี 1 อะตอมและตารางธาต ุ 1.4 อนุภำคมูลฐำนของอะตอม ในปัจจุบนั น้ีเป็นที่ทราบกนั แลว้ วา่ อะตอมประกอบไปดว้ ยอนุภาคท่ีสาคญั สามชนิด ไดแ้ ก่ อิเลก็ ตรอน โปรตอน และนิวตรอน อนุภาคท้งั สามชนิดน้ีเรียกวา่ อนุภำคมูลฐำนของ อะตอม ซ่ึงมีคุณสมบตั ิดงั แสดงในตารางต่อไปน้ี อนุภาค ประจุ ( C ) ตวั แทน มวล (กรัม) มวล (a.m.u) โปรตอน (p) +1.6 x 10–19 +1 1.672 x 10–24 1.007285 อิเลก็ ตรอน (e) –1 9.108 x 10–28 0.000549 นิวตรอน (n) –1.6 x 10–19 0 1.674 x 10–24 1.008665 0 หมำยเหตุ : 1 a.m.u = 1.66 x 10–24กรัม สัญลกั ษณ์ของธาตุที่เขียนโดยแสดงรายละเอียดเก่ียวกบั จานวนอนุภาคมูลฐานของอะตอม เรียกวา่ สัญลักษณ์นิวเคลียร์ รูปแบบการเขียนเป็ นดงั น้ี เลขมวล (A) = จานวนโปรตอน + นิวตรอน = จานวนนิวคลีออน AZ X เลขอะตอม (Z) = จานวนโปรตอน เลขอะตอม ( Z ) คือจานวนโปรตอนที่มีในนิวเคลียส และหากเป็ นอะตอมปกติจะเป็ น กลางทางไฟฟ้า ( ประจุไฟฟ้ารวมเป็นศูนย์ ) จานวนโปรตอนจะเทา่ กบั จานวนอิเล็กตรอน ดงั น้นั เลขอะตอมจะเท่ากบั จานวนอิเลก็ ตรอนดว้ ย เลขมวล ( A )คือมวลรวมของอะตอม ปกติแลว้ อิเล็กตรอนจะมีมวลนอ้ ยมากเมื่อเทียบกบั มวลโปรตอนและนิวตรอน ดงั น้นั มวลรวมของอะตอมจึงเป็ นมวลของโปรตอนรวมกบั มวลของ นิวตรอนนนั่ เอง และเนื่องจากโปรตอนกบั นิวตรอนแต่ละตวั จะมีมวลเท่ากบั 1 มวลอะตอม รวมแลว้ จึงเท่ากบั จานวนโปรตอนรวมกบั จานวนนิวตรอน นั่นคือเลขมวลจะเท่ากบั จานวน โปรตอน + จานวนนิวตรอน นน่ั เอง 4

สรปุ เขม้ เคมี เลม่ 1 http://www.pec9.com บทท่ี 1 อะตอมและตารางธาต ุ ข้อควรทรำบเกยี่ วกบั สัญลกั ษณ์นิวเคลยี ร์ 1. เลขอะตอม = จานวนโปรตอน = ลาดบั ของธาตุในตารางธาตุ @ ถา้ รู้จานวนโปรตอน จะรู้วา่ เป็นธาตุลาดบั ท่ีเท่าไรในตารางธาตุ และเป็นธาตุอะไร @ ถา้ จานวนโปรตอนของอะตอมเปลี่ยนไปชนิดและสมบตั ิของอะตอมจะเปล่ียนไป @ อะตอมของธาตุชนิดเดียวกนั จะมีจานวนโปรตอนเท่ากนั 2. อะตอมปกติ จานวน p = จานวน e จะทาใหป้ ระจุไฟฟ้ารวม = 0 (เป็นกลางทางไฟฟ้า) หากอะตอมปกติรับอิเล็กตรอนเพ่มิ เขา้ 1 ตวั ประจุรวม = –1เขียนสญั ลกั ษณ์เป็น ZA X1- หากรับอิเล็กตรอนเพม่ิ เขา้ 2 ตวั ประจุรวม = –2 เขียนสัญลกั ษณ์เป็น AZ X2- หากเสียอิเลก็ ตรอนออกไป 1 ตวั ประจุรวม = +1 เขียนสญั ลกั ษณ์เป็น AZ X1  หากเสียอิเล็กตรอนออกไป 2 ตวั ประจุรวม = +2 เขียนสญั ลกั ษณ์เป็น ZA X2  จาไวว้ า่ ถา้ มีประจุเป็นลบแสดงวา่ รับอิเลก็ ตรอนเพิ่ม ถา้ ประจุเป็นบวกแสดงวา่ เสียอิเล็กตรอนไป 3. จากสัญลกั ษณ์นิวเคลียร์ บอกประจุ เลขมวล (A) เลขอะตอม (Z) จะไดว้ า่ จานวนโปรตอน ( p ) = Z จานวนนิวตรอน ( n ) = A – Z   จานวนอิเล็กตรอนท่ีรบั เพมิ่   เสียไป จานวนอิเลก็ ตรอน ( e ) = Z +   จานวนอิเล็กตรอน ที่ เม่ือ A คือเลขมวล Z คือ เลขอะตอม K คือ เลขบอกประจุไฟฟ้า 5

สรปุ เขม้ เคมี เลม่ 1 http://www.pec9.com บทท่ี 1 อะตอมและตารางธาต ุ 6. จงหาจานวนโปรตอน นิวตรอน และอิเล็กตรอน จากสัญลกั ษณ์ของอะตอมต่อไปน้ี 1183399422983962003352KKAUTrrh 1. ตอบ p = …….. n = ……..…. e = ………. 2. ตอบ p = …….. n = ……..…. e = ………. 3. ตอบ p = …….. n = ……..…. e = ………. 4. ตอบ p = …….. n = ……..…. e = ………. 5. ตอบ p = …….. n = ……..…. e = ……….. 7. จงหาจานวนโปรตอน นิวตรอน และอิเล็กตรอน จากสัญลกั ษณ์ของอะตอมต่อไปน้ี 1. 1351 P3 ตอบ p = …….. 2. 187 O2 ตอบ p = …….. n = …….. e = ………. 3. 1375 Cl1 ตอบ p = …….. n = …….. e = ………. n = …….. e = ………. 4. 94 Be 2 ตอบ p = …….. n = …….. e = ………. 8. จงเลือกขอ้ ความท่ีถูกตอ้ งท่ีสุด 1. นิวเคลียสของ Cl- มีประจุลบ 2. 11Na+ มีจานวนอิเล็กตรอนมากกวา่ 8S2- สามอิเลก็ ตรอน 3. 1375Cl มีจานวนอิเลก็ ตรอนมากกวา่ 1365S หน่ึงอิเล็กตรอน 4. 1365S กบั 1375Cl มีจานวนอิเล็กตรอนเท่ากนั คำชี้แจง ใชต้ ารางต่อไปน้ีตอบคาถาม 2 ขอ้ ถดั ไป . 9. ถา้ สามารถดึงโปรตอนจากธาตุ P ออกได้ 2 ตวั และดึงเอาอิเลก็ ตรอนออกได้ 5 ตวั ผลท่ีเกิดข้ึนคืออะไร 1. P+3 2. P+5 3. Al+3 4. Mg+2 6

สรปุ เขม้ เคมี เลม่ 1 http://www.pec9.com บทท่ี 1 อะตอมและตารางธาต ุ 10. แคลเซียมไอออนมีจานวนอิเล็กตรอนไมเ่ ทา่ กบั ไอออนใด 1. คลอไรดไ์ อออน 2. โพแทสเซียมไอออน 3. ซลั ไฟดไ์ อออน 4. แมกนีเซียมไอออน 1.5 ไอโซโทป ไอโซบำร์ ไอโซโทน และไอโซอเิ ลก็ ทรอนิก ไอโซโทป คือ อะตอมของธาตุเดียวกนั แต่มีมวลไม่เทา่ กนั เช่น 126 C กบั 136 C กบั 146 C 168 O กบั 178 O กบั 188 O สาเหตุท่ีเลขมวลไมเ่ ทา่ กนั เพราะมีจานวนนิวตรอนไมเ่ ท่ากนั ไอโซบาร์ คือ อะตอมของธาตุตา่ งชนิดกนั แต่มีมวลเทา่ กนั เช่น 146 C กบั 147 N ไอโซโทน คือ อะตอมธาตุต่างชนิดกนั แตม่ ีจานวนนิวตรอนเทา่ กนั เช่น 3199 K กบั 4200 Ca ท้งั สองตวั น้ีมีจานวนนิวตรอน 20 ตวั เทา่ กนั ไอโซอิเลก็ ทรอนิก คือ อะตอมธาตุต่างชนิดกนั แตม่ ีจานวนอิเล็กตรอนเท่ากนั เช่น 168 O2  กบั 1200 Ne ท้งั สองตวั น้ีมีจานวนอิเล็กตรอน 10 ตวั เทา่ กนั 11. จงเลือกธาตุท่ีเป็ นไอโซโทป ไอโซบาร์ ไอโซโทน และไอโซอิเลก็ ทรอนิก จากธาตุท่ี กาหนดใหต้ ่อไปน้ี 12 C, 13 C , 14 C , 10 B , 11 B , 14 N , 15 N , 16 O , 3126S2  , 391.98 Ar 6 6 6 5 5 7 7 8 1.6 แบบจำลองอะตอมของโบร์ 1.6.1 คล่ืนแม่เหลก็ ไฟฟ้ำ คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า คือคล่ืนท่ีเกิดจากการเหน่ียวนาของสนามไฟฟ้าและสนามแม่เหล็ก เหนี่ยวนาซ่ึงกนั และกนั อยา่ งตอ่ เนื่องไมร่ ู้จบ แหล่งกาเนิดคล่ืนแม่เหล็กไฟฟ้าที่ใหญท่ ่ีสุดในจกั รวาลน้ี คือดวงอาทิตย์ คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่ออกมาจากดวงอาทิตย์ แบ่งแยกได้ 8 ชนิด แต่ละชนิดเรียกวา่ สเปกตรัม ดงั แสดงในตารางตอ่ ไปน้ี 7

สรปุ เขม้ เคมี เลม่ 1 http://www.pec9.com บทที่ 1 อะตอมและตารางธาต ุ สเปกตรัม กำรเรียงลำดบั ควำมถ่ี กำรเรียงลำดบั กำรเรียงลำดบั ควำมยำวคล่ืน พลงั งำน รังสีแกมมา มาก นอ้ ย มาก รังสีเอก็ ซ์ นอ้ ย รังสีอลั ตราไวโอเลต มาก นอ้ ย แสงขาว รังสีอินฟาเรด คลื่นไมโครเวฟ คลื่นวทิ ยุ ไฟฟ้ากระแสสลบั อย่ำลืม คล่ืนแมเ่ หลก็ ไฟฟ้าทุกสเปกตรัม จะมีความเร็วเท่ากนั หมด คือ 3x108 m/s เราสามารถคานวณหาค่าความถ่ี และความยาวคลื่นของคลื่นแมเ่ หล็กไฟฟ้า ไดจ้ ากสมการ C = f และสามารถคานวณหาค่าพลงั งานของคล่ืนแม่เหลก็ ไฟฟ้าไดจ้ ากสมการ hC E = hf และ E =  เม่ือ E = พลงั งานของคล่ืนแม่เหล็กไฟฟ้า (หน่วยเป็น จูล ) h = ค่าคงท่ีของพลงั ค์ ( Plank , constant) = 6.625 x 10-34 Js f ,  = ความถี่ของคล่ืนแมเ่ หลก็ ไฟฟ้า (Hz หรือ s-1) C = ความเร็วแสงในสุญญากาศ (3.0 x 108 ms-1)  = ความยาวคล่ืนมีหน่วยเป็นเมตร ( m ) นาโนเมตร (nm) โดย 1 nm = 10-9 เมตร สรุปสูตรของคล่ืน (nm x 10-9) (nm x 10-9) 8

สรปุ เขม้ เคมี เลม่ 1 http://www.pec9.com บทที่ 1 อะตอมและตารางธาต ุ 12. จงหาความถ่ีและพลงั งานคล่ืนแสงที่มีความยาวคล่ืน 600 นาโนเมตร (h = 6.63  10-34 จูลวนิ าที) 13. ธาตุชนิดหน่ึงเมื่อนาไปเผาไฟ จะเกิดเส้นสเปกตรัมหลายเส้น จากการทดลองพบวา่ เส้น สเปกตรัมเส้นหน่ึงมี พลงั งาน 4.0 x 10-19 J สเปกตรัมเส้นดงั กล่าวจะมีความยาวและความถี่ คลื่นเป็นเทา่ ใด และมีสีอะไร 1.6.2 สเปกตรัมของธำตุ และแบบจำลองอะตอมของโบร์ โบร์ ไดเ้ สนอแบบจาลองอะตอมของไฮโดรเจนข้ึนมา โดยอาศยั ความรู้เร่ืองการ เปลี่ยนแปลงพลงั งานของอิเล็กตรอนและการเกิด สเปกตรัม โดยกล่าววา่ อะตอมไฮโดรเจนจะมี โปรตอน 1 ตวั อยใู่ นนิวเคลียสตรงกลางอะตอม อิเล็กตรอนจะเคล่ือนท่ีรอบนิวเคลียส โดยมีแนว การเคล่ือนที่เป็นวงหลายๆ วง คลา้ ยวงโคจรของ ดาวเคราะห์รอบดวงอาทิตยแ์ ต่ละวงจะมีระดบั พลงั งานเฉพาะตวั ระดบั พลงั งานในสุดจะเรียก ระดบั K ถดั ออกมาจะเรียกเป็นระดบั L , M , N , …. ตามลาดบั ต่อมาไดม้ ีการใชต้ วั เลข แสดงถึงระดบั พลงั งานของอิเลก็ ตรอน โดย n = 1 หมายถึงระดบั พลงั งานท่ี 1 คือช้นั ในสุด และช้นั ถดั ออกมาจะเป็ นช้นั n = 2 , n = 3 , ….. ตามลาดบั 9

สรปุ เขม้ เคมี เลม่ 1 http://www.pec9.com บทท่ี 1 อะตอมและตารางธาต ุ ข้อควรทรำบเพม่ิ เติมเกยี่ วกับแบบจำลองอะตอมของโบร์ 1. ระดบั พลงั งานในสุด ( n = 1 ) จะเป็นระดบั ท่ีมีพลงั งานต่าสุด และถดั ออกมาจะเป็ นระดบั ท่ี มีพลงั งานมากข้ึนเรื่อยๆ และปกติอิเล็กตรอนชอบท่ีจะอยู่ช้นั ในสุด ( n = 1 ) เพราะจะมี เสถียรภาพมากที่สุด ภาวะเช่นน้ีเรียกสภำวะพืน้ ( Ground State ) 2. หากอิเลก็ ตรอนไดร้ ับพลงั งานท่ีเหมาะสมอิเลก็ ตรอนจะดูดพลงั งานน้นั แลว้ เคลื่อนยา้ ยจากระดบั พลงั งานต่าข้นึ ไประดบั พลงั งานสูงกวา่ เดิม เรียกภาวะเช่นน้ีว่าเป็นสภำวะกระตุ้น ( Excited State ) แต่ภาวะถูกกระตุน้ น้ีอิเลก็ ตรอนจะมีพลงั งานมากเกินไปจึงไม่เสถียร อิเลก็ ตรอนจะคาย พลงั งานส่วนหน่ึงออกมาแลว้ เคล่ือนยา้ ยลงมาอยใู่ นระดบั พลงั งานที่ต่ากว่าเดิม 3. พลงั งานที่อิเลก็ ตรอนคายออกมาจะอยใู่ นรูปของคล่ืนแมเ่ หลก็ ไฟฟ้าเสมอ ตัวอย่ำงกำรคำยพลงั งำนของอเิ ลก็ ตรอนของอะตอมไฮโดรเจนเกดิ เป็ นสเปกตรัมดงั นี้ กำรเคล่ือนอเิ ลก็ ตรอน คลื่นแม่เหลก็ ไฟฟ้ำทค่ี ำย ชื่อชุดสเปกตรัม (อนุกรม) จากช้นั บน ลงมา ช้นั 1 รังสีอลั ตราไวโอเลต ไลมาน จากช้นั 6 ลงมา ช้นั 2 แสงสีม่วง (410nm) จากช้นั 5 ลงมา ช้นั 2 แสงสีน้าเงิน(434nm) บาลม์ เมอร์ จากช้นั 4 ลงมา ช้นั 2 แสงสีน้าทะเล (484nm) จากช้นั 3 ลงมา ช้นั 2 แสงสีแดง (656nm) จากช้นั บน ลงมา ช้นั 3 รังสีอินฟาเรด พาสเชน จากช้นั บน ลงมา ช้นั 4 รังสีอินฟาเรด แบรกเกต จากช้นั บน ลงมา ช้นั 5 รังสีอินฟาเรด ฟรันด์ 10

สรปุ เขม้ เคมี เลม่ 1 http://www.pec9.com บทที่ 1 อะตอมและตารางธาต ุ 14. ขอ้ ความต่อไปน้ีขอ้ ใดถูกตอ้ ง 1. การที่สเปกตรัมในช่วงแสงขาวของธาตุไฮโดรเจนมีเพียง 4 เส้น แสดงวา่ อิเล็กตรอนใน ไฮโดรเจนอะตอม มีระดบั พลงั งาน เพียง 4 ระดบั 2. ถา้ อะตอมของธาตุ ก มีอิเล็กตรอนมากกวา่ อะตอมของธาตุ ข จานวนเส้นสเปกตรัมใน แสงขาวของธาตุ ก จะตอ้ งมากกวา่ ของธาตุ ข ดว้ ย 3. จานวนระดบั พลงั งานของอิเล็กตรอนในธาตุชนิดตา่ งๆ จะเพมิ่ ข้ึนตามเลขอะตอม 4. ธาตุต่างชนิดกนั อาจมีเส้นสเปกตรัมบางเส้นอยทู่ ่ีตาแหน่งเดียวกนั ( ความถี่เท่ากนั )ได้ 15. ถา้ แผนผงั การเปล่ียนแปลงระดบั พลงั งานของอิเล็กตรอนของธาตุหน่ึงเป็นดงั แสดง และถา้ เส้นสเปกตรัมสีแดงเกิดจาก II เส้นสีม่วง มีโอกาสเกิดจากขอ้ ใด 1. I 2. III 3. III หรือ IV 4. IV หรือ V 16. แสงสีส้มมีความยาวคลื่น 620 นาโนเมตร เม่ือเปรียบเทียบกบั แสงสีครามซ่ึงมีความยาวคลื่น 430 นาโนเมตร ขอ้ ความใดถูกตอ้ งท่ีสุด 1. แสงสีส้มมีพลงั งานสูงกวา่ แสงสีครามเน่ืองจากมีความถ่ีสูงกวา่ 2. แสงสีครามมีพลงั งานสูงกวา่ แสงสีส้มเนื่องจากมีความถ่ีต่ากวา่ 3. แสงสีครามมีพลงั งานสูงกวา่ แสงสีส้มเนื่องจากมีความถี่สูงกวา่ 4. แสงสีส้มมีพลงั งานสูงกวา่ แสงสีครามเน่ืองจากมีความถี่ต่ากวา่ 11

สรปุ เขม้ เคมี เลม่ 1 http://www.pec9.com บทท่ี 1 อะตอมและตารางธาต ุ 1.6.3 กำรจัดเรียงอเิ ลก็ ตรอนในอะตอม 1.6.3.1 กำรจัดเรียงอเิ ลก็ ตรอนในอะตอมในระดบั พลงั งำนหลกั จากแบบจาลองอะตอมของโบร์ ระดบั พลงั งานของอิเล็กตรอนแตล่ ะระดบั จะมีความ สามารถในการบรรจุอิเลก็ ตรอนไดไ้ ม่เทา่ กนั โดย จานวนอิเลก็ ตรอนที่มีไดม้ ากที่สุดในระดบั พลงั งานท่ี n= 2n2 เม่ือ n คือ ลาดบั ท่ีของช้นั พลงั งาน เช่น ช้นั K (ช้นั ที่ 1) มีจานวน e ไดเ้ พียง = 2(12) = 2 ช้นั L (ช้นั ที่ 2) มีจานวน e ไดเ้ พยี ง = 2(22) = 8 ช้นั M (ช้นั ที่ 3) มีจานวน e ไดเ้ พียง = 2(32) = 18 หลกั การจัดเรียงอเิ ลก็ ตรอนในอะตอมสาหรับ 20 ธาตุแรกของตารางธาตุ 1. ตอ้ งจดั เรียงอิเล็กตรอนลงระดบั พลงั งานในสุด ( ช้นั K ) ให้เต็มก่อน แลว้ จึงจดั เรียง อิเล็กตรอนลงระดบั พลงั งานถดั ออกมาขา้ งนอกใหเ้ ตม็ ทีละระดบั 2. จานวนอิเล็กตรอนในระดบั พลงั งานนอกสุด ( เรียกว่าเวเลนซ์อิเล็กตรอน , valence electron ) จะมีไดไ้ ม่เกิน 8 ตวั เสมอ ไม่วา่ จะเป็นระดบั พลงั งานท่ีเท่าใดก็ตาม ตำรำงกำรจัดเรียงอเิ ลก็ ตรอนของ 20 ธำตุแรกในตำรำงธำตุ 12

สรปุ เขม้ เคมี เลม่ 1 http://www.pec9.com บทที่ 1 อะตอมและตารางธาต ุ หมำยเหตุ: พิจารณาธาตุท่ี 19 ( K ) มีอิเลก็ ตรอน 19 ตวั ควรจดั เรียงเป็น K L M เพราะ 2 8 9 ระดบั พลงั งาน M เกบ็ อิเลก็ ตรอนไดส้ ูงสุดถึง 18 ตวั แต่เน่ืองจากระดบั พลงั งานนอกสุดจะมี อิเลก็ ตรอนไดไ้ ม่เกิน 8 ตวั ไม่วา่ จะเป็นช้นั อะไรกต็ าม ดงั น้นั การจดั เรียงอิเลก็ ตรอนของ K จึงตอ้ งเปลี่ยนเป็น K LM N 288 1 และสาหรับธาตุที่ 20( Ca ) มีอิเลก็ ตรอน 20 ตวั จะจดั เรียงเป็น K L M N 2 8 8 2 คำชี้แจงใหเ้ ขียนจานวนอิเลก็ ตรอนลงในตารางต่อไปน้ีใหส้ มบูรณ์ ธำตุ K L M ธำตุ K L M N H (1) Na (11) He (2) Mg(12) Li (3) Al (13) Be (4) Si (14) B (5) P (15) C (6) S (16) N (7) Cl (17) O (8) Ar (18) F (9) K (19) Ne (10) Ca (20) เทคนิคกำรจัดเรียงอเิ ลก็ ตรอนในระดับพลงั งำนหลกั (เบื้องต้น) ข้นั 1. นาจานวนอิเลก็ ตรอนท้งั หมดลบออกดว้ ย 2 , 8 , 18 , 32หรือ18 , 32หรือ18 , 18 , 8 , 2 ทีละตวั จนกวา่ จะลบตอ่ ไม่ได้ 13

สรปุ เขม้ เคมี เลม่ 1 http://www.pec9.com บทที่ 1 อะตอมและตารางธาต ุ ข้นั 2. ใหน้ าตวั ท่ีใชล้ บท้งั หมด และผลลบที่เหลือสุดทา้ ยมาเรียงเป็นคาตอบไดเ้ ลย แตถ่ า้ ผลลบสุดทา้ ยเหลือ 9ใหแ้ บง่ เป็น 8 , 1 ถา้ ผลลบสุดทา้ ยเหลือ 10 ใหแ้ บ่งเป็น 8 , 2 ถา้ ผลลบสุดทา้ ยเหลือ 11 ใหแ้ บ่งเป็น 9 , 2 ถา้ ผลลบสุดทา้ ยเหลือ 12 ใหแ้ บ่งเป็น 10 , 2 ถา้ ผลลบสุดทา้ ยเหลือ 13 ใหแ้ บง่ เป็น 11 , 2 คือแบ่งเป็นเลข 2 ไว้ ถา้ ผลลบสุดทา้ ยเหลือ 14 ใหแ้ บ่งเป็น 12 , 2 วงนอกสุด แลว้ เขียน ถา้ ผลลบสุดทา้ ยเหลือ 15 ใหแ้ บ่งเป็น 13 , 2 จานวนอิเลก็ ตรอนที่เหลือ ถา้ ผลลบสุดทา้ ยเหลือ 16 ใหแ้ บง่ เป็น 14 , 2 ไวช้ ้นั ถดั เขา้ มาดา้ นใน ถา้ ผลลบสุดทา้ ยเหลือ 17 ใหแ้ บง่ เป็น 15 , 2 ถา้ ผลลบสุดทา้ ยเหลือ 18 ใหแ้ บ่งเป็น 16 , 2 แลว้ จึงนาไปต่อทา้ ยตวั ที่ใชล้ บ หมำยเหตุ : 1) ธาตุท่ี 24 ( Cr ) , 29( Cu ) , 41 ถึง 45 , 47 , 78 , 110 , 111ตอ้ งแบ่งอิเล็กตรอนนอกสุด โดยเขียนเป็นเลข 1ไวว้ งนอกสุด แลว้ เขียนจานวนอิเลก็ ตรอนที่เหลือไวช้ ้นั ถดั เขา้ มาดา้ นใน ธาตุที่ 46 ( Pd ) ตอ้ งแบง่ อิเล็กตรอนนอกสุดโดยเขียนเป็นเลข 0ไวว้ งนอกสุด แลว้ เขียน จานวนอิเล็กตรอนท่ีเหลือไวช้ ้นั ถดั เขา้ มาดา้ นใน 2) หลกั เกณฑท์ ้งั หมดน้ีไมส่ ามารถใชไ้ ดก้ บั ธาตุแทรนซิชนั ใน(แลนทาไนด์ , แอกทิไนท)์ ตัวอย่ำงที่ 1 จงจดั เรียงอิเล็กตรอนของ 82Pb ลบต่อดว้ ย 32ไม่ได้ ใหล้ บ18 แนวคดิ ข้นั 1.82 – 2 – 8 – 18 – 32 – 18 เหลือ 4 เหลือ 4 ลบดว้ ย 2 ลบตอ่ ดว้ ย 8 ลบตอ่ ดว้ ย 18 ลบต่อดว้ ย 32 เหลือ 80 เหลือ 72 เหลือ 54 เหลือ 22 ข้นั 2. เหลือ 4 ( ไมเ่ กิน 10 ) นาตวั เลขท่ีใชล้ บและท่ีเหลือสุดทา้ ยมาเรียงเป็ นคาตอบ 82Pb จดั เรียงอิเล็กตรอนเป็น 2 , 8 , 18 , 32 , 18 , 4 14

สรปุ เขม้ เคมี เลม่ 1 http://www.pec9.com บทที่ 1 อะตอมและตารางธาต ุ ตวั อย่ำงที่ 2 จงจดั เรียงอิเลก็ ตรอนของ 52Te แนวคดิ ข้นั 1. 52 – 2 – 8 – 18 – 18 เหลือ 4 ลบดว้ ย 2 ลบต่อดว้ ย 8 ลบต่อดว้ ย 18 ลบตอ่ ดว้ ย 32 เหลือ 50 เหลือ 42 เหลือ 24 ไม่ไดใ้ หล้ บ18 เหลือ 4 ข้นั 2. เหลือ 4 ( ไมเ่ กิน 10 ) นาตวั เลขที่ใชล้ บและที่เหลือสุดทา้ ยมาเรียงเป็ นคาตอบ 52Te จดั เรียงอิเล็กตรอนเป็น 2 , 8 , 18 , 18 , 4 ตวั อย่ำงที่ 3 จงจดั เรียงอิเลก็ ตรอนของ 38Sr แนวคิดข้นั 1. 38 – 2 – 8 – 18 เหลือ 10 ลบดว้ ย 2 ลบต่อดว้ ย 8 ลบต่อดว้ ย 18 เหลือ 36 เหลือ 28 เหลือ 10 ข้นั 2. เหลือ 10 ใหแ้ บง่ เป็ น 8, 2 แลว้ นาไปต่อตวั ที่ใชล้ บ 38Sr จดั เรียงอิเลก็ ตรอนเป็ น 2 , 8 , 18 , 8 , 2 ตัวอย่ำงที่ 4 จงจดั เรียงอิเลก็ ตรอนของ 39Y แนวคดิ ข้นั 1. 39 – 2 – 8 – 18 เหลือ 11 ลบดว้ ย 2 ลบต่อดว้ ย 8 ลบตอ่ ดว้ ย 18 เหลือ 37 เหลือ 29 เหลือ 11 ข้นั 2. เหลือ 11 ใหแ้ บ่งเป็ น 9, 2 แลว้ นาไปต่อตวั ที่ใชล้ บ นนั่ คือ 39Y จดั เรียงอิเล็กตรอนเป็ น 2 , 8 , 18 , 9 , 2 ฝึ กทา อะตอมท่ีมีจานวนอิเล็กตรอนดงั ตอ่ ไปน้ี จะมีการจดั เรียงอิเล็กตรอนอยา่ งไร 82 อิเลก็ ตรอน เรียงเป็น ............ 53 อิเลก็ ตรอน เรียงเป็น ............ 33 อิเลก็ ตรอน เรียงเป็น ............ 37 อิเล็กตรอน เรียงเป็น ............ 15

สรปุ เขม้ เคมี เลม่ 1 http://www.pec9.com บทที่ 1 อะตอมและตารางธาต ุ 88 อิเลก็ ตรอน เรียงเป็น ............ 21 อิเลก็ ตรอน เรียงเป็น ............ 25 อิเลก็ ตรอน เรียงเป็น ............ 28 อิเลก็ ตรอน เรียงเป็น ............ 31 อิเล็กตรอน เรียงเป็น ............ 39 อิเล็กตรอน เรียงเป็น ............ คำชี้แจง จงใชข้ อ้ มูลน้ีตอบคาถาม 2 ขอ้ ถดั ไป ธาตุ 5 ชนิดมีการจดั อิเล็กตรอน ดงั น้ี A2,8,8,2 B 2,8,2 C 2,8 D 2,8,4 E 2,1 17. ขอ้ ใดเป็ นธาตุที่อยใู่ นคาบเดียวกนั แตอ่ ยใู่ นหมู่ตา่ งกนั ก. A , B ข. C , E ค. B , C ง. D , E 18. ธาตุใดอยหู่ มู่ 8A ข. B ค. C ง. D ก. A 19. อะตอมและไอออนในแต่ละกลุ่มขอ้ ใดมีจานวนอิเล็กตรอนในระดบั พลงั งานช้นั นอกสุด เท่ากนั กาหนดเลขอะตอม B = 5, C = 6, N = 7, O = 8, F=9 ก. B , F+ , O , N- , C2- ข. B3- , C2- , N- , O , F+ ค. F+ , N- , O , C2- , B3- ง. O , B3- , F+ , C2- , N- 16

สรปุ เขม้ เคมี เลม่ 1 http://www.pec9.com บทที่ 1 อะตอมและตารางธาต ุ คำชี้แจง ใชข้ อ้ มูลต่อไปน้ีตอบคาถาม 2 ขอ้ ถดั ไป 4020Ca 3115P 3216S 3517Cl 3919K 20. Y 2- มี 3 ระดบั พลงั งาน มีจานวนเวเลนซ์อิเล็กตรอนเท่ากบั 8 มีจานวนนิวตรอนเทา่ กบั 16 ธาตุ Y เป็นไอโซโทป กบั ธาตุใด ก. 3216S ข. 3517Cl ค. 3919K ง. 4020Ca 21. ถา้ ดึงโปรตอน 2 อนุภาค และดึงอิเล็กตรอน 1 อนุภาค ออกจาก 3919K ผลิตภณั ฑท์ ่ีไดค้ ือ ก. 3717K ข. 3917K ค. 3517Cl- ง. 3717Cl - 22. ถา้ Y มีอิเล็กตรอนอยใู่ นระดบั พลงั งานต่างๆ 3 ระดบั มีเวเลนซ์อิเลก็ ตรอนเป็น 5 มีเลข มวล 31 ขอ้ ความใดต่อไปน้ี เก่ียวขอ้ งกบั ธาตุ Y ไม่ถูกต้อง ก. ธาตุ Y ควรมีสัญลกั ษณ์นิวเคลียร์เป็ น 3115Y ข. ธาตุ Y มีการจดั เรียงอิเล็กตรอนเป็น 2 , 8 , 5 ค. ธาตุ Y มีจานวนนิวตรอน 15 ตวั ง. ธาตุ Y มีสมบตั ิเป็ นอโลหะ 1.6.3.2 กำรจัดเรียงอเิ ลก็ ตรอนในอะตอมในระดบั พลงั งำนย่อย ในปัจจุบนั นกั วทิ ยาศาสตร์ไดท้ าการศึกษาสเปกตรัมของธาตุตา่ งๆ โดยละเอียดทา ใหท้ ราบวา่ ระดบั พลงั งานหลกั ( n ) ยงั แบ่งออกเป็ นระดบั พลงั งานยอ่ ย ( Energy Sublevels ) ได้ อีก ระดบั พลงั งานยอ่ ยท่ีคน้ พบแลว้ ไดแ้ ก่ 1. s เก็บอิเล็กตรอนไดส้ ูงสุด 2 ตวั 2. p เก็บอิเล็กตรอนไดส้ ูงสุด 6 ตวั 3. d เก็บอิเล็กตรอนไดส้ ูงสุด 10 ตวั 4. f เกบ็ อิเล็กตรอนไดส้ ูงสุด 14 ตวั 5. g เกบ็ อิเล็กตรอนไดส้ ูงสุด 18 ตวั 6. h เก็บอิเล็กตรอนไดส้ ูงสุด 22 ตวั ระดบั พลงั งานหลกั แตล่ ะระดบั จะมีจานวนระดบั พลงั งานยอ่ ยไม่เทา่ กนั ระดบั พลงั งาน K (1)มี 1 ระดบั พลงั งานยอ่ ย ไดแ้ ก่ 1s 17

สรปุ เขม้ เคมี เลม่ 1 http://www.pec9.com บทที่ 1 อะตอมและตารางธาต ุ ระดบั พลงั งาน L (2)มี 2 ระดบั พลงั งานยอ่ ย ไดแ้ ก่ 2s 2p ระดบั พลงั งาน M (3) มี 3 ระดบั พลงั งานยอ่ ย ไดแ้ ก่ 3s 3p 3d ระดบั พลงั งาน N (4) มี 4 ระดบั พลงั งานยอ่ ย ไดแ้ ก่ 4s 4p 4d 4f ระดบั พลงั งาน O (5)มี 5 ระดบั พลงั งานยอ่ ย ไดแ้ ก่ 5s 5p 5d 5f 5g หมายเหตุ : ตวั เลขท่ีอยหู่ นา้ ระดบั พลงั งานยอ่ ย เขียนเพื่อแสดงใหร้ ู้ว่า ระดบั พลงั งานยอ่ ยน้นั อยู่ ในระดบั พลงั งานหลกั ท่ีเท่าใด เช่น 1s ใหร้ ู้วา่ ระดบั พลงั งานยอ่ ย s อยใู่ นระดบั พลงั งานท่ี 1 คือ ช้นั K เป็นตน้ เน่ืองจากระดบั พลงั งานหลกั ช้นั บนๆ แต่ละระดับจะอยู่ชิดกันมาก จึงทาให้ระดับ พลงั งานยอ่ ยของช้นั เหล่าน้นั เกิดการเหลื่อมล้ากนั เช่นดงั รูปพิจารณาช้นั 3d กบั 4s จะพบวา่ ช้นั 3d ควรอยดู่ า้ นในกวา่ เพราะเป็นระดบั ยอ่ ยของช้นั 3 แตใ่ นอะตอมจริงๆ น้นั ช้นั 4s จะอยู่ ในกวา่ ช้นั 3d เพราะระดบั พลงั งานหลกั ช้นั 4 กบั ช้นั 3อยูช่ ิดกนั มากจึงทาใหเ้ กิดการเหลื่อมล้า กนั นนั่ เอง 18

สรปุ เขม้ เคมี เลม่ 1 http://www.pec9.com บทท่ี 1 อะตอมและตารางธาต ุ เรำสำมำรถหำลำดบั กำรเรียงระดบั พลงั งำนย่อยจำกช้ันต่ำสุดออกไปได้ดงั นี้ ข้นั 1. เขียนแผนภาพดงั น้ี ข้นั 2. เขียนระดบั พลงั งานยอ่ ยตามแนวลูกศรทีละเส้นจากล่างสุดข้ึนบนสุด จะได้ ระดบั พลงั งานยอ่ ยเรียงลาดบั จากต่าสุดข้ึนไปดงั น้ี 1s, 2s , 2p, 3s , 3p , 4s, 3d , 4p , 5s , 4d , 5p , 6s , 4f , 5d , 6p , 7s , 5f , …. วธิ ีกำรจัดเรียงอเิ ลก็ ตรอนในระดบั พลงั งำนย่อย ข้ัน 1.ให้จดั เรียงอิเล็กตรอนแบบระดบั พลงั งานหลกั ก่อน แลว้ จึงเขียนระดบั พลงั งาน ย่อยที่มีในแต่ละระดบั พลงั งานหลกั โดยต้องเรียงให้ถูกต้องตามการเหลื่อมล้าของระดับ พลงั งานดว้ ย ข้ัน 2.ใส่จานวนอิเล็กตรอนลงในแต่ละระดบั พลงั งานยอ่ ย โดยใส่ช้นั ในให้เต็มก่อน แลว้ จึงใส่ช้นั นอกถดั มา อยา่ ลืมวา่ ระดบั พลงั งานยอ่ ยแต่ละระดบั จะเกบ็ อิเล็กตรอนไดด้ งั น้ี s เกบ็ อิเล็กตรอนไดส้ ูงสุด 2 ตวั p เก็บอิเล็กตรอนไดส้ ูงสุด 6 ตวั d เก็บอิเล็กตรอนไดส้ ูงสุด 10 ตวั f เกบ็ อิเลก็ ตรอนไดส้ ูงสุด 14 ตวั g เก็บอิเล็กตรอนไดส้ ูงสุด 18 ตวั h เก็บอิเล็กตรอนไดส้ ูงสุด 22 ตวั ตัวอย่ำง จงจดั เรียงอิเลก็ ตรอนแบบระดบั พลงั งานยอ่ ยและระดบั พลงั งานหลกั ของอะตอม19K แนวคิด 19K มี 19 อิเล็กตรอน จดั เรียงอิเล็กตรอนแบบระดบั พลงั งานยอ่ ยไดด้ งั น้ี ข้ัน 1.ให้จดั เรียงอิเล็กตรอนแบบระดบั พลงั งานหลกั ก่อน แลว้ จึงเขียนระดบั พลงั งาน ยอ่ ยที่มีในแต่ละระดบั พลงั งานหลกั จะได้ 19K= 2 , 8 , 8 ,1 = 1s , 2s 2p , 3s 3p 3d , 4s 19

สรปุ เขม้ เคมี เลม่ 1 http://www.pec9.com บทที่ 1 อะตอมและตารางธาต ุ แตเ่ น่ืองจากช้นั 4s จะมาก่อน 3d จึงตอ้ งสลบั เป็นดงั น้ี 19K= 1s2s 2p 3s 3p 4s 3d ข้ัน 2.ใส่จานวนอิเล็กตรอนลงในแต่ละระดบั พลงั งานหลกั โดยใส่ช้นั ในใหเ้ ต็มก่อน แลว้ จึงใส่ช้นั นอกถดั มา 19K= 1s22s2 2p6 3s2 3p6 4s1 คำชี้แจง จงจดั เรียงอิเล็กตรอนของอะตอมตอ่ ไปน้ีแบบระดบั พลงั งานยอ่ ย ธำตุ กำรจัดเรียง กำรจัดเรียงอเิ ลก็ ตรอน ระดบั พลงั งำนหลกั ระดบั พลงั งำนย่อย 5B 7N 10Ne 18Ar 36Kr 17Cl 19K 20Ca 21Sc 23. ธาตุ A B และ C มีการจดั อิเลก็ ตรอนดงั น้ี ธาตุ A 1s2 2s2 2p6 3s2 3p2 ธาตุ B 1s2 2s2 2p6 3s2 ธาตุ C 1s2 2s2 2p6 3s2 3p6 ขอ้ ก ธาตุ A B และ C มีเลขอะตอมเทา่ ใด ขอ้ ข. ธาตุแตล่ ะธาตุมีอิเลก็ ตรอนอยใู่ นระดบั พลงั งานใดบา้ ง จานวนเท่าใด 20

สรปุ เขม้ เคมี เลม่ 1 http://www.pec9.com บทท่ี 1 อะตอมและตารางธาต ุ 24. ในสภาวะพ้ืนการจดั เรียงอิเล็กตรอนของ Fe2+ คือขอ้ ใด(เลขอะตอมของ Fe = 26) 1. 1s2 2s2 2p6 3s2 3p6 4s2 3d4 2. 1s2 2s2 2p6 3s2 3p6 4s1 3d5 3. 1s2 2s2 2p6 3s2 3p5 4s2 3d5 4. 1s2 2s2 2p6 3s2 3p6 4s0 3d6 25. ในสภาวะพ้นื การจดั เรียงอิเลก็ ตรอนของ 24Cr3+ คือขอ้ ใด 3d2 1. 1s2 2s2 2p6 3s2 3p6 4s1 3d3 2. 1s2 2s2 2p6 3s2 3p6 4s0 3d1 3. 1s2 2s2 2p6 3s2 3p6 4s2 3d5 4. 1s2 2s2 2p6 3s2 3p3 4s1 กำรเขียนกำรจัดเรียงอเิ ลก็ ตรอนแบบระดบั พลงั งำนย่อยในรูปแก๊สเฉื่อย พิจารณาอะตอมแก๊สเฉ่ือยต่อไปน้ี 2He มี 2 อิเลก็ ตรอน จดั เรียงเป็น 1s2 10Ne มี 2 อิเลก็ ตรอน จดั เรียงเป็ น 1s2 , 2s2 , 2p6 18Arมี 18 อิเลก็ ตรอน จดั เรียงเป็น 1s2 , 2s2 , 2p6 , 3s2 , 3p6 36Kr มี 36 อิเลก็ ตรอน จดั เรียงเป็น 1s2 , 2s2 , 2p6 , 3s2 , 3p6 , 4s2 , 3d10 , 4p6 54Xeมี 54 อิเลก็ ตรอน จดั เรียงเป็น 1s2 , 2s2 , 2p6 , 3s2 , 3p6 , 4s2 , 3d10 , 4p6 , 5s2 , 4d10 , 5p6 86Rn มี 86 อิเลก็ ตรอน จดั เรียงเป็ น 1s2 , 2s2 , 2p6 , 3s2 , 3p6 , 4s2 , 3d10 , 4p6 , 5s2 , 4d10 , 5p6 , 6s2 , 4f14 , 5d10 , 6p6 21

สรปุ เขม้ เคมี เลม่ 1 http://www.pec9.com บทที่ 1 อะตอมและตารางธาต ุ พิจารณาการจดั เรียงอิเล็กตรอนอะตอมธาตุต่อไปน้ี 15P รูปแบบจดั เรียงอิเลก็ ตรอน 1s2 , 2s2 , 2p6 , 3s2 , 3p3 อาจเขียนยอ่ เป็น [ Ne ] , 3s2 , 3p3 37Rbรูปแบบจดั เรียงอิเลก็ ตรอน 1s2 , 2s2 , 2p6 , 3s2 , 3p6 , 4s2 , 3d10 , 4p6 , 5s1 อาจเขียนยอ่ เป็น [ Kr ] , 5s1 26. จงระบุสัญลกั ษณ์ของธาตุท่ีมีการจดั เรียงอิเล็กตรอนดงั ตอ่ ไปน้ี ก. 2, 8, ข. [Ar]4s2 3d10 4p2 ค. [Ne] 3s2 3p3 27. ธาตุที่มีการจดั เรียงอิเล็กตรอนดงั ตอ่ ไปน้ีจะมีอิเล็กตรอนจานวนเทา่ ใด ก. [ Ne ] 3s2 3p3 ข. [ Ar ] 4s2 3d10 4p2 ค. [ Kr ] 5s2 4d5 1. ก. 15 ข. 30 ค. 43 2. ก. 16 ข. 30 ค. 40 3. ก. 15 ข. 32 ค. 43 4. ก. 20 ข. 32 ค. 40 22

สรปุ เขม้ เคมี เลม่ 1 http://www.pec9.com บทที่ 1 อะตอมและตารางธาต ุ 1.6.3.3 กำรจัดเรียงอเิ ลก็ ตรอนในอะตอมในออร์บิทลั ปกติแล้วอิเล็กตรอนจะเคล่ือนที่อยู่ตลอดเวลา บริเวณที่อิเล็กตรอนวิ่งอยู่และมี โอกาสสูงที่จะไดพ้ บอิเล็กตรอนเรียกวา่ ออร์บิทัล ( Orbotal )แต่ละออร์บิทลั จะเก็บอิเล็กตรอน ได้ 2 ตวั และในแตล่ ะระดบั พลงั งานยอ่ ยจะมีจานวนออร์บิทลั ไม่เท่ากนั โดย ระดบั พลงั งานยอ่ ย s มี 1ออร์บิทลั คือ s ออร์บิทลั เขียนแทนดว้ ย  ระดบั พลงั งานยอ่ ย p มี 3ออร์บิทลั คือ px , py , pzออร์บิทลั เขียนแทนดว้ ย  ระดบั พลงั งานยอ่ ย d มี 5ออร์บิทลั คือ dxy , dyz , dxz , dx2–y2 , dz2ออร์บิทลั เขียนแทนดว้ ย  ระดบั พลงั งานยอ่ ย f มี 7ออร์บิทลั คือ fxyz , fz3 , fyz2 , fxz2 , fz(x2–y2) , fy(3x2–y2) , fx(3y2–x2) ออร์บิทลั เขียนแทนดว้ ย  วธิ ีกำรจัดเรียงอิเลก็ ตรอนแบบออร์บิทลั 1. ใหจ้ ดั เรียงอิเลก็ ตรอนแบบระดบั พลงั งานหลกั และพลงั งานยอ่ ยก่อน แลว้ จึงแบง่ ระดบั พลงั งานยอ่ ยเป็นออร์บิทลั โดย sมี 1 ออร์บิทลั pมี 3 ออร์บิทลั dมี 5 ออร์บิทลั fมี 7 ออร์บิทลั gมี 9 ออร์บิทลั hมี 11 ออร์บิทลั 2. ตอ้ งบรรจุอิเล็กตรอนลงในออร์บิทลั ของระดบั พลงั งานยอ่ ยต่าสุดให้เต็มก่อน แลว้ จึง บรรจุอิเลก็ ตรอนลงออร์บิทลั ของระดบั พลงั งานยอ่ ยช้นั บนๆ ตอ่ ไป( หลกั ของเอำฟบำว ) 3. ในออร์บิทลั หน่ึงๆ จะมีอิเลก็ ตรอนได้ 2 ตวั และอิเล็กตรอนที่อยใู่ นออร์บิทลั เดียวกนั จะตอ้ งวง่ิ สวนทางกนั เสมอ ( หลกั ของเพำลี ) 4. หากในระดบั พลงั งานยอ่ ยเดียวกนั มีหลายออร์บิทลั ตอ้ งบรรจุอิเลก็ ตรอนลงออร์บิทลั ละ 1 ตวั ใหค้ รบทุกออร์บิทลั ก่อน แลว้ จึงจดั อิเลก็ ตรอนเขา้ ไปอยคู่ ู่ ( กฎของฮุนด์ ) 23

สรปุ เขม้ เคมี เลม่ 1 http://www.pec9.com บทท่ี 1 อะตอมและตารางธาต ุ ตัวอย่ำง การจดั เรียงอิเล็กตรอนแบบออร์บิทลั ของ 9F แนวคิด ก่อนอ่ืนตอ้ งจดั เรียงอิเลก็ ตรอนแบบระดบั พลงั งานหลกั และระดบั พลงั งานยอ่ ย แลว้ จึงแบง่ เป็นออร์บิทลั ดงั น้ี 9F = 2 , 7 = 1s , 2s 2p =, 1 2 3 4 58 69 7 ( ลาดบั ของอิเลก็ ตรอนท่ีบรรจุเขา้ ) คาอธิบาย อิเล็กตรอนตวั ที่ 1 และ 2 จะตอ้ งบรรจุเขา้ ช้นั ต่าสุด คือ 1s และตอ้ งวงิ่ สวนกนั อิเลก็ ตรอนตวั ที่ 3 และ 4 จะตอ้ งบรรจุเขา้ ช้นั ถดั มา คือ 2s และตอ้ งวง่ิ สวนกนั อิเลก็ ตรอนตวั ท่ี 5 , 6 , 7 จะตอ้ งบรรจุเขา้ ช้นั ถดั มา คือ 2p และตอ้ งอยอู่ อร์บิทลั ละ 1 ตวั เพราะช้นั น้ีมี 3ออร์บิทลั ตอ้ งแยกอิเล็กตรอนอยเู่ ดี่ยวใหค้ รบทุกหอ้ งก่อน อิเลก็ ตรอนตวั ที่ 8 บรรจุเขา้ ช้นั 2p หอ้ งแรกอยคู่ ูก่ บั อิเล็กตรอนตวั ท่ี 5 และวง่ิ สวนกนั อิเลก็ ตรอนตวั ท่ี 9 บรรจุเขา้ ช้นั 2p หอ้ งท่ี 2 อยคู่ ูก่ บั อิเล็กตรอนตวั ท่ี 6 และวง่ิ สวนกนั ข้อควรทรำบเพม่ิ เตมิ เกยี่ วกบั กำรจัดเรียงอเิ ลก็ ตรอน 1. พิจารณาการจดั เรียงอิเลก็ ตรอนแบบออร์บิทลั ของ 9F 1s 2s 2p 9F อิเลก็ ตรอนท่ีอยตู่ วั เดียว อิเลก็ ตรอนที่อยู่ 2 ตวั ในออร์บิทลั ในออร์บิทลั เรียก อเิ ลก็ ตรอนเดยี่ ว เดียวกนั เรียก อเิ ลก็ ตรอนคู่ 2. พจิ ารณาการจดั เรียงอิเลก็ ตรอนแบบออร์บิทลั ของ 10Ne 1s 2s 2p 10Ne จะเห็นวา่ ช้นั นอกสุดทุกออร์บิทลั มีอิเลก็ ตรอนเตม็ 2 ตวั ลกั ษณะน้ีจะเรียกเป็นการ บรรจุเตม็ 24

สรปุ เขม้ เคมี เลม่ 1 http://www.pec9.com บทท่ี 1 อะตอมและตารางธาต ุ พิจารณาการจดั เรียงอิเล็กตรอนแบบออร์บิทลั ของ 7N 1s 2s 2p 7N จะเห็นวา่ ช้นั นอกสุดทุกออร์บิทลั มีอิเล็กตรอนเตม็ 1 ตวั ลกั ษณะน้ีจะเรียกเป็นการ บรรจุคร่ึง การบรรจุท้งั 2 แบบน้ี จะทาใหอ้ ะตอมมีความเสถียรมากกวา่ การบรรจุแบบอื่นๆ 3. พิจารณาการจดั เรียงอิเล็กตรอนของ 24Cr และ 29Cu 3d 24Cr จดั เรียงเป็น 1s2 , 2s2 , 2p6 , 3s2 , 3p6 , 4s1 , 3d5 ( ) ) ไม่ใช่ 1s2 , 2s2 , 2p6 , 3s2 , 3p6 , 4s2 , 3d4 ( 3d ) ท้งั น้ีเพราะการจดั แบบแรกจะเป็นแบบบรรจุคร่ึง ซ่ึงมีเสถียรภาพสูงกวา่ ) 29Cu จดั เรียงเป็น 1s2 , 2s2 , 2p6 , 3s2 , 3p6 , 4s1 , 3d10 ( 3d ไมใ่ ช่ 1s2 , 2s2 , 2p6 , 3s2 , 3p6 , 4s2 , 3d9 ( 3d ท้งั น้ีเพราะการจดั แบบแรกจะเป็นแบบบรรจุเตม็ ซ่ึงมีเสถียรภาพสูงกวา่ 28. ธาตุใดท่ีมีการจดั เรียงอิเลก็ ตรอนใน d ออร์บิทลั เป็ นแบบบรรจุคร่ึง 1. V 2. Fe 3. Cr 4. Ni 29. ธาตุในขอ้ ใดมีอิเล็กตรอนเดี่ยวมากที่สุด 3. 12Mg 4. 13Al 1. 6C 2. 15P 25

สรปุ เขม้ เคมี เลม่ 1 http://www.pec9.com บทที่ 1 อะตอมและตารางธาต ุ 30(แนว A–Net) พิจารณาอะตอมและไอออนตอ่ ไปน้ี : 25A2+15B16C2–44D อะตอมหรือไอออนใดมีจานวนอิเลก็ ตรอนเดี่ยว 3 อิเลก็ ตรอน 1. A2+ 2. B 3. C2– 4. D 31. ขอ้ ใดถูกตอ้ ง 1. Ni และ Ni2+ มีจานวนอิเล็กตรอนเด่ียวเท่ากนั 2. Ni2+ มีการจดั เรียงอิเลก็ ตรอนเป็น [Ar]4s23d8 3. จานวนเวเลนซ์ออร์บิทลั ท่ีมีอิเล็กตรอนบรรจุอยขู่ อง Ni2+ มี 7 ออร์บิทลั 4. การเผาเกลือ NiCl2 และ MgCl2 จะใหเ้ ปลวไฟสีเดียวกนั เพราะมี CI เป็ น องคป์ ระกอบ เหมือนกนั 32. X, Y, Z เป็ นธาตุสมมุติ โดย X มีเลขมวลเป็น 52 และมีประจุในนิวเคลียสเป็น 24 เทา่ ของ ไฮโดรเจนส่วนไอออน Y2+ และ Z2+ มีการจดั เรียงอิเล็กตรอนวงนอกสุดเหมือนอาร์กอน ขอ้ สรุปใดถูกตอ้ ง 1. สารประกอบระหวา่ ง Y และ Z คือ YZ2 2. การจดั เรียงอิเลก็ ตรอนของ X2+ คือ [Ar] 4s2 3d2 3. จานวนอิเลก็ ตรอนในออร์บิทลั p ของ X และ Z เทา่ กนั คือ 12 อิเลก็ ตรอน 4. การบรรจุอิเล็กตรอนของธาตุ X และ Y เป็ นการบรรจุคร่ึง ส่วน Z เป็นการบรรจุเตม็ 26

สรปุ เขม้ เคมี เลม่ 1 http://www.pec9.com บทท่ี 1 อะตอมและตารางธาต ุ 1.7 แบบจำลองอะตอมแบบกลุ่มหมอก ดงั ไดก้ ล่าวมาแลว้ วา่ ออร์บิทลั คือบริเวณท่ีมีโอกาสสูงท่ีจะไดพ้ บอิเลก็ ตรอน เรานิยม แทนออร์บิทลั ดว้ ยกลุ่มเมฆหมอกอิเลก็ ตรอน และรูปร่างของออร์บิทลั ของแต่ละระดบั พลงั งาน ยอ่ ยจะมีลกั ษณะไม่เหมือนกนั ดงั น้ี 27

สรปุ เขม้ เคมี เลม่ 1 http://www.pec9.com บทท่ี 1 อะตอมและตารางธาต ุ 2. ตำรำงธำตุ 2.1 ลกั ษณะของตำรำงธำตุปัจจุบัน ตารางธาตุในปัจจุบนั จะมีลกั ษณะดงั น้ี หมู่ 1A โลหะอลั คาไลน์ หมู่ 8A แกส๊ เฉ่ือย หมู่ 2A โลหะอลั คาไลน์เอิร์ท หมู่ 7A แฮโลเจน คาบ 1 ก่ึงโลหะ คาบ 2 แทรนซิชนั คาบ 3 คาบ 4 คาบ 5 คาบ 6 คาบ 7 แลนทาไนด์ แอกทิไนด์ ธาตุที่เรียงอยใู่ นแนวนอนเดียวกนั เรียกวา่ คำบ ซ่ึงมีท้งั หมด 7 คาบ ธาตุท่ีเรียงอยใู่ นแนวด่ิงเดียวกนั เรียกวห่ มู่ ซ่ึงมีอยู่ 2 พวก คือธาตุหมู่ A มี 8 หมู่ และ หมู่ B เรียกธำตุแทรนซิชัน สาหรับธาตุ 2 แถว ซ่ึงแยกไวด้ า้ นล่าง เรียกธำตุแทรนซิชันใน แถวบนเรียกกล่มุ ธำตุแลนทำไนด์ ซ่ึงจริงแลว้ ควรเป็นธาตุ หมู่IIIB คาบ 6 แถวล่างเรียกกลุ่มธำตุแอกทไิ นด์ ซ่ึงจริงแลว้ ควรเป็นธาตุ หมู่ IIIB คาบ 7 ธาตุหมู่ IAเรียกโลหะแอลคำไลน์ ธาตุหมูI่ IA เรียกโลหะแอลคำไลน์เอริ ์ท ธาตุหมู่ VIIA เรียกแฮโลเจน ธาตุหมู่ VIIIA เรียกแก๊สเฉ่ือย ธาตุท่ีอยบู่ ริเวณเส้นข้นั บนั ไดเป็นธำตุกง่ึ โลหะ หรือเมตัลลอยด์ซ่ึงไดแ้ ก่ โบรอน (B) , ซิลิกอน (Si) , เจอร์เมเนียม (Ge) , อาร์เซนิก(As) , พลวง (Sb) , เทลลูเรียม (Te) , พอโลเนียม (Po) , แอสทาทีน (As) 28

สรปุ เขม้ เคมี เลม่ 1 http://www.pec9.com บทท่ี 1 อะตอมและตารางธาต ุ ธาตุหมู่ A ซ่ึงอยใู่ นหมูเ่ ดียวกนั จะมีสมบตั ิคลา้ ยกนั และมีเวเลนซ์อิเล็กตรอนเทา่ กนั และ เวเลนซ์อิเล็กตรอนจะเทา่ กบั เลขหมูท่ ่ีธาตุน้นั ๆ อยู่ เช่น ธาตุ Li และ Na มีเวเลนซ์-อิเล็กตรอน เท่ากบั 1 ดงั น้นั ท้งั สองธาตุน้ีจะอยหู่ มู่ IA ธาตุแทรนซิชันส่วนใหญ่จะมีเวเลนซ์อิเล็กตรอนเท่ากับ 2 เวน้ บางธาตุมีเวเลนซ์- อิเล็กตรอนเทา่ กบั 1 เช่น Cr , Cuเป็นตน้ ธาตุที่อยใู่ นคาบเดียวกนั จะมีจานวนระดบั พลงั งานหลกั ของอิเลก็ ตรอนเท่ากนั และจะ เทา่ กบั ลาดบั ของคาบท่ีธาตุน้นั ๆ อยู่ เช่น Li และ Be มีจานวนระดบั พลงั งานของอิเล็กตรอน เทา่ กบั 2 ระดบั คือ K L ดงั น้นั ท้งั สองธาตุน้ีจะอยใู่ นคาบที่ 2 ของตารางธาตุ กำรเรียกชื่อธำตุทมี่ ีเลขอะตอมต้งั แต่ 100 ขนึ้ ไป ตำมระบบ IUPAC ใหเ้ รียกเลขอะตอมเป็ นภาษาละติน แลว้ ลงทา้ ยดว้ ย -ium จานวนนบั ในภาษาละตินมีดงั น้ี 0= นิล (nil) 1 = อูน (un) 2 = ไบ(bi) 3 = ไต (tri) 4 = ควอด (quad ) 5 = เพนท์ (pent ) 6 = เฮกซ์ (hex) 7 = เซปท์ (sept) 8 = ออกต์ (oct ) 9 = เอนน์ ( enn ) ตวั อยา่ งการเรียกช่ือ ธาตุที่ 104 เรียกช่ือ อูนนิลควอเดียมใชส้ ัญลกั ษณ์ Unq ธาตุที่ 105 เรียกช่ือ อูนนิลเพนเทียมใชส้ ัญลกั ษณ์ Unp ธาตุท่ี 106 เรียกช่ือ อูนนิลเฮกเซียมใชส้ ญั ลกั ษณ์ Unh ธาตุท่ี 107 เรียกชื่อ อูนนิลเซปเทียมใชส้ ญั ลกั ษณ์ Uns กำรบอกตำแหน่งของธำตุในตำรำงธำตุ การตรวจสอบวา่ ธาตุหน่ึงๆ จะอยหู่ มู่ใด คาบใด ในตารางธาตุ ใหท้ าดงั น้ี ข้นั 1 จดั เรียงอิเล็กตรอนแบบระดบั พลงั งานหลกั ข้นั 2 จานวนระดบั พลงั งานของอิเลก็ ตรอน จะเทา่ กบั คาบท่ีธาตุน้นั อยู่ ข้นั 3 หากเวเลนซ์อิเล็กตรอนเท่ากบั 3 ถึง 8 จะเป็นธาตุหมู่ IIIA ถึงหมู่ VIII Aตามลาดบั หากเวเลนซ์อิเลก็ ตรอนเทา่ กบั 1 หรือ 2 กรณี1 หากจานวนอิเลก็ ตรอนช้นั ถดั เขา้ มามี 8ตวั จะเป็ นธาตุหมู่ IA,IIAตามลาดบั กรณี2หากจานวนอิเล็กตรอนช้นั ถดั เขา้ มาไมใ่ ช่ 8ตวั จะเป็ นธาตุแทรนซิชนั 29

สรปุ เขม้ เคมี เลม่ 1 http://www.pec9.com บทที่ 1 อะตอมและตารางธาต ุ ตวั อย่ำง ธำตุ กำรจดั อเิ ลก็ ตรอน เลขทขี่ องคำบ เลขทข่ี องหมู่ 34Se 53I 2 , 8 , 18 , 6 46 83Bi 19K 2 , 8 , 18 , 18 , 7 57 38Sr 21Sc 2 , 8 , 18 , 32 , 18 , 5 6 5 22Ti 24Cr 2,8,8,1 41 29Cu 2 , 8 , 18, 8, 2 52 2,8,9,2 4 แทรนซิชนั 2 , 8 , 10, 2 4 แทรนซิชนั 2 , 8, 13 , 1 4 แทรนซิชนั 2 , 8 , 18 , 1 4 แทรนซิชนั 33(En 39)ธาตุ 7335X มีเวเลนซ์อิเล็กตรอนก่ีตวั และจดั อยใู่ นธาตุพวกใด 1. 13 ตวั , ธาตุแทรนซิชนั 2. 5 ตวั , ธาตุแฮโลเจน 3. 5 ตวั , ธาตุก่ึงโลหะ 4. 3 ตวั , โลหะแอลคาไลน์เอิร์ท 34. พจิ ารณาตาแหน่งของธาตุสมมติในตารางธาตุคาบท่ี 2 – 4 IA IIA IIIA IVA VA VIA VIIA VIIA คาบที่ AB E FGH 2 CD I3 ธาตุแทรนซิชนั J4 ขอ้ ใดไมถ่ ูกตอ้ ง 1. ธาตุ A มีความเป็ นโลหะมากกวา่ ธาตุ I 2. ธาตุ G มีความเป็ นอโลหะมากกวา่ ธาตุ F 3. ธาตุ B ทาปฏิกิริยากบั น้าไดร้ ุนแรงกวา่ ธาตุ C 4. ธาตุ E และ D เป็นอโลหะ 30

สรปุ เขม้ เคมี เลม่ 1 http://www.pec9.com บทที่ 1 อะตอมและตารางธาต ุ 2.2 สมบตั ิของธำตุตำมหมู่และตำมคำบ ขนาดอะตอมเลก็ IE , EN , –EA เพม่ิ ขนึ้ IE , EN , –EA เพมิ่ ขนึ้ ขนาดอะตอมใหญ่ 2.2.1 แนวโน้มของขนำดอะตอมและขนำดไอออน ข้นั ตอนกำรพจิ ำรณำแนวโน้มของขนำดอะตอม ข้นั ท่ี 1. พจิ ารณาจากคาบท่ีอะตอมน้นั อยู่ ในหมูเ่ ดียวกนั ขนาดอะตอมจะเล็กลงจากล่างข้ึนบน เพราะอะตอมธาตุดา้ น บนจะมีระดบั พลงั งานอิเล็กตรอนนอ้ ยกวา่ อะตอมธาตุดา้ นล่าง ข้นั ที่ 2. พจิ ารณาจากหมูท่ ี่อะตอมน้นั อยู่ ในคาบเดียวกนั ขนาดอะตอมจะเล็กลงจากซา้ ยไปขวา เพราะอะตอมธาตุดา้ น ขวาจะมีจานวนโปรตอนมากกวา่ จึงมีแรงดึงดูดอิเลก็ ตรอนรอบนอกใหเ้ ขา้ ใกลน้ ิวเคลียสมากข้ึน ทาใหข้ นาดอะตอมเลก็ ลง 35. ขอ้ ใดท่ีเรียงลาดบั สารตามขนาดจากเล็กไปใหญ่ 1. N, O, F 2. Na, Mg, K 3. Cr, Cr2+, Cr3+ 4. Cl, Cl-, S2- 31

สรปุ เขม้ เคมี เลม่ 1 http://www.pec9.com บทท่ี 1 อะตอมและตารางธาต ุ 36. ธาตุ A, B และ C เป็นธาตุที่อยใู่ นคาบท่ี 2 เรียงลาดบั ต้งั แตห่ มู่ VA ถึง VIIA ธาตุท้งั 3 ควรมีสมบตั ิเป็นอยา่ งไร 1. มีขนาดอะตอมเทา่ กนั 2. มีจานวนเวเลนซ์อิเล็กตรอนเทา่ กนั 3. มีเลขอะตอมเทา่ กนั 4. มีจานวนระดบั พลงั งานของอิเล็กตรอนเทา่ กนั 2.2.2 แนวโน้มของของอเิ ล็กโทรเนกำติวติ ี ( Electronegativity , EN ) อิเล็กโทรเนกำติวิตี คือค่าที่แสดงถึงความสามารถในการดึงดูดอิเล็กตรอนคู่ร่วมพนั ธะ ของอะตอมของธาตุตา่ งๆ ที่รวมกนั เป็นสารประกอบธาตุที่มีค่าอิเล็กโทรเนกาติวิตีสูงจะสามารถ ดึงดูดอิเลก็ ตรอนไดด้ ีกวา่ ธาตุที่มีคา่ อิเลก็ โทรเนกาติวติ ีต่ากวา่ ค่าอิเลก็ โทรเนกาติวติ ีของโลหะจะนอ้ ยกวา่ ของอโลหะเสมอ ในหมู่เดียวกนั ค่าอิเลก็ โทรเนกาติวติ ีจะเพ่มิ ข้ึนจากล่างข้ึนบน เพราะขนาดของอะตอมเล็ก ลงจากล่างข้ึนบน แรงดึงดูดระหวา่ งประจุบวกในนิวเคลียสกบั อิเล็กตรอนวงนอกจึงเพิ่ม ในคาบเดียวกนั ค่าอิเล็กโทรเนกาติวิตีจะเพิ่มข้ึนจากซา้ ยไปขวา เพราะขนาดของอะตอม เล็กลงจากซ้ายไปขวาทาให้แรงดึงดูดระหว่างประจุบวกในนิวเคลียสกับอิเล็กตรอนวงนอก เพิ่มข้ึนดงั น้นั ในคาบเดียวกนั ธาตุหมู่ IA มีค่าอิเล็กโทรเนกาติวิตีต่าสุด ส่วนธาตุหมู่ VII A มี คา่ สูงสุด He , Ne , Arไม่มีค่าอิเลก็ โทรเนกาติวติ ี ส่วน Kr , Xeมีค่าอิเลก็ โทรเนกาติวติ ีต่าๆ ธาตุท่ีมีคา่ EN สูงสุดตามลาดบั ที่ควรจา คือ F > O > Cl  N > Br > I  S  C > H 2.2.3 แนวโน้มของสัมพรรคภำพอเิ ลก็ ตรอน ( Electron affinity , EA ) สัมพรรคภำพอิเล็กตรอนหรืออิเล็กตรอนอัฟฟิ นิตีหมายถึงพลงั งานท่ีคายออกมาเมื่อ อะตอมในสถานะแกส๊ รับอิเลก็ ตรอนแลว้ กลายเป็นไอออนลบ เช่นCl(g) + e  Cl(g) Ea = – 347 kJ/mol ค่าสมั พรรคภาพอิเล็กตรอนจะมีค่าเป็นลบเพราะเป็นพลงั งานที่คายออกมา (ยกเวน้ ธาตุหมู่ 2A และ 8A ) เป็ นค่าท่ีบอกความสามารถในการรับอิเล็กตรอนของอะตอม ธาตุใดมีค่าค่าสัม- พรรคภาพอิเล็กตรอนเป็ นลบมาก อะตอมของธาตุน้นั ก็จะเกิดไอออนลบได้ง่าย และค่าสัม- พรรคภาพอิเลก็ ตรอนของอโลหะจะมีคา่ เป็ นลบมากกวา่ โลหะเสมอ 32

สรปุ เขม้ เคมี เลม่ 1 http://www.pec9.com บทท่ี 1 อะตอมและตารางธาต ุ ในคาบเดียวกนั ค่าสัมพรรคภาพอิเล็กตรอนจะเพ่ิมข้ึนจากซ้ายไปขวาเพราะขนาดของ อะตอมเลก็ ลงจากซา้ ยไปขวานิวเคลียสจึงดึงดูดอิเล็กตรอนที่เขา้ มาใหม่ไดด้ ีข้ึนตามลาดบั ดว้ ย ในหมู่เดียวกนั ค่าสัมพรรคภาพอิเล็กตรอนมีค่าเพิ่มจากล่างข้ึนบน เพราะจานวนช้นั ของ อิเล็กตรอนลดลงทาใหข้ นาดของอะตอมเล็กลงเช่นกนั 2.2.4 แนวโน้มของพลงั งำนไอออไนเซชัน ( Ionization Energy , IE ) พลังงำนไอออไนเซชัน คือพลงั งานท่ีใส่เขา้ ไปเพื่อให้อิเล็กตรอนของอะตอมในสภาวะ แกส๊ หลุดออกมาจากอะตอม ข้อควรรู้เกย่ี วกบั พลงั งำนไอออไนเซชัน 1. พลงั งานไอออไนซ์ของธาตุอโลหะจะมากกวา่ ของธาตุโลหะเสมอ และพลงั งานไอออ- ไนซ์ของแก๊สเฉื่อย (หมู่ 8A ) จะมีค่าสูงสุด 2. โดยทวั่ ไปแลว้ เมื่ออะตอมมีขนาดเลก็ ลง แรงดึงดูดระหวา่ งนิวเคลียสกบั เวเลนซ์- อิเล็กตรอนสูงข้ึนทาใหพ้ ลงั งานไอออไนซ์มีคา่ มากข้ึนดว้ ย ดงั น้นั ธาตุในหมู่เดียวกนั คา่ พลงั งานไอออไนซ์เพ่มิ ข้ึนจากล่างข้ึนบน ธาตุในคาบเดียวกนั พลงั งานไอออไนซ์จะเพ่ิมข้ึนจากซา้ ยไปขวา และสาหรับธาตุแทรนซิชนั พลงั งานไอออไนซ์ไมแ่ ตกตา่ งกนั มากนกั แต่ IE ของธาตุหมู่ IIA และหมู่ VA ในคาบเดียวกนั จะมีค่าสูงผิดปกติท้งั น้ีเพราะ เพราะธาตุ 2 หมูน่ ้ีมีการจดั เรียงอิเลก็ ตรอนแบบบรรจุเตม็ และแบบบรรจุคร่ึงซ่ึงเสถียรกวา่ 33

สรปุ เขม้ เคมี เลม่ 1 http://www.pec9.com บทที่ 1 อะตอมและตารางธาต ุ 1s2 2s2 2p 1s2 2s2 2p3 7N บรรจเุ ตม็ (เสถียร) บรรจคุ ร่ึง(เสถียร) 3. พลงั งานไอออไนซ์ท่ีใชด้ ึงอิเลก็ ตรอนตวั ท่ี 1 ออกมา เรียกพลงั งานไอออไนซ์ลาดบั 1 (IE1) พลงั งานไอออไนซ์ที่ใชด้ ึงอิเล็กตรอนตวั ตอ่ ๆ ไปออกจากอะตอม เรียกพลงั งานไอออไนซ์ ลาดบั 2 , 3 , 4 , ...... ( IE2 , IE3 , IE4 , …… ) ตามลาดบั ตวั อย่ำงกำรเขียน IE แต่ละลำดบั Be(g)  Be+(g) + e IE1 = 906 kJ/mol Be+ (g)  Be2+(g) + e IE2 = 1763 kJ/mol Be2+ (g)  Be3+(g) + e IE3 = 14855 kJ/mol Be3+ (g)  Be4+(g) + e IE4 = 21013 kJ/mol 4. ค่า IE1 < IE2 < IE3 < IE4 ….. เสมอ ในกรณีตวั อยา่ ง พลงั งานไอออไนซ์ของ Be ดา้ นบนน้ี จะเห็นวา่ IE2 และIE3 มีค่า แตกต่างกนั มากอยา่ งชดั เจน ท้งั น้ีเป็ นเพราะอิเล็กตรอนตวั ท่ี 2 และ 3 ของ Be อยู่ในคนละ ระดบั พลงั งานนน่ั เอง 5. เราสามารถใชพ้ ลงั งานไอออไนซ์บอกไดว้ า่ ธาตุน้นั ๆ เป็นธาตุหมู่อะไร เช่น พจิ ารณาธาตุ A ค่า IE3และ IE4แตกต่างกนั มาก แสดงวา่ อิเลก็ ตรอนตวั ที่ 3 กบั 4 อยคู่ น ละระดบั พลงั งาน และระดบั พลงั งานนอกสุดมีเวเลนซ์อิเลก็ ตรอน 3 ตวั ดงั น้นั A จึงอยหู่ มู่ 3A 34

สรปุ เขม้ เคมี เลม่ 1 http://www.pec9.com บทที่ 1 อะตอมและตารางธาต ุ พจิ ารณาธาตุ B คา่ IE1และ IE2แตกตา่ งกนั มาก แสดงวา่ อิเล็กตรอนตวั ท่ี 1 กบั 2 อยคู่ น ละระดบั พลงั งาน และระดบั พลงั งานนอกสุดมีเวเลนซ์อิเลก็ ตรอน 1 ตวั ดงั น้นั B จึงอยหู่ มู่ 1A พจิ ารณาธาตุ C คา่ IE2และ IE3แตกต่างกนั มาก แสดงวา่ อิเลก็ ตรอนตวั ที่ 2 กบั 3 อยคู่ น ละระดบั พลงั งาน และระดบั พลงั งานนอกสุดมีเวเลนซ์อิเลก็ ตรอน 2 ตวั ดงั น้นั C จึงอยหู่ มู่ 2A พิจารณาธาตุ D คา่ IE1และ IE2แตกต่างกนั มาก แสดงวา่ อิเล็กตรอนตวั ท่ี 1 กบั 2 อยคู่ น ละระดบั พลงั งาน และระดบั พลงั งานนอกสุดมีเวเลนซ์อิเล็กตรอน 1 ตวั ดงั น้นั D จึงอยหู่ มู่ 1A 37(มช35) กาหนดคา่ ไอออไนเซซนั ( IE ) ของธาตุ เป็ น kJ/molดงั น้ี ธำตุ IE1 IE2 IE3 IE4 A 807 2433 3665 25033 B 850 1760 14855 21013 C 584 1820 2751 11584 D 700 1457 7739 10547 E 502 4569 6919 9550 ธาตุคูใ่ ดที่อยใู่ นหมู่ที่ 3 และธาตุคูใ่ ดท่ีอยใู่ นหมูท่ ่ี 2 ตามลาดบั 1. AB และ CD 2. AC และ DE 3. AC และ BD 4. AD และ BE 38. ธาตุสมมุติธาตุหน่ึง มีการจดั อิเลก็ ตรอนเป็น 1s2 2s2 2p6 3s2 3p1 การเสียอิเลก็ ตรอนตามค่า IE1 IE3 IE10 น้นั จะดึงออกจากระดบั ใดตามลาดบั 1. 1s 2s 2p 2. 3p 3s 2s 3. 3p 3s 2p 4. 1s 2s 3s 35

สรปุ เขม้ เคมี เลม่ 1 http://www.pec9.com บทที่ 1 อะตอมและตารางธาต ุ 39. ขอ้ ใดผดิ หากกาหนดใหธ้ าตุตา่ ง ๆ มีเลขอะตอมดงั แสดงในตาราง ธำตุ A B D E G J เลขอะตอม 9 11 14 27 30 35 1. A มีคา่ อิเล็กทรอเนกาติวิตีมากกวา่ J 2. สารประกอบออกไซด์ DO ไม่ละลายน้า 2 3. E และ G เป็นธาตุทรานสิชนั 4. A มีรัศมีไอออนใหญก่ วา่ B  40. ถา้ กาหนดใหธ้ าตุ A, B, C, D มีเลขอะตอม 16, 17, 19, 20 ตามลาดบั ขอ้ ใดไม่ถูกต้อง 1. ธาตุท่ีมีคา่ IE และ EN สูงสุดคือ B 2. ธาตุท่ีมีขนาดอะตอมใหญท่ ี่สุดคือ C 3. สารประกอบระหวา่ ง A กบั D คือ AD2 4. ธาตุ C และ D มีจานวนอิเลก็ ตรอนในออร์บิทลั 3p เท่ากนั 41. ธาตุ X และ ธาตุ Y มีพลงั งานไอออไนเซชนั ดงั น้ี X : 0.584, 1.823, 2.751, 11.584, 14.837, 18.384, 23.302, 27.466, 31.905, 38.464, 42.661, 201.283, 222.327 Y : 0.596, 1.152, 4.918, 6.480, 8.150, 10.502, 12.330, 14.213, 18.198, 20.391, 57.056, 63.341, 70.061, 78.801, 86.376, 94.0, 104.9, 111.6, 494.91, 527.78 Z : 1.687, 3.381, 6.057, 8.414, 11.029, 15.171, 17.874, 92.047, 106.443 ขอ้ ใดถูกตอ้ ง 1. ธาตุ X อยใู่ นหมู่เดียวกบั [Ar] 4s 2 3d1 2. ธาตุ Y อยใู่ นคาบเดียวกบั [Kr] 5s 2 5p 5 3. การจดั เรียงอิเล็กตรอนของ X 3 คือ [He] 2s 2 2p 6 4. สูตรของสารประกอบระหวา่ ง ธาตุ Y และ ธาตุ Z คือ Y Z 2 36

สรปุ เขม้ เคมี เลม่ 1 http://www.pec9.com บทที่ 1 อะตอมและตารางธาต ุ 2.2.4 เลขออกซิเดชัน เลขออกซิเดชันคือตวั เลขที่แสดงถึงประจุไฟฟ้าจริงหรือประจุเสมือนของอะตอม เช่น NaClเมื่อแตกตวั จะได้ Na+และCl–จะมีเลขออกซิเดชนั เป็น +1 และ –1 ตามลาดบั หลกั เกณฑ์ในกำรกำหนดเลขออกซิเดชัน 1. ธาตุอิสระทุกตวั ไมว่ า่ ในหน่ึงโมเลกุลจะมีก่ีอะตอมก็ตาม จะมีเลขออกซิเดชนั เทา่ กบั 0 เช่น Ca , H2, P4, S8, Na ทุกตวั มีเลขออกซิเดชนั เป็น 0 2. ธาตุไฮโดรเจนส่วนมากมีเลขออกซิเดชนั เป็น +1 3. ธาตุออกซิเจนส่วนมากมีเลขออกซิเดชนั เป็น –2 4. เลขออกซิเดชนั ของไอออนใด ๆ ปกติจะมีคา่ เทา่ กบั ประจุของไอออนน้นั ๆ เช่น Na+มีเลขออกซิเดชนั เป็ น +1 Cl– มีเลขออกซิเดชนั เป็ น –1 Al3+มีเลขออกซิเดชนั เป็น+3 5. สารประกอบใดๆ ผลรวมของเลขออกซิเดชนั จะตอ้ งเป็ นศูนยเ์ สมอ เช่น H2O มีเลขออกซิเดชนั = (+1 x 2) + (–2) = 0 แต่หมูไ่ อออนใดๆ ผลรวมของเลขออกซิเดชนั จะเทา่ กบั ประจุของไอออนน้นั เช่น CrO24 มีเลขออกซิเดชนั = (+6) + (–2 x 4)= +6 – 8 = –2 6. ธาตุหมู่ IA , IIA และหมู่ IIIA จะมีเลขออกซิเดชนั = +1 , +2 , +3 ตามลาดบั 7. ธาตุอโลหะในสารประกอบต่างๆ ส่วนมากมกั มีเลขออกซิเดชนั หลายค่า เช่น พจิ ารณาจากธาตุ Cl สารประกอบตอ่ ไปน้ี HCl ในน้ี Cl มีเลขออกซิเดชนั เทา่ กบั –1 HClO ในน้ี Cl มีเลขออกซิเดชนั เท่ากบั +1 HClO2 ในน้ี Cl มีเลขออกซิเดชนั เท่ากบั +3 HClO3 ในน้ี Cl มีเลขออกซิเดชนั เท่ากบั +5 8. ธาตุทรานสิชนั ส่วนใหญ่มีเลขออกซิเดชนั ไดม้ ากกวา่ 1 คา่ เช่น FeO ในน้ี Fe มีเลขออกซิเดชนั เท่ากบั +2 Fe2O3 ในน้ี Fe มีเลขออกซิเดชนั เท่ากบั +3 37

สรปุ เขม้ เคมี เลม่ 1 http://www.pec9.com บทที่ 1 อะตอมและตารางธาต ุ 42. เลขออกซิเดชนั ของโลหะในขอ้ ใดมีค่าน้อยที่สุด 1. NH VO 2. Na MnO 3. K Cr O 4. Fe O 43 24 2 27 23 43(En38) เลขออกซิเดชนั ของ Cr ใน Cr2 O72 (aq) ,CrO24 (aq)และ K3Cr(CN)6(s) ตามลาดบั ตรงกบั ขอ้ ใด 1. +7 , +4 และ +3 2. +6 , +5 และ +2 3. +6 , +6 และ +3 4. +6 , +6 และ +2 44. เลขออกซิเดชนั ของโลหะแทรนซิชนั ในขอ้ ใดรวมกนั สูงสุด 1. Cu2O K2[Ni(CN)4] 2. MnO2 [FeSCN] Cl2 3. V2O5 NH4Fe (SO4)2 4. HgCl2 [Co (NH3)4Cl2]Cl 45. โลหะทรานสิชนั ในขอ้ ใดที่มีเลขออกซิเดชนั เท่ากนั 1. (NH4)2CrO4 Na[Au(CN)2] V2O5 2. K3Fe(CN)6 [Ni(NH3)6]SO4 PbCrO4 3. [Cu(NH3)3]SO4 [Co(H2O)6]Cl2 Na2CoCl4 4. [Co(NH3)4 Cl2] Cl NH4Fe(SO4)2 K2Cr2O7  38

สรปุ เขม้ เคมี เลม่ 1 http://www.pec9.com บทที่ 1 อะตอมและตารางธาต ุ เฉลยบทที่ 1 อะตอม และตารางธาตุ 1. ตอบข้อ 2. 2. ตอบข้อ 3. 3. ตอบข้อ 2. 4. ตอบข้อ 3. 5. ตอบข้อ 4. 6. ตอบ 1. p = 18 ; n = 40 – 18 = 22 ; e = 18 2. p = 19 ; n = 39 – 19 = 20 ; e = 19 3. p = 92 ; n = 235 – 92 = 143 ; e = 92 4. p = 36 ; n = 83 – 36 = 47 ; e = 36 5. p = 90 ; n = 232 – 90 = 142 ; e = 90 7. ตอบ 1. 1351 P3 ประจุ –3 แสดงว่ำรับอเิ ลก็ ตรอนเพมิ่ 3 ตวั ดงั น้นั p = 15 ; n = 31 – 15 = 16 ; e = 15 + 3 = 18 2. 187 O2 ประจุ –2 แสดงว่ำรับอเิ ลก็ ตรอนเพม่ิ 2ตวั ดงั น้ัน p = 8 ; n = 17 – 8 = 9 ; e = 8 + 2 = 10 3. 1375 Cl1 ประจุ –1 แสดงว่ำรับอเิ ลก็ ตรอนเพม่ิ 1ตวั ดงั น้ัน p = 17 ; n = 35 – 17 = 18 ; e = 17+ 1 = 18 4. 94 Be 2 ประจุ +2 แสดงว่ำเสียอเิ ลก็ ตรอนไป2ตวั ดงั น้ัน p = 4 ; n = 9 – 4 = 5 ; e = 4 – 2 = 2 8. ตอบข้อ 3. 9. ตอบข้อ 3. 10. ตอบข้อ 3. 11. ตอบ ไอโซโทป คือ C,12 13 C , 14 C , 10 B , 11 B , 14 N , 15 N 6 6 6 5 5 7 7 ไอโซบำร์ คือ 14 C , 14 N 6 7 ไอโซโทน คือ 12 C , 11 B , 15 N , 16 O 6 5 7 8 ไอโซอเิ ลก็ ตรอน คือ 3126S2  , 391.98 Ar 12. ตอบ ควำมถ่ี คือ 5x1014 พลงั งำนคลื่นแสง 3.315x10–9 13. ตอบ ควำมยำว คือ 496.8 nm และควำมถค่ี ลื่นเป็ น 6x1014 และมสี ีเขยี ว 14. ตอบข้อ 4. 15. ตอบข้อ 4. 16. ตอบข้อ 3. 17. ตอบข้อ ข. 18. ตอบข้อ ค. 19. ตอบข้อ ก. 20. ตอบข้อ ก. 21. ตอบข้อ ง. 22. ตอบข้อ ค. 39

สรปุ เขม้ เคมี เลม่ 1 http://www.pec9.com บทที่ 1 อะตอมและตารางธาต ุ 23. ตอบ. ข้อ ก ธำตุ A B และ C มีเลขอะตอมคือ 14/12/18 ข้อ ข. 2/8/4 2/8/2 2/8/8 ตำมลำดับ 24. ตอบข้อ 4. 25. ตอบข้อ 2. 26. ตอบ. Ne/Ge/P ตำมลำดับ 27. ตอบข้อ 1. 28. ตอบข้อ 3. 29. ตอบข้อ 2. 30. ตอบข้อ 2. 31. ตอบข้อ 1. 32. ตอบข้อ 2. 33. ตอบข้อ 3. 34. ตอบข้อ 5. 35. ตอบข้อ 4. 36. ตอบข้อ 4. 37. ตอบข้อ 3. 38. ตอบข้อ 2. 39. ตอบข้อ 4. 40. ตอบข้อ 3. 41. ตอบข้อ 3. 42. ตอบข้อ 4. 43. ตอบข้อ 3. 44. ตอบข้อ 3. 45. ตอบข้อ 3.  ตะลุยข้อสอบคดั เลือกเข้ามหาวิทยาลัย บทที่ 1 อะตอม และตารางธาตุ ชุดที่ 1 40

สรปุ เขม้ เคมี เลม่ 1 http://www.pec9.com บทท่ี 1 อะตอมและตารางธาต ุ 1(En31) กาหนดแบบจาลองอะตอมได้ 3 แบบ ดงั แสดงขา้ งล่าง ภาพใดเป็ นแบบจาลองของดอลตนั แบบจาลองของรัทเทอร์ฟอร์ด และแบบจาลองของ ทอมสนั ตามลาดบั แบบจำลองของดอลตนั แบบจำลองของรัทเทอร์ฟอร์ด แบบจำลองของทอมสัน 1. I II III 2. II III I 3. II I III 4. III I II 2(En 36)ถา้ นาธาตุ X ไปผา่ นกระบวนการอยา่ งหน่ึง ซ่ึงมีผลทาใหอ้ ะตอมของธาตุ X เกิดการ เปล่ียนแปลง การจะพิจารณาตัดสินว่าธาตุ X เปล่ียนไปเป็ นธาตุใหม่หรือไม่ จะ พิจารณาไดจ้ ากขอ้ ใด 1. จานวนไอโซโทปของธาตุ X มีมากชนิดข้ึนกวา่ เดิมมาก 2. จานวนนิวตรอนเปลี่ยนไปจากเดิม 3. จานวนโปรตอนเปลี่ยนไปจากเดิม 4. มีการเปลี่ยนแปลงจานวนอิเล็กตรอนในแตล่ ะช้นั พลงั งานอยา่ งเห็นไดช้ ดั 3(En 36)ไอออนคู่ใดมีจานวนอิเล็กตรอนไม่เทา่ กนั (ก) 199 F กบั 2131 Na  (ข) 2142 Mg2 กบั 2173Al3 (ค) 168O2 กบั 147 N3 (ง) 1375Clกบั 2400 Ca2 1. (ก) และ (ข) 2. (ค) และ (ง) 3. (ก) และ (ค) 4. ทุกขอ้ มีจานวนอิเลก็ ตรอนเทา่ กนั 4(มช35) ถา้ M3+มีอิเล็กตรอนเท่ากบั 36 อิเล็กตรอน มีเลขมวลของธาตุ M เท่ากบั 88 จง หาจานวนโปรตอน : จานวนนิวตรอนของธาตุ M น้ี 1. 39 : 52 2. 36 : 52 3. 39:49 4. 36 : 88 41

สรปุ เขม้ เคมี เลม่ 1 http://www.pec9.com บทท่ี 1 อะตอมและตารางธาต ุ 5(En 38) ถา้ ไอโซโทปหน่ึงของธาตุชนิดหน่ึงมีประจุในนิวเคลียสเป็ น 2 เท่าของประจุใน นิวเคลียสของ 126 C และมีเลขมวลเป็ น 1.5 เท่าของ 126 C ไอโซโทปน้ีจะมีอนุภาคมูลฐาน อยา่ งละก่ีอนุภาค 1. 6e , 12p และ 6n 2. 2e และ 2p 3. 12e , 12p และ 6n 4. 12e , 12p และ 18n 6(มช43) ไอโซโทปของธาตุชนิดหน่ึงมีจานวนนิวตรอนในนิวเคลียสเท่ากบั 8 และมีประจุใน นิวเคลียสเป็ น 6 เท่าของประจุในนิวเคลียสของไฮโดรเจน สัญลักษณ์นิวเคลียร์ของ ไอโซโทปดงั กล่าวคือขอ้ ใด 1. 162C 2. 14C 3. 184O 4. 14O 7(มช 46) คล่ืนแมเ่ หล็กไฟฟ้าชนิดหน่ึงมีพลงั งาน 33.125 x 10–20จูล คล่ืนน้ีจะแสดงแสงสีใด กำหนดให้ สี ช่วงควำมยำวคล่ืน ( n m ) เขียว 490 – 580 เหลือง 580 – 590 สม้ 590 – 650 แดง 650 – 700 h = 6.625 x 10–34 J.s c = 3.0x108 ms–1 1 nm = 10–9 m ขอ้ ท่ีถูกตอ้ งคือขอ้ ใด 1. แดง 2. ส้ม 3. เหลือง 4. เขียว 8(แนว PAT2)จากสเปกตรัมที่ไดจ้ ากการคายพลงั งานของอิเล็กตรอนในอะตอมไฮโดรเจน เส้นท่ี การเปลี่ยนระดบั พลงั งาน A n = 2 ไปท่ี n = 1 42

สรปุ เขม้ เคมี เลม่ 1 http://www.pec9.com บทท่ี 1 อะตอมและตารางธาต ุ B n = 3 ไปท่ี n = 2 C n = 4 ไปที่ n = 3 D n = 5 ไปที่ n = 4 ขอ้ ใดเรียงพลงั งานของเส้นสเปกตรัมไดอ้ ยา่ งถูกตอ้ ง 1. A > B > C > D 2. B > D > C > A 3. C > B > D > A 4. D > C > B > A 9(En 31)ความยาวคล่ืนของเส้นสเปกตรัม 4 เส้น A = 404 nm B = 450 nm C = 455 nm D = 608 nm เส้นสเปกตรัมใดท่ีแสดงวา่ อิเลก็ ตรอนมีการเปล่ียนแปลงพลงั งานนอ้ ยท่ีสุด 1. A เท่าน้นั 2. B และ C 3. C เท่าน้นั 4. D เทา่ น้นั 10(มช34) ไดอะแกรมต่อไปน้ีแสดงการเคล่ือนท่ี 3. C 4. D ของอิเล็กตรอนระหวา่ งระดบั พลงั งานตา่ ง ๆ ของไฮโดรเจนอะตอมการเคลื่อนท่ีในขอ้ ใด จะใหส้ เปกตรัมที่มีความยาวคล่ืนสูงสุด 1. A 2. B 11(มช44) แสงสีเหลืองในเปลวไฟที่สามารถสงั เกตเห็นได้ เม่ือเผาสารประกอบของโซเดียม เกิดจากอะไร 1. อิเลก็ ตรอนมีการเล่ือนช้นั กลบั ลงมาสู่สถานะพ้ืน และคายพลงั งานส่วนหน่ึงออกมา 2. อิเล็กตรอนมีการเล่ือนช้นั ข้ึนไปอยใู่ นสถานะกระตุน้ และดูดพลงั งานส่วนหน่ึงเขา้ ไป 3. อิเลก็ ตรอนไดร้ ับพลงั งานจากเปลวไฟจึงเคล่ือนท่ีไปมาระหวา่ งระดบั ช้นั พลงั งานตา่ งๆ 4. อิเลก็ ตรอนหลุดออกไปจากอะตอมของโซเดียมหลงั จากที่ไดร้ ับพลงั งานท่ีมีคา่ มาก กวา่ ค่า Ionization energy 12(มช31) Mg2+ ion จะมีการจดั อิเลก็ ตรอน (electron configuration) เหมือนกบั 1. Na 2. Ar 3. F– 4. Ca2+ 43

สรปุ เขม้ เคมี เลม่ 1 http://www.pec9.com บทท่ี 1 อะตอมและตารางธาต ุ 13(En40)ไอออนหรืออะตอมในขอ้ ใดที่มีการจดั อิเล็กตรอนเหมือนกบั คลอไรดไ์ อออน 1. F– 2. Ne 3. Al3+ 4. Ca2+ 14(En 41 เม.ย.)การจดั อิเลก็ ตรอนในอะตอมของธาตุแทรนซิชนั มี 2 แบบ คือ 2 , 8 , X , 2 หรือ 2 , 8 , X , 1 โดย X อาจมีค่าระหวา่ ง 9 ถึง 18 การจดั อิเล็กตรอนในขอ้ ใดเหมือนกนั ( เลขอะตอมของ Cr = 24 , Mn = 25 , Fe = 26 , Co = 27 ) 1. Fe4+ และ Mn2+ 2. Cr+และ Co4+ 3. Cr อะตอม และ Fe2+ 4. Co2+ และ Fe3+ 15(แนว Pat2) ในสภาวะพ้นื การจดั เรียงอิเลก็ ตรอนของ 24Cr3+ คือขอ้ ใด 1. 1s2 2s2 2p6 3s2 3p6 4s1 3d2 2. 1s2 2s2 2p6 3s2 3p6 4s0 3d3 3. 1s2 2s2 2p6 3s2 3p6 4s2 3d1 4. 1s2 2s2 2p6 3s2 3p3 4s1 3d5 16. ธาตุที่มีการจดั เรียงอิเลก็ ตรอนดงั ต่อไปน้ีจะมีอิเล็กตรอนจานวนเท่าใด ก. [ Ne ] 3s2 3p3 ข. [ Ar ] 4s2 3d10 4p2 ค. [ Kr ] 5s2 4d5 1. ก. 15 ข. 30 ค. 43 2. ก. 16 ข. 30 ค. 40 3. ก. 15 ข. 32 ค. 43 4. ก. 20 ข. 32 ค. 40 17(มช31) การจดั อิเลก็ ตรอนของอะตอมใดท่ีแสดงวา่ อะตอมอยใู่ นสภาวะถูกกระตุน้ 1. 1s2, 2s2 2. 1s2, 3p1 3. 1s2, 2s2 2p5 4. 1s2, 2s2 2p6, 3s2 3p1 18(แนว PAT2)ขอ้ ความตอ่ ไปน้ี ขอ้ ใดไม่ถูก 1. ในระดบั พลงั งาน n = 2 มีจานวนพลงั งานยอ่ ย 2 ระดบั 44

สรปุ เขม้ เคมี เลม่ 1 http://www.pec9.com บทที่ 1 อะตอมและตารางธาต ุ 2. ในระดบั พลงั งาน n = 4 มีจานวนพลงั งานยอ่ ย 4 ระดบั 3. ระดบั พลงั งานยอ่ ย f ในระดบั พลงั งาน n = 3 มีจานวน 7 ออร์บิทลั 4. ในระดบั พลงั งาน n = 3 มีจานวนออร์บิทลั ท้งั หมด 9ออร์บิทลั 19. ธาตุในขอ้ ใดมีอิเลก็ ตรอนเด่ียวมากท่ีสุด 3. 12Mg 4. 13Al 1. 6C 2. 15P 20(แนว A–Net) พิจารณาอะตอมและไอออนต่อไปน้ี : 25A2+15B16C2–44D อะตอมหรือไอออนใดมีจานวนอิเลก็ ตรอนเดี่ยว 3 อิเล็กตรอน 1. A2+ 2. B 3. C2– 4. D 21(En 45 ม.ี ค.) กาหนดเลขอะตอมของธาตุดงั น้ี A = 13 , B = 19 , C = 20 , D = 12 การเรียงลาดบั ขนาดอะตอมในขอ้ ใดถูกตอ้ ง 1. B > C > D > A 2. B > C > A > D 3. C > A > B > D 4. C > B > A > D 22(En 36)ธาตุ A , B , C , D และ E มีเลขอะตอม 3 , 8 , 9 , 15 และ 17 ตามลาดบั ธาตุ หรือไอออนคูใ่ ดมีขนาดตา่ งกนั มากท่ีสุด 1. D และ E 2.A+และ C– 3. A+ และ E– 4. B2– และ B– 23(En 36)พิจารณาหมูแ่ ละคาบของธาตุ A , B , C และ D ตอ่ ไปน้ี ธำตุ หมู่ คำบ 45

สรปุ เขม้ เคมี เลม่ 1 http://www.pec9.com บทที่ 1 อะตอมและตารางธาต ุ A1 2 B5 3 C1 4 D4 4 พลงั งานไอออไนเซชนั ลาดบั ท่ี 1 ของธาตุท้งั ส่ีเรียงจากนอ้ ยไปมาก ขอ้ ใดถูกตอ้ ง 1. A  C  B  D 2. C  A  B  D 3. A  C  D  B 4. C  A  D  B 24(En 46 ม.ี ค.)ธาตุชุดท่ี 1 ประกอบดว้ ย A , B และ C เลขอะตอม 9 , 17 และ 35 ตามลาดบั ธาตุชุดท่ี 2 ประกอบดว้ ย D , E และ F เลขอะตอม 19 , 20 และ 21 ตามลาดบั ขอ้ ใดเป็นการเรียงลาดบั พลงั งานไอออไนเซชนั ลาดบั ท่ี 1 ไดถ้ ูกตอ้ งสาหรับธาตุท้งั 2 ชุด 1. A < B < C และ D < E < F 2. C < B < A และ D < E < F 3. A < B < C และ F < E < D 4. C < B < A และ F < E < D 25(แนว PAT2)ขอ้ ใดถูกเกี่ยวกบั พลงั งานไอออไนเซชนั ลาดบั ที่ 1 ของธาตุแต่ละคู่ 1. 1H มีคา่ มากกวา่ 2He 2. 11Na มีค่ามากกวา่ 12Mg 3. 18Neมีค่ามากกวา่ 19Ar 4. 18Ar มีค่ามากกวา่ 10He 26(En38) ธาตุ A , B , C , D มีเลขอะตอม 3 , 9 , 12 และ 20 ตามลาดบั ธาตุใดมีค่า IE2 ต่าที่สุด 1. A 2. B 3. C 4. D 27(มช35) กาหนดคา่ ไอออไนเซซนั ( IE ) ของธาตุ เป็ น kJ/molดงั น้ี ธำตุ IE1 IE2 IE3 IE4 46

สรปุ เขม้ เคมี เลม่ 1 http://www.pec9.com บทท่ี 1 อะตอมและตารางธาต ุ A 807 2433 3665 25033 B 850 1760 14855 21013 C 584 1820 2751 11584 D 700 1457 7739 10547 E 502 4569 6919 9550 ธาตุคู่ใดท่ีอยใู่ นหมูท่ ี่ 3 และธาตุคู่ใดท่ีอยใู่ นหมู่ที่ 2 ตามลาดบั 1. AB และ CD 2. AC และ DE 3. AC และ BD 4. AD และ BE 28(En 44 มี.ค.) ถา้ พลงั งานไอออไนเซชนั ลาดบั ที่ 1 – 5 ของธาตุ A มีค่าเท่ากบั 0.43,3.06,4.41,5.88 และ 7.98MJ . mol–1 ตามลาดบั สัญลกั ษณ์นิวเคลียร์ของ ธาตุ A ในขอ้ ใดเป็นไปได้ ก. 2131A ข. 174 A ค. 1398 A 1. ก เท่าน้นั 2. ข เท่าน้นั 4. ก และ ค 3. ข และ ค 29(แนว A–Net)กาหนดให้ A B C D E F G และ H เป็นธาตุในตารางดงั น้ี A ธาตุแทรนซิชนั BC D E F G H การเปรียบเทียบขอ้ ใดถูกตอ้ ง 1. ขนาดอะตอม A > E > B 2. คา่ อิเลก็ โทรเนกาติวติ ีของ D > C > F 3. ค่าพลงั งานไอออไนเซชนั ลาดบั ที่ 1 ของ B > C > D 4. ค่าสมั พรรคภาพอิเล็กตรอน (คา่ พลงั งานคายออกมา) ของ G > D > H 30(En46 ต.ค.)เลขออกซิเดชนั ของ P, S และ Zrในสารประกอบ 3 ชนิดตอ่ ไปน้ีเป็น เทา่ ใดตามลาดบั 47

สรปุ เขม้ เคมี เลม่ 1 http://www.pec9.com บทท่ี 1 อะตอมและตารางธาต ุ NaNH4HPO4 . 4H2O Na2S2O3 . 5H2O ZrCl2O . 8H2O 1. +3 , +4 , +2 2. +5 , +2 , +4 3. +3 , +2 , +4 4. +5 , +4 , +2  เฉลยตะลุยข้อสอบคดั เลือกเข้ามหาวิทยาลยั บทที่ 1 อะตอม และตารางธาตุ ชุดที่ 1 1. ตอบข้อ 3. 2. ตอบข้อ 3. 3. ตอบข้อ 4. 4. ตอบข้อ 3. 5. ตอบข้อ 3. 6. ตอบข้อ 2. 7. ตอบข้อ 2. 8. ตอบข้อ 1. 9. ตอบข้อ 4. 10. ตอบข้อ 2. 11. ตอบข้อ 1. 12. ตอบข้อ 3. 13. ตอบข้อ 4. 14. ตอบข้อ 2. 15. ตอบข้อ 2. 16. ตอบข้อ 1. 17. ตอบข้อ 2. 18. ตอบข้อ 3. 19. ตอบข้อ 2. 20. ตอบข้อ 2. 21. ตอบข้อ 1. 22. ตอบข้อ 3. 23. ตอบข้อ 4. 24. ตอบข้อ 2. 25. ตอบข้อ 3. 26. ตอบข้อ 4. 27. ตอบข้อ 3. 28. ตอบข้อ 4. 29. ตอบข้อ 2. 30. ตอบข้อ 2.  48


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook