Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore บทวิเคราะห์สถานการณ์ยาง

บทวิเคราะห์สถานการณ์ยาง

Published by ggkasalajit, 2021-08-19 15:34:49

Description: ตัวชี้วัดที่ 7 การจัดทำข้อมูลสารสนเทศด้านการตลาด

Search

Read the Text Version

รายงานตวั ชว้ี ดั ที่ 7 การจดั ทำข้อมลู สารสนเทศทางการตลาด รายงานผลการวิเคราะหโ์ ครงสร้างการผลิตและวิถีตลาดยาง พร้อมทั้งกำหนดรูปแบบบทวิเคราะห์ ประกอบด้วย ข้อมูลการแบง่ ส่วนตลาด (Market Segment) ขนาดของตลาด (Market Size) การเติบโตของ ตลาด ส่วนแบ่งตลาด (Market Share) แนวโน้มตลาด (Market Trends) บทวิเคราะห์สถานการณ์ยางราคา ยางย้อนหลัง 5 ปี (2558 - 2563) พรอ้ มรูปแบบบทสถานการณ์ยางปี 2564 (มกราคม - 15 กรกฎาคม 2564) และแนวโนม้ ราคายางในชว่ งครง่ึ หลังของปี 2564 ดังนี้ 1. โครงสร้างการผลิตยางในเขตภาคใต้ตอนล่าง ประกอบด้วย 5 จังหวัด ได้แก่ สงขลา สตูล ปตั ตานี ยะลา นราธิวาส ตารางท่ี 1 พื้นทป่ี ลูกยาง พนื้ ทีป่ ลกู ยาง พนื้ ที่ยังไมเ่ ปิดกรีด หนว่ ย : ไร่ 1,236,570.32 170,863.00 ที่ จังหวดั 254,227.36 36,880.96 พ้ืนท่ีเปดิ กรดี แล้ว 1 สงขลา 177,347.63 19,973.72 1,065,707.32 2 สตลู 527,798.66 37,877.40 217,346.40 3 ปตั ตานี 587,022.92 48,823.87 157,373.91 4 ยะลา 2,782,966.89 314,418.95 489,921.26 5 นราธิวาส 14,256,630.98 2,131,096.62 538,199.05 2,468,547.94 รวม กยท.ข.ตล. 12,125,534.36 รวมท้ังประเทศ ท่ีมา : การยางแห่งประเทศไทยปี 2563 เมื่อพิจารณาข้อมูลจากตารางพบว่า ประเทศไทยมีพื้นที่ปลูกยางที่ขึ้นทะเบียนกับการยาง- แหง่ ประเทศไทยปี 2563 รวมทั้งส้ิน 14.2 ลา้ นไร่ ประกอบดว้ ย เนือ้ ทย่ี งั ไมเ่ ปดิ กรีด 2.1 ลา้ นไร่ เนือ้ ทีก่ รีดได้ทั้ง ประเทศ 12.1 ลา้ นไร่ พนื้ ทีค่ วามรบั ผิดชอบการยางแห่งประเทศไทยเขตภาคใต้ตอนล่าง ประกอบด้วย จังหวัด สงขลา สตูล ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส มีพื้นที่ปลูกยางที่ขึ้นทะเบียนรวม 2.7 ล้านไร่ ซึ่งเป็นพื้นที่ เปิดกรีดแล้ว 2.4 ลา้ นไร่ ตารางที่ 2 เน้ือท่สี วนยาง เน้อื ทเี่ ปิดกรีด ผลผลิตเฉลย่ี /ต่อไร่/ปี ที่ จงั หวัด เน้อื ทย่ี นื ต้น เนือ้ ที่เปดิ กรดี ผลผลิต ผลผลิตตอ่ ไร่ (ไร)่ (ไร่) (ตนั ) (กิโลกรัม) 1 สงขลา 462,978 2 สตลู 1,964,795 1,667,456 89,933 276 3 ปตั ตานี 421,558 361,175 87,532 249 4 ยะลา 366,694 343,262 272,668 255 5 นราธวิ าส 1,244,141 1,103,918 208,632 247 997,078 851,558 1,121,743 245 รวม กยท.ข.ตล. 4,994,266 4,327,369 254 ทีม่ า : สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร 2563

2 เมอ่ื พิจารณาขอ้ มูลจากตารางพบว่า พื้นที่ปลูกยางเขตภาคใตต้ อนลา่ ง จงั หวดั สงขลามีเนือ้ ท่ีปลูกมาก ที่สุด โดยมีเนื้อที่ยืนต้น 1,964,795 ไร่ เนื้อที่กรีดได้ 1,667,456 ไร่ รองลงมาเป็นจังหวัดยะลา มีเนื้อที่ ยืนต้น 1,244,141 ไร่ เนื้อที่กรดี ได้ 1,103,918 ไร่ จังหวัดนราธิวาส มีเนื้อที่ยืนต้น 997,078 ไร่ เนื้อที่กรีดได้ 851,558 ไร่ จังหวัดสตูล มีเนื้อที่ยืนต้น 421,558 ไร่ เนื้อที่กรีดได้ 361,175 ไร่ และจังหวัดปัตตานี มีเนื้อที่ ยนื ตน้ 366,694 ไร่ เนอ้ื ที่กรดี ได้ 343,262 ไร่ ตารางที่ 3 รูปแบบการผลิตยาง หนว่ ย : ตัน ท่ี จงั หวัด นำ้ ยางสด ยางก้อนถว้ ย ยางแผน่ ดิบ ยางแผน่ อน่ื ๆ รวม รมควนั 1 สงขลา 970,160.95 36,255.28 36,096.40 1,137.10 10,349.40 1,053,999.13 (92.05) (3.44) (3.42) (0.11) (0.98) (100.00) 2 สตลู 190,061.57 6,117.65 1,581.47 653.40 892.76 199,306.85 (95.36) (3.07) (0.79) (0.33) (0.45) (100.00) 3 ปตั ตานี 40,909.51 107,918.26 1,904.00 73.97 1,114.14 151,919.88 (26.93) (71.04) (1.25) (0.05) (0.73) (100.00) 4 ยะลา 86,674.06 344,487.82 48,027.18 965.50 364.14 480,518.70 (18.04) (71.69) (9.99) (0.20) (0.08) (100.00) 5 นราธิวาส 39,351.86 441,486.41 44,748.05 889.79 1,215.91 527,692.02 (7.46) (83.66) (8.48) (0.17) (0.23) (100.00) 6 รวม 1,327,390.32 936,414.66 132,372.57 3,720.45 13,938.59 2,413,836.58 กยท.ข.ตล. (54.99) (38.79) (5.48) (0.15) (0.58) (100.00) 7 รวมทัง้ 4,040,559.78 6,387,250.32 1,437,224.18 37,319.49 77,845.20 11,980,198.97 ประเทศ (33.73) (53.32) (12.00) (0.31) (0.65) (100.00) ท่มี า : การยางแหง่ ประเทศไทยปี 2563 เมื่อพิจารณาข้อมูลจากตารางพบว่า จังหวัดสงขลามีผลผลิตมากที่สุด จำนวน 1,053,999.13 ตัน รองลงมาเป็น จังหวัดนราธิวาส จำนวน 527,692.02 ตัน จังหวัดยะลา จำนวน 480,518.70 ตัน จังหวัดสตูล จำนวน 199,306.85 ตัน และจังหวดั ปัตตานี จำนวน 151,919.88 ตนั

3 รูปแบบการผลิตยางในเขตภาคใต้ตอนล่าง ท้งั นี้ หากมองในภาพรวมเขตภาคใตต้ อนล่างมีการผลิตน้ำยางสดมากทีส่ ุด จำนวน 1,327,390.32 ตัน คิด เป็นร้อยละ 54.99 รองลงมาเป็นยางก้อนถ้วย จำนวน 936,414.66 ตัน คิดเป็นร้อยละ 38.79 ยางแผ่นดิบ จำนวน 132,372.57 ตัน คดิ เปน็ ร้อยละ 5.48 และยางแผน่ รมควนั จำนวน 3,720.45 ตัน คดิ เปน็ รอ้ ยละ 0.15 และอ่นื ๆ 13,938.59 ตัน คดิ เปน็ ร้อยละ 0.58 ตามลำดับ ตารางที่ 4 สถาบันเกษตรกรในเขตภาคใตต้ อนล่าง ที่ จังหวัด กลุม่ สมาชิก (ราย) 1 สงขลา 72 50,726 2 สตลู 19 3,889 3 ปตั ตานี 12 1,674 4 ยะลา 30 21,901 5 นราธวิ าส 14 976 147 79,166 รวมกยท.ข.ตล 1,195 358,863 รวมท้ังประเทศ ท่มี า : การยางแห่งประเทศไทยปี 2563

4 ตารางท่ี 5 จำนวนโรงงานแปรรปู ยาง ท่ี จงั หวดั ยางแผน่ ยางแท่ง นำ้ ยางขน้ ยางผสม อน่ื ๆ รวม รมควัน 1 สงขลา 21 25 1 89 167 2 สตลู 31 1 - - 22 39 3 ปตั ตานี 16 3 1 - 4 9 4 ยะลา 1 3 7 - 12 31 5 นราธิวาส 9 2 - - 2 5 1 30 33 1 129 251 รวม 58 ที่มา : กรมโรงงานอุตสาหกรรมปี 2563 เมื่อพจิ ารณาข้อมูลจากตารางพบว่า เขตภาคใต้ตอนลา่ งจังหวัดสงขลามีโรงงานแปรรูปผลิตภัณฑ์ยาง มากที่สุด จำนวน 167 แห่ง รองลงมาเป็นจังหวัดสตูล จำนวน 39 แห่ง จังหวัดยะลา จำนวน 31 แห่ง จังหวัด ปตั ตานี จำนวน 9 แหง่ และจงั หวัดนราธิวาส จำนวน 5 แหง่ ทั้งนี้ หากจำแนกประเภทโรงงานแปรรูปในภาพรวมพบว่า เขตภาคใต้ตอนล่างมีโรงงานแปรรูปยาง แผ่นรมควันมากที่สุด จำนวน 58 แห่ง รองลงมาเป็นโรงงานแปรรูปน้ำยางข้น จำนวน 33 แห่ง โรงงานแปรรูป ยางแท่ง จำนวน 30 แห่ง และโรงงานแปรรูปยางผสม จำนวน 1 แห่ง อนึ่ง ยังมีโรงงานแปรรูปยางประเภท อืน่ ๆ อาทิ ยางแผน่ ผึง่ แหง้ ยางสกิม ยางเครพ เป็นต้น จำนวน 129 แหง่ 2. การวิเคราะห์ตลาด (Market Analysis) การวิเคราะห์ตลาด (Market Analysis) ของ ตลาดกลางยางพาราของการยางแห่งประเทศไทย ประกอบด้วย การแบ่งส่วนตลาด (Market Segment) ขนาดของตลาด (Market Size) ส่วนแบ่งตลาด (Market Share) การเติบโตของตลาด (Market Growth) แนวโนม้ ตลาด (Market Trends) บทวเิ คราะห์สถานการณ์ตลาด 2.1 การแบ่งส่วนตลาด (Market Segment) หมายถงึ กระบวนการในการแบ่งหรือแยกลูกค้า ออกเป็นกลุ่มย่อย ๆ เพื่อให้ลูกค้าที่มีลักษณะความต้องการคล้ายคลึงกันมาอยู่ในกลุ่มเดียวกัน ทำให้เพิ่ม ประสิทธิภาพในการทำงานทางการตลาด และจัดสรรงบประมาณในการเข้าถึงลูกค้าเป้าหมายแต่ละกลุ่ม ซึ่งมีความต้องการแตกต่างกันในพื้นที่จังหวัดสงขลา ทั้งน้ีห่วงโซ่อุปทานของอุตสาหกรรมยางพาราไทย ประกอบด้วย 2.1.1 อุตสาหกรรมขั้นต้น (ต้นน้ำ) หมายถึง เกษตรกรชาวสวนยางซึ่งเป็นผู้ปลูก ยางพารา (Natural Rubber) กรีดน้ำยางสด และบางรายมีการแปรรูปยางเบื้องต้นในรูปของยางแห้ง (อาทิ ยางก้อนถ้วย เศษยาง ยางแผ่นดิบ ยางเครพ) ซึ่งผลผลิตยางขั้นต้นเกือบทั้งหมดของไทยใช้เป็นวัตถุดิบใน อตุ สาหกรรมยางพาราขั้นกลางในประเทศ 2.1.2 อุตสาหกรรมขั้นกลางหรืออุตสาหกรรมยางพาราแปรรูป (กลางน้ำ) เปน็ การนำ ผลผลิตยางขน้ั ตน้ จากเกษตรกรมาแปรรปู เป็นผลิตภัณฑ์ยางขั้นกลาง อาทิ ยางแผน่ รมควนั ยางแท่ง น้ำยางข้น ยางผสม ยางสกิม ทม่ี ลี กั ษณะและคณุ สมบตั เิ หมาะสำหรับเป็นวัตถดุ ิบในการผลติ ผลิตภัณฑ์ยางขั้นปลาย

5 2.1.3 อุตสาหกรรมขั้นปลายหรืออุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์ยาง (ปลายน้ำ) อาทิ ยางรถยนต์ ถุงมอื ยาง ถงุ ยางอนามัย ยางยดื เป็นต้น โดยในการผลิตผลติ ภณั ฑย์ างข้ันปลายบางประเภทอาจใช้ ยางสังเคราะห์ (Synthetic Rubber : SR) ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีเป็นวัตถุดิบร่วมเพื่อให้มีคุณสมบัติที่ เหมาะสำหรับการผลติ ผลิตภณั ฑ์ยางขน้ั ปลายแต่ละประเภท ในส่วนตน้ นำ้ การผลิตยางของเกษตรกรในพื้นท่ีจังหวัดสงขลาส่วนใหญผ่ ลติ และจำหนา่ ยให้แก่พ่อค้า คนกลางระดับหมูบ่ ้าน/อำเภอ หรือจำหนา่ ยแก่กลุม่ สถาบันเกษตรกรในรูปแบบของน้ำยางสดเพือ่ ใหผ้ ู้ซื้อหรอื โรงงานแปรรูปขั้นต้นนำไปแปรรูปเป็น น้ำยางข้น ยางแท่ง ยางแผ่นรมควัน คิดเป็นร้อยละ 93.81 รองลงมา ผลิตเปน็ ยางแผ่นดิบคิดเป็นรอ้ ยละ 3.17 และ ผลิตเปน็ ยางกอ้ นถ้วย/เศษยาง คดิ เปน็ ร้อยละ 3.02 ตามลำดับ กลางน้ำในพื้นทจ่ี ังหวัดสงขลามโี รงงานแปรรูปขั้นต้นเป็นน้ำยางข้น จำนวน 25 แหง่ ยางแท่ง จำนวน 21 แห่ง ยางแผน่ รมควนั จำนวน 31 แหง่ และอื่น ๆ เชน่ ยางแผ่นผึง่ แหง้ ยางสกมิ ยางเครฟ จำนวน 90 แห่ง ปลายน้ำเป็นกลุ่มธุรกิจอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์ยางพาราในประเทศไทยจะนำยางไปแปรรูปเป็น ผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ เช่น หมอน/ที่นอนยางพารา ผลิตภัณฑ์ยาง ถุงมือยาง ถุงยางอนามัย ถนนยางพารา ยางรัดของ ยางลอ้ รถยนต์ รองเทา้ กีฬา เป็นต้น

6 วิถีตลาดยางของจงั หวัดสงขลา ทีม่ า : สำนกั งานตลาดกลางยางพาราจงั หวดั สงขลาปี 2563 หมายเหตุ : ตัวเลขแสดงข้อมูลปริมาณยางเฉพาะผลผลิตที่ในพื้นที่จังหวัดสงขลาเท่านั้น ไม่รวมผลผลิตจาก สมาชิกตลาดกลางยางพาราจังหวัดสงขลาที่อยู่จังหวัดอื่น ๆ ที่นำยางมาขาย ณ สำนักงาน- ตลาดกลางยางพาราจังหวดั สงขลา ปี 2563 จังหวัดสงขลามีพ่อค้า/ผู้รวบรวมยาง จำนวน 33 ราย กลุ่ม/สถาบันเกษตรกรที่สมัครเป็น สมาชิกขายยางแผน่ รมควัน จำนวน 34 แห่ง กลุ่ม/สถาบันเกษตรกรทส่ี มัครเป็นสมาชิกผขู้ ายน้ำยางสด จำนวน 32 แห่ง พบว่าผลผลิตยางในพื้นที่จังหวัดสงขลามีจำนวนทั้งสิ้น 413,216 ตัน โดยเกษตรกรขายยางให้กับ พ่อคา้ ผู้รวบรวม กลุ่ม/สถาบันเกษตร ขายน้ำยางสด ยางแผ่นดิบ ยางแผ่นรมควันให้กับสำนักงานตลาดกลาง- ยางพาราจงั หวัดสงขลารอ้ ยละ 4.90 และกลุ่ม/สถาบนั เกษตรกร พอ่ ค้า/ผู้รวบรวม ขายต่อให้กบั โรงงานแปรรูป คดิ เปน็ ร้อยละ 95.10 2.2 ขนาดของตลาด (Market Size) เมื่อพิจารณาปริมาณการซื้อขายยางผ่านตลาดกลาง- ยางพาราของการยางแหง่ ประเทศไทย ในปี 2563 อยูท่ ี่ 207,178 ตัน คิดเป็นมูลค่า 8,441.46 ล้านบาท และ เมื่อเทียบกับความต้องการใช้ในประเทศและปริมาณการส่งออกในปี 2563 ปริมาณการซื้อขายยางผ่าน ตลาดกลางยางพารา คิดเป็นร้อยละ 30.16 และ 5.47 ของปริมาณการส่งออกยางธรรมชาติของไทย โดยใน ปี 2563 สำนักงานตลาดกลางยางพาราจังหวัดสงขลา มีปริมาณการซื้อขายยางอยู่ที่ 45241.45 ตัน คิดเป็น มลู คา่ 1,927.78 ลา้ นบาท มสี มาชิกผ้ซู ือ้ และผ้ขู าย ดังนี้ 2.2.1 ผู้ซื้อยาง คือ ผู้ที่สมัครเป็นสมาชิกผู้ซื้อยางของสำนักงานตลาดกลางยางพารา- จังหวัดสงขลา โดยปี 2562 มีสมาชิกผู้ซื้อ จำนวน 35 ราย และปี 2563 มีสมาชิกผู้ซื้อยาง จำนวน 42 ราย ประกอบด้วย เกษตรกรชาวสวนยาง กลุ่ม/สถาบันเกษตรกร พ่อค้า/ผู้รวบรวมยาง ดังนั้น โดยสัดส่วนของ จำนวนสมาชิกผซู้ ้อื ยางเพิ่มข้ึนคิดเป็นรอ้ ยละ 13.33 2.2.2 ผู้ขาย คือ ผทู้ ่สี มคั รเปน็ สมาชกิ ผู้ขายยางของสำนักงานตลาดกลางยางพาราจังหวัด- สงขลา โดยปี 2562 มีสมาชิกผู้ขาย จำนวน 210 ราย และปี 2563 มีสมาชิกผู้ขายยาง จำนวน 238 ราย โดย สัดสว่ นของจำนวนสมาชกิ ผขู้ ายยางเพิม่ ขึ้นคิดเป็นร้อยละ 20.00

7 จํานวนเครอื ขา่ ยตลาดกลางยางพารา จงั หวัดสงขลา(แห่ง) 80 67 60 40 59 40 ปี 2563 ปี 2564 20 0 ปี 2562 ที่มา: สำนกั งานตลาดกลางยางพาราจังหวัดสงขลา ปี 2563 จากกราฟพบว่า จำนวนผู้สมัครเป็นสมาชิกผู้ซื้อผู้ขายยางของสำนักงานตลาดกลางยางพารา จังหวัดสงขลา มีจำนวนเพิ่มขึ้นจากปี 2562 มีผู้สมัครสมาชิกผู้ซื้อผู้ขายทั้งสิ้น 245 ราย และในปี 2563 มีผู้สมัครเป็นสมาชิกผู้ซื้อผู้ขายรวมทั้งสิ้น 280 ราย เพิ่มขึ้นร้อยละ 14.28 นอกจากนี้ สำนักงานตลาดกลาง ยางพาราจังหวดั สงขลามีการเปิดตลาดเครือข่ายในพื้นที่ห่างไกลจากตลาดกลาง เพื่อให้เกษตรกรสามารถขาย ยางผ่านตลาดเครือข่ายได้ โดยมีการขยายตลาดเครือข่ายของสำนักงานตลาดกลางยางพาราจังหวัดสงขลา เพมิ่ ข้ึนในทุกปี ตั้งแตป่ ี 2562 มตี ลาดเครอื ข่ายจำนวน 40 แหง่ ปี 2563 มีตลาดเครือข่ายจำนวน 59 แหง่ และ ปี 2564 (มกราคม - มิถนุ ายน) มีตลาดเครือข่ายจำนวน 67 แห่ง สำนักงานตลาดกลางยางพาราจังหวัดสงขลามีขนาดตลาดที่เติบโตขึ้น หากต้องการเพ่ิมขนาด ตลาดของผู้ขาย จะต้องเร่งทำแผนการติดตามลูกค้ารายเดิม แสวงหาลูกค้ารายใหม่ ทำแผนขยายตลาด- เครือข่าย การประชาสัมพันธ์ตลาดและการส่งเสริมการผลิตยางที่มีคุณภาพผ่านกลุ่มเกษตรกร การยกระดับ มาตรฐานการให้บริการตลาด ซึง่ สามารถเพ่ิมขนาดตลาดได้อีก นอกจากน้ีตลาดทง้ั ในประเทศและต่างประเทศ มีความต้องการน้ำยางสดและน้ำยางข้นเพิ่มมากขึ้น เพื่อผลิตผลิตภัณฑ์ป้องกันโรค เช่น ถุงมือยาง ถุงยาง- อนามัย ดังนั้น ตลาดกลางยางพาราจะต้องมุ่งหากลุ่มเป้าหมายผู้ผลิตน้ำยางสด และผู้ซื้อที่มีความต้องการ น้ำยางสดและน้ำยางขน้ อย่างตอ่ เนอื่ ง 2.3 การแบ่งส่วนตลาด (Market Segment) สำนักงานตลาดกลางยางพาราสงขลา เปิดให้บริการซื้อขายยาง 3 ประเภท ได้แก่ น้ำยางสด ยางแผ่นดิบ และยางแผ่นรมควัน (ไม่อัดก้อน) โดย สามารถแบง่ กลมุ่ การซ้ือขายตามกิจกรรมการซ้ือขายได้ 5 กลุ่ม ดังน้ี 2.3.1 น้ำยางสด 2.3.2 ยางแผน่ ดบิ 2.3.3 ยางแผน่ รมควนั 2.3.4 ยางล่วงหน้าแบบส่งมอบจริง (7 วนั ) 2.3.5 ยางตลาดเครือขา่ ย (ยางแผ่นรมควนั ชั้น 3)

8 ทมี่ า สำนักงานตลาดกลางยางพาราจังหวดั สงขลา 2563 จากกราฟพบว่า ในปี 2563 สำนักงานตลาดกลางยางพาราจังหวัดสงขลาดำเนินกิจกรรม การซื้อขายน้ำยางสดมีปริมาณการซื้อขายสูงที่สุด คิดเป็นร้อยละ 46 รองลงมากิจกรรมการซื้อขายยางแผ่น รมควนั ณ ตลาดที่ต้ัง คิดเปน็ รอ้ ยละ 34 กจิ กรรมการซ้อื ขายตลาดเครือขา่ ยยางแผน่ รมควัน คดิ เป็นร้อยละ 14 กจิ กรรมการซอ้ื ขายยางแผ่นดบิ คิดเปน็ ร้อยละ 5 และกจิ กรรมการซอ้ื ขายลว่ งหน้าส่งมอบจริง คิดเป็นร้อยละ 1 ตามลำดับ นอกจากการแบ่งส่วนตลาด (Market Segment) ตามปริมาณยางของแต่ละกิจกรรมที่มีการ ซื้อขายในตลาดกลางยางพาราจังหวัดสงขลาแล้ว สามารถแบ่งกลุ่มตามประเภทของลูกค้าได้ 2 กลุ่ม คือ ผู้ซื้อ หรอื ผู้ประมลู ยาง และผูข้ าย ผู้ซ้ือยาง คือ ผู้ที่สมัครเป็นสมาชิกผูซ้ ือ้ ยางของสำนักงานตลาดกลางยางพาราจงั หวัดสงขลา โดย ในปี 2563 ผ้ซู อ้ื ยางมจี ำนวน 42 ราย ผู้ขาย คอื ผู้ทส่ี มัครเป็นสมาชิกผขู้ ายยางของสำนักงานตลาดกลางยางพาราจังหวดั สงขลา โดยใน ปี 2563 ผู้ขายยางมีจำนวน 210 ราย

9 2.4 การเตบิ โตของตลาด (Market Growth) เปรยี บเทยี บปริมาณยางสาํ นักงานตลาดกลางยางพาราจังหวัดสงขลา ปี 2563 และปี 8000 7495 2564 ป ิรมาณยางห ่นวย(ตัน) 66503536 5946 6055 6000 4927 4977 5099 4592 4771 3992 3442 3651 2253 2778 4000 2000 143251 1493 0 ม.ค. ก.พ. มี.ค. เม.ย. พ.ค. มิ.ย. ก.ค. ส.ค. ก.ย. ต.ค. พ.ย. ธ.ค. ปี 2563 ปี 2564 ทีม่ า : สำนักงานตลาดกลางยางพาราจงั หวัดสงขลา เมื่อเปรียบเทียบปริมาณยางที่มีการซื้อขายของสำนกั งานตลาดกลางยางพาราจังหวัดสงขลา ในเดือน มกราคม 2563 ถึงเดือนมิถุนายน 2563 และเดือนมกราคม 2564 ถึงเดือนมิถุนายน 2564 พบว่า มีปริมาณที่ เพิ่มขึ้นในช่วง 6 เดือนแรกของปี ซึ่งสำนักงานตลาดกลางยางพาราจังหวดั สงขลามีอัตราการเติบโตที่เพ่ิมข้ึน แนวโน้มปริมาณการซ้ือขายยางผ่านสำนกั งานตลาดกลางยางพาราท่ีเพิ่มขึน้ ร้อยละ 42.77 และเมือ่ เปรียบเทียบ มูลค่าพบว่าในช่วงเวลาเดยี วกัน ในปี 2563 กบั ปี 2564 มมี ลู คา่ ทเ่ี พม่ิ ขน้ึ ร้อยละ 101.12 มลู ค่ายางซ้ือขายผ่านสำนักงานตลาดกลางยางพาราจังหวดั สงขลา ปี 2563 และปี 2564 (เดือนมกราคม - เดือนมถิ ุนายน) เดอื น มลู คา่ ยาง (บาท) ปี 2564 มกราคม ปี 2563 19,589,044 กมุ ภาพนั ธ์ 72,975,808 41,421,704 มีนาคม 211,095,179 21,774,407 เมษายน 166,797,684 85,721,418 พฤษภาคม 1,652,928 25,489,026 มิถนุ ายน 9,239,834 35,363,774 8,121,733 ท่มี า : สำนักงานตลาดกลางยางพาราจังหวดั สงขลา

10 2.5 แนวโน้มตลาด (Market Trends) ผลิตภัณฑ์ยางพาราของไทยในช่วงปี 2564 - 2566 มีแนวโน้มฟื้นตัว โดยคาดว่าความ ตอ้ งการใช้จะขยายตวั ตามทิศทางของอตุ สาหกรรมที่เกีย่ วเนื่องที่มแี นวโนม้ เติบโต ไดแ้ ก่ กล่มุ ยานยนต์ อุปกรณ์ การแพทย์ โดยเฉพาะถุงมือยาง รวมทั้งการเร่งลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่จะเพิ่มความตอ้ งการใช้ยางในภาค ก่อสร้าง ขณะที่การส่งออกกลุ่มยางแผ่นและยางแท่งยังมีแนวโน้มขยายตัวในอัตราต่ำ จากแรงกดดันด้าน การแข่งขันกับประเทศคู่แข่งในกลุ่ม CLMV (กัมพูชา สปป.ลาว เมียนมา และเวียดนาม) ที่มีการผลิตเพิ่มขึ้น ส่วนหนึ่งเป็นการลงทุนจากจีน ทั้งการเข้าไปปลูกและตั้งโรงงานผลิต ขณะที่การส่งออกน้ำยางข้น ยางคอมพาวด์ และยางผสม ยังมโี อกาสเติบโตตามความต้องการของตลาดโลกท่ีขยายตวั ดี ผลผลิตยางข้ันกลาง ของไทยส่วนใหญ่ส่งออกเพือ่ ผลิตผลิตภัณฑ์ยางขั้นปลายในต่างประเทศ (สัดส่วนร้อยละ 86.70 ของผลิตภัณฑ์ ยางขั้นกลางทั้งหมด ข้อมูล ณ ปี 2563) โดยตลาดส่งออกที่สำคัญ คือ จีน (สัดส่วนร้อยละ 36.60 ของมูลค่า การส่งออกผลิตภัณฑ์ยางขั้นกลางทั้งหมด) มาเลเซีย (ร้อยละ 22.60) สหรัฐอเมริกา (ร้อยละ 6.50) ญี่ปุ่น (ร้อยละ 5.70) และเกาหลีใต้ (ร้อยละ 3.40) ผลผลิตท่ีเหลอื (ร้อยละ 13.30) ถกู นำไปใช้เป็นวตั ถุดิบในการผลิต ผลิตภัณฑ์ยางขั้นปลายภายในประเทศ โดยใชใ้ นอุตสาหกรรมยางรถยนต์เป็นหลัก (ร้อยละ 48.90 ของความ ต้องการใช้ผลิตภัณฑ์ยางพาราขั้นกลางทั้งหมดในประเทศ) รองลงมาคือ ยางยืด (ร้อยละ19.70) ถุงมือยาง (ร้อยละ 13.00) และอื่น ๆ อาทิ ท่อยาง ถุงยางอนามัย ยางรัด เป็นต้น ทั้งนี้ โครงสร้างการผลิตผลิตภณั ฑ์ยาง ขั้นกลางของไทยประกอบด้วย ยางแผ่น ยางแท่ง น้ำยางข้น และอื่น ๆ โดยยางแท่งเป็นผลิตภัณฑ์ยางพารา ข้ันกลางทไ่ี ทยมีปริมาณการผลติ สงู สุด สดั สว่ นประมาณรอ้ ยละ 30.50 ของปรมิ าณการผลิตผลิตภณั ฑ์ยางพารา ขน้ั กลางทั้งหมดของไทย อุตสาหกรรมน้ำยางข้น (Concentrated Latex) เป็นการนำน้ำยางสดมาผ่านกระบวนการป่ัน แยกด้วยความเร็วสูงเพื่อแยกน้ำและสารละลายอื่นๆ ที่เจือปนอยู่ในน้ำออกไป ทำให้ได้น้ำยางข้นที่มเี นื้อยาง ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 60.0 ของปริมาณน้ำยางทั้งหมด ซึ่งมีคุณสมบัติที่เหมาะสำหรับนำไปเป็นวัตถุดิบใน อุตสาหกรรมต่อเนื่อง อุตสาหกรรมน้ำยางข้นของไทยมีมูลค่าตลาดประมาณ 5.0 หมื่นล้านบาทในปี 2563 (รวมส่งออกและใช้ในประเทศ) โดยเน้นส่งออกในสัดส่วนร้อยละ 75.9 ของปริมาณการจำหน่ายทั้งหมด และ ไทยมีส่วนแบ่งตลาดสูงเป็นอันดับหนึ่งของโลกเกือบร้อยละ 70.0 ของปริมาณการค้าน้ำยางข้นทั่วโลก ตลาดส่งออกหลักคือ มาเลเซียที่มีสัดส่วนถึงครึ่งหนึ่งของปริมาณส่งออกน้ำยางข้นทั้งหมด รองลงมาเป็นจีน (ร้อยละ33.5) และเกาหลีใต้ (ร้อยละ 1.8) ทั้งนี้ความต้องการใช้น้ำยางข้นในอุตสาหกรรมขั้นปลายของ ตลาดส่งออกสว่ นใหญ่มาจากอตุ สาหกรรมถงุ มือยางและถุงยางอนามัย อุตสาหกรรมยางแผ่นรมควัน (Ribbed Smoked Sheet : RSS) เป็นการนำน้ำยางสดมาผ่าน กระบวนการกรองเพื่อแยกสิ่งสกปรกและสิ่งเจือปน เติมกรดฟอร์มิกเข้มข้นเพื่อให้น้ำยางจับตัว แล้วนำไปรีด เป็นแผ่น จะได้ “ยางแผน่ ดิบ” จากนน้ั นำไปผึง่ แดดประมาณ 6 ช่วั โมงจะได้ “ยางแผ่นผ่งึ แห้ง” และหากนำไป ผา่ นกระบวนการรมควนั หรอื อบยาง (เพอื่ ลดความชน้ื และปอ้ งกนั การเกดิ เช้ือรา) จะเรยี กวา่ “ยางแผน่ รมควัน” ซง่ึ เป็นยางแผ่นแห้งท่ีสามารถเก็บไว้ได้นานกว่ายางแผ่นประเภทอ่ืน ทัง้ นี้ การผลิตยางแผ่นรมควันของไทยกว่า ร้อยละ 90 เป็นยางแผ่นรมควันชั้น 3 ซึ่งเป็นเกรดมาตรฐานและมีคุณสมบัติเทียบเทา่ ยางแท่งสามารถนำไปใช้ ในการผลิตยางรถยนต์ และผลิตภัณฑ์อื่น ๆ อาทิ สายพาน ท่อยาง ชิ้นส่วนยางสำหรับ ยานยนต์ รองเท้ายาง ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ปริมาณส่งออกยางแผ่นรมควันของโลกทยอยลดลงจาก 1.7 ล้านตัน ในปี 2553 เหลือ 1.3 ล้านตันในปี 2563 ส่วนหนึง่ เป็นผลของการหันไปใชย้ างแท่งเปน็ วตั ถุดิบทดแทนมากขึ้น เนื่องจากสามารถ ควบคุมคุณภาพให้ได้ตามมาตรฐานที่แน่นอนกว่า ส่งผลให้ผู้ผลิตยางรถยนต์นิยมไปใช้ยางแท่งผลิตยางรถยนต์

11 ในสัดส่วนที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะอุตสาหกรรมยางรถยนต์ในจีนซึ่งมีอัตราการเติบโตสูง มูลค่าตลาดของ อุตสาหกรรมยางแผ่นรมควันของไทยในปี 2563 (ส่งออกและใช้ในประเทศ) ลดลงเหลือเพียง 2.7 หมื่น- ล้านบาท จาก 8.3 หมื่นล้านบาทในปี 2553 หรือลดลงเฉลี่ยรอ้ ยละ 10.7 อย่างไรก็ตาม ไทยยังครองสว่ นแบ่ง ตลาดเป็นอันดับหนึ่งของโลก ตลาดส่งออกหลัก ได้แก่ ญี่ปุ่น สัดส่วนร้อยละ 23.9 ของปริมาณส่งออกยาง- แผน่ รมควนั ทัง้ หมดของไทย สหรัฐอเมรกิ า (รอ้ ยละ 16.1) และจีน (รอ้ ยละ 15.4) อุตสาหกรรมยางแท่ง (Technically Specified Rubber : TSR) เป็นการนำน้ำยางสดหรือ ยางแห้ง (เช่น ยางแผ่นดิบ ยางก้อนถ้วย เศษยาง) มาย่อยเป็นชิ้นเล็ก ๆ จากน้ันจึงนำมาล้าง อบแห้ง และอัด เป็นแท่ง โดยยางแท่งท่ีผลิตในไทยจำแนกตามวตั ถุดิบได้ 2 ประเภท ได้แก่ (1) ยางแท่งที่ผลติ จากน้ำยางสดจะ มคี ณุ สมบตั ิทางกายภาพทัง้ ความบริสทุ ธิ์ ความยืดหยุ่น และความหนดื สูง จงึ เหมาะสำหรบั นำไปผลิตผลติ ภัณฑ์ ที่มีคุณภาพหรือใช้สมรรถนะสูง เช่น ยางเรเดียล ยางเครื่องบิน นอกจากนี้ยังสามารถนำไปผลิตผลิตภัณฑ์ ยางอนื่ ๆ อีกหลากหลายประเภท เชน่ ยางรัดของ ยางรดั ผม อปุ กรณ์กฬี า และชิ้นสว่ นยางต่าง ๆ โดยยางแท่ง ที่ผลิตจากยางแห้งในไทยส่วนใหญ่เป็นยางแท่ง STR 20 ที่มักนำไปผลิตในอุตสาหกรรมยางล้อยานพาหนะ ตา่ ง ๆ โดยอตุ สาหกรรมยางแท่งของไทยมีมลู ค่าตลาดประมาณ 6.0 หมื่นลา้ นบาทในปี 2563 (รวมส่งออกและ ใช้ในประเทศ) โดยเน้นส่งออกในสัดส่วนสูงถึงร้อยละ 82.8 ของปริมาณการจำหน่ายทั้งหมด และไทยมี สว่ นแบ่งตลาดเป็นอันดบั สองของโลก รองจากอนิ โดนีเซยี ตลาดส่งออกหลัก คอื จีน สดั ส่วนรอ้ ยละ 47.9 ของ ปริมาณส่งออกยางแท่งของไทย สหรัฐอเมริกา (ร้อยละ 8.5) และเกาหลีใต้ (ร้อยละ 5.9) สำหรับตลาด ในประเทศความตอ้ งการใช้เกือบทั้งหมดมาจากอตุ สาหกรรมยางรถยนต์ อุตสาหกรรมยางอื่น ๆ คือ ยางคอมพาวด์ (Compound Rubber) และยางผสม (Mixer Rubber) เป็นผลิตภัณฑ์ยางขั้นกลางที่มีส่วนผสมของยางธรรมชาติ ยางสังเคราะห์ และสารเคมีต่าง ๆ เช่น สารวัลคาไนซ์ สารตัวเร่งปฏิกิริยา สารตัวเติม เป็นต้น เพื่อให้มีคุณสมบัติพิเศษที่เหมาะในการนำไปขึ้นรูป ผลิตภัณฑ์ยางขั้นปลายประเภทต่าง ๆ อาทิ ยางรถยนต์ ถุงมือยาง ยางรองคอสะพาน ท่อยาง ยางรัดของ อุตสาหกรรมยางคอมพาวด์และยางผสมของไทยมีมลู ค่าตลาดราว 7.5 พันลา้ นบาท โดยตลาดส่งออกมีสัดส่วน สูงถึงร้อยละ 99.0 ของปริมาณจำหน่ายทั้งหมด ขณะที่ส่วนแบ่งในตลาดโลกอยู่ที่อันดับสองรองจากเกาหลีใต้ โดยอุตสาหกรรมนี้เป็นการผลิตเพื่อสนองความต้องการตลาดจีนซึ่งเป็นตลาดส่งออกหลักคิดเป็นสัดส่วนราว ร้อยละ 87.9 ในปี 2563 ทั้งนี้ การผลิตยางคอมพาวด์และยางผสมของไทยส่วนใหญ่จะมียางธรรมชาติเป็น วัตถุดิบหลักสัดส่วนประมาณร้อยละ 80 - 95 ของปริมาณวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตทั้งหมด ขึ้นอยู่กับ ความต้องการของประเทศค่คู ้าในการนำไปข้ึนรปู เปน็ ผลิตภณั ฑ์ยางข้ันปลายแต่ละประเภท จากลักษณะธุรกิจที่เน้นพึ่งพาตลาดส่งออก ทำให้ภาวะอุตสาหกรรมยางพาราขั้นกลางของไทย ผันแปรตามภาวะเศรษฐกิจโลกและอุตสาหกรรมขัน้ ปลายในต่างประเทศ อีกทงั้ ลักษณะสินค้าท่ีเปน็ การแปรรูป อย่างง่ายและสินค้ามีความแตกต่างกันน้อย ทำให้อุตสาหกรรมยางพาราขั้นกลางของไทยเผชิญการแข่งขัน รุนแรงในตลาดโลกท่ามกลางอุปทานส่วนเกินสูงจากประเทศคู่แข่ง ซึ่งในปี 2563 ผลผลิตยางพาราทั่วโลกมี ปริมาณทั้งสิ้น 12.9 ล้านตัน โดยประเทศไทยมีผลผลิตยางพารามากเป็นอันดับ 1 ของโลก ประมาณ 4.4 ล้านตัน หรือร้อยละ 38.2 ของผลผลิตโลก รองลงมาได้แก่ อินโดนีเซีย เวียดนาม จีน มาเลเซีย และอินเดีย ปัจจุบันไทยยังคงสถานะเป็นผู้ส่งออกผลิตภัณฑ์ยางขั้นกลาง (Intermediate Rubber Industry) สำคัญของ โลก โดยเฉพาะน้ำยางข้นและยางแผ่นรมควันที่ไทยมีการส่งออกมากเป็นอันดับหนึ่งของโลก ขณะที่ปริมาณ การบริโภคผลิตภัณฑ์ยางพาราขั้นกลางทั่วโลกในปี 2563 อยู่ที่ 12.5 ล้านตัน โดยผู้บริโภคและผู้นำเข้า ยางพารารายใหญ่ที่สุดของโลก คือประเทศจีน ดว้ ยสัดส่วนสูงถึง 40.1% และ 23.2% ของปริมาณการบริโภค และนำเข้าของโลก นอกจากนี้ จากกรณีที่จีนเข้าไปลงทุนขยายพื้นที่ปลูกยางพาราในประเทศกลุ่ม CLMV ในช่วงปี 2549 - 2555 ทำให้มีปริมาณผลผลิตทยอยออกสู่ตลาดมากขึ้น ไทยจึงเสียส่วนแบ่งตลาดให้กับ ประเทศคูแ่ ขง่ ดงั กล่าว

12 แนวโน้มของตลาดผลผลิตยางพาราโลกในช่วง 1-3 ปีข้างหน้า คาดว่าจะมีแนวโน้มเติบโตในอัตรา เฉล่ยี ที่รอ้ ยละ 3.0 - 4.0 ต่อปี ปัจจัยหนุนจากการขยายพ้นื ทีป่ ลูกในชว่ งปี 2547 - 2555 ทท่ี ยอยกรดี ไดเ้ พ่ิมข้ึน และผลผลิตน้ำยางต่อไร่เพิ่มสูงขึ้น ภูมิอากาศที่เอื้ออำนวย ราคายางพารามีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้นตาม ความต้องการใช้ในอุตสาหกรรมต่อเนื่องที่คาดว่าจะปรับตัวดีขึ้น และ มาตรการสนับสนุนด้านการเกษตรของ ภาครัฐในแต่ละประเทศที่จูงใจให้เกษตรกรเก็บเกี่ยวผลผลิต ในขณะที่ความต้องการใช้ยางพาราข้ันกลางของ โลกคาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 5.0 - 6.0 ต่อปี ตามการเติบโตของเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมเกี่ยวเนื่องที่จะ ทยอยฟื้นตัวหลังผลกระทบของโรคระบาด COVID - 19 บรรเทาลง การขยายตัวของความต้องการใช้ที่มี แนวโนม้ จะเร่งตัวมากกว่าผลผลิตเน่ืองจากผลกระทบของ COVID-19 ทำให้คาดว่าสต๊อกโลกจะปรับลดลงมาท่ี 3.0 ลา้ นตนั ในปี 2566 จาก 3.4 ลา้ นตนั ในปี 2563 ราคายางพาราในตลาดโลก (RSS 3) โดยเฉลย่ี จึงมแี นวโน้ม ปรบั ข้นึ มาอยู่ท่ี 1,680 - 1,800 ดอลลารส์ หรัฐฯ ต่อตันในชว่ งปี 2564 - 2566 เทยี บกับ 1,620 ดอลลารส์ หรัฐฯ ตอ่ ตนั ในปี 2563

13 บทวเิ คราะหส์ ถานการณ์ยาง สถานการณ์ราคายางปี 2558 - 2563 สถานการณ์ราคายางปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง หลังจาก ราคายางปรับตัวสูงขึ้นจนแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในปี 2554 โดยราคายางแผ่นรมควันชั้น 3 FOB. กรงุ เทพฯ เฉลยี่ ท่ีระดบั 148.32 บาท หลงั จากน้นั ราคาปรับตวั ลดลงอยา่ งต่อเน่ืองแตะทร่ี ะดับเฉลี่ยกิโลกรัมละ 54.18 บาท ในปี 2558 เนื่องจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก หลังจากผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของจนี ปรับลดลงแตะระดับร้อยละ 6.9 ตำ่ สุดในรอบ 24 ปี และสถานการณต์ ึงเครียดในตะวนั ออกกลาง ตลอดจนราคาน้ำมันตลาดโลกผันผวนปรบั ตัวลดลงตำ่ สุดในรอบ 6 ปี ขณะที่ประเทศผู้ใช้ยางรายใหญ่อย่างจนี ไม่เร่งซื้อ เพราะสต็อกยางภายในประเทศมีจำนวนมากแตะระดับสูงสุดในรอบเกอื บ 10 ปี อย่างไรก็ตาม ราคา ยางแผ่นรมควันชั้น 3 FOB. กรุงเทพฯ ได้ปรับตวั สูงขึ้นอยา่ งต่อเนื่องในปี 2559 และปี 2560 เฉลี่ยกิโลกรัมละ 58.23 บาท และ 69.22 บาท ตามลำดบั สอดคลอ้ งกับราคาซ้อื ขายยางแผ่นรมควันช้นั 3 ตลาดลว่ งหน้าโตเกียว และสิงคโปร์ ที่ปรับตัวสูงขึ้นเฉลี่ยกิโลกรัมละ 71.74 บาท และ 68.22 บาท ในปี 2560 จากเฉลี่ยกิโลกรัมละ 53.25 บาท และ 53.16 บาท ในปี 2558 สาเหตุจากปัจจัยด้านอุปสงค์ที่เร่งตัวขึ้นตามการฟื้นตัวของ เศรษฐกิจโลก และยอดขายรถยนต์ของประเทศจีนที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับปริมาณยางออกสู่ตลาด ลดลง จากสถานการณ์ฝนตกหนักและน้ำท่วมในหลายพื้นที่ทางภาคใต้ของไทยในช่วงเดือน มกราคม 2560 ส่งผลให้นักลงทุนเกิดความกังวลว่าจะเกิดภาวะขาดแคลนยาง ราคายางจึงทำสถิติสูงสุดในรอบกว่า 4 ปี อยา่ งไรก็ดีในปลายปี 2560 ราคายางเรมิ่ ปรับตวั ลดลง โดยราคายางแผน่ รมควันช้นั 3 FOB. กรุงเทพฯ ปรับตวั ลดลงสู่ระดับเฉลีย่ กโิ ลกรัมละ 50.74 บาท ในปี 2561 และ 51.74 บาท ในปี 2562 สอดคลอ้ งกับราคาซื้อขาย ยางแผ่นรมควันชั้น 3 ตลาดล่วงหน้าโตเกียวและสิงคโปร์ ที่ปรับตัวลดลงสู่ระดับเฉล่ียกิโลกรัมละ 49.71 บาท และ 50.09 บาท ในปี 2561 และเฉล่ียกโิ ลกรัมละ 53.50 บาท และ 51.79 บาท ในปี 2562 โดยมีสาเหตุจาก ปัจจัยด้านอุปทานยางที่เพิ่มขึ้นมากเป็นสำคัญ จากพื้นที่ยางปลูกใหม่เริ่มทะยอยเปิดกรีดทั้งในประเทศ และ ประเทศเพื่อนบ้านอย่าง สปป.ศลาว กัมพูชา และเวยี ดนาม ประกอบกับสถานการณ์ความไม่แน่นอนเกี่ยวกับ สงครามการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีนที่เกิดขึ้นอย่างยืดเยื้อ สง่ ผลให้ภาพรวมเศรษฐกิจโลกชะลอตัวลง และเริ่มเข้าสู่ภาวะถดถอย โดยเฉพาะเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาและจีนชะลอตัวลงอย่างต่อเนื่อง จากที่ขยายตัว ร้อยละ 3.3 และ 6.9 ในปี 2558 ชะลอตัวลงสู่ระดับร้อยละ 1.4 ,6.1 ในปี 2562 อย่างไรก็ตาม ราคายางได้ ปรบั ตัวสงู ข้ึนอกี คร้งั ในปี 2563 โดยราคา FOB.กรงุ เทพฯ เฉลี่ยกิโลกรมั ละ 54.51 บาท เนือ่ งจากเศรษฐกิจโลก ในภาพรวมเริม่ ฟื้นตวั จากผลกระทบการแพรร่ ะบาดของโรคไวรัสโคโรนา่ 2019 (COVID - 19) ในชว่ งครง่ึ ปีแรก ของปี โดยเฉพาะเศรษฐกิจจีนผู้ใช้ยางรายใหญ่ของโลกขยายตัวได้ร้อยละ 6.5 ในไตรมาส 4 ของปี หลังจาก หดตวั ลงรอ้ ยละ 6.8 ในไตรมาสแรก ประกอบกับประเทศผู้ผลิตยางรวมทั้งพืน้ ท่ีปลูกยางของไทยประสบปัญหา การระบาดของโรคใบร่วง ทำให้ผลผลิตยางลดลง ขณะที่อุตสาหกรรมยานยนต์ และอุปกรณ์ทางการแพทย์ โดยเฉพาะถงุ มอื ยาง เตบิ โตอยา่ งต่อเน่อื ง

14 สถานการณ์ราคายางปี 2564 (มกราคม - 15 กรกฎาคม 2564) ราคาแผน่ รมควนั ชั้น 3 FOB. กรงุ เทพฯ สง่ มอบลว่ งหนา้ 1 เดือน ปี 2564 (มกราคม - 15 กรกฎาคม 2564) เฉลี่ยกิโลกรัมละ 67.61 บาท ปรับตัวสูงขึ้นจากราคาเฉลี่ยในช่วง 6 ปีที่ผ่านมา (ปี 2558 - 2563) กโิ ลกรัมละ 11.17 บาท หรือสูงข้นึ รอ้ ยละ 19.79 สอดคล้องกบั ราคาซ้ือขายตลาดลว่ งหน้าโตเกยี วและสิงคโปร์ ที่เฉลี่ยกิโลกรัมละ 70.66 บาท และ 68.76 บาท ปรับตัวสงู ขึน้ จาก 6 ปีทีผ่ ่านมาเฉลี่ยกิโลกรัมละ 14.38 บาท และ 12.77 บาท หรือสูงขึ้นร้อยละ 14.38 และ 12.77 บาท ตามลำดับ โดยราคายางปี 2564 เติบโตต่อเนื่อง จากช่วงปลายปี 2563 ที่มีปัจจัยสำคัญมาจากภาวะเศรษฐกิจโลกที่เริ่มฟื้นตัว เห็นได้จากเศรษฐกิจจีนและ สหรัฐอเมริกาขยายตัวร้อยละ 18.3 และ ร้อยละ 6.4 ในไตรมาส 1 ปี 2564 ประกอบกับความต้องการของ อุตสาหกรรมต่อเนื่องโดยเฉพาะการผลิตรถยนต์ ยางล้อ ชิ้นส่วนยานยนต์ ถุงมือยาง ผลิตภัณฑ์ยาง ทางการแพทย์ที่ทยอยฟื้นตัว จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคไวรัสโคโรน่า 2019 (COVID - 19) เริ่มคลี่คลายลงในช่วงต้นปีรวมทั้งผลผลิตที่ลดลงจากการระบาดของโรคใบร่วง และสภาพอากาศท่ีแปรปรวน หลายพื้นที่เกิดสภาวะฝนตกชุกต่อเนื่อง โดย ANRPC มีการคาดการณ์ว่าผลผลิตยางจะฟื้นตัวร้อยละ 8.6 ท่ี ระดับ 13.678 ล้านต้น ซึ่งลดลงจากระดับ 13.842 ในปีก่อน และอุปสงค์คาดว่าจะฟื้นตัวขึ้นร้อยละ 4.9 อยู่ที่ 13.436 ลา้ นตัน จาก 13.768 ลา้ นตัน แนวโน้มราคายางในชว่ งครง่ึ หลงั ของปี 2564 สำหรับสถานการณ์ราคายางในช่วงครึ่งหลังของปี 2564 คาดว่ามีแนวโน้มปรับตัวลดลง โดย เศรษฐกิจโลกยังคงได้รับแรงกดดันจากการระบาดของไวรัสโคโรน่า 2019 (COVID - 19) ระลอกใหม่ที่มี ความรุนแรงขึ้น ส่งผลให้หลายประเทศต้องล๊อคดาวน์ ส่งผลกระทบต่อการส่งออก ประกอบกับปัญหาการ ขาดแคลนตู้สินค้า และคา่ ระวางเรือที่สูงขนึ้ การขาดแคลนแรงงาน ตลอดจนปญั หาขาดแคลนชปิ เซมิคอนดักเตอร์ อาจส่งผลให้ต้องชะลอการผลิตในกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์นอกจากนี้ตลาดยังมีแรงกดดันจากความกังวล เกี่ยวกับภาวะเงินเฟอ้ ในสหรัฐที่เพิ่มข้ึนเกินคาด อาจกดดันให้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เร่งขึน้ อัตราดอกเบี้ย อยา่ งไรกต็ าม สภาพอากาศท่ีแปรปรวนเกดิ ภาวะฝนตกชุก อาจเปน็ อุปสรรคต่อประเทศผ้ผู ลติ ยาง ประกอบกับ ราคานำ้ มันในตลาดโลกปรบั ตวั สงู ขน้ึ อยา่ งต่อเนื่องเฉลีย่ ทร่ี ะดับ 62.48 ดอลลารต์ ่อบาร์เรล เม่อื เทยี บกับในช่วง 6 ปีก่อนที่เฉลี่ย 50.74 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ขณะที่ธนาคารโลกได้ปรับเพิ่มประมาณการณ์ GDP โลกสู่ระดับ รอ้ ยละ 5.6 ในปี 2564 สงู กว่ารอ้ ยละ 4.1 ทีค่ าดการณ์ไว้ในเดือนมกราคม จากอานสิ งส์เศรษฐกิจสหรฐั อเมริกา และจีน เห็นได้จากในไตรมาส 1 ปี2564 เศรษฐกิจจีนและสหรัฐอเมริกาขยายตวั ร้อยละ 18.3 และ 6.4 จาก ระดับร้อยละ 6.5 และ 4.3 ในไตรมาส 4 ปี 2563 ตามลำดับ นอกจากนี้หากหลายประเทศสามารถรับมือกับ สถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 (COVID - 19) ได้มากขึ้นเศรษฐกิจทั่วโลกเริ่มฟื้นตัว เพราะได้รับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกจิ หลังจากได้มีการฉีดวัคซีนตามเป้าหมาย สถานการณ์การแพร่ระบาด ของเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 (COVID - 19) คลี่คลายลงส่งผลให้สถานการณ์ทั่วโลกเข้าสู่ภาวะปกติ ซึ่งจะเป็น ปจั จยั ทีส่ นับสนนุ ราคาให้ราคาปรับตัวสงู ขน้ึ ได้ในระดบั หนึ่ง


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook