Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore Thanawat

Thanawat

Published by tanachat.1657, 2020-09-09 00:48:20

Description: Thanawat

Search

Read the Text Version

ความรู้เบอื้ งต้นเกย่ี วกบั รัฐประศาสนศาสตร์ 1

ความเขา้ ใจเบ้ืองตน้ เก่ียวกบั วชิ ารัฐประศาสนศาสตร์ 1. ความหมายของคาวา่ รัฐประศาสนศาสตร์ 2. คาจากดั ความของคาวา่ รัฐประศาสนศาสตร์ 3. สถานภาพของรัฐประศาสนศาสตร์ 4. รัฐประศาสนศาสตร์ กบั การบริหารธุรกิจ 5. ขอบข่ายของการศึกษาวชิ ารัฐประศาสนศาสตร์ 6. วิวฒั นาการของวิชารัฐประศาสนศาสตร์ในสหรัฐอเมริกา 2

“Public Administration” or “public administration” การบริหารราชการ การบริหารรัฐกิจ รัฐประศาสนศาสตร์ สาธารณบริหารศาสตร์ การบริหารจดั การภาครัฐ การบริหารงานสาธารณะ 3

1. ความหมายของรัฐประศาสนศาสตร์  Public = สาธารณะ / ขอ้ ราชการ  Administration = การบริหารในลกั ษณะหลกั การ แนวนโยบาย  Public Administration = รัฐประศาสนศาสตร์ สาธารณบริหารศาสตร์ เป็นตน้  public administration = การบริหารรัฐกิจ การบริหารสาธารณกิจ การบริหารราชการ การ บริหารราชการแผน่ ดิน การบริหารงานสาธารณะ การบริหารจดั การภาครัฐ การบริหารงาน ภาครัฐบาล เป็นตน้ สรุป Public Administration หรือ public administration มีความหมาย 2 นัย คอื 1. กิจกรรมการบริหารงานสาธารณะ ครอบคลุมท้งั การบริหารราชการ รัฐวสิ าหกิจ และ องคก์ ารมหาชน ( ทางปฏิบตั ิ - public administration ) 2. สาขาวชิ าการบริหารรัฐกิจ ( ทางวิชาการ - Public Administration ) 4

2. คาจากดั ความของคาว่ารัฐประศาสนศาสตร์ พทิ ยา บวรวฒั นา ( 2541 : 1 ) กล่าววา่ ในปัจจุบนั ไม่มีนกั วิชาการท่านใดท่ีจะใหค้ าตอบที่เป็น สากลไดว้ า่ รัฐประศาสนศาสตร์ คืออะไร...................  ด.ี เอ. คทั ชิน -- เป็นสาขาดา้ นการบริหารงานของรัฐบาล ราชการ องคก์ ารระบบราชการ การกาหนด การนาไปปฏิบตั ิ การประเมินผล และการปรับปรุงแกไ้ ขนโยบายสาธารณะ  โวชิโน และ ราบิน -- เป็นการประยกุ ตใ์ ชท้ ฤษฎีและวธิ ีการปฏิบตั ิในเรื่องเกี่ยวกบั องคก์ าร การตดั สินใจ และบุคลากร เพอื่ แกไ้ ขปัญหาสาธารณะ และมีความแตกตา่ งจากการ บริหารงานภาคเอกชน  ฮาโรลด์ กอร์ตเนอร์ -- เกี่ยวขอ้ งกบั การประสานงานของกิจกรรมต่างๆ ภายในองคก์ ารโดย มีวตั ถุประสงคส์ าคญั คือ การนานโยบายสาธารณะไปปฏิบตั ิ  กอร์ดอน และ มิลาโควชิ -- กระบวนการตา่ งๆ องคก์ ารตา่ งๆ และทุกๆ คนท่ีอยใู่ นตาแหน่ง และบทบาททางราชการ เกี่ยวขอ้ งกบั การดาเนินการตามกฎหมาย และกฎเกณฑอ์ ่ืนๆ ที่ถกู นามาใชห้ รือออกโดยฝ่ ายนิติบญั ญตั ิ ฝ่ ายบริหาร และฝ่ ายตุลาการ 5

„ จอห์น เจ คอร์สัน และ เจ พี แฮร์ริส -- การบริหารภาครัฐ คือ การกระทาที่เป็นส่วนของ รัฐบาล โดยวธิ ีการท่ีตระหนกั ถึงเป้ าประสงคแ์ ละเป้ าหมายของรัฐบาล „ จอห์น พฟิ เนอร์ และ โรเบิร์ต เพรสทัส -- รัฐประศาสนศาสตร์ในฐานะสาขาวชิ าน้นั ส่วนใหญ่สนใจวธิ ีการนาคา่ นิยมทางการเมืองไปปฏิบตั ิ „ เจมส์ ดับเบอลยู เดวสิ -- การบริหารภาครัฐ อาจจาแนกไดด้ ีที่สุดวา่ เป็นสาขาการบริหาร ของรัฐบาล „ นิโคลสั เฮนรี -- รัฐประศาสนศาสตร์ตา่ งจากรัฐศาสตร์ ตรงที่เนน้ โครงสร้างและพฤติกรรม ของราชการและมีระเบียบวธิ ีวทิ ยาของตนเอง รัฐประศาสนศาสตร์ตา่ งจากศาสตร์การบริหาร ตรงการใชเ้ ทคนิคประเมินผลองคก์ ารไม่แสวงหากาไร „ ดไวท์ วอลโด -- กระบวนการบริหารภาครัฐ ประกอบดว้ ย การกระทาท่ีมีผลตอ่ ความต้งั ใจ หรือความปรารถนาของรัฐบาล จึงเป็นการกระทาที่ตอ่ เน่ือง เป็นงานของรัฐบาล เก่ียวขอ้ งกบั การทาตามกฎหมายท่ีออกโดยฝ่ ายนิติบญั ญตั ิ หรือหน่วยงานท่ีมีอานาจ และตีความโดยศาล โดยผา่ นทางกระบวนการ และการจดั การ 6

เฟลกิ ซ์ ไนโกร และ ลอยด์ ไนโกร ‟ เป็นความพยายามร่วมกนั ของกลุ่มคนท่ีอยใู่ นภาครัฐ ‟ ครอบคลุม 3 สาขาหลกั คือ บริหาร นิติบญั ญตั ิ และตุลาการ ตลอดจนความสมั พนั ธ์ระหวา่ งกนั ‟ มีบทบาทสาคญั ในการกาหนดนโยบาย ซ่ึงเป็นส่วนหน่ึงของกระบวนการทางการเมือง ‟ มีความแตกต่างดา้ นแนวทางที่สาคญั ๆ จากการบริหารงานภาคเอกชน ‟ เก่ียวขอ้ งอยา่ งใกลช้ ิดกบั กลุ่มคน และบุคคลจานวนมาก สร้อยตระกลู ( ติวยานนท์ ) อรรถมานะ - เป็นความพยายามของกลุ่มคนที่ร่วมมือกนั ปฏิบตั ิงานในหน่วยงานต่างๆ ใหบ้ รรลุผลอนั เก่ียวกบั สาธารณะหรือประชาชน ทว่ั ไป - มีขอบเขตครอบคลุมถึงการปฏิบตั ิงานและสมั พนั ธภาพของฝ่ายท้งั สาม บริหาร นิติบญั ญตั ิ และตุลาการ - มีบทบาทสาคญั ในการกาหนดนโยบายสาธารณะซ่ึงเป็นส่วนหน่ึงของกระบวนการทาง การเมือง และเก่ียวขอ้ งโดยตรงกบั การนาเอานโยบายสาธารณะไปปฏิบตั ิใหบ้ รรลุผล - มีความแตกต่างจากการบริหารงานของเอกชนในประเดน็ สาคญั - มีความเก่ียวขอ้ งอยา่ งใกลช้ ิดกบั กลุ่มเอกชนและปัจเจกชนจานวนมากในอนั ท่ีจดั หาบริการ สาธารณะใหแ้ ก่ชุมชน 7 - การบริหารระหวา่ งประเทศ หรือการบริหารองคก์ ารระหวา่ งประเทศกอ็ าจถูกจดั รวมไวด้ ว้ ย

3. สถานภาพของรัฐประศาสนศาสตร์  สมพงศ์ เกษมสิน ไดอ้ ธิบายโดยละเอียด และค่อนขา้ งชดั เจนวา่ ศาสตร์หมายถึง สิ่งท่ีมีลกั ษณะเป็นความรู้อนั เกิดจากการสงั เกตการณ์ และจากสิ่งที่เป็นความจริง ซ่ึงบุคคลผปู้ ฏิบตั ิจนชานาญมีความแน่นอนเชื่อถือได้ และนาความจริงมาจดั ระเบียบ เพือ่ ใหม้ ีการศึกษาถ่ายทอดอยา่ งเป็นระบบจนสามารถทานายพฤติกรรม และการบริหารงานได้ ศิลป์ หมายถึงลกั ษณะอนั ยดื หยนุ่ ของการสร้างสรรค์ ใน การบริหารท่ีนาไปสู่ความสาเร็จ ไม่สามารถกาหนดไดต้ ายตวั เป็นส่ิงที่ถ่ายทอด กนั ไดย้ าก เพราะขาดระบบอนั เป็นระเบียบ กล่าวโดยสรุป การบริหาร คือ การใชศ้ าสตร์และศิลป์ เพอื่ นาเอาทรัพยากรการ บริหารมาประกอบการ ตามกระบวนการบริหารใหบ้ รรลุวตั ถุประสงคท์ ่ีกาหนด ไวอ้ ยา่ งมีประสิทธิภาพ 8

• ผุสดี สัตยมานะ -- การบริหารเป็นท้งั ศาสตร์และศิลป์ • อทุ ยั เลาหวเิ ชียร – รัฐประศาสนศาสตร์ขาดเอกลกั ษณ์ของลกั ษณะวิชา ไม่ได้ เป็นวิทยาศาสตร์และไม่ไดเ้ ป็นศิลป์ และไม่ไดม้ ีสถานะเป็นวิชาชีพ ไม่ใช่สาขา หน่ึงของสงั คมศาสตร์ และไม่ใช่สาขาหน่ึงของรัฐศาสตร์ แต่เป็นจุดสนใจใน การศึกษา (focus of study) เป็นสหวิทยาการ (interdisciplinary) เป็นสังคมศาสตร์ ประยกุ ต์ (applied social science) และเป็นก่ึงวิชาชีพ (quasi professional) • ศิริพงษ์ ลดาวลั ย์ ณ อยุธยา -- ไม่เป็นวิทยาศาสตร์ ไม่ใช่ศิลป์ มีลกั ษณะเป็นสห วิทยาการ ประกอบดว้ ยองคค์ วามรู้ที่กระจดั กระจาย โดยรวบรวมจากหลาย สาขาวิชา สุดแต่ใหค้ วามสนใจในเร่ืองใด หรือมีพ้นื ความรู้มาอยา่ งไร • สร้อยตระกลู อรรถมานะ -- สงั คมศาสตร์เป็นเร่ืองของสังคมมนุษย์ เกี่ยวขอ้ งกบั คา่ นิยมเชิงปทสั ถาน พฤติกรรมมนุษย์ สภาพจาเพาะของแต่ละสงั คม สถานที่ ประสบการณ์ ทาใหก้ ารบริหารราชการไม่มีลกั ษณะเป็นศาสตร์ 9

สรุปสถานภาพของรัฐประศาสนศาสตร์ „ ศาสตร์ หมายถึง วิทยาการหรือความรู้ที่มีการจดั ระเบียบเช่ือถือได้ และสามารถ ใหม้ ีการศึกษาคน้ หาความจริงไดอ้ ยา่ งมีระเบียบแบบแผนในรูปของระบบ „ ศิลป์ หมายถึง ความสามารถพิเศษ บุคลิกลกั ษณะส่วนตวั ประสบการณ์ ทกั ษะ และความรู้ของผปู้ ฏิบตั ิงานเป็นรายบุคคล ดงั น้ันจะเห็นได้ว่าความเป็ นศาสตร์และศิลป์ มไิ ด้มคี วามขัดแย้งระหว่างกนั ท้งั สองฝ่ ายต่าง เกอื้ กลู ก่อให้เกดิ ประโยชน์แก่กนั ละกนั คอื ทฤษฎี แนวความคดิ หรือหลกั การจะเป็ นแนว ทางการปฏบิ ัติในโลกของความเป็ นจริง (นิรนัย) และในทางกลบั กนั นักวชิ าการกจ็ ะสร้าง ทฤษฎหี รือแนวความคดิ ต่างๆ โดยอาศัยข้อมูลจากโลกความเป็ นจริงมาปรับปรุงแก้ไขทฤษฎี หรือแนวคดิ ทม่ี อี ยู่ให้สมบูรณ์ยง่ิ ขึน้ (อุปนัย) 10

4. รัฐประศาสนศาสตร์ กบั การบริหารธุรกจิ รัฐประศาสนศาสตร์ และ การบริหารธุรกจิ มจี ุดร่วม ทต่ี ่างฝ่ ายกม็ ุ่งเน้นในเรื่อง การบริหารงานเหมอื นกนั administration จะใช้ในภาษาไทยว่า การบริหาร Management จะใช้ในภาษาไทยว่า การจดั การ คาท้งั สองนีไ้ ด้มผี ู้ให้ความหมายใน 3 แนวทางด้วยกนั คอื แนวทางท่ี 1. การบริหาร เกย่ี วข้องกบั การกาหนดนโยบายและการจัดการ เป็ นการนานโยบายไป ปฏิบตั ิ แนวทางที่ 2. การจดั การเป็ นความหมายทวั่ ไปโดยรวมการบริหารเข้าไปด้วย แนวทางนีม้ องว่าการ จัดการเป็ นกระบวนการทที่ าหน้าทรี่ ับผดิ ชอบต่อการดาเนินการขององค์การธุรกจิ ให้บรรลุเป้ าหมาย ส่วน การบริหารเป็ นส่วนหนึ่งของการจดั การ แนวทางที่ 3. การบริหารและการจดั การมคี วามหมายไม่แตกต่างกนั แต่นิยมใช้ต่างกนั คอื การจดั การ จะใช้ในบริษทั เอกชน ส่วนการบริหารใช้ในองค์การของรัฐบาล 11

„ ความคล้ายคลงึ กนั „ ความแตกต่างกนั * การบริหารจดั การทรัพยากรของ * ขอ้ จากดั เก่ียวกบั กฎหมายและระเบียบขอ้ บงั ค องคก์ ารอยา่ งมีประสิทธิภาพ เช่น * การประเมินผลการปฏิบตั ิงาน - การวางแผนการทางานใหบ้ รรลุ * ความรับผดิ ชอบ วตั ถุประสงค์ * การควบคุมการทางานของผใู้ ตบ้ งั คบั บญั ชา * คา่ ใชจ้ ่ายในการดาเนินงาน - การจดั รูปแบบองคก์ าร * ความเก่ียวขอ้ งและสมั พนั ธ์กบั กระบวนการ ทางการเมือง - การจดั สรรบุคคล - การประสานงานกนั ระหวา่ งส่วน ต่างๆ 12

ความแตกต่างกนั ระหว่างการบริหารงานภาครัฐ กบั การบริหารงานภาคเอกชน การบริหารงานภาครัฐ การบริหารงานภาคเอกชน 1. มุ่งหวงั การใหบ้ ริการ และความพงึ พอใจแก่ประชาชน 1. มุ่งหวงั เพื่อผลกาไร 2. ท่ีมาของทุนคือ งบประมาณของภาครัฐซ่ึงมาจากการ 2. ทุนเป็นของเอกชน ทุนส่วนตวั หรือของผถู้ ือหุน้ จดั เกบ็ ภาษี ค่าธรรมเนียมต่างๆ 3. มีข้นั ตอนการทางานมาก ทาใหล้ ่าชา้ 3. มีข้นั ตอนการทางานที่รวดเร็ว เนน้ ประสิทธิภาพ โดยดูจากผลกาไร 4. เป็นการรับนโยบายจากฝ่ายการเมืองมาปฏิบตั ิ 4. ตอ้ งพยายามปฏิบตั ิใหส้ อดคลอ้ งกบั นโยบายของ รัฐเพอื่ ความกา้ วหนา้ 5. การบริหารตอ้ งทาอยา่ งต่อเน่ือง ตราบเท่าท่ีประเทศ 5. หยดุ การบริหารได้ หากลม้ เลิกกิจการ ยงั คงอยู่ 13

5. ขอบข่ายของการศึกษาวชิ ารัฐประศาสนศาสตร์ วรเดช จนั ทรศร (2543 : 7-89) ไดก้ ล่าวไวว้ า่ วชิ ารัฐประศาสนศาสตร์มี ความครอบคลุมถึงการพฒั นาลกั ษณะต่างๆ รวม 5 กลุ่มวชิ าดว้ ยกนั ดงั น้ี 1. วทิ ยาการจดั การ 2. พฤติกรรมองคก์ าร 3. การบริหารรัฐกิจเปรียบเทียบ และการบริหารการพฒั นา 4. การวิเคราะห์นโยบายสาธารณะ 5. ทางเลือกสาธารณะ 14

ดไวท์ วอลโด (1948) อทุ ยั เลาหวเิ ชียร (2541 : 38-44) 1. หลกั การบริหาร 1. การเมืองและนโยบาย สาธารณะ 2. การเมืองและการกาหนดนโยบาย 3. พฒั นาการของกรณีศึกษา „ ความสมั พนั ธ์ระหวา่ งการเมือง 4. มนุษยสมั พนั ธ์ จิตวิทยา และสงั คม และการบริหาร วทิ ยา „ นโยบายสาธารณะ 5. ทฤษฎีองคก์ าร „ ค่านิยม 6. รัฐประศาสนศาสตร์เปรียบเทียบ 7. เทคโนโลยแี ละเทคนิคสมยั ใหม่ 2. ทฤษฎีองคก์ าร „ หลกั เหตุผล „ พฤติกรรมของคน „ ระบบเปิ ด 3. เทคนิคการบริหาร 15

6. ววิ ฒั นาการของรัฐประศาสนศาสตร์ในสหรัฐอเมริกา  นิโคลสั เฮนรี (1980) ไดจ้ าแนก Paradigm (กรอบแนวคิด หรือ ตวั แบบความคิด) ของรัฐประศาสนศาสตร์ออกเป็น 5 พาราไดม์ ดงั น้ี พาราไดม์ที่ 1 รัฐประศาสนศาสตร์ยคุ “การแยกการบริหารกบั การเมืองออกจากกนั ” (1900- 1926) ในยคุ น้ีมีนกั วชิ าการ 2 ท่าน คือ แฟร็ง เจ กดู นาว และ วดู โรว์ วลิ สนั ไดม้ ีความเห็น สอดคลอ้ งกนั วา่ การเมืองและการบริหารเป็นคนละส่วนกนั คือ การเมืองมีหนา้ ที่ในการ กาหนดนโยบาย ส่วนการบริหารมีหนา้ ที่ในการนานโยบายไปปฏิบตั ิ 16

พาราไดม์ท่ี 2 รัฐประศาสนศาสตร์ยคุ “หลกั ของการบริหาร” (1927-1937) ยคุ น้ีถกู เรียกขานวา่ เป็น จุดสูงสุดของการยอมรับวิชารัฐประศาสนศาสตร์ ซ่ึงเกิดจากการเขียนงานของ ลเู ทอร์ กู ลิก และ แลนเดอร์ อวู ิก ในหนงั สือช่ือ Paper on the Science of Administration (1937) ซ่ึงท้งั สองท่านไดเ้ สนอแนวคิด การจดั การในเชิงบริหารงานของหวั หนา้ ฝ่ ายบริหาร ท่ีเรียกวา่ POSDCORB โดยยอ่ มาจาก - P-Planning = การวางแผน - O-Organizing = การจดั องคก์ าร - S-Staffing = การบริหารงานบุคคล - D-Directing = การสง่ั การ - Co-Coordinating = การประสานงาน - R-Reporting = การรายงานผล - B-Budgeting = การงบประมาณ * ค.ศ. 1937-1947 การทา้ ทายทางแนวคิด โดย Chester I. Barnard ไดเ้ ขียนหนงั สือชื่อ The Function of the Executive (1938) * ค.ศ. 1947-1950 ปฏิกิริยาต่อการทา้ ทายทางความคิด โดย Herbert A. Simon ไดเ้ ขียนหนงั สือชื่อ 17 Administrative Behavior (1947)

พาราไดม์ท่ี 3 รัฐประศาสนศาสตร์ คือ รัฐศาสตร์ (1950-1970) เป็นยคุ ท่ีผศู้ ึกษารัฐประศาสนศาสตร์ เป็นเสมือน พลเมืองข้นั สองในคณะรัฐศาสตร์ โดยเช่ือวา่ รัฐประศาสนศาสตร์ กบั รัฐศาสตร์ เป็นเรื่องเดียวกนั ไม่สามารถ แยกจากกนั ได้ หรือรัฐประศาสนศาสตร์ กค็ ือรัฐศาสตร์น้นั เอง และในช่วงน้ีกม็ ีความพยายามในการกาหนดความคิดระหวา่ งรัฐประศาสนศาสตร์ กบั รัฐศาสตร์ข้ึน ใหม่ แต่กไ็ ม่เป็นผล พาราไดม์ท่ี 4 รัฐประศาสนศาสตร์ คือ วทิ ยาการบริหาร (1956-1970) เน่ืองจากการเขา้ สู่ยคุ ตกต่าของวชิ ารัฐ ประศาสนศาสตร์ ในช่วงยคุ ตน้ 1950 สาเหตุมาจากการขาดเอกลกั ษณ์เฉพาะตวั ของวชิ ารัฐประศาสนศาสตร์ ทาใหน้ กั วชิ าการทางรัฐประศาสนศาสตร์ ตอ้ งหาทางเลือกใหม่ โดยการศึกษารัฐประศาสนศาสตร์ในแง่ วทิ ยาการบริหาร ซ่ึงเป็นการศึกษาเก่ียวกบั - ทฤษฎีองคก์ าร คือ ศึกษาพฤติกรรมของคนในองคก์ าร การดาเนินงานในองคก์ าร การตดั สินใจ เป็ นตน้ - วทิ ยาการจดั การ คือ ศึกษาสถิติ การวเิ คราะห์ เศรษฐศาสตร์ คอมพิวเตอร์ เพ่ือใหก้ ารบริหารมี ประสิทธิภาพมากข้ึน 18

พาราไดม์ที่ 5 รัฐประศาสนศาสตร์ คือ รัฐประศาสนศาสตร์ (1970-ปัจจุบนั ) ในช่วงน้ีไดม้ ีการ ฟ้ื นฟวู ชิ ารัฐประศาสนศาสตร์ โดยใหค้ วามสนใจในสหวิทยาการต่างๆ โดยการสงั เคราะห์ ความรู้ในดา้ นพฤติกรรมศาสตร์ หรือพฤติกรรมมนุษย์ เพื่อนาไปสู่การสะทอ้ นใหเ้ ห็นถึงชีวิต ในชุมชน ความสัมพนั ธ์ทางการบริหารระหวา่ งองคก์ ารของรัฐกบั เอกชน และการอยรู่ ่วมกนั ของความกา้ วหนา้ ทางเทคโนโลยี และสังคม อีกท้งั ความเก่ียวขอ้ งเร่ืองนโยบายศาสตร์ เศรษฐศาสตร์การเมือง การกาหนด วเิ คราะห์ วดั ผล นโยบายสาธารณะ 19

ววิ ฒั นาการของรัฐประศาสนศาสตร์ในสหรัฐอเมริกา  พทิ ยา บวรวฒั นา  สมยั ทฤษฎดี ้งั เดมิ (1887-1950) - การบริหารแยกออกจากการเมือง  สมัยทฤษฎที ้าทาย หรือวกิ ฤตกิ ารด้านเอกลกั ษณ์ คร้ังแรก (1950-1960) - การบริหารคือการเมือง  สมัยวกิ ฤติการด้านเอกลกั ษณ์ คร้ังท่ี 2 (1960-1970) - แนวคิดพฤติกรรมศาสตร์  สมัยทฤษฎแี ละแนวการศึกษารัฐประศาสนศาสตร์สมยั ใหม่ (1970-ปัจจุบัน) - รัฐประศาสนศาสตร์เปรียบเทียบและการบริหารการพฒั นา นโยบายสาธารณะ และทางเลือก สาธารณะ เป็นตน้ 20

„ สัมฤทธ์ิ ยศสมศักด์ิ ‟ ก่อนสงครามโลกคร้ังที่ 2 - ยคุ การแยกการบริหารออกจากการเมือง ‟ หลงั สงครามโลกคร้ังท่ี 2 ถงึ 1970 - ยคุ การบริหารเป็นส่วนหน่ึงของการเมือง (แนวพฤติกรรมศาสตร์) ‟ ต้งั แต่ 1970 ถงึ ปัจจุบัน - ยคุ หลงั พฤติกรรมศาสตร์ (รปศ.ในความหมายใหม่) เช่น รัฐประศาสนศาสตร์. เปรียบเทียบและการบริหารการพฒั นา นโยบายสาธารณะ และทางเลือกสาธารณะ เป็ นตน้ 21

ววิ ฒั นาการของรัฐประศาสนศาสตร์ในไทย  สมัยรัชกาลท่ี 5 - ก่อนสงครามโลกคร้ังท่ี 2 เริ่มจากรัชกาลท่ี 5 ไดส้ ่งขา้ ราชการช้นั ผใู้ หญ่ไปศึกษาที่ประเทศองั กฤษ ฝร่ังเศส และ เยอรมนี ทาใหไ้ ดอ้ ิทธิพลขนบธรรมเนียมการศึกษามา 2 แบบ คือ 1. แบบการศึกษากวา้ งๆ ทว่ั ไป อนั เป็นแนวทางจากประเทศองั กฤษ 2. แบบกฎหมายปกครอง ซ่ึงเป็นแนวทางการศึกษาของทางยโุ รปแนวทางการศึกษาท้งั สอง แนว ไดถ้ กู นามาผสมหลกั สูตรการศึกษาของโรงเรียนมหาดเลก็ หลวง ซ่ึงรัชกาล 5 จดั ต้งั ข้ึน เพ่ือฝึกหดั ขา้ ราชการพลเรือน ต่อมาไดแ้ ก่ จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั 22

„ สมัยหลงั สงครามโลกคร้ังท่ี 2 - ปัจจุบัน เป็นช่วงที่แนวคิดของนกั วชิ าการชาวอเมริกนั เขา้ มามีอิทธิพลต่อรัฐประศาสนศาสตร์ของ ประเทศไทยแทนแนวคิดขององั กฤษและยโุ รป เนื่องจากการเขา้ มามีบทบาทของสหรัฐอเมริกา ในระยะหลงั สงครามโลกคร้ังท่ี 2 ซ่ึงสามารถแบ่งออกเป็น 2 ยคุ ดงั น้ี 1. ยคุ หลกั การบริหาร (2497-2524) คือการนาระบบการบริหาร เช่น ระบบคุณธรรม ระเบียบการบริหารราชการแผน่ ดินมาใช้ เพอื่ แกป้ ัญหาระบบอุปถมั ภท์ ่ีอยคู่ ู่สงั คมไทยมานาน 2. ยุคพฒั นาระบบราชการ (2509-2525) มีแนวคิดคลา้ ยยคุ หลกั การบริหาร แตม่ ีความ ชดั เจน มีโครงการการเรียนการสอนในช้นั เรียน เพื่อใหผ้ ทู้ ่ีสาเร็จการศึกษาเป็นขา้ ราชการ ต่อไปโดยมีวตั ถุประสงคเ์ พ่ือ - ตอ้ งการใหม้ ีการวางแผนนโยบายมากข้ึน 23 - ตอ้ งการใหม้ ีการกระจายอานาจ - เนน้ ใหป้ ระชาชนมีบทบาทและมีส่วนร่วม - มีการประสานงานระหวา่ งประชาชนกบั รัฐมากข้ึน - ระบบขอ้ มลู ข่าวสารท่ีมีประสิทธิภาพมากยง่ิ ข้ึน

แนวโน้มวชิ ารัฐประศาสนศาสตร์ในอนาคต แนวโนม้ ของรัฐประศาสนศาสตร์ในอนาคต มีแนวโนม้ ท่ีเนน้ การใหบ้ ริการแก่ประชาชน และลดความเป็นระบบราชการลง รวมถึงการกระจายอานาจในการบริหาร ส่วนในเรื่องของพาราไดมใ์ หม่ ของวชิ ารัฐประศาสนศาสตร์มีแนวโนม้ แยกเป็น 2 กระแส คือ 1. การเกิดพาราไดมใ์ หม่ วชิ ารัฐประศาสนศาสตร์มีแนวโนม้ ที่จะ เนน้ ความพอใจจากคา่ นิยม มีความเป็นสหวทิ ยาการท่ีมากข้ึน เนน้ การปรับปรุงพฒั นาตวั นโยบาย และไดร้ ับการยอมรับเป็น วชิ าชีพ 2. การเกิดมินิพาราไดม์ โดยเห็นวา่ รัฐประศาสนศาสตร์ไม่จาเป็นตอ้ งมีพาราไดมเ์ บด็ เสร็จ แต่ศึกษาหวั ขอ้ ยอ่ ยๆ โดยเชื่อมโยงกบั วฒั นธรรม พร้อมกบั การประยกุ ตใ์ ช้ และการทาวจิ ยั ทดลอง 24


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook