Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ทฤษฎีการเรียนรู้ของ Bandura

ทฤษฎีการเรียนรู้ของ Bandura

Published by PORNTIDA SODSANGCHAN, 2019-06-29 01:18:11

Description: ทฤษฎีการเรียนรู้ของ Bandura

Search

Read the Text Version

ทฤษฎกี ารเรยี นรขู้ อง Bandura ทฤษฎกี ารเรยี นรขู้ อง Bandura ประวตั ขิ องศาสตราจารยบ์ นั ดรู า - อลั เบริ ต์ บนั ดรู า (Albert Bandura) » นักจิตวทิ ยาชาวอเมรกิ ันท่ใี ห้ความสนใจงานที่ เกยี่ วขอ้ งกับทฤษฎกี าร เรยี นรูท้ างสงั คม -เกิดท่เี มืองอลั เบอร์ตา ประเทศแคนาดา -ได้รับปริญญาศิลปะศาสตร์บัณฑิต จากมหาวทิ ยาลัยบริตชิ โคลัมเบยี และได้รับปริญญาศิลปะศาสตร์มหาบณั ฑิต และปรัชญาดุษฎบี ณั ฑิต ทางจิตวิทยาคลนิ กิ จากมหาวิทยาลัยไอโอวา -รบั ตาแหนง่ ทีภ่ าควิชาจิตวทิ ยา ทมี่ หาวทิ ยาลัยสแตนฟอร์ด แนวคดิ และทฤษฎี บนั ดรู ามีความเช่ือวา่ การเรยี นรขู้ องมนุษยส์ ว่ นมากเปน็ การเรียนรูโ้ ดยการสงั เกตหรอื การเลยี นแบบ เนอื่ งจากมนษุ ย์มีปฏสิ ัมพนั ธ์กับสิ่งแวดลอ้ มท่ีอยรู่ อบ ๆ ตวั อย่เู สมอ บนั ดรู าเชื่อว่าการเรียนร้ขู องมนุษยส์ ว่ นมาก เป็นการเรยี นรโู้ ดยการสงั เกต (Observational Learning) หรือการเลียนแบบจากตัวแบบ (Modeling) สาหรับตัวแบบไม่จาเป็นตอ้ งเป็น ตวั แบบท่มี ชี ีวติ เทา่ นัน้ แตอ่ าจจะ เปน็ ตวั แบบ สัญลักษณ์ เชน่ ตัวแบบท่ีเห็นในโทรทศั น์ ภาพยนตร์ เกมส์คอมพิวเตอร์ หรืออาจจะเปน็ รูปภาพ การต์ ูน หนงั สอื นอกจากน้ี คาบอกเลา่ ดว้ ยคาพดู หรือข้อมลู ท่ีเขยี นเปน็ ลายลกั ษณ์- อกั ษรก็เป็นตวั แบบ ได้ บันดูราไดใ้ ห้ความสาคัญของการปฏิสมั พันธข์ องอินทรยี แ์ ละสิ่งแวดลอ้ ม และถือวา่ การเรียนร้กู เ็ ป็นผลของ ปฏิสัมพันธร์ ะหวา่ งผู้เรยี นและส่งิ แวดลอ้ ม โดยผ้เู รียนและส่งิ แวดลอ้ มมีอทิ ธพิ ลต่อกันและกนั บันดรู าไดถ้ ือวา่ ท้ัง บคุ คลท่ตี ้องการจะเรียนรู้และส่งิ แวดล้อมเป็นสาเหตขุ องพฤติกรรมและได้อธบิ ายการปฏสิ ัมพันธ์ ดังน้ี B (Behavior) = พฤตกิ รรมอยา่ งใดอย่างหน่ึงของบุคคล P (Person) =บุคคล (ตัวแปรที่เกดิ จาก ผเู้ รยี น เช่น ความคาดหวงั ของผู้เรียน ฯลฯ) E(Environment) = ส่ิงแวดลอ้ ม

สาเหตทุ สี่ าคัญอีกอย่างหนงึ่ ในการเรียนรู้ด้วยการสงั เกต คือ ผู้เรยี นจะตอ้ งเลือกสังเกตส่ิงท่ตี ้องการเรียนรู้ โดยเฉพาะ และสงิ่ สาคญั อีกอย่างหน่ึงก็คือ ผูเ้ รยี นจะต้องมีการเขา้ รหัส (Encoding) ในความทรงจาระยะยาวได้ อยา่ งถูกต้อง นอกจากนีผ้ ู้เรยี นต้องสามารถทจ่ี ะประเมนิ ได้วา่ ตนเลียนแบบไดด้ ีหรือไม่ดอี ย่างไร และจะต้องควบคุม พฤติกรรมของตนเองไดด้ ้วย ข้ันตอนการเรยี นรโู้ ดยการสงั เกตหรอื เลยี นแบบมี 2 ขน้ั ขั้นท่ี 1 ขน้ั การไดร้ บั มาซ่ึงการเรยี นรู้ (Acquisition) ทาใหส้ ามารถแสดงพฤติกรรมได้ สิง่ เร้าหรอื การรับเขา้ > บุคคล (Input) (Person) ขน้ั ที่ 2 เรยี กวา่ ขน้ั การกระทา (Performance) ซงึ่ อาจจะกระทาหรอื ไม่กระทาก็ได้ ส่ิงเร้าหรอื การรบั เข้า > บคุ คล (Input) (Person) บันดูราไดใ้ หค้ วามแตกต่างระหว่างการเรียนรู้ (Learning) กับการกระทา(Performance)ซึ่งสาคัญ มาก เพราะคนเราอาจจะเรยี นรูอ้ ะไรหลายอย่างแต่ไม่ จาเป็นตอ้ งแสดงออกทุกอย่าง เชน่ เราอาจจะเรียนรวู้ ธิ ี การ ทจุ ริตในการสอบว่าตอ้ งทาอย่างไรบ้าง แต่ถงึ เวลาสอบจรงิ เราอาจจะไม่ทุจรติ ก็ได้ ปจั จยั ทสี่ าคญั ในการเรยี นรโู้ ดยการสงั เกต 1. กระบวนการความเอาใจใส่ (Attention) ความใส่ใจของผู้เรยี นเปน็ สิง่ สาคัญมาก ถ้าผเู้ รยี นไม่มคี วามใส่ใจการเรยี นรู้กจ็ ะไม่เกดิ ข้ึน ผเู้ รยี นจะต้องมี ความใสใ่ จ (Attention) ท่ีจะสงั เกต ตวั แบบ ไม่ว่าเปน็ การแสดงโดยตัวแบบจรงิ หรอื ตวั แบบ สญั ลักษณ์ ถา้ เปน็ การ อธบิ ายดว้ ยคาพูดผู้เรยี นก็ต้องตัง้ ใจฟงั และถ้าจะต้องอ่านคาอธิบายก็จะตอ้ งมีความตั้งใจทีจะอ่าน 2. กระบวนการจดจา (Retention) ผู้เรียนสามารถจดจาส่งิ ท่ีตนเองสงั เกตและไปเลียนแบบได้ถงึ แม้เวลาจะผ่านไปก็ตาม 3. กระบวนการแสดงพฤติกรรมเหมอื นตัวอยา่ ง (Reproduction) เป็นกระบวนการทผี่ ู้เรียนสามารถแสดงออกมาเป็นการการกระทาหรือแสดงพฤติกรรมเหมอื นกบั ตวั แบบ 4. กระบวนการการจูงใจ (Motivation) แรงจูงใจของผเู้ รียนที่จะแสดงพฤติกรรมเหมือนตวั แบบทีต่ นสังเกต เน่อื งมาจากความคาดหวงั วา่ การเลียนแบบจะ นาประโยชนม์ าใช้ เช่น การได้รับแรงเสรมิ หรอื รางวลั หรอื อาจจะนาประโยชนบ์ างสิง่ บางอยา่ งมา ให้ ตวั อยา่ ง นักเรยี นคนหนึง่ ทาการบ้านเรียบร้อยถูกตอ้ งแลว้ ไดร้ บั รางวลั ชมเชยจากครู หรอื ใหส้ ทิ ธิพเิ ศษก็จะเป็น ตวั แบบใหแ้ ก่นักเรยี นคนอนื่ ๆ พยายามทาการบา้ นมาสง่ ครูให้เรยี บร้อย เพราะมีความคาดหวังว่าคงจะไดร้ ับแรง เสริมหรอื รางวัลบา้ ง

การทดลอง 1. บันดรู า ร็อส และร็อส (Bandural, Ross&Roos, 1961) ไดแ้ บ่งเด็กออกเปน็ 3 กลมุ่ กลุ่มหนง่ึ ให้เห็นตวั อย่างจากตัวแบบทีม่ ชี วี ิต แสดงพฤตกิ รรมกา้ วร้าว เด็กกล่มุ ที่สองมีตัวแบบท่ไี ม่แสดงพฤติกรรมก้าวร้าว เดก็ กล่มุ ทส่ี ามไมม่ ตี ัวแบบแสดงพฤติกรรมใหด้ ูเป็นตัวอยา่ ง ผลการทดลองพบวา่ เด็กที่อยู่ในกลมุ่ ท่ีมีตวั แบบแสดงพฤติกรรมก้าวร้าวจะแสดงพฤติกรรมก้าวร้าว จะแสดง พฤติกรรมเหมือนกับท่สี ังเกตจากตวั แบบการทดลอง 2. บันดรู า และเมน็ ลอฟ (Bandural & Menlove, 1968) ได้ศึกษาเกยี่ วกับเด็ก ซึ่งมีความกลัวสตั ว์เล้ยี ง เช่น สนุ ัข จนกระท่ังพยายามหลีกเลีย่ งหรือไม่มปี ฏิสัมพนั ธ์กบั สตั ว์เลยี้ ง บนั ดูราและเมน็ ลอฟได้ใหเ้ ด็กกลุ่มหน่งึ ที่มีความกลวั สนุ ขั ได้สังเกตตัวแบบที่ไม่กลวั สุนขั และสามารถจะ เล่นกบั สนุ ัขได้อยา่ งสนุก โดยเรม่ิ จากการค่อย ๆ ให้ตวั แบบเล่น แตะ และพูดกับสนุ ัขที่อยู่ในกรงจนกระท่งั ในท่สี ุด ตวั แบบเขา้ ไปอยูใ่ นกรงสุนขั ผลของการทดลองปรากฏวา่ หลงั จากสังเกตตวั แบบทีไ่ มก่ ลัวสุนขั เด็กจะกลา้ เลน่ กับ สุนัขโดยไม่กลัว หรือพฤติกรรมของเด็กทีก่ ล้าท่ีจะเล่นกับสุนัขเพิ่มขน้ึ และพฤตกิ รรมทแ่ี สดงว่ากลัวสนุ ขั จะลดน้อย ไป การนาทฤษฎมี าประยกุ ต์ในการเรยี นการสอน 1 บ่งชี้วัตถุประสงค์ที่จะใหน้ ักเรียนแสดงพฤตกิ รรมหรือเขียนวัตถุประสงค์เปน็ เชงิ พฤติกรรม 2 แสดงตวั อยา่ งของการกระทาหลายๆอยา่ ง 3 ให้คาอธบิ ายควบคูก่ ันไปกบั การให้ตวั อย่างแต่ละอยา่ ง 4 ชแี้ จงขนั้ ตอนของการเรียนรูโ้ ดยการสงั เกตแกน่ กั เรียน 5 จดั เวลาใหน้ กั เรยี นมีโอกาสท่ีแสดงพฤติกรรมเหมือนตัวแบบ 6 ใหเ้ สริมแรงแก่นักเรยี นทส่ี ามารถเลียนแบบได้อย่างถูกตอ้ ง

สรปุ เนน้ ความสาคัญของการเรียนรู้แบบการสงั เกตหรือเลียนแบบจากตัวแบบ ซึ่งอาจจะเป็นไดท้ ้ังตัวบุคคลจรงิ ๆ เช่น ครู เพื่อน หรือจากภาพยนตร์โทรทัศน์ การ์ตนู การเรยี นรู้โดยการสังเกตประกอบด้วย 2 ขนั้ คอื ข้ันการรับมาซึ่ง การเรียนรเู้ ป็นกระบวนการทางพทุ ธิปญั ญา และขั้นการกระทา ตัวแบบที่มอี ิทธพิ ลต่อพฤตกิ รรมของบุคคลมีทง้ั ตวั แบบในชวี ิตจริงและตัวแบบที่เปน็ สญั ลักษณ์


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook