Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore E-book 30000-1303-3 คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า

E-book 30000-1303-3 คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า

Published by j.jeabjeab, 2021-10-09 13:11:13

Description: E-book 30000-1303-3 คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า

Search

Read the Text Version

เอกสารประกอบการเรยี น รหสั วชิ า 30000-1303 วชิ า วิทยาศาสตรง์ านไฟฟ้า อิเลก็ ทรอนกิ ส์ และการสื่อสาแรละการสื่อสาร หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพช้ันสูง (ปวส.) พุทธศกั ราช 2563 หน่วยท่ี 3 เร่อื ง คลน่ื แมเ่ หลก็ ไฟฟา้ ธญั พร พมุ่ พวง ครชู ำนาญการพเิ ศษ วทิ ยาลัยเทคนคิ ลพบุรี สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ

2 ใบความรู้ หน่วยท่ี 3 เรื่อง คลน่ื แม่เหลก็ ไฟฟา้ แนวคดิ ปัจจุบันคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเข้ามามีบทบาทกับอุปกรณ์หรือเครื่องใช้ไฟฟ้าเป็นอย่างมาก รวมถึง ด้านการสอื่ สารทีไ่ ร้สาย เช่น โทรศพั ท์เคลอื่ นที่ โทรทศั น์ วิทยุท่ีพฒั นามาจากความรเู้ ร่อื งคลืน่ แมเ่ หลก็ ไฟฟ้า ซึ่งจัดเป็นคลื่นชนิดหนึ่งไม่ต้องใช้ตัวกลางในการเคลื่อนที่ เกิดจากการรบกวนทางแม่เหล็กไฟฟ้า คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าสามารถเคลื่อนที่ไปได้โดยไม่ต้องอาศัยตัวกลาง มีหลายความถี่ ซึ่งเรียกคล่ืน แมเ่ หลก็ ไฟฟา้ เหล่านีว้ ่า “สเปกตรมั ของคลน่ื แมเ่ หล็กไฟฟ้า” สาระการเรียนรู้ 3.1 ความหมายของคลืน่ แมเ่ หลก็ ไฟฟ้า 3.2 การเกิดคลน่ื แมเ่ หลก็ ไฟฟ้า 3.3 สเปกตรัมคลน่ื แม่เหลก็ ไฟฟ้า จดุ ประสงคเ์ ชิงพฤตกิ รรม 1. นกั ศกึ ษาบอกความหมายของคลน่ื แม่เหล็กไฟฟ้าไดอ้ ย่างถกู ต้อง 2. นกั ศึกษาอธบิ ายการเกิดคลน่ื แม่เหลก็ ไฟฟา้ ได้อย่างถูกต้อง 3. นักศึกษาอธบิ ายสเปกตรมั คลน่ื แมเ่ หล็กไฟฟา้ ได้อยา่ งถกู ตอ้ ง 4. นักศึกษาคำนวณปรมิ าณทีเ่ ก่ียวกบั คลนื่ แม่เหลก็ ไฟฟ้าไดอ้ ยา่ งถูกตอ้ ง 5. นกั ศกึ ษาอธิบายการนำคลนื่ แมเ่ หลก็ ไฟฟ้าแตล่ ะชนิดไปใชป้ ระโยชน์ได้

3 ผังมโนทัศน์

4 3.1 ความหมายของคลน่ื แม่เหลก็ ไฟฟา้ คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ( Electromagnetic wave ) เป็นคลื่นชนิดหนึ่งที่ไม่ต้องใช้ตัวกลาง ในการเคลื่อนที่ ซึ่งเกิดจากการเหนี่ยวนำอย่างต่อเนื่องระหว่างสนามไฟฟ้าและสนามแม่เหล็ก ทำให้ สนามไฟฟา้ และสนามแม่เหล็กเคลื่อนทอ่ี อกจากแหลง่ กำเนิดคล่นื แมเ่ หล็กไฟฟา้ ยังเคล่ือนทีไ่ ปในสุญญากาศ ด้วยอัตราเร็วเท่ากับอัตราเร็วของแสง โดยทิศทางของสนามไฟฟ้าและสนามแม่เหล็กจะตั้งฉากกัน ขณะเดียวกันทิศทางของสนามท้ังสองจะตั้งฉากกับทิศทางของความเรว็ ในการเคลื่อนที่ของสนามแมเ่ หล็ก ไฟฟา้ คลนื่ แม่เหลก็ ไฟฟ้าจึงเป็นคลนื่ ตามขวาง ลักษณะของคลนื่ แมเ่ หลก็ ไฟฟ้า ดังภาพท่ี 3.1 z x y ภาพที่ 3.1 คลื่นแมเ่ หล็กไฟฟ้า เจมส์ คลาร์ค แมกซ์เวลล์ ( James Clerk Maxwell ) นักวิทยาศาสตรช์ าวอังกฤษ ได้นำเสนอกฎ และทฤษฎีต่าง ๆ เกี่ยวกับไฟฟ้าและแม่เหล็กในรูปของสมการคณิตศาสตร์ และยังเสนอความคิดว่า คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ามีความถี่ช่วงหนึ่ง และได้รับการยืนยันว่าเป็นจริงโดยการทดลองของ ไฮน์ริค รูดอร์ฟ เฮิรตซ์ ( Heinrich Rudolf Hertz ) นักวิทยาศาสตร์ชาวเยอรมัน ในปี ค.ศ. 1871 การทดลองของเฮิรตซ์ สนับสนุนทฤษฎีคลื่นแมเ่ หลก็ ไฟฟ้าของแมกซเ์ วลล์ และได้ผลสรุปว่า คลื่นแม่เหล็กไฟฟา้ มีอตั ราเร็วเทา่ กับ ความเร็วแสงในสุญญากาศ คือ 3  108 เมตรต่อวินาที ใชส้ ญั ลักษณ์ c แทนอตั ราเรว็ แสงในสุญญากาศ ดงั สมการ c = f .................3.1 เมอ่ื c แทน อัตราเรว็ แสงในสญุ ญากาศ เทา่ กับ 3  108 เมตรตอ่ วนิ าที f แทน ความถี่ หนว่ ยเปน็ เฮิรตซ์ แทน ความยาวคล่ืน หนว่ ยเป็น เมตร 

5 แพลงค์ ( Max Karl Ernst Ludwig Planck ) ผเู้ สนอแนวความคิดว่า คล่นื แมเ่ หลก็ ไฟฟ้าหรือแสง เป็นพลังงานรูปใดรูปหนึ่งและพลังงานคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า มีส่วนสัมพันธ์กับความถี่และความยาวคล่ืน โดยพลังงานหาไดจ้ าก E = h .................3.2 จากสมการท่ี 3.1 คา่ f =  จะได้ c .................3.3 = .................3.4 λ แทนค่า สมการท่ี 3.3 ลงในสมการที่ 3.2 E= hc  เมอ่ื E แทน พลังงานของคลน่ื แมเ่ หลก็ ไฟฟ้า หน่วยเปน็ จูล h แทน คา่ คงทีข่ องแพลงค์ มีค่าเท่ากับ 6.63  10-34 จูลวินาที  แทน ความถีค่ ลนื่ แม่เหลก็ ไฟฟ้า หน่วยเปน็ เฮริ ตซ์ c แทน อตั ราเร็วแสงในสุญญากาศ เท่ากับ 3  108 เมตรตอ่ วนิ าที แทน ความยาวคลน่ื หนว่ ยเปน็ เมตร  ตัวอยา่ งที่ 1 คลื่นแม่เหล็กไฟฟา้ คลื่นหนง่ึ มคี วามยาวคลื่น 450 นาโนเมตร จะมีความถเี่ ทา่ ไร วธิ ที ำ จาก c = f 3  108 m/s = (450  10-9 m) f f = 6.67  1014 Hz ตอบ คลื่นแมเ่ หลก็ ไฟฟ้ามีความถ่ี 6.67  1014 เฮริ ตซ์ ตวั อยา่ งท่ี 2 สเปกตรัมของแสงสเี ขียวมคี วามยาวคลื่น 500 นาโนเมตร จะมพี ลังงานเท่าใด วิธีทำ จาก E = hc  = (6.63 10-34 Js)(3 108 m / s) (500 10-9 m) = 3.98  10-19 J ตอบ แสงสีเขียวมพี ลังงาน 3.98  10-19 จลู

6 กจิ กรรมการเรยี นรทู้ ่ี 3.1 1. จงอธิบายลกั ษณะของคล่ืนแมเ่ หลก็ ไฟฟ้า ……………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ……………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ……………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ……………………………………………………………………………………………………………………………………………….. 2. คลนื่ แม่เหล็กไฟฟ้า มีความถ่ี 1.8  1014 เฮริ ตซ์ จะมีความยาวคล่ืนเท่าไร ……………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ……………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ……………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ……………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ……………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ……………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ……………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ……………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ……………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ……………………………………………………………………………………………………………………………………………….. 3. สเปกตรมั แสงสีม่วง มคี วามยาวคลนื่ 4  10-7 เมตร จะมพี ลังงานเท่าใด ……………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ……………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ……………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ……………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ……………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ……………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ……………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ……………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ……………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………..

7 3.2 การเกิดคลืน่ แม่เหล็กไฟฟา้ ก าร เปลี ่ ย น แปลง สน ามแม่ เหล็ ก และ สน ามไ ฟ ฟ ้ าพ ร ้ อ มก ั น และ ต่ อ เน ื ่ อ งจะ เป็ น ผล ทำให้เกิด การเหนี่ยวนำสนามไฟฟา้ และสนามแมเ่ หล็กแผอ่ อกไปเป็นคลนื่ แม่เหลก็ ไฟฟา้ ดว้ ยความเรว็ เท่ากบั ความเร็ว แสงในสุญญากาศ การแผ่กระจายของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเปรียบได้กับการแผ่กระจายของคลื่นน้ำที่แผ่ ออกจากจุดที่กระทุ่มน้ำ โดยสมมติให้ลวดตัวนำคู่หนึ่งเป็นแหล่งกำเนิดคลื่นที่ต่อกับแหล่งกำเนิดไฟฟ้า กระแสสลับ สมมติว่ามีเพียงประจุเดียวอยู่ท่ีลวดตัวนำแต่ละเสน้ แหลง่ กำเนดิ ไฟฟ้ากระแสสลับทำให้ประจุ บวกและลบเคลื่อนที่ในตัวกลับไปกลับมา เป็นผลให้เกิดคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าแผ่ออกมา ซึ่งการเคลื่อนท่ี ของประจุที่ถูกเร่ง ทำให้เกิดคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าแผ่ออกจากลวดตัวนำทุกทิศทาง ยกเว้นทิศที่อยู่ในแนว เสน้ ตรงเดียวกบั ลวดตัวนำนัน้ เป็นการเกิดคลน่ื แม่เหลก็ ไฟฟ้าตามหลกั ของแมกซเ์ วลล์ 3.2.1 การเปลี่ยนแปลงสนามไฟฟ้า คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเกิดจาการเปลี่ยนแปลงสนามไฟฟ้าทำให้สนามแม่เหล็กเกิดการเปลี่ยนแปลง ต่อเนื่องกันไป มีทิศทางการเคลื่อนที่ตั้งฉากกับสนามทั้งสอง การหาทิศทางสนามแม่เหล็กเหนี่ยวนำ เมื่อสนามไฟฟ้าเปลี่ยนแปลงจากกฎมือขวา โดยใช้หัวแม่มือขวาชี้ทิศทางการเปลี่ยนแปลงสนามไฟฟ้า นิ้วมือที่กำรอบสนามไฟฟ้าบอกทิศทางสนามแม่เหล็กเหนี่ยวนำ เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงสนามไฟฟ้า และสนามแม่เหลก็ อย่างต่อเน่ือง จะทำให้เกดิ คลื่นแม่เหล็กไฟฟา้ ในทิศทางตง้ั ฉาก ดงั ภาพท่ี 3.2 E ทิศทางของคล่นื แมเ่ หล็กไฟฟา้ B ภาพที่ 3.2 ทิศทางของคล่ืนแม่เหล็กไฟฟา้ จากกฏมือขวา 3.2.2 การเปลย่ี นแปลงสนามแมเ่ หลก็ คลื่นแม่เหล็กไฟฟา้ เกิดจากการเปลี่ยนแปลงสนามแม่เหล็กทำให้สนามไฟฟ้าเกิดการเปลี่ยนแปลง ต่อเนื่องกันไป โดยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ามีทิศทางการเคลื่อนที่ตั้งฉากกับสนามทั้งสอง การหาทิศทางของ สนามไฟฟ้าเหนี่ยวนำ เม่ือมีการเปลี่ยนแปลงสนามแม่เหล็ก ใช้กฎมือซ้ายโดยใช้หัวแม่มือชี้ทิศทาง การเปลี่ยนแปลงสนามแม่เหล็กและนิ้วที่กำรอบสนามแม่เหล็กจะชี้สนามไฟฟ้าเหนี่ยวนำ จะทำให้เกิด คลนื่ แมเ่ หล็กไฟฟ้าในทิศทางตัง้ ฉาก ดงั ภาพที่ 3.3

8 E ทิศทางของคลืน่ แม่เหล็กไฟฟา้ B ภาพที่ 3.3 ทิศทางของคล่ืนแมเ่ หลก็ ไฟฟา้ จากกฏมือซา้ ย 4.2.3 การเคล่ือนทีข่ องประจไุ ฟฟา้ เคลื่อนท่ีกลบั ไปกลบั มา ทฤษฎีของแมกซ์เวลล์และการทดลองของเฮิรตซ์ทำให้ทราบว่าคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเกิดจาก การเคลอื่ นท่ีแบบฮาร์มอนกิ ส์อย่างงา่ ยของประจุไฟฟ้าในสายอากาศที่ต่อกับแหล่งกำเนิดไฟฟ้ากระแสสลับ เม่ือต่อแหล่งกำเนดิ ไฟฟ้ากระแสสลบั เขา้ กับสายอากาศท่อี ยู่ในแนวด่งิ ประจไุ ฟฟา้ ในสายอากาศจะเคล่ือนที่ กลับไปกลับมาด้วยความเร่งในแนวดิ่ง ประจุไฟฟ้าที่มีความเร่งจะแผ่คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าออกมารอบตัว จึงทำให้เกดิ คลนื่ แมเ่ หล็กไฟฟา้ กระจายออกมาจากสายอากาศทกุ ทิศทาง ยกเวน้ ทิศทางที่อยู่ในแนวเส้นตรง เดยี วกับสายอากาศ ดงั ภาพ 3.4 _ E t=0 B t= T 4 t= T 2 t = 3T 4 t=T ภาพท่ี 3.4 การเกดิ คล่ืนแมเ่ หลก็ ไฟฟา้ เนือ่ งจากจดุ ไฟฟา้ เคลือ่ นทก่ี ลับไปกลับมาในสายอากาศและ สนามไฟฟา้ เคล่อื นที่จากสายอากาศดว้ ยความเรว็ แสง ท่ีมา : http://www.myfirstbrain.com/student_view.aspx?id=76375 ( สืบคน้ เมอ่ื 26 พ.ย. 2564 )

9 จากภาพท่ี 3.4 สายอากาศซึ่งเป็นท่อนโลหะสองท่อนต่อกับแหล่งกำเนิดไฟฟ้ากระแสสลับ ถ้าความต่างศักย์เปลี่ยนแปลงกับเวลาในรูปไซน์ จะทำให้ประจุไฟฟ้าในสายอากาศเคลื่อนที่กลับไปกลับมา ใปนรทะ่อจุนไฟโลฟห้าะบทวกั้งสมอางกแทลี่สะุดจะสม่วีนคลทื่น่อแนมโล่เหหละ็กบไนฟไฟด้้รากับรปะรจะาจยุไอฟอฟกา้ มลาบโมดายกรทอบี่สุดทที่เวำลใหา้เกt ิด=ส0นาทม่อไนฟโฟล้าหะEล่าซงไึ่งดม้รีคับ่า มากที่สุดและมีทิศทางพุ่งขึ้นที่จุด P เมื่อเวลาผ่านไป สนามไฟฟ้าจะลดลงทำให้สนามไฟฟ้าที่เกิด ในสายอากาศมีค่าลดลงด้วย ในขณะเดียวกันสนามไฟฟ้าที่มีค่ามากที่สุด ณ เวลา t = 0 จะเคลื่อนที่ ณ) ขเณวละานtี้สน=ามT4ไฟ(ฟT้าทแท่ีจุดน จากสายอากาศด้วยอัตราเร็ว c เท่ากบั อตั ราเรว็ แสง และเม่ือประจุไฟฟ้าเป็นกลาง คาบซง่ึ เป็นเวลาท่ีประจไุ ฟฟ้าในท่อนโลหะท้ังสองเคล่ือนท่ีกลับไปกลับมาครบรอบ P จะลดลงเปน็ ศูนย์ T เม่อื เวลาผ่านไป t = 2 ทอ่ นโลหะบนจะมีประจุไฟฟ้าบวกมากท่ีสุด และท่อนโลหะล่างจะมีประจุ ไฟฟ้าลบมากที่สุด สนามไฟฟ้าที่จุด P จึงมีค่ามากที่สุดและมีทิศทางพุ่งลง หลังจากนั้นประจุไฟฟ้า ในท่อนโลหะจะลดนอ้ ยลง สนามไฟฟ้าที่เกดิ ข้นึ ใกลก้ ับสายอากาศจะมีค่าน้อยลงเชน่ กนั ขณะท่ีสนามไฟฟ้า T ที่มีค่ามากที่สดุ ณ เวลา t = 2 จะเคล่ือนท่ีออกจากสายอากาศดว้ ยอัตราเร็วเดียวกับแสง ต่อมาเมื่อถึงเวลา t 3T = 4 ประจุไฟฟ้าในท่อนโลหะทั้งสองเป็นกลางอีกทำให้สนามไฟฟ้าใกล้กับ สายอากาศเปน็ ศูนย์อีกท่ีจดุ P เมื่อเวลาของการเคล่ือนท่ีกลับไปกลับมาของประจไุ ฟฟ้าครบรอบ คอื t = T จะได้สนามไฟฟ้าดังภาพที่ 4.4 สนามไฟฟ้าจึงจะเกิดขึ้นตามกระบวนการซำ้ เดิม เมื่อประจุไฟฟ้าเคลื่อนท่ี ครบรอบเสมอ สนามแม่เหล็กจะถูกเหนี่ยวนำให้เกิดขึ้นทันทีที่มีสนามไฟฟ้าเกิดขึ้น สนามทั้งสอง จะมีการเปลีย่ นแปลงด้วยเฟสตรงกนั ถ้าสนามไฟฟ้าเป็นศนู ย์สนามแม่เหลก็ จะเป็นศูนยด์ ้วย 3.3 สเปกตรมั คลืน่ แม่เหลก็ ไฟฟ้า สเปกตรัมคลน่ื แมเ่ หล็กไฟฟ้า ( Electromagnetic spectrum ) คือ ชว่ งความถ่ีหรอื ความยาวคล่ืน ของคล่ืนแม่เหลก็ ไฟฟ้าตา่ ง ๆ กัน ดงั ภาพที่ 3.5  ความถที่ เ่ี พ่มิ ขึ้น (v) 1024 1022 1020 1018 1016 1014 1012 1010 108 106 104 102 100 v (Hz) รงั สแี กมมา รังสีเอกซ์ รงั สี รังสีอินฟราเรด ไมโครเวฟ FM AM คล่ืนวทิ ยุคลืน่ ยาว ยูวี คลน่ื วิทยุ 10-16 10-14 10-12 10-10 10-8 10-6 10-4 10-2 100 102 104 106 108  (m) ความยาวคลนื่ ทเ่ี พ่ิมข้นึ () → สเปกตรัมแสง (Visible spectrum) 400 500 600 700 ความยาวคล่นื ทีเ่ พิม่ ข้ึน () – นาโนเมตร → ภาพที่ 3.5 สเปกตรมั ของคล่นื แม่เหลก็ ไฟฟา้ ทมี่ า : http://www.space.mict.go.th/knowledge.php?id=spectroscopy ( สืบคน้ เมอ่ื 26 พ.ย. 2564 )

10 คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าในธรรมชาติและคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่มนุษย์สร้างขึ้นเพื่อประโยชน์ ในการดำรงชีวติ น้ัน มีความถี่และความยาวคลื่นต่าง ๆ กัน จำแนกได้ 8 ชนดิ ดงั นี้ 3.3.1 คล่ืนวิทยุ คลื่นวิทยุมีความถี่อยูใ่ นช่วง 106 ถึง 109 เฮิรตซ์ ใช้ประโยชน์ในการส่งข่าวสารและสาระบันเทงิ ไปยังผู้รับ คลื่นวิทยุทำหน้าที่เปน็ คล่ืนพาหะ โดยการนำสัญญาณไฟฟ้าผสมกับคลื่นวิทยทุ ี่เกิดจากอุปกรณ์ ทางอิเล็กทรอนิกส์หลายชนิดรวมกัน เรียกว่า วงจรออสซิลเลเตอร์ ( Oscillator circuit ) จากนั้นคลื่นที่ ผสมจะถูกขยายให้มีกำลังสูงขึ้นส่งไปยังอากาศโดยเสาส่งที่มีความสูงสู่เครื่องรับ ลักษณะของคลื่นวิทยุ ดงั ภาพท่ี 3.6 ภาพท่ี 3.6 ลกั ษณะของคลื่นวิทยุ ทีม่ า : http://www.vcharkarn.com/lesson/1037 ( สืบค้นเม่ือ 26 พ.ย. 2564 ) การผสมสัญญาณไฟฟ้ากับคลื่นวิทยุ แบ่งได้ 2 ประเภท คือ ระบบเอเอ็ม ( AM : Amplitude modulation ) และระบบเอฟเอ็ม ( FM : Frequency modulation ) 1. ระบบเอเอ็ม เป็นคลื่นวิทยุช่วงความถี่ตั้งแต่ 530 กิโลเฮิรตซ์ ถึง 1700 กิโลเฮิรตซ์ เป็นการรวมสัญญาณไฟฟ้าที่มาจากไมโครโฟนที่ทำหน้าที่เปลี่ยนสัญญาณเสียงเป็นสัญญาณไฟฟ้าเข้ากับ คลื่นวิทยุที่ทำหน้าที่เป็นคลื่นพาหะ และสัญญาณไฟฟ้าของเสียงจะบังคับให้แอมพลิจูดของคลื่นพาหะ เปลีย่ นแปลงไป ดงั ภาพท่ี 3.7 ภาพท่ี 3.7 การสง่ คล่นื วทิ ยุระบบเอเอม็ ทม่ี า : http://www.thaigoodview.com/node/128997 ( สบื คน้ เมื่อ 26 พ.ย. 2564 )

11 เมื่อคลื่นวิทยุผสมสัญญาณไฟฟ้าของเสียงกระจายออกมาจากสายอากาศไปยังเ ครื่องรับวิทยุ เครื่องรับวิทยุทำหน้าที่แยกสัญญาณไฟฟ้าของเสียง ( ซึ่งอยู่ในรูปของสัญญาณไฟฟ้า ) ออกจากสัญญาณ คล่นื วทิ ยุ แล้วขยายใหม้ แี อมพลิจูดสงู ขึน้ เพ่อื สง่ ให้ลำโพงแปลงสัญญาณไฟฟา้ ของเสียงออกมาเป็นเสียงท่ีหู รบั ฟังได้ การกระจายเสียงของคลื่นวิทยุในระบบเอเอ็มออกอากาศนั้น ยังมีคลื่นที่มีช่วงความถี่ต่ำกว่า 530 กิโลเฮิรตซ์ ซงึ่ เรียกว่า คล่นื ยาว ( Long waves ) และสูงกว่าความถี่ ถึง 1700 กิโลเฮิรตซ์ ซึ่งเรียกว่า คลื่นสั้น ( Short waves ) การส่งระบบเอเอ็มเป็นการผสมคลื่นโดยให้แอมพลิจูดของคลื่นพาหะ เปลี่ยนแปลงสัญญาณไฟฟ้าของเสียง ขณะคลื่นวิทยุเคลื่อนที่ไปในชั้นบรรยากาศ เมื่อเจอปรากฏการณ์ ฟา้ แลบหรือฟ้าผา่ ซ่ึงสามารถทำให้เกิดคล่นื แม่เหล็กไฟฟ้าได้ คล่ืนใหม่ท่เี กิดขึ้นจะรวมกับคลื่นวิทยุที่ส่งมา ในระบบเอเอม็ ทำให้เกิดสญั ญาณรบกวนขนึ้ 2. ระบบเอฟเอ็ม เปน็ คล่ืนวทิ ยุชว่ งความถตี่ ัง้ แต่ 88 กิโลเฮริ ตซ์ ถึง 108 กิโลเฮริ ตซ์ เปน็ การรวม สัญญาณไฟฟ้าที่มาจากไมโครโฟนที่ทำหน้าที่เปลี่ยนสัญญาณเสียงเป็นสัญญาณไฟฟ้าเข้ากับคลื่นวิทยุ ที่ทำหน้าที่เป็นคลื่นพาหะ การรวมกันโดยการปรับความถ่ีของคลื่นวิทยุให้เปลี่ยนแปลงตามความถี่ ของสัญญาณไฟฟ้า ดังนั้นคลื่นวิทยุที่ส่งมายงั เคร่ืองรับจะมีความถี่เปลี่ยนแปลงในช่วงหนึง่ แต่แอมพลิจูดคงท่ี การสง่ คลื่นวทิ ยรุ ะบบเอฟเอม็ ดงั ภาพท่ี 3.8 ภาพท่ี 3.8 การส่งคลืน่ วิทยรุ ะบบเอฟเอ็ม ทมี่ า : http://www.thaigoodview.com/node/128997 ( สบื คน้ เม่อื 26 พ.ย. 2564 ) ระบบเอฟเอ็ม ใช้ย่านที่มีความถี่สูง เมื่อเคลื่อนที่เข้าสู่ชั้นบรรยากาศไอโอโนสเฟียร์ คลื่นจะทะลุ ผ่านไป ในระบบเอฟเอม็ จงึ รับฟงั ไดเ้ ฉพาะคล่ืนพน้ื ดินและคลน่ื ตรงทสี่ ายอากาศรับสญั ญาณได้ ดงั นั้นระบบ เอฟเอ็มจะส่งคล่นื ไปไดไ้ กลจากสถานีเพยี งประมาณ 80 กิโลเมตร

12 3.3.2 คลื่นโทรทศั น์ คลื่นโทรทัศน์มีความถี่ประมาณ 108 เฮิรตซ์ เป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่มีความถี่สูงจึงไม่สะท้อน ทช่ี ้นั บรรยากาศไอโอโนสเฟียร์ แตจ่ ะทะลผุ ่านชั้นบรรยากาศไปนอกโลก และเปน็ คลืน่ ทีม่ คี วามยาวคลื่นส้ัน ไม่สามารถเลี้ยวเบนออ้ มผ่านสิ่งกีดขวางขนาดใหญ่ได้ ดังนั้นการส่งคลื่นโทรทัศน์ไปไกล ๆ จะต้องใช้สถานี ถ่ายทอดคลื่นเป็นระยะ ๆ เพื่อรับคลื่นโทรทัศน์จากสถานีส่งซึ่งมาในแนวเส้นตรง แล้วขยายให้สัญญาณ แรงขนึ้ ก่อนทจ่ี ะสง่ ไปยงั สถานที ่อี ย่ถู ดั ไป สัญญาณไปไดไ้ กลสุดเพียงประมาณ 80 กโิ ลเมตรบนผิวโลกเท่านั้น เนื่องจากสัญญาณเดินทางเป็นเส้นตรง จึงอาจใช้คลื่นไมโครเวฟนำสัญญาณจากสถานส่งไปยังดาวเทียม ซึ่งโคจรอยู่ในวงโคจรที่ตำแหน่งหยุดนิ่งเมื่อเทียบกับตำแหน่งหนึ่ง ๆ บนผิวโลก และดาวเทียมจะส่งคลื่น ต่อไปยังสถานีรับที่อยู่ไกล ๆ ได้ แต่อาจเกิดภาพซ้อนในจอภาพเนื่องจากคลื่นโทรทัศน์กระทบสิ่งกีดขวาง แล้วสะท้อนไปแทรกสอดกับคลื่นที่ส่งมาจากสถานีก่อนเข้าเครื่องรับสัญญาณ ฉะนั้นเพื่อให้ได้ภาพคมชดั ปจั จุบนั จึงนยิ มใชร้ ะบบสง่ สญั ญาณโทรทศั นต์ ามสาย การสง่ คลน่ื โทรทัศน์ ดงั ภาพท่ี 3.9 ก. การใช้สถานีถ่ายทอดเป็นระยะ ข. การถ่ายทอดผา่ นดาวเทยี ม ภาพที่ 3.9 การสง่ คล่นื โทรทัศนร์ ะยะทางไกล ๆ ที่มา : http://www.myfirstbrain.com/student_view.aspx?id=76376 ( สืบค้นเมอื่ 26 พ.ย. 2564 ) 3.3.3 คล่นื ไมโครเวฟ คลนื่ ไมโครเวฟ ( Microwave ) เป็นคลืน่ แมเ่ หลก็ ไฟฟ้าท่ีมีความยาวคล่ืนตั้งแต่ 10-3 ถึง 0.3 เมตร โดยประมาณ หรืออยู่ในช่วงความถี่ตั้งแต่ 1  109 ถึง 3  1011 เฮิรตซ์ จัดเป็นคลื่นที่มคี วามถี่มากกว่า คลื่นวิทยุ มีความยาวคลื่นสั้น จึงถูกรบกวนได้ยาก ไม่สะท้อนกลับในชั้นบรรยากาศไอโอโนสเฟียร์ และเมอ่ื คลนื่ ไปกระทบกับโลหะจะสะท้อนกลับได้ดี จงึ มีการนำคลน่ื ไมโครเวฟมาใช้ประโยชน์ ไดแ้ ก่ เรด้าร์ ( Radio detection and ranging ) การสือ่ สารผา่ นดาวเทยี ม และเตาไมโครเวฟ 1. เรดาร์ เป็นเครื่องมือตรวจหาวัตถุ โดยส่งคลื่นไมโครเวฟออกไป อาศัยหลักการสะท้อน ของคลื่น เมื่อคลื่นตกกระทบวัตถุตรง ๆ โดยเฉพาะวัตถุที่เป็นโลหะตัวนำไฟฟ้า คลื่นจะสะท้อนกลับมา เครื่องรับ ทำให้รู้ตำแหน่งของวัตถุนั้น ระบบเรด้าร์ มีเครื่องรับและเครื่องส่งอยูใ่ นเครื่องเดียวกัน หลักการ ทำงานของเรด้าร์ ดังภาพท่ี 3.10

13 ภาพที่ 3.10 หลักการทำงานของเรดา้ ร์ ทม่ี า : http://www.telecom.kmitl.ac.th/alumni/jgw/www/radar/index.html ( สืบคน้ เม่ือ 26 พ.ย. 2564 ) 2. การสื่อสารผ่านดาวเทียม เป็นการส่งสัญญาณคลื่นไมโครเวฟผ่านดาวเทียมสื่อสาร มีข้อดี คือ สามารถรองรับข้อมูลจากหลายแหล่งได้จำนวนมากกว่าระบบสายและไม่ต้องเดินสายสัญญาณ แต่มี ข้อเสียคือ ช่องความถี่ของการสื่อสารมีจำกัดและคุณภาพสัญญาณอาจถูกกระทบโดยสภาวะของอากาศ และเมอื่ อยู่ไกลจะต้องติดต้งั จานในการรบั ชมโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมซึ่งมคี ่าใช้จ่ายสูงกวา่ การรับชมโทรทัศน์ ระบบปกติ 3. เตาไมโครเวฟ เป็นอุปกรณ์เครื่องครัวชนิดหนึ่ง ให้ความร้อนกับอาหารโดยใช้ คลื่นไมโครเวฟหลักการทำงานอาศัยหลอดอิเล็กทรอนิกส์ที่เรียกว่าแมกเนตรอน เป็นตัวกำเนิด คลื่นไมโครเวฟที่มีความยาวคลื่นประมาณ 12 เซนติเมตร มีความถี่ 2.45 จิกะเฮิรตซ์ เมื่อคลื่นไมโครเวฟ เข้าไปในอาหารที่มีโมเลกุลของน้ำเป็นองค์ประกอบอยู่ โดยปกติโมเลกุลของน้ำมีการจัดเรียงตัว ไม่เป็นระเบียบ สนามไฟฟ้าที่เกิดขึ้นจากคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจะทำให้โมเลกุลของน้ำถูกคลื่ นไมโครเวฟ เหวี่ยงไปกลับ 2,450 ล้านครั้งต่อนาที ทำให้เกิดการจัดเรียงตัวของโมเลกุลอย่างเป็นระเบียบ เกิดการส่ัน อย่างรวดเร็วทุกส่วนพร้อม ๆ กัน อย่างสม่ำเสมอ ทำให้เกิดความร้อนขึ้นอาหารจึงร้อนตามไปด้วย คลื่นไมโครเวฟมีความถี่สูง เป็นอันตรายหากถูกร่างกายของสิ่งมีชีวิต ดังนั้นการใช้งานควรระมัดระวัง และปฏิบตั ิตามคู่มือการใช้งาน ลักษณะของเตาไมโครเวฟ ดงั ภาพท่ี 3.11 ภาพที่ 3.11 ลักษณะของเตาไมโครเวฟ ทม่ี า : http://www.manager.co.th ( สืบค้นเมื่อ 26 พ.ย. 2564 )

14 3.3.4 รงั สอี ินฟราเรด ( Infrared ) รงั สอี นิ ฟราเรด เปน็ คลน่ื แม่เหลก็ ไฟฟ้าที่มีความถี่ในช่วง 1011 ถงึ 1014 เฮิรตซ์ หรือความยาวคลื่น ตั้งแต่ 1 ถึง 1000 ไมโครเมตร สามารถแบ่งได้ 3 ช่วง คือ อินฟราเรดใกล้ ( 0.7 ถึง 1.5 ไมโครเมตร ) อินฟราเรดปานกลาง ( 1.5 ถึง 4.0 ไมโครเมตร ) และอินฟราเรดไกล ( 4.0 ถึง 1000 ไมโครเมตร ) รงั สีอินฟราเรดมยี ่านความถี่คาบเกย่ี วกบั คล่นื ไมโครเวฟ วัตถรุ ้อนจะแผร่ ังสีอนิ ฟราเรดทมี่ ีความยาวคลื่นสั้น กว่า 100 ไมโครเมตร ประสาทสัมผัสทางผิวหนังของมนุษย์สามารถรับรังสีอินฟราเรดที่มีความยาวคลื่น บางชว่ งได้ และฟิลม์ ถ่ายรูปบางชนดิ สามารถตรวจจับรงั สอี นิ ฟราเรดได้ ตามปกตสิ ่งิ มีชีวติ ทุกชนิดจะแผ่รังสี อนิ ฟราเรดตลอดเวลา และรงั สอี นิ ฟราเรดสามารถทะลุผา่ นเมฆหมอกทีห่ นาทึบเกนิ กว่าแสงธรรมดาผ่านได้ จงึ มีการนำสมบัตนิ ี้ใชใ้ นการถา่ ยภาพพนื้ โลกจากดาวเทียมเพื่อศึกษาการแปรสภาพของปา่ ไม้หรือการอพยพ ของฝูงสัตว์ ภาพถา่ ยโดยใช้รงั สีอินฟราเรด ดังภาพท่ี 3.12 ภาพที่ 3.12 ภาพถ่ายโดยใช้รงั สีอินฟราเรด ท่ีมา : http://www.glogster.com ( สบื ค้นเมื่อ 26 พ.ย. 2564 ) รังสีอินฟราเรดสามารถนำมาใช้กับการควบคุมระยะไกลที่เรียกว่า รีโมทคอนโทรล ( Remote control ) เช่น การควบคุมการทำงานของเครอ่ื งรับโทรทัศน์จากระยะไกล การเปดิ ปิดเคร่ือง การเปลี่ยนช่อง เป็นต้น นอกจากนี้ในการทหารมีการนำรังสีอินฟราเรดมาใช้กับการควบคุมอาวุธนำวิถีให้เคลื่อนที่ไปยัง เปา้ หมายไดอ้ ย่างแม่นยำ ในปจั จุบนั มีการส่งสัญญาณดว้ ยเสน้ ใยนำแสง ( Optical fiber ) โดยมีคลืน่ ที่เป็นพาหะนำสญั ญาณ คือ รังสีอินฟราเรด เพราะการใช้แสงธรรมดานำสัญญาณอาจถูกรบกวนโดยแสงภายนอกได้ง่าย เส้นใย นำแสง ดังภาพที่ 3.13

15 ภาพท่ี 3.13 เส้นใยนำแสง ทมี่ า : http://remee.com/products.php?slug=fiber-optic-cables ( สืบคน้ เมื่อ 26 พ.ย. 2564 ) 3.3.5 แสง แสง เป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่มีความถี่โดยประมาณตั้งแต่ 4  1014 ถึง 8  1014 เฮิรตซ์ หรือ มีความยาวคลื่นในช่วง 400 ถึง 700 นาโนเมตร ประสาทสัมผัสของมนุษย์ไวต่อคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ช่วงนีม้ าก วตั ถุทีม่ ีอณุ หภูมิสูงมาก ๆ เชน่ ไสห้ ลอดไฟฟา้ ท่ีมีอุณหภูมิสงู สุดประมาณ 3000 เคลวิน หรือผิว ของดวงอาทติ ย์ทีม่ ีอณุ หภูมิประมาณ 6000 เคลวนิ จะเปล่งแสงได้ สำหรบั แสงที่มีความยาวคล่ืนประมาณ 700 นาโนเมตร ประสาทตาจะรับร้เู ป็นแสงสีแดง สว่ นแสงสที มี่ ีความยาวคล่นื น้อยกว่า ประสาทตาจะรับรู้ เป็นแสงสีส้ม เหลือง เขียว น้ำเงิน ตามลำดับ จนถึงสีม่วงซึ่งมีความยาวคลื่นประมาณ 400 นาโนเมตร เมื่อรวมแสงสีต่าง ๆ ที่กล่าวมาด้วยปริมาณที่เหมาะสมจะเป็นแสงขาว และเมื่อนำแสงขาวผ่านปริซึม และนำฉากไปรับจะมองเหน็ แสงขาวแยกสเปกตรมั เปน็ สีต่าง ๆ เช่นกัน สลิต (Slit) คือ ช่องแคบเล็ก ๆ บนแผ่นวัตถุทบึ แสง เมื่อคลื่นแสงเคลือ่ นที่ผ่านช่องแคบ นี้จะเกิด การเลี้ยวเบน สลิตที่มีจำนวนช่องมากโดยแต่ละช่องมีขนาดเท่ากัน และระยะห่างระหว่างช่องมีค่าน้อย และขนาดเท่ากัน เรียกว่า เกรตติง จำนวนช่องของเกรตติงมีได้ตั้งแต่ 10 ถึง 10,000 ช่องต่อความยาว 1 เซนติเมตร ลักษณะของแผน่ เกรตติง ดงั ภาพที่ 3.14 ภาพท่ี 3.14 ลักษณะของแผ่นเกรตติง ท่มี า : http://snooker-chalida.blogspot.com/2011/01/grating.html ( สืบค้นเม่ือ 27 พ.ย. 2564 )

16 เมอ่ื แสงผ่านเกรตติงจะเกดิ การแทรกสอดกนั ตำแหนง่ ของแถบสว่างท้ังหลายเปน็ ไปตามสมการ dsinθ = nλ ( n = 1 2 3 … ) .................3.5 โดย d แทนความกว้างของแต่ละชอ่ งของเกรตติง เมื่อแสงผ่านเกรตติง จะเกิดการเลี้ยวเบนออกไปเป็นมุม  ต่างกัน เกิดลวดลายการเลี้ยวเบน ( Diffreaciton patterns ) หรือเรยี กว่า สเปกตรัม ( Spectrum ) สเปกตรัมของคล่นื แสง ดังตารางที่ 3.1 ตารางที่ 3.1 สเปกตรมั ของคลนื่ แสง ความถี่ ( 1014 เฮริ ตซ์ ) สี ความยาวคล่นื ( 10-7 เมตร ) 6.59 – 7.69 ม่วง 3.90 – 4.55 6.10 – 6.59 5.20 – 6.10 นำ้ เงิน 4.55 – 4.92 5.03 – 5.20 เขยี ว 4.92 – 5.77 4.82 – 5.03 เหลือง 5.77 – 5.96 3.84 – 4.82 สม้ 5.96 – 6.22 แดง 6.22 – 7.80 แสงส่วนใหญ่เกิดจากวัตถุที่มีอุณหภูมิสูงมากและมีพร้อมกันหลายความถี่ เมื่ออุณหภูมิยิ่งสูง พลังงานของแสงที่มีความถี่สูงจะยิ่งมาก เปลวไฟจากเตาถ่านมีอุณหภูมิต่ำกว่าเปลวไฟจากเตาแก๊ส จึงมองเห็นแสงไฟจากเตาถ่านเป็นสีแดงมากกว่าเปลวไฟจากเตาแก๊ส ดาวฤกษ์สีน้ำเงินมีอุณหภูมิสูงกว่า ดาวฤกษ์สีแดง แต่แสงอาจเกิดโดยไม่ต้องอาศัยความร้อนโดยตรงก็ได้ เช่น แสงจากจอโทรทัศน์ แสงจาก หลอดฟลอู อเรสเซนต์ แสงจากหิงห้อย เป็นตน้ แสง นำมาใช้ประโยชน์ในการสื่อสาร เป็นคลื่นพาหะได้เช่นเดียวกับคลื่นวิทยุและคลื่นโทรทัศน์ แต่ไม่สามารถใช้แสงที่เกิดจากวัตถุร้อนเป็นคลื่นพาหะได้เพราะแสงเหล่านี้มีหลายความถี่และเฟส ที่ไม่แน่นอน ปัจจุบันมีเครื่องกำเนิดเลเซอร์ที่เป็นแหล่งกำเนิดแสงอาพันธ์ที่ให้แสงได้ โดยมีผู้ทดลอง ผสมสัญญาณเสยี งและภาพกับเลเซอร์ได้สำเร็จ นอกจากใช้เลเซอร์ในการสอื่ สารแล้ว ยังใชใ้ นวงการต่าง ๆ อย่างกวา้ งขวาง เชน่ วงการแพทย์ใช้ในการผ่าตดั นยั นต์ า เปน็ ต้น เลเซอร์ เขียนภาษาอังกฤษว่า LASER ซึ่งย่อมาจาก Light Amplification by Stimulated Emission of Radiation ที่แปลเป็นภาษาไทยได้ว่า “การขยายสัญญาณแสง โดยการปล่อยรังสี แบบเร่งเร้า” เพราะแสงเลเซอร์เป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่ได้จากกระบวนการปล่อยรังสีแบบเร่งเร้า และสญั ญาณแสงถกู ทำใหค้ วามเข้มแสงเพม่ิ มากขน้ึ ลกั ษณะของเลเซอร์ ดงั ภาพท่ี 3.15

17 ภาพที่ 3.15 ลักษณะของเลเซอร์ ทมี่ า : http://www.manager.co.th ( สืบค้นเม่ือ 27 พ.ย. 2564 ) 3.3.6 รงั สีอัลตราไวโอเลต ( Ultra violet ) รังสีอัลตราไวโอเลต เป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่มีความถี่สูงกว่าแสง คือมีความถี่อยู่ในช่วง 1015 ถึง 1018 เฮิรตซ์ ความยาวคลื่นในช่วง 10 นาโนเมตร ถึง 400 นาโนเมตร หรืออาจเรียกว่ารังสีเหนือม่วง รงั สอี ลั ตราไวโอเลตที่มใี นธรรมชาติสว่ นใหญม่ าจากดวงอาทติ ย์ และรังสนี ที้ ำให้ช้ันบรรยากาศไอโอโนสเฟียร์ มีประจุอิสระและไอออน เพราะรังสีอัลตราไวโอเลตมพี ลังงานสูงพอทีจ่ ะทำใหอ้ เิ ล็กตรอนหลุดจากโมเลกุล ของอากาศ โดยชั้นบรรยากาศไอโอโนสเฟียร์มีโมเลกุลหลายชนิด เช่น โอโซนซึ่งสามารถกั้น รังสอี ลั ตราไวโอเลตได้ดี ปกตริ งั สีอัลตราไวโอเลตไม่สามารถทะลุผ่านส่งิ กดี ขวางที่หนาได้ แต่สามารถฆ่าเชื้อ โรคบางชนิดได้ ในวงการแพทย์จึงใช้รังสีอัลตราไวโอเลตในปริมาณพอเหมาะรักษาโรคผิวหนังบางชนิด แต่ถ้ารังสีอัลตราไวโอเลตจากดวงอาทิตยส์ ่งลงมาถึงพื้นโลกในประเทศใดมากเกินไป ประชากรในประเทศ นน้ั อาจเป็นมะเร็งผวิ หนงั ได้ ถ้าไดร้ บั รังสนี ้ีปริมาณมากเกนิ ไป รงั สอี ัลตราไวโอเลตสามารถสรา้ งขึน้ ได้จากการบรรจุแก๊สเฉื่อย และไอปรอทจำนวนเล็กน้อยเข้าไป ในหลอดสุญญากาศ แล้วต่อขั้วทั้งสองด้านของหลอดเข้ากับความต่างศักย์ไฟฟ้าสูง ๆ อิเล็กตรอนที่หลุด ออกมาจะวิ่งเข้าชนกับอะตอมของไอปรอท ทำให้อะตอมของไอปรอทปล่อยพลังงานออกมาในรูป ของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ที่มีความถี่ในช่วงของรังสีอัลตราไวโอเลต ซึ่งนำมาใช้ประโยชน์มากมาย เช่น หลอดแบลค็ ไลท์ ใชใ้ นการฆา่ เช้อื โรค การแสดง การตกแตง่ หอ้ ง ตรวจสอบธนบตั ร เป็นตน้ รงั สอี ลั ตราไวโอเลต แบง่ ตามระดับพลังงานออกเป็นช่วงต่าง ๆ ได้ 3 ช่วง คือรังสอี ัลตราไวโอเลตเอ ( UV-A ) รังสีอัลตราไวโอเลต บี ( UV-B ) และรงั สอี ัลตราไวโอเลต ซี ( UV-C ) 1. รงั สอี ลั ตราไวโอเลต เอ เปน็ รงั สอี ัลตราไวโอเลตในชว่ งความยาวคล่ืน 316 ถึง 400 นาโนเมตร ไม่มีผลต่อสิ่งมีชีวิตมากนัก เพียงแค่แทรกเข้าไปในเนื้อของผิวหนังทำลายดีเอ็นเอของโปรตีนและไขมัน ทำให้เกิดรอยเหี่ยวย่นบนผิวหนงั เป็นรงั สที ่ีมมี ากถงึ ร้อยละ 75 ของแสงท่ีส่องมายงั โลก

18 2. รงั สีอัลตราไวโอเลต บี เป็นรงั สีอัลตราไวโอเลตในชว่ งความยาวคลื่น 280 ถึง 315 นาโนเมตร เป็นรังสีที่มีความถี่สูงกว่ารังสีอัลตราไวโอเลต เอ และเป็นรังสีที่มีอันตรายถ้ามีปริมาณของความเข้ม ของรังสีมาก มีผลทำให้ผิวหนังไหม้ เป็นผื่นแดงและยังส่งผลให้เมลานินผลิตเพิ่มมากขึ้น จึงทำให้ผิวหนัง เปลีย่ นเปน็ สดี ำหรือน้ำตาลแดง 3. อลั ตราไวโอเลต ซี เปน็ รังสีอัลตราไวโอเลตทม่ี ีช่วงความยาวคล่นื 100 ถึง 280 นาโนเมตร เป็นรังสีที่มีความถี่สูงสุด ซึ่งอันตรายมาก สามารถทำลายเนื้อเยื่อและทำให้เป็นมะเร็งได้ แต่รังสี อัลตราไวโอเลต ซี จะถูกดูดกลืนโดยชั้นบรรยากาศทั้งหมด ไม่พบบนพื้นโลก แต่ในอนาคตชั้นบรรยากาศ ถูกทำลายด้วยสารคลอโรฟลูออโรคาร์บอน ( Chlorofluorocarbon : CFC ) อาจทำให้รังสีชนิดนี้มาถึง บนพ้ืนโลกได้จนเป็นอนั ตรายต่อสิ่งมชี วี ิต 3.3.7 รังสเี อกซ์ ( X – ray ) รังสีเอกซ์ เป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่มีความถี่อยู่ในช่วง 1017 ถึง 1021 เฮิรตซ์ หรือความยาวคล่ืน อยู่ระหว่าง 10-13 ถึง 10-9 เมตร สามารถผลิตรังสีเอกซ์ได้จากการหน่วงความเร็วของอิเล็กตรอนโดยให้ กระแสอิเลก็ ตรอนชนเปา้ โลหะ การผลิตหลอดรงั สีเอกซ์มีสว่ นประกอบ 3 ส่วน ได้แก่ หลอดแกว้ ขว้ั ลบ ( Cathode ) และข้ัวบวก ( Anode ) ลกั ษณะหลอดรังสีเอกซ์ ดงั ภาพที่ 3.16 ภาพท่ี 3.16 หลอดรังสีเอกซ์ ทมี่ า : https://sites.google.com/site/nuclearremotelaboratorypl/x-ray/generation-of-x-ray ( สบื ค้นเมอื่ 27 พ.ย. 2564 )

19 หลอดแก้ว ทำดว้ ยแก้วไพเรกซ์ ภายในเปน็ สุญญากาศเพอื่ ป้องกนั ไม่ให้อเิ ล็กตรอนทีห่ ลดุ ออกมาชน กับอนุภาคของแก๊ส ขั้วลบ ทำด้วยลวดทังสเตนซึ่งถูกเผาให้ร้อนด้วยไฟฟ้า ทำให้อิเล็กตรอนในอะตอม ของลวดได้รับพลังงานมากเพียงพอจึงถูกปลดปล่อยออกมาจากขั้วลบ โดยปริมาณรังสีเอกซ์จะขึ้นอยู่กับ จำนวนอิเล็กตรอนที่ถูกปลดปล่อยออกมา และขั้วบวก เป็นเป้าที่อิเล็กตรอนวิ่งเข้าชน ทำด้วยแผ่นโลหะ ทังสเตนหนาประมาณ 2 ถึง 3 มิลลิเมตร การที่เลือกใช้ทังสเตนเป็นเป้าเพราะโลหะทังสเตนทนความร้อน ได้ดี มีจุดหลอดเหลวสูงถึง 3422 องศาเซลเซียส นอกจากนี้ทังสเตนยังมีคุณสมบัติในการดูดกลืน และคายความรอ้ นไดด้ ี เมื่อกระแสไฟฟ้าไหลผ่านเข้าไปในไส้หลอด ทำให้ขั้วลบร้อนขึ้น อิเล็กตรอนในขั้วลบที่ต่อกับ ความต่างศักย์ไฟฟา้ สงู ๆ จะมีพลังงานศักย์ไฟฟา้ มากขนึ้ ทำให้อิเลก็ ตรอนหลุดออกจากขัว้ ลบ วิง่ เข้าชนเป้า ที่เป็นขั้วบวก อิเล็กตรอนเมื่อชนเป้าโลหะจะถูกหน่วงทำให้หยุด พลังงานจลน์ของอิเล็กตรอนสูญเสีย เปลี่ยนรปู เปน็ พลังงานคลื่นแมเ่ หลก็ ไฟฟา้ ความถ่สี ูง เรยี กว่า รังสีเอกซ์ การเปล่ียนรปู ของพลงั งานในการเกิดรังสีเอกซ์ เปน็ ดังนี้ พลังงานศกั ย์ไฟฟ้า ( Ep ) พลังงานจลน์ ( Ek ) พลังงานคลนื่ แม่เหล็กไฟฟ้า จะได้ Ep = Ek = E พิจารณาจากข้วั ลบไปขั้วบวก Ep = eV จากสมการท่ี 4.4 E= hc Ep =  eV Ep = E .................3.6 eV = hc   = hc .................3.7 eV ค่าของ hc เป็นค่าคงที่ ความยาวคลื่นของรังสีเอกซ์จะแปรผกผันกับความต่างศักย์ไฟฟ้าที่ใช้ใน e hc การคำนวณ แทนค่า e แลว้ จะได้  = 1.24 10-6 .................3.8 V

20 เมอื่  แทน ความยาวคล่นื ของรงั สีเอกซ์ หนว่ ยเป็น เมตร V แทน ความตา่ งศกั ย์ไฟฟา้ หนว่ ยเปน็ โวลต์ รังสีเอกซ์สามารถทะลุผ่านสิ่งกีดขวางหนา ๆ ได้ ดังนั้นในวงการอุตสาหกรรมจึงใช้รังสีเอกซ์ ตรวจหารอยรา้ วภายในชิ้นส่วนโลหะขนาดใหญ่ เจ้าหน้าที่ด่านตรวจสามารถใชร้ ังสีเอกซ์ตรวจหาอาวุธปนื หรือวตั ถรุ ะเบิดในกระเปา๋ เดนิ ทางโดยไม่ต้องเปิดกระเป๋า โดยอาศยั หลกั การว่า รงั สีเอกซจ์ ะถกู ขวางกั้นโดย อะตอมของธาตุหนักได้ดีกว่าธาตเุ บา นอกจากนี้แพทยย์ ังใช้วิธีฉายรังสีเอกซ์ผ่านร่างกายคนไปตกบนฟิล์ม เพื่อตรวจดลู ักษณะผิดปกตขิ องอวยั วะภายในและกระดูก ภาพถา่ ยโดยใชร้ ังสีเอกซ์ ดังภาพที่ 3.17 ภาพที่ 3.17 ภาพถา่ ยโดยใช้รังสเี อกซ์ ทมี่ า : http://t1.gstatic.com ( สบื ค้นเมอ่ื 27 พ.ย. 2564 ) เมื่อฉายรังสีเอกซ์ที่มีความยาวคลื่นประมาณ 1 นาโนเมตร ผ่านผลึกที่อะตอมจัดเรียงตัวกัน อย่างเป็นระบบ รังสีเอกซ์ที่มีความยาวคลื่นใกล้เคียงกับขนาดและระยะห่างระหว่างอะตอมของผลึก เมอื่ ผา่ นผลกึ จะเกิดการเลยี้ วเบนเช่นเดียวกับแสงเมอ่ื ผ่านเกรตติงทำให้สามารถคำนวณหาระยะห่างระหว่าง อะตอมและลกั ษณะการจดั เรียงตัวของอะตอม จึงทำให้ทราบโครงสรา้ งของผลึกแต่ละชนิดได้ ตัวอย่างที่ 3 ในหลอดรงั สเี อกซ์ ท่ใี ช้ความตา่ งศักยไ์ ฟฟา้ 1000 โวลต์ ความยาวคล่นื ของรงั สเี อกซท์ ี่ออกมา มคี ่าเทา่ ใด วธิ ที ำ จาก  = 1.24 10-6 V = 1.24 10-6 1000V = 1.24 nm ตอบ ความยาวคลื่นของรังสเี อกซ์มีค่าเท่ากับ 1.24 นาโนเมตร

21 3.3.8 รังสีแกมมา ( Gamma ray ) รังสีแกมมา เป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่มีความถี่สูงกว่ารังสีเอกซ์ แต่เดิมรังสีแกมมาเป็นชื่อเรียก คลน่ื แม่เหล็กไฟฟ้าความถ่ีสูงท่ีเกิดจากการสลายนวิ เคลียสของธาตุกัมมันตรังสี และยังมีรังสีแกมมาท่ีมาจาก อวกาศและรังสีคอสมิกนอกโลก อนุภาคประจุไฟฟ้าที่ถูกเรง่ ในเครื่องเรง่ อนุภาค สามารถกำเนิดรงั สีแกมมาได้ ในปัจจุบันคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าใด ๆ ที่มีความถี่สูงกว่ารังสีเอกซ์โดยทั่วไปจะเรียกว่ารังสีแกมมา ปฏิกิริยา นิวเคลียรบ์ างปฏิกริ ยิ าปลดปล่อยรงั สีแกมมา การท่รี งั สนี ้มี ีความถ่สี ูงจึงเป็นอนั ตรายต่อสงิ่ มชี ีวิตทุกชนดิ รังสีแกมมาเป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่มีความถี่สูง ไม่เบี่ยงเบนเมื่อผ่านเข้าไปในสนามไฟฟ้าหรือ สนามแม่เหล็ก และมีอำนาจทะลทุ ะลวงสูงมาก ตอ้ งใช้คอนกรีตหรอื แผน่ ตะก่วั หนา ๆ กั้น ปจั จุบันมีการนำรังสแี กมมามาประโยชน์มากมายหลายด้าน ดงั น้ี 1. ด้านการเกษตร นำมาใช้ในการปรับปรุงพันธุพ์ ืช โดยการนำเมล็ดพันธุ์มาอาบรังสีแกมมา เพื่อทำให้เกิดการกลายพันธุ์ การกำจัดแมลงศตั รูพืชโดยการอาบรังสีแมลงให้เป็นหมันเพื่อลดการกระจาย พนั ธ์ุ การถนอมอาหารโดยการฉายรังสี ดังภาพที่ 3.18 ภาพที่ 3.18 ส้มไรเ้ มล็ดจากการอาบรังสีแกมมา ที่มา : http://www.nst.or.th/article/notes01/article007.htm ( สืบคน้ เม่อื 27 พ.ย. 2564 ) 2. ด้านอุตสาหกรรม นำรังสีแกมมามาใช้เป็นตวั เร่งให้เกิดปฏิกริ ิยาในการผลติ สารพอลิเมอร์ ตา่ ง ๆ เพื่อช่วยปรับปรงุ สมบัตติ ่าง ๆ ของพอลิเมอร์ให้ดีขึน้ เช่น ความแขง็ แรง ความเหนยี ว ความทนทาน ต่อสารเคมี เป็นต้น รังสีแกมมานำมาใช้ในการควบคุมความหนาของวัสดุในการผลิต เช่น แผ่นเหล็ก พลาสติก นอกจากนม้ี ีการนำรังสแี กมมามาใช้ในการปรับปรงุ คุณภาพอัญมณี โดยการนำอญั มณีไปฉายรังสี เพือ่ ใหผ้ ลกึ ของแรอ่ ญั มณีเปลย่ี นแปลงไป มสี สี วยงามเพ่มิ มูลค่า ดังภาพที่ 3.19

22 ภาพท่ี 3.19 การใชร้ งั สแี กมมาในการควบคมุ ความหนาของแผ่นพลาสติก ทมี่ า : http://www.nst.or.th/article/notes01/article008.htm ( สืบคน้ เมื่อ 27 พ.ย. 2564 ) 3. ด้านการแพทย์ นำรังสีแกมมามาใชใ้ นการรกั ษาโรคมะเรง็ โดยการฉายรงั สีเขา้ ไปในบริเวณ ท่มี เี ซลมะเร็งเพ่ือทำใหเ้ ซลมะเร็งตาย หรอื ฝงั แรเ่ ข้าไปในบริเวณที่มีเซลมะเร็ง การนำรังสีแกมมาใชว้ ิเคราะห์ ทางการแพทย์เพื่อตรวจวนิ ิจฉยั โรค และการใชท้ ำความสะอาดเครือ่ งมือแพทย์ ดงั ภาพท่ี 3.20 ภาพที่ 3.20 การใชร้ งั สีแกมมาในการรกั ษาโรคมะเร็ง ทม่ี า : http://www.nst.or.th/article/notes01/article006.htm ( สืบค้นเมือ่ 28 พ.ย. 2564 )

23 ใบกิจกรรมที่ 3.1 การศกึ ษาแสงของดวงอาทติ ย์ จุดมุง่ หมาย 1. ทดลองและศกึ ษาลักษณะของแสงอาทิตย์เมอื่ ผา่ นปริซมึ 2. จำแนกแสงตามความสามารถในการสัมผสั ด้วยนยั น์ตาได้ เวลาท่ีใช้ 2 ชัว่ โมง อุปกรณ์ รายการ จำนวน 1 ชุด 1. ปรซิ มึ 1 แผน่ 2. กระดาษขาว กจิ กรรม 1. นำปริซึมรบั แสงอาทิตย์ และวางกระดาษขาวบนพ้นื เพอื่ รองรบั แสงท่ีผา่ นปรซิ มึ ดังภาพท่ี 3.21 2. ปรับระยะหรือเอียงปริซึมให้พอเหมาะ จนกระทั่งเห็นแถบสีมากที่สุดบนกระดาษขาว สงั เกตแถบสีท่เี กดิ ขนึ้ บนกระดาษ บนั ทึกผลการทดลอง 3. ทำการทดลองซ้ำอีก 2 ครง้ั ภาพท่ี 3.21 การจัดอุปกรณก์ ารศึกษาแสงของดวงอาทติ ย์

24 บันทกึ ผลกจิ กรรม แถบสีบนฉาก ตารางบนั ทึกผลการทดลอง คร้ังท่ี 1 2 3 สรุปผลกิจกรรม ................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................... คำถามท้ายการทดลอง 1. เม่อื นำปริซึมรบั แสงอาทิตย์จะเกดิ ผลอย่างไรบนกระดาษขาว ................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................... 2. เมือ่ หมนุ ปรซิ ึมไปเปน็ มมุ ต่าง ๆ ลำดบั ของแถบสเี ปลย่ี นแปลงหรือไม่ ................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................

25 กิจกรรมการเรยี นรู้ท่ี 3.2 1. การทำให้เกดิ คล่นื แมเ่ หลก็ ไฟฟา้ ทำไดก้ ่วี ิธี อยา่ งไรบ้าง .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... 2. จงจับคู่ข้อความที่มีความสัมพันธ์กันให้ถูกต้อง โดยเลือกคำตอบด้านขวามือให้ตรงกับข้อความ ด้านซ้ายมือ .................. 1. ใช้ประโยชน์ในการสื่อสารโดยทำหน้าที่เป็นคลื่นพาหะ ก. คลืน่ ไมโครเวฟ .................. 2. สามารถนำข่าวสารออกไปนอกโลกได้ ข. รงั สีอนิ ฟราเรด .................. 3. ใช้ประโยชน์ในการสื่อสารผ่านดาวเทียม ค. รังสีอลั ตราไวโอเลต .................. 4. นำมาใช้ในการทำรีโมทคอนโทล ง. แสง .................. 5. เมื่อผ่านปรซิ มึ แล้วแยกเปน็ แสงสีตา่ ง ๆ จ. คล่นื วิทยุ .................. 6. นำมาใช้ประโยชน์ในการตรวจสอบธนบัตร ฉ. รังสเี อกซ์ .................. 7. นำมาใช้ประโยชน์ในการหาอาวุธปืนในกระเป๋าเดนิ ทาง ช. คลน่ื โทรทัศน์ โดยไมต่ ้องเปดิ กระเป๋า ซ. รงั สแี กมมา .................. 8. เป็นคลน่ื แมเ่ หล็กไฟฟา้ ทมี่ ีอำนาจทะลุทะลวงมากที่สุด 3. ในหลอดรงั สเี อกซท์ ่ีใชค้ วามตา่ งศกั ยไ์ ฟฟา้ 1500 โวลต์ ความยาวคลน่ื ของรังสเี อกซท์ ีอ่ อกมามีคา่ เทา่ ใด .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................................

26 แบบฝกึ หดั ท้ายหนว่ ยที่ 3 1. จงอธิบายความหมายของคล่ืนแม่เหลก็ ไฟฟา้ .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... 2. จงอธบิ ายการเกิดคล่นื แม่เหล็กไฟฟา้ .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... 3. จงบอกความหมายของสเปกตรมั ของคลน่ื แม่เหล็กไฟฟ้า .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... 4. สเปกตรัมของคลนื่ แม่เหลก็ ไฟฟา้ จำแนกได้กี่ชนดิ อะไรบา้ ง .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... 5. สเปกตรัมคลืน่ แมเ่ หล็กไฟฟา้ ชว่ งความถีใ่ ด ท่ใี ชใ้ นการสอ่ื สารและด้วยวิธใี ด .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... 6. เพราะเหตุใด การส่งคลื่นวิทยุแบบเอเอ็มจึงครอบคลุมพื้นที่ได้มากกว่าการส่งคลื่นเอฟเอ็ม หรือ คลน่ื โทรทศั น์ .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................................

27 7. รังสเี อกซก์ ับรงั สแี กมมาเหมือนและต่างกนั อย่างไร .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... 8. คล่ืนแม่เหล็กไฟฟา้ มคี วามยาวคล่นื 150 นาโนเมตร จะมคี วามถี่และพลังงานเท่าใด .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... 9. สเปกตรัมของธาตกุ ัมมนั ตภาพรังสมี คี วามถี่ 270 เฮริ ตซ์ ความยาวคลื่นมีค่าเทา่ ใด .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... 10. คลื่นแมเ่ หล็กไฟฟา้ มคี วามยาวคล่นื 900 พิโคเมตร จะมพี ลังงานกี่จูล .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................................

28 บรรณานกุ รม เกรตตงิ (Grating). [ออนไลน์] เข้าถงึ ได้จาก http://snooker-chalida.blogspot.com/2011/01/ grating.html [2564, พฤศจกิ ายน 2] คลังความร.ู้ การเกดิ คลื่นแมเ่ หล็กไฟฟา้ . [ออนไลน์] เขา้ ถึงไดจ้ าก http://www.myfirstbrain.com ____________. การสง่ คลน่ื โทรทศั น.์ [ออนไลน์] เขา้ ถงึ ได้จาก http://www.myfirstbrain.com /student_view.aspx?id=76376 [2564, พฤศจิกายน 2] ชลธชิ า เหลก็ กลา้ และปรู ดิ า สุขร่นื . วิทยาศาสตร์เพือ่ งานไฟฟ้าและการสอื่ สาร. นนทบุรี : ศูนย์หนังสือ เมอื งไทย จำกดั , 2558. บุญธรรม เกษมทะเล. วิทยาศาสตรเ์ พ่ือพฒั นาอาชพี ชา่ งอุตสาหกรรม. นนทบุรี : ศูนยห์ นงั สอื เมอื งไทย, 2556. ผ้จู ดั การออนไลน์. เตาไมโครเวฟ. [ออนไลน์] เขา้ ถงึ ได้จาก http://www.manager.co.th [2564, พฤศจิกายน 26] ____________. เลเซอร.์ [ออนไลน์] เขา้ ถึงได้จาก http://www.manager.co.th [2564, พฤศจิกายน 2] โรงเรยี นเครือขา่ ยจดั กจิ กรรม. การส่งคล่นื วทิ ยุ. [ออนไลน์] เข้าถงึ ไดจ้ าก http://www.thaigoodview. com/node/128997 [2564, พฤศจิกายน 2] ____________. ภาพถา่ ยโดยใช้รังสีเอกซ์. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก http://t1.gstatic.com [2564, พฤศจิกายน 27] วรรณา ก่อสกลุ . วทิ ยาศาสตร์อุตสาหกรรม. กรงุ เทพฯ : สำนกั พิมพ์แมค็ , 2550. วิชาการ.คอม. คลื่นวทิ ย.ุ [ออนไลน์] เขา้ ถึงได้จาก http://www.vcharkarn.com/lesson/1037 [2564, พฤศจกิ ายน 2] สถาบนั เทคโนโลยพี ระจอมเกลา้ เจา้ คุณทหารลาดกระบงั . เรด้าร์. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก http://www. telecom.kmitl.ac.th/alumni/jgw/www/radar/index.html [2564, พฤศจกิ ายน 2] สถาบนั สง่ เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี (สสวท.). หนังสือเรียนรายวชิ าเพ่ิมเติม ฟิสกิ ส์ เลม่ 4. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์ สกสค. ลาดพรา้ ว, 2554. สมพงษ์ ใจด.ี ฟสิ ิกส์สู่มหาวทิ ยาลัย 15. กรุงเทพฯ : สำนักพมิ พแ์ หง่ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2553. สมาคมนิวเคลยี รแ์ หง่ ประเทศไทย. การใช้รังสีในการเกษตร. [ออนไลน์] เข้าถงึ ได้จาก http://www.nst. or.th/ article/notes01/article007.htm [2564, พฤศจิกายน 2 ____________. การใช้รังสีในการกิจการอุตสาหกรรม. [ออนไลน์] เขา้ ถงึ ได้จาก http://www.nst.or. th/article/notes01/article008.htm [2564, พฤศจิกายน 2]

29 ____________. การใชร้ งั สใี นการทางการแพทย์. [ออนไลน์] เขา้ ถึงได้จาก http://www.nst.or. th/ article/notes01/article008.htm [2564, พฤศจิกายน 2] สำนักกิจการอวกาศแหง่ ชาต.ิ สเปกตรัมของคล่ืนแมเ่ หลก็ ไฟฟ้า. [ออนไลน์] เขา้ ถึงได้จาก http://www. space.mict.go.th/knowledge.php?id=spectroscopy [2564, พฤศจกิ ายน 2] สดุ ปลื้มใจ. วทิ ยาศาสตรเ์ พอ่ื งานไฟฟา้ และการสอ่ื สาร. กรุงเทพฯ : สำนกั พิมพ์ศูนยส์ ่งเสรมิ อาชีวะ, 2558. สุเทพ สุขเจรญิ . วิทยาศาสตร์งานไฟฟา้ อเิ ล็กทรอนิกส์และการสื่อสาร. กรุงเทพฯ : สำนกั พมิ พ์ เอมพันธ์, 2563. สเุ ทพ สุขเจรญิ . วิทยาศาสตร์เพือ่ งานไฟฟา้ และการสอ่ื สาร. กรุงเทพฯ : สำนกั พิมพเ์ อมพนั ธ์, 2558. ใส่สีตีข่าว. คลืน่ แมเ่ หลก็ ไฟฟา้ . [ออนไลน์] เขา้ ถงึ ได้จาก http://www.saiseenews.com [2564, พฤศจกิ ายน 23] 5อะฮุลลุ บัยตุ อะคาเดมี (ประเทศไทย). ฟ้าแลบฟ้าผา่ . [ออนไลน์] เขา้ ถึงได้จาก http://www.ahlulbait. Infrared. [ออนไลน์] เขา้ ถงึ ได้จาก http://www.glogster.com [2564, พฤศจิกายน 2] Nuclear e-cology laboratory. X-ray instrument. [ออนไลน]์ เขา้ ถงึ ไดจ้ าก https://sites.google. com/site/nuclearremotelaboratorypl/x-ray/generation-of-x-ray [2564, พฤศจิกายน 2] Remee wire and cable. Fiber optic cables. [ออนไลน]์ เขา้ ถงึ ได้จาก http://remee.com/ products.php?slug=fiber-optic-cables [2564, พฤศจกิ ายน 2]


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook