30000-1308 วิทยาศาสตรง์ านธรุ กิจและบรกิ าร หน่วยที่ 9 โดย...ครูธญั พร พมุ่ พวง
ความหมายของสารสังเคราะห์ สารสงั เคราะห์ (Synthetic substances) หมายถึง ผลิตภณั ฑท์ ี่เกิดจากการ รวมตวั หรือการทาปฏิกิริยากนั ของโมเลกลุ ขนาดเลก็ เกิดเป็นสารโมเลกลุ ใหญท่ ี่มี คุณสมบตั ิแตกต่างกนั ไปจากสารเดิม
ปัจจุบนั มนุษยไ์ ดน้ าสารสังเคราะห์และวสั ดุสังเคราะห์มาใชใ้ นชีวิตประจาวนั เป็ นจานวนมากสารสังเคราะห์และวสั ดุสังเคราะห์ดงั กล่าวมีท้งั สารสังเคราะห์และ วสั ดุสงั เคราะหท์ ่ีเกิดข้ึนจากกระบวนการทางธรรมชาติ และสารสงั เคราะห์ วสั ดุท่ีเกิด จากการ ทาปฏิกิริยาเคมีอาจอยใู่ นรูปของสารอินทรีย์ สารอนินทรีย์ วสั ดุผสมวสั ดุก่ึง ธรรมชาติ เป็นตน้ การสงั เคราะห์และวสั ดุสงั เคราะห์เหล่าน้ีไดม้ ีการเติมแต่งสารบาง ชนิดลงไปเพื่อเพิ่มคุณสมบตั ิให้ดีข้ึน ตวั อย่างสารสังเคราะห์และวสั ดุสังเคราะห์ที่ มนุษยใ์ ชใ้ นปัจจุบนั เช่น ยาง เส้นใย พลาสติก เสน้ ใยแกว้ วสั ดุนาโน เป็นตน้
ยาง ยาง (Rubber) เป็นพอลิเมอร์ชนิดหน่ึงท่ีมีความยดื หยนุ่ ตงั สูง และ สามารถทาใหเ้ ป็นรูปร่างต่างๆ ไดง้ ่ายตามความตอ้ งการ ยางแบ่งได้ 2ประเภท คือ 1.ยางธรรมชาติ (Natural rubber) 2.ยางสงั เคราะห์ (Synthetic Rubber)
ยางธรรมชาติ(Natural Rubber) มีช่ือทางเคมีวา่ พอลิไอโซปรีน ประกอบดว้ ย มอนอเมอร์ของไอโซปรีน ซ่ึงไดจ้ ากการกรีดตน้ ยางพารา ไดน้ ้ายางดิบ ที่มีลษั ณะของเลวสีขาวคลา้ ยนม เมื่อไดร้ ับความร้อนจะอ่อนนุ่ม เมื่อเยน็ จะเปราะแตก ง่ายจึงตอ้ งมีการปรับปรุงคุณภาพชีวติ ของยางใหด้ ีข้ึนดว้ ยวิธีการท่ีเรียกวา่ วลั คาไน เซชนั่ วธิ ีการวัลคาไนส์ มี 2 วธิ ีคือ 1.วธิ ีการวลั ไนส์กอ่ นการข้ึนรูปผลิตภณั ฑย์ าง วิธีน้ีเป็นการเตรียมแผน่ ยางใหม้ ี คุณสมบตั ิที่ดีเพยี งพอในการนาไปใชใ้ นกระบวนการผลิตในข้นั ตอนต่อไป 2.วธิ ีการวลั คาไนส์หลงั การข้ึนรูปผลิตภณั ฑย์ าง วิธีน้ีมี 3แบบคือ -การวลั คาไนส์ดว้ ยอากาศร้อน -การวลั คาไนส์ดว้ ยน้าร้อน -การวลั คาไนส์ดว้ ยไอน้า
ยางสังเคราะห์ (Synthetic Rubber) ยางสงั เคราะหเ์ ป็นยางที่ผลิตข้ึนมาคร้ัง แรกที่ประเทศเยอรมนั นี เพ่อื นามาใชท้ ดแทนยางธรรมชาติที่ขาดแคลน ปัจจุบนั มี การพฒั นาผลิตภณั ฑย์ างสงั เคราะหใ์ นหลายรูปแบบ เช่น 1.ยาง Acrylic Rubber or Polyacrylate Rubber (ACM) 2.ยาง Acrylonitrile-Butadiene or Nitrile Rubber (NBR) 3. ยาง Butadiene Rubber or Polybutadiene (BR) 4.ยาง Chloroprene Rubber (CR) 5.ยาง Epichlorohydrin(ECO) 6.ยาง Ethylene-Propiene Diene Rubbre(EPDM) 7.ยาง lsobutylene Rubber or Butyl Rubber (IIR) 8.ยาง Hydrogenated Acrylonitrile-Butadiene Rubber (HNBR) 9.ยาง Silicone Rubber (Q) 10.ยาง Styrene-Butadiene Rubber (SBR)
เส้ นใย เสน้ ใยเป็นพอลิเมอร์ชนิดหน่ึงที่สามารถนามาปั่น ถกั ทอ ใหม้ ีรูปร่างตาม ความตอ้ งการได้ แบ่งได2้ ประเภท 1.เส้นใยธรรมชาติ ไดแ้ ก่ ขนสตั ว์ ฝ้าย ลินิน ไหม ปอ ป่ าน 2.เส้นใยประดิษฐ์ ไดแ้ ก่ ไนลอน พอลิเอสเตอร์ เสน้ ใยแกว้ เส้นใยโลหะ เส้น ใยโนโวลอยด์
1.เส้นใยธรรมชาติจากขนสัตว์ เป็นเสน้ ใยชนิดแรกท่ีมนุษยร์ ู้จกั นามาใชป้ ระโยชนต์ ้งั แตย่ คุ ก่อน ประวตั ิศาสตร์จนกระทงั่ ปัจจุบนั แตป่ ัจจุบนั เสน้ ใยขนสัตวไ์ ดร้ ับความนิยม นอ้ ยลงเน่ืองจาก ราคาที่สูงกวา่ เสน้ ใยชนิดอ่ืนทาใหผ้ บู้ ริโภคหนั ไปเลือกซ้ือ เสน้ ใยท่ีมีราคาถูกกวา่
2.เส้ นใยธรรมชาติจากฝ้าย ฝ้ายเป็นใยพชื ท่ีปลกู กนั มานานกวา่ 5,000ปี มีอยเู่ กือบทว่ั ทุกแห่งโลก ยกเวน้ บริเวณท่ีมีอากาศหนาว เนื่องจากฝ้ายจะไม่เจริญเติบโตในอณุ หภูมิท่ีต่ากวา่ 21 องศาเซลเซียส ชนิดของฝ้ายที่นิยมปลกู กนั ไดแ้ ก่ 1.พนั ธุ์ Upland 2.พนั ธุ์ American Pima 3. พนั ธุ์ Egyptian 4. พนั ธุ์ Asiatic
3.เส้นใยไนลอน (Nylon) เส้นใยไนลอนหรือพอลิเอไมด์ เป็นเสน้ ใยประดิษฐช์ นิดแรกที่คน้ พบ โดยบริษทั ดูปองทป์ ระเทศสหรัฐอเมริกา ซ่ึงไดจ้ ากการทาปฏิกิริยาระหวา่ ง เฮกซะเมลิทิลลีนไดเอมีน กบั กรดอะดิพิกไดเ้ กลือของไนลอนจากน้นั ทาการ พอลิเมอร์ไรส์เกลือ ณ อุณหภูมิท่ีปราศจากในหมอ้ ความดนั โดยการสกดั น้า ออกตลอดเวลา ไดพ้ อลิเมอร์ที่ลกั ษณะเป็นเสน้ คลา้ ยริบบิ้น เรียกวา่ ไนลอน
4.เส้นใยพอลเิ อสเทอร์ (polyester) เส้นใยพอลิเอสเทอร์เป็นผลจากการศึกษาคน้ ควา้ โดยคณะนกั วทิ ยาศาสตร์ ชาวชาวองั กฤษ ในปี พ.ศ.1946 จากน้นั บริษทั ดูปองทข์ องสหรัฐอเมริกาไดข้ อซ้ือ ลิขสิทธ์ินาไปผลิตเป็นอุตสาหกรรม โดยใชช้ ่ือทางการคา้ วา่ เดครอน เป็นเส้นใยที่ นิยมใชอ้ ยา่ งกวา้ งขวาง สามารถนาไปผสมกบั เสน้ ใยอ่ืนไดแ้ ทบทุกชนิด โดยไม่ทา ใหส้ มบตั ิของเส้นใยที่ผสมเปล่ียนแปลงไป เสน้ ใยพอลิเมอร์เอสเทอร์ในปัจจุบนั มี 2 ชนิด คือ 1.พอลิเอทิลีนเทเรฟทาเลต 2.พอลิไซโคลเฮกซิลีนไดเมทิลีนเทเรฟทาเลต
พลาสตกิ พลาสติกเป็นพอลิเมอร์สงั เคราะหท์ ่ีอยใู่ นรูปของสารประกอบไฮโดรคาร์บอน เกิดจากการนาโมโนเมอร์มารวมตวั กนั ดว้ ยปฏิกิริยาพอลิเมอไรเซซนั่ วตั ถุดิบที่ นามาใชใ้ นการผลิตพลาสติกมีหลายชนิดเช่น พืช ถา่ นหิน ถา่ นโคก้ น้ามนั ดิบ และ กา๊ ซธรรมชาติ เป็นตน้
1.ประเภทของพลาสติก พลาสติกสามารถจาแนกตามคุณสมบตั ิของพลาสติกได้ 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ 1.1 พลาสติกจาแนกตามลกั ษณะรูปร่างของพลาสติก -พลาสติกผง (powder plastic) -พลาสติกเมด็ (granule plastic) -พลาสติกเกลด็ (Pellet plastic) -พลาสติกเหลว (liquid plastic)
1.2 พลาสติกจาแนกตามคุณสมบตั ิการคงรูปเม่ือไดร้ ับความร้อน -เทอร์โมพลาสติก (Thermo plastic) คือ พลาสติกที่อ่อนตวั หรือหลอตวั ได้ ง่ายเมื่อไดร้ ับความร้อน โดยสมบตั ิของพลาสติกไม่เปล่ียนแปลงสามารถนา กลบั ไปหลอมเพอื่ ผลิตเป็นสิ่งของต่างๆ ซ้าไดอ้ ีกคร้ัง -เทอร์โมเซตติงพลาสติก (Thermosetting plastic) คือ พลาสติกท่ีออ่ นตวั หรือ หลอมตวั ไดย้ ากเมื่อไดร้ ับความร้อน ทาใหค้ ุณสมบตั ิการเป็นพลาสติกเปล่ียนไป
2.กระบวนการในการผลิตผลติ ภัณฑ์พลาสติก กระบวนการในการผลิตผลิตภณั ฑพ์ ลาสติกในปัจจุบนั ตอ้ งนาพลาสติกไป ปรับปรุงหรือเพ่มิ เติมคุณสมบตั ิบางอยา่ งเสียก่อน โดยการเติมสี สารคงสภาพ สาร หล่อลื่น สารลดสภาพการนาไฟฟ้า สารเติมความแขง็ แรง เป็นตน้ จากน้นั จึงทาการ หลอมพลาสติกกบั สารตา่ งๆ เขา้ ดว้ ยกนั แลว้ นาไปเขา้ กระบวนการข้ึนรูปและแปร รูปพลาสติก เพือ่ ผลิตเป็นสิ่งของต่างๆ ตามความตอ้ งการ ซ่ึงมีวธิ ีการข้ึนและรูป แปรรูปหลายแบบดงั น้ี 2.1 วธิ ีการรีดพลาสติก (Calendering processes) เป็นการนาเอาพลาสติกชนิดเทอร์โมพลาสติก มารีดเป็นแผน่ บางๆ เพื่อใชท้ าเป็น เป็นแผน่ ฟิ ลม์ ฉาบลงบนกระดาษ แผน่ ผา้ หรือวสั ดุอ่ืน หรือใชเ้ ป็นวสั ดุเหลา่ น้นั มี คุณสมบตั ิดีข้ึน
2.2 วิธีการชุบพลาสติก (Laminating processes) เป็นการนาเอาพลาสติกชนิดเทอร์โมเซตติงพลาสติกไปชุบวสั ดุ เช่น ผา้ ไม้ กระดาษ เชือก ดา้ ยหรือใยหิน เพื่อเป็นการเสริมแรงใหก้ บั วสั ดุที่นามาชุบใหม้ ี ความแขง็ แรงมากข้ึน 2.3 วิธีการหล่อแขง็ พลาสติก (Casting processes) เป็นการนาเอาพลาสติกชนิดเทอร์โมพลาสติก เช่น พอลิไวนิล อะคริลิก เซลลโู ลส และพลาสติกชนิดเทอร์โมเซตติง นามาหลอ่ แขง็ ออกมาเป็น ผลิตภณั ฑ์
2.4 วธิ ีการหล่อดว้ ยแบบ (Molding processes) เป็ นการนาเอาพลาสติกชนิดเทอร์โมพลาสติกและเทอร์โมเซตติงพลาสติก นาไปหลอมใหเ้ หลวจากน้นั นามาใส่แบบ (Mold) เม่ือพลาสติกเยน็ ตวั จะแขง็ ตวั ตามลกั ษณะรูปร่างของแบบ กระบวนการน้ีมีวธิ ีการผลิตหลายวธิ ี ไดแ้ ก่ 1.การหลอ่ ดว้ ยแบบโดยการฉีด 2. การหลอ่ ดว้ ยแบบโดยการอดั รีด 3. การหลอ่ ดว้ ยแบบโดยใชล้ มเป่ า 4. การหลอ่ ดว้ ยแบบโดยการทาใหแ้ ม่พิมพเ์ ป็นสุญญากาศ 5. การหล่อดว้ ยแบบโดยใชแ้ รงเหวย่ี ง 6. การหล่อดว้ ยแบบโดยใชแ้ รงกดหรือแรงอดั
การตรวจสอบชนิดของพลาสติกอย่างง่าย การตรวจพสิ ูจนช์ นิดของพลาสติกมีวตั ถุประสงคห์ ลายประการ เช่น คดั แยกเพ่อื การทาลาย คดั แยกเพ่อื นาไปรีไซเคิล คดั แยกเพ่อื นาไปกลน่ั เป็นน้ามนั เป็นตน้ การตรวจสอบพิสูจนจ์ ะเนน้ ไปที่การใชป้ ระสารทสมั ผสั ของมนุษยแ์ ละ เคร่ืองมือท่ีไม่มีความซบั ซอ้ นมาก ท่ีสาคญั ตอ้ งอาศยั ความรู้และประสบการณ์ของ ผตู้ รวจสอบ วธิ ีการตรวจพิสูจนช์ นิดพลาสติกมีดงั น้ี 1. การตรวจสอบพิสูจนโ์ ดยการสังเกตดว้ ยตา โดยการตรวจสอบควร โปร่งแสงและความข่นุ ของพลาสติก 2. การตรวจสอบพสิ ูจนโ์ ดยการสัมผสั โดยการใชม้ ือลูบไปบนผิวของ พลาสติก หากมีลกั ษณะเป็นไขคลา้ ยข้ีผ้ึง แสดงวา่ เป็นพลาสติกจาพวก PE,PP,POM,PTFE
3. การตรวจพิสูจนโ์ ดยการดดั โดยการใชม้ ือตดั พลาสติกเพ่ือสงั เกตความ เปราะและความยดื หยนุ่ วธิ ีน้ีเราจะพบพลาสติกใน 3 ลกั ษณะ คือ 3.1 ตดั แลว้ พลาสติกไม่หกั 3.2 ตดั แลว้ มีรอยสีขาวตามรอยตดั 3.3 ตดั แลว้ พลาสติกแตกหกั 4. การตรวจพิสูจนโ์ ดยการสังเกตเปลวไฟ วธิ ีการน้ีจะใชต้ รวจพิสูจน์ พลาสติกในกลุ่มเทอร์โมพลาสติก ( Thermosetting plastic ) ซ่ึงจะหลอมละลาย เม่ือไดร้ ับความร้อน
ผลิตภัณฑ์พอลิเมอร์ ปัจจุบนั ผลิตภณั ฑท์ ี่ทามาจากพลาสติกเป็นที่นิยมใชก้ นั อยา่ งกวา้ งขวาง เนื่องจากเป็นผลิตภณั ฑท์ ่ีมีความสวยงาม คงทน สะดวกในการใชง้ าน แต่ พลาสติกเองกม็ ีผลตอ่ สภาพแวดลอ้ มของโลกเพราะพลาสติกยอ่ ยสลายไดย้ าก วธิ ีการกาจดั มีความซบั ซอ้ นสิ้นเปลืองคา่ ใชจ้ ่าย ตวั อยา่ งผลิตภณั ฑท์ ี่ใชง้ านใน ปัจจุบนั
1. โฟม ( Foam ) โฟมเป็นพอลิเมอร์ท่ีทาจากพลาสติกหลายชนิด เช่น พอลิเอทีลีน พอลิสไรรีน พอลิยรู ีเทนเทน พอลิไวนิลครอไรค์ ยรู ีเทนฟอร์มลั ดีไฮด์ เป็นตน้ บรรจุภณั ฑโ์ ฟมมีหลาย แบบ เช่น ถาดแบน ถาดหลุม กลอ่ งท่ีมาปิ ด นินม นามาใชบ้ รรจุผกั ผลไมส้ ด อาหารแหง้ อาหารก่ึงสาเร็จรูป เน่ืองจากดูสะอาด และสวยงาม เกบ็ รักษาความร้อน ปลอดภยั ในการสัมผสั กบั อาหาร
2. เส้นใยแก้ว (Fiber glass ) เส้นใยแกว้ เป็นพอลิเมอร์รูปแบบหน่ึงส่วนใหญท่ ามาจากเทอร์โมเซตติง พลาสติก และเทอร์โมพลาสติกบางชนิด เช่น พอลิเอทิลิน พอลิเอไมด์ เสน้ ใยแกว้ เป็นวสั ดุเสริมกาลงั ท่ีมีลกั ษะเด่น คือ เบาแต่แขง็ แรง ทนต่อการ อดั กระแทกไดด้ ี ปัจจุบนั นิยมนาเส้นใยแกว้ มาเป็นฉนวนกนั วามร้อน ฉนวนป้องกนั เสียง ใช้ ทาสายเคเบิลใยแกว้ ในการส่งขอ้ มูลใชท้ าโครงสร้างของเรือ ชิ้นส่วนรถยนต์ ถงั บรรจุน้า วสั ดุทนความร้อน เป็นตน้
3. สี สีเป็นวสั ดุช่างท่ีสาคญั ชนิดหน่ึง มีจุดประสงคน์ าไปใชท้ า ฉาบ เคลือบหรือ พน่ ลงผวิ วสั ดุเพ่อื เกิดความสวยงาม ป้องกนั ความช้ืน ฝ่ นุ ละออง เพิ่มความสดใส สวา่ งาม วสั ดุสีแบ่งตามลกั ษณะการใชง้ านได้ 3 ประเภท คือ 3.1 สีกนั ไฟ (Fire-proof paints) สีประเภทน้ีนิยมทาบนผิวไม้ แผน่ กระดาษ แผน่ ยปิ ซม่ั เพื่อป้องกนั ไฟไหม้ 3.2 สีโลหะ (Metallic paints) เป็นสีที่มาจากผงโลหะผสมน้ามนั วานิช ใช้ ป้องกนั การเป็นสนิมของโลหะและทาใหผ้ วิ ของโลหะมีความสวยงาม 3.3 สีกนั สนิม (Anticorrosion paints) ใชป้ ้องกนั การเกิดสนิมของเหลก็ กลา้ หรือเหลก็ หล่อ เช่น สีเสน ทามาจากตะกวั่ แดงผสมกบั น้ามนั ลินซีด
องค์ประกอบของสี โดยทว่ั ไปองคป์ ระกอบของสีแต่ละประเภทจะมีส่วนประกอบสาคญั คือ เน้ือ สีหรือตวั สี เมด็ สี เวฮิเคิล และตวั ทาใหแ้ หง้ มีรายละเอียด ดงั น้ี 1. เน้ือสีหรือตวั สี เป็นสิ่งท่ีทาใหส้ ีมีความคงทนตอ่ สภาพแวดลอ้ มต่างๆ 2. เมด็ สี เป็นส่วนผสมที่ทาใหเ้ กิดสีสนั ต่างๆ 3. เวฮิเคิล เป็นของเหลวท่ีทาใหเ้ น้ือสีเกิดการกระจายตวั เป็นเน้ือเดียวกนั ตลอดทุกส่วน 4. ตวั ทาใหแ้ หง้ เติมลงไปเพ่อื ใหก้ ารแหง้ ของสีดีข้ึน ส่วนใหญอ่ ยใู่ นรูปของ สารประกอบ
4. กาว เป็นตวั ประกอบวสั ดุใหต้ ิดกนั มีหลายลกั ษณะท้งั ท่ีเป็นของเหลว ของแขง็ กาวแบ่งตามโครงสร้างทางเคมีได3้ ประเภทใหญๆ่ คือ 4.1 กาวอนินทรีย์ ส่วนประกอบหลกั คือ โซเดียมซิลิเกต และ แมกนีเซียมคลอไรค์ 4.2 กาวอินทรีย์ แบ่งออกได้ 2 ชนิด -กาวท่ีไดจ้ ากธรรมชาติ ไดจ้ ากพชื หรือสตั วต์ วั อยา่ งเช่น โปรตีน แป้ง ยางสน เป็ นตน้ - กาวสงเคราะห์ ไดจ้ ากพอลิเมอร์สงั เคราะห์ แบ่งออกเป็น 3 ชนิด ไดแ้ ก่ 1. กา้ วอิลาสโตเมอริก 2. กาวเทอร์โมพลาสติก 3. กาวเทอร์โมเซตติง
5. เซรามิก เซรามิกเป็ นเคร่ื องป้ ันดินเผารู ปแบบหน่ึงที่มีส่วนประกอบของดินและหิน ผา่ นกระบวนการข้ึนรูปเป็นผลิตภณั ฑ์ แลว้ นาไปซุบเคลือบเพ่อื ใหผ้ ลิตภณั ฑม์ ี ความสวยงาม แขง็ แกร่ง ทนต่อการกดั กร่อนง่ายต่อการทาความสะอาดและการ รักษา วตั ถุดิบท่ีนามาใชใ้ นการผลิตเซรามิก แบ่งออกเป็น 2 กลมุ่ ใหญ่ 5.1 วตั ถุดิบที่มีความเหนียว ไดแ้ ก่ ดินชนิดตา่ งๆ 1. ดินเกาลิน (Kaolin clay) 2. ดินขาวเหนียว (Ball clay) 3. ดินเหนียว (Common clay) 4. ดินทนไฟ (Fire clay) 5.2 วตั ถดุ ิบที่ไม่มีความเหนียว ไดแ้ ก่ หินท่ีนามาเป็นส่วนผสมของเน้ือดิน เพือ่ ใหผ้ ลิตภณั ฑม์ ีความทนทานมากข้ึน
6. หนังเทียม เป็นพลาสติกชนิดหน่ึงเกิดจากการนาเอาเซลลูโลสจากพืช มาทาปฏิกิริยากบั กรดดินประสิว ไดส้ ่ิงที่เรียกวา่ เซลลูโลสไนเตรต หรือที่เรียกวา่ เซลลลู อยด์ ซ่ึงมี คุณสมบตั ิสาคญั ดงั น้ี 1.ใสและมีน้าหนกั เบา 2.ยอ้ มสีต่างๆไดเ้ ป็นอา่ งดี 3.อมน้านอ้ ยและติดไฟไดด้ ี 4.ทนต่อกรดอ่อนและเบสออ่ นไดด้ ี
เทคโนโลยพี อลิเมอร์และวสั ดุ 1.พลาสติกย่อยสลายได้ พลาสติกยอ่ ยสะลายไดม้ ีชื่อใชเ้ รียกหลากหลายบางคร้ังเราเรียกวา่ พลาสติกยอ่ ยสลายไดใ้ นสภาวะแวดลอ้ มธรรมชาติ หรือพลาสติกท่ีเป็นมิตรต่อ สภาวะแวดลอ้ ม หรือพลาสติกสีเขียว พลาสติกชนิดน้ีเป็นการใชส้ ารเติมแตง่ ให้ คุณสมบตั ิของพลาสติก
พลาสติกยอ่ ยสลายไดแ้ บ่งตามกลไกรการยอ่ ยสลายได้ 5 ประเภท คือ 1.การยอ่ ยสลายเชิงกล (Mechanical degradation) 2.การยอ่ ยสลายโดยอาศยั แสงอาทิตย์ (Photo degradation) 3.การยอ่ ยสลายโดยใชป้ ฏิกิริยาออกซิเดชน่ั (Oxidative Degradation) 4.การยอ่ ยสลายโดยใชป้ ฏิกิริยาไฮโดรไลซิส (Hydrolytic Degradtion) 5.การยอ่ ยสลายทางชีวภาพ (Biodegradation)
2.เสื้อนาโน เส้ือนาโนเป็นการนาเทคโนโลยรี ะดบั นาโน มาประยกุ ตใ์ ชใ้ นการปรับปรุง สภาพของเส้นใยดว้ ยการเคลือบหรือทาใหเ้ ส้นใยมีขนาดเลก็ ระดบั นาโน(1-100 นา โนเมตร) ปัจจุบนั เส้ือนาโนไดถ้ กู ผลิตข้ึนใชใ้ นหลากหลายประโยชน์ เช่น เส้ือนา โนกนั น้า เส้ือนาโนกนั ยบั เส้ือนาโนกนั รังสียวู ี เส้ือนาโนป้องกนั แบคทีเรีย เส้ือนา โนป้องกนั ไฟฟ้าสถิต เป็นตน้
3. เคฟลาร์ (Kevlar) เคฟลาร์เป็นวสั ดุท่ีไดร้ ับการยอมรับวา่ มีความแขง็ แรงสูง ทนทานตอ่ การ กระแทก การขดั ถู ทนต่าสารเคมี ทนตอ่ การสลายตวั ที่อุณหภูมิสูงไดด้ ีแต่มีขอ้ ดอ้ ย ตรงท่ีเคฟลาร์ดูดซบั ความช้ืนไดส้ ่งผลใหค้ วามแขง็ แรงของวสั ดุลดลง และจะ เสื่อมสภาพหากไดร้ ับรังสีอลั ตราไวโอเลต จากคุณลกั ษณะท่ีดีของเคฟลาร์จึงได้ นามาผลิตเป็นอุปกรณ์และเคร่ืองใชห้ ลายชนิด เช่น ชุดเกราะกนั กระสุน ชุดของนกั แข่งรถ หมวกกนั นอ็ ก ชิ้นส่วนเคร่ืองบิน เป็นตน้
Search
Read the Text Version
- 1 - 32
Pages: