Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore 7-ปฏิกิริยาเคมี

7-ปฏิกิริยาเคมี

Published by j.jeabjeab, 2020-05-26 01:56:33

Description: 7-ปฏิกิริยาเคมี

Search

Read the Text Version

30000-1308 วิทยาศาสตรง์ านธรุ กิจและบรกิ าร หน่วยท่ี 7 ปฏกิ ริ ิยาเคมี โดย...ครูธญั พร พมุ่ พวง

ความหมายของปฏิกริ ิยาเคมี(Chemical Reaction) ปฏกิ ริ ิยาเคมี หมายถึง การเปลี่ยนแปลงของสารต้ังต้นทาให้เกดิ สารใหม่ ในการเปลย่ี นแปลงของสารจะมพี ลงั งานเข้ามาเกีย่ วข้องเสมอ

ประเภทของปฏกิ ริ ิยาเคมี การเกิดปฏิกิริยาเคมีเพื่อให้ได้สารใหม่น้ันจะมีพลังงานเข้ามาเกี่ยวข้องเสมอ ซ่ึง สามารถจาแนกประเภทปฏิกริ ิยาเคมีออกเป็ น 2 ประเภทดงั นี้ 1. ปฏิกิริยาเคมีประเภทดูดความร้อน (Endothemic reaction) เป็ นการ เคล่ือนย้ายของพลงั งานจากสิ่งแวดล้อมเข้าสู่ระบบ ทาให้ระบบมพี ลังงานสูงขนึ้

2.ปฏกิ ริ ยิ าเคมปี ระเภทคายความร้อน (Exothermic reaction ) เป็ นการเคลอื่ นย้ายของพลังงานจากสงิ่ แวดลอ้ มเข้าส่สู ง่ิ แวดลอ้ ม ทา ใหส้ ง่ิ แวดลอ้ มสงู ขึน้

อตั ราการเกิดปฏิกิริยาเคมี อัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมี(Rate of chemical reaction) หมายถึง อัตราส่วน ระหว่างปริมาณสารที่เปลีย่ นไปในหน่ึงหน่วยเวลา ซึ่งปริมาณสารนี้อาจเป็ นปริมาณ ของสารใหม่ที่เกิดขึน้ หรือปริมาณสารต้ังต้นท่ีลดลงก็ได้ มีหน่วยเป็ น โมลต่อวินาที (mol / s) สามารถสามารถเขียนเป็ นสมการได้ดังนี้ อัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมี = ปริมาณสารต้ังต้นหรือปริมาณสารผลติ ภัณ์ เวลา (วนิ าที)

ประเภทของอตั ราการเกดิ ปฏกิ ริ ยิ า ประเภทของอัตราการเกิดปฏิกิริยา อตั ราการเกิดปฏิกริ ิยาเคมีมี 2 แบบ คือ 1.1อัตราการเกดิ ปฏิกิริยาเคมีเฉล่ยี หมายถงึ ปริมาณสารต้ังต้นหรือสารผลติ ภัณ์ ต้ังแต่เร่ิมต้นปฏิกิริยาต่อเนื่องหนึ่งหน่วยเวลา 1.2 อัตราการเกดิ ปฏิกิริยาเคมขี ณะใดขณะหน่ึง หมายถงึ ปริมาณสารต้ังต้นหรือ ปริมาณสารผลิตภัณ์ท่ีเกดิ ขึน้ ขณะใดขณะหนึ่งต่อหน่ึงเวลา

การวัดอตั ราการเกดิ ปฏกิ ริ ยิ าเคมี การวดั อตั ราการเกดิ ปฏิกิริยาเคมี สามารถวดั ได้จากสารทุกตัวในปฏิกิริยา ซ่ึงมี วธิ ีการวนั อตั ราการเกิดปฏิกริ ิยาหลายแบบ เช่น 1.วดั จากปริมาณก๊าซท่ีเกิดขนึ้ 2.วนั จากความเข้มข้นท่ีเปลยี่ นไป 3.วดั จากปริมาณสารท่ีเปลยี่ นไป 4.วดั จากความดนั ท่ีเปล่ียนไป 5.วดั จากตะกอนที่เกิดขนึ้ 7.วดั จากการนาไฟฟ้า 8.วดั จากความเป็ นกรด – เบสของสารละลาย

ปัจจัยทม่ี ผี ลตอ่ การเกดิ ปฏกิ ริ ยิ าเคมี การเกิดปฏิกริ ิยาเคมจี ะเกิดขนึ้ เร็วหรือช้าน้ันมหี ลายปัจจยั เช่น 1. ธรรมชาติของสารต้ังต้น หมายถงึ ชนิดของสารต้ังต้นท่ีมาทาปฏกิ ิริยา เช่น ถ้าสารต้ังต้นน้ันเป็ นสารประกอบอิออนิกจะเกดิ ปฏิกิริยาเคมีได้เร็วกว่าสารประกอบท่ี โควาเลนต 2. ความเข้มข้นของสารต้ังต้น ถ้าสารต้ังต้นที่มาทาปฏิกริ ิยากันน้ันมีความ เข้มข้นมากอตั ราการเกดิ ปฏิกิริยาจะเร็วขนึ้ ในทางกลบั กัน หากสารต้ังต้นท่ีมาทา ปฏิกิริยากันน้ันมคี วามเข้มข้นน้อย อตั ราการเกิดปฏิกริ ิยาเคมีกจ็ ะช้า

3. อุณหภูมิ ถ้าอุณหภูมใิ นการทาปฏิกริ ิยาเพม่ิ สูงขึน้ แสดงว่าอัตราการเกิดปฏิกิริยา เคมีก็จะเร็วขึ้น ในทางกลับกันอุณหภูมิในการทาปฏิกิริยาลดลง แสดงว่าอัตราการ เกดิ ปฏิกิริยาเคมีก็จะช้า 4. พืน้ ผิวของสาร ถ้าสารน้ันมีพืน้ ผิวในการสัมผสั มาก อัตราการเกิดปฏิกริ ิยาเคมี ก็จะเร็วขนึ้ แต่ถ้าหากสารน้ันมีพืน้ ที่ผิวสัมผสั น้อย อัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมีก็จะช้าลง 5. ตัวเร่งปฏิกิริยา ( Catalyst ) เป็ นสารท่ีเราเติมลงไปเพ่ือทาให้ทาปฏิกริ ิยาเคมี เกดิ ได้เร็วขนึ้ หรือเป็ นใช้เป็ นตัวหน่วงให้ปฏิกริ ิยาเคมีเกดิ ขนึ้ ช้า

สมการเคมี ( Chemical equation ) สมการเคมีเป็ นสูตรหรือสัญลักษณท่ีใช้บอกถึงปริมาณของสารต้ังต้นในการทา ปฏิกริ ิยาเคมเี กดิ เป็ นผลิตภัณ์ใหม่ โดยใช้ลูกศรแทน การเกิดปฏิกริ ิยาเคมีแบบ ใหม่ข้างหน้า หรือ เคร่ืองหมายแทนการเกิดปฏิกิริยาแบบผนั กลบั ได้

ประโยชนของสมการเคมี 1.ทาให้ทราบว่าสารใดเป็ นสารต้ังต้น สารใดเป็ นผลิตภัณ์ 2.ทาให้ทราบว่าสารเหล่าน้ันทาปฏิกริ ิยากนั ด้วยปริมาณเท่าใด 3.ทาให้ทราบอตั ราการเกดิ ปฏิกริ ิยาเคมขี องสารน้ัน 4.ทาให้ทราบว่าปฏิกริ ิยาท่ีเกดิ ขนึ้ เป็ นปฏิกริ ิยาแบบใด 5.ทาให้ทราบความสัมพนั ธของสารต้ังต้นกบั ผลติ ภัณ์

สมดุลเคมี (balancing chemical equation) ในการเกิดปฏกิ ริ ิยาเคมนี ั้น เราสามารถทานายสารประกอบและอัตรา การเกดิ ปฏกิ ริ ิยาเคมไี ด้โดยการสังเกตจากผลติ ภณั ฑท์ เ่ี กดิ ขึน้ อกี วธิ ีการหน่ึง ทน่ี ามาใช้คือ การเขียนปฏิกิริยาเคมีทเ่ี กิดขึน้ ในรูปของสมการเคมี เม่อื เรา เขียนสมการเคมีของการเกิดปฏกิ ิริยาได้แล้ว ต้องทาให้จานวนอะตอมของ ทัง้ สารตั้งต้นและผลิตภัณฑม์ ีความสมดุลกัน โดยการเติมจานวนอะตอมท่ี เหมาะสมลงไปในสมการเพอ่ื ใหเ้ กดิ ความสมดุล หากเราไม่ทาให้สมการเกิด การสมดุลกันกเ็ ป็ นการบง่ ชีว้ า่ ปฏกิ ริ ยิ ายงั คงเกดิ ไปเร่ือยไม่มวี ันสนิ้ สุด การทาใหส้ มการสมดุลมวี ธิ ีการ ดังนี้

การทาให้สมการสมดุล การทาให้สมการสมดุลมีวิธีการ ดังนี้ 1. ต้องทราบก่อนว่าสารต้ังต้นและผลติ ภัณ์คืออะไร 2. เขยี นสัญลักษณแทนช่ือของสารต้ังต้นและผลิตภัณ์ 3. ทาจานวนอะตอมของสารต้ังต้นและผลิตภัณ์ให้เท่ากนั

กฎทรงมวล (Law of conservation of mass) กฎทรงมวล (Law of conservation of mass) ในปี ค.ศ.1774 นักเคมชี าวฝร่ังเศสทชี่ ่ือ อองตวน โลรอง ลาวัวซเิ อ (Anton Laurent Lavoisier)

ได้ทาการทดลองเผาเมอรค์ วิ รี (ll) ออกไซด์ (HgO) ซง่ึ มสี ถานะ เป็ นของแขง็ จะไดป้ รอท (Hg) และก๊าซออกซเิ จน (O2) ดังสมการ [Ag(NH3)2]+ (aq)+2HCL-(aq) AgCl(s) + 2NH4+(aq) จากปฏกิ ริ ิยาดงั กลา่ วพบว่า มวลของ HgO เทา่ กับผลบวกของมวลของ Hg กับ O2 จงึ สรุปเป็ นกฎมใี จความวา่ “มวลของสารทงั้ หมดก่อนการเปลยี่ นแปลงจะเทา่ กับมวลของสารทงั้ หมด หลงั การเปลย่ี นแปลง”และตัง้ ช่อื วา่ กฎทรงมวล มวล A+ มวล B = มวล C + มวล D

จบการนาเสนอ


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook