30000-1308 วิทยาศาสตรง์ านธรุ กิจและบรกิ าร หน่วยที่ 5 การอนุรักษ์พลงั งาน โดย...ครูธญั พร พมุ่ พวง
ความหมายการอนุรักษ์พลงั งาน พระราชบัญญตั ิการส่งเสริมการอนรุ กั ษพ์ ลงั งาน พ.ศ. 2535 ให้ความหมาย ของการอนรุ ักษพ์ ลงั งานไวว้ ่า “อนรุ กั ษพ์ ลังงาน หมายความวา่ การผลติ และใช้ พลงั งานอย่างมีประสิทธิภาพและประหยดั ”
การอนุรกั ษพ์ ลังงานความร้อนในระบบไอนา้ ไอน้าเป็นพลังงานรูปแบบหนึ่งท่ีเกิดจากการเปล่ียนสถานะของน้าจาก ของเหลวเป็นก๊าซเม่ือได้รับความร้อน ระบบไอน้านิยมใช้ในอุตสาหกรรมเน่ืองจากมี ต้นทุนในการออกแบบและก่อสร้างท่ีถูก ดแู ลรกั ษางา่ ย แต่ก็เป็นระบบที่มีการสูญเสีย พลังงานความรอ้ นในได้ง่ายเชน่ กัน เพ่อื ใหเ้ กดิ การใชพ้ ลงั งานความรอ้ นในระบบไอน้า ใหเ้ กดิ ประสทิ ธิภาพสงู สดุ ตอ้ ง ทราบถึงสาเหตแุ ละแหล่งของ การสูญเสียพลังงาน
1. การสูญเสียพลังงานของระบบไอนา้ ระบบไอน้าในอุตสาหกรรมประกอบไปด้วย ส่วนการผลิตไอน้า ส่วนการ จ่ายไอน้า และส่วนการใชไ้ อน้า 1.1 การสูญเสยี พลังงานในระบบหม้อไอน้า การสูญเสียพลังงานจากการเทความร้อนจากเชือเพลิงมาสู่น้า อัตราส่วนในการเผาไหมไ้ มถ่ ูกตอ้ งท้าใหเ้ กดิ การเผาไหม้ท่ีไมส่ มบูรณ์
1.2 การสญู เสียพลงั งานในระบบจา่ ยไอน้า การจ่ายไอน้านิยมใช้ท่อเป็นฯอุปกรณ์ในการขนส่งไอน้า การ สูญเสยี พลังงานในระบบจา่ ยไออาจเกดิ สาเหตตุ ่อไปนี 1) ท่อไอน้าร่ัว เม่ือพบการร่ัวของไอน้าควรรีบซ่อมแซมโดย เร่งด่วน อย่าปล่อยทิงไว้เพราะจะท้าให้เกิดการสูญเสียพลังงานออกไปจากระบบ และอาจเป็นอนั ตรายตอ่ ที่กา้ ลงั ปฏิบัตงิ านได้ 2) ไม่มีฉนวนหุ้มหรือเลือกใช้ฉนวนหุ้มท่อจ่ายไอน้าไม่เหมาะสม จะทา้ ให้เกิดการสูญเสียความรอ้ นออกไปจากระบบไดง้ ่าย
3) การน้าคอนเดนเสทกลับมาใช้ใหม่ (Condensate Return System) หรือการน้าไอน้าร้อนกลับมาใช้ใหม่วิธีนีจะเป็นการยืดอายุการท้างานของ หม้อไอนา้ และช่วยประหยัดเชอื เพลิงในการตม้ นา้ อกี ดว้ ย 4) สตีมแทรปรั่ว อุปกรณ์ที่ใช้ระบายอากาศหรือก๊าซที่เกิดขึนใน ระบบไอนา้ ให้ถ่ายเทออกไปเพื่อลดแรงดันภายในหม้อไอน้าหรือลดแรงดันในท่อจ่าย ไอน้า โดยไม่มีการสูญเสียไอน้าออกไปจากระบบเลย สตีมแทรปร่ัวมีให้เลือกใช้งาน อยู่หลายประเภท เช่น ประเภทเทอร์โมไดนามิค ประเภทเทอร์โมสเตติค ประเภท เชงิ กล เปน็ ต้น
2. การอนรุ กั ษ์พลงั งานในระบบไอนา้ กระบวนการป้องกันการสูญเสียพลังงานในระบบหม้อไอน้า การสูญเสีย พลังงานในระบบจ่ายไอน้า และการสูญเสียพลังงานในอุปกรณ์ท่ีใช้ไอน้า วิธีการ อนุรกั ษ์พลงั งานในระบบไอนา้ ทา้ ได้โดย 2.1 การป้องการการสญู เสียพลงั งาน ระบบไอน้าเป็นการตรวจสอบและเป็นประเมินสภาพของ อุปกรณ์ทีอ่ ยู่ในระบบไอน้า เช่น หม้อไอน้าว่ามีรอยรั่ว มีรอยแตกหรือไม่ ท่อส่งไอน้า มีการหมุ้ ฉนวนหรอื ไม่ อกี ทังนียัง สง่ ผลดตี อ่ การความปลอดภัยใน การปฏิบัติงานและการอนุรกั ษ์ พลงั งานในระบบไอนา้ อกี ด้วย
2.2 การน้าพลงั งานทเ่ี หลอื จากการใช้แลว้ กลับมาใช้ใหม่ 1) คอนเดนเสท (Condensate) คอื ไอนา้ รอ้ นท่ผี า่ น กระบวนการใชง้ านแล้ว แต่ยังมคี วามรอ้ นสูงสามารถปอ้ นกลับไปยงั หม้อไอน้า เพ่ือ ผลิตไอนา้ ได้อีกเป็นการประหยดั เชอื เพลงิ หรือนา้ ไปใชใ้ นการผลิตเป็นแฟลชสตีม (Flash Steam) 2) แฟลชสตมี (Flash Steam) คอื ไอน้ารอ้ นท่ีเกิดจาการ เปลย่ี นแปลงความดนั จากไอน้า ความดนั สูงไปเป็นไอนา้ ความดัน ต่า้ แต่ยังมอี ุณหภมู สิ งู น้าไปใช้ใน กระบวนการผลติ ที่ตอ้ งการไอน้า ความดนั ต้า่
การอนุรกั ษพ์ ลังงานความร้อนในระบบเผาไหม้ ปฏิกริ ยิ าเคมขี องเชือเพลิงทา้ ใหเ้ กดิ พลงั งานความรอ้ นและกา๊ ซทผ่ี ลจาก ปฏกิ ิรยิ า กระบวนการเผาไหม้เกดิ ขนึ ได้ทงั ในระบบเปดิ และระบบปดิ แตก่ ารเผาไหม้ ด้วยระบบเปิดจะท้าให้เกดิ การการสญู เสียพลังงานความร้อนมากกว่าการเผาไหม้ใน ระบบปดิ การสญู เสียพลังงานความรอ้ นสว่ นใหม่จะเกิดขึนเกิดขึนในกระบวนการ ผลติ
1. การสูญเสียพลงั งานความรอ้ นในระบบเผาไหม้ 1.1 การสญู เสยี พลังงานความร้อนจากความรอ้ นแฝงของการกลายเปน็ ไอ พลังงานท่ีใช้ในการเปลี่ยนสถานะจากการของเหลวไปเป็นก๊าซ การสูญเสียพลังงานความร้อนจากความร้อนแฝงกลายเป็นไอเกิดขึนขณะที่เชือเพลิง ก้าลังเผาไหม้ หากไอน้าในระบบมากแสดงว่า อุณหภูมิในการเผาไหม้ต่้าท้าให้เกิด การสูญเสียพลังงานความร้อนจากความร้อนแฝงสูง แต่หากมีไอน้าในระบบน้อย แสดงวา่ อุณหภูมใิ นการเผาไหมส้ งู จะเกิดการการสูญเสียพลังงานความร้อนจากความ รอ้ นแฝงต้่าสามารถค้านวณไดด้ ังนี
1.2 การสญู เสยี พลงั งานความรอ้ นแฝงของการกลายเปน็ ไอ เคร่ืองยนตส์ ันดาปภายในต้องนา้ อากาศเขา้ ไปผสมกบั เชือเพลิง ซง่ึ เรียกวา่ ก๊าซไอดี เพอ่ื นา้ เข้าสู่หอ้ งเผาไหมเ้ กดิ การระเบดิ เกดิ เปน็ ก๊าซไอเสยี มี สว่ นประกอบของก๊าซคาร์บอนไดออกไซดแ์ ละน้า 1.3 การสญู เสยี พลงั งานความรอ้ นจากการเผาไหมท้ ไ่ี ม่สมบรู ณ์ การเผาไหม้ (Combustion) เป็นกระบวนการทีเ่ ชอื เพลงิ เกิด การออกซิเดชนั (Oxidation) กับอากาศมีการปลอ่ ยพลังงานความร้อน ก๊าซ คารบ์ อนไดออกไซด์ และน้า ออกมาดังสมการ
การเผาไหม้ที่ดีหรือการเผาไหม้ท่ีสมบูรณ์ คือ การเผาไหม้ซึ่งเม่ือเกิดแล้ว สามารถใหป้ ริมาณร้อนเทา่ กบั คา่ ความรอ้ นของเชอื เพลิง (Calorific Value) ส่วนที่การเผาไหม้ที่ไม่ดีหรือการเผาไหม้ที่ไม่สมบูรณ์ คือ การเผาไหม้ซ่ึงเมื่อเกิดขึน แลว้ ให้ปรมิ าณความ ประเภทของเชือเพลิง ชนดิ ของเชอื เพลิง ค่าความร้อน ร้อนต่า้ กว่าค่าความ Bituminous Coal 24,283.44-33,494.4 kJ/kg รอ้ นของเชอื เพลงิ จะ เชือเพลงิ แข็ง Lignite 10,467-23,027.4 kJ/kg Coke 27,214-29,307 kJ/kg ทา้ ใหเ้ กดิ การสญู เสีย พลังงานเป็นจ้านวน เชอื เพลิงเหลว Kerosene 43,542.72 kJ/kg มาก Light Oil 43,124 kJ/kg 42,705 kJ/kg Heavy Oil “A” กา๊ ซเชือเพลงิ Heavy Oil “B” 41,449.32 kJ/kg Heavy Oil “C” 40,193.28 kJ/kg Natural Gas 37,618.8-46,054.8 kJ/kg Propane 93,365.64 kJ/kg Butane 123,971.1 kJ/kg
1.การวัดปรมิ านเขมา่ เป็นการตรวจวดั เขม่าคารบ์ อนทเี่ หลือจากการเผา ไหม้ โดยการใชเ้ คร่ืองสบู กา๊ ซไอเสียผ่านแผน่ กรอง เขมา่ คารบ์ อนทตี่ กคา้ งในไอเสีย จับอยู่บนแผ่นกรอง 2. การวัดปริมาณคารบ์ อนไดออกไซด์ เปน็ การตรวจวัดปรมิ าณก๊าซ คาร์บอนไซด์ ในไอเสีย 3. การวดั อณุ หภมู ิไอเสยี เปน็ การวดั อณุ หภมู ขิ องไอเสียทีผ่ า่ นห้องเผาไหม้ และปล่อยทงิ สอู่ ากาศ
2. การอนุรักษพ์ ลงั งานความร้อนในระบบเผาไหม้ 1) การตรวจและซอ่ มบา้ รงุ ระบบเผาไหมอ้ ยา่ งสมา่้ เสมอและตอ่ เน่อื ง 2) การปรบั แต่งอัตราสว่ นผสมระหวา่ งเชือเพลิงกับอากาศให้เหมาะสม 3) การท้าใหเ้ ชอื เพลงิ ระเหยเปน็ ไออยา่ งรวดเร็ว เพื่อเพิ่มที่ผวิ สัมผัสของ เชือเพลงิ กับอากาศใหม้ ากที่สดุ
การอนุรักษพ์ ลังงานในระบบจ่ายไฟฟา้ อุปกรณ์ที่ท้าหน้าท่ีพิทักษ์ความปลอดภัยให้กับผู้ใช้และอุปกรณ์ไฟฟ้า ภายในอาคารและที่อยอู่ าศยั คือ หม้อแปลงไฟฟ้า (Transformer) เป็นอุปกรณ์ที่ท้า หนา้ ท่ีปรบั เปลย่ี นแรงเคล่ือนไฟฟา้ เพื่อนา้ มาใช้กับอปุ กรณ์ไฟฟา้ หรือ เครือ่ งไฟฟ้าภายในอาคารหรือที่อยู่ อาศยั
1. การสญู เสียพลงั งานในระบบหมอ้ แปลงไฟฟา้ การสญู เสยี พลงั งานในระบบหม้อแปลงไฟฟ้ามีสาเหตหุ ลักอยู่ 2 ประการ คอื 1.1การสูญเสียพลังงานในแกนเหลก็ (core Loss) การสูญเสียพลังงานใน แกนเหล็กเกิดขนึ ใน 2 ลักษณะ 1)การสูญเสีย Hysteresis Loss หรือการสูญเสียเส้นแรง แม่เหล็กของแกนเหล็ก จากการกลับทิศทางของกระแสไฟฟ้า ซึ่งจะมากหรือน้อย ขึนกับคุณสมบัติทางแม่เหล็กของสารที่มาท้าเป็นแกนและความถ่ีของกระแสในหม้อ แปลงไฟฟา้
2) การสูญเสยี พลงั งานในกระแสไหลวน (Eddy Current Loss หรือ Skin Effect) กจิ จากการเปลีย่ นทิศทางการเหนี่ยวน้าทางแมเ่ หลก็ ไฟฟ้าทีเ่ กิดขนึ ในแกน เหล็ก ท้าให้เกดิ การไหลวนเกดิ จากการเปลยี่ นทศิ ทางการเหนย่ี วน้าทาง แมเ่ หล็กไฟฟ้าทเี่ กิดขึนในแกนเหลก็ ทา้ ให้เกิดการไหลวนของกระแสไฟฟ้ารอบแกน เหลก็
1.2 การสญู เสียพลังงานในขดลวดทองแดง (Copper Loss) การสูญเสียพลังงานในขดลวดทองแดงเป็นการสูญเสยี พลังงานเน่ืองจาก กระแสที่ไหลวนในแกนเหลก็ ส่งผลทา้ ใหเ้ กิดการหักลา้ งหรอื การเพม่ิ ขนึ ของฟลักซ์ แมเ่ หลก็ มผี ลทา้ ให้แรงดนั ไฟฟ้าลดลงหรอื ไม่มแี รงดนั ไฟฟา้ ไหลผา่ นขดลวดทุตยิ ภูมิ เลย ผลของการสญู เสยี พลงั งานในขดลวดทองแดงนจี ะทา้ ใหอ้ ปุ กรณห์ รอื เครือ่ งใชไ้ ฟฟ้าไมส่ ามารถทา้ งานไดเ้ ต็มประสทิ ธภิ าพ
2. การอนุรักษ์พลังงานในระบบจ่ายไฟฟ้า การอนุรกั ษ์พลงั งานในระบบจ่ายไฟฟ้าเป็นการเลอื กใชแ้ ละปรบั ปรุงหม้อ แปลงไฟฟ้าให้เกดิ ประโยชนส์ งู สุด ซึง่ มีวธิ กี ารอนุรักษ์พลังงานดังนี 2.1 การปรบั ปรงุ การใช้หมอ้ แปลงไฟฟ้า 1) การปลดขดลวดปฐมภูมขิ องหม้อแปลงไฟฟ้าขณะไม่มโี หลด 2) การยา้ ยโหลดของหมอ้ แปลงไฟฟ้าทมี่ โี หลดน้อยมารวมกนั 3) การลดแรงเคล่อื นไฟฟ้าใหอ้ ย่ใู นระดับทใ่ี ชง้ านไดอ้ ย่างเหมาะสม 4) การปรับปรุงคณุ ภาพแกนเหล็กและขดลวดทองแดง เพื่อลดการสญู เสยี พลังงานในหมอ้ แปลงไฟฟา้ ในระบบจ่ายไฟฟา้
2.2 การเลือกซือหมอ้ แปลงไฟฟา้ ให้มีขนาดเหมาะสมกบั การใชง้ าน การพิจารณาเลือกซอื หมอ้ แปลงแบบใดนันควรพจิ ารณาถึงวัสดุภายในหม้อ แปลงไฟฟา้ โดยเฉพาะแกนเหล็กและขดลวดทอง เพราะเป็นส่ิงที่จะท้าให้หม้อแปลง ไฟฟ้านันมีประสิทธิภาพในการสูงหรือต้่า อีกทังต้องค้านึงถึงการสูญเสียพลังงาน ออกไปจากหม้อแปลงเป็นส้าคัญ หากไม่ค้านึงถึงองค์ประกอบเหล่านีแล้ว จะท้าให้ ค่าใชจ้ ่ายเกีย่ วกบั พลังงานไฟฟ้าเพิม่ สงู ขึน
การอนรุ ักษพ์ ลังงานในระบบไฟฟา้ และแสงสว่าง พลังงานไฟฟา้ เปน็ พลงั งานรูปแบบหนง่ึ ทท่ี วคี วามส้าคัญต่อการดา้ เนินชวี ิตของมนษุ ย์ มนุษยใ์ ชป้ ระโยชน์จากพลงั งานไฟฟา้ ในหลายกิจกรรม เชน่ กจิ กรรมดา้ นปลอดภยั และการขนส่ง เป็นต้น การใช้พลังงานไฟฟ้าสว่ นใหญ่ น้ามาใช้เพ่อื ใหแ้ สงสวา่ งใน กลางคนื การสญู เสียพลงั งานไฟฟ้าแล้วยงั ส่งผลตอ่ ผู้ใช้ทีต่ อ้ งรับภาระใชจ้ ่ายที่ต้อง เพิ่มขนึ ตามการใชง้ าน
1. การเลอื กวธิ ีใหแ้ สงสว่างทเ่ี หมาะสม การลดคา่ ใชจ้ ่ายพลงั งานไฟฟา้ และส่งเสริมการอนรุ ักษพ์ ลังงานไฟฟา้ ในภาค ประชาชนมีหลกั ส้าคัญดังนี 1.1 การใหแ้ สงสว่างทว่ั ทังบริเวณอาคารหรือท่อี ยอู่ าศัย เปน็ การ ใหแ้ สงสว่างทั่วบรเิ วณดว้ ยความเขม้ ที่สม้่าเสมอกันไม่ว่าจะเปน็ แสงสว่างบรเิ วณ ทางเดิน หอ้ งท้างาน ห้องน้า เป็นตน้ 1.2 การให้แสงสวา่ งท่วั ไปเฉพาะท่ี การพจิ ารณาเลือกบริเวณใด บรเิ วณหนงึ่ ภายในอาคารหรือที่อยู่อาศัยที่ตอ้ งใหแ้ สงสว่างด้วยเข้มแสงสงู ส่วนบริเวณ อื่นให้แสงสวา่ งท่คี วามเข้มแสงต้่ากว่า เช่น ในหอ้ งท้างานให้แสงสวา่ งที่มคี วามเข้ม แสงสงู
1.3 การให้แสงเฉพาะที่ การให้แสงสวา่ งทีม่ คี วามเข้มแสงสูงกับกิจกรรม เฉพาะจดุ สว่ นทพ่ี ืนที่โดยรอบให้แสงสวา่ งที่มคี วามเข้มแสงนอ้ ยกวา่ เชน่ การใชแ้ สง สว่างท่ีมคี วามเข้มแสงสงู กับโตะ๊ ท้างาน 1.4 การใหแ้ สงสว่างเสริม การแสงสว่างกับกจิ กรรมเปน็ รายกรณีตาม ลักษณะของกจิ กรรมท่ีปฏบิ ัติในอาคารหรอื ทีอ่ าศัย เช่น การเปลย่ี นกิจกรรมจากการ พักผ่อนเป็นการทา้ งานกรณนี ีต้องการแสงสว่างทมี่ ีความเขม้ แสงสงู
2. การเลือกใชห้ ลอดไฟฟ้าให้เหมาะสมกบั กิจกรรม ปัจจบุ นั มีการพัฒนาหลอดไฟฟา้ ใหเ้ หมาะกับการใช้งานหลากหลายชนิด เช่น อลั ตราไวโอเลต หลอดรงั สเี อกซ์ หลอดไดโอดเปลง่ แสง (LED) เปน็ ต้น ผู้ใช้ควร เลือกหลอดไฟฟา้ ใหเ้ หมาะสมกับความต้องการในการใช้งาน
2.1 แสง Warm White มีลักษณะสีเหลอื งนวลหรอื สเี หลอื งทอง ใหค้ วามสวา่ งไมม่ ากนักแตใ่ หค้ วามรูส้ ึกทอ่ี บอนุ่ เหมาะสา้ หรบั ใชใ้ นการกแต่งสถานที่ ต้โู ชว์ หอ้ งพักผอ่ น ห้องนอน เป็นต้น
2.2 แสง Cool White มลี ักษณะสีขาวนวลตา ให้ความสว่างใน ระดับแสงปานกลางคือให้แสงสวา่ งมากกว่าแสง Warm White แต่นอ้ ยกวา่ แสง Day Light เหมาะสมสา้ หรับกจิ กรรมทกุ ประเภท
2.3 แสง Day Light มลี ักษณะมีฟา้ เปน็ โทนสเี ดียวกับแสงใน เวลากลางวัน เหมาะสา้ หรับกิจกรรมทีต่ อ้ งการแสงสวา่ งมาก เชน่ การทา้ งาน การ ท้าอาหาร เป็นต้น
3. การใชส้ วติ ช์เปดิ ปิดหลายทาง เปน็ การลงทนุ ที่คมุ้ ค่าในระยะยาว การมสี วิตช์ทใี่ ห้เลอื กใช้หลายทางเปน็ การเพม่ิ ความสะดวกใหก้ บั ผใู้ ชใ้ นการเปิดปิดวงจรไฟฟ้าภายในอาคารหรอื ในที่อยู่ อาศัยให้ง่ายต่อการเข้าถึง
4. การเลือกปิดหลอดไฟฟ้าบางหลอดในโคมเดยี วกนั การปดิ หลอดไฟฟา้ บางหลอดที่อยู่ในโคมไฟเดยี วกนั หรือการปิดหลอน ไฟฟา้ ในบรเิ วณท่ไี มไ่ ดใ้ ชง้ านจะชว่ ยลดการใชก้ ระแสไฟฟ้าภายในอาคารและที่อยู่ อาศัยได้ โดยเฉพาะการปิดหลอดไฟฟ้าแบบธรรมดา (หลอดกลม) เป็นหลอดไฟฟ้าท่ี ต้องใชพ้ ลงั งานไฟฟ้าในการจดุ ไสห้ ลอดเพอื่ ใหเ้ กิดแสงสว่างในปริมาณมาก
5. การใช้แสงสว่างเปดิ สวติ ช์ (Photo switch) การน้าสวิตชแ์ สงหรอื เซ็นเซอรร์ บั แสง (Sensor) มาใช้ในการปดิ เปิด วงจรไฟฟา้ ในปริมาณความเข้มท่ีกา้ หนดไว้จะท้าการจา่ ยกระแสไฟฟา้ เข้าสวู่ งจรของ อุปกรณ์หรือเครอื่ งใช้ไฟฟา้ โดยอตั โนมัติ โดยทีผ่ ู้ใช้งานไมจ่ า้ เป็นต้องเป็นผคู้ วบคุมการ ปดิ เปิด สวติ ส์จะทา้ ให้การใช้งานสะดวกยง่ิ ขนึ
6. การใชด้ ิมเมอร์หรือสวิตสห์ ร่ไี ฟ การอนุรักษ์พลังงานไฟฟ้าภายในอาคารหรือทอี่ ยู่อาศยั ได้วธิ กี ารหนึง่ สวติ ส์ หรี่ไฟเปน็ อนรุ ักษ์ทอ่ี อกแบบโดยคา้ นึกถึงถึงรูปแบบกิจกรรมการใชพ้ ลังงานไฟฟ้ามาก น้อยแตกต่างกัน สวติ สห์ ร่ีไฟจึงเหมาะกับหอ้ งประชุม โรงภาพยนตร์ ห้องพกั ผ่อน ห้องทา้ งาน เป็นต้น
7. การใช้สวิตส์แบบตงั เวลาหรือสวติ ส์ไทม์ดีเลย์ (Time Delay) สามารถเพม่ิ ประสทิ ธิภาพการใช้งานพลังงานไฟฟ้าและอนุรักษพ์ ลงั งาน ไฟฟา้ ไดอ้ ีก สวติ ส์ประเภทนผี ใ็ ชส้ มมารถกา้ หนดเวลาในการใช้พลังงานไฟฟ้าในแต่ละ กจิ กรรมไวอ้ ย่างชัดเจน ไม่เกดิ การสูญเสียพลงั งานไฟฟา้ จากความประมาทหรือการ ลมื ของผู้ใชง้ าน เพราะสวิตสจ์ ะทา้ การตัดกระแสไฟฟ้าออกจากวงจรของอุปกรณ์ ไฟฟ้าหรือเคร่อื งใช้ไฟฟ้าตามเวลาทก่ี ้าหนดไว้
8 .การใช้แสงธรรมชาติ เป็นการนา้ แสงสว่างจากดวงอาทิตย์มาใช้ในกิจกรรมการด้าเนินชีวิต เรม่ิ ตน้ จากการออกแบบอาคารหรอื ทอ่ี ยู่อาศัยใหส้ อดคลอ้ งกบั ทิศทางการเคลอ่ื นที่ ของดวงอาทติ ย์ในแต่ละฤดกู าล เพื่อใหเ้ กดิ การน้าแสงสว่างมาใชป้ ระโยชนใ์ ห้มาก ทสี่ ดุ
เทคโนโลยีการอนรุ ักษพ์ ลังงาน 1.หวั เผาแบบรเี จนเนอเรทฟี (Regenerative Burner) เปน็ หัวเผาท่ใี ช้หลกั การดึงความร้อนจากไอเสียกลบั มาใชใ้ หม่ โดยตดิ ตัง หัวเผาเปน็ คูใ่ หท้ ้างานเป็นวัฏจกั ร คอื เมื่อหวั เผาชุดท่หี น่งึ ทา้ งาน ไอเสยี จากการ สันดาปจะถกู ปลอ่ ยทิงผา่ นไปยังหัวเผาที่สองท้าใหเ้ กดิ การดงึ ความร้อนจากไอเสียมา สะสมไวในหวั เผาชุดทีส่ อง ทา้ งานไอเสียจากการสนั ดาปจะถกู ปลอ่ ยทิงผ่านไปยังหัว เผาทห่ี นึ่ง ทา้ ใหเ้ กดิ การดงึ ความร้อนจากไอเสยี มาสะสมไว้ในหวั เผาท่ีหน่ึง
2.เครอ่ื งท้าความเย็นแบบดซู ึม (Absorption Refeigeration) ระบบท่ใี ช้ความรอ้ นเหลือทงิ จากกระบวนการผลติ เช่น ไอน้าแห้ง ไอนา้ เปยี ก ไอน้าร้อนความดนั ต่้า แสงอาทติ ย์ ก๊าซไอเสีย เป็นตน้ มาเป็นแหล่งพลังงานใน การขบั เคลอ่ื นระบบท้าความร้อน โดยมีสว่ นประกอบส้าคัญ ได้แก่ เคร่อื งควบแนน่ เคร่ืองท้าระเหย วาลว์ ลดความดัน และเคร่อื งอดั สารทา้ ความเยน็ ซง่ึ เหมือนกบั ระบบ ทา้ ความร้อนทั่วไป มีหลักการท้างานดงั นีเริ่มตน้ จากไอของสารท้าความเย็นท่เี กดิ จาก การเดือดในวิวาเปอเรเตอร์จะถกู ดดู ซมึ ดว้ ยสารดูดซมึ ความรอ้ นในตวั ดดู ซมึ
3.การลดความชืนดว้ ยฮีทไปป์ (Heat Pipe Dehumidification) ฮที ไปป์ คอื อุปกรณ์ทใี่ ชใ้ นการเปล่ียนความร้อนหรือส่งถ่ายความร้อนได้ โดยไมต่ ้องใชพ้ ลงั งานจากภายนอก จะมีลักษณะเปน็ ทอ่ โลหะทปี่ ดิ หัวท้ายและทา้ ให้ เป็นการสญุ ญากาศภายในบรรจสุ ารทา้ ความร้อน การทา้ งานเปลี่ยนสถานะของสาร ทา้ ความเยน็ เมื่อได้รบั ความรอ้ นจะระเหยกลายเป็นไอลอยขนึ สู่ด้านบนของท่อโลหะ
การใชฮ้ ที ไปป์เพอื่ ลดความชินในเครื่องปรับอากาศ ท้าได้โดยใชฮ้ ที ไปป์วาง คร่อมคอยลเ์ ยน็ ทงั ด้านหนา้ และดา้ นหลังคอยล์เยน็ เมอ่ื อากาศรอ้ นผ่านฮีทไปปส์ ว่ นท่ี อยดู่ ้านหน้าคอยล์เย็นอากาศร้อนก็จะถ่ายเทความรอ้ นใหแ้ กส่ ารท้าความเย็นทบ่ี รรจุ อยู่ในฮที ไปป์ เกดิ การระเหยและไปควบแน่นในฮีทไปปต์ ัวที่อย่ดู า้ นหลงั ของคอยล์ เย็น เมื่ออากาศรอ้ นผ่นคอยลเ์ ย็นออกมากจ็ ะทา้ ให้สารค้าความเยน็ ในฮที ไปป์ตัวที่ หลงั ของคอยลเ์ ย็น
Search
Read the Text Version
- 1 - 38
Pages: