Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore 5-2-การอนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อม

5-2-การอนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อม

Published by j.jeabjeab, 2020-05-26 01:55:10

Description: 5-2-การอนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อม

Search

Read the Text Version

30000-1308 วิทยาศาสตร์งานธุรกิจและบริการ หน่วยท่ี 5 การอนุรักษส์ ิ่งแวดล้อม โดย...ครูธญั พร พุม่ พวง

ความหมายการอนุรกั ษส์ ิ่งแวดลอ้ ม  การอนุรักษส์ ่ิงแวดลอ้ ม หมายถึง การใช้ การเก็บรักษา การบาบดั การฟ้ืนฟูใหส้ ่ิงแวดลอ้ มท่ี ใกลเ้ ส่ือมสภาพใหก้ ลบั มาใชป้ ระโยชน์ไดย้ าวนานมากท่ีสุด

การอนุรกั ษด์ ิน  ความหมายของดิน ดิน คือ เทหวตั ถุท่ีเกิดจากการพงั ทลายเชิงกลและทางเคมีของวตั ถตุ น้ กาเนิด ดินเป็นแหละสะสมของ ธาตอุ าหารสาหรับพืชและเป็นท่ีอยอู่ าศยั ของสตั วใ์ ตด้ ิน การเกิดของดิน กระบวนการเกิดของวตั ถุตน้ กาเนิดดิน วตั ถตุ น้ กาเนิดดินประกอบดว้ ย ช้นั ของหินและซากอินทรีย์ เกิดการพุพงั จากการกดั กร่อนของน้า ลม ความร้อน และถูกยอ่ ยสลายจากจุลินทรีย์ เป็นช่วงของกิจกรรม การพงั ทลายและการยอ่ ยสลายเพื่อเปล่ียนแปลงรูปร่างและขนาดของวตั ถตุ น้ กาเนิดใหม้ ีขนาดเลก็ ลงของ ดินมีลาดบั ข้นั ตอนดงั ตอ่ น้ี ข้นั ท่ี 1 การสลายตวั ข้นั ท่ี 2 การผสมคลุกเคลา้ เป็นการรวมตวั กนั ของวตั ถุตน้ กาเนิดกบั ฮิวมสั ที่เกิดจากการยอ่ ย สลายของซากอินทรีย์ ข้นั ที่ 3 การสะสมและทบั ถม เป็นข้นั ตอนของการสะสมตวั ของแร่ธาตุ และถูกบีบอดั ดว้ ยแรง ดึงดูดของโลก ความร้อนภายในโลกใหก้ ลายเป็นวตั ถตุ น้ กาเนิดดินอีกคร้ัง

องคป์ ระกอบของดิน  องคป์ ระกอบของดินในแต่ละพ้นื ที่มีความแตกต่างกนั ไปตามวตั ถุตน้ กาเนิดดิน ดินท่ีมีความอุดม สมบูรณ์โดยทวั่ ไปประกอบดว้ ย อินทรีย์ อนินทรียวตั ถุ อากาศ และน้า ที่อยใู่ นสถานะที่เป็นของแขง็ ของเหลว และกา๊ ซ ซ่ึงมีคุณสมบตั ิและ สดั ส่วนดงั น้ี 1. อินทรียวตั ถุ อินทรียวตั ถุเกิดจากการสลายตวั ตามธรรมชาติของซากพชื ซากสัตว์ มูลสัตว์ เกิด เป็นสิ่งท่ีเรียกวา่ ฮิวมสั 2.อนินทรียวตั ถุ อนินทรียวตั ถุเป็นผลพลอยไดจ้ ากการพงั สลายตวั ของวตั ถุตน้ กาเนิดดิน เกิดการ แยกตวั ออกเป็นธาตุอิสระ 3.อากาศ ดินที่มีความอุดมสมบูรณ์จะมีอากาศแทรกอยปู่ ระมาณร้อยละ 25 ของปริมาณเน้ือดิน 4.น้า จะทาใหด้ ินมีความชุ่มช้ืนเพม่ื การยดึ เกาะระหวา่ งอนุภาคของดินไม่ทาใหด้ ินเกิดการ แตกระแหง

การแบ่งชน้ั ดิน  นกั ปฐพีวทิ ยาไดท้ าการแบ่งช้นั ดิน ตามคุณสมบตั ิทางกายภาพ สมบตั ิทางเคมีและ สมบตั ิทางชีวภาพของดินออกเป็น 5 ช้นั ไดแ้ ก่ 1. ดินช้นั โอ เป็นช้นั ของดินท่ีมีกิจกรรมของการยอ่ ยสลายของซากพืชซากสัตว์ และ อินทรียท์ ่ีอยใู่ นดิน 2. ดินช้นั เอ เป็นช้นั ของดินที่มีกิจกรรมยอ่ ยสลายอินทรียวตั ถเุ สร็จสมบูรณ์แลว้ 3. ดินช้นั บี เป็นข้นั ตอนของการสะสมตวั ของแร่ธาตุที่มาสะสมตวั 4. ดินช้นั ซี ดินที่มีความอดุ มสมบูรณ์จะมีน้าแทรกอยปู่ ระมาณร้อยละ 25 ของปริมาณ เน้ือดินที่น้าแทรกอยใู่ นดิน 5. ดินช้นั อาร์ เป็นของหินท่ีเป็นวตั ถุตน้ กาเนิด

เน้ือดิน  การจดั เรียงตวั ของอนุภาคดินเป็นตวั บ่งช้ีถึงคุณลกั ษณะทางกายภาพ ทางเคมีและทางชีวภาพ ของดิน ความแตกต่างกนั ของอนุภาคดินจะเป็นสิ่งกาหนดลกั ษณะของเน้ือดินและคุณสมบตั ิ ของดิน นกั ธรณีวทิ ยาแบ่งเน้ือดินออกเป็น 7 ชนิด ดงั น้ี  1. เน้ือดินแบบกอ้ นกลม  2. เน้ือดินแบบกอ้ นเหลี่ยม  3. เน้ือดินแบบแท่งหวั เลี่ยม  4. เน้ือดินแบบแท่งหวั มน  5. เน้ือดินแบบกอ้ นทึบ  6. เน้ือดินแบบแผน่  7. เน้ือดินแบบอนุภาคเด่ียว

การอนุรกั ษด์ ิน  1. การป้องกนั การพงั ทลายของดิน - ปลกู พชื คลมุ ดิน เช่น พชื ตระกลู ถว่ั พชื ลม้ ลกุ ไมพ้ มุ่ เต้ีย - การปลกู พชื แบบข้นั บนั ไดตามเชิงเขา - การปลูกพืชแบบผสมผสานสลบั แถว 2. การปรับปรุงคุณภาพดิน - การใส่ป๋ ุยบารุงดิน - การปลูกพืชหมุนเวียน - การปรับสภาพดิน

การอนุรกั ษน์ ้า  ความหมายของน้า  น้า คือ สสารชนิดหน่ึงเกิดจากรวมตวั ของกา๊ ซออกซิเจน กบั กา๊ ซไฮโดรเจน ในอตั ราส่วน 1 ตอ่ 2 เกิดเป็นน้าที่มีลกั ษณะเป็นของเหลวท่ีอณุ หภูมิหอ้ ง ความสาคญั ของน้า - ดา้ นอปุ โภคบริโภค มนุษยใ์ ชน้ ้าเพ่ือการอปุ โภคบริโภคเฉล่ีย 60 ลิตรต่อวนั ส่วนใหญ่เป็นน้าจืด - ดา้ นการคมนาคมขนส่ง ใชแ้ ม่น้า ลาคลอง ในการขนส่งสินคา้ - ดา้ นอตุ สาหกรรม พ่งึ น้าในการระบายความร้อนของเคร่ืองจกั รใชเ้ ป็นตวั ทาละลาย - ดา้ นนนั ทนาการ ใชเ้ ป็นสถานที่สาหรับการผอ่ นคลายความตึงเครียด เช่น ทะเล น้าตก - ดา้ นการชลประทาน ใชส้ าหรับการทาเกษตรกรรม - ดา้ นการผลิตไฟฟ้า - เป็นแหลง่ อาหาร แหลง่ อาศยั และก่อใหเ้ กิดสิ่งมีชีวิตท้งั พชื น้าและสัตวน์ ้า

การเกิดของน้า  การเกิดของน้าเร่ิมตน้ จากการระเหยของน้าท่ีอยใู่ นดิน แม่น้า ทะเลสาบ และ มหาสมุทร น้าท่ีระเหยส่วนใหญ่เป็นน้าท่ีมาจากมหาสมุทรประมาณ 455000 ลกู บาศกก์ ิโลเมตร และเป็นน้าที่มาจากพ้ืนดินประมาณ 62000 ลูกบาศกก์ ิโลเมตร รวมปริมาณน้าที่ระเหยข้ึนไปบนช้นั บรรยากาศประมาณ 517000 ลูกบาศก์ กิโลเมตร ไอน้าเหล่าน้ีระเหยข้ึนไปกจ็ ะรวมกลุ่มกนั เป็นเมฆเมื่อปริมาณไอน้าใน เมฆมากกจ็ ะเกิดการกลนั่ ตวั กลายเป็นเมด็ ฝนตกลงพ้นื ดินและมหาสมุทร

คณุ สมบตั ิของน้า 1. น้าเป็นของเหลวที่อุณหภมู ิและความดนั ปกติ ไม่มีรส ไม่มีกลิ่น 2. น้าเป็นโมเลกลุ มีข้วั โดยออกซิเจนมีประจุเป็นลบ ไฮโดรเจนมีประจุเป็นบวกจึงสามารถนาไฟฟ้า ได้ 3. น้ามีจุดเดือดที่ 100 องศาเซลเซียสท่ีอณุ หภูมิและความดนั ปกติ จุดเดือดของน้าจะเปล่ียนแปลงไป ตามความกดอากาศ เมื่อความกดอากาศเพมิ่ ข้ึนหากความกดอากาศลดลงจุดเดือดของน้ากจ็ ะลดลง 4. น้ามีคา่ ความร้อนจาเพาะสูงและคา่ ความร้อนแฝงของการกลายเป็นไอสูง จึงทาใหน้ ้าเปลี่ยน สถานะไดง้ ่าย 5. น้าเป็นตวั ทาละลายที่ดีชนิดหน่ึงสามารถละลายสารจาพวกเกลือ น้าตาล กรด ด่าง วิตามิน และ ก๊าซบางชนิดไดด้ ี ส่วนสารพวกไขมนั และน้ามนั ไม่สามารถละลายได้ แต่สามารถรวมตวั กบั ไขมนั หรือน้ามนั ไดห้ ากมีตวั กลางท่ีเป็นสารอิมลั ซิไฟเออร์

การอนุรักษน์ ้า  การอนุรักษน์ ้า หมายถึง กระบวนการในการเกบ็ กกั รักษา บาบดั และฟ้ื นฟคู ุณภาพของน้าเพื่อ นามาใชใ้ หเ้ กิดประโยชนต์ อ่ การดารงชีวิตของมนุษยแ์ ละสตั ว์ ซ่ึงมีวิธีการดงั น้ี 1. การกกั เกบ็ น้าเพอ่ื ใชป้ ระโยชน์ ดว้ ยวธิ ีการคุดลอกคลอง บึง บ่อ ลาหว้ ยใหส้ ามารถรองรับปริมาณ น้าฝนท่ีตกตามธรรมชาติ 2. การป้องกนั การเกิดมลพิษ วิธีน้ีตอ้ งอาศยั ความร่วมมือและตระหนกั รู้ถึงผลกระทบท่ีเกิดจาก สารพษิ สามารถดาเนินการไดห้ ลายวธิ ี เช่น -การใหค้ วามรู้แก่ประชาชน -การบงั คบั ใชก้ ฎหมาย 3. การบริหารจดั การน้า เป็นการบูรณาการองคค์ วามรู้จากศาสตร์หลายแขนง เช่น อุตนุ ิยมวทิ ยา ธรณีวิทยา อุทกวิทยา วศิ วกรรมศาสตร์ เป็นตน้ มาใชเ้ พ่ือกาหนดนโยบาย 4. การฟ้ื นฟคู ุณภาพของน้า วธิ ีการน้ีนามาใชเ้ มื่อน้ามีการปนเป้ื อนของสารเคมี โลหะ หรืออินทรีสาร เป็นการฟ้ื นฟโู ดยวิธีการบาบดั

การอนุรกั ษป์ ่าไม้  ความหมายของป่ าไม้ ป่ าไม้ หมายถึง บริเวณชีวมณฑลของส่ิงมีชีวติ ท่ีเจริญเติบโตโดยใชก้ ระบวนการ สังเคราะหแ์ สงและมีผนงั เซลล์ เพอ่ ค้าจุนชีวิตไดแ้ ก่ ส่ิงมีชีวิตที่จดั อยใู่ นอาณาจกั รพชื ความสาคญั ของป่ าไม้ มนุษยใ์ ชป้ ระโยชนจ์ ากป่ าไมม้ าต้งั แต่ยคุ หินที่มีการนาไมม้ าทาเป็นอาวธุ เพือ่ ล่าสตั ว์ มนุษยย์ งั ใชป้ ระโยชนจ์ ากป่ าไมเ้ พ่ิมมากข้ึน อาจกล่าวไดว้ า่ ป่ าไมเ้ ป็นแหล่งก่อใหเ้ กิดปัจจยั พ้นื ฐาน ในการดาเนินชีวิต ไดแ้ ก่ อาหาร เครื่องนุ่มห่ม ท่อยอ่ี าศยั และยารักษาโรค เป็นตน้ ป่ าไมม้ ีความสาคญั กบั มนุษยด์ งั น้ี -เป็นแหลง่ อาหาร -ดา้ นนนั ทนาการ -เคร่ืองนุ่มห่ม -ใชเ้ ป็นเช้ือเพลิง -วสั ดุก่อสร้าง -ลดความรุนแรงของน้าและลม -ช่วยปรับสภาพภูมิอากาศ -ช่วยเพิม่ ความอดุ มสมบูรณ์ใหแ้ ก่ดิน

ประเภทของป่ าไม ้ 3 กลุม่ คือ 1.ป่ าไมเ้ ขตร้อน เป็นป่ าไมท้ ่ีข้ึนในเขตเสน้ ศูนยส์ ูตร เป็นป่ าไมท้ ่ีมีความช้ืนสูง เน่ืองจากมีฝนตกตลอดปี ส่วน ใหญ่เป็นไมเ้ น้ือแขง็ ท่ีมีลาตน้ ขนาดใหญ่ เหมาะแก่การนามาใชใ้ นกาก่อสร้าง แบ่งไดเ้ ป็น 3 ชนิดคือ ป่ า ดงดิบหรือป่ าดิบช้ืน ป่ ามรสุมหรือป่ าผลดั ใบ และป่ าทะเลทราย 2. ป่ าไมเ้ ขตอบอุน่ เป็นป่ าไม่ท่ีเจริญเติมโตใกลก้ บั เส้นศูนยส์ ูตร เป็นป่ าที่มีความช้ืนมากพอสมควร ตน้ ไมท่ีอยใู่ น ป่ าประเภทน้ีมีขนาดลาตน้ และสูงพอประมาณ นิยมใชเ้ ป็นเช้ือเพลิง ป่ าไมเ้ ขตอบอุ่นแบ่งไดเ้ ป็น 3 ชนิด คือ ป่ าไมอ้ บอุ่นทิ้งใบ ป่ าไมอ้ บอนุ่ ไม่ทิ้งใบ ป่ าเมดิเตอร์เรเนียน 3. ป่ าไมเ้ ขตหนาว เป็นปาไมท้ ี่พบในเขตภมู ิอากาศค่อนขา้ งหนาวหรือหนาวจดั ตน้ ไมป้ ่ าประเภทน้ีส่วนใหญ่มี ลกั ษณะลาตน้ สูงโปร่งและตรง เป็นป่ าที่มีความเขียวขจีตลอดปี มีพนั ธ์เช่น สน กก หญา้

ป่าไมผ้ ลดั ใบ เป็นป่ าไมท้ ี่ทิ้งใบในช่วงฤดูแลง้ และแตกใบอ่อนเม่ือเขา้ สู่ฤดูฝน พบที่ระดบั ความสูง 50-1000 เมตร เหนือ ระดบั น้าทะเล ป่ าผลดั ใบแบ่งได้ 3 ชนิดคือ 1.ป่ าเบญจพรรณ เป็นปาที่มีลกั ษณะเป็นป่ าโปร่งไมร้ กทึบ พนั ธุ์ไมใ้ นป่ าส่วนใหญ่เป็นไมไ้ ผช่ นิดตา่ ง ๆ และไม้ เศรษฐกิจ เช่น ไมส้ กั ไมแ้ ดง ไมม้ ะคา่ ไมป้ ระดู่ และไมช้ ิงชนั พบไมเ้ หล่าน้ีที่ระดบั ความสูงต้งั แต่ 50 เมตร ถึง 800 เมตร ส่วนใหญ่พบในภาคเหนือ ภาคกลาง 2. ป่ าแดง ป่ าแพะหรือป่ าเตง็ รัง มีลกั ษณะเป็นป่ าโปร่งและแหง้ แลง้ พนั ธุ์ไมท้ ี่พบในป่ าชนิดน้ีไดแ้ ก่ ไมเ้ ตง็ ไมร้ ัง ไมเ้ หียง ไมย้ าง 3. ป่ าหญา้ มีลกั ษณะเป็นไมเ้ ต้ียพบไดท้ วั่ ไปในทุกภาคของประเทศ พนั ธุ์ไมส้ ่วนใหญ่ในป่ าชนิดน้ีไดแ้ ก่ หญา้ คา หญา้ เพก็ หญา้ โขมง หญา้ ขนตาชา้ ง เป็นตน้ ป่ าหญา้ พบตามพ้ืนท่ีโล่งกวา้ งเป็นแหล่งอาหารสาคญั ของสตั วก์ ินพืช และเป็นท่ีหาอาหารของสตั วน์ กั ล่า

ป่าไมไ้ มผ่ ลดั ใบ  1. ป่ าดิบเมืองร้อน - ป่ าดงดิบช้ืน - ป่ าดงดิบแลง้ - ป่ าดงดิบเขา 2. ป่ าสน เป็นป่ าไมท้ ี่มีความหลากหลายของพนั ธุ์ไมใ้ นป่ านอ้ ยส่วนใหญ่พบไมส้ นสองใบหรือสน สามใบ เป็นพนั ธุไ์ มห้ ลกั ในป่ าสน และมีพนั ธุไ์ มข้ องป่ าดิบเขาผสมอยู่ เช่น ไมใ้ นวงศก์ ่อ ไมพ้ ลวง ไม้ กายาน 3. ป่ าชายเลน เป็นป่ าท่ีข้ึนอยตู่ ามที่ราบชายขอบของพ้นื ท่ีติดทะเลในบริเวณท่ีน้าทะเลท่วมถึงใน ภาคใต้ ภาคกลาง ภาคตะวนั ออกของประเทศไทย 4. ป่ าพรุ เป็นป่ าที่อยถู่ ดั จากป่ าชายเลนเขา้ มาในพ้นื ที่ทวปี มีลกั ษณะเป็นที่ลุ่มน้าทะเลท่วมขงั มีการ ทบั ถมกนั ของซากพชื และอินทรียวตั ถุต่าง ๆ พบป่ าชนิดน้ีในภาคใต้ ภาคตะวนั ออกของประเทศไทย

การอนุรกั ษป์ ่าไม้ 1. การเฝ้าระวงั ป้องกนั  - การคุม้ ครองป่ าไมโ้ ดยการกาหนดพ้ืนท่ีอนุรักษ์ วธิ ีการน้ีเป็นการกาหนดเขตหวงหา้ มไม่ใหด้ าเนินกิจกรรมเก่ียวกบั การป่ าไม้ เช่น การลา่ สัตว์ การตดั ไม้ การเกบ็ ของป่ า หรือประโยชนอ์ ื่นใดภายในบริเวณท่ีกาหนด - การคุม้ ครองป่ าไมโ้ ดยการใชก้ ฎหมาย - วธิ ีการน้ีเป็นการออกกฎ ขอ้ บงั คบั ต่าง ๆ เพอ่ื ใหช้ ุมชนปฏิบตั ิไม่ใหเ้ กิดการละเมิดหรือดาเนินกิจกรรมที่ เป็นปรปักษเ์ กี่ยวกบั ป่ าไมโ้ ดยมีวตั ถุประสงคเ์ พอ่ื การฟ้ื นฟูและรักษาไวซ้ ่ึงพนั ธุไ์ มห้ ายาก - การคุม้ ครองป่ าไมโ้ ดยการใหก้ ารศึกษา - การใหข้ อ้ มูลความรู้เกี่ยวกบั คุณประโยชนข์ องป่ าไมแ้ ละการการอนุรักษป์ ่ าไม้ เป็นวธิ ีการป้องกนั การบุก รุกป่ าไมโ้ ดยใชก้ ระบวนการศึกษาร่วมกบั ชุมชน เพ่ือสร้างความเขา้ ใจและความร่วมมือในการดาเนิน กิจกรรมเกี่ยวกบั ป่ าไมม้ ากกวา่ การใชก้ ฎ

 2. การบริหารประโยชน์จากป่ าไม้  - การนาเน้ือไมห้ รือไมท้ ี่เหลือจากการแปรรูปมาทาการข้ึนรูปใหม่ โดยใชว้ สั ดุประสาน อาจมีการเคลือบผวิ ผลิตภณั ฑห์ รือนาพลงั งานความร้อนมาใชอ้ บแหง้ เพอื่ ใหค้ ุณภาพของผลิตภณั ฑม์ ีอายกุ ารใชง้ านยาวนานมากข้ึน เช่น ไมอ้ ดั ไมป้ าร์เก้ ชิ้นไม้ สบั - การนาวสั ดุสงั เคราะห์มาใชท้ ดแทนไม้ - เช่น วสั ดุนาโนท่ีมีความแขง็ แรงไม่เป็นสนิม ทนทานต่อกรด เบส และความร้อนไดด้ ี มาใช้ ทดแทนไมใ้ นธรรมชาติ เพอ่ื ลดการนาไมจ้ ากธรรมชาติมาใชง้ าน และช่วยฟ้ื นฟูใหป้ ่ าไม้ กลบั คืนความอุดมสมบูรณ์อีกคร้ัง - การพฒั นาและการคน้ ควา้ วจิ ยั - เพอ่ื การนาไมห้ รือพชื ท่ีไม่ค่อยไดใ้ ชป้ ระโยชน์ เช่น มะพร้าว ตน้ ตาล มาสร้างเป็น ผลิตภณั ฑใ์ หม่

 3. การฟ้ื นฟูป่ าไม้  - การปลกู ป่ าทดแทน เป็นวธิ ีการหน่ึงที่สามารถเพ่ิมจานวนป่ าไมใ้ นพ้ืนท่ีใหม้ ากข้ึนได้ แต่ตอ้ งอาศยั ชุมชนท่ีอยู่ ใกลเ้ คียงเป็นผดู้ ูแลรักษาใหต้ น้ ไมเ้ หลา่ น้นั สามารถเจริญเติบโตตอ่ ไป - การสร้างสวนป่ า - เป็นการนาเอาพ้ืนท่ีวา่ งเปล่าที่เสื่อมโทรมหรือไม่ใชป้ ระโยชน์ของรัฐและเอกชนมาใช้ เพื่อ ปลกู ไมท้ ี่เป็นวตั ถดุ ิบสาหรับอุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์หรืออุตสาหกรรมกระดาษ - การสร้างสวนสาธารณะ - เป็นการพ้ืนท่ีวา่ งเปล่าท่ีอยใู่ กลเ้ คียงกบั ชุมชนมาพฒั นาเป็นแหล่งพกั ผอ่ นและแหลง่ นนั ทนาการใหก้ บั สมาชิกของชุมชน - การสร้างสวนพฤกษศาสตร์ - เป็นการนาเอาพ้ืนท่ีวา่ งเปล่าหรือไมใ่ ชป้ ระโยชนม์ าใชใ้ นการรวบรวมพนั ธุ์ไมจ้ ากถิ่นที่อยู่ ต่าง ๆ มาไวใ้ นบริเวณเดียวกนั เพ่ือการอนุรักษแ์ ละการศึกษาคน้ ควา้ เก่ียวกบั คุณลกั ษณะของ สายพนั ธุ์


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook