อารยธรรมอินเดีย ผู้จัดทำ นาย กีระพัฒน์ พันธุ์โภชน์ ม.6/1 เลขที่ 7 นางสาว ชามา นวนกลางดอน ม.6/1 เลขที่ 21 นางสาว ยลรวี ศิริสมบูรณ์ ม.6/1 เลขที่ 25 นางสาว จิราภัทร ชัยวิรัตน์นุกูล ม.6/1 เลขที่ 26
อารยธรรม ก่อนประวัติศาสตร์ อารยธรรมลุ่มน้ำสินธุ อารยธรรม ประวัติศาสตร์ สมัยมหากาพย์ สมัยจักรวรรดิ สมัยมุสลิม ยุคอาณานิคม ยุคเอกราช
อารยธรรมลุ่มแม่น้ำสินธุ 2500 - 1500 B.C. เมืองสำคัญคือ โมเฮนโจ-ดาโร และ ฮารัปปา มีการติดต่ออารยธรรมเมโสโปเตเมีย พบจากดวงตราที่เมืองอัมรี สันนิษฐานว่าเสื่อมลงเพราะภัยพิบัติและการรุกรานของชนเผ่าอินโด-อารยัน ปัจจุบันอยู่ในประเทศปากีสถาน กลุ่มชน พวกดราวิเดียน พวกอารยัน ชาวพื้นเมืองที่ตั้งถิ่นฐานมานานนับ 4000 ปี อพยพมาจากเอเชียกลาง เป็นพวกเร่ร่อนเลี้ยงสัตว์ รูปร่างคล้ายคนทางอินเดียตอนใต้ มาบุกรุกชาวดราวิเดียน โดยการขับไล่ไปทางตอนใต้ หรือจับเป็นทาส โดยดราวิเดียนที่แต่งงานกับชาวอารยัน อารยันช่วงแรก เกิดการแบ่งชั้นวรรณะ ยุคพระเวทตอนต้น ปกครองแบบชนเผ่า หลักฐานสำคัญคือ พระเวท พวกอารยันนำ เทคนิค การใช้ม้า รถรบเข้ามาสอนชาวดราวิเดียน มีการเลี้ยงสัตว์เป็นฝูง มีการปลูกข้าว ยุคพระเวทตอนปลาย พวกอารยันขยายอาณาเขตจากแม่น้ำคงคาไปจนถึงกรุงเดลฮีในปัจจุบัน ห้ามชาวอารยันแต่งงานกับชาวดราวิเดียน ลูกเป็นจัณฑาลเมื่อมีแม่อยู่วรรณะพราหมณ์ พ่ออยู่วรรณะศูทร ชาวอารยันประดิษฐ์อาวุธมากมาย เช่น ธนู ขวาน ดาบ หอก
สมัยมหากาพย์ (900-600 B.C.) ยุคนี้เรียกว่ายุคพระเวท เป็นช่วงที่ชาวอารยันได้ขยายตัวเต็มที่ไปทางตะวันออกเฉียงเหนือ การปกครอง และทางใต้แถบลุ่มแม่น้ำคงคา การปกครองลักษณะคล้ายนครรัฐ เป็นอิสระไม่ขึ้นแก่กัน โดยมีแคว้นที่มีอำนาจมากในสมัยนั้น คือ แคว้นมคธ วรรณะ มีการแบ่งแยกชาวอารยันกับพวกดราวิเดียน โดยมี 4 วรรณะคือ พราหมณ์ กษัตริย์ แพศย์ ศูทร พวกที่ทำผิดกฎเกณฑ์ของระบบวรรณะ เรียกว่า จัณฑาล วรรณกรรม คัมภีร์พระเวท - ภาษาสันกฤตที่เก่าแก่ที่สุด ประกอบด้วยงานเขียน 4 ประเภท คือ 1. มันตระ 2. พราหมณะ 3. อารัณยกะ 4. อุปนิษัท มหากาพย์รามายณะ เป็นวรรณคดีของอินเดียที่เล่าสืบต่อกันมายาวนานในหลากหลายพื้นที่ของชมพูทวีป เกี่ยวกับฝ่าย พระรามและทศกัณฐ์ แต่ผู้ได้รวบรวมแต่งให้เป็นระเบียบครั้งแรก คือ มหาฤๅษีวาลมีกิ มหากาพย์มหาภารตะ แต่งโดยฤาษีวยาสะ เป็นมหากาพย์ที่ยาวที่สุดในโลก ศาสนา ในระยะแรกจะเป็นการบูชายัญผี หรือ อำนาจทางธรรมชาติ มีการบูชารูปปั้ นเทวะ เทวี ซึ่ง ต่อมากลายมาเป็นต้นแบบของศาสนาฮินดู และมีเทพเจ้าสูงสุดคือพระอินทร์ มีการรวบรวม ความเชื่อ โคลง บทสวดทางศาสนา ในคัมภีร์พระเวท แบ่งเป็น 3 ส่วน เรียกว่า ไตรเวท ได้แก่ ฤคเวช ยชุรเวท และ สามเวท และยังมีเวทที่เกิดขึ้นในสมัยหลังเรียกว่า อถรรพเวท และคัมภีร์อุปนิษัท ยุคมหากาพย์ศาสนาพราหมณ์มีความเจริญรุ่งเรืองมาก ต่อมามีการปรับปรุงความเชื่อ และคำสอนของศาสนาพราหมณ์เป็นศาสนาฮินดู เทพเจ้าที่นับถือสูดสุดมี 3 พระองค์ ได้แก่ พระพรหม - ผู้สร้าง พระวิษณุ(พระนารายณ์) - ผู้รักษา พระศิวะ(พระอิศวร) - ผู้ทำลาย
สมัยมหากาพย์ (900-600 B.C.) เกิดศาสนาที่สำคัญขึ้นอีก 2 ศาสนา จากความเลื่อมล้ำของชนชั้นพรามณ์ ได้แก่ ศาสนาเชน ศาสนาพุทธ ผู้ก่อตั้ง - พระมหาวีระ ผู้ก่อตั้ง - พระพุทธเจ้า หรือเจ้าชายสิทธัตถะ หลักความเชื่อที่สำคัญ หลักคำสอนที่สำคัญ - อริยสัจ 4 ได้แก่ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค - การทำใจให้บริสุทธิ์ไม่เน้นความทุกข์ทางกาย เพื่อการหลุดพ้นสู่โมกษะ มหาชนบท ( 600 - 400 B.C.) ประกอบด้วย 16 อาณาจักรในอินเดียโบราณ โดยมีสองแห่งที่อาจเป็นสาธารณรัฐ และที่เหลือ ปกครองโดยระบบกษัตริย์ ที่มีความเจริญรุ่งเรืองขยายไปถึงแคว้นคันธาระทางทิศตะวันตกเฉียง เหนือ ไปถึงแคว้นอังคะทางทิศตะวันออกของอนุทวีปอินเดีย และรวมถึงบางส่วนแถบเทือกเขาวินธยะ ก่อนยุครุ่งเรืองของศาสนาพุทธในประเทศอินเดีย
สมัยจักรวรรดิ (600 B.C.-คริสต์จักรวรรดิที่13) สมัยจักรวรรดิมคธหรือพุทธกาล (600 - 300 B.C.) ภาคตะวันออกของลุ่มแม่น้ำคงคา เป็นแคว้นที่มีอนุภาพมากที่สุดในศตวรรษที่6 ก่อนคริสต์ศักราช ระบบการปกครองแบบ”มหามาตระ” —กษัตริย์มีอำนาจสูงสุด และมีขุนนาง 3 ฝ่าย คือ ฝ่ายบริหาร ตุลาการ และทหาร ประชาชนมีอาชีพเกษตรกรและค้าขาย พระมหาวีระให้กำเนิดศาสนาเชน ซึ่งจะสอนหลักการอหิงสา (การไม่เบียดเบียน) เป็นศูนย์กลางของศาสนาพุทธเนื่องจากได้รับการอุปถัมภ์จากพระเจ้าพิมพิสารและพระเจ้าอชาตศัตรู ศาสนาพราหมณ์เสื่อมลงเนื่องจากการตีความที่เน้นไปทางการแสดงปาฏิหาริย์มากเกินไป ถูกรุกรานจากเปอร์เซียและกรีก พุทธศตวรรษที่ 3 ถูกรุกรานจากกองทัพกรีกของอเล็กซานเดอร์มหาราช พระเจ้าจัทรคุปต์ขับไล่กองทัพกรีกออกและสถาปนาราชวงศ์เมารยะ สมัยจักรวรรดิเมารยะ/โมริยะ (322 - 184 B.C.) ศูนย์กลางที่เมืองปาฏลีบุตรที่อยู่บริเวณลุ่มแม่น้ำคงคา (เป็นสมัยที่อาณาจักรขยายออกไปอย่างกว้างขวาง) ปกครองแบบรวมอำนาจไว้ที่เมืองหลวง ให้อิสระในการนับถือศาสนา พระเจ้าอโศกมหาราช มีความเจริญมาก ทั้งการสร้างถนน,มหาวิทยาลัย มีระบบชลประทาน มีกองทัพใหญ่และหน่วยสืบราชการลับ พระเจ้าจันทรคุปต์ - ขับไล่กองทัพกรีกออกและรวบรวมอินเดียให้เป็นปึกแผ่น พระเจ้าอโศกมหาราช เลื่ อมใสในพระพุ ทธศาสนาจึงนำมาใช้ในการปกครองและอุ ปถัมภ์อย่างดีจนเจริญรุ่งเรือง มีการส่งธรรมทูตไปยังดินแดนต่างๆ มีสลักหินและเสาหินที่เรียกว่าเสาอโศก พระราชโอรสของพระเจ้าอโศกมหาราชขัดแย้งกันเองทำให้ราชวงศ์เมารยะเสื่อมอำนาจลง แต่ละรัฐตั้งตนเป็นอิสระ อินเดียแตกแยก
สมัยจักรวรรดิ (600 B.C.-คริสต์จักรวรรดิที่13) สมัยแบ่งแยกและถูกรุกราน (184 B.C.- ค.ศ.320) บริเวณที่ถูกรุกรานตั้งเป็นอาณาจักรอยุ่บริเวณอินเดียตอนเหนือศูนย์กลางอยู่ที่เมืองเปชะวาร์ พวกกุษาณะ*เข้ามารุกรานอินเดียและตั้งอาณาจักรปกครองอินเดียตอนเหนือ มีการผสมผสานวัฒนธรรมกับต่างชาติ เกิดการขยายตัวทางการค้า พระเจ้ามิลินท์สนทนาธรรมกับพระนาคเสนเกิดเป็น มิลินท์ปัญหา พระเจ้ากนิษกะ ศิลปะยุคนี้ได้รับอิทธิพลจากกรีก เรียกว่า ศิลปะคันธาระ มีการอุปถัมภ์ศาสนาพุทธนิกายมหายานให้เจริญรุ่งเรืองและส่งสมณฑูตไปยังจีน ทิเบตและญี่ปุ่น เกิดพระพุทธรูปคัทธาระ ซึ่งถูกขนานนามสวยที่สุดองค์แรกของโลก พระพักตร์คล้ายเทพอะพอลโล มีการตั้งมหาศักราชขึ้น (ม.ศ.) กุษาณะอ่อนแอลง สมัยจักรวรรคุปตะ (ค.ศ.320-535) กวีกาลิทาส ครอบครองบริเวณลุ่มแม่น้ำคงคา เมืองหลวงอยู่ที่ปาฏลีบุตร ขยายอาณาเขตออกไปในเวลาต่อมา ระบบการปกครองแบบกษัตริย์เป็นสมมติเทพ มีอำนาจเด็ดขาด เป็นยุคทองของอารยธรรมอินเดีย มีความเจริญสูงสุดในทุกๆด้าน เกิดระบบเลขทศนิยม เลขฮินดู-อารบิก สัญลักษณ์เลขศูนย์ มีการผ่าตัดเกิดขึ้น มีมหาวิทยาลัยมากขึ้น กวีสำคัญ\"กาลิทาส\" นับถือพระศิวะ พระเจ้าจันทรคุปต์ที่1 ขับไล่ชาวกุษาณะและรวบรวมอินเดียให้เป็นจักรวรรดิอีกครัั้ง ใช้นโยบายการแต่งงานแสวงหาอำนาจ พระเจ้าจันทรคุปต์ที่2 เป็นยุคที่รุ่งเรื่องและมีอำนาจที่สุด นับว่าเป็นยุคทองของอารยธรรมอินเดีย ทรงอุปถัมภ์ศาสนาพุทธและฮินดูอีกทั้งยังทรงตั้งศักราชฮินดูขึ้น หลวงจีนฟาเหียนเดินทางจากจีนมายังอินเดียเพื่อนำพระไตรปิฎกไปเผยแพร่
สมัยจักรวรรดิ (600 B.C.-คริสต์จักรวรรดิที่13) ราชวงศ์คุปตะเสื่อมลงและแตกเป็นอาณาจักรย่อยๆ สมัยหลังจักรวรรดิคุปตะ (ค.ศ.550-1206) อินเดียตอนเหนือ ถูกรุกราน ศาสนาพราหมณ์และพุทธถูกกวาดล้าง อินเดียตอนใต้ ศาสนาพุทธรุ่งเรือง อาณาจักรปัลลาวะ นับถือพราหมณ์ทำให้ศาสนาพุทธค่อยๆเสื่อมลง อาณาจักรโจฬะ (เจริญขึ้นเมื่ออาณาจักรปัลลาวะเสื่อมลง) เป็นศูนย์กลางอำนาจที่ทมิฬนาดู พูดภาษาทมิฬ นับถือศาสนาพราหมณ์-ฮินดู คริสต์ศตวรรษที่ 12 -อาณาจักรโจฬะเสื่อมลง เป็นอันสิ้นสุดยุคจักรวรรดิของอินเดีย TIPS กุษาณะ เป็นชนเร่ร่อนเชื้อสายกรีกที่เข้ามารุกรานอินเดีย ทางตอนเหนือหลังจากราชวงศ์เมารยะเสื่อมลง ศาสนาเชน การรุกรานจากอเล็กซานเดอร์มหาราช นาทีที่ 15:46
สมัยอิสลาม (ปลายคริสต์ศตวรรษที่ 10 - คริสต์ศตวรรษที่ 19) มุสลิมเชื้อสายเติร์กจากเอเชียกลางเข้าปกครองทางอินเดียเหนือ และตั้งเมืองเดลฮี เป็นเมืองหลวง สมัยสุลต่านแห่งเดลฮี มุสลิมเข้ามามีอำนาจและปกครองอินเดีย บังคับให้ชาวอินเดียนับถือศาสนาอิสลาม หากไม่นับถือศาสนาอิสลามจะเก็บภาษี เรียกว่า ภาษีจิซิยา การกระทำนี้ทำให้สังคมอินเดียเกิดความแตกแยก ระหว่างชาวฮินดูและมุสลิม ค.ศ. 1469 - เกิดศาสนาสิข โดยท่านคุรุนานัก เป็นการประยุกต์พราหมณ์ ฮินดูและรวมเข้ากับ ศาสนาอิสลาม มีศูนย์กลางที่แคว้นปัญจาบ สมัยราชวงศ์โมกุล (ค.ศ. 1526 - 1857) ราชวงศ์โมกุลโค่นล้มอำนาจสุลต่านแห่งเดลฮี คุรุนานัก ศาสดา ศาสนาสิข พระเจ้าอักบาร์ได้ยกเลิกการเก็บภาษีกับผู้ที่ไม่ได้นับถือศาสนาอิสลาม และให้อิสระการนับถือศาสนา เกิดภาษาใหม่คือ ภาษาอูรดู เกิดจากภาษาเปอร์เซียผสมกับภาษาฮินดู สมัยจักรพรรดิชาห์ชะฮัน มีการสร้างทัชมาฮาล สุสานหินอ่อนสีขาวให้มเหสีคนที่สาม คือ พระนางมุมตัช มาฮาล เกิดการก่อกบฏหลายครั้งสมัยพระเจ้าออรังเซบ กลับมาใช้การเก็บภาษีจีซิยาอีกครั้ง ปลดข้าราชการฮินดูและทำลานเทวสถานมากมาย ราชวงศ์โมกุลอ่อนแอลงและตกอยู่ภายใต้การปกครองของอังกฤษ(ได้รับเอกราชหลังสงครามโลกครั้งที่2) TIPS เรื่องราวเกี่ยวกับทัชมาฮาล ทัชมาฮาลคือสุสานหินอ่อนที่ผู้คนเชื่อว่าเป็น สถาปัตยกรรมแห่งความรักที่สวยที่สุด เป็นหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคกลาง
ยุคอาณานิคม (คริสต์ศตวรรษที่ 17 - 20) เกิดความขัดแย้งภายในชาติ ทำให้อังกฤษเข้ามาแทรกแซง บริษัทการค้าของ อังกฤษเริ่มเข้ามาทำการค้าในอินเดีย โปรตุเกสถูกสเปนยึดครองในยุโรป พ่อค้าโปรตุเกสจึงส่งสินค้าให้เนเธอร์แลนด์ ทำให้บริษัทการค้าของ เนเธอร์แลนด์เฟื่ องฟู จากนั้นอังกฤษจึงเข้ามามีบทบาทมากขึ้น การเข้ามายังทวีปเอเชียของชาติตะวันตกชาวยุโรปผ่านเส้นทางการเดินเรือทางทะเล ที่นำ โดยโปรตุเกส(ชาติแรก) ในปลายศตวรรษที่ 15 ตามมาด้วย สเปน เนเธอร์แลนด์(ฮอลันดา) อังกฤษ ฝรั่งเศส อังกฤษก่อตั้ง บริษัทบริติชอินเดียตะวันออก เพื่อพยายามเข้ามามีบทบาททางการค้า ในอินเดียและเอเชียมากขึ้น และมีการแทรกแซงอินเดียทีละน้อย เกิดการผูกขาดทางการค้า จากความแตกต่างทางศาสนาการปฏิบัติระหว่างผู้ปกครอง ที่เป็นมุสลิมกับประชากรที่เป็นฮินดู อังกฤษวางรากฐานไว้ให้กับอินเดียมากมาย เช่น การปกครองระบอบประชาธิปไตย การศึกษา การเสมอภาคของผู้คน TIPS วาสโก ดา กามา(Vasco da Gama) เป็นนักเดินเรือชาวโปรตุเกสคนแรกของยุโรปที่สามารถหาเส้นทางเดินเรือจากยุโรป มายังเอเชีย โดยเดินเรือมายังเอเชียบริเวณแรก คือ บริเวณชายฝั่ งมาลาบาร์ ของอินเดียในปี ค.ศ. 1498 โดยแล่นเรือจากเมืองลิสบอนของโปรตุเกสไปถึง ชายฝั่ งมาลาบาร์ที่อยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของอินเดีย โดยแล่นเรืออ้อมผ่าน แหลมกู๊ดโฮป (Cape Good Hope) ของทวีปแอฟริกา ผลหลังจากเหตุการณ์กบฎซีปอย ทำให้ราชวงศ์โมกุลหมดอำนาจ รัฐบาลอังกฤษประกาศยกเลิกกิจการของบริษัทอินเดียตะวันออก (The British East India Company) ที่ดำเนินงานมานาน 258 ปี รัฐบาลอังกฤษปกครองอินเดียโดยตรงตั้งแต่ปี ค.ศ. 1858 และในปี ค.ศ. 1877 อังกฤษ ได้สถาปนาพระราชินีวิคตอเรียเป็นจักพรรดิแห่งอินเดีย ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1877 อินเดียกลายเป็นอาณานิคมของอังกฤษอย่าง สมบูรณ์โดยมีอุปราช ชาวอังกฤษเป็นตัวแทนของกษัตริย์เข้ามาทำหน้าที่เป็น ประมุขของอินเดียแทนกษัตริย์ ราชวงศ์โมกุล
ยุคเอกราช ( คริสต์ศตวรรษ 17 -20 ) ก่อนสมัยสงครามโลกครั้งที่2 เกิดขบวนการชาตินิยมนำโดย มหาตมะ คานธี และ ยาวาหะราล เนห์รู เรียกร้องเอกราชให้อินเดีย พม่าแยกตัวจากอินเดียมาเป็นอาณานิคมอังกฤษ หลังสงครามโลกครั้งที่2 อินเดียได้รับเอกราชจากอังกฤษ ความแตกแยกทางศาสนาที่รุนแรง ทำให้อินเดียแยกเป็นอีก2ประเทศคือ อินเดียและปากีสถาน อินเดียก่อนได้รับเอกราช เกิดขบวนการชาตินิยมอินเดียนำโดย มหาตมะ คานธี และ ยาวาหะราล เนห์รู ได้เสนอร่างรัฐธรรมนูญ India Act บอกว่าแคว้นได้สิทธิการปกครองตนเองอย่างอิสระแต่สิทธิพิเศษเป็นของผู้สำเร็จราชการ มหาตมะ คานธี เป็นผู้นำให้การเรียกร้องเอกราช ใช้หลักอหิงสาคือความไม่เบียดเบียน ความสงบ และ นำขบวนการรักชาติ กู้ชาติ ให้คนทอผ้าและหาเกลือกินเอง ใช้นโยบายสัตยาเคราะห์ (การไม่ให้ความร่วมมือกับกฏหมายที่ไม่เป็นธรรม) อินเดียได้รับเอกราช ยาวาหะราล เนห์รู เป็นนายกรัฐมนตรี จัดการระเบียบใหม่รวมรัฐอินเดียไว้ 27 รัฐ และรณรงค์ต่อต้านประเพณีแบบเก่า เช่น การบูชาวัว การแบ่งวรรณะ เปิด สัมพันธไมตรีกับจีน และสหภาพโซเวียต TIPS ปากีสถาน เกิดจากความขัดแย้งทางศาสนา การต่อสู้กันของชาวมุสลิมและชาวฮินดู ทำให้อินเดียต้องแยกเป็นอีก 2 ประเทศ คือ อินเดียและปากีสถาน ปากีสถานแยกเป็น ปากีสถานตะวันตกหรือปากีสถานในปัจจุบัน ปากีสถานตะวันออกคือบังกลาเทศ East India company บริษัทที่มีกองกำลังทหารนับแสนราย
อารยธรรมอินเดีย วรรณะในอินเดีย พราหมณ์ นักบวช นักวิชาการ สีประจำวรรณะ : สีขาว เกิดจาก : ปากของพระพรหม กษัตริย์ กษัตริย์ ขุนนาง นักรบ ข้าราชการ สีประจำวรรณะ : สีแดง เกิดจาก : อกของพระพรหม แพศย์ พ่อค้า นักธุรกิจ ประชาชนคนธรรมดา สีประจำวรรณะ : สีเหลือง เกิดจาก : ตักของพระพรหม ศูทร ผู้ใช้แรงงาน ชาวนา สีประจำวรรณะ : สีดำ เกิดจาก : เท้าของพระพรหม จัณฑาล คือลูกที่เกิดจากพ่อแม่ต่างวรรณะกัน เป็นวรรณะต่ำที่สุด ปรัชญาและศาสนา ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู มีความเชื่อและศรัทธาต่อพระเจ้า ทำให้มีการบวงสรวงถือเป็นศาสนกิจ ศาสนาพุทธ-เชน เน้นการแสวงหาสัจจะการใช้ชีวิตและการหลุดพ้น เทพเจ้าอินเดีย พระพรหม (เกิดขึ้น) เป็นเทพผู้สร้าง พระวิษณุ (คงอยู่) เป็นเทพผู้รักษาและปราบปรามความไม่สงบ พระศิวะ (ดับไป) เป็นเทพผู้ทำลายความชั่วร้าย เรื่องราวเกี่ยวกับเทพ
สถาปัตยกรรม ยุคอารยธรรมลุ่มแม่น้ำสินธุ สถาปัตยกรรม ยุคดราวิเดียน โมเฮนโจ - ดาโร ศรีรังคนาถสวามีมนเทียร สถาปัตยกรรมฮินดู สถาปัตยกรรม สมัยจักรวรรดิ เสาอโศก บ่อน้ำขั้นบันไดอทาลัช สถาปัตยกรรมโมกุล สถาปัตยกรรมยุค สาธารณรัฐ ทัชมาฮาล โลทัสเทมเพิล
ประติมากรรม พระพุทธรูปคันธาระ ศิลปะจากอิทธิพลแบบเฮเลนิสติกแบบกรีก นับว่าสวยงามที่สุดในโลก TIPS ทำไมพระพุทธรูปคันธาระถึงหน้าคล้ายฝรั่ง? เดิมทีบริเวณของพระเจ้ากนิษกะเคยเป็นชนชาติกรีก ปกครอง ต่อมาชาวโรมันเข้ามาค้าขาย เมื่อสร้าง พระพุทธรูปอาจเป็นไปได้ว่าใช้ช่างกรีกโรมัน พระพุทธรูปมถุรา มถุราเป็นเมืองสำคัญทางประวัติศาสตณ์และศาสนาของอิเดียอยู่ ระหว่างทางจากกรุงเดลีไปเมืองอักรา เมืองนี้เป็นถิ่นกำเนิดพุทธ ศิลป์รุ่นแรกๆ ของอินเดีย เป็นการสร้างพระพุทธรูปที่เป็นแบบ อินเดียแท้เจือปนอิทธิพลกรีกของศิลปะคันธาระเพียงบางส่วน พระพุทธรูปแบบอมราวดี พระพุทธรูปในศิลปะแบบอมราวดีเป็นแบบผสม อิทธิพล ของกรีก วงพระพักตร์ของพระพุทธรูปค่อนข้างยาว พระ เกตุมาลาปรากฏอย่างชัดเจน บนพระเศียรจะมีขมวด
จิตรกรรม ฝาผนังถ้ำอชันตา พระรามกับสีดาในป่า มักเป็นภาพนูนต่ำหรือภาพเขียนสีมีภาพวาพ เป็นจิตรกรรมที่ได้รับอิทธิพลจากจิตรกรรม พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร เปอร์เซียทางตะวันตก ซึ่งอยู่ในอินเดียตะวันออก พระปัทมปาณีถือดอกบัว และวิวัฒนาการในบริเวณตระกูลการเขียนของ การประสูติของพระพุทธเจ้า นาลันทาที่เป็นงานที่ได้รับอิทธิพลจากตำนานเทพ พระสุบินของพระนางสิริมหามายา อินเดีย สมัยคุปตะ และหลังสมัยคุปตะเป็นสมัยที่ รุ่งเรืองที่สุดของอินเดียพบงานจิตรกรรมที่ผนัง ถ้ำอชันตะเป็นภาพเขียนในพระพุทธศาสนาแสดง ถึงชาดกต่างๆ ที่งดงามมาก ความสามารถในการ วาดเส้นและการอาศัยเงามืดบริเวณขอบภาพ ทำให้ภาพแลดูเคลื่อนไหว ให้ความรู้สึกสมจริง นาฏศิลป์และคีตศิลป์ ศิลปะชั้นสูงเป็นการบูชาเทพเจ้า นาฏศิลป์มีแบบแผนปรากฏตำรานาฏยศาสตร์ โดย ภรตมุนี กถกฬิ ต้นแบบโขนของไทย แบบแผนการร้องที่เก่าแก่สุดคือบทสวดสรรเสริญเทพเจ้า
วรรณกรรม เริ่มจากบทสวดในพิธีบูชาเทพเจ้า ท่องจำด้วยปาก วรรณกรรมภาษาพระเวท วรรณกรรมตันติสันสกฤษ คัมภีร์พระเวท ใช้ภาษาสันสกฤษ มหาภารตะและรามายณะ 1.ฤคเวท ร้อยกรองสำหรับสวดสรรเสริญ สะท้อน การเมือง ศาสนา ความเป็นอยู่ 2.ยชุรเวท ร้อยแก้วการประกอบพิธีและบวงสรวง 3.สามเวท บทร้อยกรองสวดในพิธีถวายน้ำโสมแก่พระอินทร์ 4.อาถรรพเวท รวบรวมคาถาและอาคม วรรณกรรมสันสกฤษผสม วรรณกรรมภาษาอื่น ใช้เขียนหลักธรรมพระพุทธศาสนานิกายมหายาน วรรณกรรมภาษาบาลี เช่น พระไตรปิฎก เช่น พุทธจริตของอัศวโฆษ วรรณกรรมภาษาทมิฬ ดัดแปลงมาจากสันสกฤษ มหราาภมาายรตณะะและ
ความก้าวหน้า ทางวิทยาการ ภาษาศาสตร์ ตำราไวยกรณ์เกี่ยวกับภาษาสันสกฤตเล่มแรก คือ หนังสืออัษฏาธยายีของปาณินิ อีกเล่มที่เก่าแก่และใช้ในคัมภีร์พระเวทเช่นกัน คือ นิรุกตะ ของยาสกะ ภาษาอารดูที่เกิดจากการผสมผสานภาษาสันสกฤต อารบิก และเปอร์เซีย (ยุคที่มุสลิมเข้าปกครอง) แพทยศาสตร์ จารึกการรักษาที่กล่าวถึงโรงพยาบาลในสมัยพระเจ้าอโศก ตำราอายุรเวทที่กล่าวถึงการรักษาโรค และคัมภีร์อรรถศาสตร์ที่กล่าวถึงการใช้ยาพิษ แพทย์ที่มีชื่อเสียงมาก คือ ชีวกโกมารภัจจ์ (ถุกกล่าวถึงในคัมภีร์บาลี) ธรรมศาสตร์และนิติศาสตร์ ธรรมศาสตร์ : หนังสือเล่มแรก คือ มนูสมฤติหรือมานวธรรมศาสตร์ นิติศาสตร์ : งานสำคัญ คือ อรรถศาสตร์ ของเกาฎิลยะ ชโยติษ* ใช้ในการประกอบพิธีกรรมฤกษ์ยาม (อาศัยวิถีโคจรของดวงอาทิตย์และดวงดาว) ค้นหาตำแหน่งของดวงดาว ทำให้เกิดคณิตศาสตร์ขึ้น ประดิษฐ์เลข 0 ขึ้นเพื่อใช้ ทำให้มีหลักหน่วย สิบ ร้อย ในการคำนวณถัดมา TIPS ชโยติษ เป็นศาสตร์ที่ใช้ในคัมภีร์พระเวท เป็นการผนวกกันของ ดาราศาสตร์ โหราศาสตร์ และคณิตศาสตร์ ธรรมศาสตร์ เป็นทั้งกฎหมาย ศาสนบัญญัติ จารีตประเพณี หลักศีลธรรม และหน้าที่ของพลเรือน นิติศาสตร์ กล่าวถึงการเมืองการปกครอง และความมั่งคั่งของบ้านเมือง
การแพร่ขยายและการถ่ายทอด ไปยังดินแดนอื่นๆ อารยธรรมอินเดียแพร่ขยายออกไปสู่ภูมิภาคต่างๆทั่วทวีปเอเชีย ผ่านทางการค้า ศาสนา การเมือง การทหาร และผสานเข้ากับ อารยธรรมของแต่ละแระเทศจนกลายเป็นอารยธรรมสังคมนั้นๆ เอเชียตะวันออก พุทธศาสนานิกายมหายานมีอิทธิพลต่อชาวจีน ทั้งในศาสนาและการสร้างสรรค์ศิลปะ เอเชียกลาง อารยธรรมอินเดียถ่ายทอดให้พวกมุสลิมและอาหรับซึ่งมีอำนาจมาก ในตะวันออกกลาง มีการนำวิทยาการของอินเดียไปใช้อย่างมาก เช่น การ แพทย์ คณิตศาสตร์ ดาราศาสตร์ ขณะเดียวกันอินเดียก็รับอารยธรรมของ เปอร์เซียและกรีก ทั้งศิลปกรรม ประติมากรรม เปอร์เซีย อิทธิพลของเปอร์เซียจะปรากฏในรูปของการปกครองและสถาปัตยกรรม เช่น พระราชวัง การเจาะภูเขาเป็นถ้ำเพื่อสร้างศาสนาสถาน ในดินแดนตะวันออกกลางนำเอาวิทยาการหลายอย่างของอินเดียไปใช้ ได้แก่ การแพทย์ คณิตศาสตร์ และดาราศาสตร์ เอเชียตะวันออก อินเดียมีอิทธิพลต่อเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มากที่สุด พ่อค้า พราหมณ์ เฉียงใต้ ภิกษุสงฆ์ เข้ามาเผยแพร่อารยธรรม ศาสนาและความเชื่อ การปกครอง และตัวอักษร รวมถึงด้านศิลปะอมราวดี มธุรา คุปตะ
Search
Read the Text Version
- 1 - 19
Pages: