Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore VITAL SIGN-NITIMA

VITAL SIGN-NITIMA

Published by ไกรศร จันทร์นฤมิตร, 2018-08-20 03:00:34

Description: VITAL SIGN-NITIMA

Search

Read the Text Version

qwertyuiopasdfghjklzxcvbnmqwertyuiopasdfghjklzxcvbnmqwertyuiopasdfghjklzxcvbnmqwertyuiopasdfghjklzxcvbnmqwertyuiopasdfghjklzxcvbnmqwertyuiopasdfghjklzxcvbnmqwertyuiopasdfghjklzxcvbnmqwertyuiopasdfghjklzxcvbnmqweดรr.นิธtิมyา สuภุ าiรีopasdfghjklzxcvbnmqwertyuiop20a/0s8/d61fghjklzxcvbnmqwertyuiopasdfghjklzxcvbnmqwertyuiopasdfghjklzxcvbnmqwertyuiopasdfghjklzxcvbnmqwertyuiopasdfghjklzxcvbnmqwertyuiopasdfghjklzxcvbnmqwertyuiopasdfghjklzxcvbnmqwertyuiopasdfghjklzxcvbnmqwertyuiopasdfghjklzxcvbnmrtyuiopasdfghjklzxcvbnmqwertyuiopasdfghjklzxcvbnmqwertyuiopasdfghjklzxcvbnmqwertyuiopas

หน้า | ๒ เอกสารประกอบการสอน หลักการและเทคนิคการวัดสัญญาณชพี ดร.นิธิมา สุภารีบทนาสญั ญาณชีพเปน็ อาการแสดงท่บี ่งบอกถึงความมีชวี ิต ประกอบดว้ ย อุณหภูมิ (temperature) ชีพจร(pulse) การหายใจ (respiration) และความดันโลหิต (blood pressure) ซง่ึ ถกู ควบคมุ ดว้ ยอวยั วะทส่ี าคัญของร่างกาย เชน่ หวั ใจ ปอดและสมอง กลไกทคี่ วบคุมอาการแสดงเหล่านี้ไวตอ่ การเปลย่ี นแปลง ในคนปกติจะพบวา่ มกี ารเปล่ยี นแปลงเล็กน้อย แตเ่ มอื่ ใดกต็ ามถ้าสญั ญาณชพี เปล่ียนแปลงออกไปจากชว่ งปกติแสดงว่าเกดิ ความผิดปกตใิ นการทางานของรา่ งกายโดยมคี วามสมั พนั ธ์กบั ประเภทและความรนุ แรงของพยาธิสภาพอณุ หภมู กิ าย (Body temperature) หมายถึง ระดับความร้อนของรา่ งกายท่ีวัดคา่ ออกมาเป็นองศา ซง่ึ เกิดจากความสมดุลระหว่างการผลติความร้อนและการสูญเสยี ความรอ้ นจากร่างกายไปยังส่ิงแวดล้อม มศี นู ย์กลางการควบคุมอุณหภูมิอย่ทู ไ่ี ฮโปทาลามสั (hypothalamus) อณุ หภมู ปิ กติของร่างกายประมาณดังน้ี วัดทางปาก ชว่ งอณุ หภูมิ 36ºC - 37.5ºC วัดทางทวารหนกั ช่วงอุณหภูมิ 36.5ºC - 38ºC วดั ทางรักแร้ ชว่ งอุณหภมู ิ 35.5ºC - 37ºCแต่มีปัจจยั หลายอยา่ งที่ทาให้อณุ หภมู คิ นแตกต่างกนั คือ 1. อายุ: เดก็ แรกเกดิ และเด็กออ่ นจะมีอณุ หภมู สิ ูงกวา่ ในเดก็ โตและผู้ใหญ่ ทง้ั น้ีเนื่องจากศนู ย์ควบคมุ อุณหภูมขิ องร่างกายยงั ทางานไมเ่ ต็มที่ 2. ชว่ งเวลาของวัน: ในชว่ ง 24 ชัว่ โมงของวนั อณุ หภมู ิของแตล่ ะคนจะไมค่ งที่ตลอดย่อมข้นึ ๆ ลง ๆ ช่วงเวลาทอี่ ณุ หภูมติ า่ สดุ ประมาณ 04.00-06.00 น. และชว่ งท่ีอุณหภูมสิ ูงจะเป็นตอนบา่ ย 3. เพศ: เพศหญิงอุณหภูมจิ ะสงู กว่าเพศชายเนอ่ื งจากเพศหญิงมฮี อรโ์ มน estrogen และprogesterone ทาใหเ้ พม่ิ อตั ราการเผาผลาญสารอาหาร โดยเฉพาะ estrogen จะช่วยเพม่ิ ไขมันในรา่ งกายและในช่วงท่ีมไี ข่สุก ระดับของฮอร์โมน progesterone สงู ขึน้ จะทาใหอ้ ุณหภูมิของเพศหญิงสูงขึ้นประมาณ0.3ºC - 0.5ºC 4. อารมณ์: ผทู้ ม่ี อี ารมณ์รุนแรงมากจะมีอุณหภูมขิ องร่างกายสูงกว่าปกติ และผู้ท่ีอารมณ์เฉอ่ื ยชาอุณหภมู ิของร่างกายจะต่ากวา่ ปกติ 5. การออกกาลงั กาย: หลงั จากเลน่ กีฬาอยา่ งหนกั อุณหภูมจิ ะสูงขน้ึ ถึง 1ºC - 2ºC 6. จานวนและชนดิ ของอาหารทรี่ ับประทาน : อาหารทมี่ โี ปรตนี และไขมันสงู จะกระตนุ้ การเผาไหม้ของรา่ งกาย ย่อมทาให้อณุ หภูมสิ ูงขึน้ 7. ส่งิ แวดลอ้ ม: อากาศรอ้ นจัดอุณหภูมขิ องรา่ งกายจะสูงขน้ึ

หน้า | ๓การวัดอณุ หภมู ิกายเคร่อื งมอื ทใี่ ช้วดั อุณหภมู ิ คอื ปรอทวดั ไข้ (thermometer) หนว่ ยท่วี ัดอุณหภูมเิ ปน็ เซลเซียส (ºC)และ ฟาเรนไฮต์ (ºF)ตาแหน่งทีว่ ัดอุณหภมู ิของร่างกายโดยท่ัวไปการวัดอุณหภมู ิกาย ควรเลอื กตาแหนง่ ที่จะวดั เชน่ บรเิ วณที่มีเสน้ เลอื ดใหญผ่ ่านใกลท้ ี่สุดเสน้ เลอื ดอยูต่ ื้นพอท่ีจะสัมผัสกับตาแหนง่ ปรอททวี่ ดั ได้1. ช่องปาก2. ชอ่ งคลอด3. ชอ่ งทวารหนกั4. บรเิ วณรกั แร้5. บรเิ วณผิวหนัง6. ช่องหูชนดิ ของปรอทปรอทท่ีใช้วัดอุณหภมู ขิ องรา่ งกายมี 2 ชนิดคอื 1. ชนดิ ท่ีใชว้ ดั ทางปากและทางรกั แร้ 2. ชนิดทใ่ี ช้วัดทางทวารหนกั ลกั ษณะของกระเปาะกลมเพือ่ ปอ้ งกนั การเสยี ดสี 3. ชนดิ ท่ใี ช้ทางเย่ือแกว้ หู เปน็ แบบอนิ ฟาเรดวิธีวดั อุณหภมู ิ เครื่องใช้: ปรอทวดั ไข้ นาฬิกาแบบมีเขม็ บอกวนิ าที กระดาษชาระหรือสาลีวธิ ีปฏิบัติ 1. ล้างมอื ให้สะอาด เพอื่ ลดจานวนเชื้อโรคซึง่ อาจจะนาไปยังผู้ปว่ ยได้ 2. บอกใหผ้ ปู้ ่วยทราบว่าจะทาการวัดอณุ หภมู ิ เพือ่ ผู้ปว่ ยจะไดใ้ ห้ความรว่ มมอื 3. นาปรอทสะอาดจากภาชนะจับใหม้ ั่นคง ยนื ใหห้ ่างจากสิง่ กดี ขวางตา่ ง ๆ แลว้ สลดั ปรอทให้ลงตา่ ถงึ 35ºC โดยการสลัดข้อมือ 4. เลอื กตาแหน่งในการวัดอุณหภมู ใิ ห้เหมาะสม 4.1 การวัดอณุ หภมู ทิ างปาก: บอกให้ผู้ป่วยอา้ ปากกระดกลนิ้ ขึน้ วางกระเปาะปรอทไวท้ ใ่ี ต้ลิ้นโดยวางเฉียงไปด้านซา้ ยหรือขวาหุบปากใหส้ นิท นาน 3-5 นาที ผปู้ ่วยด่มื น้ารอ้ นหรอื เยน็ ควรรอวดั อุณหภูมิหลงั การดม่ื นาน 15-20 นาที 4.2 การวดั อณุ หภมู ทิ างรกั แร:้ ซับบริเวณรกั แร้ใหแ้ หง้ ใส่ปรอทส่วนทเี่ ป็นกระเปาะไว้ตรงกลางรกั แร้ แลว้ ให้ผูป้ ่วยชว่ ยหนบี ไว้โดยจดั แขนและขอ้ ศอกอยู่แนบลาตัว มอื วางแนบลาตัว นาน 5-10 นาที 4.3การวดั ทางทวารหนัก - ก้ันมา่ น จัดทา่ ผูป้ ่วยให้นอนตะแคงและงอเข่าบน แล้วคลมุ ผ้าใหเ้ รียบร้อย ในเดก็ ทารกจัดท่านอนหงายราบ ใชม้ ือข้างหนึง่ ยกขาทั้ง2 ขา้ ง ข้นึ ระหว่างการสอดปรอทและการวดั

หน้า | ๔ -ใชม้ ือขา้ งหนึง่ ยกก้นดา้ นบนขึ้นใหเ้ หน็ ทวารหนัก สอดปรอทด้านทเี่ ป็นกระเปาะเข้าไปลึกประมาณ 1.5 นวิ้ ในผใู้ หญ่ และ 0.5 น้ิวในเดก็ ในทศิ ทางทม่ี งุ่ ตรงไปยงั สะดือ นาน 2-3 นาที5. ระหวา่ งผู้ปว่ ยอมปรอทใหน้ ับชีพจรและการหายใจด้วย เพ่อื ประหยัดเวลาและลด โอกาสที่ผปู้ ่วยจะควบคุมอตั ราการหายใจ6. ดงึ ปรอทออกจากตาแหน่งทวี่ ัด เชด็ ด้วยสาลีหรอื กระดาษชาระ โดยเชด็ จากดา้ มปรอทลงมาสว่ นปลายกระเปาะ พร้อมกบั หมนุ ปรอทบดิ ไปมา เพ่อื ช่วยลดส่ิงสกปรกและเชือ้ โรคก่อนทีจ่ ะยกข้นึ อ่าน7. ยกปรอทข้นึ ดูในระดับสายตาตามแนวนอน หมนุ ดา้ นปรอทไปมาจนกระทง่ั เหน็ ลาปรอท อา่ นคา่ อุณหภูมิ8. นาปรอทไปทาความสะอาด และเกบ็ เอาไว้ใหเ้ รยี บร้อย ล้างมอื ใหส้ ะอาดภาวะอณุ หภูมสิ ูงกวา่ ปกติ เกดิ จากมกี ารระบายความรอ้ นน้อยกวา่ ความรอ้ นทีเ่ กดิ ข้นึ ภายในร่างกายทาให้มอี ณุ หภูมิเพ่ิมสงู กวา่ระดบั ปกติ คอื สูงเกิน 37.5ºC เรยี กว่า มีไข้ (Fever, Febrile, Pyrexia) นอกจากนีย้ ังพบอาการและอาการแสดงดงั ตอ่ ไปนี้ คอื ผวิ หนงั แหง้ แดง ร้อน หนา้ แดง ริมฝปี ากแห้ง เบ่ืออาหาร รสู้ ึกกระหายนา้ ปวดศีรษะปวดเม่ือยตามร่างกาย ซมึ ออ่ นเพลีย เหนอื่ ยง่าย ไมม่ แี รง อตั ราชพี จรและการหายใจเร็วข้ึน ในระยะแรกอาจมีอาการหนาว สัน่ ผิวหนังซีด ภายหลังทีอ่ าการหนาวสั่นหยุด ผิวหนงั จะแดงและรอ้ นมเี หงอื่ ออก ต่อมามอี าการปวดศีรษะ กระสับกระสา่ ย สับสน เพ้อ ชกั หมดสติ และถึงแก่กรรมในท่สี ดุกลไกการเกดิ ไข้ ไข้เกดิ ขึ้นเนือ่ งจากการทีแ่ บคทีเรยี ผลิต Toxin หรือเนอ้ื เยือ่ ท่ีถูกทาลายปลอ่ ยสาร Pyrogen ซึ่งจะไปกระตุน้ ใหเ้ ม็ดเลอื ดขาวปล่อยสาร Endogenous pyrogen ออกมาและไปกระตนุ้ ศูนยค์ วบคมุ อณุ หภมู ใิ ห้ทางานมากขนึ้ ทาให้อุณหภมู ขิ องรา่ งกายสูงขน้ึ อตั ราการเผาผลาญเพิ่มขึ้น ของเสยี จากกระบวนการเผาผลาญคอื CO2 ซง่ึ จะมรี ะดบั สงู ข้นึ ในเลือด กระตนุ้ ศูนย์หายใจเพมิ่ อัตราการหายใจเพ่ือขับ CO2 ออกและรบั O2เขา้ มามากขึ้น ระบบหวั ใจและการไหลเวยี นมกี ารปรับตัวจะพบอาการปวดศีรษะ กระสับกระส่ายปวดเมอื่ ยกลา้ มเน้อื เน้อื เยื่อรา่ งกายต้องการ O2 เพิ่มขึน้ หากการซึมซาบ O2 สเู่ นอ้ื เย่ือสมองถูกรบกวนจะชกันาใหเ้ กิดความแปรปรวนในการทางานของเซลล์สมอง เกิดอาการสับสน กระวนกระวาย เพ้อ พดู ไมเ่ ปน็ เรือ่ งเป็นราว หรืออาจมอี าการประสาทหลอน ชัก ในระยะทอี่ ุณหภมู กิ ายสงู อวยั วะตา่ ง ๆ ในร่างกายตอ้ งทางานหนักข้ึนตามไปด้วย หากไมไ่ ด้รบั สารอาหารชดเชยเพยี งพอกบั พลงั งานทีเ่ สียไปจะเกดิ การสลายไขมันและโปรตีนในร่างกาย เกิดอาการอ่อนเพลยี ไมม่ ีแรงการเชด็ ตัวลดไข้ (Tepid sponge) เปน็ การลดอณุ หภูมผิ ิวหนงั โดยอาศยั ผ้าชบุ นา้ เป็นตวั กลางในการนาและพาความรอ้ นออกจากรา่ งกายรว่ มกบั การระเหยของนา้ ออกจากผิวหนงั การเช็ดตวั ลดไข้ มี 3 วธิ ีดว้ ยกัน 1. เช็ดตวั ดว้ ยน้าธรรมดาจากกอ๊ ก

หน้า | ๕2. เช็ดตวั โดยใช้นา้ แข็ง 1 สว่ น ผสมนา้ 1 ส่วน 3. เชด็ ตัวโดยใชแ้ อลกอฮอล์ 70% 1 ส่วน ผสมนา้ 3 ส่วนจุดประสงค์1. เพ่อื ช่วยลดความรอ้ นของร่างกายและทาใหผ้ ปู้ ว่ ยสุขสบาย2. เพ่ือชว่ ยการไหลเวยี นของโลหิตและทาให้อวัยวะต่างๆทางานดขี น้ึ3. เพ่อื ช่วยใหป้ ระสาทคลายความตึงเครยี ดเครอื่ งใช้อา่ งใสน่ ้าประมาณ 2 สว่ น 3 ของอา่ ง, ผ้าถตู ัว อยา่ งน้อย 2 ผนื , ผา้ เชด็ ตวั 1 ผืน, กระเป๋านา้ร้อน-นา้ แขง็ อยา่ งละใบ ใส่ปลอกใหพ้ ร้อม, แอลกอฮอล์ 25% , แปง้ ทาตัว, ผ้าคลุมตัว 1 ผนืวิธปี ฏบิ ตั ิ 1. เตรียมของใช้ให้พรอ้ มเพ่อื เปน็ การประหยัดเวลาและแรงงาน 2. บอกใหผ้ ู้ป่วยทราบว่ามไี ขข้ ึ้นจะทาการเช็ดตวั ให้ เพอื่ ผู้ป่วยจะได้ใหค้ วามรว่ มมอื 3. กัน้ ม่านให้เรยี บร้อยเพ่ือปอ้ งกันการเปิดเผยผู้ปว่ ย 4. ห่มผา้ ใหผ้ ปู้ ว่ ยด้วยผา้ คลมุ ตัวและถอดเสือ้ ผ้าผู้ปว่ ยออกเพื่อระบายความร้อนออกจากร่างกาย 5. ชุบผ้าถูตัวทจ่ี ะใช้ทั้งหมดลงในอ่างน้า 6. เร่ิมต้นใชผ้ า้ ถูตวั ลูบท่หี น้าผปู้ ว่ ยใหท้ ว่ั แลว้ วางพกั ที่คอ หม่ันซกั ผ้าถตู ัวบอ่ ย ๆ ลูบน้า 3 - 4คร้ัง ในระหวา่ งนต้ี ้องหมน่ั เตมิ น้าใหเ้ ย็นอยเู่ สมอ ดแู ลให้ผ้ปู ว่ ยดื่มน้าบ่อย ๆ ขณะทาอาจวางกระเป๋านา้ แข็งไวท้ ี่ศีรษะ และวางกระเปา๋ น้าร้อนทีป่ ลายเท้า 7. ยา้ ยผา้ ถตู ัวไปทห่ี นา้ อกหยุดพกั ตรงหัวใจ 8. ลูบแขนด้านไกลตวั กอ่ นลูบใหผ้ ู้ปว่ ยกาผ้าในมอื สักครู่ การลูบใหล้ บู จากปลายแขนเขา้ สู่หัวใจพกั ทข่ี อ้ พับรักแร้ แล้วลูบแขนดา้ นใกล้ตัว ขาไกลตวั และขาใกลต้ ัว 9. พลิกตะแคงตัวผปู้ ่วยเข้าหาผู้ปฏบิ ัติ แล้วใชผ้ า้ ถูตวั ลูบดา้ นหลงั ตง้ั แตต่ ้นคอเขา้ หาหวั ใจ 10.เทแอลกอฮอล์ 25% ลงในฝ่ามอื ทาหลังให้ทั่วแล้วทิง้ ใหแ้ หง้ เทแปง้ ลงบนฝ่ามอื ลบู แปง้ ใหท้ วั่หลงั ผปู้ ่วย ใสเ่ สอื้ ผ้าใหผ้ ู้ปว่ ย 11.หลังเชด็ ตวั ครึง่ ชั่วโมง วดั อณุ หภูมิ ชีพจร การหายใจ ซา้ข้อควรจา1. ถา้ ทาการเชด็ ตัวได้ผลดอี ณุ หภมู จิ ะลดลง 1/2 - 1C กรณผี ปู้ ว่ ยสามารถใหย้ าได้ควรใหย้ าลดไขก้ อ่ นการเชด็ ตัว 15-20 นาที จะทาให้ไข้ลดเรว็ และทาใหผ้ ู้ปว่ ยรสู้ ึกสบายขน้ึ 2. ใหอ้ ณุ หภมู ขิ องนา้ คงที่เสมอ เมอ่ื นา้ เร่มิ อนุ่ ให้เตมิ หรือเปลยี่ นนา้3. อย่าใช้เวลาในการ เช็ดตัวนาน ในผใู้ หญ่ใช้เวลา 20-30 นาที ในเดก็ ใช้เวลา 15-20 นาที ถ้ามีอาการหนาวสน่ั ใหห้ ยดุ ทาทนั ทีและให้ความอบอุ่นแกผ่ ู้ปว่ ย เนอื่ งจากการหนาวส่ันจะเพม่ิ อตั ราการเผาผลาญภายในรา่ งกาย

หน้า | ๖4. ขณะเชด็ ตวั ควรใหม้ ีการเคลือ่ นไหวร่างกายนอ้ ยทส่ี ุดเพื่อป้องกนั ไม่ให้อตั ราการเผาผลาญภายในรา่ งกายเพม่ิ ขึน้5. สงั เกตอาการเปล่ยี นแปลงของผูป้ ว่ ยตลอดระยะเวลาท่ี เช็ดตวั และภายหลังเชด็ ตวั6. กรณีท่ีไมต่ อ้ งการให้บรเิ วณหน้าทอ้ งของผปู้ ่วยไดร้ ับการกระทบกระเทอื นหรอื เปน็ โรคเกี่ยวกับลาไส้ เช่น ไทฟอยด์ ใหใ้ ชผ้ า้ ถูตวั บดิ พอหมาด ๆ 1 ผนื วางไว้ที่หน้าทอ้ งผปู้ ่วยการหายใจ (Respiration)การหายใจเป็นการนาเอาออกซเิ จนเข้าสรู่ า่ งกายและนาคาร์บอนไดออกไซดอ์ อกจากรา่ งกาย ถูกควบคุมโดย ศนู ยห์ ายใจท่ี Medulla oblongata นอกจากนี้ ยังมีแขนงประสาททม่ี าจากระบบประสาทอตั โนมตั ิ และสารเคมใี นเลือดซงึ่ ทาให้การหายใจเป็นอตั โนมัติ และในบางคร้งั การหายใจจะถกู ควบคุมภายใต้อานาจจติ ใจได้ ซ่ึงจะเกดิ ขนึ้ เพยี งชั่วขณะ ส่งิ ทจ่ี ะต้องสังเกตในการตรวจนบั การหายใจ 1. อตั ราการหายใจข้ึนอยกู่ บั ปจั จัยต่าง ๆ เช่น อายุ ในเดก็ อตั ราการหายใจจะเรว็ กวา่ ผ้ใู หญ่ปกติผู้ใหญ่อตั ราการหายใจประมาณ 16-20 ครั้ง/นาที นอกจากนย้ี ังข้ึนอยกู่ บั อารมณ์ อณุ หภมู ิของร่างกายโรค เป็นตน้ ในผู้ใหญ่หากหายใจเกนิ กว่า 24 ครัง้ /นาที ถอื ว่าเปน็ การหายใจเรว็ (Tachypnea) หรือหายใจนอ้ ยกว่า 10 คร้ัง/นาที เรยี กวา่ การหายใจช้า (Bradypnea) ถ้าไมม่ ีการหายใจเลยเรียกวา่ หยุดหายใจ(Apnea)2. จังหวะการหายใจการหายใจทป่ี กตจิ ังหวะการหายใจเข้าและหายใจออกจะเท่ากัน 3. ความลกึ ของการหายใจใหส้ ังเกตความเคลือ่ นไหวของทรวงอก สามารถบอกไดว้ ่าหายใจลกึหรอื ตน้ื4. ลักษณะของการหายใจ การหายใจปกติ (Eupnea) เป็นไปโดยสะดวกไม่ต้องใชแ้ รง ไมม่ ีเสยี งและไมเ่ จ็บปวด ถ้าเกดิ การหายใจลาบาก หายใจขัด (Dyspnea) จะตอ้ งออกแรงในการหายใจ วธิ นี ับการหายใจ เน่อื งจาก จิตใจสามารถ จุดประสงค์ เพ่ือตรวจสอบการทางานของปอดและทางเดินหายใจควบคุมการหายใจได้ ดงั นั้นในการนบั การหายใจจึงไมค่ วรบอกใหผ้ ู้ปว่ ยรสู้ กึ ตัว เครอื่ งใช้: นาฬกิ าท่ีมีเขม็ วินาที วิธีปฏบิ ตั ิ 1. ล้างมือใหส้ ะอาดและบอกให้ผปู้ ว่ ยทราบวา่ จะตรวจวัดสญั าณชีพ 2. จัดใหผ้ ้ปู ่วยอยู่ในทา่ ท่ีสบายและสะดวกตอ่ การสังเกตและนบั การหายใจ 3. วางน้วิ มอื อยใู่ นลักษณะการตรวจนบั ชพี จร หากนบั ชพี จรแล้วใหส้ งั เกตการหายใจตอ่ ไปทันที

หน้า | ๗ 4. สงั เกตทที่ รวงอกในผใู้ หญ่ และหน้าทอ้ งในเด็กเล็ก นบั จานวนครั้งของการ หายใจนาน 1นาที โดยการหายใจเขา้ และออกเปน็ การหายใจ 1ครง้ั พร้อมท้ังสังเกตจงั หวะความต้นื ลกึ และลกั ษณะของการหายใจชีพจร (Pulse)ชีพจรเปน็ แรงสะเทอื นของกระแสเลอื ด ซง่ึ เกดิ จากการบีบตวั ของหัวใจหอ้ งลา่ งดา้ นซา้ ย ทาให้ผนงัของหลอดเลอื ดแดงขยายออกเป็นจังหวะและสามารถสัมผัสไดใ้ นบรเิ วณทห่ี ลอดเลอื ดแดงอยู่ในตาแหนง่ ตื้น ๆใกลผ้ ิวหนังตาแหน่งของหลอดเลือดทีใ่ ช้ในการตรวจชพี จร1. Temporal pulse อยู่ทีเ่ หนือและข้าง ๆ ตา บริเวณขมับ2. Carotid pulse อยดู่ ้านขา้ งของคอ คลาไดช้ ดั เจนทส่ี ดุ บริเวณมมุ ขากรรไกรล่าง3. Brachial pulse อย่ดู ้านในของกล้ามเน้อื Biceps คลาไดบ้ รเิ วณทข่ี ้อพบั แขน4. Radial pulse อยทู่ ี่ข้อมือดา้ นในบรเิ วณกระดูกปลายแขนดา้ นนอกหรือด้านหวั แม่มอื5. Femoral pulse อยู่บริเวณขาหนบี6. Popliteal pulse อยบู่ ริเวณข้อพบั เขา่7. Dorsalispedis pulse อยู่กลางหลังเท้าระหว่างนิว้ หวั แมเ่ ทา้ กับนิว้ ช้ี8. Apical pulse อยทู่ ่ยี อดของหัวใจ หนา้ อกด้านซ้ายบรเิ วณท่ตี ัง้ ของหัวใจ9. Posterior tibia pulse อยบู่ ริเวณหลังปุ่มกระดูกขอ้ เท้าดา้ นในสง่ิ ท่ีตอ้ งสงั เกตในการจบั ชีพจร 1. อัตราชพี จร (Pulse rate) 2. จงั หวะชีพจร (Pulse rhythm) 3. ความแรงของชีพจร (Pulse amplitude)ปัจจัยที่มผี ลต่อชพี จร1. อายุ : เด็กชีพจรเร็วกว่าผู้ใหญ่2. เพศ : หญิงจะเรว็ กว่าชายเลก็ นอ้ ย3. การออกกาลงั กาย : ในระหวา่ งการออกกาลังกายกล้ามเนื้อตอ้ งการออกซเิ จนเพิ่มขน้ึ จงึ ทาให้เพ่มิ การเตน้ ของหัวใจเพ่ือจะได้นาออกซิเจนไปกับกระแสเลอื ด จึงทาใหช้ พี จรเรว็ ขน้ึ 4. อารมณ์: อตั ราการเต้นของหัวใจข้นึ อยกู่ บั ระบบประสาทอัตโนมัติ ซง่ึ มอี ยู่ 2 สว่ นคือระบบประสาท Sympathetic และ Parasympathetic อารมณท์ ีเ่ กดิ ขน้ึ เชน่ ความกลัว ความโกรธ ความวติ กกงั วลการรบั รู้ความเจ็บปวด จะไปกระตุ้นระบบประสาท Sympathetic ทาใหห้ ัวใจบบี ตัวเร็วขนึ้ สาหรับการกระต้นุ ระบบประสาท Parasympathetic ทาให้หวั ใจเต้นช้าลง เชน่ ยา digitalis หากหวั ใจเตน้ เร็วเกนิ 100 คร้ัง/นาทขี ึ้นไป ในผูใ้ หญ่ถอื ว่าชพี จรเตน้ เร็ว (tachycardia) ในทางตรงข้ามถ้าหัวใจเต้นช้ากวา่ 60 ครงั้ /นาที ถอื ว่าชีพจรเตน้ ช้า (bradycardia)

หน้า | ๘ 5. ทา่ ทาง: เมอื่ อยู่ในทา่ ยืนชพี จรจะเร็วกวา่ เม่ืออย่ใู นท่านั่งหรือนอน ทงั้ นเ้ี พราะหัวใจตอ้ งบีบตวัใหเ้ ร็วขนึ้ เพือ่ สบู ฉดี เลอื ดไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกายวิธีจับชพี จรจดุ ประสงค์ เพ่ือตรวจสอบจงั หวะการเตน้ ของหวั ใจ ดูการทางานของหวั ใจเคร่ืองใช้: นาฬิกาท่มี เี ขม็ วินาทีวิธปี ฏบิ ตั ิ1. ลา้ งมอื และแจ้งใหผ้ ู้ปว่ ยทราบ2. ใช้ปลายนิ้วช้ี น้วิ กลาง และนว้ิ นาง วางลงบนตาแหน่งของหลอดเลอื ดทตี่ ้องการวัดกดเบา ๆ พอให้รูส้ ึกถงึ แรงชพี จรท่ีมากระทบ3. นบั จานวนครั้งของชีพจรนาน 1นาที พร้อมกบั สงั เกตช่วงห่างของชีพจรวา่ สมา่ เสมอหรอื ไม่ เบาหรอื แรง ความดันโลหติ (Blood pressure) ความดนั โลหติ คอื แรงดนั ของเลอื ดทีก่ ระทบกับผนงั ของหลอดเลอื ดแดงมหี นว่ ยเปน็ มิลลิเมตรปรอท(mmHg) การไหลเวียนโลหติ ของหลอดเลือดแดงทีผ่ า่ นเสน้ เลอื ดมี 2 จังหวะ คอื จังหวะทเ่ี กิดจากการหดรดั ตวัของหัวใจหอ้ งลา่ งซา้ ย เพ่อื ฉีดเลือดออกจากหัวใจ จึงเป็นความดนั ท่สี งู สดุ (Systolic pressure) และจังหวะท่ีหัวใจห้องลา่ งซา้ ยพกั (Diastolic pressure) ความแตกต่างระหว่างค่า Systolic pressure และ Diastolic pressure เรยี กวา่ ความดนั ชีพจร(Pulse pressure) เม่อื ย่างเข้าสวู่ ยั ชราคา่ ความดันโลหติ จะสงู ข้นึ โดยพบวา่ Systolic pressure จะสูงขน้ึเรือ่ ย ๆ สัมพนั ธ์กับอายทุ ่ีเพม่ิ ขึ้น ความดันโลหิตอาจจะเปลย่ี นแปลงไปจากปกตไิ ด้ ซ่ึงเปน็ ไปได้ 2 ทางดว้ ยกนั คือ 1. ความดันโลหิตสูง (Hypertension)หมายถงึ การท่มี ี Systolic pressure สูงกว่า140 มม.ปรอท และหรือ Diastolic pressure สูงกวา่ 90 มม.ปรอท ตลอดเวลา การวัดความดนั โลหิตตอ้ งวัดตั้งแต่ 3 ครัง้ ขึน้ ไป ในวาระตา่ งๆกนั โดยใหผ้ ู้ถกู วดั อยใู่ นท่าพกั อยา่ งน้อย 5 นาที แล้วนามาพจิ ารณาหาคา่ เฉล่ียของความดันโลหติ จึงกลา่ วไดว้ า่ บคุ คลนน้ั มีความดันโลหิตสูงกว่าปกติ 2. ความดันโลหิตต่า (Hypotension)หมายถงึ การท่มี ี Systolic pressure ต้ังแตห่ รือตา่ กว่า 80 มม.ปรอท อาจเกิดจากภาวะ shock ซึง่ ทาให้การไหลเวียนเลือดผิดปกติเลือดไปเลย้ี งอวัยวะตา่ ง ๆไมเ่ พยี งพอ เกิดอาการแสดงจากการทเ่ี ลือดไปเลีย้ งเนอื้ เยอื่ ลดลง สงิ่ ทคี่ วบคุมความดันเลือด มีดงั นี้ 1. จานวนเลอื ดทอี่ อกจากหัวใจ 2. ปรมิ าณเลอื ด 3. ความยืดหย่นุ ของผนังหลอดเลอื ดแดง

หน้า | ๙4. ความหนืดของเลอื ด5. ขนาดของเส้นเลอื ดปจั จยั ท่มี ีผลตอ่ ความดนั เลือด1. อายุ : ผู้สงู อายุความดนั โลหติ จะสงู ขนึ้ เนอื่ งจากความยดื หยุ่นของหลอดเลือดลดลง2. การออกกาลงั กาย : การออกกาลงั กายเปน็ การเพิม่ จานวนเลือดซ่งึ ถกู ฉดี ออกจากหวั ใจ ทาให้ความดันโลหิตสูงข้ึน3. ความเครียดทางอารมณ์และรา่ งกาย : ความเครยี ดทางอารมณ์ เช่น ความวิตกกงั วล ความกลัว ความเครยี ดทางรา่ งกาย เชน่ อาการปวดรุนแรง จะทาใหค้ วามดนั โลหิตสงู ขึน้ โดยไปกระตุ้นระบบประสาท Sympathetic ผลคอื จะไปเพิ่มจานวนเลือดทีฉ่ ีดออกจากหวั ใจและทาให้หลอดเลือดหดรดั ตวั4. เพศ: เพศชายจะมคี วามดนั โลหติ สูงกว่าเพศหญิง5. รปู ร่าง: คนอว้ นความดนั เลอื ดสงู กวา่ คนผอม6. การเปลย่ี นทา่ ทาง : ท่านอนความดันเลอื ดจะต่ากว่าท่ายนื7. อ่นื ๆ เชน่ โรค ยา อาหารและเครือ่ งดมื่วิธวี ดั ความดันโลหติเครื่องใช้: เครอื่ งวัดความดนั โลหติ (Sphygmomanometer) เครื่องฟงั ตรวจ (Stethoscope) สาลีชุบแอลกอฮอล์ 70%วิธีปฏบิ ัติ1. ลา้ งมือให้สะอาดและบอกผูป้ ่วย2. จดั ให้ผปู้ ่วยนง่ั หรือนอนในท่าที่สบาย เหยยี ดแขนผูป้ ว่ ยข้างทีจ่ ะวดั ให้อยใู่ นทา่ ท่ีสบายพรอ้ มท้งั หงายฝ่ามือขึน้ แลว้ พบั แขนเสื้อขา้ งทจี่ ะวดั เหนือข้อศอกประมาณ 5 นิว้3. วางเครือ่ งวดั ความดนั โลหิตใหแ้ ขนอยู่ในแนวระดับเดียวกบั หัวใจ โดยเฉพาะชนิดทเ่ี ป็นปรอทให้สายตาอยใู่ นระดบั เดยี วกบั มาตราท่ีจะอา่ นค่าและไมค่ วรหา่ งเกิน 3 ฟุต เพ่อื ปอ้ งกันการอา่ นค่าคลาดเคลื่อนให้ใช้ที่พนั แขน (ขนาดผ้าพันท่พี อเหมาะ) พนั รอบแขนเหนอื บริเวณหลอดเลือดแดงท่ีจะทาการวัดให้ถงุ ลมอยู่ทางดา้ นหน้าของแขน พนั ให้พอดีไม่แนน่ หรอื หลวมเกนิ ไป ตรงึ สว่ นปลายไวใ้ ห้เรยี บร้อย4. คลาชพี จรตรงหลอดเลือดแดง Brachialใหไ้ ดต้ รงตาแหน่งที่เต้นแรงทีส่ ุด แล้ววางแป้นของเคร่ืองฟัง ตรวจตรงตาแหนง่ นี้ กดเบา ๆ5. ปิดลนิ้ ระหวา่ งลกู ยางกบั สายพนั แขน บบี ลูกยางดว้ ยอุง้ มอื เพ่ือเพ่มิ แรงดนั ในเครอื่ งมือให้ระดับปรอทข้ึนสูง 150-180มม.ปรอท ถา้ ผ้ปู ่วยมคี วามดันเลือดสงู อาจบีบเพิม่ แรงดนั ในเครอ่ื งมอื ใหป้ รอทขน้ึ สงู กวา่ น้ีแลว้ แตก่ รณหี รือประมาณ20 มม.ปรอท ของความดนั ที่คาดวา่ จะเป็น6. ทาความสะอาดบรเิ วณหฟู ังและแป้นของเครอ่ื งฟงั ตรวจดว้ ยสาลีชบุ แอลกอฮอล์ 70%7. ใสเ่ คร่ืองฟงั ตรวจท่ีหทู ัง้ 2 ข้าง

หน้า | ๑๐8. ค่อย ๆ เปิดลิน้ ชา้ ๆ ใหอ้ ากาศออกมาอยา่ งชา้ ๆฟงั เสยี งแรกทไ่ี ด้ยินถือเปน็ ค่าของความดนัSystolic 9. คอ่ ย ๆ ปล่อยลมออกช้า ๆ จนกระทัง่ เสยี งหายไป หรือเสียงเปล่ยี นไปถอื เปน็ คา่ ของความดันDiastolic 10. หลังจากนปี้ ล่อยลมออกให้ปรอทหรือเข็มอยูใ่ นตาแหนง่ เริ่มตน้ ถอดผ้าพนั แขนออกพับเกบ็ ในกลอ่ งเครื่องมือให้เรียบร้อย11. ทาความสะอาดบรเิ วณหูฟัง และแป้นของเครอ่ื งฟังตรวจดว้ ยสาลชี บุ แอลกอฮอล์ 70% 12.ลา้ งมอื ใหส้ ะอาดการบนั ทกึ รายงานสญั ญาณชีพ 1. บนั ทกึ อุณหภมู ลิ งบนเสน้ กราฟ โดยใชป้ ากกาสนี ้าเงนิ จุดและลากเส้น 2. เมอื่ มีไขแ้ ละหลังใหก้ ารพยาบาล ถ้าไข้ลดลงให้เขยี นเสน้ ประหรือเสน้ จดุ ไขป่ ลาจากจุดเดมิ ทีอ่ า่ นไดล้ งมาในชว่ งเวลาเดยี วกนั 3. บนั ทกึ ชพี จรเปน็ จดุ และลากเสน้ ตอ่ กนั ด้วยหมึกสีแดงบนเส้นกราฟ 4. บนั ทึกจานวนครงั้ ของการหายใจ (ต่อนาท)ี ลงในชอ่ ง Respiration และบนั ทึกความดันโลหติ ลงในช่อง B.P. Systolic และ B.P. Diastolic ตามแนวชอ่ งวันและเวลาน้นั ๆ สรปุ การประเมินสัญญาณชีพ สามารถทาให้ทราบถงึ สญั ญาณเตอื นของความผิดปกติในร่างกายซงึ่ อาจจะเกดิ ได้ พยาบาลเป็นบุคคลทอี่ ยใู่ กล้กับผ้ปู ว่ ยตลอดเวลา สามารถตัดสินใจปฏิบตั กิ ารพยาบาลเกีย่ วกบั การประเมินสญั ญาณชพี ได้ และบันทกึ รายงานอาการเปลย่ี นแปลงอย่างตอ่ เนื่องจะทาให้ผู้ปว่ ยได้รับการวินิจฉัยและรับการรักษาได้รวดเร็วมปี ระสิทธภิ าพมากขึน้ ……………………………………………………….

หน้า | ๑๑ บรรณานกุ รมณัฐสุรางค์ บุญจันทร์และอรณุ รตั น์ เทพนา (บรรณาธกิ าร. (2559).ทกั ษะพื้นฐานทางการพยาบาล. กรุงเทพฯ:โครงการตาราคณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลยั มหดิ ล.เรณู สอนเครอื . (บรรณาธกิ าร). (2552แ)น. วคดิ พืน้ ฐานและหลกั การพยาบาล เลม่ 1(.พิมพค์ ร้ังท่ี 9). นนทบรุ: ี โครงการสวัสดิการวชิ าการ สถาบันพระบรมราชชนก.สริ ริ ัตน์ ฉตั รชัยสุชา ปรางค์ทิพย์ อจุ ะรตั น และ ณัฐสุรางค์ บุญจนั ทร์.(บรรณาธิการ). (2553). ทักษะ พ้ืนฐานทางการพยาบาล: Basic skills in nursing. (พิมพ์ครง้ั ที่ ๓.). กรุงเทพฯ: ภาควชิ าการ พยาบาลรากฐาน คณะพยาบาลศาสตร์มหาวิทยาลยั มหิดลสปุ าณี เสนาดสิ ยั และวรรณภา ประไพพานิช . (บรรณาธกิ าร).(๒๕๕๔). การพยาบาลพ้นื ฐาน แนวคดิ และ การปฏิบตั ิ.(พมิ พค์ ร้ังท๑่ี ๓).กรุงเทพฯ : จุดทอง.สมุ าลี โพธทิ อง และคณะ (บรรณาธิการ). (๒๕๕๗). การพยาบาลพ้นื ฐาน เลม่ ๑. กรงุ เทพฯ: คณะพยาบาล ศาสตร์เกอ้ื การุณย์.อภิญญา เพียรพิจารณ์.(๒๕๕๓).ค่มู ือปฎบิ ตั ิการพยาบาล เล่ม ๑.(พิมพค์ รง้ั ที่ ๔) .นนทบรุ ี :โครงการสวัสดิการ วิชาการ สถาบันพระบรมราชชนก.Kockrow Christensen. (2011). Fundamentals of Nursing. St. Louis, Missouri: Mosby.Potter&Perry. (2013). Fundamentals of Nursing. St. Louis, Missouri: Mosby. …………………………………………….


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook