พันธะโคเวเลนต์ COVALENT ครูวราภรณ์ ปฏิโค BOND กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โรงเรียนเบญจมราชูทิศ จังหวัดจันทบุรี
พันธะโคเวเลนต์ 4 COVALENT รูปรา่ งโมเลกลุ โคเวเลนต์ BOND 5 1 สภาพข้วั ของโมเลกุลโคเวเลนต์ การเกิดพันธะโคเวเลนต์ 6 2 แรงยึดเหนีย่ วระหว่างโมเลกุล สูตรโมเลกุลและช่อื ของสารโคเวเลนต์ และสมบัติของสารโคเวเลนต์ 3 7 ความยาวพนั ธะและพลงั งานพนั ธะ สารโคเวเลนตโ์ ครงรา่ งตาขา่ ย
พันธะโคเวเลนต์ COVALENT BOND การเกิดพันธะโคเวเลนต์ ธาตุอโลหะมคี ่า EN สงู ดังนัน้ เมอื่ รวมตัวกัน จะไม่มีอะตอมใดยอมเสียอิเล็กตรอน อะตอม จึงยึดเหนี่ยวกันโดยใช้เวเลนซ์อิเล็กตรอน ร่ ว ม กั น เ รี ย ก ว่ า พั น ธ ะ โ ค เ ว เ ล น ต์ (covalent bond) และเรียกสารท่ีอะตอมยึดเหนี่ยวกันด้วย พั น ธ ะ โ ค เ ว เ ล น ต์ ว่ า ส า ร โ ค เ ว เ ล น ต์ (covalent compound) ซงึ่ ส่วนใหญ่อยู่ใน รปู โมเลกลุ
พันธะโคเวเลนต์ COVALENT BOND การเกิดพันธะโคเวเลนต์ พันธะเดยี่ ว (Single Bond) อิเลก็ ตรอนค่รู ่วมพนั ธะ อิเล็กตรอนคู่โดดเดี่ยว อะตอมใชเ้ วเลนซ์อิเลก็ ตรอนรว่ มกัน 1 คู่ พันธะคู่ (Double Bond) อะตอมใชเ้ วเลนซ์อเิ ล็กตรอนร่วมกัน 2 คู่ พนั ธะสาม (Triple Bond) อะตอมใช้เวเลนซ์อิเล็กตรอนร่วมกัน 3 คู่ “เพื่อใหเ้ ป็นไปตามกฎออกเตต”
พันธะโคเวเลนต์ COVALENT BOND การเกิดพันธะโคเวเลนต์ I I II e- ค่รู ่วมพนั ธะ 1 คู่ = พนั ธะเดย่ี ว e- ครู่ ว่ มพันธะ 2 คู่ = พันธะคู่ I 1 อะตอม I 1 อะตอม I2 โมเลกุล e- ครู่ ว่ มพันธะ 3 คู่ = พนั ธะสาม O O OO O 1 อะตอม O 1 อะตอม O2 โมเลกุล N N NN N 1 อะตอม N 1 อะตอม N2 โมเลกุล
พันธะโคเวเลนต์ COVALENT BOND การเกิดพันธะโคเวเลนต์ Ammonia (NH3) Ethyne (C2H2)
พันธะโคเวเลนต์ COVALENT BOND การเกิดพันธะโคเวเลนต์ การเกดิ พันธะโคเวเลนตส์ ามารถเขียนแสดง ไดด้ ว้ ยโครงสร้างลวิ อสิ (Lewis structure) ซึ่งแสดงอเิ ลก็ ตรอนค่รู ว่ มพันธะด้วยจดุ หรือ เสน้ และแสดงอิเลก็ ตรอนคโู่ ดดเด่ียวด้วยจุด ➢ เสน้ 1 เส้น (−) แทน e คูร่ ่วมพันธะ 1 คู่ ➢ เสน้ 2 เสน้ (=) แทน e ค่รู ่วมพันธะ 2 คู่ ➢ เส้น 3 เส้น () แทน e คู่รว่ มพนั ธะ 3 คู่
พันธะโคเวเลนต์ COVALENT BOND การเกิดพันธะโคเวเลนต์ ตวั อย่างโครงสร้างลิวอสิ ของโมเลกลุ โคเวเลนต์บางชนดิ โมเลกลุ ท่ปี ระกอบดว้ ยอะตอมมากกวา่ 2 อะตอม อะตอมกลางจะเป็นธาตทุ ีต่ ้องการจานวน e- มากท่สี ดุ เพ่ือให้เปน็ ไปตามกฎออกเตต ………………………………………………………………….. *ในกรณีที่มีธาตุท่ตี อ้ งการจานวน e เทา่ กัน ธาตุ ทม่ี ีคา่ EN ตา่ สุดจะเป็นอะตอมกลาง ..........................................................................
พันธะโคเวเลนต์ COVALENT BOND พนั ธะโคออร์ดิเนตโคเวเลนต์ การเกิดพันธะโคเวเลนต์ พันธะโคเวเลนตท์ เ่ี กดิ จากการใช้ อเิ ลก็ ตรอนร่วมกนั โดยท่ีอเิ ลก็ ตรอนคู่ นน้ั มาจากอะตอมใดอะตอมหนง่ึ เพียง อะตอมเดยี ว
พันธะโคเวเลนต์ COVALENT BOND การเกิดพันธะโคเวเลนต์ ตัวอย่างการเกิดพันธะโคออร์ดิเนตโคเวเลนต์
พันธะโคเวเลนต์ COVALENT BOND การเกิดพันธะโคเวเลนต์ โมเลกลุ ท่ไี ม่เปน็ ไปตามกฎออกเตต โมเลกุลที่ไมเ่ ปน็ ไปตามกฎออกเตต อะตอมกลางมีจานวนอเิ ล็กตรอนล้อมรอบ อะตอมกลางมีจานวนอิเลก็ ตรอนลอ้ มรอบ นอ้ ยกวา่ 8 อเิ ลก็ ตรอน มากกว่า 8 อเิ ลก็ ตรอน Cl F F F Cl S Cl F F Cl Cl Cl P SCl6 PF5
พันธะโคเวเลนต์ COVALENT BOND สูตรโมเลกุลและช่ือของสารโคเวเลนต์ 1. เขยี นสญั ลกั ษณข์ องธาตเุ รียงตามลาดับจากคา่ EN น้อยไปมาก ดงั นี้ B Si C Sb As P N H Te Se S At I Br Cl O F 2. ระบจุ านวนอะตอมของธาตใุ นสารประกอบ โดยเขยี นตัวเลขไว้มุมลา่ งขวา 3. ใช้จานวนอเิ ล็กตรอนทีแ่ ตล่ ะอะตอมตอ้ งการคูณไขวก้ ัน และทาให้เปน็ อตั ราสว่ นอยา่ งต่า (เฉพาะโมเลกุลที่เป็นไปตามกฎออกเตต) เช่น C4 C1l 1H O2 N3 H1 C4 O2 1:4 2:1 1:3 2:4 CCl4 H2O NH3 CO2
พันธะโคเวเลนต์ COVALENT BOND สูตรโมเลกุลและชื่อของสารโคเวเลนต์ 1. สารโคเวเลนตท์ ่ีประกอบดว้ ยธาตชุ นิดเดยี ว เรียกตามชอ่ื ธาตนุ ั้น โดยระบสุ ถานะดว้ ย เช่น O2 เรียกว่า แก๊สออกซเิ จน (oxygen gas) 2. สารโคเวเลนตท์ ี่ประกอบดว้ ยธาตุ 2 ชนดิ ให้เรยี กชื่อธาตตุ ามลาดับท่ีปรากฏในสตู รโมเลกุล โดยเปลย่ี นพยางคท์ า้ ยเป็น ไ-ด์ (-ide) และระบุจานวนอะตอมของธาตอุ งคป์ ระกอบในโมเลกลุ ดว้ ยคาในภาษากรกี
พันธะโคเวเลนต์ COVALENT BOND สูตรโมเลกุลและช่ือของสารโคเวเลนต์ 3. กรณีที่ธาตุแรกมเี พียงอะตอมเดียว ไม่ตอ้ งระบุจานวนอะตอมของธาตนุ น้ั เชน่ CO2 เรยี กว่า carbon dioxide แต่ถา้ ธาตหุ ลงั มีเพยี งอะตอมเดยี วกต็ อ้ งระบจุ านวนอะตอม เชน่ ClF เรยี กวา่ chlorine monofluoride 4. การเรยี กช่อื สารประกอบออกไซด์ นยิ มเรียกชอ่ื โดยตัดสระตัวสุดทา้ ยของคาที่ระบจุ านวนอะตอมออก เช่น CO นิยมเรียกว่า carbon monoxide 5. สารบางชนิดมชี อื่ เรยี กไม่เปน็ ไปตามหลกั การข้างต้นครบทกุ ประการ เช่น HCl นยิ มเรียกวา่ hydrogen chloride
พันธะโคเวเลนต์ COVALENT BOND สูตรโมเลกุลและชื่อของสารโคเวเลนต์ ตัวอย่างสูตรโมเลกุลและการเรียกช่ือสารโคเวเลนต์
พันธะโคเวเลนต์ COVALENT BOND เม่ืออะตอมไฮโดรเจน 2 อะตอมเคล่ือนทีเ่ ขา้ ความยาวพันธะและพลังงานพันธะของสารโคเวเลนต์ ใกล้กนั จะเกดิ ... - แรงดึงดูดระหวา่ ง e- ของอะตอมหนึ่ง แรงดึงดดู ทาให้พลังงานศกั ยล์ ดลง กบั p+ ในนวิ เคลียสของอีกอะตอมหนง่ึ แรงผลกั ทาใหพ้ ลงั งานศกั ยเ์ พมิ่ ข้ึน - แรงผลักระหวา่ ง p+ กบั p+ และ e- กับ e- ของอะตอมทงั้ สอง แรงผลัก > แรงดึงดูด ผลรวมพลังงานศักยต์ ่าท่ีสดุ เมอื่ ระยะห่าง ทาให้พลงั งานศกั ยร์ วมเพ่ิมขึน้ ระหว่างนิวเคลยี สทั้งสองเหมาะสมในการ สรา้ งพนั ธะ แรงดึงดูด > แรงผลกั ทาให้พลงั งานศักยร์ วมลดลง 436 ระยะหา่ งระหว่างนวิ เคลียสท่ีทาใหพ้ ลงั งานศกั ยร์ วมต่าที่สุด กราฟแสดงการเปล่ียนแปลงพลังงานในการเกิดโมเลกุลแก๊สไฮโดรเจน
พันธะโคเวเลนต์ COVALENT BOND ความยาวพันธะและพลังงานพันธะของสารโคเวเลนต์ ความยาวพันธะ (bond length) : ระยะหา่ งระหว่างนิวเคลยี สทท่ี าให้พลังงานศกั ยร์ วมตา่ ท่ีสุด ความยาวพันธะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตาม ขนาดอะตอมคู่ร่วมพันธะและการใช้ อิเล็กตรอนรว่ มกัน สาหรับอะตอมคู่ร่วมพันธะเดียวกัน เม่อื เปรียบเทยี บความยาวพันธะ พันธะเดีย่ ว > พนั ธะคู่ > พันธะสาม
พันธะโคเวเลนต์ COVALENT BOND ความยาวพันธะและพลังงานพันธะของสารโคเวเลนต์ ตาราง : ความยาวพนั ธะระหวา่ ง O − H ในโมเลกุลของสารต่างชนิดกัน สาร โครงสร้างลวิ อสิ ความยาวพันธะ O-H (pm) นา้ (H2O) 95.8 เมทานอล (CH3OH) 95.6 กรดไนตรัส (HNO2) 98.0 ความยาวพันธะชนดิ เดียวกันระหวา่ งอะตอมคู่เดียวกนั อาจไมเ่ ท่ากันในสารตา่ งชนิดกนั ดงั นัน้ ในการประมาณความยาวพนั ธะระหว่างอะตอมคหู่ นึง่ ๆ นยิ มใช้ ความยาวพันธะเฉลย่ี
พันธะโคเวเลนต์ COVALENT BOND ความยาวพันธะและพลังงานพันธะของสารโคเวเลนต์ การเคลอ่ื นยา้ ยตาแหนง่ ของอเิ ลก็ ตรอนคู่ร่วมพนั ธะในโมเลกุลทีเ่ ขยี นโครงสรา้ งลวิ อสิ ไดม้ ากกว่า 1 แบบ เรียกว่า เรโซแนนซ์ (resonance) โครงสร้างเรโซแนนซ์ (resonance structure) โครงสร้างเรโซแนนซ์ผสม (resonance hybrid) ความยาวพนั ธะระหวา่ งออกซเิ จนมคี ่าเท่ากบั 128 pm เพยี งคา่ เดียว (ซง่ึ เปน็ คา่ ท่ีอยรู่ ะหว่างความยาวพันธะ O−O 148 pm และพันธะ O=O 121 pm)
พันธะโคเวเลนต์ COVALENT BOND ความยาวพันธะและพลังงานพันธะของสารโคเวเลนต์ พลงั งานพนั ธะ พลงั งานปรมิ าณนอ้ ยทส่ี ุดทีใ่ ชส้ ลายพนั ธะระหวา่ งอะตอมคูร่ ว่ มพนั ธะ (bond energy) ในโมเลกลุ สถานะแก๊สใหเ้ ปน็ อะตอมเดีย่ วในสถานะแก๊ส การสลายพันธะระหว่างอะตอมไฮโดรเจน ตอ้ งใชพ้ ลงั งานอยา่ งนอ้ ย 436 kJ/mol H2(g) + 436 kJ/mol 2H(g) การสรา้ งพันธะระหว่างอะตอมไฮโดรเจนเกิดเปน็ โมเลกลุ จะคายพลงั งาน 436 kJ/mol 2H(g) H2(g) + 436 kJ/mol
พันธะโคเวเลนต์ COVALENT BOND ความยาวพันธะและพลังงานพันธะของสารโคเวเลนต์ ตวั อยา่ งการสลายโมเลกลุ ของ CH4 จะตอ้ งใชพ้ ลงั งานเพ่อื สลายพนั ธะ C − H ดังน้ี CH4(g) + 423 kJ/mol CH3(g) + H(g) CH3(g) + 368 kJ/mol CH2(g) + H(g) CH2(g) + 519 kJ/mol CH (g) + H(g) CH (g) + 335 kJ/mol C(g) + H(g) การสลายพันธะ C − H แตล่ ะพันธะใช้พลังงานไมเ่ ทา่ กัน ดงั น้ันการประมาณพลงั งานพันธะระหว่าง อะตอมคหู่ นึง่ ๆ โดยทัว่ ไปนิยมใช้ พลงั งานพนั ธะเฉลย่ี (average bond energy)
พันธะโคเวเลนต์ COVALENT BOND ความยาวพันธะและพลังงานพันธะของสารโคเวเลนต์ การเปรยี บเทียบความแขง็ แรงของพนั ธะ พนั ธะสาม > พันธะคู่ > พันธะเด่ียว ถ้าพจิ ารณาอะตอมคูร่ ว่ มพันธะเดยี วกนั เปรียบเทียบได้ดังน้ี ❖ พลังงานพนั ธะ : พนั ธะสาม > พนั ธะคู่ > พนั ธะเดี่ยว ❖ ความยาวพนั ธะ : พันธะเดี่ยว > พนั ธะคู่ > พันธะสาม ตารางแสดงคา่ ความยาวพันธะและพลงั งานพันธะเฉลีย่
พันธะโคเวเลนต์ COVALENT BOND ความยาวพันธะและพลังงานพันธะของสารโคเวเลนต์ ปฏิกิริยาเคมี การสลายพันธะเป็นกระบวนการดดู พลังงาน (E1) มคี า่ เปน็ บวก (+) การสรา้ งพันธะเป็นกระบวนการคายพลงั งาน (E2) มีคา่ เปน็ ลบ (-) เก่ียวข้องกับกระบวนการ สลายพันธะในสารต้ังต้น พลงั งานของปฏิกิริยา H = E1 + E2 และการสร้างพันธะเกิดเป็น ผลิตภัณฑ์ H มีเครือ่ งหมายเป็นบวก (+) H มีเคร่ืองหมายเป็นลบ (-) ปฏกิ ิริยาดูดพลังงาน ปฏกิ ิรยิ าคายพลังงาน
พันธะโคเวเลนต์ COVALENT BOND ความยาวพันธะและพลังงานพันธะของสารโคเวเลนต์ ตวั อยา่ งที่ 1 ปฏกิ ิริยาเคมตี ่อไปน้ี มกี ารเปลีย่ นแปลงพลงั งานแบบใด CCl4(g) C(g) + 4Cl(g)
พันธะโคเวเลนต์ COVALENT BOND ความยาวพันธะและพลังงานพันธะของสารโคเวเลนต์ ตวั อย่างที่ 2 คานวณพลังงานของปฏิกิริยาต่อไปน้ี และบอกดว้ ยวา่ ปฏิกิริยานี้เปน็ การเปลยี่ นแปลงพลงั งานแบบใด H2(g) + F2(g) 2HF (g)
พันธะโคเวเลนต์ COVALENT BOND ความยาวพันธะและพลังงานพันธะของสารโคเวเลนต์ ตวั อยา่ งที่ 3 คานวณพลังงานของปฏกิ ิริยาต่อไปน้ี และบอกด้วยว่าปฏกิ ริ ยิ านเี้ ปน็ การเปลี่ยนแปลงพลังงานแบบใด H3C − CH3(g) + (H − H)(g) 2CH4(g)
พันธะโคเวเลนต์ COVALENT BOND ความยาวพันธะและพลังงานพันธะของสารโคเวเลนต์ ตัวอย่างท่ี 4 คานวณพลังงานของปฏิกิริยาต่อไปน้ี และบอกด้วยวา่ ปฏกิ ิริยานเ้ี ปน็ การเปล่ยี นแปลงพลงั งานแบบใด CH4(g) + 4Cl2(g) CCl4(g) + 4HCl(g)
พันธะโคเวเลนต์ COVALENT BOND ความยาวพันธะและพลังงานพันธะของสารโคเวเลนต์ ตัวอย่างที่ 5 คานวณพลงั งานของปฏิกริ ิยาตอ่ ไปน้ี และบอกดว้ ยว่าปฏกิ ริ ิยานี้เปน็ การเปล่ยี นแปลงพลงั งานแบบใด CH4(g) + 2O2(g) CO2(g) + 2H2O(g)
รูปรา่ งโมเลกลุ โคเวเลนต์ Covalent Bond
พันธะโคเวเลนต์ COVALENT BOND รูปร่างโมเลกุลโคเวเลนต์ กจิ กรรม 3.2 การจัดตวั ของลูกโป่งกบั รูปรา่ งโมเลกุลโคเวเลนต์ 1. เป่าลกู โป่งสีที่หนง่ึ 6 ลูก ใหม้ ขี นาดเท่า ๆ กัน และผูกขวั้ แต่ละลกู ไวใ้ ห้แนน่ โดยไมใ่ ช้ยางหรือเชือกรดั 2. ผูกขัว้ ลกู โปง่ ทเ่ี ปา่ แล้วเข้าด้วยกนั 2 ลกู และวาดรูปการจดั เรยี งตวั ของลูกโป่ง 3. วาดอะตอมและพันธะซอ้ นทบั ลงบนรูปลกู โปง่ โดยใชเ้ งื่อนไขดังน้ี - ขว้ั ของลกู โป่งที่ผูกตดิ กนั แทนตาแหน่งของอะตอมกลาง - ปลายของลกู โป่งแต่ละลกู แทนตาแหนง่ ของอะตอมล้อมรอบ - เส้นตรงท่ีเชอื่ มระหวา่ งอะตอมกลางกับอะตอมลอ้ มรอบแทนพนั ธะ 4. วาดรปู ทรงเรขาคณิตของรปู รา่ งโมเลกุลท่ไี ด้ โดยลากเสน้ เช่อื มระหวา่ งอะตอมล้อมรอบอะตอมกลาง 5. ทาซ้าขอ้ 2 – 4 โดยใชล้ กู โปง่ ผูกขว้ั ตดิ กนั 3 4 5 และ 6 ลูก โดยเพิ่มทีละลกู ตามลาดับ และพยายามจัดกลุม่ ลกู โปง่ ใหม้ ีสมมาตรในสามมิตมิ ากท่ีสดุ
พันธะโคเวเลนต์ COVALENT BOND รูปร่างโมเลกุลโคเวเลนต์ กิจกรรม 3.2 การจดั ตัวของลกู โปง่ กับรปู ร่างโมเลกลุ โคเวเลนต์ 13 5 ผูกลกู โป่ง 2 ลูก ผกู ลูกโป่ง 4 ลูก ผกู ลกู โป่ง 6 ลูก 2 4 ผูกลกู โป่ง 3 ลูก ผกู ลกู โป่ง 5 ลูก Octahedral
พันธะโคเวเลนต์ COVALENT BOND รูปร่างโมเลกุลโคเวเลนต์ กจิ กรรม 3.2 การจดั ตวั ของลูกโป่งกับรปู ร่างโมเลกุลโคเวเลนต์ 1. เป่าลูกโป่งสที ่ีหนึ่ง 2 ลกู และลูกโปง่ สีที่สอง 2 ลกู ผูกขั้วแต่ละลูกไว้ใหแ้ นน่ โดยไมใ่ ชย้ างหรือเชือกรดั 2. ผกู ขว้ั ลูกโป่งทีเ่ ปา่ แลว้ ทงั้ 4 ลูก เข้าดว้ ยกนั และวาดรูปการจดั เรยี งตวั ของลูกโป่ง 3. วาดอะตอมและพนั ธะซอ้ นทบั ลงบนรปู ลกู โป่ง โดยใชเ้ ง่ือนไขดังนี้ - ขั้วของลกู โป่งท่ีผูกตดิ กันแทนตาแหน่งของอะตอมกลาง - ปลายของลูกโปง่ สที ี่หนึ่งแต่ละลกู แทนตาแหน่งของอะตอมล้อมรอบ - เส้นตรงท่ีเชือ่ มระหว่างอะตอมกลางกบั อะตอมล้อมรอบแทนพนั ธะ - ลกู โป่งสที ส่ี องแต่ละลกู แทนอเิ ล็กตรอนคู่โดดเดีย่ ว
พันธะโคเวเลนต์ COVALENT BOND รูปร่างโมเลกุลโคเวเลนต์ กจิ กรรม 3.2 การจดั ตวั ของลูกโป่งกบั รูปร่างโมเลกุลโคเวเลนต์ 13 5 ผูกลกู โป่ง 2 ลูก 4 ผกู ลกู โป่ง 4 ลกู ผกู ลกู โปง่ 6 ลูก 2 6 ผูกลกู โปง่ 4 ลูก สลี ะ 2 ลกู !! ผูกลูกโปง่ 5 ลูก ผูกลกู โปง่ 3 ลูก
พันธะโคเวเลนต์ COVALENT BOND รูปร่างโมเลกุลโคเวเลนต์ จากกิจกรรมตอนที่ 1 ลกู โป่งเป็นตัวแทนของกลุ่มหมอกอเิ ล็กตรอนคู่รว่ มพันธะ ซึ่งจะผลักกนั ทาใหไ้ ดท้ ศิ ทางของพนั ธะ อย่หู า่ งกันมากทีส่ ุด เกดิ เป็นรปู ร่างโมเลกุล ในลักษณะเดียวกับการจัดตัวของลกู โป่งเป็นรปู รา่ งต่าง ๆ ที่มสี มมาตร จากกจิ กรรมตอนท่ี 2 ลกู โป่งต่างสใี ช้แทนอิเลก็ ตรอนคู่รว่ มพนั ธะและอเิ ลก็ ตรอนคู่โดดเดยี่ ว ซง่ึ รูปร่างโมเลกลุ พจิ ารณาจากตาแหน่งของอะตอมทั้งหมด **โดยไมน่ าตาแหน่งของอเิ ล็กตรอนคู่โดดเด่ียวมาพิจารณา
พันธะโคเวเลนต์ COVALENT BOND รูปร่างโมเลกุลโคเวเลนต์ ทฤษฎกี ารผลกั ระหว่างคอู่ ิเลก็ ตรอนในวงเวเลนซ์ [Valence Shell Electron Pair Repulsion theory เขียนแบบยอ่ เป็น VSEPR theory] โดยทฤษฎี VSEPR มหี ลกั การว่า อเิ ลก็ ตรอนคู่โดดเด่ียวอยู่ใกล้นิวเคลยี สมากกวา่ อิเล็กตรอนครู่ ่วมพนั ธะ ดังน้นั ... แรงผลกั อเิ ล็กตรอน อเิ ล็กตรอน อเิ ลก็ ตรอน คู่โดดเดย่ี ว คู่โดดเด่ียว คู่รว่ มพันธะ กับ กับ กับ อิเลก็ ตรอน อเิ ล็กตรอน อเิ ล็กตรอน คู่โดดเด่ียว ครู่ ว่ มพนั ธะ ค่รู ่วมพันธะ
พันธะโคเวเลนต์ COVALENT BOND รูปร่างโมเลกุลโคเวเลนต์ กรณที ี่ 1 : อะตอมกลางไม่มอี ิเล็กตรอนค่โู ดดเดยี่ ว (สตู รท่ัวไป ABx ) AB2 : รปู ร่างแบบเสน้ ตรง (linear) อะตอมกลางมอี ิเลก็ ตรอนครู่ ่วมพันธะ 2 คู่ แตล่ ะคผู่ ลกั กนั เพอ่ื ให้หา่ งกันมากท่สี ดุ เปน็ มมุ ระหวา่ งพนั ธะเทา่ กบั 180o เชน่ BeCl2 HCN CO2 C2H2
พันธะโคเวเลนต์ COVALENT BOND รูปร่างโมเลกุลโคเวเลนต์ กรณที ่ี 1 : อะตอมกลางไมม่ ีอเิ ลก็ ตรอนคู่โดดเดยี่ ว (สตู รทว่ั ไป ABx ) AB3 : รูปร่างแบบสามเหล่ยี มแบนราบ (trigonal planar) อะตอมกลางมีอเิ ลก็ ตรอนค่รู ่วมพันธะ 3 คู่ แต่ละค่ผู ลกั กนั หา่ งกนั มากท่สี ดุ เป็นมุมระหว่างพนั ธะเทา่ กบั 120o เช่น BF3 SO3 NO3-
พันธะโคเวเลนต์ COVALENT BOND รูปร่างโมเลกุลโคเวเลนต์ กรณีท่ี 1 : อะตอมกลางไมม่ อี เิ ลก็ ตรอนคโู่ ดดเดย่ี ว (สูตรทั่วไป ABx ) AB4 : รูปรา่ งแบบทรงสห่ี น้า (tetrahedral) อะตอมกลางมีอิเล็กตรอนค่รู ว่ มพันธะ 4 คู่ แต่ละคู่ผลักกนั ห่างมากที่สดุ เปน็ มมุ ระหว่างพันธะเทา่ กบั 109.5o เช่น CH4 SiCl4 SO42- NH4+
พันธะโคเวเลนต์ COVALENT BOND รูปร่างโมเลกุลโคเวเลนต์ กรณที ่ี 1 : อะตอมกลางไม่มีอเิ ล็กตรอนคู่โดดเด่ียว (สตู รทัว่ ไป ABx ) AB5 : รปู รา่ งแบบพีระมดิ คฐู่ านสามเหลีย่ ม (trigonal bipyramidal) อะตอมกลางมีอิเล็กตรอนคู่รว่ มพันธะ 5 คู่ แตล่ ะคูผ่ ลกั กนั ห่างมากที่สดุ เป็นมมุ ระหว่างพันธะเทา่ กบั 90o และ 120o เช่น PCl5 SbI5
พันธะโคเวเลนต์ COVALENT BOND รูปร่างโมเลกุลโคเวเลนต์ กรณที ่ี 1 : อะตอมกลางไม่มอี เิ ลก็ ตรอนค่โู ดดเดย่ี ว (สูตรทว่ั ไป ABx ) AB6 : รปู ร่างแบบทรงแปดหน้า (octahedral) อะตอมกลางมอี ิเล็กตรอนค่รู ่วมพนั ธะ 6 คู่ แตล่ ะคผู่ ลกั กนั หา่ งมากทส่ี ดุ เปน็ มมุ ระหวา่ งพันธะเทา่ กบั 90o เช่น SF6 SiF62-
พันธะโคเวเลนต์ COVALENT BOND รูปร่างโมเลกุลโคเวเลนต์ กรณที ี่ 2 : อะตอมกลางมีอเิ ล็กตรอนคูโ่ ดดเดี่ยว (สูตรทั่วไป ABxEy) AB2E กบั AB2E2 : รปู ร่างแบบมุมงอ (bent หรือ V-shaped) อะตอมกลางมีอิเลก็ ตรอนคู่รว่ มพนั ธะ 2 คู่ และอิเล็กตรอนคู่โดดเด่ยี ว 1 หรือ 2 คู่ แต่ละคู่จะผลกั กัน ให้หา่ งมากทสี่ ดุ ยง่ิ อเิ ล็กตรอนคู่โดดเดี่ยวมาก มมุ ระหว่างพันธะยงิ่ น้อย เชน่ SO2 H2O Cl2O H2S
พันธะโคเวเลนต์ COVALENT BOND รูปร่างโมเลกุลโคเวเลนต์ กรณที ่ี 2 : อะตอมกลางมีอิเล็กตรอนคโู่ ดดเดยี่ ว (สูตรทัว่ ไป ABxEy) AB3E : รูปร่างแบบพีระมิดฐานสามเหล่ียม (trigonal pyramidal) อะตอมกลางมีอเิ ล็กตรอนครู่ ว่ มพนั ธะ 3 คู่ และอเิ ลก็ ตรอนค่โู ดดเดี่ยว 1 คู่ แตล่ ะคู่จะผลกั กนั ใหห้ า่ งมากทีส่ ุด มมุ ระหวา่ งพันธะนอ้ ยกวา่ 109.50 เชน่ NH3 NCl3 SO32- PH3
พันธะโคเวเลนต์ COVALENT BOND รูปร่างโมเลกุลโคเวเลนต์ กรณีที่ 2 : อะตอมกลางมีอเิ ลก็ ตรอนค่โู ดดเด่ยี ว (สูตรทวั่ ไป ABxEy) AB4E : รูปร่างแบบทรงสี่หน้าบิดเบ้ยี ว (distorted tetrahedral หรอื see-saw) อะตอมกลางมอี ิเล็กตรอนคูร่ ่วมพนั ธะ 4 คู่ และอิเลก็ ตรอนคู่โดดเดยี่ ว 1 คู่ แตล่ ะคู่จะผลกั กนั ให้ห่างมากทส่ี ดุ เชน่ SF4 TeCl4 XeO2F2 SeF4
พันธะโคเวเลนต์ COVALENT BOND รูปร่างโมเลกุลโคเวเลนต์ กรณีที่ 2 : อะตอมกลางมีอิเลก็ ตรอนคู่โดดเด่ียว (สตู รท่ัวไป ABxEy) AB3E2 : รูปร่างแบบรปู ตัวที (T-shaped) อะตอมกลางมอี เิ ล็กตรอนครู่ ่วมพนั ธะ 3 คู่ และอเิ ลก็ ตรอนค่โู ดดเด่ยี ว 2 คู่ แตล่ ะคจู่ ะ ผลักกันให้ห่างมากทส่ี ุด เช่น ClF3 BrF3
พันธะโคเวเลนต์ COVALENT BOND รูปร่างโมเลกุลโคเวเลนต์ กรณีที่ 2 : อะตอมกลางมีอิเลก็ ตรอนคู่โดดเด่ยี ว (สูตรท่วั ไป ABxEy) AB2E3 : รปู รา่ งแบบเสน้ ตรง (linear) อะตอมกลางมอี เิ ลก็ ตรอนคูร่ ว่ มพันธะ 2 คู่ และอเิ ลก็ ตรอนคู่โดดเดยี่ ว 3 คู่ แต่ละคจู่ ะผลกั กนั ใหห้ ่างมากทสี่ ดุ มมุ ระหว่างพันธะเป็น 1800 เชน่ XeF2 I3- ICl2-
พันธะโคเวเลนต์ COVALENT BOND รูปร่างโมเลกุลโคเวเลนต์ กรณีที่ 2 : อะตอมกลางมอี ิเล็กตรอนค่โู ดดเดีย่ ว (สตู รท่วั ไป ABxEy) AB5E : รูปรา่ งแบบพรี ะมิดฐานสเ่ี หล่ยี ม (square pyramidal) อะตอมกลางมอี ิเล็กตรอนค่รู ว่ มพันธะ 5 คู่ และอเิ ลก็ ตรอนคู่โดดเดย่ี ว 1 คู่ แต่ละคู่จะผลกั กนั ให้ห่างมากที่สุด เช่น BrF5 IF5 XeOF4
พันธะโคเวเลนต์ COVALENT BOND รูปร่างโมเลกุลโคเวเลนต์ กรณที ี่ 2 : อะตอมกลางมีอิเลก็ ตรอนคู่โดดเด่ียว (สตู รท่วั ไป ABxEy) AB4E2 : รูปร่างแบบส่เี หลย่ี มแบนราบ (square planar) อะตอมกลางมีอเิ ล็กตรอนคู่รว่ มพันธะ 4 คู่ และอิเลก็ ตรอนคู่โดดเด่ยี ว 2 คู่ แต่ละคู่จะผลักกันใหห้ า่ งมากท่ีสุด มุมระหวา่ งพันธะ 900 เช่น XeF4 BrF4-
พันธะโคเวเลนต์ COVALENT BOND รูปร่างโมเลกุลโคเวเลนต์ สตู รท่วั ไป รูปร่าง 1 lone pair 2 lone pair 3 lone pair AB2 เสน้ ตรง เสน้ ตรง AB3 สามเหลี่ยม มมุ งอ มมุ งอ แบนราบ ลองจาดูนะ AB4 ทรงสีห่ น้า พีระมดิ ฐาน T-shape สามเหลี่ยม AB5 พรี ะมิดคฐู่ าน สามเหลยี่ ม seesaw สี่เหลีย่ ม AB6 ทรงแปดหน้า แบนราบ พีระมดิ ฐาน สี่เหลี่ยม
พันธะโคเวเลนต์ COVALENT BOND รูปร่างโมเลกุลโคเวเลนต์ ลองจาแบบ น้ีกไ็ ดน้ ะ
พันธะโคเวเลนต์ COVALENT BOND รูปร่างโมเลกุลโคเวเลนต์ หลกั การพิจารณามมุ ระหว่างพนั ธะ 1. กรณอี ะตอมกลางไม่มอี ิเล็กตรอนคโู่ ดดเดย่ี ว มมุ ระหวา่ งพันธะข้นึ กบั จานวนพนั ธะรอบอะตอมกลาง ยิง่ มีมากมุมยง่ิ เล็กลง 2. กรณีอะตอมกลางมีอเิ ล็กตรอนค่โู ดดเดีย่ วไม่เท่ากัน โมเลกุลใดมีอเิ ลก็ ตรอนคู่โดดเด่ียวมากมุมยิง่ เล็กลง 3. กรณอี ะตอมกลางมอี ิเล็กตรอนค่โู ดดเดยี่ วเทา่ กนั - ถา้ อะตอมกลางชนิดเดียวกัน พจิ ารณาจากอะตอมท่มี าจับ ถ้าคา่ EN มาก มมุ จะเลก็ ลง - ถา้ อะตอมกลางตา่ งชนดิ กนั พจิ ารณาอะตอมกลาง ถา้ ค่า EN มาก มุมจะหา่ งมาก
Search