คำนำ ชดุ กจิ กรรมการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการสืบเสาะหาความรูร้ ายวิชา พนั ธุกรรม กับคณุ ภาพชีวิต กลุม่ สาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์ สาหรับนกั เรยี นช้นั มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 2 จัดทาข้ึนตามสาระและมาตรฐานการเรยี นรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ตามหลกั สูตรแกนกลางการศกึ ษาขั้นพื้นฐาน พทุ ธศกั ราช 2551 ระดับมัธยมศกึ ษาตอนต้น รายวชิ าเพิ่มเติม ในสาระท่ี 1 สงิ่ มีชีวิตกบั กระบวนการดารงชีวิต และสาระท่ี 8 ธรรมชาติ ของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เพอ่ื ประกอบกจิ กรรมการเรียนรู้ รายวชิ าพนั ธุกรรม กบั คุณภาพชีวิต รหสั วชิ า ว22204 เปน็ การจดั กจิ กรรมการเรียนรู้ท่เี น้นนกั เรยี นได้ลงมือ ปฏบิ ตั จิ รงิ ส่งเสรมิ ทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ กระบวนการสืบเสาะหาความรู้ ทักษะการสืบค้นข้อมลู กระบวนการคดิ อย่างมีเหตุผลและการนาความรู้ไปใช้ประโยชน์ โดยครเู ปน็ ผูใ้ ห้คาปรึกษา แนะนา และคอยอานวยความสะดวก ตลอดจนตดิ ตามผล การศึกษาอย่างใกล้ชดิ โดยการพัฒนาชดุ กจิ กรรมการเรยี นร้นู ้ี ได้มีการจดั ทา ปรับปรงุ และพฒั นาขึน้ ท้งั หมด 5 ชุด เวลา 24 ชว่ั โมง ดังนี้ ชุดที่ 1 ลกั ษณะทางพันธุกรรม ชดุ ท่ี 2 โครโมโซมและสารพนั ธุกรรม ชดุ ที่ 3 การถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมตามการศกึ ษาของเมนเดล ชุดท่ี 4 ความผิดปกติและโรคทางพนั ธกุ รรม ชดุ ท่ี 5 เทคโนโลยีชีวภาพกับคุณภาพชวี ติ ชดุ กจิ กรรมการเรียนรนู้ ี้ นอกจากจะใชป้ ระกอบการเรยี นการสอนในห้องเรยี นแลว้ ครสู ามารถมอบให้นกั เรียนนาไปศึกษาไดด้ ้วยตนเอง ทบทวนเน้อื หาหรือสามารถนาไปใช้ ในการเรียนซอ่ มเสริมในกรณที น่ี ักเรียนสอบไมผ่ ่านเกณฑ์ได้อีกด้วย ผจู้ ัดทาขอขอบพระคณุ ผู้ที่มสี ว่ นเกย่ี วข้องทกุ ทา่ นทใ่ี หก้ ารสนบั สนุน ใหค้ าแนะนา และเป็นทีป่ รึกษาทด่ี ีในการจดั ทาชุดกิจกรรมการเรียนรูโ้ ดยใชก้ ระบวนการสบื เสาะ หาความรหู้ วังเปน็ อยา่ งย่ิงว่า ชุดกจิ กรรมการเรยี นรู้นีจ้ ะเป็นประโยชน์แกน่ กั เรยี น ครูผสู้ อน อาจารย์ และผู้ท่ีสนใจ เพื่อจะชว่ ยให้การดาเนินการจัดกจิ กรรมการเรียน การสอนให้มปี ระสิทธิภาพและนักเรียนสามารถเรียนรู้ไดเ้ ตม็ ตามศกั ยภาพ บัณฑติ ตัง้ กมลศรี
สำรบญั หนา้ ก เร่อื ง ข คานา 1 สารบัญ 2 รายละเอยี ดของชุดกิจกรรมการเรียนรู้ 3 ผงั มโนทัศน์ชดุ กิจกรรมการเรยี นร้แู บบสืบเสาะหาความรู้ 4 คาแนะนาการใชช้ ุดกจิ กรรมการเรียนรู้ (สาหรบั ครู) 5 คาแนะนาการใช้ชดุ กจิ กรรมการเรียนรู้ (สาหรับนักเรียน) 6 ผังมโนทัศนข์ ้นั ตอนการจดั กิจกรรมการเรยี นรูแ้ บบสืบเสาะหาความรู้ 7 สาระการเรยี นรู้ มาตรฐานการเรียนรู้ ผลการเรยี นรู้ สาระสาคญั 8 จดุ ประสงค์การเรียนรู้ 12 แบบทดสอบกอ่ นเรยี น 13 ข้นั ท่ี 1 ขั้นสรา้ งความสนใจ 16 ขั้นท่ี 2 ขั้นสารวจและค้นหา 30 ขน้ั ท่ี 3 ขั้นอธบิ ายและลงขอ้ สรปุ 38 ขั้นที่ 4 ขั้นขยายความรู้ 42 ขน้ั ที่ 5 ขั้นประเมนิ ผล 43 แผนผงั ความคดิ 47 แบบทดสอบหลงั เรยี น 48 บตั รเฉลยแบบทดสอบกอ่ นเรยี น 49 บัตรเฉลยแบบทดสอบหลังเรียน บรรณานุกรม
ชดุ กิจกรรมการเรียนรโู้ ดยใชก้ ระบวนการสืบเสาะหาความรู้รายวชิ า พนั ธกุ รรมกับคณุ ภาพชีวิต 1 กลมุ่ สาระการเรียนรวู้ ทิ ยาศาสตร์ สาหรบั นักเรยี นชัน้ มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 2 รำยละเอยี ดของชุดกิจกรรมกำรเรยี นรู้ ชุดกิจกรรมการเรียนรโู้ ดยใช้กระบวนการสบื เสาะหาความรรู้ ายวิชา พนั ธุกรรม กบั คณุ ภาพชวี ิต กลมุ่ สาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์ สาหรบั นักเรยี นช้นั มัธยมศึกษาปที ี่ 2 ประกอบด้วย ผงั มโนทศั น์ของชดุ กิจกรรมการเรียนร้แู บบสืบเสาะหาความรู้ คาแนะนาการใช้ชดุ กิจกรรมการเรยี นรู้ สาหรับครู คาแนะนาการใชช้ ดุ กิจกรรมการเรียนรู้ สาหรับนักเรียน ผงั มโนทัศน์ข้นั ตอนการจัดกจิ กรรมการเรยี นรู้แบบสบื เสาะหาความรู้ สาระ มาตรฐานการเรียนรู้ ผลการเรียนรู้ สาระสาคัญ จุดประสงค์การเรียนรู้ แบบทดสอบก่อนเรียน บัตรนาทาง บตั รกิจกรรม บัตรความรู้ แบบฝึกหดั ทบทวนความรู้ แผนผังความคิด แบบทดสอบหลงั เรียน บตั รเฉลย บรรณานกุ รม
ชุดกิจกรรมการเรียนรโู้ ดยใชก้ ระบวนการสบื เสาะหาความรู้รายวิชา พันธกุ รรมกับคณุ ภาพชีวติ 2 กลมุ่ สาระการเรียนร้วู ทิ ยาศาสตร์ สาหรบั นักเรียนชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 2 ผงั มโนทศั น์ ชุดกจิ กรรมการเรียนร้โู ดยใช้กระบวนการสบื เสาะหาความรู้รายวชิ า พันธกุ รรมกับ คุณภาพชีวติ กลุ่มสาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์ สาหรับนักเรียนชัน้ มธั ยมศกึ ษาปีที่ 2 ชุดท่ี 1 ลกั ษณะทาง พนั ธุกรรม ชุดที่ 5 ชุดท่ี 2 เทคโนโลยีชวี ภาพ โครโมโซมและ กบั คณุ ภาพชีวติ สารพันธกุ รรม พนั ธกุ รรมกับคณุ ภาพชวี ติ ชดุ ท่ี 4 ชดุ ท่ี 3 การถา่ ยทอดลกั ษณะ ความผิดปกตแิ ละ ทางพันธกุ รรมตาม โรคทางพนั ธุกรรม การศกึ ษาของเมนเดล
ชุดกจิ กรรมการเรยี นรโู้ ดยใชก้ ระบวนการสืบเสาะหาความร้รู ายวชิ า พันธกุ รรมกบั คณุ ภาพชวี ติ 3 กลมุ่ สาระการเรยี นร้วู ทิ ยาศาสตร์ สาหรบั นักเรยี นชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 2 คำแนะนำกำรใช้ชดุ กจิ กรรมกำรเรยี นรู้ (สำหรับคร)ู ชุดกจิ กรรมการเรียนรู้โดยใชก้ ระบวนการสบื เสาะหาความรรู้ ายวิชา พันธกุ รรม กบั คุณภาพชีวติ กลมุ่ สาระการเรียนร้วู ิทยาศาสตร์ สาหรับนักเรียนชัน้ มธั ยมศึกษาปีท่ี 2 มีจดุ มุง่ หมายเพอ่ื ช่วยใหก้ ารดาเนนิ กิจกรรมการเรียนรู้ บรรลวุ ัตถุประสงค์การเรียนรแู้ ละ มปี ระสิทธิภาพ ผู้สอนควรเตรียมความพร้อม และปฏบิ ัติตามคาแนะนา ดังต่อไปน้ี 1. ศกึ ษารายละเอยี ดเกย่ี วกับการใช้ชดุ กิจกรรมการเรียนรโู้ ดยใชก้ ระบวนการ สบื เสาะหาความรู้รายวิชา พันธุกรรมกบั คุณภาพชวี ิต กลมุ่ สาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์ สาหรับนักเรยี น ชนั้ มัธยมศึกษาปีที่ 2 ให้เข้าใจ 2. เตรยี มชุดกจิ กรรมการเรียนรู้ ตามจานวนนกั เรยี น วัสดุ สิ่งของ และอปุ กรณ์ท่ี ระบุไวใ้ นชุดกิจกรรมการเรยี นรู้ 3. ก่อนจัดกิจกรรมการเรยี นร้แู บบสบื เสาะหาความรู้ ครูควรช้แี จงใหน้ ักเรียนเข้าใจ บทบาทของตนเอง แนะนาขนั้ ตอนการใช้ชดุ กิจกรรมการเรียนรู้ แนวปฏิบตั ิ ในระหว่าง การดาเนนิ กิจกรรมการเรียนรู้ 4. ดาเนินการจัดกจิ กรรมการเรียนรแู้ บบสบื เสาะหาความรู้ ตามกระบวนการ 5 ขนั้ ประกอบด้วย ข้นั ท่ี 1 ข้ันสรา้ งความสนใจ (Engagement Phase) ขน้ั ท่ี 2 ขัน้ สารวจ และคน้ หา (Exploration Phase) ขัน้ ที่ 3 ข้ันอธบิ ายและลงข้อสรปุ (Explanation Phase) ข้ันท่ี 4 ข้นั ขยายความรู้ (Elaboration Phase) ขั้นที่ 5 ขน้ั ประเมนิ ผล (Evaluation Phase) การจดั ชนั้ เรียน นกั เรยี นจะทากิจกรรมเป็นกลมุ่ ๆ ละ 4 – 5 คน จานวนกล่มุ ขน้ึ อยูก่ บั นกั เรียนในช้นั เม่อื ทาการวัดผลสมั ฤทธท์ิ างการเรียน นกั เรยี นจะต้อง แยกกลุ่มและจดั หอ้ งทาการสอบเปน็ รายบุคคล 5. ดาเนินการประเมินผลการเรียนรู้จากการตรวจแบบทดสอบกอ่ นเรียนและ หลงั เรยี นสังเกตพฤติกรรมการปฏบิ ัติงานกลุ่ม ประเมินผลการปฏิบตั ิการ ตรวจบตั ร กิจกรรมการเรียนรู้ 6. ครใู หค้ าแนะนา และอานวยความสะดวกในการจัดกจิ กรรมการเรียนรูแ้ บบ สืบเสาะหาความรู้ 7. เมือ่ สนิ้ สดุ การปฏิบตั กิ จิ กรรมการเรยี นร้แู บบสืบเสาะหาความรู้ ครใู ห้นักเรยี น รว่ มตรวจสอบและเกบ็ วสั ดุ ส่งิ ของ และอุปกรณใ์ หเ้ รยี บรอ้ ย เพื่อสะดวกในการใชค้ รง้ั ตอ่ ไป
ชดุ กิจกรรมการเรียนรโู้ ดยใชก้ ระบวนการสืบเสาะหาความรูร้ ายวชิ า พันธกุ รรมกับคณุ ภาพชวี ติ 4 กลุ่มสาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์ สาหรบั นกั เรียนชนั้ มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 2 คำแนะนำกำรใช้ชดุ กิจกรรมกำรเรียนรู้ (สำหรับนกั เรียน) ชุดกิจกรรมการเรียนรูโ้ ดยใชก้ ระบวนการสบื เสาะหาความรรู้ ายวิชา พันธกุ รรม กบั คณุ ภาพชวี ติ กลมุ่ สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ สาหรบั นักเรียนช้ันมัธยมศกึ ษาปที ่ี 2 นักเรียนปฏิบัตติ ามข้นั ตอนดว้ ยความซือ่ สัตย์และต้ังใจ ดังนี้ 1. ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ 1 ลกั ษณะทางพนั ธธุ รรม ใช้เวลา 4 ชว่ั โมง 2. นกั เรยี นแบง่ กลมุ่ ออกเปน็ 6 กลุม่ กลมุ่ ละ 4 – 5 คน โดยคละนกั เรยี นในกลุ่ม เป็น 3 ระดับ คือ เกง่ ปานกลาง และอ่อน 3. นกั เรยี นแต่ละกลุ่มศึกษาร่วมกนั ศึกษาสาระสาคัญ ผลการเรยี นรู้ และ จุดประสงค์การเรียนรู้ ขอบข่ายเนือ้ หาประจาชดุ กจิ กรรมการเรยี นรู้โดยวิธกี ารสอน แบบสบื เสาะหาความรู้ 4. นักเรียนทาแบบทดสอบก่อนเรียน ชุดกิจกรรมการเรยี นรู้ที่ 1 ลกั ษณะทาง พนั ธุธรรม จานวน 10 ขอ้ 5. นักเรียนลงมอื ปฏิบตั ิกจิ กรรมตามขัน้ ตอนในแตล่ ะชุดกิจกรรมการเรียนรู้ แบบสบื เสาะหาความรู้ มีขนั้ ตอนประกอบด้วย ขน้ั ที่ 1 ขน้ั สรา้ งความสนใจ (Engagement Phase) ขนั้ ที่ 2 ขั้นสารวจค้นหาและคน้ หา (Exploration Phase) ขัน้ ที่ 3 ขั้นอธบิ ายและลงขอ้ สรปุ (Explanation Phase) ข้ันที่ 4 ข้ันขยายความรู้ (Elaboration Phase) ขัน้ ท่ี 5 ขน้ั ประเมนิ ผล (Evaluation Phase) 6. นักเรียนทาแบบทดสอบหลงั เรียน ชดุ กิจกรรมการเรียนรทู้ ี่ 1 ลกั ษณะ ทางพันธุธรรม จานวน 10 ขอ้ 7. หากพบข้อสงสัยให้ปรกึ ษาครผู ู้สอนไดท้ ันที
ชุดกิจกรรมการเรียนรโู้ ดยใชก้ ระบวนการสืบเสาะหาความรู้รายวิชา พนั ธกุ รรมกับคณุ ภาพชวี ติ 5 กลมุ่ สาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์ สาหรบั นกั เรยี นชน้ั มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 2 ผงั มโนทศั น์ ขัน้ ตอนกำรจัดกิจกรรมกำรเรียนรู้แบบสบื เสำะหำควำมรู้ ชี้แจงกำรใชช้ ดุ กิจกรรมกำรเรยี นรู้ อ่ำนคำชแี้ จงและคำแนะนำ ทำแบบทดสอบก่อนเรยี น ปฏบิ ตั กิ จิ กรรมกำรเรยี นรูแ้ บบสบื เสำะหำควำมรู้ (5E) 1.ข้ันเร้ำควำมสนใจ 2. ขัน้ สำรวจและค้นหำ (Engagement Phase) (Exploration Phase) 5. ขน้ั ประเมนิ ผล 4. ขั้นขยำยควำมคดิ 3. ขั้นอธบิ ำยและลงขอ้ สรุป (Evaluation Phase) (Elaboration Phase) (Explanation Phase) ทำแบบทดสอบหลังเรียน ไมผ่ ่ำนเกณฑ์ ผำ่ นเกณฑ์ เรียนซ่อมเสริม ศกึ ษำชดุ กจิ กรรมต่อไป
ชดุ กิจกรรมการเรยี นรโู้ ดยใชก้ ระบวนการสบื เสาะหาความรู้รายวิชา พันธุกรรมกบั คณุ ภาพชวี ติ 6 กลมุ่ สาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์ สาหรบั นกั เรยี นชน้ั มธั ยมศึกษาปีท่ี 2 สำระกำรเรยี นรู้ มำตรฐำนกำรเรียนรู้ ผลกำรเรยี นรู้ สำระสำคญั สำระที่ 1 สงิ่ มชี วี ิตกับกระบวนกำรดำรงชีวิต มำตรฐำนกำรเรียนรู้ ว 1.2 เข้าใจกระบวนการและความสาคัญของการถ่ายทอด ลักษณะทางพนั ธกุ รรมวิวัฒนาการของส่งิ มชี ีวิต ความหลากหลายทางชีวภาพ การใช้ เทคโนโลยีชวี ภาพที่มีผลกระทบต่อมนษุ ย์และสิ่งแวดลอ้ ม มกี ระบวนการสบื เสาะหาความรู้ และจิตวิทยาศาสตร์ ส่ือสารส่ิงที่เรยี นรู้และนาความรู้ไปใช้ประโยชน์ สำระท่ี 8 ธรรมชำติของวิทยำศำสตรแ์ ละเทคโนโลยี มำตรฐำน ว 8.1 ใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์และจติ วิทยาศาสตร์ในการ สืบเสาะหาความรู้ การแก้ปัญหา ร้วู า่ ปรากฏการณ์ทางธรรมชาตทิ ่เี กดิ ข้นึ ส่วนใหญม่ ี รปู แบบท่แี น่นอนสามารถอธบิ ายและตรวจสอบได้ ภายใตข้ ้อมลู และเครื่องมือที่มอี ยใู่ น ช่วงเวลาน้นั ๆ เขา้ ใจว่าวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี สังคม และส่ิงแวดล้อมมคี วามเกีย่ วข้อง สัมพันธ์กัน ผลกำรเรียนรู้ อธิบายความหมายและความสาคญั ของลกั ษณะทางพนั ธุกรรมได้ สำระสำคัญ/ควำมคิดรวบยอด 1. ลกั ษณะทางพนั ธกุ รรม หมายถึง ลักษณะตา่ งๆ ของสงิ่ มีชวี ติ ท่ีถา่ ยทอดจาก บรรพบุรุษไปสลู่ ูกหลานผา่ นเซลล์สืบพันธ์ขุ องพ่อและแม่ 2. ลักษณะความแปรผนั ทางพันธกุ รรมจาแนกได้ 2 ประเภท คือ 2.1 ลกั ษณะทม่ี คี วามแปรผันแบบไมต่ อ่ เนอ่ื ง 2.2 ลกั ษณะที่มีความแปรผันแบบตอ่ เน่อื ง 3. สิ่งแวดล้อมมีอิทธพิ ลต่อการแสดงออกของลักษณะทางพนั ธกุ รรม สมรรถนะสำคญั ของผเู้ รียน 1. มคี วามสามารถในการส่ือสาร 2. มคี วามสามารถในการคดิ 3. มคี วามสามารถในการแกป้ ญั หา 4. มคี วามสามารถในการใช้ทักษะชีวิต 5. มคี วามสามารถในการใช้เทคโนโลยี
ชุดกิจกรรมการเรยี นรโู้ ดยใชก้ ระบวนการสืบเสาะหาความรรู้ ายวชิ า พันธกุ รรมกบั คณุ ภาพชวี ิต 7 กลุม่ สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ สาหรบั นักเรยี นช้ันมธั ยมศึกษาปที ี่ 2 จุดประสงค์กำรเรยี นรู้ เพื่อให้นกั เรียนสามารถ ดำ้ นควำมรู้ (K) : นกั เรยี นสามารถ 1. บอกความหมายและอธิบายลกั ษณะทางพนั ธกุ รรมได้ 2. ระบุไดว้ า่ ลักษณะใดเป็นลกั ษณะทางพนั ธุกรรมไดถ้ กู ต้อง 3. อธบิ ายและระบลุ ักษณะทางพนั ธุกรรมที่มีความแปรผนั แบบตอ่ เน่อื งกับลักษณะ ทางพนั ธกุ รรมที่มีความแปรผันแบบไม่ต่อเน่ืองได้ถูกตอ้ ง 4. ระบุไดว้ า่ การแสดงออกลกั ษณะของสิ่งมชี วี ิตใดทีเ่ กดิ จากอทิ ธพิ ลทางพันธกุ รรม และ การแสดงออกลกั ษณะของส่งิ มชี วี ิตใดทเ่ี กดิ จากอิทธพิ ลทางส่ิงแวดล้อมไดถ้ ูกตอ้ ง ดำ้ นทกั ษะกระบวนกำร (P) : นักเรยี นมที กั ษะ 1. การปฏิบัตกิ จิ กรรมการทดลอง 2. การนาเสนอผลงาน 3. การเขียนรายงานการปฏิบัตกิ ิจกรรมการทดลอง ดำ้ นคณุ ลักษณะอันพึงประสงค์ (A) : นักเรียนมีคุณลักษณะ 1. ซื่อสตั ย์สจุ ริต 2. มีวนิ ัย 3. ใฝ่เรยี นรู้ 4. มงุ่ มนั่ ในการทางาน 5. มีจิตสาธารณะ เวลำทใ่ี ช้ เวลาท่ีใชใ้ นการปฏิบัติกิจกรรม 4 ชวั่ โมง
ชดุ กจิ กรรมการเรยี นรโู้ ดยใชก้ ระบวนการสืบเสาะหาความรู้รายวชิ า พนั ธุกรรมกับคณุ ภาพชวี ติ 8 กล่มุ สาระการเรยี นร้วู ทิ ยาศาสตร์ สาหรบั นกั เรียนช้นั มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 2 แบบทดสอบกอ่ นเรียน เรอ่ื ง ลกั ษณะทำงพันธกุ รรม คำชี้แจง 1. แบบทดสอบเป็นแบบเลือกตอบ 4 ตวั เลอื ก จานวนทง้ั หมด 10 ข้อ 10 คะแนน ใช้เวลา 10 นาที 2. ใหน้ ักเรยี นเลอื กคาตอบทถ่ี ูกต้องเพียงข้อเดยี ว แลว้ ทาเครอ่ื งหมายกากบาท (X) ลงใน กระดาษคาตอบ 1. ในการศึกษาทางพนั ธุกรรม ควรใชส้ ิ่งมชี ีวติ ลกั ษณะใดต่อไปนี้ ก. สิง่ มีชีวติ ทมี่ ีขนาดเล็ก ข. ส่ิงมชี ีวิตท่มี ขี นาดใหญ่ ค. ส่ิงมชี ีวิตท่ีมกี ารสืบพันธุ์ไดเ้ รว็ ง. ส่งิ มีชวี ติ ที่มีลักษณะเป็นพนั ธแ์ุ ท้ 2. ข้อใดหมายถงึ ลักษณะทางพนั ธุกรรม ก. ลกั ษณะของสงิ่ มชี วี ิตท่คี วบคุมโดยยีน ข. ลกั ษณะซง่ึ ถ่ายทอดจากรุ่นหน่งึ ไปยงั รนุ่ ต่อไป ค. ลักษณะสบื เนื่องกนั ไปโดยอาศยั เซลลส์ ืบพันธุ์เป็นสือ่ กลาง ง. ถกู ทกุ ขอ้ 3. ข้อใดไมใ่ ช่ลกั ษณะทางพนั ธกุ รรม ก. ความประพฤติ ข. ตาบอดสี ค. โลหติ จาง ง. ศรี ษะลา้ น
ชุดกจิ กรรมการเรยี นรโู้ ดยใช้กระบวนการสืบเสาะหาความรรู้ ายวิชา พันธุกรรมกับคณุ ภาพชีวติ 9 กลมุ่ สาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์ สาหรบั นกั เรยี นช้นั มธั ยมศึกษาปีที่ 2 4. ลกั ษณะทางพนั ธกุ รรมและสภาพแวดล้อม มีอทิ ธิพลต่อลกั ษณะของสิ่งมชี ีวติ ลักษณะ ใดตอ่ ไปน้ี เกิดจากอิทธิพลลักษณะทางพันธกุ รรมเพยี งอยา่ งเดียว ก. หมูเ่ ลอื ด ข. ความดนั โลหติ ค. ระดับสติปญั ญา ง. น้าหนักและส่วนสูง 5. ขอ้ ใดกล่าวถึงลกั ษณะทางพันธกุ รรมท่มี ีการแปรผันแบบไม่ต่อเน่ืองไดถ้ ูกตอ้ ง 1. มักถูกควบคมุ ดว้ ยยีนน้อยคู่ 2. เป็นลักษณะทางพันธุกรรมท่ีมรี ะดับแตกตา่ งกันเลก็ ๆ น้อยๆ 3. เปน็ ลักษณะทางพันธุกรรมท่สี ามารถแยกแตกต่างกันชัดเจน 4. มกั เกยี่ วข้องกบั ทางด้านปรมิ าณ เช่น นา้ หนัก ความสูง ระดบั สตปิ ัญญา ก. ข้อ 1 และ 4 ข. ขอ้ 2 และ 3 ค. ข้อ 1 และ 3 ง. ข้อ 2 และ 4 6. ลกั ษณะใดตอ่ ไปนี้เปน็ ลักษณะทางพันธุกรรมทมี่ กี ารแปรผนั แบบต่อเนอื่ ง ก. การมีติ่งหู การมีผวิ เผือก ข. การมีลกั ย้มิ การมีหนงั ตาช้ันเดียว ค. ความสูงของคน ปรมิ าณการใหน้ มของวัว ง. หมู่เลือด ความสามารถในการห่อลิน้
ชุดกจิ กรรมการเรยี นรโู้ ดยใช้กระบวนการสบื เสาะหาความรรู้ ายวชิ า พนั ธุกรรมกบั คณุ ภาพชวี ิต 10 กลุ่มสาระการเรียนรวู้ ทิ ยาศาสตร์ สาหรับนกั เรียนชนั้ มัธยมศกึ ษาปที ี่ 2 7. ขอ้ ใดเป็นลักษณะทางพันธกุ รรมทม่ี ีความแปรผันแบบไมต่ อ่ เนื่อง ก. นา้ หนกั ข. ลกั ยม้ิ ค. ส่วนสงู ง. ผมหยิก 8. ข้อใดผดิ หลกั การถา่ ยทอดลักษณะทางพนั ธกุ รรม นายแดงอาจไดร้ ับลกั ษณะนยั น์ตาสี นา้ ตาลมาจาก ก. ป่หู รอื ยา่ ข. ปหู่ รอื ตา ค. ตาหรือยาย ง. แมห่ รือปา้ 9. ขอ้ ใดไม่เก่ียวกับการถา่ ยทอดลกั ษณะทางพนั ธุกรรม ก. ผมตรง ข. ผวิ เผือก ค. ดวงตาสีน้าตาล ง. ผิวคลา้ เพราะอาบแดด 10. กาหนดให้ 1. พันธกุ รรม 2. การแปรผนั 3. สิ่งแวดล้อม 4. การเปลี่ยนแปลงยีน พน่ี อ้ งทเ่ี กดิ จากพอ่ แม่เดยี วกัน เมอื่ ไปช่งั นา้ หนักจะมที งั้ นา้ หนกั ใกล้เคยี งและ น้าหนกั แตกต่างกนั ท่เี ป็นเช่นนเี้ นอ่ื งจากอิทธิพลในขอ้ ใด ก. ขอ้ 1 และ 2 ข. ข้อ 1 และ 3 ค. ข้อ 3 และ 4 ง. ขอ้ 1 และ 4
ชุดกิจกรรมการเรยี นรโู้ ดยใช้กระบวนการสืบเสาะหาความรรู้ ายวชิ า พันธุกรรมกบั คณุ ภาพชวี ิต 11 กลมุ่ สาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์ สาหรบั นักเรียนชน้ั มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 2 กระดำษคำตอบ แบบทดสอบกอ่ นเรียน กลุม่ สาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์ ชนั้ มัธยมศกึ ษาปีท่ี 2 ชดุ กิจกรรมที่ 1 ลกั ษณะทางพนั ธุกรรม ชือ่ –สกลุ ..............................................................................เลขท่ี................ชัน้ ................ ข้อ ก ข ค ง 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 คะแนนทไ่ี ด.้ ................................คะแนน
ชุดกจิ กรรมการเรยี นรโู้ ดยใชก้ ระบวนการสบื เสาะหาความร้รู ายวิชา พันธุกรรมกบั คณุ ภาพชวี ิต 12 กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ สาหรบั นกั เรยี นชน้ั มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 2 บัตรนำทำง ข้นั สร้ำงควำมสนใจ (Engagement Phase) คำชี้แจง ให้นกั เรียนพจิ ารณาภาพแล้วอภปิ รายความเหมอื นและความแตกตา่ งของแตล่ ะ บุคคลใน ครอบครัวน้ี ลกั ษณะทางพนั ธุกรรม สามารถถา่ ยทอดจาก ส่ิงมชี วี ติ รนุ่ สูร่ นุ่ จงึ ส่งผลให้สมาชกิ ใน ครอบครัวจะมคี วาม คล้ายคลงึ กนั ภาพ 1 ภาพครอบครัว ท่ีมา : https://pantip.com/topic/36205739 สิบค้นเมอ่ื วนั ท่ี 19 พฤษภาคม 2559
ชดุ กิจกรรมการเรยี นรโู้ ดยใชก้ ระบวนการสบื เสาะหาความรรู้ ายวิชา พันธกุ รรมกับคณุ ภาพชีวติ 13 กลมุ่ สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ สาหรับนกั เรียนช้นั มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 2 บตั รนำทำง ข้นั สำรวจและคน้ หำ (Exploration Phase) คำชแี้ จง ให้นักเรยี นศึกษาและปฏิบัติตามบัตรกิจกรรมท่ี 1 ภาพ 2 ความสงู ของนักเรียน ท่ีมา : บัณฑติ ตัง้ กมลศรี : 2559 นกั เรยี นมีความสงสยั หรือไม่ ทาไมความสงู ของแต่ละ บคุ คลจึงไม่เทา่ กัน อยากรจู้ กั ใช่ไหม? ...เปิดหนา้ ถดั ไปซิครบั ...
ชุดกิจกรรมการเรยี นรโู้ ดยใชก้ ระบวนการสบื เสาะหาความร้รู ายวชิ า พันธกุ รรมกบั คุณภาพชวี ิต 14 กลุม่ สาระการเรยี นร้วู ิทยาศาสตร์ สาหรับนกั เรียนช้ันมัธยมศึกษาปที ่ี 2 บัตรกจิ กรรมที่ 1 เรอื่ ง สำรวจลกั ษณะทำงพันธกุ รรม จดุ ประสงค์ของบตั รกจิ กรรม จาแนกประเภทและบอกความแตกต่างของลักษณะทางพนั ธุกรรมทีม่ กี ารแปรผนั แบบไม่ตอ่ เน่ืองและแบบตอ่ เน่อื งได้ คำช้ีแจง ใหน้ กั เรียนสารวจลักษณะทางพนั ธุกรรมของสมาชิกในกลุ่ม แล้วบันทกึ ข้อมลู ลงใน ตารางบนั ทกึ ผล กลมุ่ ที่..........................ชนั้ .............................. สมาชกิ ในกล่มุ 1………………………………….… 2………………………………………………..……….. 3…………………………………………..…………….. 4…………………………..…………………………….. 5…………………………………………..…………….. 6…………..…………………………………………….. ตำรำงบันทึกผลกำรสำรวจลักษณะทำงพันธกุ รรมของสมำชิกภำยในกลุ่ม ลักษณะทำงพันธกุ รรมทป่ี รำกฏ ต่ิงหู ห่อลน้ิ ลักย้มิ นา้ หนัก ความ หมเู่ ลอื ด สมาชกิ สูง มี ไม่ ได้ ไม่ได้ มี ไม่ มีหน่วย มี A B AB O มี มี (kg) หน่วย (cm)
ชดุ กจิ กรรมการเรียนรโู้ ดยใช้กระบวนการสืบเสาะหาความรูร้ ายวิชา พนั ธุกรรมกบั คณุ ภาพชีวิต 15 กลมุ่ สาระการเรียนร้วู ทิ ยาศาสตร์ สาหรับนกั เรยี นชั้นมธั ยมศึกษาปที ี่ 2 คำถำมท้ำยบัตรกจิ กรรมที่ 1 1. ใหน้ กั เรียนทาเครือ่ งหมาย ในชอ่ งข้อมลู ท่ีตรงกบั ลักษณะทางพนั ธกุ รรม ข้อมูล ลักษณะทำงพนั ธุกรรมทป่ี รำกฏ ต่งิ หู ห่อลนิ้ ลกั ย้ิม นา้ หนัก ความสูง หมู่เลอื ด แยกความแตกต่างไดอ้ ยา่ ง ชดั เจน ไมส่ ามารถแยกความแตกต่าง ไดอ้ ยา่ งชดั เจน แปรผันไดง้ ่ายเมือ่ ไดร้ ับอทิ ธิ จากส่ิงแวดลอ้ ม เป็นลักษณะทีม่ มี าแตก่ าเนิด ไม่แปรผนั ตอ่ อทิ ธิพลจาก ส่งิ แวดลอ้ ม สามารถจาแนกเป็นปรมิ าณได้ วัดขนาดหรือปรมิ าณไมไ่ ด้ เป็นลักษณะคุณภาพ เชน่ มี หรือไม่มี 2. จากคาถามข้อ 1 สามารถจาแนกลักษณะทางพนั ธกุ รรมได้ออกเป็นก่ีกลมุ่ แตล่ ะกลมุ่ ประกอบดว้ ยลกั ษณะทางพันธุกรรมใดบ้าง และให้อธิบายขอ้ มลู ของแตล่ ะกลุ่ม ……………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………… 3. จงอธิบายขอ้ มูลของลกั ษณะทางพนั ธกุ รรมแตล่ ะกลุ่มในข้อ 2 ว่ามีลักษณะเป็นอย่างไร ……………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………
ชุดกจิ กรรมการเรียนรโู้ ดยใชก้ ระบวนการสบื เสาะหาความรูร้ ายวิชา พนั ธุกรรมกบั คณุ ภาพชีวิต 16 กล่มุ สาระการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตร์ สาหรบั นักเรยี นชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 2 (ขัน้ อธิบบำัตยรแนลำ\\ะทลำงงข้อสรุป : Explanation Phase) นกั เรยี นได้สารวจตัวเองและเพ่อื นๆ แล้ว... เรามาศกึ ษาบตั รความรแู้ ลว้ ทากจิ กรรมตอ่ เลยครบั .... คำชีแ้ จง 1) ให้นกั เรยี นศกึ ษาบตั รความรทู้ ี่ 1 2) ใหน้ กั เรยี นศึกษาพร้อมท้ังปฏิบัตติ ามบัตรกจิ กรรมที่ 2 บตั รกจิ กรรมท่ี 3 และบัตรกจิ กรรมที่ 4
ชดุ กิจกรรมการเรยี นรโู้ ดยใช้กระบวนการสืบเสาะหาความรรู้ ายวชิ า พนั ธุกรรมกบั คณุ ภาพชวี ิต 17 กลมุ่ สาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์ สาหรับนักเรยี นช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 2 บัตรควำมรู้ท่ี 1 เร่อื ง ลักษณะทำงพันธกุ รรม ควำมหมำยของพนั ธุกรรม พันธุกรรม (heredity) คือ การถ่ายทอดลักษณะของส่ิงมีชีวิตจากรุ่นหนึ่งไป ยังอีกรุ่นหนึ่ง ซึ่งลักษณะทางพันธุกรรมลักษณะใดก็ตามที่เป็นรุ่นพ่อแม่แล้วไปปรากฏ อยู่ในรุ่นถัดมา อาจเรียกลักษณะทางพันธุกรรมนั้นว่ากรรมพันธุ์ หากต้องการตัดสินว่า ลักษณะใดเป็นลักษณะทางพันธุกรรมนั้นจะไม่สามารถใช้การประเมินโดยดูจากส่ิ งที่ ปรากฏในรุ่นลูกเท่านั้น แต่ต้องสังเกตหลายช่ัวอายุ เพราะลักษณะทางพันธุกรรมหรือ กรรมพนั ธบุ์ างอย่างอาจไมป่ รากฏในรนุ่ ลูกแตข่ ้ามไปปรากฏในรนุ่ หลานได้ วชิ ำท่ีศึกษำเก่ียวกบั กำรถ่ำยทอด ทำงพนั ธกุ รรม เรียกว่ำ พันธศุ ำสตร์ (genetics)
ชุดกิจกรรมการเรยี นรโู้ ดยใช้กระบวนการสบื เสาะหาความรูร้ ายวชิ า พันธกุ รรมกับคณุ ภาพชีวติ 18 กลมุ่ สาระการเรียนร้วู ิทยาศาสตร์ สาหรบั นกั เรียนชนั้ มธั ยมศึกษาปีที่ 2 ศัพท์ทำงพนั ธุศำสตรท์ ่คี วรรจู้ ัก 1. ยีน (gene) หมายถงึ หนว่ ยควบคมุ ลักษณะทางพันธกุ รรมของสงิ่ มีชวี ิต เช่น สีผม ความสูง ลกั ย้ิม สีผวิ ซึง่ เป็นสว่ นหน่ึงของโครโมโซม โครโมโซมของคนเรามี 23 คู่ และยนี มีอย่ปู ระมาณ 50,000 ยีน ยนี เหล่านก้ี ระจายอยู่ในโครโมโซมแตล่ ะคูจ่ ะควบคุม การถ่ายทอดลกั ษณะไปส่ลู กู ไดป้ ระมาณ 50,000 ลกั ษณะ 2. แอลลีล (allele) หมายถึง ยนี ทเ่ี ปน็ คู่เดียวกันเรยี กวา่ เป็น แอลลลี กิ (allelic) ตอ่ กันหมายความว่า แอลลลี เหล่านนั้ จะมตี าแหน่งเดียวกนั บนโครโมโซมท่เี ปน็ คกู่ ัน (homologous chromosome) 3.เซลล์สืบพนั ธ์ุ (gamete) หมายถึง เซลล์เพศ (sex cell) ท้ังไข่(egg) และอสุจิ หรอื (sperm) 4.จีโนไทป์ (genotype) หมายถงึ ยนี ท่คี วบคุมลกั ษณะของสงิ่ มีชีวิตเช่น TT, tt, Tt 5.ฟโี นไทป์ (phenotype) หมายถึงลกั ษณะที่ปรากฏออกมาให้เหน็ ซ่ึงเป็นผลจาก การแสดงออกของจโี นไทป์น่ันเอง เชน่ TT,Tt มจี ีโนไทป์ตา่ งกนั แตม่ ฟี ีโนไทป์ เหมอื นกนั คือ เป็นตน้ สงู ทัง้ คู่ 6. ฮอมอไซโกต (homozygote) หมายถงึ คู่ของแอลลลี ซ่งึ หมอื นกัน เช่น TT จดั เป็นฮอมอไซกสั โดมแิ นนต(์ homozygous dominant) เนอื่ งจากลักษณะทั้งคู่ เป็นลักษณะเด่นหรือ tt จัดเป็น ฮอมอไซกัสรเี ซสซฟี (homozygous recessive) เนื่องจากลักษณะทงั้ คู่เป็นลกั ษณะดอ้ ย ลักษณะท่เี ป็น ฮอมอไซโกตเราเรียกว่า พันธุ์แท้ 7.เฮเทอร์โรไซโกต (heterozygote) หมายถงึ คู่ของแอลลลี ท่ีไมเ่ หมอื นกัน เชน่ Tt ลกั ษณะของเฮเทอร์โรไซโกต เรียกว่า พนั ธุ์ทาง
ชดุ กจิ กรรมการเรียนรโู้ ดยใชก้ ระบวนการสบื เสาะหาความรรู้ ายวชิ า พนั ธกุ รรมกบั คณุ ภาพชีวิต 19 กลุ่มสาระการเรียนรวู้ ทิ ยาศาสตร์ สาหรับนักเรยี นช้นั มัธยมศึกษาปีท่ี 2 8.ลกั ษณะเดน่ (dominant) คือ ลกั ษณะท่แี สดงออกเมอ่ื เปน็ ฮอมอไซกสั โดมแิ นนต์ และเฮเทอร์โรไซโกต 9.ลกั ษณะดอ้ ย (recessive) คือ ลกั ษณะท่ีจะถูกขม่ เมอ่ื อยูในรูปของเฮเทอรโ์ รไซโกต และจะแสดงออกเม่อื เปน็ ฮอมอไซกสั รเี ซสซฟี 10.ลกั ษณะเดน่ สมบูรณ์ (complete dominant) หมายถึงการข่มของลักษณะเด่นต่อ ลกั ษณะดอ้ ยเป็นไปอยา่ งสมบูรณท์ าให้ พีโนไทปข์ องฮอมอไซกัส โดมิเนนทแ์ ละเฮเทอรโ์ ร ไซโกตเหมือนกันเช่น TT จะมพี โี นไทปเ์ หมือนกับ Tt ทกุ ประกอบ 11.ลักษณะเดน่ ไมส่ มบรู ณ(์ incomplete dominant) เป็นการข่มกันอยา่ งไมส่ มบรู ณ์ ทาให้เฮเทอร์โรไซโกตไมเ่ หมอื นกบั ฮอมอไซกัสโดมแิ นนท์ เช่น การผสมดอกไม้สีแดงกับดอกไม้ สีขาวไดด้ อกสชี มพูแสดงวา่ แอลลีลท่คี วบคุมลกั ษณะดอกสแี ดงข่มแอลลลี ทค่ี วบคุมลกั ษณะ ดอกสีขาวได้ไมส่ มบรู ณ์ 12.ลกั ษณะเด่นรวม (co-dominant) เปน็ ลักษณะที่แอลลีลแตล่ ะตวั มีลักษณะเดน่ กัน ทั้งคูข่ ่มกนั ไมล่ งทาใหฟ้ ีโนไทป์ของเฮเทอร์โรไซโกตแสดงออกมาทงั้ สองลักษณะ เชน่ หมเู่ ลอื ด AB ทงั้ แอลลลี IA และแอลลลี IB จะแสดงออกในหมเู่ ลือดทั้งคู่
ชุดกจิ กรรมการเรยี นรโู้ ดยใชก้ ระบวนการสืบเสาะหาความรรู้ ายวชิ า พนั ธกุ รรมกบั คณุ ภาพชีวติ 20 กลุ่มสาระการเรียนรูว้ ทิ ยาศาสตร์ สาหรบั นกั เรยี นชั้นมธั ยมศกึ ษาปีท่ี 2 ลักษณะที่ถ่ำยทอดทำงพนั ธกุ รรม กรรมพนั ธหุ์ รอื ลักษณะต่าง ๆ ทางพันธกุ รรม เปน็ ลักษณะท่สี ามารถถ่ายทอด ไปสู่รุ่นต่อๆ ไปได้ โดยผ่านทางเซลล์สบื พันธข์ุ องพ่อและแม่ เม่ือเซลล์สืบพันธุ์ของพอ่ (อสุจ)ิ ผสมพบั เซลล์สืบพันธ์ขุ องแม่ (ไข)่ ลกั ษณะต่าง ๆ จากพ่อและแม่จะถูกถ่ายทอด ไปส่ลู กู แตไ่ มใ่ ชว่ ่าทกุ ลักษณะของสิ่งมีชวี ิตจะเปน็ กรรมพันธุ์ เพราะบางลกั ษณะอาจ เกิดข้นึ จากสภาพแวดลอ้ ม เชน่ แผลเปน็ ทเ่ี กิดจากอุบัติเหตุหรือการศลั ยกรรมตกแตง่ ทางการแพทย์ เปน็ ต้น ลักษณะทางพนั ธกุ รรมของมนษุ ยส์ ามารถถ่ายทอดจากร่นุ หน่งึ ไปยังรุ่นตอ่ ๆ ไปไดห้ ลายลกั ษณะลักษณะทีถ่ า่ ยทอดทางพนั ธุกรรมในมนษุ ย์ เชน่ รปู ร่าง ลกั ษณะ ของปาก จมกู ตา คิ้ว ดังนัน้ มนุษย์จึงมคี วามคล้ายคลึงกัน และถ้าอย่ใู นครอบครวั เดยี วกนั ความคล้ายคลึงจะย่งิ มากขึ้น
ชุดกิจกรรมการเรยี นรโู้ ดยใชก้ ระบวนการสบื เสาะหาความรรู้ ายวชิ า พนั ธุกรรมกบั คณุ ภาพชีวติ 21 กลมุ่ สาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์ สาหรบั นกั เรียนช้นั มธั ยมศึกษาปีที่ 2 ควำมแปรผันของลักษณะทำงพันธุกรรม ความแปรผนั ของลกั ษณะทางพันธุกรรม (genatic variation) หมายถงึ ลักษณะทแี่ ตกต่างกนั เน่ืองจากพันธกุ รรมทไี่ ม่เหมือนกันและสามารถถา่ ยทอดไปสู่ รนุ่ ลูกได้โดยลกู จะได้รับการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมจากพ่อครึ่งหนึ่งและได้รบั จากแม่คร่งึ หนึ่งเช่น ลกั ษณะเส้นผม สีของตา หม่เู ลือด ซึง่ แบ่งออกเปน็ 2 แบบ คอื 1. ลักษณะทีม่ ีความแปรผันแบบไม่ตอ่ เน่อื ง (discontinuous variation) เป็นลักษณะทางพันธุกรรมทส่ี ามารถแยกความแตกต่างได้อยา่ งชัดเจน ลักษณะทีม่ ี ความแปรผันแบบไม่ต่อเนื่อง เกิดจากอิทธิพลทางพันธุกรรมเพียงอยา่ งเดยี ว เช่น ลกั ษณะ ลักยิม้ (มีลักยิ้มหรือไมม่ ีลักยิ้ม) ต่ิงหู (มตี ง่ิ หหู รอื ไมม่ ีต่ิงห)ู ห่อลน้ิ (หอ่ ล้นิ ได้ หรือห่อลนิ้ ไมไ่ ด้) เป็นตน้ ภาพ 3 แสดงลักษณะการมีลกั ยมิ้ และการหอ่ ลิ้น ที่มา : http://www.trueplookpanya.com/learning/detail/31740 สืบคน้ เมือวนั ที่ 23 เมษายน 2559
ชุดกจิ กรรมการเรยี นรโู้ ดยใชก้ ระบวนการสบื เสาะหาความร้รู ายวชิ า พนั ธุกรรมกบั คณุ ภาพชีวิต 22 กล่มุ สาระการเรียนร้วู ทิ ยาศาสตร์ สาหรับนกั เรยี นช้ันมธั ยมศึกษาปีท่ี 2 ภาพ แสดงลักษณะการมีลักยิม้ และการห่อลิ้น ที่มา : บัณฑติ ตั้งกมลศรี : 2559 2. ลักษณะทม่ี ีความแปรผันแบบตอ่ เนอ่ื ง (continuous variation) เป็นลักษณะ ทางพนั ธกุ รรมทไี่ ม่สามารถแยกความแตกตา่ งได้เด่นชดั เชน่ ความสูง น้าหนัก โครงรา่ ง สผี วิ ซ่ึงเป็นลกั ษณะที่ได้รบั อทิ ธิพลจากพันธกุ รรมและสง่ิ แวดล้อม เช่น ความสูงของคน ถ้าได้รับอาหารท่ีถูกหลักโภชนาการมกี ารออกกาลงั กายอยา่ งถกู หลักวิธแี ละเหมาะสม จะทาใหเ้ รามรี ่างกายท่สี งู ขึ้น แมร้ ่นุ บรรพบุรษุ จะไมส่ งู ก็ตาม ภาพ 4 ความสูงของนักเรียน ที่มา : บณั ฑติ ตั้งกมลศรี : 2559
ชุดกจิ กรรมการเรียนรโู้ ดยใช้กระบวนการสบื เสาะหาความรูร้ ายวชิ า พนั ธุกรรมกับคณุ ภาพชีวิต 23 กล่มุ สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ สาหรับนักเรยี นช้ันมธั ยมศกึ ษาปที ่ี 2 บตั รกิจกรรมที่ 2 เร่อื ง ควำมแปรผันทำงพนั ธกุ รรมแบบไมต่ อ่ เนอ่ื ง จดุ ประสงค์ของบัตรกจิ กรรม 1. สารวจและบนั ทกึ ลกั ษณะทางพันธกุ รรมทม่ี ีความแปรผนั แบบไมต่ ่อเนอื่ งได้ 2. เขยี นกราฟและอธบิ ายกราฟจากขอ้ มลู ท่ไี ด้จากการสารวจลกั ษณะทางพันธุกรรม ทม่ี คี วามแปรผันแบบไมต่ อ่ เนอื่ งได้ คำชี้แจง 1. ใหน้ ักเรียนแต่ละกลุ่มเลือกสารวจลักษณะใดลักษณะหนึ่งของเพื่อนท้ังหอ้ งโดยเลือก สารวจจากลักษณะตอ่ ไปนไี้ มซ่ ้ากันกลุ่มละ 1 ลกั ษณะ 1.1. มีลกั ย้ิมไม่มีลักย้ิม 1.2. มีต่ิงหไู ม่มีตงิ่ หู 1.3. หอ่ ล้นิ ไดห้ อ่ ล้นิ ไม่ได้ 1.4. หนังตาช้ันเดียว หนงั ตาสองชั้น 1.5. ถนัดมือซ้าย ถนัดมือขวา 2. บนั ทึกปฏบิ ัติตามขั้นตอน ในแบบบนั ทกึ กิจกรรมที่ 2 ตอนที่ 1 ลักษณะทางพันธกุ รรม ท่มี คี วามแปรผันแบบไม่ต่อเนื่อง
ชดุ กจิ กรรมการเรยี นรโู้ ดยใชก้ ระบวนการสบื เสาะหาความรรู้ ายวชิ า พันธกุ รรมกับคณุ ภาพชีวติ 24 กลมุ่ สาระการเรยี นรูว้ ทิ ยาศาสตร์ สาหรบั นักเรยี นชัน้ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 2 แบบบันทึกกิจกรรมที่ 2 สารวจ บนั ทึกลักษณะทางพันธกุ รรมทมี่ คี วามแปรผันแบบไมต่ อ่ เนอ่ื ง กลุ่มที่..............................ช้นั .............................. สมาชิกในกลมุ่ 1………………………………….… 2………………………………………………..……….. 3…………………………………………..…………….. 4…………………………..…………………………….. 5…………………………………………..…………….. 6…………..…………………………………………….. 1. ผลการสารวจ เลขที่ ลักษณะ ……………… เลขที่ ลักษณะ ……………… 1 16 2 17 3 18 4 19 5 20 6 21 7 22 8 23 9 24 10 25 11 26 12 27 13 28 14 29 15 คิดเปน็ ร้อยละ
ชุดกจิ กรรมการเรยี นรโู้ ดยใช้กระบวนการสบื เสาะหาความร้รู ายวิชา พันธกุ รรมกบั คณุ ภาพชีวติ 25 กลมุ่ สาระการเรียนร้วู ทิ ยาศาสตร์ สาหรับนกั เรยี นชน้ั มธั ยมศึกษาปที ่ี 2 2. นาข้อมลู จากการสารวจมาแสดงด้วยกราฟแท่ง ดงั นี้ ……………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………… 3. วิเคราะหแ์ ละสรปุ ผลการทดลอง ……………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………
ชุดกิจกรรมการเรียนรโู้ ดยใชก้ ระบวนการสืบเสาะหาความรรู้ ายวิชา พันธกุ รรมกับคณุ ภาพชีวติ 26 กลุ่มสาระการเรยี นรูว้ ทิ ยาศาสตร์ สาหรับนกั เรยี นชั้นมธั ยมศึกษาปีท่ี 2 บัตรกจิ กรรมท่ี 3 เรื่อง ควำมแปรผนั ทำงพนั ธกุ รรมแบบตอ่ เนอื่ ง จุดประสงคข์ องบัตรกิจกรรม 1. สารวจและบันทึกลกั ษณะทางพนั ธุกรรมท่ีมคี วามแปรผันแบบตอ่ เนื่องได้ 2. เขยี นกราฟและอธิบายกราฟจากข้อมลู ท่ีไดจ้ ากการสารวจลักษณะทาง พนั ธุกรรมท่มี คี วามแปรผันแบบตอ่ เนื่องได้ คำชแ้ี จง 1. ใหน้ ักเรยี นวดั ส่วนสูงและชง่ั น้าหนักของนกั เรยี นทุกคน 2. นกั เรียนแตล่ ะกลมุ่ บันทึกส่วนสงู และนา้ หนักของเพ่อื นลงในบัตรบันทึกกจิ กรรม ท่ี 3 3. นกั เรียนสรุปข้อมลู ลงในขอ้ 2 โดยจะต้องมีการกาหนดช่วงขอ้ มลู ให้มรี ะยะหา่ ง ของช่วงเท่ากัน 3.1 ชว่ งข้อมลู ของสว่ นสงู เช่น ชว่ งความสงู 160–165 cm , 166–170 cm 3.2 ช่วงข้อมลู ของน้าหนัก เช่น ช่วงน้าหนกั 40–45 kg , 46–50 kg 4. บนั ทกึ ผลและปฏิบัตติ ามข้ันตอนในบัตรกจิ กรรมที่ 3 ความแปรผันทาง พันธุกรรมแบบต่อเนอ่ื ง
ชุดกิจกรรมการเรียนรโู้ ดยใชก้ ระบวนการสืบเสาะหาความรู้รายวชิ า พันธุกรรมกบั คณุ ภาพชวี ติ 27 กลุม่ สาระการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตร์ สาหรบั นกั เรียนชน้ั มัธยมศึกษาปที ่ี 2 แบบบันทึกกิจกรรมที่ 3 สำรวจและบันทึกลักษณะทำงพนั ธกุ รรมทมี่ ีควำมแปรผันแบบต่อเนอ่ื ง กล่มุ ท่ี..............................ช้นั .............................. สมาชกิ ในกลุม่ 1………………………………….… 2………………………………………………..……….. 3…………………………………………..…………….. 4…………………………..…………………………….. 5…………………………………………..…………….. 6…………..…………………………………………….. 1. ตารางบนั ทกึ ผลสารวจ เลขที่ สว่ นสงู (cm) น้าหนัก (kg) เลขที่ สว่ นสูง (cm) นา้ หนกั (kg) 1 16 2 17 3 18 4 19 5 20 6 21 7 22 8 23 9 24 10 25 11 26 12 27 13 28 14 29 15 30 คิดเปน็ ร้อยละ
ชุดกิจกรรมการเรียนรโู้ ดยใชก้ ระบวนการสืบเสาะหาความร้รู ายวิชา พนั ธกุ รรมกับคณุ ภาพชีวติ 28 กลุม่ สาระการเรยี นร้วู ทิ ยาศาสตร์ สาหรบั นักเรียนช้ันมธั ยมศกึ ษาปที ี่ 2 2. สรปุ ผลการสารวจ ที่ ช่วงของ จำนวน ร้อยละ ช่วงของ จำนวน รอ้ ยละ ส่วนสูง (cm) (คน) นำ้ หนกั (คน) (cm) 3. นาขอ้ มลู ทไ่ี ด้จากการสารวจมาเขยี นกราฟแท่งแสดงผลการสารวจดังน้ี ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 4. วเิ คราะหแ์ ละสรปุ ผลจากการสารวจ ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ชุดกจิ กรรมการเรยี นรโู้ ดยใชก้ ระบวนการสืบเสาะหาความรู้รายวิชา พนั ธุกรรมกบั คณุ ภาพชวี ิต 29 กลมุ่ สาระการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตร์ สาหรับนกั เรยี นชั้นมธั ยมศึกษาปีที่ 2 บตั รกิจกรรมที่ 4 แผนผงั ควำมคดิ (Mind Map) จดุ ประสงค์ของบัตรกิจกรรม บอกลกั ษณะอธิบาย และจาแนกลักษณะทางพนั ธุกรรมที่มีการแปรผันแบบ ไมต่ อ่ เน่อื งกบั ลักษณะทางพนั ธกุ รรมทมี่ ีความแปรผันแบบตอ่ เนอ่ื งได้ คำชี้แจง : ให้นกั เรยี นเตมิ ข้อความลงในแผนผงั สรุป ความหมาย การจาแนก และ ยกตวั อย่าง โดยเตมิ ขอ้ ความในแผนผงั ความคิดจากหวั ข้อทกี่ าหนดให้ ลักษณะทำงพนั ธกุ รรม ลกั ษณะความแปรผนั แบบตอ่ เนื่อง 1………………………………………………… 1………………………………………………… 2………………………………………………… 2………………………………………………… 3………………………………………………… 3………………………………………………… 4………………………………………………… 4………………………………………………… 5………………………………………………… 5………………………………………………… ……………………………………………………… ……………………………………………………… ……………………………………………………… ……………………………………………………… ……………………………………………………… ……………………………………………………… ……………………………………………………………………… ……………………………………………………………………… ……………………………………………………… ………………………………………………………
ชดุ กจิ กรรมการเรียนรโู้ ดยใชก้ ระบวนการสืบเสาะหาความร้รู ายวชิ า พันธุกรรมกับคณุ ภาพชวี ิต 30 กลุม่ สาระการเรยี นรวู้ ิทยาศาสตร์ สาหรับนักเรยี นชนั้ มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 2 บตั รนำทำง ข้ันขยำยควำมรู้ (Elaboration Phase) คำช้แี จง ใหน้ กั เรียนศกึ ษาบตั รความรูท้ ี่ 2 และปฏบิ ัติตามบตั รกิจกรรมที่ 5 ภาพ 5 ลักษณะสขี องดอกพรมิ โรสทอี่ ณุ หภูมิตา่ งกัน ทมี่ า https://pixabay.com/en/flowers-primroses-spring- flowering-1391964/ สืบคน้ เมอื วันที่ 28 เมษายน 2559 ทาไมดอกพรมิ โรสมีสแี ตกต่าง กันเมื่ออณุ หภูมติ ่างกนั
ชดุ กิจกรรมการเรยี นรโู้ ดยใช้กระบวนการสบื เสาะหาความร้รู ายวชิ า พันธกุ รรมกับคณุ ภาพชีวิต 31 กลุม่ สาระการเรียนรวู้ ทิ ยาศาสตร์ สาหรบั นักเรยี นช้ันมัธยมศกึ ษาปที ี่ 2 บัตรควำมรู้ท่ี 2 เรอ่ื ง ลักษณะทำงพันธกุ รรมและสิง่ แวดลอ้ ม ลักษณะทำงพนั ธกุ รรมและสิง่ แวดลอ้ ม ลกั ษณะทางพนั ธุกรรม ถกู ควบคมุ ดว้ ยยนี ซงึ่ เป็นหน่วยควบคมุ พันธุกรรม ทาให้ ลักษณะของสง่ิ มชี ีวิตแตกตา่ งกนั ไป อยา่ งไรก็ตามอิทธพิ ลจากส่ิงแวดล้อมกม็ สี ว่ นทาให้ ลกั ษณะทางพันธกุ รรมมคี วามแปรผนั ได้ ลักษณะของสงิ่ มชี วี ิตทแ่ี สดงออกมาน้ัน จะถูก เปลยี่ นแปลงไปตามสภาพของสงิ่ แวดลอ้ มทีม่ สี งิ่ มีชวี ิตอาศยั อยู่ ส่ิงแวดลอ้ ม (Environment) หมายถงึ ส่ิงต่าง ๆ ท่ีอยู่รอบตัวบคุ คล ทาหน้าที่เป็น ส่งิ เรา้ ในอนั ทจี่ ะทาใหบ้ ุคคลแสดงปฏิกิริยาตอบสนอง และมอี ทิ ธิพลตอ่ พัฒนาการของ บุคคลนน้ั ๆ ในทางจติ วิทยานัน้ สง่ิ แวดลอ้ ม คือผลรวมของการกระตุ้นจากสงิ่ เรา้ ที่บุคคล ไดร้ บั และมีผลกระทบต่อบุคคลนนั้ ต้งั แต่เรม่ิ ปฏิสนธิจนกระทัง่ เสียชีวิต สงิ่ แวดลอ้ มมีอทิ ธิพลต่อความเจริญงอกงามหรอื ความเส่อื มตอ่ พฒั นาการของ บุคคลได้เปน็ อย่างยิ่ง อทิ ธิพลของสิ่งแวดลอ้ มมผี ลกระทบตอ่ เราได้ 2 ลักษณะ คือ 1. อานาจบงั คบั ต่อบคุ คลโดยตรง ไมว่ ่าบุคคลนนั้ สนใจทจ่ี ะเรยี นรู้เพอ่ื ปฏบิ ตั ิ หรอื ไม่ สงิ่ แวดลอ้ มเหลา่ น้ี ได้แก่ ธรรมชาติ อณุ หภมู ิ อากาศ อาหาร เป็นตน้ 2. บคุ คลเกดิ จากการเรยี นรู้สง่ิ แวดลอ้ มนนั้ ๆ แลว้ นามาปฏบิ ัติ สง่ิ แวดล้อมเหลา่ นี้ ไดแ้ ก่ พฤติกรรมทางความสามารถ สังคม ขนบธรรมเนียมประเพณี เป็นตน้
ชุดกิจกรรมการเรียนรโู้ ดยใชก้ ระบวนการสบื เสาะหาความร้รู ายวชิ า พันธกุ รรมกบั คณุ ภาพชีวิต 32 กล่มุ สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ สาหรับนกั เรยี นชน้ั มัธยมศึกษาปที ่ี 2 ตวั อยำ่ งอิทธิพลของสิ่งแวดลอ้ มทม่ี ผี ลตอ่ ลกั ษณะของสง่ิ มีชีวติ ไดแ้ ก่ 1. อณุ หภูมิ ความสัมพนั ธ์กนั ระหว่างขบวนการทางชวี เคมแี ละอุณหภูมเิ ปน็ ท่ี ยอมรับกันอย่างแพร่หลายในปจั จบุ นั เช่น ดอกพริมโรส เป็นดอกไม้เมืองหนาวที่อณุ หภูมิ ห้องปกติจะมีสีแดงแต่ถา้ อณุ หภมู ิสงู ขึน้ ประมาณ 30 องศาเซลเซียส ดอกจะเป็นสขี าว อุณหภูมติ ่ากวา่ 30 C อุณหภมู ิสงู กวา่ 30 C ดอกพรมิ โรสจะเป็นสแี ดง ดอกพรมิ โรสจะเปน็ สขี าว ตามปกติ
ชดุ กิจกรรมการเรียนรโู้ ดยใช้กระบวนการสบื เสาะหาความรู้รายวิชา พันธุกรรมกบั คณุ ภาพชวี ติ 33 กลมุ่ สาระการเรยี นรวู้ ิทยาศาสตร์ สาหรับนักเรียนช้ันมธั ยมศกึ ษาปที ่ี 2 2. แสง จดั เปน็ แหลง่ พลงั งานทีส่ าคัญของพชื แม้พชื บางชนิดสามารถเจริญเตบิ โต ในทีม่ ืดแต่มอี ายสุ ัน้ เพราะขาดคลอโรฟลิ ล์ ในที่ปราศจากแสง ใบของพืชมกั จะมสี ีขาว ถึงแมว้ ่าพชื นน้ั จะมยี ีนสาหรบั ทาให้เกดิ สีอนื่ กต็ าม 3. อำหำร ชนิดของอาหารจัดว่ามสี ่วนทาให้เกดิ ลักษณะต่างๆ เชน่ โรคเบาหวาน ของคน นนั้ จะถกู ควบคุมโดยยนี แตถ่ ้ามกี ารควบคุมชนิดของอาหารท่ีรบั ประทานแล้วโรค ดงั กลา่ วจะไม่แสดงออกมาให้เหน็ เด่นชัด 4. อำยุ ลกั ษณะท่คี วบคุมโดยยนี บางลกั ษณะ จะแสดงผลเมอื่ สิ่งมีชีวติ มอี ายุอัน สมควร เชน่ ลักษณะตา่ งๆ ในคน เชน่ ถงึ แม้ลกั ษณะศรี ษะล้านหรือลกั ษณะโรคเบาหวาน ในคนจะถูกควบคมุ โดยยีนก็ตาม แตค่ นจะมศี ีรษะลา้ นเม่ือมอี ายุสูงกว่า 20 ปี หรือคนมกั แสดงอาการเปน็ โรคเบาหวานเม่ืออายเุ กนิ 40 ปี 5. เพศ ถึงแมส้ ตั ว์สองเพศมจี ีโนไทปเ์ หมือนกัน แต่ลกั ษณะท่ีปรากฏอาจตา่ งกัน เชน่ ลกั ษณะเขาของแกะ ซึ่งมีจโี นไทป์ Hh นั้น เมื่อเปน็ เพศผู้จะมเี ขา แตถ่ ้าเป็นเพศเมีย จะไม่มีเขา 6. สำรเคมบี ำงชนดิ ส่งิ มชี ีวติ บางชนิดสารเคมีในส่ิงแวดล้อมก็มีผลต่อการ แสดงออกของยนี เช่น ดอกของตน้ ไฮเดรนเยยี (Hydrangea macrophylla) ดอกจะเป็น สนี ้าเงิน แดงชมพหู รอื มว่ ง ซ่ึงขนึ้ อยกู่ บั ระดบั ความเป็นกรดหรอื ดา่ งของเคร่อื งปลูก หากเคร่ืองปลกู มีสภาพเป็นกรด ค่า pH เท่ากบั 5.0–5.5 สดี อกจะออกเป็นสนี ้าเงิน ถ้าสภาพเป็นดา่ งจะออกดอกสีมว่ งหรือชมพู ถ้าปลูกในเครอ่ื งปลกู ท่สี ภาพเปน็ กลาง ดอกไฮเดรนเยยี จะมสี คี รมี ซดี ทง้ั นเ้ี พราะดอกไฮเดรนเยียเป็นหนึ่งในบรรดาพืชไมก่ ี่ชนิด ทส่ี ะสมธาตอุ ะลูมิเนยี ม ธาตนุ ี้จะถกู ปลดปลอ่ ยออกมาจากเคร่ืองปลกู ซ่งึ มฤี ทธ์ิเปน็ กรด ธาตนุ ี้จะทาปฏิกิริยากบั สารละลายในกลีบดอกทาให้เกิดสนี ้าเงินขนึ้ ได้
ชุดกจิ กรรมการเรยี นรโู้ ดยใชก้ ระบวนการสบื เสาะหาความรูร้ ายวชิ า พนั ธกุ รรมกับคณุ ภาพชวี ิต 34 กลุม่ สาระการเรยี นร้วู ิทยาศาสตร์ สาหรบั นักเรยี นช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 2 อิทธพิ ลของพนั ธกุ รรมและสงิ่ แวดล้อม พนั ธกุ รรมและสิง่ แวดล้อม ร่วมมีบทบาทในพัฒนาการดา้ นตา่ ง ๆ ของบุคคล ไมอ่ าจจะบอกได้ว่า ระหว่างพนั ธกุ รรมและสง่ิ แวดล้อมสิ่งใดจะมีความสาคญั มากกวา่ กนั เพราะท้ังสองสิง่ ล้วนแตส่ ่งเสรมิ ซึ่งกันและกัน โดยพัฒนาการดา้ นหนง่ึ พนั ธกุ รรมอาจมี ผลมากกวา่ และได้รับการส่งเสริมตอ่ จากอิทธพิ ลของสิง่ แวดลอ้ ม แต่พฒั นาการอกี ด้านหนึ่ง อาจมีอิทธิพลมากกวา่ ก็ได้ กล่าวคอื พันธุกรรมและสิ่งแวดลอ้ มมอี ิทธพิ ลตอ่ ความแตกต่าง ระหว่างบคุ คลในดา้ นตา่ งๆ ดังต่อไปนี้ 1. ควำมแตกตำ่ งทำงด้ำนรำ่ งกำย (Physical) เป็นลักษณะทางกายภาพทเ่ี ห็นความแตกตา่ งได้ชดั เจนท่ีสดุ ความแตกต่างทาง ร่างกาย แต่ละบุคคล ไดแ้ ก่ 1.1 ลกั ษณะโครงสรา้ งของร่างกาย เช่น รปู ร่าง โครงกระดกู หน้าตา ผิวพรรณ สผี ม สตี า ฯลฯ ซึง่ ลักษณะโครงสร้างของร่างกายเหล่าน้จี ะเป็นไปตามเผ่าพันธ์ุทแ่ี ตกต่าง กนั 1.2 เพศ ทารกทีเ่ กดิ ใหม่จะเป็นเพศหญงิ หรอื ชายนัน้ เป็นอิทธิพลของพันธุกรรม โดยตรง เมอื่ เพศชายและเพศหญงิ เติบโตขึน้ จะมคี วามแตกต่างของร่างกายอย่างชัดเจน ขน้ึ 1.3 หมู่โลหิต ปกติมนุษย์จะมหี มูโ่ ลหติ ที่แตกตา่ งกนั เพียง 4 กลุม่ ไดแ้ ก่ A, B, AB และ O บคุ คลใดจะมีหมู่โลหิตใดขึ้นอยกู่ บั พนั ธกุ รรมจากบิดามารดา 1.4 การทางานของอวัยวะภายใน มกี ารทางานของระบบภายในรา่ งกายท่ไี ดร้ บั ยืนยันวา่ สามารถถ่ายทอดทางพนั ธุกรรมได้ เชน่ ความดันโลหิต เป็นต้น 1.5 ลกั ษณะโรคภัยไขเ้ จบ็ และขอ้ บกพร่องของรา่ งกายบางประการทเี่ กดิ จาก พันธุกรรมเช่น ตาบอดสี ศีรษะล้าน โรคเลอื ดไหลไมห่ ยุด ธาลสั ซีเมีย เบาหวาน ลมบา้ หมู ผิวเผือก นว้ิ เกนิ นวิ้ ตดิ กนั เปน็ ต้น ซ่งึ เปน็ อิทธิพลมาจากการถา่ ยทอดทางพนั ธุกรรม โดยตรง
ชุดกจิ กรรมการเรียนรโู้ ดยใช้กระบวนการสืบเสาะหาความรรู้ ายวิชา พนั ธกุ รรมกบั คณุ ภาพชวี ติ 35 กลุ่มสาระการเรยี นรูว้ ิทยาศาสตร์ สาหรับนักเรยี นชนั้ มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 2 2. ควำมแตกตำ่ งทำงด้ำนสตปิ ัญญำ (Intelligence) ความสามารถทางสตปิ ัญญา หมายถึง ความสามารถของสมองในการจา การคดิ วเิ คราะห์ หาเหตผุ ล การเรยี นรู้ ซงึ่ เป็นสิง่ ที่จับตอ้ งไม่ได้ แสดงออกใหเ้ ห็นผ่านพฤติกรรม ต่างๆ เป็นสงิ่ ที่ถกู กาหนดจากพันธกุ รรมตลอดไปจนถึงส่ิงแวดล้อม และยงั สามารถวัด ออกมาเปน็ คา่ ตวั เลขได้ เพือ่ ใหผ้ ูว้ ัดมองเห็นความบกพร่องของความสามารถทางด้าน อารมณ์ของตนเองท่ีต้องพัฒนาและแกไ้ ข 3. ควำมแตกต่ำงทำงดำ้ นอำรมณ์ (Emotion) เคริ ตช์ และครัตชฟ์ ลิ ด์ (Kretch and Crutchfield) เช่อื วา่ อารมณ์เปน็ สญั ชาต ญาณท่ีติดตัวมากบั มนุษย์แตก่ าเนิดอยา่ งหน่ึง โดยเฉพาะอารมณพ์ ื้นฐาน (Primary Emotion) ได้แก่ รกั โกรธ เกลยี ด กลวั รา่ เรงิ เศร้า สนกุ สนาน เปน็ ต้น ซ่ึงอารมณเ์ หล่าน้ี ถกู ถา่ ยทอดมาจากยีนบรรพบรุ ุษของมนษุ ย์ ดงั น้นั คนเราจึงมีอารมณพ์ น้ื ฐานเหมอื นกัน ทั้งสนิ้ เพยี งแต่มีการแสดงออกทางอารมณ์ทแ่ี ตกตา่ งกัน เชน่ บางคนเมอ่ื โกรธก็จะขวา้ งปา ส่ิงของ หรือบางคนอาจแสดงออกแคก่ ารกามอื แนน่ เป็นต้น ซงึ่ เปน็ ไปตามอิทธิพลของ สง่ิ แวดลอ้ ม โดยเฉพาะการเลีย้ งดขู องพอ่ แม่ นอกจากอารมณพ์ ้นื ฐานแลว้ ยังมีอารมณ์ บางส่วนทีเ่ กดิ จากการเรียนรภู้ ายหลงั เช่น อิจฉา ใจรอ้ น ใจเย็น ตลกขบขัน เป็นต้น 4. ควำมแตกตำ่ งทำงดำ้ นสงั คม (Social) ความแตกต่างทางสงั คม หมายถึง ความแตกตา่ งด้านการแสดงพฤติกรรม ด้านสังคม ไดแ้ ก่ การสรา้ งสัมพนั ธภาพกับสมาชิกอ่ืนในสังคม การวางตัว การปรับตัว การพูดจาสอ่ื สาร การแตง่ กาย การคบเพอ่ื น และบุคลิกภาพทางสังคมอน่ื ๆ เปน็ ต้น ทง้ั น้ี เพราะแตล่ ะบคุ คลมาจากสงั คมทแ่ี ตกต่างกนั เชน่ มาจากครอบครัวท่ีแตกต่างกัน ยอ่ มได้รบั การอบรมเลยี้ งดูท่แี ตกตา่ งกัน บิดามารดามอี าชีพการศกึ ษา ฐานะทางเศรษฐกิจ และลกั ษณะอืน่ ๆ ท่แี ตกตา่ งกัน กจ็ ะส่งผลให้บคุ คลมีลกั ษณะพฤตกิ รรมทางสังคมทีไ่ ม่ เหมอื นกัน
ชุดกจิ กรรมการเรยี นรโู้ ดยใชก้ ระบวนการสบื เสาะหาความรู้รายวชิ า พันธกุ รรมกับคณุ ภาพชีวติ 36 กลมุ่ สาระการเรยี นร้วู ทิ ยาศาสตร์ สาหรบั นกั เรียนชัน้ มธั ยมศกึ ษาปีที่ 2 5. ควำมแตกต่ำงด้ำนบุคลิกภำพ (Personality) บคุ ลกิ ภาพ หมายถึง ลกั ษณะเฉพาะของบคุ คลทีแ่ สดงออกมาทงั้ ทางร่างกายและ จิตใจ ดว้ ยเหตุนีบ้ ุคลิกภาพของแต่ละบคุ คลจงึ แตกตา่ งกันไป นักจิตวิทยาเชื่อว่าบคุ ลกิ ภาพ เปน็ พฤตกิ รรมโดยส่วนรวมทไ่ี ด้ สง่ั สมกันมาเปน็ เวลายาวนาน ดังนนั้ บุคลกิ ภาพจงึ ไดร้ ับ อิทธพิ ลมาจากส่งิ แวดลอ้ มเปน็ สว่ นใหญ่ แต่ท้ังนี้ สิ่งแวดลอ้ มในแต่ละสังคมมคี วามแตกต่าง กนั โดยปัจจัยท่แี ตกต่างในสภาพแวดล้อมทาให้บคุ ลิกภาพของแต่ละบคุ คล ถกู หล่อหลอม ใหม้ ีความแตกตา่ งกันไป อยา่ งไรก็ตาม แมบ้ ุคลกิ ภาพจะเป็นสงิ่ ท่ีสั่งสมมาต้ังแต่เดก็ จนกระท่ังกลายเปน็ นสิ ยั และความเคยชนิ ก็ตาม แต่บุคคลกส็ ามารถพฒั นาบุคลิกภาพที่ ไมพ่ ึงประสงค์ให้ดี
ชุดกิจกรรมการเรียนรโู้ ดยใชก้ ระบวนการสืบเสาะหาความรรู้ ายวิชา พนั ธกุ รรมกบั คณุ ภาพชวี ติ 37 กลุม่ สาระการเรียนร้วู ิทยาศาสตร์ สาหรับนกั เรยี นช้ันมธั ยมศึกษาปที ี่ 2 บตั รกจิ กรรมที่ 5 เร่อื ง ผังมโนทศั น์ลกั ษณะทำงพนั ธกุ รรมและสิง่ แวดลอ้ ม จุดประสงคข์ องบัตรกจิ กรรม ระบอุ ทิ ธิพลจากพนั ธกุ รรมหรอื สิ่งแวดล้อมท่ีมีผลตอ่ การแสดงลกั ษณะพนั ธุกรรม ของส่ิงมีชวี ติ ได้ คำชแี้ จง 1. ให้นกั เรยี นระบลุ กั ษณะของสง่ิ มีชวี ติ ทีไ่ ด้รับอิทธพิ ลจากพนั ธุกรรมหรือ สิ่งแวดลอ้ มท่ีมีผลต่อการแสดงลกั ษณะของสิ่งมีชีวิต ลกั ษณะของสิ่งมีชีวติ ลักษณะทไ่ี ดร้ ับอิทธพิ ลจำก ลกั ษณะท่ไี ด้รบั อิทธิพลจำก พนั ธุกรรม ส่งิ แวดล้อม ……………………………………………………………… ……………………………………………………………… ……………………………………………………………… ……………………………………………………………… ……………………………………………………………… ……………………………………………………………… ……………………………………………………………… ……………………………………………………………… ……………………………………………………………… ……………………………………………………………… ……………………………………………………………… ……………………………………………………………… ……………………………………………………………… ………………………………………………………………
ชุดกจิ กรรมการเรียนรโู้ ดยใชก้ ระบวนการสืบเสาะหาความรรู้ ายวิชา พนั ธกุ รรมกับคณุ ภาพชีวิต 38 กลุ่มสาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์ สาหรับนกั เรียนชน้ั มัธยมศึกษาปที ่ี 2 บตั รนำทำง ขนั้ ประเมินผล (Evaluation Phase) คำช้แี จง ใหน้ กั เรียนศึกษาและปฏบิ ตั ิตามแบบฝกึ หดั ทบทวนความรู้ นักเรียนไดเ้ รยี นรโู้ ดยทากจิ กรรมตา่ งๆ ครบถว้ น ลองทาแบบฝกึ หัดทบทวนความรู้
ชดุ กจิ กรรมการเรยี นรโู้ ดยใชก้ ระบวนการสบื เสาะหาความรูร้ ายวชิ า พันธกุ รรมกบั คณุ ภาพชีวติ 39 กลมุ่ สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ สาหรับนกั เรยี นชัน้ มัธยมศกึ ษาปที ี่ 2 แบบฝกึ หดั ทบทวนควำมรู้ ตอนที่ 1 คำชี้แจง ให้นกั เรียนตอบคาถามตอ่ ไปน้ีใหถ้ ูกตอ้ ง 1. พันธุกรรม หมายถงึ ตอบ .............................................................................................................................................. .............................................................................................................................................. 2. ลกั ษณะทางพันธุกรรมสามารถจาแนกไดก้ ่ปี ระเภท อะไรบ้าง ตอบ .............................................................................................................................................. .............................................................................................................................................. 3. นอกจากพันธุกรรม สิ่งใดอกี บา้ งทม่ี ีผลต่อลกั ษณะทป่ี รากฏของสงิ่ มชี ีวติ ตอบ .............................................................................................................................................. .............................................................................................................................................. 4. นายโอ๋มอี ุปนิสัยร่าเริงและเปน็ มติ ร เช่นเดยี วกนั กับพ่อ แม่ และนอ้ งสาว ลักษณะ ดงั กล่าวเปน็ ลักษณะทางพันธกุ รรมหรือไม่ เพราะเหตใุ ด ตอบ .............................................................................................................................................. .............................................................................................................................................. 5. สขี องสว่ นตา่ งๆ ของพืช เป็นลกั ษณะทางพันธุกรรมหรอื ไม่ อย่างไร ตอบ .............................................................................................................................................. .............................................................................................................................................. ..............................................................................................................................................
ชดุ กจิ กรรมการเรียนรโู้ ดยใชก้ ระบวนการสบื เสาะหาความรรู้ ายวชิ า พนั ธุกรรมกบั คณุ ภาพชวี ิต 40 กลมุ่ สาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์ สาหรับนักเรียนชน้ั มธั ยมศึกษาปีที่ 2 แบบฝกึ หัดทบทวนควำมรู้ ตอนที่ 2 คำชแ้ี จง ให้นกั เรียนดูภาพทีก่ าหนดให้ แลว้ ระบุว่าภาพนั้นเปน็ ลักษณะทางพันธกุ รรมทม่ี ี ความแปรผนั แบบไม่ต่อเนอื่ งหรอื แบบต่อเน่ือง โดยเขยี นเครอ่ื งหมาย ลงในวงกลม หน้าขอ้ ความ แปรผนั แบบต่อเนื่อง แปรผันแบบต่อเนื่อง แปรผันแบบไม่ตอ่ เน่ือง แปรผันแบบไม่ตอ่ เน่ือง แปรผันแบบต่อเนื่อง แปรผันแบบไม่ต่อเนื่อง แปรผนั แบบต่อเน่ือง แปรผันแบบต่อเน่ือง แปรผนั แบบไม่ต่อเน่ือง แปรผนั แบบไม่ตอ่ เนื่อง
ชุดกจิ กรรมการเรยี นรโู้ ดยใชก้ ระบวนการสบื เสาะหาความรูร้ ายวิชา พนั ธุกรรมกับคณุ ภาพชีวิต 41 กลุ่มสาระการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตร์ สาหรบั นกั เรยี นชนั้ มัธยมศกึ ษาปที ี่ 2 แบบฝึกหดั ทบทวนควำมรู้ ตอนที่ 3 คำชแ้ี จง ให้นักเรียนพิจารณาภาพท่กี าหนดใหโ้ ดยทาเครอ่ื งหมาย ลงในช่องว่างแต่ละ ภาพวา่ เกิดจากอิทธิพลของพนั ธุกรรมมากกว่าสิง่ แวดล้อมหรืออทิ ธพิ ลของสิ่งแวดลอ้ ม มากกวา่ พันธกุ รรม พรอ้ มอธิบายเหตุผลมาพอสงั เขป พันธกุ รรมมากกวา่ สงิ่ แวดล้อม สิง่ แวดล้อมมากกวา่ พนั ธุกรรม พนั ธกุ รรมมากกว่าสง่ิ แวดลอ้ ม สิง่ แวดลอ้ มมากกวา่ พนั ธุกรรม พันธกุ รรมมากกว่าสิง่ แวดลอ้ ม ส่ิงแวดลอ้ มมากกวา่ พันธุกรรม
ชุดกจิ กรรมการเรยี นรโู้ ดยใช้กระบวนการสืบเสาะหาความรู้รายวชิ า พนั ธุกรรมกับคณุ ภาพชีวติ 42 กลมุ่ สาระการเรยี นรูว้ ิทยาศาสตร์ สาหรบั นักเรยี นช้ันมธั ยมศกึ ษาปีท่ี 2 แผนผังควำมคดิ (Mind Map) คำช้แี จง นักเรยี นเขยี นแผนผงั ความคดิ (Mind Map) สรุปเรื่อง ลักษณะทางพันธกุ รรมลงใน กระดาษ A4 ท่ีครแู จกให้ ลักษณะทำงพันธกุ รรม
ชดุ กิจกรรมการเรยี นรโู้ ดยใช้กระบวนการสบื เสาะหาความร้รู ายวชิ า พนั ธุกรรมกับคณุ ภาพชีวิต 43 กลุ่มสาระการเรยี นรวู้ ิทยาศาสตร์ สาหรับนักเรียนชัน้ มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 2 แบบทดสอบหลังเรยี น เร่อื ง ลกั ษณะทำงพันธกุ รรม คำช้ีแจง 1. แบบทดสอบเปน็ แบบเลือกตอบ 4 ตวั เลือก จานวนท้ังหมด 10 ข้อ 10 คะแนน ใช้ เวลา 10 นาที 2. ให้นักเรียนเลอื กคาตอบทถี่ กู ต้องเพยี งข้อเดียว แลว้ ทาเคร่อื งหมายกากบาท (X) ลงใน กระดาษคาตอบ 1. ในการศึกษาทางพนั ธุกรรม ควรใช้สง่ิ มชี ีวิตลักษณะใดต่อไปน้ี ก. ส่งิ มีชีวติ ท่ีมีขนาดเล็ก ข. ส่งิ มีชีวติ ท่ีมขี นาดใหญ่ ค. สิง่ มชี ีวติ ทีม่ ีการสบื พันธุ์ได้เร็ว ง. สงิ่ มีชวี ิตทม่ี ีลักษณะเป็นพันธ์แุ ท้ 2. ข้อใดหมายถึงลักษณะทางพนั ธกุ รรม ก. ลักษณะของสิ่งมีชีวิตทคี่ วบคุมโดยยนี ข. ลกั ษณะซงึ่ ถ่ายทอดจากร่นุ หนึง่ ไปยังรุ่นต่อไป ค. ลกั ษณะสบื เน่อื งกนั ไปโดยอาศยั เซลล์สืบพนั ธเุ์ ป็นสอื่ กลาง ง. ถกู ทุกข้อ 3. ขอ้ ใดไม่ใช่ลักษณะทางพันธุกรรม ก. ความประพฤติ ข. ตาบอดสี ค. โลหิตจาง ง. ศีรษะลา้ น
ชดุ กจิ กรรมการเรยี นรโู้ ดยใช้กระบวนการสบื เสาะหาความรรู้ ายวชิ า พันธุกรรมกับคณุ ภาพชวี ติ 44 กลุ่มสาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์ สาหรับนกั เรยี นชน้ั มธั ยมศึกษาปที ่ี 2 4. ลกั ษณะทางพันธุกรรมและสภาพแวดล้อม มอี ิทธิพลต่อลกั ษณะของสงิ่ มชี ีวติ ลกั ษณะ ใดตอ่ ไปน้ี เกดิ จากอิทธิพลลักษณะทางพันธุกรรมเพยี งอยา่ งเดยี ว ก. หมูเ่ ลือด ข. ความดนั โลหติ ค. ระดบั สติปัญญา ง. นา้ หนกั และสว่ นสงู 5. ข้อใดกลา่ วถึงลักษณะทางพนั ธุกรรมทม่ี กี ารแปรผันแบบไม่ตอ่ เน่อื งได้ถกู ตอ้ ง 1. มกั ถูกควบคุมด้วยยีนนอ้ ยคู่ 2. เปน็ ลกั ษณะทางพันธกุ รรมท่ีมีระดับแตกต่างกนั เลก็ ๆ นอ้ ยๆ 3. เป็นลักษณะทางพันธกุ รรมที่สามารถแยกแตกตา่ งกนั ชัดเจน 4. มกั เกยี่ วขอ้ งกบั ทางดา้ นปรมิ าณ เช่น นา้ หนกั ความสงู ระดับสตปิ ัญญา ก. ขอ้ 1 และ 4 ข. ขอ้ 2 และ 3 ค. ข้อ 1 และ 3 ง. ขอ้ 2 และ 4 6. ลกั ษณะใดต่อไปน้เี ป็นลักษณะทางพนั ธกุ รรมทม่ี กี ารแปรผันแบบต่อเน่อื ง ก. การมีต่งิ หู การมผี วิ เผอื ก ข. การมีลักยิม้ การมีหนังตาชน้ั เดยี ว ค. ความสงู ของคน ปรมิ าณการใหน้ มของวัว ง. หมเู่ ลือด ความสามารถในการหอ่ ลน้ิ
ชุดกิจกรรมการเรยี นรโู้ ดยใชก้ ระบวนการสืบเสาะหาความรู้รายวิชา พันธุกรรมกับคณุ ภาพชวี ิต 45 กล่มุ สาระการเรยี นร้วู ทิ ยาศาสตร์ สาหรบั นักเรียนชั้นมธั ยมศกึ ษาปีท่ี 2 7. ขอ้ ใดเป็นลักษณะทางพันธุกรรมทม่ี ีความแปรผันแบบไม่ตอ่ เนอ่ื ง ก. นา้ หนกั ข. ลักยม้ิ ค. ส่วนสูง ง. ผมหยกิ 8. ข้อใดผดิ หลกั การถา่ ยทอดลกั ษณะทางพันธกุ รรม นายแดงอาจไดร้ ับลักษณะนยั นต์ า สีนา้ ตาลมาจาก ก. ป่หู รือย่า ข. ป่หู รือตา ค. ตาหรือยาย ง. แมห่ รือปา้ 9. ข้อใดไม่เกย่ี วกบั การถ่ายทอดลกั ษณะทางพันธกุ รรม ก. ผมตรง ข. ผวิ เผอื ก ค. ดวงตาสีนา้ ตาล ง. ผิวคลา้ เพราะอาบแดด 10. กาหนดให้ 1. พนั ธกุ รรม 2. การแปรผนั 3. สงิ่ แวดลอ้ ม 4. การเปล่ียนแปลงยนี พน่ี อ้ งทเ่ี กดิ จากพอ่ แมเ่ ดียวกนั เม่ือไปชง่ั น้าหนักจะมีทัง้ น้าหนักใกล้เคยี งและ น้าหนกั แตกต่างกัน ทีเ่ ปน็ เช่นนีเ้ น่ืองจากอิทธิพลในขอ้ ใด ก. ขอ้ 1 และ 2 ข. ขอ้ 1 และ 3 ค. ข้อ 3 และ 4 ง. ข้อ 1 และ 4
ชดุ กิจกรรมการเรยี นรโู้ ดยใช้กระบวนการสบื เสาะหาความรรู้ ายวชิ า พันธุกรรมกบั คณุ ภาพชวี ติ 46 กลมุ่ สาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์ สาหรบั นกั เรียนชนั้ มัธยมศกึ ษาปีท่ี 2 กระดำษคำตอบ แบบทดสอบหลังเรียน กลมุ่ สาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์ ช้ันมัธยมศึกษาปที ่ี 2 ชดุ กจิ กรรมท่ี 1 ลักษณะทางพนั ธกุ รรม ชือ่ –สกุล ...............................................................................เลขท.ี่ ...............ชน้ั ................ ข้อ ก ข ค ง 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 คะแนนทไี่ ด้.................................คะแนน
ชดุ กจิ กรรมการเรยี นรโู้ ดยใชก้ ระบวนการสบื เสาะหาความรู้รายวิชา พนั ธกุ รรมกบั คณุ ภาพชีวติ 47 กลุ่มสาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์ สาหรบั นักเรียนชัน้ มธั ยมศกึ ษาปีที่ 2 บตั รเฉลย แบบทดสอบก่อนเรยี น ขอ้ ก ข ค ง 1× 2× 3× 4× 5× 6× 7× 8× 9× 10 × คะแนนทไี่ ด.้ ................................คะแนน
ชดุ กจิ กรรมการเรยี นรโู้ ดยใชก้ ระบวนการสบื เสาะหาความรูร้ ายวชิ า พนั ธกุ รรมกบั คณุ ภาพชีวติ 48 กลุ่มสาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์ สาหรับนกั เรยี นชัน้ มธั ยมศกึ ษาปีที่ 2 บตั รเฉลย แบบทดสอบหลังเรียน ขอ้ ก ข ค ง 1× 2× 3× 4× 5× 6× 7× 8× 9× 10 × คะแนนทไ่ี ด.้ ................................คะแนน
Search