กจิ วตั รของชาวพทุ ธ คือ การสวดมนต์ภาวนา อนั เป็ น อบุ ายทาจิตให้สงบเป็ นสมาธิ และสร้างเสริมกาลงั ใจ นามาซึ่ง ความเป็ นสิริมงคลแก่ชีวติ การสวดมนต์ท่ี 2 ลกั ษณะ คือ การสวด เป็ นภาษาบาลี และการสวดเป็ นภาษาบาลแี ละคาแปลทเี่ รียกกนั ทว่ั ไปว่า สวดมนต์แปล ซึ่งจะทาให้รู้และเข้าใจความหมาย บท สวดมนต์ ชาวพทุ ธเม่ือสวดมนต์จบแล้วนิยมต่อด้วยแผ่เมตตา
การสวดมนต์แปล คือ การสวดบทสวดมนต์ด้วยภาษา บาลพี ร้อมกบั คาแปลภาษาไทย บทสวดมนต์คือ หลกั ธรรมคา สอนของพระพทุ ธเจ้า เพื่อให้รู้ความหมายของบทสวดมนต์ 7 ได้มกี ารแปลเป็ นภาษาไทยและนามาสวดสาธยาย การสวดมนต์ แปลเป็ นวธิ ีการเรียนรู้หลกั คาสอนในพระพทุ ธศาสนาอกี ทาง หน่ึงด้วย ซึ่งการสวดมนต์มี 2 อย่างคือ การสวดมนต์แปลด้วย ปาก และการสวดมนต์ด้วยใจ
ประโยชน์ของการสวดมนต์แปล 1. ทาให้รู้และเข้าใจความหมาย ของบทสวดมนต์ เพราะเป็ นการเรียน พระพทุ ธศาสนาผ่านบทสวดมนต์ 2. ทาให้จิตสงบเป็ นสมาธิ เป็ นอุบายพฒั นาปัญญา เพราะขณะสวดมนต์ต้องใช้สตกิ ากบั ตลาดเวลาจึงจะสวดได้ ถูกต้อง
3. เสริมสร้างกาลงั ใจและนามาซึ่งความเป็ นสิริมงคลหรือความดี แก่ชีวติ 4. เกดิ ความแคล้วคลาดปลอดภยั เม่ือนาข้อคดิ คตธิ รรมจากบท สวดมนต์ไปปฏบิ ตั ไิ ม่ประมาทในกาดาเนินชีวติ เพราะบทสวดมนต์ที่ สวดจะคอยเตือนใจตนเองให้ประพฤตติ อนอยู่ในความดเี สมอ การสวดมนต์แปลเป็ นการเรียนรู้หลกั ธรรมผ่านบทสวดมนต์ เป็ นการขดั เกลาจติ ใจตนเองให้ต้งั อยู่ในความดแี ละเข้าใจในพระคุณของ พระรัตนตรัย คือ พระพทุ ธ พระธรรม และพระสงฆ์
การแผ่เมตตา การสวดมนต์และการแผ่เมตตาเป็ นกจิ เบื้องต้นก่อนการฝึ ก สมาธิ การแผ่เมตตาเป็ นการแสดงออกถงึ ไมตรีจิตต่อมติ รและ ศัตรู และการสวดมนต์เป็ นการทาความดเี ฉพาะตน เพราะขณะท่ี สวดมนต์ต้องทาใจให้เป็ นสมาธิ ประคองจติ ตนเองไปตามเนื้อหา ในบทสวดมนต์ เม่ือเราทาความดแี ล้วจึงควรเผ่ือแผ่ความดที ไ่ี ด้ กระทาด้วยการแผ่เมตตา อทุ ศิ ส่วนกศุ ลให้กบั บุคคลทเี่ ราต้องการ ส่งความปรารถนาดไี ปให้
ประโยชน์ของการแผ่นเมตตา 1. หลบั เป็ นสุข ตื่นเป็ นสุข ไม่ฝัน ร้ายในเวลาหลบั 2. เป็ นทร่ี ักใคร่ท้งั ของมนุษย์และ อมนุษย์ และเทวดาคุ้มครองรักษา 3. ป้องกนั อนั ตรายจากไฟ ศัสตราวธุ ยาพษิ ได้
4. ใบหน้าผ่องใสเบิกบาน 5. จติ ต้งั มัน่ เป็ นสมาธิเร็ว 6. ไม่เป็ นผู้หลงตาย ไม่หลง ละเมอเพ้อร้องคร่าครวญในขณะที่ กาลงั จะสิ้นชีวติ 7. ได้ไปเกดิ ในภพภูมทิ ด่ี ี
หลกั การแผ่เมตตา เป็ นหลกั คาสอนสาคญั ประการหน่ึงใน พระพทุ ธศาสนา เป็ นการสอนเพื่อไม่ให้มกี ารแบ่งแยก ให้มใี จ กว้าง ไม่ถือเขา ถือเรา เพื่อไม่ให้เกดิ การเบยี ดเบยี นรังแกเพ่ือน มนุษย์ด้วยกนั ส่งเสริมให้เกดิ ภราดรภาพ ความเป็ นพน่ี ้องกนั มติ รภาพ ความเป็ นเพื่อนพ้องเดยี วกนั สันตภิ าพความสงบสุข ของโลก และเป็ นคาสอนเพื่อมนุษยธรรม คือ ความเห็นอกเห็นใจ เพ่ือนมนุษย์ด้วยกนั
การบริหารจิต คือ การฝึ กอบรม จิต หรือการพฒั นาจติ ให้เป็ นสมาธิ มี ความแน่วแน่มนั่ คงบุคคลทฝี่ ึ กจิตดี แล้วจะทาให้มคี วามมนั่ คงทางอารมณ์ มบี ุคลกิ ภาพของความเป็ นผู้สงบท้งั ภายในและภายนอกคือ เป็ น ผู้มกี ายสงบและมใี จสงบ
การบริหารจติ มปี ระโยชน์ในระดบั พืน้ ฐาน คือ เกดิ ความม่นั ใจและมสี ตกิ ากบั ในการทางานไม่ให้เกดิ ความ ผดิ พลาดและในระดบั สูง คือ สามารถละกเิ ลสอนั เป็ นเครื่อง ป้องกนั กบั ความดี ที่เรียกว่า นิวรณ์ได้ จนถงึ เกดิ ความรู้แจ้ง เห็นจริงในความจริงของชีวติ ตามธรรมชาติ และบรรลุ นิพพานอนั เป็ นเป้าหมายสูงสุดของพระพทุ ธศาสนา
การบริหารจติ ยงั ก่อให้เกดิ ประโยชน์โดยสรุปดงั นี้ 1. ดบั กเิ ลสได้ อนั เป็ นมุ่งหมายและประโยชน์อย่างแท้จริงของ การฝึ กจติ ตามหลกั พระพทุ ธศาสนา 2. พฒั นาความสามรถพเิ ศษเหนือสามัญวสิ ัย คือ ความสามารถ ทมี่ นุษย์ท้งั ไปไม่มี เป็ นผลสาเร็จในระดบั สูงของการพฒั นาจิต เรียกว่า การได้อภญิ ญา เช่น การทายใจผู้อ่ืนได้ การระลกึ ชาตไิ ด้ เป็ นต้น 3. พฒั นาสุขภาพจติ และพฒั นาบุคลกิ ภาพทาให้เป็ นคนมี สุขภาพจติ ดี มีบุคลกิ ลกั ษณะความเป็ นคนเข้มแขง็ มัน่ คงในอารมณ์ สุภาพ นิ่มนวล สดชื่น ผ่องใส เบิกบาน ตระหนักรู้และเข้าใจตนเอง
4. พฒั นาสุขภาพกาย อนั เป็ นผลมาจากระบบประสาท เคร่งเครียด รักษาโรคบางชนิด เช่น โรคกระเพาะอนั เป็ นผลมา จากความเครียด โรคความดนั โลหิตสูง หลบั สบาย เป็ นต้น 5. ผ่อนคลายความเครียดจากการทางาน มคี วามสงบ ไม่ กระวนกระวาย หยดุ ความวติ กกงั วล 6. เสริมสร้างประสิทธิภาพในการทางาน การเรียนหนังสือ เพราะจิตทเ่ี ป็ นสมาธิจะช่วยให้การทางาน การเรียน เป็ นไปอย่าง รอบคอบ ไม่ผดิ พลาด
การบริหารจติ ตามหลกั พระพทุ ธศาสนามกี จิ เบื้องต้นทีพ่ งึ กระทาดงั นี้ 1) สมาทานศีล เพ่ือให้จิตบริสุทธ์ิ เพราะศีลเป็ นพืน้ ฐาน สาคญั ในการทาสมาธิ 2) ระลกึ ถงึ คุณพระรัตนตรัย ต้งั จิตน้อมระลกึ ถึงคุณพระ พทุ ธ พระธรรม และพระสงฆ์ ยดึ เอาพระรัตนตรัยเป็ นทพี่ งึ่ ที่ ระลกึ ถึง เพ่ือปูพืน้ ฐานความศรัทธาและความเชื่อมนั่ สร้างความ ผ่องใสเบิกบานให้เกดิ ขนึ้ ในจติ ใจ
3) แผ่เมตตา ส่งความปรารถนาดไี ปยงั มนุษย์และสัตว์ทุก จาพวก ให้ปราศจากทุกข์และเป็ นสุขโดยทวั่ กนั เพื่อความ ปลอดภยั จากศัตรูและการพยาบาทจองเวร 4) ตดั ความกงั วลออกไปจากใจชั่วคราว เช่น เรื่องงาน การ เรียน ญาติ พนี่ ้อง เป็ นต้น ไม่คดิ ถึงเรื่องทผี่ ่านมาแล้ว ไม่กงั วลถงึ เร่ืองทย่ี งั ไม่เกดิ ขนึ้ จิตกาหนดเฉพาะปัจจุบนั คือ ลมหายใจเข้า ออก เพ่อไม่ให้ใจลอย ไม่ฟุ้งซ่านในขณะทาสมาธิ
5) กาหนดเวลาในการฝึ ก เวลาทด่ี ี ทสี่ ุดในการฝึ กสมาธิ คือ เวลาก่อนนอน ภายหลงั จากไหว้พระสวดมนต์แล้ว หรือ เวลาต่ืนนอน โดยใช้เวลาในการฝึ กคร้ังละ ประมาณ 15 – 20 นาที หรือ 1 ชั่วโมง สาหรับนักเรียนที่ใช้ห้องเรียนหรือห้อง จริยธรรมเป็ นสถานทฝ่ี ึ ก ควรใช้เวลา อย่างน้อยคร้ัง 10-15 นาที
อานาปานสติ แปลว่า การระลกึ ถงึ ลมหายใจเข้าออก การบริหารจติ โดยวธิ ีอานาปานสตจิ งึ หมายถึง การใช้สติ กาหนดพจิ ารณาลมหายใจเข้าออกเพื่อให้จิตเป็ นสมาธิ การ บริหารจติ ตามหลกั อานาปานสตมิ อี ยู่หลายวธิ ี แต่ทนี่ ิยม ปฏิบัติกนั ท่ัวไป คือ การกาหนดลมหายใจว่า “พทุ ธ-โท”
หลกั การฝึ กปฏบิ ตั ดิ งั นี้ 1) การนั่ง นั่งกบั พืน้ บุรุษ นั่งขดั สมาธิ สตรีน่ังพบั เพยี บหรือจะ น่ังขดั สมาธิกไ็ ด้ เท้าขวาทบั เท้าซ้าย มือขวา ทบั มือซ้าย น่ังตัวตรง กาหนดลมหายใจให้ สะดวก กาหนดสตใิ ห้มน่ั คงพร้อมกบั ภาวนาว่า “พทุ ” เม่ือหายใจเข้า และภาวนา ว่า “โธ” เมื่อหายใจออก
2) การกาหนดลมหายใจ มขี ้นั ตอนปฏบิ ตั ิดงั นี้ (1) กาหนดจิตวงิ่ ตามลม เม่ือเร่ิมกาหนดลมหมายใจก็สูดลม หายใจเข้าให้แรงจนเตม็ ปอดประมาณ 3 คร้ัง เพ่อจะกาหนดการ เข้า – ออกได้สะดวก และกาหนดพจิ ารณาดงั นี้ 1. ปล่อยลมหายใจเข้า – ออก ตามสบาย เข้ากใ็ ห้รู้ว่าเข้า ออกกใ็ ห้รู้ว่า ออก ยาวกไ็ ห้รู้ว่ายาว ส้ันกใ็ ห้รู้ว่าส้ัน 2. หายใจเข้าภาวนา ว่า “พทุ ธ หายใจออกภาวนาว่า “โธ”
3. ส่งใจกาหนดวงิ่ ตามลมหายใจไปตามจุดกาหนด ท้งั 3 จุด คือ ปลายจมูกท่ามกลางอก และทท่ี ้อง ปลายจมูก เป็ นต้นลมของลมหายใจเข้า กลางอกเป็ นท่ามกลาง ท้อง เป็ นทส่ี ุดของลม เมื่อลมออก ท้องเป็ นต้นลมของลม หายใจออก กลางอกเป็ นท่ามกลาง และปลายจมูกเป็ นทส่ี ุด ของลมหายใจออก
(2) กาหนดจติ น่ิงอยู่ทกี่ าหนด เม่ือจติ ไม่ฟุ้งซ่านไปตามอารมณ์ ภายนอกแล้ว ให้เปลย่ี นมากาหนดจิต ไว้ทจ่ี ุดใดจุดหน่ึง โดยไม่ต้องวง่ิ ตามลม หายใจเหมือนในข้นั แรก คือ ปลายจมูก ท่ามกลางอก และทท่ี ้อง ตามความถนัดของแต่ละคน แต่โดยทวั่ ไปท่นี ิยม กนั คือ การกาหนดสตพิ จิ ารณาลมหายใจทปี่ ลายจมูก อนั เป็ น ทางเข้าออกของลมหายใจ
การเจริญปัญญา คือ การส่งเสริมและพฒั นาให้เกดิ ปัญญาเป็ นวธิ ีปฏิบตั ิกรรมฐานอย่างหน่ึง เรียกว่า วปิ ัสสนากรรมฐาน ดงั น้ัน การบริหารจติ และการเจริญ ปัญญาจงึ เป็ นกระบวนการต่อเน่ืองกนั จิตที่ได้รับการ อบรมและพฒั นาดีแล้วจะเป็ นฐานแห่งการเกดิ ปัญญาทด่ี ี
การเจริญปัญญาตามหลกั โยนิโสมนสิการ การคดิ แบบโยนิโสมนสิการ หมายถึง การคดิ เป็ น คดิ ถูกต้องตามความเป็ นจริง โดยอาศัยการเกบ็ ข้อมูลอย่างเป็ นระบบ และคดิ เชื่อมโยงตคี วามวเิ คราะห์ข้อมูลเพ่ือนาไปใช้ประโยชน์ อย่างเหมาะสมโยนิโสมนสิการเป็ นข้นั ตอนสาคญั ในการสร้าง ปัญญาทบ่ี ริสุทธ์ิและเป็ นอสิ ระ ทาให้ทุกคนช่วยตนเองได้โยนิโส มนสิการมใิ ช่ตวั ปัญญา แต่เป็ นปัจจยั ให้เกดิ การใช้ปัญญา และทา ให้ปัญญาเจริญงอกงามยง่ิ ขนึ้ ไป
วธิ ีคดิ แบบอริยสัจและวธิ ีคดิ แบบสืบสาวเหตุปัจจยั อริยสัจ คือ หลกั ความจริงทสี่ อนให้รู้สภาพปัญหา สาเหตุของปัญหา และวธิ ีแก้ปัญหาซึ่งเป็ นทางออกและมี ทางเลือกในการแก้ปัญหา กล่าวได้ว่าอริยสัจเป็ นแม่บทของการ แก้ปัญหาตามนัยแห่งพระพุทธศาสนา จงึ เรียกโยนิโส- มนสิการวธิ ีนีว้ ่า วธิ ีคดิ แบบอริยสัจหรือวธิ ีคิดแบบแก้ปัญหา
วธิ ีคดิ แบบอริยสัจ เป็ นมรรควธิ ีแห่งการดบั ทุกข์ หรือ การแก้ปัญหา และเป็ นกระบวนการคดิ หลกั ทค่ี รอบคลมุ วธิ ี คดิ ตามหลกั โยนิโสมนสิการ แบบอื่นท้งั หมด โดยวธิ ีคดิ หลกั นีม้ ลี กั ษณะ 2 ประการดงั นี้ 1. เป็ นกระบวนการคดิ ตามหลกั แห่งเหตุและผล เป็ นไปตามเหตุและผล โดยการสืบสาวจากผลไปหาเหตุแล้ว แก้ไขทต่ี ้นเหตุแห่งปัญหาน้ันๆ
2. เป็ นกระบวนการแห่งการกาหนดรู้ ด้วยการทา ความเข้าใจปัญหาท่ีชัดเจนย่างแท้จริงแล้วคดิ ค้นและแก้ไขท่ี ต้นเหตุของปัญหาให้ตรงจุด ตรงเรื่อง ตรงความมุ่งหมาย และต้องเป็ นกระบวนการแก้ปัญหาทปี่ ฏิบัตไิ ด้จริง
กรณศี ึกษา ปัญหาความยากจน อาจมีสาเหตุหลายประการ เช่น เล่นการ พนัน (ตดิ อบายมุข) ขาดความขยนั หมั่นเพยี รในการทางาน ไม่มีอาชีพ ทแ่ี น่นอน เร่ร่อนพเนจร ถ้าเราสามารถเข้าใจสาเหตุปัญหาอย่างถ่องแท้ กจ็ ะสามารถคดิ หาวธิ ีแก้ไขปัญหาได้ตรงจุด ซึ่งในกรณปี ัญหาความ ยากจนนี้ สามารถแก้ไขได้โดยการงดเว้นอบายมุขต่าง ๆ ขยนั และมุ่งมน่ั ต่อการทางาน ไม่เลือกงาน ประกอบอาชีพตามฐานะ เม่ือเราคดิ ได้เช่นนี้ กจ็ ะทาให้ปัญหาความยากจนหมดไป ชีวติ กจ็ ะมีความเป็ นอยู่ดขี นึ้ พอ อยู่พอกนิ ตามอตั ภาพ
วธิ ีคดิ แบบสืบสาวเหตุปัจจัย กระบวนการคดิ ทเ่ี ริ่มจากการพจิ ารณาเหตุการณ์ หรือปรากฏการณ์ทเ่ี กดิ ขนึ้ อนั เป็ นผลจากการกระทาต่างๆ แล้วสืบค้นหรือสืบสาวไปถงึ สาเหตุขององค์ประกอบ สาคญั คือ เหตุสาคญั หรือสาเหตุหลกั ทท่ี าให้เกดิ ผลเช่นน้ัน และปัจจัย ได้แก่ สาเหตุรองหรือเงื่อนไขอื่นทเี่ กย่ี วข้องกบั ผลทเี่ กดิ ขนึ้
Search
Read the Text Version
- 1 - 31
Pages: