Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore Fun science

Fun science

Published by danai31072549, 2020-02-12 22:11:49

Description: Fun science

Search

Read the Text Version

วิทยาศาสตร์ หมายถึง ความรู้เกี่ยวกับสิ่งต่าง ๆ ในธรรมชาติทั้งที่มีชีวิตและไม่มีชีวิต รวมทง้ั กระบวนการประมวลความรเู้ ชงิ ประจักษ์ ทีเ่ รยี กว่ากระบวนการทางวิทยาศาสตร์ และ กล่มุ ขององค์ความร้ทู ่ไี ด้จากกระบวนการดังกล่าว ด.ช พีรณฐั ปนั งาม เลขท่ี 8 ม.1/6 ด.ช ณัฐกร ไชยวรรณ เลขท่ี 3 ม.1/6

คานา รายงานเรอ่ื งน้ีเปน็ สว่ นหน่ึงในรายวชิ า ว32101 ดวงดาวและโลกของเรา ส่งเสรมิ ใหน้ ักเรียนหา ความร้ขู อ้ มูลเพ่ิมเตมิ และทาใหก้ ารเรียนรู้ดูน่าสนใจ ใหผ้ ู้เรยี นมคี วามสนใจกับการเรียนรูด้ ้วยตัวเอง มากข้นึ เพอ่ื เป็นสือ่ การเรียนการสอนให้แกผ่ ้เู รียน โดยจะทาเสนอรายงานเลม่ นีค้ วบค่ไู ปกบั สือ่ การ เรียนการสอนแบบพาวเวอร์พ้อย (Power Point) เพ่ือใหผ้ เู้ รียนสามารถเรียนรู้และศกึ ษาค้นควา้ ได้ ด้วยตนเองและได้นาเสนอความรู้ทตี่ นเองศกึ ษาใหผ้ ู้อนื่ สามารถเรียนร้แู ละทาความเข้าใจกบั เนอ้ื หา ได้ เปรียบเสมือนร่วมกนั แบ่งปันความรู้ใหก้ นั และกันระหว่างผเู้ รียน และสามารถนาความรู้ทไ่ี ดไ้ ป ประยุกต์ในชวี ติ ประจาวนั

สารบัญ หนา้ คานา 2 สารบัญ เร่ืองวิทยาศาสตร์คานวณ 3 เร่ืองผู้คน้ พบวทิ ยาศาสตร์ วิทยาศาสตรธ์ รรมชาติ 4 ดาราศาสตร์ 7 แหล่งอ่างองิ 11 12 15

เร่อื ง คานวณ ปจั จุบนั การพฒั นาด้านเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์และการส่อื สารได้ นามาใชเ้ ปน็ เคร่อื งมือ ชว่ ยในการทางาน การศึกษา การเรยี นรใู้ หม้ ี ประสทิ ธภิ าพและสะดวกสบายมากข้นึ การเรียนร้เู กีย่ วกับเทคโนโลยี สารสนเทศและการส่อื สารท่ีผ่านมาอาจไม่เพียงพอสาหรับการดาเนนิ ชีวิตในยุคเศรษฐกิจดิจทิ ัลที่ตอ้ งมีพนื้ ฐานความรแู้ ละทักษะเพ่อื แกป้ ญั หาในชวี ติ จริงหรือพัฒนานวตั กรรม และใชท้ รัพยากรดา้ น เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในการสร้างองคค์ วามรูห้ รือ สรา้ งมูลค่าให้เกดิ ข้ึนได้อยา่ งสร้างสรรค์

ซ่งึ ในระดับช้นั ชนั้ มัธยมตอนต้นจะเป็นการเรยี นการสอนทีเ่ นน้ การออกแบบและการเขยี นโปรแกรมอยา่ งงา่ ย เพ่อื เปน็ การฝกึ แกไ้ ขปญั หาทางคณิตศาสตรแ์ ละวทิ ยาศาสตร์ไปพรอ้ ม ๆ กนั สว่ นในระดบั ชนั้ มธั ยมตอนปลาย จะเปน็ การประยกุ ต์ใช้แนวคดิ เชิงคานวณ เพอ่ื นาไปใชใ้ นการบูรณาการกับโครงานวชิ าอ่นื ๆ อยา่ งสรา้ งสรรคแ์ ละมปี ระสทิ ธภิ าพมากท่ีสดุ

ซงึ่ ในระดับชั้นชน้ั มัธยมตอนต้นจะเปน็ การเรียนการสอนที่เนน้ การ ออกแบบและการเขยี นโปรแกรมอยา่ งงา่ ย เพื่อเปน็ การฝกึ แก้ไขปญั หา ทางคณิตศาสตรแ์ ละวทิ ยาศาสตรไ์ ปพรอ้ ม ๆ กนั ส่วนในระดบั ชนั้ มัธยม ตอนปลาย จะเปน็ การประยกุ ตใ์ ช้แนวคิดเชิงคานวณ เพ่อื นาไปใชใ้ น การบรู ณาการกบั โครงานวชิ าอน่ื ๆ อย่างสรา้ งสรรคแ์ ละมีประสทิ ธภิ าพ มากทส่ี ดุ

เร่อื งผคู้ น้ พบ ไอแซก นิวตัน เซอรไ์ อแซก นิวตัน (องั กฤษ: Isaac Newton; 25 ธันวาคม ค.ศ. 1641 – 20 มีนาคม ค.ศ. 1725 ตามปฏิทินจูเลยี น)1 นักฟสิ ิกส์ นกั คณติ ศาสตร์ นักดาราศาสตร์ นกั ปรัชญา นกั เลน่ แร่แปรธาตุ และนกั เทววิทยาชาวอังกฤษ งานเขียนในปี พ.ศ. 2230 เรื่อง Philosophiæ Naturalis Principia Mathematica (เรียกกันโดยท่วั ไปวา่ Principia) ถือเปน็ หนงึ่ ในหนงั สือท่ีมอี ทิ ธพิ ลท่สี ุดใน ประวตั ิศาสตร์วทิ ยาศาสตร์ เปน็ รากฐานของวชิ ากลศาสตรด์ งั้ เดิม ในงานเขยี นชน้ิ นี้ นวิ ตัน พรรณนาถึง กฎแรงโน้มถว่ งสากล และ กฎการเคลอื่ นทข่ี องนวิ ตนั ซ่งึ เปน็ กฎทางวิทยาศาสตร์ อันเป็นเสาหลกั ของการศกึ ษาจกั รวาลทางกายภาพตลอดช่วง 3 ศตวรรษถดั มา นิวตนั แสดงให้ เห็นวา่ การเคลือ่ นทข่ี องวตั ถุต่างๆ บนโลกและวตั ถุท้องฟ้าลว้ นอยูภ่ ายใต้กฎธรรมชาติชนดิ เดียวกนั โดยแสดงใหเ้ ห็นความสอดคล้องระหวา่ งกฎการเคล่อื นทขี่ องดาวเคราะหข์ องเคปเลอร์ กบั ทฤษฎแี รงโน้มถว่ งของตน ซ่ึงช่วยยนื ยนั แนวคิดดวงอาทิตย์เปน็ ศนู ย์กลางจกั รวาล และช่วย ใหก้ ารปฏิวัตวิ ิทยาศาสตร์กา้ วหนา้ ยิง่ ขึน้

โรเบริ ต์ บอยล์ โรเบริ ์ต บอยล์ (องั กฤษ: Robert Boyle; FRS[4]; 25 มกราคม ค.ศ. 1627 – 31 ธันวาคม ค.ศ. 1691) เป็นชาวแองโกล-ไอริช[5] เป็นนักปรชั ญาธรรมชาติ นักเคมี นกั ฟิสกิ ส์ และนักประดษิ ฐใ์ นช่วง คริสตศ์ ตวรรษท่ี 17 ผลงานท่ีโดดเด่นของบอยลค์ ือ เป็นผ้คู ิดค้นกฎของบอยล์[6] ซึงอธบิ ายว่า ความสมั พนั ธเ์ ชงิ สัดส่วนจะผกผันระหวา่ งความดันสัมบรู ณ์และปรมิ าตรของก๊าซ ถ้าอุณหภูมถิ กู ทาให้คงท่ี ภายในระบบปิด (ทางฟสิ ิกส์)

อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ อัลแบร์ท ไอนช์ ไตน์ (เยอรมัน: Albert Einstein) หรือ อัลเบริ ต์ ไอนส์ ไตน์ เป็นศาสตราจารย์ทาง ฟิสกิ ส์และนักฟิสิกสท์ ฤษฎี ชาวเยอรมนั เชอื้ สายยวิ ซึ่งเปน็ ทีย่ อมรับกันอย่างกวา้ งขวางว่าเป็น นกั วิทยาศาสตร์ทย่ี ่ิงใหญท่ ส่ี ดุ ในคริสตศ์ ตวรรษที่ 20 เขาเป็นผเู้ สนอทฤษฎสี ัมพทั ธภาพ และมสี ่วนรว่ มในการ พฒั นากลศาสตร์ควอนตัม กลศาสตร์สถิติ และจกั รวาลวิทยา เขาได้รบั รางวลั โนเบลสาขาฟิสิกสใ์ น พ.ศ. 2464 จากการอธิบายปรากฏการณโ์ ฟโตอิเล็กทริก และจาก \"การทาประโยชน์แก่ฟิสิกสท์ ฤษฎ\"ี หลังจากทีไ่ อน์สไตน์คน้ พบทฤษฎีสัมพทั ธภาพทวั่ ไป ในปี พ.ศ. 2458 เขากก็ ลายเปน็ ผู้ท่ีมีช่ือเสยี งซง่ึ เป็นเรอื่ งท่ีไม่ค่อยธรรมดานักสาหรับนกั วทิ ยาศาสตรค์ นหน่ึง ในปีต่อ ๆ มา ช่ือเสยี งของเขาได้ขยายออกไป มากกว่านักวทิ ยาศาสตร์คนอื่น ๆ ในประวตั ิศาสตร์ ไอน์สไตน์ ไดก้ ลายมาเป็นแบบอยา่ งของความฉลาดหรือ อัจฉริยะความนิยมในตวั ของเขาทาให้มีการใช้ชื่อไอนส์ ไตน์ในการโฆษณา หรือแม้แตก่ ารจดทะเบียนชอ่ื \"อลั เบริ ์ต ไอน์สไตน์\" ใหเ้ ปน็ เคร่ืองหมายการค้า

มารี กูว์รี มารี กวู ์รี เป็นชาวโปแลนด์ เกดิ เม่ือวนั ที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2410 ทเี่ มือง วอร์ซอ เขตวิสทูลา จักรวรรดิรัสเซีย ซ่ึงปจั จุบันเปน็ ประเทศโปแลนด์[1] เป็นบุตรของบรอนี สวาวา (Bronisława) กับววาดสึ วอฟ (Władysław) ววาดสึ วอฟ (บดิ า) เป็นครสู อน วทิ ยาศาสตร์ และมักพาเธอมาที่ห้องปฏิบัติการเสมอ จงึ ทาให้เธอสนใจวชิ าด้าน วทิ ยาศาสตรต์ ัง้ แตเ่ ด็ก แม้จะมเี หตุการณ์ทางการเมอื งเมื่อรสั เซียมาปกครองโปแลนด์และ บงั คบั ใหใ้ ชภ้ าษารสั เซยี เป็นภาษาทางการก็ตาม ในสมัยน้นั ค่านิยมในสงั คมของผูห้ ญิงส่วนใหญจ่ ะตอ้ งเรยี นการเปน็ แม่บา้ น ซึ่งมารี กูวร์ ี แตกต่างโดยส้ินเชิง ท่ีใสใ่ จค้นคว้าทางด้านวิทยาศาสตร์

วิทยาศาสตร์ธรรมชาติ วทิ ยาศาสตร์ธรรมชาติ (อังกฤษ: natural science) หมายถึงกลุ่มของสาขาวชิ า ทางวิทยาศาสตร์ทศี่ กึ ษาเก่ียวกบั ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ อย่างไรก็ตามการจัดให้ สาขาใดสาขาหนึง่ อย่ใู นวิทยาศาสตรธ์ รรมชาตนิ ัน้ ข้นึ อยู่กบั ทั้งขอ้ ตกลงในอดีตและ ความหมายสาขาในปัจจบุ ัน ตามธรรมเนียมดัง้ เดิม ความหมายของวิทยาศาสตร์ธรรมชาติ คือสาขาที่ศกึ ษา เก่ียวกับโลกและสรรพส่ิงรอบๆ ตัว (ที่เรยี กว่าธรรมชาติ) ในมุมมองทางกายภาพ วิทยาศาสตร์ธรรมชาติเป็นพ้นื ฐานให้กบั วทิ ยาศาสตร์ประยุกต์ เม่ือพจิ ารณารวมกนั แล้ว วิทยาศาสตรธ์ รรมชาติและวิทยาศาสตร์ประยกุ ตแ์ ตกต่างจากท้ังสงั คมศาสตร์ และ มนุษยศาสตร์ เทววิทยา หรือศิลปะ สว่ นวชิ าคณติ ศาสตร์นั้นไมถ่ ูกจัดใหเ้ ป็น วิทยาศาสตรธ์ รรมชาติ แตไ่ ดส้ ร้างเครอื่ งมอื และแนวทางที่ใช้ในวิทยาศาสตรธ์ รรมชาติ วทิ ยาศาสตรธ์ รรมชาติมเี ป้าหมายเพอ่ื อธิบายการทางานของโลกดว้ ยกระบวนการ ธรรมชาติ แทนทีจ่ ะใช้คาอธบิ ายท่มี ีรากฐานมาจากส่ิงศกั ดิส์ ิทธ์ิ คาว่าวิทยาศาสตร์ ธรรมชาติยงั ถูกใช้เพอื่ แยกแยะ \"วิทยาศาสตร์\" ท่ีเปน็ สาขาวชิ าทท่ี าการศกึ ษาด้วย ระเบียบวิธีทางวทิ ยาศาสตร์ ออกจากปรัชญาธรรมชาติ

ดาราศาสตร์ ดาราศาสตร์ คือวิชาวทิ ยาศาสตร์ทีศ่ ึกษาวตั ถทุ ้องฟ้า (อาทิ ดาว ฤกษ์ ดาวเคราะห์ ดาวหาง และดาราจักร) รวมทง้ั ปรากฏการณ์ ทางธรรมชาติตา่ ง ๆ ที่เกดิ ขึ้นจากนอกชั้นบรรยากาศของโลก โดย ศึกษาเกย่ี วกบั ววิ ัฒนาการ ลักษณะทางกายภาพ ทางเคมี ทาง อุตนุ ยิ มวิทยา และการเคล่ือนท่ีของวัตถทุ อ้ งฟ้า ตลอดจนถงึ การ กาเนิดและววิ ฒั นาการของเอกภพ[1][2][3]

ดาราศาสตร์เป็นหนึง่ ในสาขาของวทิ ยาศาสตรท์ เ่ี กา่ แก่ทสี่ ุด นกั ดาราศาสตร์ใน วฒั นธรรมโบราณสงั เกตการณ์ดวงดาวบนทอ้ งฟ้าในเวลากลางคืน และวัตถุทางดารา ศาสตรห์ ลายอย่างกไ็ ดถ้ กู คน้ พบเร่อื ยมาตามยคุ สมยั อยา่ งไรกต็ าม กลอ้ งโทรทรรศน์ เปน็ สิ่งประดิษฐ์ทจ่ี าเปน็ กอ่ นท่จี ะมกี ารพฒั นามาเป็นวทิ ยาศาสตรส์ มยั ใหม่ ตงั้ แตอ่ ต กาล ดาราศาสตร์ประกอบไปด้วสาขาที่หลากหลายเช่น การวัดตาแหนด่ าว การ เดนิ เรือดาราศาสตร์ ดาราศาสตรเ์ ชงิ สงั เกตการณ์ การสร้างปฏทิ ิน และรวมทัง้ โหราศาสตร์ แต่ดาราศาสตรท์ กุ วันนถี้ ูกจัดว่ามคี วามหมายเหมือนกบั ฟสิ ิกส์ดารา ศาสตร์ ตง้ั แต่ครสิ ตศ์ ตวรรษท่ี 20 เป็นต้นมา ดาราศาสตรไ์ ด้แบ่งออกเป็นสองสาขา ได้แก่ ดาราศาสตรเ์ ชงิ สงั เกตการณ์ และดาราศาสตรเ์ ชงิ ทฤษฎี ดาราศาสตร์เชงิ สงั เกตการณ์จะให้ความสาคญั ไปท่ีการเก็บและการวเิ คราะห์ขอ้ มูล โดยการใชค้ วามรู้ ทางกายภาพเบอ้ื งตน้ เปน็ หลกั ส่วนดาราศาสตรเ์ ชิงทฤษฎใี หค้ วามสาคญั ไปที่การ พัฒนาคอมพิวเตอร์หรอื แบบจาลองเชิงวเิ คราะห์ เพอ่ื อธบิ ายวตั ถทุ อ้ งฟ้าและ ปรากฏการณต์ ่าง ๆ ทงั้ สองสาขานเ้ี ป็นองคป์ ระกอบซ่ึงกันและกนั กลา่ วคือ ดารา ศาสตรเ์ ชิงทฤษฎีใช้อธบิ ายผลจากการสงั เกตการณ์ และดาราศาสตร์เชงิ สังเกตการณ์ ใชใ้ นการรับรองผลจากทางทฤษฎี

ดาราศาสตรน์ ับเป็นวิชาท่ีเกา่ แก่ทีส่ ุดวิชาหนง่ึ เพราะนับตงั้ แต่มมี นษุ ยอ์ ยบู่ น โลก เขาย่อมไดเ้ ห็นไดส้ มั ผัสกบั ส่ิงแวดล้อมตามธรรมชาตเิ สมอมา แลว้ กเ็ รมิ่ สังเกต จดจาและเล่าตอ่ ๆ กนั เช่น เมอื่ มองออกไปรอบตัวเหน็ พืน้ ดินราบ ดอู อกไปไกล ๆ กย็ ังเห็นวา่ พนื้ ผวิ ของโลกแบน จึงคดิ กันว่าโลกแบน มองฟา้ เห็นโคง้ คลา้ ยฝาชหี รอื โดม มีดาวใหเ้ หน็ เคล่ือนขา้ มศรี ษะไปทุกคืน กลางวนั มลี กู กลมแสงจ้า ให้ แสง สี ความรอ้ น ซึ่งกค็ อื ดวงอาทิตย์ ทีเ่ คล่อื นขนึ้ มาแล้วก็ลับขอบฟ้าไป ดวง อาทติ ย์จงึ มีความสาคญั กับเรามาก การศกึ ษาดาราศาสตร์ในยุคแรก ๆ เป็นการเฝา้ ดูและคาดเดาการเคล่อื นที่ ของวตั ถุทอ้ งฟา้ เหลา่ น้นั ทีส่ ามารถมองเห็นไดด้ ว้ ยตาเปล่า กอ่ นยคุ สมยั ท่ีกลอ้ ง โทรทรรศนจ์ ะถูกประดิษฐข์ ้ึน มีสิ่งปลกู สร้างโบราณหลายแห่งทเ่ี ชอ่ื ว่าเปน็ สถานท่ี สาหรบั การเฝ้าศึกษาทางดาราศาสตร์ เชน่ สโตนเฮนจ์ นอกจากนกี้ ารเฝ้าศึกษา ดวงดาวยังมคี วามสาคัญตอ่ พิธกี รรม ความเช่ือ และเปน็ การบ่งบอกถงึ การเปลี่ยน ฤดกู าล ซ่งึ เปน็ ปจั จยั สาคัญต่อสังคมเกษตรกรรมการเพาะปลูก รวมถงึ เป็น เครอ่ื งบ่งช้ถี ึงระยะเวลา วนั เดอื น ป[ี 5]

แหลง่ อ้างองิ วิกิ ขอบคุณจากเรอื่ ง พเี ดีย. [2018]._83 เร่ืองวทิ ยาศาสตรส์ นุก. [ออนไลน]์ . เขา้ ถึงได้จาก : https://th.wikipedia.org/wiki/.com ขอบคณุ จากเรอ่ื ง ช่อื ผ้แู ต่ง. [_____]. หวั ข้อเรื่อง. [ออนไลน]์ . [ออนไลน]์ . เข้าถึงได้จาก : https://th.wikipedia.org/wiki/.com


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook