จดั ทาโดย นายธีรภัทร ศรีกมุ เลขท2ี่ ม.6/3นายอเนชา เหลก็ สิงห์ เลขที่11 ม.6/3 เสนอ อาจาร พรชนก รักษาพนั ธ์ โรงเรียนบ้านกลางพทิ ยาคม
ประวตั ิศาสตร์อินเดีย…………………………………………………………………….1สมยั กอ่ นอินเดีย…………………………………………………………………………..2 -เมืองโมเฮนโจดาโร…………………………………………………………………3-4ศิลปะสมยั อินเดียแท…้ ……………………………………………………………………5 -สมยั ที่ 1……………………………………………………………………………….5 -สมยั ที่ 2……………………………………………………………………………….6 -ศิลปะคนั ธารราฐ………………………………………………………………………7 -ศิลปะมถุรา……………………………………………………………………………8 -สมยั ท่ี 3………………………………………………………………………………..9 -สมยั ที่ 4……………………………………………………………………………….10 -ศิลปะทมิฬหรือดราวิเดียน…………………………………………………………....11 -ศิลปะปาละ……………………………………………………………………………12 -เหตุผลที่สร้างพระพทุ ธปฏมิ าแปดปาง……………………………………………….13ศิลปกรรมอินเดีย…………………………………………………………………………14 -สถาปัตยกรรม………………………………………………………………………14 -ประติมากรรม………………………………………………………………………15 -จิตรกรรม ………………………………………………………………………….16 -นาฏศิลป์ และสงั คีตศิลป์ ……………………………………………………………17 -วรรณกรรม…………………………………………………………………………18
ประเทศอนิ เดียเป็นดินแดนอารยธรรมแห่งหน่ึงของโลกท่ีมีการรบั อารยธรรมจากภายนอกและเผยแพร่ อารยธรรมไปสู่ดินแดนต่าง ๆ โดยเฉพาะอยา่ งยงิ่ ในเอเชียตะวนั ออกและเอเชียตะวนั ออกเฉียงใต้ ประเทศ อนิ เดียไดร้ บั อทิ ธิพลทางศลิ ปะจากต่างประเทศ 4 คร้งั คือ คร้งั ท่ีหน่ึง ประมาณ 2,000 ปี กอ่ นพุทธศกั ราช อทิ ธิ พลจากประเทศเมโสโปเตเมียไดแ้ พร่เขา้ มาในลุ่มแม่น้าสินธุจนถงึ ประมาณ 1,000 ปีกอ่ นพุทธศกั ราช เมอื่ ชาว อารยนั ไดบ้ ุกรุกอนิ เดียและทาลายอารยธรรมด้งั เดิม คร้ังท่ีสอง ราวพุทธศตวรรษที่ 3 ไดร้ บั อิทธิพลศลิ ปะจาก อิหร่านและกรีก คร้งั ท่ีสามพุทธศตวรรษที่ 6 ไดร้ ับอิทธิพลของกรีกและโรมนั เขา้ มามีบทบาทต่อศิลปะอินเดียและ คร้งั ท่ีส่ีพทุ ธศตวรรษท่ี 16 กล่มุ มุสลมิ ซ่ึงนับถือศาสนาอิสลามไดร้ ุกรานอินเดียและพทุ ธศตวรรษที่ 21 ราชวงศ์ โมกลุ เขา้ ครอบครองอินเดีย ศิลปะอนิ เดียระยะต่อมากไ็ ดร้ ับอทิ ธิพลของอิหร่าน อนิ เดียเป็นประเทศที่มศี าสนาหลายศาสนาศาสนาด้งั เดิม คือ ศาสนาพระเวท ซ่ึงต่อมากก็ ลายเป็น ศาสนาพราหมณ์ และในช่วงตน้ พทุ ธศกั ราชได้เกดิ ศาสนาไชนะ และพทุ ธศาสนา โดยเฉพาะพทุ ธศาสนาที่รุ่ง เรืองในสมยั พระเจา้ อโศกมหาราช พทุ ธศตวรรษท่ี 6 พทุ ธศาสนาไดเ้ กดิ ลทั ธิข้ึนใหมค่ ือ ลทั ธิมหายาน ซ่ึง ไดร้ ับเอาความเช่ือทางศาสนาพราหมณ์เขา้ มาปะปน พทุ ธศตวรรษท่ี 10 ศาสนาพรามหณ์ ไดป้ รบั ปรุงเพ่ือ ต่อตา้ นพทุ ธศาสนาลทั ธิมหายาน จึงเป็นศาสนาฮนิ ดู ซ่ึงแบ่งเป็น 2 ลทั ธิใหญ่ คือ ไศวนิกายซ่ึงนบั ถือ พระศิวะ หรือพระอศิ วรเป็นใหญ่ และไวษณพนิกายซ่ึงนบั ถือพระวิษณุหรือพระนารายณ์เป็ นใหญ่ ต่อมาพุทธศาสนาก็ เกดิ ลทั ธิตนั ตระ กอ่ นที่ชาวมสุ ลิมที่นบั ถือศาสนาอิสลามเขา้ มามอี ทิ ธิพลในอินเดียต้งั แต่พทุ ธศตวรรษท่ี 16ศาตราจารยห์ มอ่ มเจา้ สุภทั รดิศ ดิศกุล ทรงแบ่งศลิ ปะอินเดียออกเป็น 2 สมยั โดยกวา้ งคือ สมยั กอ่ นอินเดีย และศลิ ปะอนิ เดีย
สมยั ก่อนอนิ เดีย รากฐานศิลปะกอ่ นอนิ เดียคือวฒั นธรรมท่ีใชภ้ าษาสันสกฤต มศี ลิ ปะที่เมอื งหะรัปปา (Harappa) และโมเหนโช- ดาโร (Mohenjo-daro)ทางแถบลมุ่ แม่น้าสินธุ เม่อื 1,500 ปี กอ่ นพทุ ธศกั ราช นกั โบราณคดีคน้ พบซากเมอื งท่ีใช้ อฐิ ในการกอ่ สร้าง มีการวางผงั เมืองและท่อระบายน้าอยา่ งเป็นระเบียบนอกจากน้นั ยงั พบตราประทบั ประติมากรรมลอยตวั ขนาดเลก็ เป็นรูปชายมีเครา
เมอื งโมเฮนโจดาโร จากการเรียนในวชิ าประวตั ิศาสตร์การท่องเท่ียวเอเชียตะวนั ออกเฉียงใตแ้ ละประเทศใกลเ้ คียงภาควิชาประวตั ิศาสตร์ ม.รามคาแหงแมว้ า่ อารยธรรมอนิ เดียจะเจริญรุ่งเรืองมาแลว้ แต่คร้งั โบราณ แต่ตราบจนปลายศตวรรษท่ีสิบแปดกย็ งั ไมมกี ารริเร่ิมศกึ ษาและคน้ ควา้ กนั อยา่ งจริงจงั จนมาถึงในศตวรรษท่ีสิบเกา้ การคน้ ควา้ เกยี่ วกบั อารยธรรมของอนิ เดียโบราณ กย็ งั คงเป็นไปทางวรรฑคดีและภาษาเป็นส่วนใหญจ่ ากหลกั ฐานที่มีอยจู่ นกระทง่ั ค.ศ. 1862 รัฐบาลอินเดียจึงไดเ้ ร่ิมต้งั สมาคมทางโบราณคดีข้ึนการคน้ พบโบราณวตั ถุที่สาคญั ในอินเดียภายใตก้ ารนาของเซอร์ จอห์น มาร์แชล (Sir John Marshall) คือการคน้ พบอารยธรรมแถบลุม่ แม่น้าสินธุ (Indus Civilization) ใกลก้ บั เมอื งฮารปั ปา (Harappa) แถบแควน้ ปัญจาบ ใน ค.ศ. 1912 และต่อมาอกี หน่ึงปี กไ็ ดม้ ีการขุดพบซากเมืองโมเฮน็ โจดาโร ( JohenjoDaro) ในแควน้ ซินด์ (Sindh) พสิ ูจน์กนั ว่าคงเป็นซากของอารยธรรมของพวกดราวิเดียน (Dravidians)ซ่ึงเป็นพวกแรกท่ีเจริญมากในอินเดีย อาจสนั นิษฐานว่าเมอื งเหล่าน้ีรุ่งเรืองอยรู่ ะหวา่ งประมาณ 3,000 ปีกอ่ นคริสตก์ าล และเจริญมาถึง 2,000 ปี กอ่ นคริสตก์ าล ประติมากรรมชายมเี ครา ประติมากรรมหญงิ สาริด ภาพแกะสลกั บนหินสบู่รูปคนและสตั วต์ ่าง ๆ ภาพแกะสลกั บนหินสบู่รููปคนสวดเครื่องสวมหัวมเี ขา ภาพแกะสลกั บนหินสบู่รูปคนและสตั ว์ประติมากรรมหญิงสาริด ประติมากรรมชายมเี ครา
จากการเรียนในวิชาประวตั ิศาสตร์การท่องเที่ยวเอเชียตะวนั ออกเฉียงใตแ้ ละประเทศใกลเ้ คียง ภาควชิ าประวตั ิศาสตร์ ม.รามคาแหงท้งั เมอื งโมเฮน็ โจดาโร และฮารปั ปาน้ีมผี งั เมืองอยา่ งเดียวกนั จากการขุดคน้ พบซากเมืองเกา่ พบว่ามบี า้ นเลก็ และบา้ นใหญเ่ ป็นจานวนมาก มีประตู หนา้ ต่าง พ้ืนบ่อ ท่อระบายน้าและยงั มีสถานท่ีสาธารณะ เช่นที่อาบน้าใหญ่ ซ่ึงมบี ่อน้าลอ้ มรอบดว้ ยห้องอาบน้าเล็ก ๆ และระเบียง มถี นนกวา้ ง มีทางระบายน้าอยา่ งดีซ่ึงแสดงให้เห็นวา่ ผูส้ ร้างตอ้ งเป็นผูช้ านาญการในการออกแบบกอ่ สร้างดีมากดว้ ยสิ่งที่น่าท่ึงในการขดุพบคร้ังน้ี คือการขุดพบตึกหลายช้นั ที่เมืองโมเฮ็นโจดาโร สนั นิษฐานวา่ เมอื่ เมืองช้นั หน่ึงถูกทบั ถมข้ึนมาดว้ ยการพอกพูนของแผน่ ดินหรือน้าท่วม กม็ ีการสร้างเมืองใหมล่ งบนท่ีเกา่ ตามแผนผงั เมืองเกา่ การคน้ พบเมอื งเกา่ น้ีทาให้แลเห็นชีวติ ความเป็นอยแู่ ละการทามาหากนิ ของคนดว้ ย เม่อื พวกอนิ โดอารยนั เขา้มาหลงั สมยั โมเฮน็ โจดาโรแลว้ กพ็ บว่าพวกดราวเิ ดียนเชื่อภตู ผีปี ศาจ และเทพท่ีสถิตตามตน้ ไม้ ลาธารภูเขา ซ่ึงมีโชคลางแอบแฝงอยทู่ ว่ั ไป พวกดราวเิ ดียนบูชางูต่าง ๆ โดยเฉพาะงูเห่าดว้ ยถือเป็นสญั ลกั ษณ์ของพระศวิ ะ ซ่ึงเป็นเทพเจา้ แห่งความอดุ มสมบูรณ์อารยธรรมในแถบลมุ่ แม่น้าสินธุน้ีค่อย ๆ เส่ือมลงกอ่ นสูญหายไป สงั เกตจากมกี ารกอ่ สร้างบา้ นเรือนธรรมดาลงบนฐานของคฤหาสนใ์ หญ่ ๆ และแผนผงั เมอื งกม็ ิไดเ้ ป็นระเบียบดงั เช่นในสมยั ที่เจริญรุ่งเรืองอยู่ แต่อยา่ งไรกต็ ามอารยธรรมแถบลุ่มแม่น้าสินธุน้นั มีคุณลกั ษณะพิเศษ และเป็นของตนเองโดยแทจ้ ริงแมว้ า่ จะมกี ารติดต่อกบั แถบเมโสโปเตเมีย แต่ความเป็นอยขู่ องผคู้ นและการปฎิบตั ิทางศาสนากแ็ ตกต่างกนั ไปบา้ นเรือนผูค้ นแถบน้ีสรา้ งใหญ่โตอยูส่ บาย มที ่ีอาบน้าประกอบอยดู่ ว้ ย แต่มไิ ดม้ ีการสร้างโบสถว์วหิ ารอนั ใหญโ่ ตปรากฎอยู่ เมือ่ พวกอนิ โดอารยนั มารุกรานแถบลุ่มแม่น้าสินธุน้ี สิ่งที่เป็นอารยธรรมของเมืองโมเฮน็ โจดาโรและฮารปั ปาแต่เดิม กย็ งั คงเหลืออยเู่ ป็นมาตรฐานส่วนใหญข่ องอารยธรรมอนิ เดียตราบเท่าทุกวนั น้ีพวกอนิ โดอารยนั สืบเช้ือสายมาจากพวกอารยนั หรืออนิ โด-ยโู รเปี ยน (Indo-European)ซ่ึงสนั นิษฐานวา่ เดิมมีภมุ ลิ าเนาอยทู่ างภาคกลางของทวีปเอเชีย บริเวณรอบ ๆ ทะเลสาบแคสเปี ยน(Caspian Sea) ไดอ้ พยพออกจากบริเวณดงั กลา่ ว และไดก้ ระจดั กระจายไปตามที่ต่าง ๆ พวกหน่ึงไปทางทิศตะวนั ตกและกระจายไปเป็นพลเมอื งของประเทศต่าง ๆ ในยโุ รป พวกน้ีเรียกวา่ พวกอนิ โด-ยโู รเปี ยน พวกที่สองไปทางทิสตะวนั ออกเฉียงใตเ้ ขา้ ไปในอฟั กานิสถาน และหลงั จากไดต้ ้งั หลกั แหล่งอยรู่ ะยะหน่ึงพวกน้ีกข็ ยบั ขยายไปทางทิศตะวนั ตกเขา้ ไปในเปอร์เซีย พวกน้ีเรียกวา่ พวกเปอร์เซียนหรืออเิ รเนียน (Iranian) พวกที่สามไปทางตะวนั ออกผา่ นช่องเขาทางทิศตะวนั ตกเฉียงเหนือเขา้ ไปในอนิ เดีย เรียกว่าพวกอินโดอารยนั (Indo-Arayans)ซ่ึงเขา้ มารุกรานอินเดียประมาณต้งั แต่ 2000-1500ปีกอ่ นคริสตก์ าล
ศิลปะสมัยอนิ เดยี แท้ สมยั ท่ี 1ศลิ ปะอินเดียโบราณบางคร้ังเรียกว่าศลิ ปะแบบสาญจีหรือแบบราชวงศโ์ มริยะ และแบบสมยั พระเจา้ อโศกมหาราชท่ีเรียกว่าตุงคะ ต้งั แต่ปลายพุทธศตวรรษท่ี 3 ถึงพุทธศตวรรษที่ 6 ศาสนสถานท่ีเหลือร่องรอยอยู่ คือสถปู รูปโอควา่ ต้งั อยบู่ นฐานมีฉตั รปักเป็นยอด แต่เดิมสถาปัตยกรรมส่วนใหญ่คงเป็นไม้ เนื่องจากภาพสลกันูน ต่าหรือถ้าท่ีขุดเขา้ ไปในภเู ขาเลยี นแบบสถาปัตยกรรมแบบไม้ เช่น ที่ถ้าราชา เพทสา และการ์ลี สาหรับประติมากรรมท่ีเกา่ แกท่ ี่สุดคงเป็นเสาของพระเจา้ อโศกมหาราชราวปลายพทุ ธศตวรรษที่ 3 ทา เป็นรูปสิงห์ตามแบบศิลปะในเอเชียไมเนอร์ บวั หวั เสารูประฆงั คว่าไดร้ บั อิทธิพลจากศิลปะอหิ ร่าน ส่วน ประติมากรรมลอยตวั มรี ูปร่างใหญแ่ ละหนา เช่น รูปยกั ษท์ ี่เมือง ประขมั ส่วนใหญ่ของงานประติมากรรมสมยั น้ี เป็นภาพสลกั บนร้ัวและประตูลอ้ มรอบสถูป ศลิ ปะที่เกย่ี วขอ้ งกบั พทุ ธศาสนาไม่สลกั เป็นพระพทุ ธรูปหรือรูปมนุษย์ที่เกย่ี วขอ้ งกบั พุทธประวตั ิ แต่ใชส้ ญั ลกั ษณะแทน เช่น ปางเสด็จออกมหาภเิ นษกรมณ์กม็ ีภาพของมา้ เปลา่ ไม่มีคนขี่แต่มีฉากกน้ั ซ่ึงแสดงวา่ พระ โพธิสตั วซ์ ่ึงจะตรสั รู้เป็นพระพทุ ธเจา้ ต่อไปไดป้ ระทบั อยหู่ ลงั มา้ปาฎิหาริยท์ ้งั 4 ปาง คือ ประสูติ ตรสั รู้ ปฐม เทศนาและปรินิพพาน กม็ ีสญั ลกั ษณะแทนคือ ดอกบวั แทนปางประสูติ ตน้ โพธ์ิแทนปางตรัสรู้ ธรรมจกั รแทน ปางปฐมเทศนาและพระสถูปแทนปางปรินิพพาน
สมยั ท่ี 2 ต้งั แต่พทุ ธศตวรรษท่ี 6 จนถึงราวพทุ ธศตวรรษท่ี 10 มอี ิทธิพลภายนอกท่ีมตี ่อศิลปะอินเดีย คือศิลปะคนั ธารราฐและศิลปะอนิ เดียเองคือ ศลิ ปะแบบมถุรา ทางเหนือและศลิ ปะแบบอมราวดีทางตะวนั ออกเฉียงใต้
ศลิ ปะคนั ธารราฐ เกดิ ข้ึนทางทิศตะวนั ตกเฉียงเหนือ มีความเจริญรุ่งเรืองข้ึนต้งั แต่พทุ ธศตวรรษท่ี 6 หรือ 7 มรี ูปแบบ ศิลปะกรีกและโรมนั แต่เป็นศิลปะที่เกย่ี วขอ้ งกบั พทุ ธศาสนา ศลิ ปะคนั ธารราฐ เป็นศิลปะยคุ แรกประดิษฐ์พระพุทธรูปเป็นรูปมนุษย์ แต่มีลกั ษณะคลา้ ยกรีกและโรมนั ดงั น้ีพระ พทุ ธเจา้ ในปางต่าง ๆ จึงประดิษฐเ์ ป็นรูปลกั ษณ์ของมนุษย์ แต่อยา่ งไรกต็ ามยงั พบประติมากรรม อื่นท่ีไดร้ ับอทิ ธิพลศลิ ปะกรีกและโรมนั อยูม่ ากเช่น ประติมากรรมรูปชาวโกลกาลงั ตาย และท่อ ระบายน้าที่สลกั เป็นรูปสตั ว์ พระพุทธรูปบนยอดเสาโครินเธียนเป็ นตน้
ศิลปะมถุรา ศิลปะมถุรารุ่งเรืองในช่วงพทุ ธศตวรรษที่ 6-9 ประติมากรรมสลกั ดว้ ยศิลาทรายบางรูปไดร้ ับอทิ ธิ พลจากศลิ ปะกรีกและโรมนั แต่กม็ รี ูปแบบพระพทุ ธรูปแบบอนิ เดียเป็ นคร้ังแรก 3. ศลิ ปะอมราวดี เกดิ ข้ึนทางภาคตะวนั ออกเฉียงใตข้ องประเทศอินเดีย ระหว่างพุทธศตวรรษที่ 6-7 ศลิ ปะสมยั น้ีมีลกั ษณะอ่อนไหวแต่เนน้ลกั ษณะตามอดุ มคติ พระพุทธรูปสมยั น้ีมกั ทาห่มจีวรคลุมท้งั องค์ แต่ลกั ษณะพระ พกั ตร์ยงั คลา้ ยแบบกรีกและโรมนั สถานที่สาคญั ทีพบศลิ ปะแบบอมราวดี คือ เมือง อมราวดี
สมยั ท่ี 3 ศิลปะตุปตะ และหลงั คุปตะ มอี ายรุ าวพุทธศตวรรษที่ 9-13 เจริญรุ่งเรืองข้ึนทางภาคเหนือของประเทศอนิ เดีย พระพทุ ธรูปมลี กั ษณะแบบอนิ เดียแท้ แต่กลบั พบประติมากรรมสลกั นูนสูงมากกวา่ ประติมากรรมลอย ตวั ศิลปะท่ีเด่นในสมยั น้ีคือ จิตรกรรมฝาผนงั ท่ีถ้าอชนั ตา ส่วนศลิ ปะหลงั คุปตะอยใู่ นช่วงประมาณพุทธ ศตวรรษที่ 11-13 สถาปัตยกรรมมรี ูปร่างใหญข่ ้ึน สมยั น้ีมีเทวสถานท่ีสาคญั คือ เอลลูรา และเอเลฟันตะ สมยั น้ี เริ่มมศี าสนสถานท่ีกอ่ สรา้ งดว้ ยอิฐ
สมยั ท่ี 4 ต้งั แต่พุทธศตวรรษที่ 14 เป็นตน้ มาเป็นช่วงสมยั ของศลิ ปะทางทิศตะวนั ออกเฉียงใตห้ รือศลิ ปะทมิฬ(Dravidian) แยกออกจากส่วนท่ีเหลือของอนิ เดีย
ศลิ ปะทมฬิ หรอื ดราวิเดยี น ศลิ ปะแบบทมฬิ แบบท่ีเกา่ สุดมีประติมากรรมจากศิลา รูปสาริดและรูปสลกั จาก ไม้ ประติมากรรมสาริดท่ีรู้จกั กนั ดีคือ รูปพระศิวนาฏราชฟ้ อนราอยใู่ นวงเปลวไฟ สถาปัตยกรรมส่วนใหญ่หลงั คาสร้างเป็นหินซอ้ นกนั เป็นช้นั เช่น สถาปัตยกรรมท่ีเป็นเทวสถานใหญ่ช่ือลงิ คราชที่เมืองภูวเนศวร
ศิลปะปาละ เสนะ ศลิ ปะทางพุทธศาสนา ของอินเดียภาคเหนือ ภายใตก้ ารอปุ ถมั ภข์ อง ราชวงศป์ าละ-เสนะ ในแควน้ เบงคอลและพิหาร ระหว่างพทุ ธศตวรรษที่ 14-18 พทุ ธศาสนาในสมยั ปาละ คือ พุทศาสนาลทั ธิตนั ตระ ซ่ึงกลายมาจากลทั ธิมหายาน โดยผสมความเช่ือ ในลทั ธิฮนิ ดูเขา้ ไปปะปนสถาปัตยกรรมท่ีสาคญั คือมหาวทิ ยาลยั นาลนั ทา ซ่ึงเป็นศนู ยก์ ลางการสอนพทุ ธศาสนาลทั ธิตนั ตระในแควน้ เบงคอล ส่วนประติมากรรม มที ้งั ภาพสลกั จากศิลาและหล่อจากสาริด ท้งั ทางพุทธศาสนาและตามคติแบบฮนิ ดู ประติมากรรมสลกั จาก ศลิ าในสมยั น้ีแบ่งออกเป็น 3 ยคุ คือ-ยคุ แรกพทุ ธศตวรรรษท่ี 14-15 มพี ระโพธิสตั วแ์ ละพระพทุ ธรูปทรงเครื่อง-ยคุ สองพทุ ธศตวรรษท่ี 16-17 พระพทุ ธรูปทรงเครื่องมากข้ึน สรา้ งตามคตินิยมลทั ธิตนั ตระ-ยคุ ท่ีสามพทุ ธศตวรรษที่ 18 ยคุ ราชวงศเ์ สนะ นบั ถอื ศาสนาฮนิ ดู ูู จึง เป็นยคุ ของประติมากรรมแบบ ฮนิ ดู ศิลปะแบบปาละ เสนะ ไดแ้ พร่หลายไปยงั ที่ต่าง ๆ เช่น ประเทศเนปาล ธิเบต ศรีลงั กา ชวาทางภาคกลาง เกาะสุมาตราในอินโดนีเซีย พมา่ และประเทศไทย
เหตผุ ลท่ีสร้างพระพุทธปฏิมาแปดปางเกดิ จาก คติความเชื่อ วา่ โลกในอนาคตจะมพี ระเจา้ องคใ์ หม่มาโปรด โดยทุกศาสนาในโลกน้ีกเ็ช่ือเช่นเดียวกนั ว่าฮนิ ดู - พราหม์ จะมีพระวศิ ณุ (พระนารายณ์) อวตารปางใหม่ศาสนาซิกซ์ จะมีกรู ุ องคใ์ หม่ศาสนาเจน จะมึธิทงั กร องค์ใหม่ศาสนาคริสต์ จะมีพระเยซู องคใ์ หม่ศาสนาอิสลาม จะมีพระโมฮมั มดั องคใ์ หม่ทุกๆศาสนาลว้ นมีความคิดตรงกนั ในเรื่องน้ี ผูน้ าทางศาสนาพทุ ธ มคี วามคิดเป็นห่วงศาสนาตอ้ งการรวบรวมวิธีอธิบายประวตั ิความเป็นมาของพระพุทธเจา้ ให้กระชบั กระทดั รดั และ เขา้ ใจง่าย จึงเกดิความคิดที่จะสรา้ งถาวรวตั ถุ เพื่อการสืบคน้ และการรับรูข้ องผคู้ น โดยกอ่ นหนา้ น้นั กม็ ภี าพแกะสลกับรรยายชีวติ ของพระเจา้ มีมากอ่ นแลว้ แต่ทวา่ สลกั ศลิ าแยกกนั เป็นตอนๆหลายช้ิน หรือไมก่ ใ็ หญ่เทอะทะจนเกนิ ไป ดว้ ยเหตุน้ีจึงไดส้ รา้ งพระพุทธปฏิมาแปดปาง ข้ึนมา โดยถือเป็นชุดประวตั ิยอ่ ของศาสดาผใู้ หก้ าเนิดพทุ ธศาสนา ทุกเหตุการณ์แกะสลกั อยใู่ นชิ้นเดียวกนั และในขณะเดียวกนั เหลา่ ธรรมฑูตฯ ท่ีออกไปเผยแพร่ศาสนาพทุ ธในต่างแดน มกั จะนาพระพทุ ธรูปศลิ าแปดปาง ขนาดเลก็ ติดตวั ไปดว้ ย เพื่อแสดง นาเสนอ และเป็น แม่แบบ สาหรับสร้างพระพุทธรูป ในอิริยาบถและปางต่างๆตามแบบแผนไดอ้ ยา่ งถูกตอ้ งดงั น้นั จึงมกี ารพบพระพทุ ธปฏิมาแปดปาง องค์กระทดั รัดในต่างแดน อาทิเช่น ทิเบต พมา่ และ ไทย(พบในกรุพระปรางค์ วดั ราชบูรณะ จ.พระนครศรีอยธุ ยา)
ศลิ ปกรรมอนิ เดีย 1. สถาปัตยกรรม สถาปัตยกรรม อินเดียไดร้ บั อิทธิพลมาจากเปอร์เซีย (ลานดา้ นใน ประตูโคง้ ) ที่เมอื งหลวงใหม่ของพระเจา้ อคั บาร์ คือ ฟาเตห์ปูร์สิครี ใกลเ้ มืองอคั รา แสดงสถาปัตยกรรมแบบโมกุลแท้ในการสร้างราชวงั สุเหร่าเช่นเดียวกบั หลุมศพของพระเจา้ อคั บาร์ที่สีกนั ดารา และ วดั โก-แมนดาล ที่โอไดปูร์ แต่งานที่เด่นที่สุด คือ ทชัมาฮลั ประดบั ดว้ ยหินมคี ่า บนยอดเป็นหินสีขาว เสน้ ทุกเสน้ เขา้ กนั ไดอ้ ยา่ งงดงามกบั สวน และน้าพุ นบั เป็นสถาปัตยกรรมท่ีงดงามที่สุดแห่งหน่ึงในโลก นอกจากน้นั มสี ุเหร่ามุกของเมืองอคั รา เกดิ นิกายข้ึนหลายนิกายในหมุ่คนฮนิ ดู เช่น ตนั ตริก ซิก มาดวา ฯลฯนอกจากน้ียงั มซี ากเมอื งฮารับปาและโมเฮนโจดาโร ทาใหเ้ ห็นวา่ มีการวางผงั เมอื งอยา่ งดี มีสาธาร- ณูประโภคอานวยความสะดวกหลายอยา่ ง เช่น ถนน บ่อน้า ประปา ซ่ึงเนน้ ประโยชน์ใชส้ อยมากกว่าความสวยงามซาก พระราชวงั ที่เมืองปาฏลีบุตรและตกั ศลิ า สถูปและเสาแปดเหล่ียม ที่สาคญั คือ สถปู เมอื งสาญจี (สมยัราชวงศโ์ มริยะ) และสุสานทชั มาฮาล สร้างดว้ ยหินอ่อน เป็นการผสมระหว่างศลิ ปะอินเดียและเปอร์เชียสถปู เมืองสาญจี (สมยั ราชวงศโ์ มริยะ) สุสานทชั มาฮาล
2. ประติมากรรม เกยี่ วขอ้ งกบั ศาสนา ไดแ้ ก่ พระพุทธรูปแบบคนั ธาระ พระพทุ ธรูปแบบมถรุ า พระพุทธรูปแบบอมราวดี ภาพสลกั นูนท่ีมหาพลปิ ุลมั ไดร้ ับการยกยอ่ งว่ามหศั จรรย์ พระพทุ ธรูปแบบอมราวดี พระพุทธรูปแบบคนั ธาระ
3. จิตรกรรม จิตรกรรม อนิ เดียตามประวตั ิศาสตร์แลว้ ววิ ฒั นาการมากจากการเขียนภาพบุคคลในศาสนาและพระมหากษตั ริย์ จิตรกรรมอนิ เดียเป็นคาที่มาจากตระกลู การเขียนหลายตระกูลท่ีเกดิ ข้ึนในอนุ ทวปีอนิ เดีย ซ่ึงมลี กั ษณะแตกต่างกนั ไปมตี ้งั แต่จิตรกรรมฝาผนงั ขนาดใหญ่ของถ้าเอลเลรา (Ellora Caves)ไปจนถงึ งานที่ละเอียดลออของจุลจิตรกรรมของจิตรกรรมโมกุล และงานโลหะจากตระกูล Tanjoreส่วนจิตรกรรมจากแควน้ คนั ธาระ-ตกั กสิลา“พระรามกบั สีดาในป่ า” แบบปัญจาบ ค.ศ. 1780เป็น จิตรกรรมที่ไดร้ ับอิทธิพลจากจิตรกรรมเปอร์เซียทางตะวนั ตก จิตรกรรมในอินเดียตะวนั ออกวิวฒั นาการในบริเวณตระกลู การเขียนของนาลนั ทา ที่เป็นงานท่ีไดร้ บั อิทธิพลจากตานานเทพอินเดียสมยั คุปตะ และหลงั สมยั คุปตะ เป็นสมยั ที่รุ่งเรืองที่สุดของอินเดียพบงานจิตรกรรมท่ี ผนงั ถ้าอชนั ตะเป็นภาพเขียนในพระพทุ ธศาสนาแสดงถึงชาดกต่างๆ ที่งดงามมาก ความสามารถในการวาดเสน้ และการอาศยั เงามืดบริเวณขอบภาพ ทาให้ภาพแลดูเคลือ่ นไหว ใหค้ วามรู้สึกสมจริง ภาพจิตรกรรมบนผนงั ถ้าอชนั ตะ
4. นาฏศลิ ป์ และสงั คีตศลิ ป์ เกยี่ วกบั การฟ้ อนรา เป็นส่วนหน่ึงของพิธีกรรมเพื่อบูชาเทพเจา้ ตามคมั ภีร์พระเวท ส่วน บทสวดสรรเสริญเทพเจา้ ท้งั หลาย ถือเป็นแบบแผนการร้องที่เกา่ แกท่ ่ีสุดใน สงั คีตศิลป์ ของอนิ เดีย แบ่งเป็นดนตรีศาสนา ดนตรีในราชสานกั และดนตรีทอ้ งถิ่น เคร่ืองดนตรีสาคญั คือ วณี า หรือพณิ ใชส้ าหรับดีด เวณุหรือขลยุ่ และกลอง Mohiniyattam เป็นการแสดงท่ีมกี ารใชภ้ าษาท่าในการส่ือความหมาย แสดงเพอ่ื เป็นการแสดงความเคารพต่อพระวิษณุแหล่งกาเนิดอยทู่ างตอนใตข้ องอินเดีย
5. วรรณกรรม วรรณกรรม อินเดียท่ีมอี ิทธิพล ไดแ้ ก่ รามายณะ มหาภารตะ คมั ภีร์ปุราณะและเร่ืองอนื่ ๆ ที่เกย่ี วกบั ธรรมเนียมกษตั ริย์การสืบราชวงศต์ ามแบบธรรมเนียมโบราณของราชวงศใ์ นลุม่ แมน่ ้าคงคา วรรณกรรมอินเดียมอี ทิ ธิพลตอ่ ชีวิตชาวบา้ นในเอเชียตะวนั ออกเฉียงใตด้ ้วย โดยการเล่า การอา่ นนิทานแสดงเกย่ี วกบั เน้ือเร่ืองในวรรณกรรม การแสดงหุ่นกระบอก หนังละครที่มีเน้ือหาของวรรณกรรม รามายณะ มหากาพย์ และชาดก รามาวตาร หรือ รามจนั ทราวตาร หรือ พระราม จากมหากาพย์ รามายณะ ชาวไทยรู้จกั กนั ในช่ือเรื่อง รามเกยี รต์ิ ทศกณั ฐ์ หรือ อสูรราพณ์ ศตั รูของพระราม
Search
Read the Text Version
- 1 - 23
Pages: