ภาษาไทยปุ๊บปั๊ บ ฉบับ อ่านปุ๊บเข้าใจปั๊ บ ใน 1 เล่ม สาระสำคัญของภาษาไทยระดับประถม รวบรวมพัฒนาการทางภาษาของเด็ก พร้อมเทคนิคการสอนสำหรับคุณครู อธิบายละเอียด กระชับ เข้าใจง่าย แบบฝึกหัดทบทวนความเข้าใจ
พั ฒ น า ก า ร ท า ง ภ า ษ า เด็กโรงเรียนประถมเฉลี่ยแล้ว อายุ 6-12 ปี ความแตกต่างทางภาษาของเด็ก วัยนี้จะเข้าใขด้านภาษาได้ดี สื่อสารและพูดรู้เรื่อง จะรู้คำศัพท์ต่าง ๆ มากขึ้น เด็กหญิงทักษะทางภาษาดีกว่าเด็กชาย เด็กผู้หญิง จะมีพัฒนาการดีกว่าเด็กผู้ชายทุก เด็กชายจะเก่งคณิตกว่าเด็กหญิง ระดับอายุ พัฒนาการด้านภาษาจะสัมพันธ์กับ เด็กหญิงใช้ภาษายากได้ดีกว่าเด็กชาย พัฒนาการด้านอื่น เช่น สมองดี ภาษาก็จะดี เด็กหญิงใช้คำพูดและประโยคได้ก่อน พัฒนาการทางภาษาของแต่ละคนแตกต่างกัน เด็กหญิงสนใจภาษามากกว่าเด็กชาย ด้วยปัจจัยหลายอย่าง เช่น ความสามารถเดิม เด็กชายชอบใช้ภาษแสลงมากว่าเด็กหญิง ความถนัด ประสบการณ์ ความพร้อม และแรง บันดาลใจ ความพร้อมในการเรียนภาษไทย เด็กต้องการรู้คำศัพท์ เพื่อใช้เรียกสิ่งที่เห็น สิ่งที่จะ ช่วยได้คือ สิ่งแวดล้อมของเด็ก ยิ่งรู้คำศัพท์มาก 1.ความพร้อมเมื่อเริ่มเรียนภาษาไทย เท่าใด ความงอกงามทางภาษาก็จะมากขึ้น ลำดับที่ของลูก มีส่วนต่อการพัฒนาการทางภาษา จำแนกเสียง เปล่งเสีย เห็นความต่างของภาะ รู้ คือ ลูกคนโตจะมีพัฒนาการดีกว่าลูกคนสุดท้อง เราะใกล้ชิดผู้ใหญ่มากกว่า ได้ฟังและซึมซับ คำศัพท์ มากกว่า 2.ความพร้อมเมื่อเริ่มเรียนบทใหม่ ความ พร้อมทุกด้านก่อนเริ่มเรียน ความสำคัญของการเตรียมความพร้อม 1.ใช้ภาษาไทยในการเรียนวิชาอื่น ๆ ได้ดี 2.อวัยวะต่าง ๆ ประสานงานกันดี 3.พื้นฐานเท่าเทียมกัน 4.สบายใจและปลอดภัย องค์ประกอบที่มีผลต่อการเตรียมความพร้อม พัฒนาการทางด้านภาษาของเด็กแต่ละวัย ควรทราบถึงลักษณะของเด็กที่มีความพร้อมก่อน ว่ามีลักษณะอย่างไร จึงจะจัดเตรียมความพร้อมไว้ ขวบ ชอบพูด ชอบฟัง ชอบเลียนแบบละคร ให้เด็กได้อย่างดี สนใจภาพเขียนชื่อตัวเองได้ สนใจสิ่งที่เป็น รูปธรรม 1.ร่างกาย ขวบ ชอบพูด ชอบฟังนิทาน,นิยาย หรือเรื่อง 2.สมอง ในชีวิตจริงรู้จักใช้ภาษาแสดงอารมณ์ จะหัด 3.อารมณ์ อ่านหนังสือเอง 4.ภาษา ขวบ เข้าใจนามธรรม ชอบเล่านิทาน ชอบพูด สำรวจความพร้อมในการฟัง มากขึ้น ชอบคุยอวด สนทนากับผู้ใหญ่ อ่านใน -การได้ยิน ใจได้ดี เขียนได้มากขึ้น -การจำแนกเสียง *เด็กผู้หญิงมีวุฒิภาวะทางภาษาดีกว่าเด็ก ผู้ชาย สำรวจความพร้อมในการพูด ขวบ ชอบเรื่องจริงมากกว่านิยาย ชอบิ่าน -การสังเกตอย่างง่าย เรื่องลึกลับ ชอบผจญภัย ลายมือดี สนใจ -สำรวจวิธีการพูด เรื่องในบ้าน สำรวจความพร้อมในการอ่าน ขวบ ไม่ต่างจาก 9 ขวบมากนัก -การรับรู้ทางสายตา / ทางหู รู้จักโครงสร้างของคำ หาความ ขวบ เด็กผู้ชายชอบอ่านเกี่ยวกับการค้นคว้า สัมพันธ์ของภาพและคำได้ ผจญภัย เด็กผู้หญิงจะชอบเรื่องงานบ้าน -ความสัมพันธ์ระหว่างมือและ *แต่งกลอนได้ สายตา เขียนพยัญชนะ สระ และ วรรณยุกต์ได้ ขวบ รู้จักการเข้าห้องสมุด อ่านหนังสือเพื่อความ บันเทิง เด้กผุ้ชายจะชอบอ่านเกี่ยวกับการผจญ ภัย เด้กผุ้หญิงจะชอบอ่านนิยาย
ทักษะการฟังและดู ความหมายของการฟังและดู หมายถึง การที่มนุษย์รับรู้เรื่องราวต่าง ๆ จากแหล่งของ เสียง ภาพหรือเหตุการณ์ ซึ่งเป็นการฟังจากผู้พูดโดยตรง หรือฟังและดูผ่านอุปกรณ์หรือสิ่งต่าง ๆ แล้วเกิดการรับรู้ แล้วนำไปใช้ประโชน์ ได้ หลักการฟังและดูที่ดี 1)ต้องรู้จุดมุ่งหมายของการฟังและดู 2)ต้องฟังและดูโดยปราศจากอคติเพื่อการวิเคราะห์วิจารณ์ ที่ ตรงประเด็น 3)ให้ความร่วมมือในการฟังและดู ด้วยการร่วมกิจกรรม จุดมุ่งหมายของการฟังและดู การฟังและดูเป็นทักษะทางภาษาที่สำคัญในการศึกษาในชีวิต ประจำวัน โดยอาจได้รับสารจากบุคคลหรือจากสื่อ อิเล็กทรอนิ กส์ต่าง ๆ สื่อเหล่านี้ อาจรับสารด้วยวิธีการฟังหรือ การดูในลักษณะตอบโต้หรือสื่ อสารทางเดียวก็ได้ จุดมุ่งหมายของการฟังและดูมีดังนี้ 1) เพื่อติดต่อสื่อสารในชีวิตประจำวัน 2) เพื่อความเพลิดเพลิน 3) เพื่อความรับรู้ เช่น ฟังครูอธิบาย การจับใจความ 4) เพื่อได้คติชีวิตและความจรรโลงใจ การฟังและดู มีการตั้งจุดมุ่งหมายไว้เบื้องต้น จะทำให้ผู้รับสาร พุ่งจุดสนใจจากที่ได้รับได้ดียิ่งขึ้น และส่งผลให้ ผู้รับสารมีสรรถภาพในการฟัง การดู เพิ่มมากขึ้น
ทักษะการฟังและดู การจับใจความการสรุ ปประเด็น การจับใจความสำคัญ เป็นการอ่านหรือฟังเพื่อให้ทราบ ว่า ใคร ทำอะไร ที่ไหน เมื่อไหร่ และมีผลอย่างไรแล้ว จดบันทึกใจความสำคัญนั้ นไว้ หลักการจับใจความสำคัญ ตั้งใจอ่านหรือฟังเรื่อง คิดตั้งคำถามและตอบคำถามจากเรื่อง เขียนเรียบเรียงสรุปใจความสำคัญ อ่านทบทวนเพื่อความเรียบร้อย ประเด็น คือ สาระสำคัญ ใจความสำคัญ แก่นของเรื่องดังนั้ นเรา จึงต้องฝึกทักษะในการจับประเด็นเพราะเราต้องสื่ อสาร และรับสารจากผู้อื่น มารยาทในการฟัง ฟังด้วยความสงบ ฟังด้วยความตั้งใจ ปรบมือเมื่อชอบใจ มองหน้ าผู้พูด ไม่แสดงท่าทางไม่พอใจเมื่อไม่ชอบ มารยาทในการดู ดูอย่างสงบเรียบร้อยไม่ส่ งเสี ยงดัง ดูอย่างตั้งใจ ไม่คุยหรือเล่นในขณะที่ดู ไม่ลุกเดินไปเดินมา ปรบมือเมื่อจบการแสดง
¡ÒÃÊ͹ ·¡Ñ ÉСÒÃÍÒ ¹ การอ่าน เปนกระบวนการทางสมอง โดยใชส้ ายตาดู ตัวอักษรหรือสิงพมิ พอ์ ืน ๆ รับรู้และเขา้ ใจความหมาย ของคําหรือสัญลักษณ์ แล้วสามารถแปลออกมาเปน ความหมายทีใชส้ ือความคิด ความรู้ระหวา่ งผูอ้ ่านกับผู้ เขยี น ให้เกิดความเขา้ ใจตรงกัน และผูอ้ ่านสามารถนํา เอาความหมายนัน ๆ ไปใชใ้ ห้เกิดประโยชน์ได ¨Ø´Á§Ø ËÁÒ¢ͧ¡ÒÃÍÒ¹ อ่านเพอื ค้นควา้ หาความรู้ อ่านเพอื ความบนั เทิง อ่านเพอื จับใจความสาคัญ อ่านเพอื ใชเ้ วลาวา่ งให้เปนประโยชน์ อ่านเพอื หาข้อเท็จจรงิ อ่านเพอื วเิ คราะห์ Êè§Ô ÊÒí ¤Ñ ¢Í§¡ÒÃÍÒ¹ เกิดมโนทัศน์ สัมพนั ธ์ประสบการณ์เดิม มปี ฏิกิรยิ า มจี ุดมุง่ หมาย จัดระเบยี บความคิด เข้าใจ แปล ·¡Ñ Éзդè ÃٵͧÊ͹ãËà´ç¡ การอ่านคําและรูค้ วามหมายของคํา คือ ให้เด็กอ่านออก เปนคําและเข้าใจความหมายของคํานั ้น ซงึ เปนทักษะเบอื งต้น คือ สอนให้เด็ก อ่านออก การอ่านจับใจความ เมอื เด็กอ่านออกเปนคําวลีและประ โยคได้แล้วจะต้องเข้าใจในสิงทีอ่าน บอกได้วา่ ใครทําอะไร ทีไหน อย่างไรในเรอื งทีอ่าน เล่าเรอื งได้ สรุปเรอื งได้ นันคือ การสอนให้เด็กอ่านเปน การอ่านออกเสียงให้ชดั เจน ถูกต้อง โดยเฉพาะคําทีออก เสียง ร ล คําควบกลา คําทีมอี ักษรนํา รูจ้ ักจังหวะในการอ่าน ให้ถูกวรรคตอน ฝกจนอ่านคล่อง การอ่านเพอื ศึกษาหาความรู้ รูจ้ ักวธิ ีค้นควา้ ความรูจ้ าก แหล่งข้อมูลต่าง ๆ ทักษะนีเหมาะทีจะใชก้ ับเด็กในชนั ประถม ปลายไปจนถึงชนั ทีสูง ฝกให้เด็กมนี ิสัยรกั การอ่าน ครูจัดบรรยากาศในชนั เรยี น เพอื กระต้นุ ให้เด็กอ่านหนังสือจัดกิจกรรมต่าง ๆ ทีเชญิ ชวน ให้เด็กอยากอ่าน ข้อสําคัญ คือ ครูต้องเปนตัวอย่างทีดีแก่เด็ก อ่านหนังสือหลากหลายนํามาเล่าให้เด็กฟง การอ่านเพอื ให้คณุ ค่าและเกิดความซาบซงึ คือ การสอน อ่านวรรณคดีและวรรณกรรมสําหรบั เด็ก ให้เด็กมองเห็น ประโยชน์ทีได้รบั จากการอ่าน เพอื นามาใชใ้ นชวี ติ ประจําวนั ให้ เด็กรูร้ สไพเราะของการอ่านรอ้ ยกรองต่าง ๆ การอ่านวรรณ คดีทีจัดไวใ้ ห้เด็กแต่ละชนั เพอื ให้เห็นความงดงามของภาษา
¡ÒÃÊ͹ ·Ñ¡ÉСÒþٴ การพูด เปนการสือความหมายอยา่ งหนึงโดยใชน้ าเสียง ภาษากิรยิ าท่าทางเพอื ถ่ายทอดความในใจไปให้ผูฟ้ งรูห้ รอื เข้าใจความต้องการหรอื ความรูส้ ึกนึกคิดของตน เพราะการ พูดเปนทักษะการส่งออกตามหลักของภาษาศิลป ͧ¤»ÃСͺ·ÕèÊÒí ¤Ñ¢Í§¡Òþٴ ผูพ้ ูด แสดงออกทางวาจา ท่าทาง ให้ผูฟ้ งได้ทราบความรูส้ ึกนึก คิดและความต้องการของตน สาร เนือหาทีพูดตามความคิดเห็นของสือหรอื ผูส้ ่งสาร ผูร้ บั สือ ผูร้ บั สารและผูส้ ่งสารเผชญิ หน้ากันเปนหารสือความ หมายทีได้ผลดีกวา่ วธิ ีอืน เครอื งมอื สือความหมาย คําพูดหรอื ภาษาอันเปนเครอื งเชอื ม โยงความคิด ผลทีเกิดขึนตามความมุง่ หมายนั ้น ๆ เพอื ให้ความรู้ แสดงความ คิดเห็น บอกกล่าว อาทิ รายงานการวจิ ัย เพอื จูงใจให้กระทําหรอื เวน้ การกระทํา หรอื เปลียนแนวความคิดบางอยา่ ง เพอื ยกย่อง ชมเชย การแก้ปญหาการอภิปราย เพอื หาข้อยุติในปญหาต่าง ๆ เพอื ความบนั เทิง ÅѡɳТͧ¼Ù¾Ù´·èÕ´Õ ÇԸվѲ¹Ò·Ñ¡ÉСÒþٴ มแี นวคิดทีดี ทําความเข้าใจพนื ฐาน มจี ุดประสงค์ มโี ครงเรอื ง ของการสือสาร ใชภ้ าษาทีดี สังเกตตัวเอง มคี วามรูด้ ี หาโอกาสชอ่ งทาง ใน มคี วามจําดี มคี วามกล้า การพฒั นาทักษะการพูด พูดชดั เจน - ฝกสนทนากับคนทีไมร่ ูจ้ ัก มบี ุคลิกลักษณะดี - เข้ารว่ มกิจกรรมชนื ชอบ มหี น้าตายมิ แย้มแจ่มใส - ฝกจดจําและใชม้ ุกตลก แต่งกายดี ประจําตัวเสมอ มกี ารแสดงท่าทางประกอบ - เข้ารบั การฝกอบรมกับ คําพูด สถาบนั พฒั นาบุคลิกภาพ เพมิ เทคนิค วธิ ีการ เพอื ดึงดูดความสนใจแก่ผูฟ้ ง ËÅÑ¡¡Òþٴ ¡Ô¨¡ÃÃÁÊÒí ËÃѺ ¡ÒÃÊ͹¾Ù´ ศึกษาผูฟ้ ง อายุ เพศ ระดับการศึกษา อาชพี การเล่านิทาน ความสนใจ พนื ฐาน ความรู้ การอภิปราย เกียวกับเรอื งทีจะฟง ทัศนคติ การใชโ้ ทรศัพท์ จํานวนของผูฟ้ ง การเล่าข่าว การทายปญหา การรูจ้ ักกาลเทศะ การโต้วาที สถานที เวลา โอกาส การแสดงบทบาทสมมติ การสนทนา การเตรยี มตัวพูด การรายงาน การเตรยี มตัวก่อนพูด การอ่านและการท่องจํา การเตรยี มตัวขณะพูด คําคล้องจอง การเล่าเรอื งประกอบภาพ การจัดเนือเรอื งทีจะพูด การพูดแสดงความคิดเห็น การเลือกเรอื ง การมจี ุดประสงค์ ทีแน่นอน การรวบรวมเนือหา การสรา้ งโครงรา่ ง
การสอนทักษะการเขียน ความหมายของการเขียน หมายถึง การถ่ายทอดความรู้ ความเข้าใจ ความรู้สึกนึ กคิดและ ความต้องการของบุคคลออกมา เป็นตัวอักษรหรือสั ญลักษณ์ ความสำคัญของการเขียน ๑ เป็นเครื่องมือสื่อสาร ถ่ายทอดความรู้ ความเข้าใจ ความคิด ประสบการณ์ ๒ เก็บรวบรวมข้อมูลต่างๆ ๓ เป็นการแสดงออกทางอารมณ์เกี่ยว กับความรู้สึก ประทับใจ ๔ เป็นเครื่องมือพัฒนาปัญญาของบุคคล ๕ เป็นการสนองความต้องการของมนุษย์ ๖ เป็นการแสดงออกถึงภูมิปัญญาของผู้ เขียน ๗ พัฒนาความสามารถและบุคลิกภาพของตน ๘ เป็นอาชีพอย่างหนึ่ งที่ได้รับการยกย่อง ๙ พัฒนาความคดริเริ่มสร้างสรรค์และใช้เวลา ว่างให้เป็นประโยชน์
จุดมุ่งหมายของการเขียน ๑ เพื่อฝึกคัดลายมือ ๒ เพื่อฝึกฝนทักษะการเขียน ๓เพื่อสามารถเขียนสะกดคำให้ถูกต้องตามอักขรวิธี ๔เพื่อรู้จักเลือกภาษาให้เหมาะสมและถูกกาลเทศะ ๕เพื่อสามารถถ่ายทอดความรู้สึกผ่านเป็นตัวอักษร ๖เพื่อรู้จักเลือกเฟ้นถ้อยคำ สำนวน โวหารมาใช้ให้ถูก ต้องตามหลักภาษาและสื่อความหมายได้ ๗ เพื่อส่งเสริมให้มีจินตนาการ ความคิดริเริ่ม ๘เพื่อให้มีทักษะในการเขียนประเภทต่างๆ ๙เพื่อให้เห็นความสำคัญและคุณค่าของการเขียน การฝึกทักษะการเขียน ๑ การสอนคัดลายมือ ๒ การสอนเขียนสะกดคำ ๓ การเขียนบันทึกหรื ๔การเขียนจดหมาย ๕ การเขียนย่อความ ๖ การเขียนเรียงความ
การเขียนแต่ละประเภท คัดลายมือ การเขียนจดหมาย คัดลายมือคืออะไร ? ประเภทของจดหมาย เป็ นการฝึ กเขียนตัวอักษรไทยให็ 1.จดหมายส่วนตัว-เขียนติดต่อกันในวงศ์ญาติ ถูกต้องตามหลักการเขียนคำไทย 2.จดหมายธุรกิจ-เขียนติดต่อกันระหว่างบริษัท เขียนให้อ่านง่าย เว้นช่องไฟ มี 3.จดหมายกิจธุระ-เขียนติดต่อบุคคลอื่น บริษัท วรรคตอน วางพยัญชนะสระและ ห้างร้านต่าง ๆ เพื่อแจ้งกิจธุระ วรรณยุกต์ถูกที่และลายมือสวย 4.จดหมายราชการ-เขียนติดต่อกันในทาง ราชการ ลักษณะของการคัดลายมือ 1.ตัวบรรจงเต็มบรรทัด ตัวอย่าง (จดหมายกิจธุระ) 2.ตัวบรรจงครึ่งบรรทัด 3.หวัดแกมบรรจง เป็นการคัดลายมือ แบบมีหัวหวัด ต้องเขียนให้อ่านง่าย เว้นวรรคถูกต้องเหมาะสม ประเภทของการคัดลายมือ 1.ประเภทตัวเหลี่ยม เส้นตัวอักษรส่วน ใหญ่เป็ นเส้นตรงเช่นตัวอักษรแบบ เอกลักษณ์ ใช้ในการเขียนเกี่ยวกับพระ มหากษัตริย์หรืองานเขียนราชการ 2.ประเภทตัวกลมหรือตัวมน ลักษณะจะ มีเส้นโค้งประกอบ ใช้สำหรับการคัด ลายมือสำหรับนักเรียนโดยทั่วไป บรรจง หวัดแกมบรรจง การเขียนย่อความ การเขียนเรียงความ หลักการ ขั้นตอน 1.อ่านเรื่องที่จะย่ออย่างละเอียด 1.การเลือกเรื่อง เลือกตามความ ถี่ถ้วน ชอบหรือความถนัดของตัวเอง 2.หาใจความสำคัญ เรียบเรียง 2.ค้นคว้าหาข้อมูลจากหนังสือ เป็ นภาษาตนเอง นิตยสาร วารสาร อินเทอร์เน็ต อิ่น ๆ 3.ถ้ามีคำราชาศัพท์ให้คงไว้ 3.วางโครงเรื่อง 4.สรรพนามบุรุษที่ 1 และ 2 ให้ 4.เรียบเรียงตามองค์ประกอบ เปลี่ยนเป็นสรรพนามบุรุษที่ 3 5.บอกที่มาของย่อความ นำมา องค์ประกอบ เขียนย่อหน้ าแรก คำนำ เป็นส่วนแรกของการเขียนเรียง จุดประสงค์ ความ เป็นส่วนเปิดประเด็น ดึงดูด เพื่อรู้จักการจับใจความสำคัญ และ ความสนใจ สามารถนำไปถ่ายทอดแก่ผู้อื่นได้ เนื้อเรื่อง เป็นส่วนสำคัญและยาวที่สุด เป็นการขยายความ ในประเด็นต่าง ๆ ประโยชน์ ตามโครงเรื่องที่วาง อาจมีหลายย่อหน้ า 1.ช่วยให้การอ่านและฟั งดียิ่งขึ้น ได้ 2.ช่วยในการจดบันทึก สรุป เป็นส่วนสุดท้ายหรือย่อหน้ า 3.ช่วยเตือนความจำ สุดท้าย ทีี่จะทำให้ผู้อ่านประทับใจ 4.ช่วยในการตอบคำถามแบบฝึ กหัดหรือ กระชับรัดกุม อาจมีการให้กำลังใจหรือ ในการทำข้อสอบ ฝากข้อคิด
การเขียนสะกดคำ หลักการเขียนสะกดคำ ประโยชน์ ของการเขียนสะกดคำ 1.เขียนผิดเพราะคำออกเสียงเหมือนกัน 1.ช่วยให้เด็กรู้จักคำต่าง ๆ ที่จำเป็น แต่ความหมายและการเขียนต่างกัน และสามารถเขียนเป็ นเรื่ องราวได้ เช่น สิน \" สินธ์ 2.ช่วยให้เด็กสะกดคำต่าง ๆ ได้ถูก 2.ออกเสียงต่างกันเพียงเล็กน้ อย แต่ ต้อง ความหมายไม่ต่างกันมากนัก เช่น 3.ส่งเสริมให้เด็กรู้จักใช้คำต่าง ๆ ได้ รัก \" ลัก กว้างขึ้น 3.เขียนผิดเพราะไม่รู้หลักเกณฑ์ในการ 4.ช่วยให้เด็กค้นคว้าและคิดหาคำ เขียน ใหม่ ๆ ที่ต้องการ 4.ใช้แนวเทียบผิด 5.เขียนผิดเพราะมีการเปลี่ยนแปลงกฎ เกณฑ์ในการเขียน แต่ผู้เขียนติดรูปแบบ เดิม 6.บางคำมีความหมายอย่างเดียวกัน ออก เสียงเหมือนหรือคล้ายกัน แต่ใช้ต่างกัน 7.บางคำเขียนได้ากกว่า 1 รูป เช่น กรรไกร กรรไตร หรือตะไกร 8.เขียนผิดเพราะเขียนตามเสียงอ่าน เช่น ศีรษะ \"สี-สะ มักเขียนเป็น ศรีษะ การเขียนบันทึกหรือรายงาน หลักการของการเขียนบันทึก หลักการเขียนรายงาน 1.เขียนตามข้อเท็จจริง ถูกต้องชัดเจน 1.ส่วนประกอบตอนต้น 2.บอกแหล่งที่มาของข้อมูล -หน้ าปก 3.เขียนให้มีระเบียบ เรียงลำดับอย่างเป็นระบบ -ใบรองปก 4.ใช้เครื่องหมายหรือสัญลักษณ์แทน เพื่อให้จด -หน้ าปกใน บันทึกได้อย่างรวดเร็ว -คำนำ -สารบัญ จุดประสงค์ 2.ส่วนเนื้อหา 1.เพื่อเก็บรักษาข้อมูลให้มีความคงทน และ -บทนำ แนวคิด สะดวกในการนำกลับมาใช้ใหม่ -วิธีการดำเนินงาน 2.เพื่อบันทึกข้อมูลที่ต้องการเก็บรักษาด้วย -การนำเสนอและการวิเคราะห์ เหตุผลส่วนตัว หรือเรื่องหน้ าที่การงาน -สรุปอภิปรายและข้อเสนอแนะ 3.ส่วนประกอบตอนท้าย -บรรณานุกรม -ภาคผนวก -ประวัติผู้ค้นคว้า -ใบรองปกหลัง -ปกหลัง จุดประสงค์ 1.รู้จักวิธีค้นคว้าหาความรู้ด้วย ตนเอง 2.ฝึ กฝนทักษะด้านการอ่าน 3.ส่งเสริมให้มีความคิดริเริ่ม 4.ฝึ กทักษะด้านการเขียน 5.สามารถวิเคราะห์เรื่องราวต่าง ๆ ได้
เสียงในภ าษาไทย ประกอบด้วย เสียงสระ เสียงพยัญชนะ เสียงวรรณยุกต์ เสียงสระ มี 32 แบ่งเป็น สระเดี่ยว • สระเสียงสั้น 9 เสียง อะ อิ อุ อึ เอะ เเอะ โอะ เอาะ เออะ • สระเสียงยาว 9 เสียง อา อี อู อือ เอ เเอ โอ ออ เออ สระประสม • สระเสียงสั้น (ริสสะ) เอียะ เอือะ อัวะ • สระเสียงยาว (ทีฆสระ) เอีย เอือ อัว สรุปเสียงพยัญชนะในภาษาไทย ไตรยางค์ หรือ อักษรสามหมู่ พยัญชนะต้น • พยัญชนะต้นเดี่ยว อักษรกลาง • ก จ ฎ ฏ ด ต บ ป อ 1. อักษรตัวเดียว 2. อักษรนำ ( ไก่จิกเด็กตายเด็กตายบนปากโอ่ง ) 3. อักษรควบไม่เเท้ อักษรสูง •ผฝถฐขฃศสษหฉ • พยัญชนะต้นคู่ (ควบ) /ตร/ ( ผีฝากถุงข้าวสารให้ฉัน ) /พร/ /พล/ /ปร/ /ปล/ คู่ • พ ภ ค ฅ ฆ ฟ ท ฒ ฑ ธ ซ /กร/ /กล/ /กว/ /คร/ /คล/ /คว/ ชฌฮ พยัญชนะท้าย • 1. /ก/ 2. /บ/ อักษรต่ำ ( พ่อค้าฟันทองซื้อช้างฮ่อ ) 3. /ม/ 4. /ด/ 5. /ง/ 6. /น/ เดี่ยว • ง ญ น ย ณ ร ว ม ฬ ล 7. /ย/ 8. /ว/ ( งูใหญ่นอนอยู่ ณ ร่มวัดโมฬีโลก ) สรุป คำเป็น - คำตาย เสียงวรรณยุกต์ วรรณยุกต์ในภาษาไทยมี 5 เสียง 4 รูปดังนี้ คำเป็น มีตัวสะกด : นมยวง ไม่มีตัวสะกด : สระเสียงยาว เสียงวรรณยุกต์ รูปวรรณยุกต์ คำตาย มีตัวสะกด : กบด สามัญ ไม่ปรากฏรูป ไม่มีตัวสะกด : สระเสียงสั้น เอก โท ่ ตรี ๋ ้๊ จัตวา
วลี / กลุ่มคำ เกิดจากนำคำตั้งเเต่สองคำขึ้นไปมาเรียง ติดต่อกัน ทำให้เกิดความหมายเพิ่มขึ้น *คำเดียวหรือหลายคำก็ได้ เเต่ ต้องเป็นส่วนหนึ่งของประโยค* ชนิดของกลุ่มคำ แบ่งเป็น 7 ชนิด กลุ่มคำสันทาน กลุ่มคำกริยา กลุ่มคำนาม กลุ่มคำสรรพนาม กลุ่มคำวิเศษณ์ กลุ่มคำบุพบท กลุ่มคำอุทาน แผนผังสรุป ประโยคสามัญกริยาเดียว กริยาเดียว ประโยคสามัญ ประโยคสามัญหลายกริยา กริยาเรียง ประโยครวม หลายตัว คำเชื่อมสมภาค กับ เเต่ ละ หรือ ประโยคซ้อน หน้าที่เหมือนนาม มานานุประโยค ที่ ว่า ที่ว่า ให้ ประโยคซ้อน ประโยคซ้อน ขยายนาม คุณานุประโยค ที่ ซึ่ง อัน ขยายกริยา ประโยคซ้อน ซึ่ง ถ้า เพราะ เมื่อ วิเศษณานุประโยค
วรรณคดี วรรณคดี หมายถึง เป็นสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นและ สื่อสารเรื่องราวของชีวิต วัฒนธรรม และ อารมณ์ความรู้สึกที่เกี่ยวข้องหรือสะท้อน ความเป็นไปของมนุษย์ด้วยกลวิธีการใช้ ถ้อยคำสำนวนภาษาซึ่งเหมือนหรือแตก ต่างกันไปในแต่ละยุคสมัย ปัญหาในการเรียนวรรณคดี คือ การที่ผู้เรียนไม่เห็นคุณค่าของวรรณคดีไทยอย่างแท้จริง เพราะ มุ่งเน้นคำศัพท์และเนื้อเรื่องมากกว่าการพัฒนาความ คิด ดังนั้น จึงต้องมีการเปลี่ยนแปลงวิธีจัดการเรียนการสอน วรรณคดี แนวทางในการเรียนวรรณคดี ๑ อ่านเข้าใจ ๕ ใส่ใจวิพากษ์วิจารณ์ ๒ ได้เสียงเสนาะ ๖ ประสานกิจกรรม ๓ เจาะแนวคิดสำคัญ ๗ สัมพันธ์เนื้อหา ๔ หมั่นวิเคราะห์วินิจฉัย วรรณกรรม หมายถึง เป็นงานเขียนที่มนุษย์สร้างขึ้นจากอารมณ์ สะเทือนใจ หรือสะท้อนสิ่งที่ได้รับจากประสบการณ์ของ ชีวิต มีศิลปะในการถ่ายทอดทั้งในด้านความรู้ ความคิด ความสะเทือนใจด้วยการถ่ายทอดเป็น ภาษาทั้งร้อยแก้ว และร้อยกรอง ไม่จำกัดรูปแบบและเนื้อหางานนั้นมีความ ดีเด่นและให้ความประทับใจแก่ผู้อ่าน
QR Code ทำแบบทดสอบความเข้าใจ สแกนเลยค่ะ พัฒนาการทาง ทักษะการฟั งและดู ทักษะการ ภาษา อ่านและพูด ทักษะการเขียน หลักภาษา วรรณคคดีและ วรรณกรรม
บรรณานุกรม สมาคมครูภาษาไทยแห่งประเทศไทย.(2558). หลักภาษาไทย:เรื่องที่ครูภาษาไทยต้องรู้. กรุงเทพมหานคร:สกสค.ลาดพร้าว. สิริพัชร์ เจษฎาวิโรจน์.(2562).ภาษาไทยสำหรับครูประถม(พิมครั้งที่2). กรุงเทพมหานคร:สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยขอนแก่น. เอกรินทร์ สี่มหาศาล.ภาษาไทย ป.3(พิมพ์ครั้งที่2). กรุงเทพมหานคร:สำนักพิมพ์อักษรเจริญ. ทาทูล ทองดื่ม.(2560).การพิมพ์จดหมายลาครู.สืบค้น 20 สิงหาคม 2564.จาก https://site.com/site/krunartlada/kar.phimphcdhmav-la.khru Truplookpanya.(2564).การเขียนเรียงความใสืบค้น 23 สิงหาคม 2564.จาก https://www.truplookpanya.com Truplookpanya.(2561).แนวทางการคัดลายมือตามแบบตัวอักษรของกระทรวงศึกษาธิการ.สืบค้น 19 สิงหาคม 2564. จาก https://www.truplookpanya.com MTHAI.(2564).วิธีการเขียนรายงานฉบับสมบูรณ์ เขียนรายงานอย่างไรให้ครบถ้วนที่สุด.สืบค้น 24 สิงหาคม 2564.จาก https://mthai.com/campas/55503.html Site:google.(2564).ขั้นตอนการเขียนเรียงความ.สืบค้น 23 สิงหาคม 2564.จาก https://site.google.com/a/thoengwith.ac.th
Search
Read the Text Version
- 1 - 15
Pages: