หอ้ งสมุดกบั การรูส้ ารสนเทศ Library and Information Literacy ครูกฤตยา จนั ทรส์ ว่าง วิทยฐานะ ครูชานาญการพเิ ศษ
การเขียนรายงานทางวิชาการ
ความหมายของรายงาน รายงาน หมายถึง การเรียบเรียงผลของการศึกษา คน้ ควา้ ในเรื่องใดเรื่องหน่ึง โดยการศึกษาขอ้ มูลจาก หนังสือและเอกสารต่าง ๆ และรวบรวมข้อมูลใหไ้ ด้ เน้ ือหาสาระตามหัวขอ้ เร่ืองท่ีกาหนด แลว้ นามาเรียบ เรยี งข้ ึนใหม่ โดยการเขียนหรอื พิมพใ์ หถ้ กู ตอ้ ง
วตั ถปุ ระสงคข์ องรายงาน 1. เพ่ือเปิ ดโอกาสใหผ้ เู้ รียนไดศ้ กึ ษาคน้ ควา้ ในเรอ่ื งใดเรือ่ งหน่ึง ดว้ ยตนเอง 2. เพื่อใหผ้ เู้ รียนรูจ้ กั แหลง่ ขอ้ มูลตา่ ง ๆ และเกิดทกั ษะรูว้ ิธกี าร คน้ ควา้ รวบรวมขอ้ มูล 3. เพอ่ื เสริมสรา้ งใหผ้ เู้ รียนมีอปุ นิสยั รกั การอ่าน 4. เพอ่ื สง่ เสริมใหผ้ เู้ รียนรูจ้ กั วิเคราะห์ และสงั เคราะหข์ อ้ มูล 5. ชว่ ยใหผ้ เู้ รยี นไดพ้ ฒั นาความสามารถทางภาษา
ประเภทของรายงาน 1. รายงานทวั ่ ไป คือ รายงานท่ีเสนอขอ้ เท็จจริงใน เร่ืองตา่ ง ๆ ที่เก่ียวกับองคก์ ร สถาบนั ความเคลื่อนไหว ของเหตุการณ์ สถานการณอ์ ย่างใดอย่างหน่ึง ซึ่งได้ ดาเนินการไปแลว้ หรือกาลังดาเนินการอยู่ เพื่อให้ ผเู้ ก่ียวขอ้ งทราบ
ประเภทของรายงาน 1. รายงานทวั ่ ไป ไดแ้ ก่ 1.1 รายงานทางราชการ เป็ นรายงานซึ่งพนักงานเจา้ หน้าที่ รายงานผลการปฏิบัติงานต่อผูบ้ ังคับบัญชา เป็ นการรายงานให้ ทราบถึงความเป็ นมาของงาน การดาเนินงานผู้ร่วมงาน เช่น รายงานแสดงผลงาน 1.2 รายงานการประชุม เป็ นการบันทึกเร่ืองราวต่างๆ ท่ีองค์ ประชุมกล่าวถึงต้งั แต่เร่ิมประชุมจนส้ ินสุดการประชุม และตอ้ งนา รายงานน้ ีเสนอใหท้ ่ีประชุมรบั รอง ในการประชุมคร้งั ตอ่ ไป
ประเภทของรายงาน 1. รายงานทวั ่ ไป ไดแ้ ก่ 1.3 รายงานข่าว เป็ นการรายงานโดยใชว้ ิธีเขียนหรือพูด เพ่ือ รายงานเร่อื งราวหรอื เหตกุ ารณท์ ่ีเกิดข้ ึน 1.4 รายงานเหตุการณ์ เป็ นรายงานเพื่อบอกเร่ืองราวเหตุการณ์ หรือสถานการณต์ ่างๆ ที่เป็ นอยู่หรือเกิดข้ ึนในขณะน้ัน เสนอต่อ ผูบ้ ังคับบญั ชาทราบ เช่น รายงานการอยู่เวรรกั ษาการณ์ รายงาน อบุ ตั เิ หตรุ ถชนกนั เป็ นตน้
ประเภทของรายงาน 2. รายงานทางวิชาการ คือ รายงานผลท่ีเกิดจาก การศึกษาคน้ ควา้ เก่ียวกบั เร่ืองใดเรื่องหน่ึง มุ่งเสนอผลท่ี ไดต้ ามความเป็ นจริง รวบรวมและเรียบเรียงขอ้ มูลข้ ึน อยา่ งมีระบบ โดยมีหลกั ฐานและการอา้ งอิงประกอบแลว้ เขียนหรือพิมพใ์ หถ้ ูกตอ้ งตามรูปแบบท่ีสถาบนั การศึกษา กาหนด
ประเภทของรายงาน 2. รายงานทางวิชาการ ไดแ้ ก่ 2.1 รายงานจากการคน้ ควา้ (Report) เป็ นการเสนอรายงานทาง วิชาการ ประกอบการศึกษาตามรายวิชาตา่ ง ๆ ตรงตามหลกั สูตร ท่ีเรียน ผเู้ ขียนรายงานจะตอ้ งมีความรูพ้ ้ ืนฐานดา้ นรายงานวิชาการ ในเร่ืองรูปแบบ การวางโครงเร่ือง การลาดบั หวั ขอ้ และการอา้ งอิง 2.2 ภาคนิพนธ์ (Term Paper) เป็ นรายงานที่ผูเ้ รียนจะตอ้ งศึกษา คน้ ควา้ ในเร่ืองใดเร่ืองหน่ึง มุ่งใหผ้ ูเ้ รียนมีความสามารถในการ แสดงความคิด ท้ังของตนเองและของผูร้ ูจ้ ากแหล่งท่ีไดศ้ ึกษา คน้ ควา้ มาอยา่ งมีประสิทธภิ าพ สามารถเรียบเรียงขอ้ มูลอยา่ งเป็ น ระบบ
ประเภทของรายงาน 2. รายงานทางวิชาการ ไดแ้ ก่ 2.3 วิทยานิพนธ์ (Thesis or Dissertation) หรือ ปริญญานิพนธ์ เป็ นการศึกษาตามหลกั สูตรปริญญามหาบณั ฑิตหรือปริญญาดษุ ฎี บัณฑิต มีวิธีการวิจยั และรูจ้ กั วิเคราะหข์ อ้ มูลท่ีไดจ้ ากการศึกษา มุ่งหาเหตุผลเพื่อพิสูจนส์ มมุติฐาน แสดงความคิดเห็นของผูว้ ิจยั และใหข้ อ้ เสนอแนะเพ่ือเผยแพร่ความรูแ้ ละเป็ นแนวทางแก่ ผสู้ นใจท่ีจะทาการศึกษาคน้ ควา้ วิจยั ในเร่อื งน้นั ๆ
ประเภทของรายงาน 2. รายงานทางวิชาการ ไดแ้ ก่ 2.4 รายงานการวิจยั (Research) หมายถึง การหาคาตอบเกี่ยวกบั ปัญหาเร่ืองใดเร่ืองหนึ่ง โดยการต้งั สมมติฐานแลว้ รวบรวมขอ้ มูล โดยใชแ้ บบสอบถาม การสมั ภาษณห์ รือการทดลอง แลว้ นาขอ้ มูล ท่ีไดม้ าเสนอในรูปแบบตา่ ง ๆ เช่น ตาราง อาจใชค้ ่าสถิติมาช่วย ในการคานวณเพอ่ื ใหไ้ ดข้ อ้ มูลท่ีเช่ือถือได้
สว่ นประกอบของรายงาน 1. สว่ นนา ประกอบดว้ ย ปกนอก หนา้ ปกใน คานา สารบญั หรอื สารบาญ 2. สว่ นเน้ ือเรอ่ื ง ประกอบดว้ ย บทนา เน้ ือเรอ่ื ง บทสรุป 3. สว่ นอา้ งองิ ประกอบดว้ ย อา้ งอิงในเน้ ือหา อา้ งอิงทอี่ ยตู่ อนทา้ ยเล่ม ภาคผนวก
สว่ นประกอบของรายงาน 1. ส่วนนา หมายถึง ส่วนที่อยูต่ อนตน้ เล่มของรายงานก่อนถึงเน้ ือเร่ือง ประกอบดว้ ยสว่ นตา่ ง ๆ คือ ปกนอก หนา้ ปกใน คานา และสารบญั 1.1 ปกนอก (Cover) คือ ส่วนที่เป็ นปกหุม้ รายงานท้ังหมด มีท้ัง ปกหน้าและปกหลัง ควรเป็ นกระดาษแข็งพอสมควร สีใดก็ได้ ขอ้ ความที่ปรากฏบนปกนอก ไดแ้ ก่ ชื่อเรื่องของรายงาน ช่ือผูเ้ ขียน รายงาน รายงานประกอบรายวิชาใด จัดทาข้ ึนในภาคการศึกษา ปี การศึกษาใด และช่ือสถาบนั การศึกษาใด 1.2 หนา้ ปกใน (Title page) คือ ส่วนท่ีอยูต่ อ่ จากปกนอก ขอ้ ความที่ ระบใุ นหนา้ ปกในจะเช่นเดียวกบั ปกนอก
ส่วนประกอบของรายงาน 1.3 คานา (Preface) คือ ส่วนที่อยู่ถัดจากหน้าปกใน กล่าวถึ ง วตั ถปุ ระสงคแ์ ละขอบเขตของรายงาน อาจรวมถึงปัญหา อุปสรรคใน การศึกษาค้นคว้าทารายงาน ตลอดจนคาขอบคุณผู้ท่ีให้ควา ม ชว่ ยเหลือในการรวบรวมขอ้ มูลหรือการเขียนรายงาน 1.4 สารบญั หรือสารบาญ (Contents) คือ ส่วนท่ีอยู่ต่อจากหน้า คานา มีลักษณะคล้ายโครงเร่ืองของรายงาน ทาให้ทราบว่า ขอบเขตเน้ ือหาของรายงานครอบคลมุ เรอื่ งใดบา้ ง
สว่ นประกอบของรายงาน 2. ส่วนเน้ ือเรื่อง หมายถึง ส่วนที่สาคัญที่สุดของรายงาน เพราะจะ ครอบคลุมเน้ ือหาท้ังหมดของรายงานตามโครงเร่ืองที่กาหนดไว้ ประกอบดว้ ยสว่ นตา่ ง ๆ คือ บทนา เน้ ือเรื่อง และสรุป 2.1 บทนา (Introduction) ต่างจากคานา คือ การเขียนบทนาจะตอ้ ง อธิบายเน้ ือหาอย่างกวา้ งๆ หรือเน้ ือหาของรายงานใหผ้ ูอ้ ่านเขา้ ใจ ขอ้ มูลเบ้ ืองตน้ และเกิดความสนใจท่ีจะตดิ ตามอ่านตอ่ ไป 2.2 เน้ ือเร่ือง (Text) คือ ส่วนท่ีเสนอเรื่องราวสาระท้ังหมดของ รายงานตามลาดบั ของหวั ขอ้ ทร่ี ะบุไวใ้ นหนา้ สารบญั 2.3 สรุป (Conclusion) คือ ส่วนที่เขียนเพ่ือเน้นย้าหรือนาเสนอ ประเดน็ สาคญั ของเน้ ือหารายงานโดยสรุปเฉพาะ
สว่ นประกอบของรายงาน 3. ส่วนอา้ งอิง (References) หมายถึง ส่วนที่แสดงหลกั ฐานประกอบการ คน้ ควา้ และการเขียนรายงานเพื่อใหท้ ราบว่าผูท้ ารายงานไดค้ ้นควา้ มา จากแหล่งใดบา้ ง ทาใหร้ ายงานมีความน่าเชื่อถือ และแสดงถึงความมี จรยิ ธรรมทางวิชาการ 3.1 การอา้ งอิงในเน้ ือหาของรายงาน จะปรากฏเม่ือผูท้ ารายงานได้ คดั ลอกขอ้ ความ หรืออา้ งคาพดู หรือแนวความคิดของบุคคลอ่ืนมาไวใ้ น การทารายงานของตน โดยระบุนามผแู้ ตง่ ปี พมิ พ์ และ หรือเลขหนา้ 3.2 การอา้ งอิงท่ีอยูต่ อนทา้ ยเล่มของรายงาน ไดแ้ ก่ บรรณานุกรม เป็ น การนารายชื่อสิ่งพิมพแ์ ละวสั ดุอา้ งอิงประเภทอ่ืน ท่ีใช้เป็ นขอ้ มูลในการ จดั ทารายงาน เพื่อสนับสนุนใหร้ ายงานหรือผลงานทางวิชาการมีความ น่าเชื่อถือ
รูปแบบการเขียนปกนอกของรายงาน ชื่อเร่ืองของรายงาน ชอ่ื –นามสกลุ ครผู สู้ อน ชอ่ื – นามสกุล ผเู้ ขยี นรายงาน รหสั ประจาตวั นกั ศกึ ษา ระดบั ชนั้ สาขางาน รายงานน้เี ป็นสว่ นหน่งึ ของวชิ า .............................................. ภาคเรยี นท.่ี ........... ปีการศกึ ษา.................. ชอ่ื สถาบนั การศกึ ษา
ตวั อยา่ งการเขียนปกนอกของรายงาน ภาวะโลกรอ้ น เสนอ ครกู ฤตยา จนั ทรส์ วา่ ง โดย นางสาวภทั รพร ชยั เจรญิ รหสั 4932010048 นกั ศกึ ษาระดบั ชนั้ ปวส. 1 กลมุ่ 1 สาขางานการบญั ชี รายงานน้เี ป็นสว่ นหน่งึ ของการศกึ ษา วชิ าหอ้ งสมดุ กบั การรสู้ ารสนเทศ (3000–1601) ภาคเรยี นท่ี 1 ปีการศกึ ษา 2550 วทิ ยาลยั เทคนิคลพบรุ ี
การเขียนอา้ งอิงเชิงอรรถ เชิงอรรถ (Footnote) หมายถึง รายการแสดงที่มาของ สารสนเทศ ขอ้ ความท่ีนอกเหนือจากเน้ ือหา หรืออธิบาย ขอ้ ความบางตอนในรายงาน เพ่ือใหเ้ กิดความเขา้ ใจแจม่ แจง้ และน่าเชื่อถือมากย่ิงข้ ึน หรือรายละเอียดเพิ่มเติมขอ้ ความ บางแห่งในรายงาน โดยนามาเขียนหรือพิมพไ์ วท้ ่ีส่วนล่าง ของหนา้
รูปแบบการลงรายการเชิงอรรถ หนงั สอื หมายเลข ผูแ้ ต่ง.//(ปี ท่ีพิมพ)์ // ชื่อเร่ือง.//หน้า/เลขหนา้ ที่ใชใ้ นการอา้ งอิง. หนงั สอื แปล หมายเลข ผูแ้ ต่ง.//(ปี ที่พิมพ)์ //ช่ือเร่ือง.//แปลโดย//ชื่อผูแ้ ปล.//หน้า/เลขหนา้ ที่ใชใ้ น การอา้ งอิง หนงั สอื พมิ พ์ หมายเลข ผูแ้ ต่ง.//(วนั เดือนปี ท่ีพิมพ)์ //“หวั ขอ้ ขา่ วหรือหวั ขอ้ ในคอลมั น์หรือ ชื่อบทความ”//ช่ือหนังสือพิมพ.์ //หน้า/เลขหนา้ ที่ใชใ้ นการอา้ งอิง.
การเขียนบรรณานุกรม บรรณานุกรม คือ รายการของทรพั ยากรสารสนเทศ ทุกประเภทที่ผูเ้ ขียนใชใ้ นการศึกษาคน้ ควา้ หาข้อมูล และอา้ งอิงประกอบในการเขียนรายงาน ภาคนิพนธ์ หรือวิทยานิพนธ์ ซึ่งเป็ นความหมายเดียวกันกับคาว่า เอกสารอา้ งอิง
หลกั เกณฑก์ ารเขียนบรรณานุกรม 1. เขียนหรือพิมพค์ าว่า บรรณานุกรม ไวก้ ลางหนา้ กระดาษ ห่างจากขอบ ดา้ นบนประมาณ 1.5 น้ ิว ดว้ ยตวั อกั ษรหนาขนาดเดียวกันกับ คานา สารบญั และไม่ตอ้ งขีดเสน้ ใต้ 2. เขียนหรือพิมพบ์ รรณานุกรมแตล่ ะรายการ ในบรรทดั แรกใหช้ ิดขอบ ซา้ ย ถา้ ไม่พอในบรรทดั เดียวใหต้ ่อในบรรทดั ถัดไปในระยะย่อหนา้ หรอื เวน้ เขา้ ไป 8 ชว่ งตวั อกั ษร และเร่มิ พมิ พใ์ นระยะท่ี 9 3. เรียงลาดับบรรณานุกรมตามลาดับตัวอักษรของรายการแรก ก-ฮ หรอื A-Z ไม่มีเลขลาดบั ท่กี ากบั
หลกั เกณฑก์ ารเขียนบรรณานุกรม 4. ถา้ ทรพั ยากรสารสนเทศที่จะนามาเขียนบรรณานุกรมมีท้งั ภาษาไทย และภาษาองั กฤษใหเ้ รียงบรรณานุกรมภาษาไทยไวก้ ่อน แลว้ จึงเรียง บรรณานุกรมภาษาองั กฤษ 5. ถา้ ทรพั ยากรสารสนเทศ ท่ีจะนามาเขียนบรรณานุกรมมีหลายประเภท และแต่ละประเภทมีจานวนมาก ใหแ้ บ่งตามประเภทของเอกสาร น้ัน ๆ เช่น หนังสือ วารสาร หนังสือพิมพ์ จุลสาร เอกสารอัดสาเนา โสตทศั นวสั ดุ สือ่ อิเล็กทรอนิกส์ เป็ นตน้
หลกั เกณฑก์ ารเขียนบรรณานุกรม 6. ถา้ รายการแรกในบรรณานุกรมซ้ากัน เช่น ผูแ้ ต่ง ผูเ้ ขียนบทความหรือ สถาบนั ซ้ากนั ใหเ้ รียงตามลาดบั ตวั อกั ษรของช่ือหนังสือหรือชื่อบทความ ท่ีอยู่ลาดับถัดไป และบรรณานุกรมที่เขียนในลาดับหลังไม่ตอ้ งเขียน หรือพิมพส์ ่วนแรกซ้าอีก โดยใหใ้ ชเ้ ครื่องหมายสัญประกาศ หรือ ขีดเสน้ ยาว 8 ช่วงตวั อกั ษรหรอื ประมาณ 1 น้ ิวแทน 7. หลงั เครื่องหมายมหัพภาค (.) ใหเ้ วน้ 2 ระยะเคาะแป้นพิมพ์ และหลงั เครื่องหมายอ่ืน ๆ เช่น มหัพภาคคู่ (:) ใหเ้ วน้ ระยะหน้าเคร่ืองหมาย 1 ระยะเคาะแป้นพิมพ์ และหลงั เคร่ืองหมาย 1 ระยะเคาะแป้นพิมพ์ สว่ น เครื่องหมาย จลุ ภาค (,) อฒั ภาค (;) อญั ประกาศ (“ ”) นขลิขิต ( ) ให้ เวน้ 1 ระยะเคาะแป้นพมิ พ์
หลกั เกณฑก์ ารเขียนบรรณานุกรม 8. ผูแ้ ต่งคนเดียวกัน แต่บางเล่มมีผูอ้ ่ืนแต่งร่วมดว้ ย ให้ลงเล่มที่ผูแ้ ต่ง คนเดียวก่อนจนหมดแลว้ จงึ ตามดว้ ยเล่มท่ีมีผอู้ ื่นแตง่ ร่วมดว้ ย 9. ช่ือสารสนเทศใหพ้ ิมพด์ ว้ ยอกั ษรตวั หนาหรอื ขีดเสน้ ใตต้ ลอด 10. ถา้ สารสนเทศไม่ปรากฏผแู้ ตง่ ผจู้ ดั ทาหรือผรู้ บั ผิดชอบใหใ้ ชช้ ่ือเร่ือง เป็ นรายการแรกของบรรณานุกรมแทนรายการผแู้ ตง่ 11. การเขียนบรรณานุกรม ถา้ ไม่ปรากฏสถานที่พิมพห์ รือสานักพิมพ์ ใหล้ งว่า ม.ป.ท. ในตาแหน่งน้ัน ๆ หรือถา้ ไม่ปรากฏท้ังสองอย่าง ใหล้ ง ม.ป.ท. แทนเพยี งคร้งั เดยี ว 12. บรรณานุกรมจะอยสู่ ว่ นทา้ ยของเลม่
รูปแบบการเขียนบรรณานุกรม หนงั สอื ทวั ่ ไป ผูแ้ ต่ง.//ชื่อหนงั สอื .//คร้งั ที่พิมพ.์ (คร้งั ที่ 2 เป็ นตน้ ไป)//สถานท่ีพิมพ/์ :/สานักพิมพ,์ /ปี พิมพ.์ หนงั สอื แปล ผูแ้ ต่ง.//ช่ือหนงั สือ.//แปลจาก/ชอ่ื เร่ืองเดิม/โดย/ชอ่ื ผูแ้ ปล.//คร้งั ท่ีพมิ พ.์ //สถานที่พมิ พ/์ :/ สานักพิมพ,์ /ปี พิมพ.์ วารสาร ผูเ้ ขียนบทความ.//“ชื่อบทความ,”/ช่ือวารสาร.//ปี ที่,/ฉบบั ท่ี/(เดือน/ปี )/:/เลขหนา้ . หนงั สือพมิ พ์ ชอ่ื ผูเ้ ขยี นบทความ.//“ช่ือบทความหรือชอ่ื คอลมั น์,”/ชื่อหนงั สือพิมพ.์ //(วนั /เดือน/ปี )./:/ เลขหน้า.
รูปแบบการเขียนบรรณานุกรม รายงานวิจยั ผูว้ จิ ยั .//“ช่ืองานวิจยั ,”/รายงานวิจยั .//ชือ่ สถาบนั หรือสานักงานของผูเ้ ขียน,/ปี ที่พิมพ.์ วิทยานิพนธ์ ผูเ้ ขยี น.//ช่ือวิทยานิพนธ.์ //ระดบั วทิ ยานิพนธ.์ //ภาควชิ า/คณะ/มหาวิทยาลยั ,/ปี ท่ีพิมพ.์ อินเทอรเ์ น็ต ผูเ้ ขียน.//ช่ือเรื่อง.//[ประเภทส่ือ].//เขา้ ถึงไดจ้ าก/:/แหล่งสารสนเทศ.//(สืบคน้ เมื่อ/:/ วนั /เดือน/ปี ). โสตทศั นวสั ดุ เช่น วีดีทศั น์ ผูผ้ ลิตหรือผูร้ บั ผิดชอบ.//ช่ือเรอื่ ง.//(ประเภทของวสั ดุ).//สถานที่ผลิต/:/ผูผ้ ลิต,/ปี ท่ีผลิต.
ตวั อยา่ งการเขียนบรรณานุกรม บรรณานุกรม ธนวฒั น์ จารุพงษ์สกุล. โลกรอ้ นสุดข้วั วิกฤตอนาคตไทย. กรุงเทพฯ : ฐานบุค๊ ส,์ 2550. ธารา บวั คาศรี. โลกรอ้ น 5°C. กรุงเทพฯ : ดินสามน้าหน่ึง, 2550. พสิ ุทธิพร ฉา่ ใจ. 29 โรคอนั ตราย อนั เป็ นผลจากภาวะโลกรอ้ น. กรุงเทพฯ : ตน้ ธรรม, 2551. อรรณพ เรืองวเิ ศษ. Heat Pump เทคโนโลยเี พ่ือการประหยดั พลงั งานและลดภาวะโลกรอ้ น. กรุงเทพฯ : สมาคมส่งเสริมเทคโนโลยไี ทย-ญ่ีป่ ุน, 2551. คลงั ปัญญาไทย. ภาวะโลกรอ้ น. [ออนไลน์]. เขา้ ถึงไดจ้ าก : http://www.panyathai.or.th/wiki/index.php. (สืบคน้ เมือ่ 5 สิงหาคม 2553). มลู นิธิวกิ ิมีเดีย. ภาวะโลกรอ้ น. [ออนไลน์]. เขา้ ถึงไดจ้ าก : http://www.wikipedia.org/wiki /ปรากฏการณโ์ ลกรอ้ น - 318k. (สืบคน้ เม่อื 5 สิงหาคม 2553). วชิ าการดอตคอม. สาเหตขุ องภาวะโลกรอ้ น. [ออนไลน์]. เขา้ ถึงไดจ้ าก : http://www.vcharkarn.com/varticle/18345. (สืบคน้ เม่อื 5 สิงหาคม 2553).
การลงรายละเอียดของบรรณานุกรม 1. ช่ือผูแ้ ต่ง ใหล้ งชื่อแลว้ ตามดว้ ยนามสกุล ไม่ตอ้ งลงคานา หนา้ ช่ือ 2. ชื่อเร่อื ง ใชช้ ื่อเร่อื งที่ปรากฏในหนา้ ปกใน โดยเขียนชื่อเรอ่ื ง ของหนังสือและขีดเสน้ ใต้ หรือถา้ พิมพใ์ หพ้ ิมพด์ ว้ ย ตวั ดาหนา หรอื ตวั เอียง 3. คร้งั ที่พิมพ์ ถา้ เป็ นการพิมพค์ ร้งั แรกไม่ตอ้ งลงรายการ จะ ลงตอ่ เม่ือ พิมพค์ รง้ั ที่ 2 เป็ นตน้ ไป
การลงรายละเอียดของบรรณานุกรม 4. สถานที่พิมพ์ ลงช่ือเมือง หรอื ช่ือจงั หวดั ที่สานักพิมพ์ หรอื โรงพิมพ์ ถา้ ไม่ปรากฏสถานทพ่ี ิมพใ์ หใ้ ชอ้ กั ษรยอ่ “ม.ป.ท.” 5. สานักพิมพ์ ใหร้ ะบุชื่อสานักพิมพท์ ี่ปรากฏในหนังสือถา้ ไม่มี สานักพิมพใ์ หร้ ะบุโรงพิมพแ์ ทน ถา้ ไม่ปรากฏสานักพิมพใ์ หใ้ ช้ อกั ษรยอ่ “ม.ป.ท.” 6. ปี ที่พิมพ์ ภาษาไทยใชป้ ี พ.ศ. ภาษาองั กฤษใช้ ค.ศ. โดยเขียน เฉพาะตวั เลข ถา้ ไม่ปรากฏปี ท่พี ิมพใ์ หใ้ ชอ้ กั ษรยอ่ “ม.ป.ป.”
ขอ้ สงั เกตของการเขียนบรรณานุกรม 1. การเขียนบรรณานุกรม ควรเขียนโดยข้ ึนกระดาษแผ่นใหม่ตา่ งหาก จากเน้ ือเรื่อง 2. แยกรายการอา้ งอิงตามประเภทแหล่งขอ้ มูล และเรียงลาดับตัว พยัญชนะในแต่ละรายการ ถ้าพยัญชนะตัวเดียวกัน ให้เรียง ตามลาดับสระ และจัดเรียงรายการอ้างอิงภาษาไทยไว้ก่อน ภาษาตา่ งประเทศ 3. บรรณานุกรมบรรทัดแรกของแต่ละรายการจะพิมพช์ ิดขอบโดย ไม่เวน้ ระยะ แต่ถา้ รายการน้ันพิมพไ์ ม่จบในบรรทดั เดียวใหพ้ ิมพ์ ตอ่ ไปในบรรทดั ที่ 2 โดยเวน้ ระยะเขา้ ไปประมาณ 8 ช่วงตวั อกั ษร
ขอ้ สงั เกตของการเขียนบรรณานุกรม 4. การเขียนอา้ งอิงในบรรณานุกรม หนา้ เครื่องหมายวรรคตอนทุก เคร่ืองหมาย ไม่ตอ้ งเวน้ วรรค และหลงั เครื่องหมายมหัพภาค (.) ใหเ้ วน้ 2 ระยะเคาะแป้นพิมพ์ 5. การเขียนอ้างอิงในบรรณานุกรม หน้าและหลังเครื่องหมาย มหัพภาคคู่ (:) ให้เว้น 1 ระยะเคาะแป้ นพิมพ์ และหลัง เคร่อื งหมายอื่น ๆ ใหเ้ วน้ 1 ระยะเคาะแป้นพมิ พ์ (เครอ่ื งหมาย / หมายถึง เคาะแป้นพิมพ์ 1 คร้งั ) (เครื่องหมาย // หมายถึง เคาะแป้นพมิ พ์ 2 ครง้ั )
กิจกรรมการศึกษาคน้ ควา้ 1. ให้นักศึกษาจดั ทารายงานตามเรอื่ งที่กาหนดให้ 2. ปฏิบตั ิตามรายละเอียด ดงั นี้ 2.1 จดั ทาโครงเรื่องให้ครอบคลมุ เนื้อหาของรายงาน 2.2 ให้ค้นคว้าข้อมูลจากหนังสือ วารสาร และอินเทอร์เน็ต โดย เนื้อเรื่องของรายงานต้องไม่น้อยกว่า 50 หน้า (ดูหลกั เกณฑ์ในการ พิมพร์ ายงานได้จากเอกสารประกอบการเรียน) 2.3 ให้ใช้กระดาษสีขาว A4 พิมพห์ น้าเดียว (ใส่เลขกากบั หน้าด้วย) 2.4 ส่วนประกอบของรายงานต้องครบถ้วน ประกอบด้วย ปกนอก, หน้ าปกใน, ช่ือผู้จัดทา, คานา, สารบญั , เนื้อเร่ือง (50 หน้ า) และ บรรณานุกรม
กิจกรรมการศึกษาคน้ ควา้ 2.5 ส่วนเนื้อหาต้องมีเนื้อหาส่วนนาและส่วนสรปุ ประมาณ 1-2 หน้า 2.6 รูปภาพที่ใช้ประกอบรายงานต้องมีความชดั เจน ในสดั ส่วนท่ี เหมาะสมและเป็นภาพสี พิมพโ์ ดยกระดาษโฟโต้ทงั้ แผน่ ขนาดของภาพ กว้าง 10 ซม. x ยาว 14 ซม. จานวน 10 - 12 ภาพ และมีคาบรรยายใต้ ภาพทุกภาพ 2.7 บรรณานุกรมต้องมีไม่น้อยกว่า 10 รายการ (5 เวบ็ ไซต์ + 5 เล่ม) และเขียนให้ถกู ต้องตามหลกั เกณฑ์การเขียนบรรณานุกรม (ดูจาก เอกสารประกอบการเรียน) 2.8 ผู้จัดทากลุ่มละ 10 คน ให้ทารายชื่อผู้จัดทาเรียงตามรหัส ประจาตวั หรอื เลขท่ี แทรกระหว่างหน้าปกในและหน้าคานา
Search
Read the Text Version
- 1 - 35
Pages: