1 | บ ท เ ริ่ ม ต้ น แ ห่ ง ก า ร สื่ อ ส า ร ด้ ว ย ก า ร เ ขี ย น การเขยี นเพื่อวชิ าชีพครู สว่ นท่ี 1 การเขยี นงานเขียนทั่วไป ท่วั ไป บทท่ี 1 บทเริม่ ตน้ แห่งการสื่อสารด้วยการเขียน
2 | บ ท เ ร่ิ ม ต้ น แ ห่ ง ก า ร สื่ อ ส า ร ด้ ว ย ก า ร เ ขี ย น บทท่ี 1 บทเริม่ ตน้ แห่งการส่อื สารด้วยการเขียน การส่ือสารเป็นกระบวนการหน่ึงในการดารงชีวิตของมนุษย์ เราใช้กระบวนการสื่อสารเพ่ือถ่ายทอด ข่าวสาร ข้อมูล ความรู้ ประสบการณ์ รวมไปถึงความรู้สึกนึกคิดและความต้องการของผู้ส่งสารไปยังผู้รับสาร ในทุกๆกระบวนการการสื่อสารจะใช้ภาษาเป็นเครื่องมือในการสื่อความหมายตามวัตถุประสงค์ท่ีผู้ส่งสารต้องการ ส่งไปยังผู้รับสารผ่านช่องทางการส่ือสารท้ังการพูดและการเขียน สาหรับผู้รับสารน้ันก็จะใช้ช่องทางการรับสาร ผา่ นทางการฟังและการอา่ น และเพอ่ื ใหก้ ระบวนการส่ือสารน้ันๆสมบูรณ์และสัมฤทธ์ิผล ท้ังผู้ส่งสารและผู้รับสาร จึงจาเป็นที่จะต้องพัฒนาทักษะทางภาษาท้ัง 4 อันได้แก่ การฟัง การพูด การอ่านและการเขียนอย่างสม่าเสมอให้ เกดิ ความชานาญเพ่ือใหก้ ารตดิ ตอ่ สือ่ สารเป็นไปได้อยา่ งมีประสิทธิภาพ บรรลวุ ตั ถปุ ระสงค์ของการสอื่ สาร สาหรบั เอกสารประกอบการสอนฉบับน้จี ะขอกล่าวถงึ เฉพาะกระบวนการส่ือสารประเภทการเขียนเท่านั้น ดว้ ยเหตุเพราะการเขยี นเป็นทักษะท่ีค่อนข้างยุ่งยากกว่าทักษะการสื่อสารด้านอื่นๆ ซึ่งการส่ือสารด้วยการเขียนนี้ ต้องใช้ทั้งศิลปะและกลวิธีต่างๆ ในการสื่อสาร เพ่ือให้ผู้ส่งสารสามารถสื่อสารกับผู้รับสารได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะอย่างย่ิงหากเป็นการติดต่อสื่อสารในสังคมราชการแล้วนั้น จาเป็นท่ีจะต้องมีความละเอียดและพิถีพิถัน ในการเลอื กใช้ถอ้ ยคาและคานึงถึงความถูกต้องตามรปู แบบมาตรฐานอีกดว้ ย ความหมายและจุดประสงค์ของการเขยี น ความหมายของการเขยี น นกั วชิ าการหลายทา่ นให้คาจากัดความของคาวา่ “การเขียน” ไว้อย่างหลากหลาย อาทิ เปรมจิต ศรีสงคราม (2534:3) ให้ความหมายไว้ว่า การเขียน หมายถึง การบันทึกความรู้ ความคิด เรอื่ งราวตา่ งๆ ทีไ่ ด้พบ ได้อา่ น เพอ่ื เป็นหลกั ฐานและเพอื่ ใหจ้ าได้ บุญยงค์ เกศเทศ (2539:1) กล่าวว่า การเขียน หมายถึง งานท่ีเขียนขึ้นทุกประเภทไม่จากัดสถานที่ โอกาส และถ้อยคา สมพร มันตะสูตร แพ่งพิพัฒน์ (2540:3) ระบุว่า การเขียน คือ การส่ือสารความรู้ ความคิด ทัศนคติ และอารมณ์เป็นตัวอักษรจากผู้เขยี นถงึ ผูอ้ า่ น ปรียา หิรัญประดิษฐ์ (2554:129) ให้คาจากัดความว่า การเขียน คือ การถ่ายทอดความคิด ความรู้ ความต้องการ ความรสู้ กึ ออกเป็นตวั หนงั สือใหผ้ ู้อา่ นได้อา่ น และเขา้ ใจจุดประสงคข์ องผ้เู ขียน
3 | บ ท เ ริ่ ม ต้ น แ ห่ ง ก า ร ส่ื อ ส า ร ด้ ว ย ก า ร เ ขี ย น ธนู ทดแทนคุณ (2556:1) กล่าวว่า การเขียน หมายถึง การเรียบเรียงความคิดในสิ่งที่จะสื่อสารเป็น ตัวหนงั สืออย่างมจี ดุ มุ่งหมาย เพื่อถ่ายทอดความรสู้ กึ ความนกึ คดิ ความต้องการ และขอ้ มลู ต่างๆ ไปยังผ้อู า่ น อาจกล่าวโดยสรุปได้ว่า การเขียน คือ ทักษะในการติดต่อสื่อสารผ่านทางตัวอักษร โดยเป็นไปตาม จุดมุ่งหมายของผู้เขียนเพ่ือถ่ายทอดข้อมูล ความรู้ ความคิด ความรู้สึกตลอดจนความต้องการของผู้เขียนไปยัง ผ้อู า่ น จดุ มุ่งหมายของการเขียน ในการติดต่อสื่อสารที่ผู้ส่งสารเลือกใช้กระบวนการเขียนเป็นช่องทางการสื่อสารนั้น ผู้ส่งสาร(ผู้เขียน) จาเป็นอย่างยิ่งที่ต้องกาหนดจุดมุ่งหมายของการเขียนอย่างชัดเจน เพื่อให้ผู้รับสาร(ผู้อ่าน) สามารถเข้าถึงสารได้ ตรงตามความตอ้ งการของผสู้ ่งสาร และในสารแต่ละประเภทก็มีรูปแบบการเขียนท่ีแตกต่างกันไป ทั้งนี้ผู้เขียนต้อง คานึงถึงระดบั ความรู้ ประสบการณ์ และความต้องการของผู้อ่านควบคู่กันไปด้วย เพื่อให้สารน้ันก่อประโยชน์และ บรรลุตามจดุ มุ่งหมายของการส่อื สารในคร้งั น้นั ๆนนั่ เอง อัญชลี ทองเอม (2541:43) แบ่งจดุ ม่งุ หมายของการเขียนโดยทัว่ ๆ ไป ออกเปน็ 3 ประการ ดงั น้ี 1. เขยี นเพื่ออธบิ าย หมายถึง การเขยี นบอกเล่าให้ผู้อ่านรู้รายละเอียดต่างๆ จากความรู้ ความคิด และ ประสบการณ์ของผู้เขียน งานเขียนประเภทนี้ ได้แก่ การเขียนตอบคาถาม การเขียนตารา เอกสาร ประกอบการสอน หนังสอื บทความ สารคดี เป็นตน้ 2. เขยี นเพอื่ พรรณนา หมายถงึ การเขียนที่ตอ้ งการแสดงความคิด อารมณ์ และความรู้สึกให้ผู้อ่านได้รับ ได้แก่ การเขียนบทร้อยกรอง การเขยี นบทความ การเขยี นสารคดี การเขยี นเรอื่ งสนั้ นวนิยาย เปน็ ต้น 3. เขียนเพ่ือโน้มน้าวจิตใจ หรือ เปล่ียนความคิด หมายถึง การเขียนที่ต้องการให้ผู้อ่านเปล่ียน ความคดิ ความรู้สึก อาจคล้อยตามหรือเกิดความขัดแย้งไปตามความต้องการของผู้เขียน ได้แก่ การ เขียนขา่ ว บทความ บทวิจารณ์ บทวิเคราะห์ โฆษณาประชาสัมพันธ์ เป็นตน้ ปรยี า หิรัญประดษิ ฐ์ (2554:129-130) จัดแบ่งจุดประสงคข์ องการเขียนออกเปน็ 3 ประเภท ไดแ้ ก่ 1. เขียนเพื่อบอกเล่า เป็นการเขียนเพื่อบอกความประสงค์ เล่าเร่ืองราวเหตุการณ์ ประสบการณ์ต่างๆ อธิบายวิธีการ ความรู้ความคิด หรือช้ีแจงตอบปัญหา การเขียนประเภทนี้ใช้มากในวงราชการ เช่น การเขียนหนังสือบอกความต้องการให้ผู้อ่ืนปฏิบัติ การอธิบายวิธีดาเนินการ การเขียนข่าว ประชาสัมพันธ์ การชี้แจงเรื่องราวต่างๆ เป็นต้น ผู้เขียนจะต้องเรียงลาดับความให้เหมาะสมกับเร่ือง ให้ข้อมลู ทถี่ ูกตอ้ งตามความเป็นจริง ใชภ้ าษาชัดเจน รัดกุม เพ่ือใหอ้ า่ นงา่ ยเขา้ ใจง่าย
4 | บ ท เ ริ่ ม ต้ น แ ห่ ง ก า ร สื่ อ ส า ร ด้ ว ย ก า ร เ ขี ย น 2. เขียนเพ่ือแสดงความคิดเห็น เป็นการเขียนเพื่อเสนอความคิดเห็นของผู้เขียนโดยมีหลักฐานข้อมูล และเหตุผลประกอบการเขียน เช่น การเขียนเสนอแนะผู้บังคับบัญชาเก่ียวกับเร่ืองต่างๆ การเขียน ประเภทนตี้ อ้ งให้ขอ้ มลู อยา่ งครบถว้ นสมบูรณ์ การเขียนข้อคิดเห็นเกี่ยวกับเร่ืองท่ีเสนอต้องมีทั้ง 2 แง่ คอื ขอ้ ดีและข้อเสยี และมเี หตุผลประกอบอยา่ งชดั เจน 3. เขยี นเพื่อจูงใจ เป็นการเขียนเพอ่ื ให้ผ้อู ่านมีความเห็นพ้องหรือปฏิบัติตาม การเขียนประเภทนี้ใช้มาก ในงานประชาสัมพันธ์ของส่วนราชการ และงานประเภทท่ีต้องการให้ผู้อ่านเชื่อถือและหวังผลในทาง ปฏิบัติผู้เขียนจะต้องมีเทคนิคในการใช้ภาษาและเสนอสาระให้ผู้อ่านสนใจในเวลาอันรวดเร็ว ตอ่ จากนน้ั กท็ าใหผ้ อู้ า่ นเกิดความรู้สึกคลอ้ ยตาม และมีแนวโนม้ ทจ่ี ะปฏิบตั ติ ามดว้ ย ธนู ทดแทนคุณ (2556:2-11) กล่าวว่า ประสิทธิภาพในการเขียนจะเกิดข้ึนได้นั้น ส่วนหน่ึงข้ึนอยู่กับ จดุ มุง่ หมายของผู้เขียนว่าต้องการส่ือสารให้ผู้อ่านได้ทราบถึงอะไร หรือเขียนเพื่ออะไร โดยอาจแบ่งจุดมุ่งหมายใน การเขียนได้ดงั นี้ 1. การเขียนเพ่อื อธิบายหรอื ใหค้ วามรู้ เป็นการเขียนท่ีมุ่งให้ข้อมูลความรู้เพ่ือให้ผู้อ่านได้รับข้อมูลอย่าง ละเอียด เช่น อธิบายวิธีการใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ อธิบายวิธีการต่อวงจรไฟฟูา อธิบายวิธีการใช้ เครื่องทอดโดนทั อตั โนมัติ อธิบายวิธีการประกอบชิ้นส่วนเคร่ืองจักรกล อธิบายวิธีการปูองกันโรคพิษ สุนัขบ้า ฯลฯ 2. การเขียนเพื่อเล่าเร่ือง เป็นการเขียนท่ีมุ่งให้ข้อมูลแก่ผู้อ่าน เพ่ือให้ได้รับอรรถรสในสิ่งท่ีผู้เขียนพบ หรือประสบมากับตนเอง เช่น เล่าเหตุการณ์ท่ีพบในท้องถนน เล่าถึงการเดินทางท่องเท่ียวในช่วงปิด ภาคเรียน เล่าเหตุการณ์คลื่นยักษ์ “สึนามิ” เล่าเหตุการณ์การชุมนุมทางการเมือง เล่าบรรยากาศใน การพบปะประชาชนระหว่างปฏบิ ัตริ าชการ ฯลฯ 3. การเขียนเพ่ือแนะนาหรือให้ข้อคิดเห็น เป็นการเขียนท่ีมุ่งให้คาแนะนา ให้ข้อคิดเห็นอันเป็น ประโยชน์ต่อผู้อ่าน สามารถนาไปใช้ได้จริง บางคร้ังอาจเป็นข้อมูลสาคัญเพื่อการดาเนินงาน เช่น แนะนาสถานท่ีทางานใหม่ แนะนาวิธีการสัมภาษณ์งานเพ่ือให้ได้งานทา แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับ การเลือกใชส้ ่ือเพ่ือการนาเสนอรายงาน แนะนาเคล็ดลับต่างๆ ฯลฯ 4. การเขียนเพ่ือโน้มน้าวใจ เป็นการเขียนท่ีมุ่งชักจูง โน้มน้าว โฆษณาเพื่อให้ผู้อ่านรู้สึกเห็นด้วยหรือ คล้อยตาม และอาจนาสู่การประเมินค่าหรือตัดสินใจได้ เช่น การเขียนข้อความโฆษณาในนิตยสาร หนังสือพิมพ์ คาขวัญรณรงค์ต่อต้านสารเสพติด ปูายโฆษณาริมทาง แผ่นพับ โบรชัวร์แนะนาสินค้า เปน็ ตน้
5 | บ ท เ ร่ิ ม ต้ น แ ห่ ง ก า ร ส่ื อ ส า ร ด้ ว ย ก า ร เ ขี ย น 5. การเขียนเพื่อสร้างแนวคิดเชิงจินตนาการ เป็นการเขียนท่ีมุ่งนาเสนอภาพความคิดที่สร้างสรรค์ เพ่ือให้ผู้อ่านสามารถคิดตามไปด้วย และนาไปใช้ประโยชน์ในชีวิตจริงได้ เช่น นวนิยาย เร่ืองสั้น คา ประพันธ์ ฯลฯ 6. การเขียนเพ่ือล้อเลียน-เสียดสี เป็นการเขียนที่มุ่งให้ความรู้สึกในลักษณะล้อเลียน เสียดสี หรืออาจ ประชดประชนั เน้นความสนุกสนานเป็นหลัก เช่น เขียนคาอธิบายภาพการ์ตูนล้อเลียนการเมือง บท ละครล้อเลยี นการเมือง บทพูดของนกั แสดงตลก ฯลฯ 7. การเขยี นเพ่ือแจ้งใหท้ ราบขอ้ เทจ็ จรงิ เปน็ การเขยี นทมี่ งุ่ ให้ขอ้ มูลทเ่ี ป็นจริง นาเสนอรายละเอียดเพื่อ การนาไปปฏิบัติ บางครั้งอาจอ้างอิงกฎ ระเบียบ ข้อบังคับ เช่น กติกาการแข่งขันอ่านทานองเสนาะ ระเบียบการมาทางานของพนกั งานบริษทั จดหมายราชการ บทความ ฯลฯ 8. การเขยี นเพ่อื ให้ขอ้ มลู เป็นการเขยี นทีม่ งุ่ ให้รายละเอียด หรือข้อมูลท่ีเก่ียวข้องกับตัวผู้เขียนเอง เพ่ือ สื่อสารให้กับผู้ท่ีมีหน้าที่เก่ียวข้องได้รับทราบในประโยชน์ทางธุรกิจ กิจธุระ และเรื่องสาคัญของตน เช่น การกรอกแบบฟอร์มของทางราชการ การเขียนจดหมายสมัครงาน การเขียนประวัติย่อ การ เขียนเอกสารสัญญา เปน็ ตน้ จะเหน็ ไดว้ ่าแมน้ กั วิชาการแตล่ ะท่านจะแบ่งจุดมุ่งหมายของการเขียนออกเปน็ แตล่ ะประเภทท่ีแตกต่างกัน ไปข้นึ อยู่กบั ความละเอยี ดทีน่ กั วิชาการให้ความสนใจและต้งั เป็นจดุ สังเกต เปน็ เกณฑ์ในการตัดสินแบ่งขอบเขตของ จุดประสงค์ในการเขียนแต่ละประเภท แต่โดยภาพรวมแล้วน้ันนับว่า การตั้งจุดประสงค์ของการเขียนเป็นสิ่งท่ี ผู้เขียนต้องให้ความสาคัญและความใส่ใจอย่างย่ิง เพราะเม่ือตั้งจุดประสงค์ของงานเขียนแต่ละคร้ังได้ดีและ ชัดเจนแล้วน้ัน เนื้อหาหรือสารท่ีผู้เขียนต้องการจะส่ือออกมาย่อมเป็นไปในทิศทางและขอบเขตที่ผู้เขียน ตอ้ งการน้ันเอง อีกประการหนึ่งคือการจะเขียนงานเขียนให้ได้ดีน้ันเป็นเร่ืองท่ีไม่ง่ายนัก เพราะต้องมีทั้งหลักวิชา และศลิ ปะลลี าเฉพาะตวั ของผูเ้ ขียนปรากฏในงาน ดังนัน้ ผู้เขียน ทกุ คนพึงระลึกไว้เสมอว่า การเขียนเป็นทักษะ ทตี่ ้องมีการฝึกฝนอยา่ งสม่าเสมอจึงจะชว่ ยพฒั นาทักษะการเขียนใหด้ ขี ึน้ ได้ รปู แบบตา่ งๆของการเขยี น นักวิชาการหลายท่านจัดรูปแบบการเขียนทั่วๆไปโดยมีเกณฑ์ต่างๆในการจัดประเภท ในท่ีนี้จะขอใช้การ แบ่งของ ประภัสสร เสวิกุล (2552:300-305 อ้างถึงใน จิรวัฒน์ เพชรรัตน์ และ อัมพร ทองใบ 2556 : 54- 56) แบ่งไว้ 5 แบบ ดังนี้
6 | บ ท เ ร่ิ ม ต้ น แ ห่ ง ก า ร สื่ อ ส า ร ด้ ว ย ก า ร เ ขี ย น 1. แบ่งตามเนื้อหา 2. แบง่ ตามลกั ษณะของคาประพันธ์ 3. แบ่งตามแบบแผนของการเขยี น 4. แบง่ ตามวัตถปุ ระสงคข์ องการเขียน 5. แบง่ ตามลกั ษณะของการสร้างสรรค์ อธบิ ายรายละอยี ดได้ ดงั น้ี 1. แบ่งตามเน้ือหา การแบ่งตามเนื้อหาแยกไดด้ ังนี้ 1.1 เร่ืองที่แต่งจากจินตนาการ เป็นการเขียนที่เน้นในทางบันเทิง อาจเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า บันเทิงคดี หรือ เร่ืองอ่านเล่น เป็นการเขียนท่ีมีการสร้างตัวละคร สถานที่ สถานการณ์ และเง่ือนไขต่างๆ เพ่ือให้เร่ือง ดาเนินไปส่จู ุดมงุ่ หมายทผี่ ู้ประพันธ์กาหนดไว้ องคป์ ระกอบของเร่อื งท่ีแตง่ จากจนิ ตนาการ ไดแ้ ก่ 1) เค้าโครงเรอื่ ง 2) แก่นของเร่อื ง 3) ตวั ละครและบทบาทของตัวละคร 4) บทบรรยาย 5) บทสนทนา 6) สถานการณ์ 7) ฉาก 8) บรรยากาศของเร่ือง 9) วรรณศลิ ป์ 10) แนวคิด 11) คุณคา่ ของเรื่อง
7 | บ ท เ ร่ิ ม ต้ น แ ห่ ง ก า ร สื่ อ ส า ร ด้ ว ย ก า ร เ ขี ย น 12) บทสรุป เรื่องท่ีแต่งจากจินตนาการ แบ่งออกเป็น 4 ประเภทหลักๆ ได้แก่ 1) เรื่องสั้นและเร่ืองสั้น-สั้น 2) นวนยิ าย และนวนยิ ายขนาดสนั้ 3) บทกวี และ 4) บทละคร บทโทรทศั น์และบทภาพยนตร์ 1.2 เรอ่ื งท่ีไมไ่ ด้แต่งจากจินตนาการ เป็นการเขียนท่มี ุ่งเนน้ เน้ือหาสาระ หรอื ขอ้ เท็จจริงเป็นหลัก ทาให้มี ช่ือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า สารคดี โดยทั่วไปแล้วการเสนอวรรณกรรมสารคดีมักมีจุดมุ่งหมายต่อผู้อ่าน คือ เพื่อให้ ความบนั เทิง เพือ่ เสนอสาระเรื่องราวบางประการ หรือเพอ่ื ชกั จงู โน้มนา้ วความคิด องค์ประกอบสาคญั ของเรอ่ื งท่ไี มไ่ ด้แต่งจากจินตนาการ ได้แก่ 1) ข้อมูลหลกั ฐาน 2) ทัศนคติและมุมมอง 3) ประเด็นทีต่ ้องการนาเสนอ 4) ศิลปะการนาเสนอ 5) วรรณศลิ ป์ เร่ืองที่ไม่ได้แต่งจากจินตนาการหรือสารคดี อาจจาแนกได้เป็นประเภทต่างๆ ได้แก่ 1) สารคดีเกี่ยวกับ บุคคล 2) สารคดีเก่ียวกับสถานที่ 3) สารคดีเกี่ยวกับวาระหรือเหตุการณ์พิเศษ 4) สารคดีวิทยาการ 5) สาร- คดที างวิชาการ 6) บทความที่เปน็ แบบแผน และ 7) ปกิณกะคดี 2. การแบ่งตามลกั ษณะของคาประพันธ์ การแบ่งตามลักษณะของคาประพนั ธ์ แยกได้เป็น 1) รอ้ ยแกว้ และ 2) รอ้ ยกรอง ร้อยแกว้ ประเภทบันเทิงคดี ไดแ้ ก่ เร่อื งสั้น นวนิยาย บทละคร และสารคดี รอ้ ยกรอง ทั้งท่ีมฉี นั ทลกั ษณแ์ ละไม่มฉี ันทลักษณ์ 3. การแบ่งตามแบบแผนของการเขยี น การแบ่งตามแบบแผนของการเขียน แยกได้เป็น 1) การเขียนท่ีเป็นแบบแผน 2) การเขียนก่ึงแบบแผน และ 3) การเขียนทไี่ มเ่ ปน็ แบบแผน 3.1 การเขียนที่เป็นแบบแผน ได้แก่ การเขียนเอกสารทางราชการ บทความ รายงานการประชุม รายงานทางวชิ าการ ปาฐกถา เรียงความ เป็นตน้
8 | บ ท เ ร่ิ ม ต้ น แ ห่ ง ก า ร สื่ อ ส า ร ด้ ว ย ก า ร เ ขี ย น 3.2 การเขียนแบบกงึ่ แบบแผน ได้แก่ คากลา่ วแสดงความรสู้ กึ ในโอกาสต่างๆ สนุ ทรพจน์ เป็นตน้ 3.3 การเขียนที่ไม่เป็นแบบแผน ได้แก่ การเขียนเร่ืองส้ัน นวนิยาย บทความ สารคดี บันทึกส่วนตัว เป็นต้น 4. การแบ่งตามวตั ถุประสงคข์ องการเขยี น การแบ่งตามวัตถุประสงค์ของการเขียน แยกได้เป็น 1) การเขียนที่เป็นงานทางวิชาการ และ 2) การเขียนท่ีเป็นงานศิลปะ 4.1 การเขียนท่ีเป็นงานทางวิชาการ ได้แก่ วิทยานิพนธ์ ตารา ผลการค้นคว้าวิจัย รายงานทาง วชิ าการ บทความทางวชิ าการ เป็นตน้ 4.2 การเขยี นทเ่ี ปน็ งานศิลปะ ได้แก่ การเขยี นเรื่องบนั เทงิ คดีและสารคดี 5. การแบง่ ตามลกั ษณะของการสร้างสรรค์ การแบง่ ตามลักษณะของการสร้างสรรค์ แยกได้เปน็ 1) การเขยี นที่เปน็ ศิลปะบรสิ ทุ ธ์ิ และ 2) การเขียนที่เปน็ พาณิชยศลิ ป์ 5.1 การเขียนท่ีเป็นศิลปะบริสุทธ์ิ คาว่า “ศิลปะบริสุทธ์ิ” ในท่ีน้ีหมายถึง การสร้างสรรค์งานที่มิได้มี วตั ถปุ ระสงค์แรกเร่มิ ในทางพาณชิ ย์ เช่น เขยี นร้อยแกว้ หรือรอ้ ยกรองจากความสะเทอื นใจในเรื่องบางเรอื่ ง 5.2 การเขียนที่เป็นพาณิชยศิลป์ ได้แก่ การเขียนท่ีมีวัตถุประสงค์แต่แรกเร่ิมในทางพาณิชย์ เช่น การ เขียนคาโฆษณาสนิ คา้ บทละครโทรทศั น์ บทภาพยนตร์ หรือนวนยิ ายลงติดตอ่ กันในนิตยสาร เป็นต้น กล่าวโดยสรุป รูปแบบต่างๆ ของการเขียนมีการแบ่งตามประเภทต่างๆได้หลายแบบ ได้แก่ แบ่งตาม เน้ือหา แบ่งตามลักษณะคาประพันธ์ แบ่งตามแบบแผนของการเขียน แบ่งตามวัตถุประสงค์ และแบ่งตาม ลักษณะของการสร้างสรรค์ ซึ่งเราอาจแบ่งงานเขียนแตกต่างไปจากน้ีก็ได้ เช่น อาจแบ่งงานเขียนตาม จุดมุ่งหมาย อาทิ การเขียนเพื่อเลา่ เรอ่ื ง การเขียนเพ่อื อธบิ าย การเขียนเพื่อแสดงความคิดเห็น ฯลฯ ท้ังน้ีท้ังนั้น ขึน้ อย่กู บั ผู้เขียนวา่ จะเลอื กใชเ้ กณฑใ์ ดในการแบง่
9 | บ ท เ ร่ิ ม ต้ น แ ห่ ง ก า ร สื่ อ ส า ร ด้ ว ย ก า ร เ ขี ย น ลกั ษณะของงานเขียนทดี่ ี นภาลัย สุวรรณธาดา และอดุลย์ จันทรศักด์ิ(2550 อ้างถึงใน ธนู ทดแทนคุณ 2556:12-13) ได้กล่าว ว่างานเขียนท่ีดีและมีคุณค่า จะต้องมีลักษณะ 5 C ที่จะต้องทาให้ผู้อ่านสามารถรับสารจากผู้เขียนได้อย่างมี ประสิทธิภาพ ไดแ้ ก่ C 1 คอื CORRECT ต้องมีความถูกต้องในเร่ืองข้อมูล รูปแบบ แม้กระท่ังการเขียนสะกดคาหรือ ภาษาท่ีใช้เขยี น C 2 คอื CLEAR ต้องมคี วามชดั เจน กระจา่ งในความคดิ ทั้งผเู้ ขยี นและผู้อา่ น C 3 คือ CONFIRM ตอ้ งสามารถยนื ยนั ได้ มหี ลักการถกู ต้องและอา้ งองิ ได้ C 4 คือ CONCISE ต้องมคี วามกระชบั ส้นั ๆ แตไ่ ดใ้ จความ C 5 คือ CONVINCE ต้องสามารถโน้มน้าวใจใหผ้ ู้อ่านเช่อื ถือหรอื คลอ้ ยตามได้ ธนู ทดแทนคุณ (2556:12) กล่าวว่า งานเขียนท่ีดีจะต้องมีลักษณะที่ถูกต้อง สมบูรณ์ สามารถส่ือ ความหมายได้อยา่ งมีประสทิ ธิผล โดยจะต้องมีลักษณะดงั ต่อไปนี้ 1. ความชัดเจน (Perspicuity) ได้แก่ การใช้คาให้ถูกต้องตามความหมาย การเรียบเรียงประโยคที่ ถูกต้อง มีจุดมุ่งหมายในการส่ือสารท่ีตรงประเด็น สามารถเห็นส่ิงท่ีผู้เขียนต้องการจะสื่อสารได้อย่าง ชดั เจน เนือ้ หาของงานเขียนมเี อกภาพ เปน็ ต้น 2. มคี วามเรียบง่าย (Simplicity) ไดแ้ ก่ การใชค้ าธรรมดาๆ แต่สามารถอ่านแล้วเข้าใจทันที ไม่ใช้คาท่ี อ่านแล้วต้องแปลความหมายมาก ใช้ประโยคที่เรียบๆ แต่สะท้อนให้เห็นถึงอารมณ์และจินตนาการ ต่างๆ เปน็ ตน้ 3. มีความกระชับ (Brevity) ได้แก่ การใช้คาน้อยแต่มีความหมายกว้าง ไม่ใช้คาฟุมเฟือย อ้อมค้อม วกวน จนทาใหไ้ ม่สามารถจบั ประเดน็ ของงานเขยี นน้ันไดเ้ ลย 4. สรา้ งความประทบั ใจ (Impressiveness) ได้แก่ การสร้างอารมณ์และความรู้สึกต่างๆ ให้ผู้อ่านเกิด ความรู้สึกที่ดีด้วยการใช้คาและสานวน โวหาร คาภาพพจน์ต่างๆ สื่อความโดยการใช้คาท่ีเร้า ความรสู้ กึ อาจเกดิ จากการเน้นคา สานวน ประโยค เช่น การซ้าคา ใช้คาไวพจน์ คาอธิพจน์ คานาม- นัย ฯลฯ
10 | บ ท เ ร่ิ ม ต้ น แ ห่ ง ก า ร สื่ อ ส า ร ด้ ว ย ก า ร เ ขี ย น 5. มลี ลี า ได้แก่ ความสามารถในการเลอื กสรรคามาใช้ในงานเขยี นแลว้ ทาให้ผู้อ่านเกิดความรู้สึกที่ดี เช่น การใช้ถอ้ ยคาทีร่ าบรืน่ แต่สรา้ งความไพเราะ การหลากคา การเลน่ คา ฯลฯ 6. สร้างภาพพจน์หรือจินตนาการ ในงานเขียนบางชนิดจาเป็นที่ผู้เขียนจะต้องใช้ถ้อยคาท่ีสร้าง ภาพพจน์ หรือจนิ ตนาการให้ผอู้ ่านเหน็ ภาพตามไปดว้ ย 7. มีความสร้างสรรค์ ได้แก่ การใชภ้ าษาเขียนท่ีสื่อสารในทางบวก ไม่ยุยงส่งเสริมสิ่งท่ีไม่ดีแก่ผู้อ่าน อัน จะกอ่ ให้เกิดการแตกร้าว ขาดความสามัคคใี นสงั คม คณาจารย์ คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏลาปาง (2557: 100-101) กล่าวว่า การเขียนที่ดี คือ การเขียนท่ีสร้างงานเขียนให้มีคุณภาพ มีคุณค่า มีลักษณะสาคัญที่จะทาให้งานเขียนเป็นงานเขียนท่ีดี มีอยู่ 6 ประการ คอื 1. การเขียนต้องมีเอกภาพ คาว่า เอกภาพ หมายถึง ความเป็นอันหน่ึงอันเดียวกันของเนื้อความน้ัน หมายถึงว่า ในการเขียนเร่ืองใดเรื่องหน่ึงจะต้องมีใจความสาคัญและจุดมุ่งหมายสาคัญเพียงอย่าง เดียว ผู้เขียนจะต้องเขียนให้เป็นไปตามจุดมุ่งหมายที่วางไว้ หากจะมีการอธิบายขยายความใดๆ ก็ จะต้องเป็นไปเพื่อขยายใจความสาคัญอย่างเดียวนั้นให้กระจ่างขึ้น ไม่อธิบายให้ออกนอกลู่นอกทาง เน้อื เรอ่ื งท่เี ขียนจึงไม่สบั สนปนเป เรียกวา่ ขาดเอกภาพ 2. การเขียนต้องมีสารัตถภาพ การเขียนท่ีมีเนื้อหาเต็มสมบูรณ์ การเขียนใดๆ ต้องคงเส้นคงวา มี สาระหนักแน่นเต็ม มีใจความสาคัญ ไม่กล่าววกไปวนมา หากประสงค์จะเน้นใจความสาคัญหรือ สาระสาคัญตรงไหน ต้องเขียนให้มุ่งตรงไปที่จุดนั้นไม่อ้อมค้อม กล่าวคือ การใช้ภาษาต่างๆ ที่จะ อธิบายขยายความใดๆ ต้องทาเพียงเท่าท่ีจาเป็น ไม่ต้องอารัมภบทและมีข้อความประกอบยืดยาว เกินไปนัก เช่น เราต้องการเขียนเรื่องเกี่ยวกับความสาคัญของพระพุทธศาสนา ก็ให้เขียนท่ีประเด็น สาคัญนั้นเลยทีเดียวว่า ศาสนาพุทธมีความสาคัญอย่างไร มีรายละเอียด มีเหตุผลท่ีจะสนับสนุน อยา่ งไร ใหเ้ ขยี นอยา่ งตรงไปตรงมา 3. การเขยี นต้องมสี ัมพนั ธภาพ การเขียนท่ีดีต้องเขียนให้มีข้อความสัมพันธ์เก่ียวเนื่องเป็นเร่ืองเดียวกัน ไม่ว่าการเขียนน้ันจะมีกี่ย่อหน้า แต่ละย่อหน้าต้องมีความเก่ียวโยงส่งทอดถึงกัน ข้อความและเน้ือ เร่ืองแต่ละตอนคล้องจองกันเหมือนลูกโซ่ตามลาดับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ไม่ใช่ขาดตอน เช่น จะเขียน พระราชประวัติของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ก็จะต้องเขียนเหตุการณ์ที่เกิดข้ึน แก่พระองคต์ ัง้ แตบ่ รรพบรุ ุษของพระองค์ พระประสูติกาล ปฐมวัย มัชฌิมวัย และปัจฉิมวัย กล่าวถึง การศึกษาขัน้ สงู สุด รวมไปถึงพระราชกรณียกิจทสี่ าคญั ของพระองค์ตามลาดบั ไมส่ บั สน
11 | บ ท เ ร่ิ ม ต้ น แ ห่ ง ก า ร สื่ อ ส า ร ด้ ว ย ก า ร เ ขี ย น 4. การเขียนตอ้ งมีความกระจ่างแจง้ หมายถึง การเขียนที่ต้องใช้ความกระจ่างชัดเจน ไม่คลุมเครือ ก่อ ความสงสัยให้แก่ผู้อ่าน หากมีคาจากัดความก็ต้องจากัดความให้กระชับรัดกุมและมีความหมายตรง ประเด็นมากที่สุด ควรคานึงอยู่เสมอว่าการเขียนเพื่อส่งสารไปยังผู้อ่ืนต้องคานึงถึงผู้อ่านที่มีความรู้ ระดบั กลางให้มากทีส่ ุด อย่าคดิ วา่ ผูอ้ า่ นทุกคนต้องมคี วามรสู้ ูงหรือมุ่งจะเขียนให้ผู้มีความรู้อ่านเท่านั้น การเขยี นท่ดี ีต้องเป็นที่เขา้ ใจของผูอ้ า่ นโดยท่วั ไป 5. การเขียนต้องมีแง่มุมท่ีคงที่ หมายถึง การแสดงแง่คิดในการเขียนซึ่งผู้แต่งจะเสนอแนวคิดสาคัญ ของตนเองไว้งานเขียน พึงรักษาแง่มุมให้คงท่ี ไม่เสนอแนวคิดแปลกใหม่ในงานเขียนช้ินเดียว เช่น การเขยี นเพ่อื เสนอปัญหา เรอื่ งทจี่ ะเขียนน้นั จะต้องกาหนดใหแ้ นน่ อนวา่ เราจะมองในจุดแนวคิด หรือ แง่มุมต่างๆ ในย่อหน้าต่อไปก็ต้องกล่าวไว้อย่างชัดเจน กล่าวคือ เขียนถึงมุมเดิมจนกระทั่งหมดข้อ สงสยั แลว้ จึงจะเปล่ยี นไปมองมมุ อ่ืน 6. การเขียนต้องมีความน่าสนใจ การเขียนไม่ว่าจะเป็นร้อยแก้วหรือร้อยกรองหากขาดความน่าสนใจ เสยี แล้วกท็ าใหผ้ อู้ ่านเบื่อหน่ายไมอ่ ยากตดิ ตามขอ้ เขยี นอีกตอ่ ไป การเขียนที่ชวนสนใจติดตามนั้นต้อง มกี ลวธิ ีเร้าใจผอู้ า่ นให้ติดตามตงั้ แต่ต้น และเมอื่ อ่านจบแลว้ ก็ชวนให้ผู้อ่านคิดวิพากษ์วิจารณ์งานเขียน ของตน และใคร่จะได้อ่านงานเขียนของผูแ้ ตง่ คนเดียวกันน้ีอกี ในงานเขียนชนิ้ อื่นๆ หรือเรอื่ งอื่นๆ จะเห็นได้ว่าลักษณะของงานเขียนที่ดีน้ันส่ิงส่าคัญที่นักวิชาการให้ความใส่ใจมีอยู่ 2 ส่วนหลักๆ คือส่วน ของเน้ือหาที่ถูกต้อง ชัดเจน และอีกส่วนหน่ึงคือ รูปแบบและลีลาการน่าเสนอของผู้เขียน ซ่ึงท้ังสองส่วนน้ีปัจจัย สาคัญทีจ่ ะทาให้งานเขียนน้ันๆ มีคุณภาพดี น่าสนใจ นั่นคือ ภาษา ในเนื้อหาส่วนต่อไปจะอธิบายถึงลักษณะของ การใช้ภาษาในการเขียนท่ีดี ลกั ษณะของภาษาในการเขยี นท่ดี ี งานเขียนจะดไี ดต้ อ้ งขนึ้ อยกู่ บั การเลอื กใช้ภาษาที่ดีด้วย ผู้เขยี นควรจะรู้และเข้าใจถึงลักษณะของภาษาท่ีดี ซ่ึงจะมีสว่ นช่วยใหก้ ารสือ่ สารด้วยภาษาเขยี นนน้ั ได้ผลดีย่ิงขึ้น ภาษาในงานเขียนที่ดีช่วยให้ผู้อ่านสามารถพิจารณา และทาความเข้าใจในสารได้อย่างถูกต้องตรงตามจุดมุ่งหมายของงานเขียนน้ันๆ และการส่ือสารก็จะสัมฤทธ์ิผล โดยง่าย จิรวัฒน์ เพชรรัตน์ และอัมพร ทองใบ(2556:56-60) รวบรวมเก่ียวกับลักษณะของภาษาเขียนที่ดีที่มี ท่านผูร้ ทู้ างภาษาหลายท่านกลา่ วไว้อยา่ งหลากหลาย ดังน้ี
12 | บ ท เ ร่ิ ม ต้ น แ ห่ ง ก า ร สื่ อ ส า ร ด้ ว ย ก า ร เ ขี ย น ศักดิ์ศรี ปาณะกุล และนิรมล ศตวุฒิ (2546:5-6) กล่าวว่า งานเขียนท่ีดีมักจะเกิดจากการจัด สว่ นประกอบสาคญั ของการเขียนท่เี ขยี นผสมผสานกันอย่างเหมาะสม สว่ นประกอบสาคัญเหลา่ นั้น ไดแ้ ก่ 1. การใชภ้ าษา - ระดับของภาษา : เปน็ ภาษาเขยี นที่ดี - คา : ใช้คาได้ตรงตามความหมาย เหมาะกับข้อความ กระชับ เข้าใจง่าย เหมาะกับยุคสมัย และสภุ าพ - ประโยค : เรียงลาดับคาในประโยคถูกต้อง ประโยคกะทัดรัด ไม่มีคาและข้อความซ้าซ้อนใน ประโยคเดยี วกัน หนา้ ที่ของคาในประโยคถกู ตอ้ ง - สานวนโวหาร คาพังเพย และสภุ าษิต : ใชไ้ ด้ถกู ตอ้ งตามความหมาย เขา้ กบั เรื่องทีเ่ ขยี น - วรรคตอน : แบ่งวรรคตอนถูกต้อง แยกคาถูกต้อง และใช้เครอื่ งหมายวรรคตอนถูกต้อง - ย่อหน้า : แต่ละย่อหน้ามีความคิดหลักและมีความคิดที่สนับสนุนความคิดหลัก เนื้อความใน ย่อหน้ามีความเป็นเอกภาพ เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ในขณะเดียวกันมีความสัมพันธ์กัน ระหว่างเนอ้ื ความหรอื ความคดิ แต่ละประเดน็ 2. เนื้อเรอ่ื ง มีความคิดหลักของเรื่อง มีความสัมพันธ์กันระหว่างย่อหน้าทั้งหมดในเร่ืองการเสนอความคิด เรียงลาดับเปน็ หมวดหมู่ ไมส่ ับสน มเี อกภาพของเรือ่ งและมีจุดสาคัญของเร่อื ง 3. รูปแบบของงานเขียน ต้องเขียนให้ถูกรูปแบบของประเภทการเขียนที่ตั้งใจจะเขียน หรือเขียนให้เหมาะสม เช่น ถ้าจะ เขียนจดหมาย รายงานทางวิชาการ หรือรายงานการวิจัย ต้องเขียนให้ถูกรูปแบบ ถ้าจะเขียนหนังสือ สาหรบั เดก็ จะไม่มีรูปแบบท่แี นน่ อน แตจ่ ะต้องเขยี นให้เหมาะสมกบั วยั ของผ้อู ่าน เป็นต้น 4. ความถกู ต้องของส่วนประกอบอน่ื ๆ ตัวสะกดการรันต์ การอ้างอิง รูปแบบการพิมพ์ ความชัดเจน ความเป็นระเบียบเรียบร้อย ฯลฯ
13 | บ ท เ ริ่ ม ต้ น แ ห่ ง ก า ร สื่ อ ส า ร ด้ ว ย ก า ร เ ขี ย น ทวีศกั ดิ์ ญาณประทีป (2547:25-26) ได้ให้คาแนะนาต่างๆ เก่ียวกับการใช้คา ประโยค และท่วงทานอง การเขยี นทดี่ ี พอสรปุ ได้ ดงั น้ี 1. ใชถ้ ้อยคาให้เหมาะสมแก่ความหมายทจี่ ะแสดง 2. ใชถ้ ้อยคางา่ ยๆ เป็นท่ีทราบและเข้าใจกนั ดี ดีกว่าใช้ศพั ท์ยากๆ 3. ใชถ้ ้อยคากะทดั รดั 4. ใชถ้ ้อยคาทีม่ คี วามหมายแนน่ อน 5. ไมค่ วรใชถ้ ้อยคาฟมุ เฟอื ยเพราะจะทาให้หย่อนนา้ หนกั 6. ไม่ควรใชถ้ ้อยคาท่มี ีความหมายซ้ากัน จะทาใหค้ วามหมายขาดน้าหนกั 7. คาท่แี นะความหมายไปทางหยาบ ไมค่ วรนามาใชใ้ นการเขยี น เชน่ คาวา่ ฟาด ฉะ กระสว้ บ (กนิ ) อ้าย อี ข้ี เยี่ยว เป็นต้น 8. คาที่ชนบางหมู่คดิ ขึ้นใช้และเข้าใจความหมายกนั ในเฉพาะชนเหล่านั้น ไม่ควรนามาใชใ้ น การเขียน เชน่ ถงั แตก(อดโซ) บ้อลดั (ไม่มกี าลัง) เปน็ ตน้ 9. คาภาษาต่างประเทศไม่ควรนามาใช้ในการเขียน เช่น เชฟ(รูปร่าง) เอติเก้ท(ลักษณะผู้ดี) ใช้คา ภาษาไทยจะเหมาะสมกว่า 10. ใช้ถอ้ ยคาให้ถกู ตอ้ งตามหลกั วชิ า เชน่ แมง แมลง เราพูดวา่ “แมลงวัน” ไม่ใช่ “แมงวัน” และ “แมงดาทะเล” ไมใ่ ช่ “แมลงดาทะเล” เป็นต้น 11. ใช้ถ้อยคาให้ถูกต้องตามที่คณะกรรมการบัญญัติศัพท์ กาหนดให้ใช้และประกาศใช้เป็นทางการ แล้ว 12. คาย่อ ตามปกติในเรียงความไม่ควรใช้ เว้นแต่จะเป็นที่ทราบกันอยู่ชัดแจ้ง และใช้กันจนเป็นที่ นิยมไปแลว้ 13. รู้จักเลือกใช้คาเน้น เพื่อส่งเสริมความหนักแน่นในการแสดงข้อความต่างๆ เช่น กล่าวว่า “ถ้าจะ เรียนวชิ าไซร้ตอ้ งเคารพคร”ู 14. คาท่ีผวนความได้ ไม่ควรใช้ในการเขียนการแต่ง เช่น คาว่า “เห็นดี” ควรใช้คาว่า “เห็นชอบ” เป็นตน้
14 | บ ท เ ริ่ ม ต้ น แ ห่ ง ก า ร ส่ื อ ส า ร ด้ ว ย ก า ร เ ขี ย น 15. เขียนหนังสือให้ถูกต้องตามระเบียบแบบแผนของภาษา คือ เขียนถูกต้องตามอักขรวิธีและความ นิยม ทวีศักด์ิ ปิ่นทอง (2550:31) ภาษาในการเขียนท่ีดีจะต้องมีลักษณะสาคัญ 2 ประการ คือ ชัดเจนถูกต้อง และชวนอา่ น - ชัดเจนถูกต้อง คือ ส่ือความหมายได้ชัดเจนและมีความถูกต้อง ทาให้ผู้อ่านเข้าใจความหมายตรง ตามทผ่ี เู้ ขยี นต้องการสอื่ มายังผูอ้ ่านได้ - ชวนอ่าน คือ มีลีลาหรือการใช้สานวนภาษาท่ีดี ไม่อ้อมค้อม วกวน รู้มารยาท กาลเทศะและให้ เกียรตผิ อู้ า่ น บุปผา บุญทิพย์ (2550:35-36) ให้คาอธิบายท่ีพอสรุปได้ว่า เราใช้คาท้ัง 3 ระดับ (ภาษาแบบแผน ภาษาก่งึ แบบแผน ภาษาปาก) ในภาษาเขียน แต่ต้องเลือกใช้ให้เหมาะสมลงตัว ซ่ึงมีหลักในการพิจารณาเลือกใช้ ดังต่อไปนี้ 1. พิจารณาให้เหมาะสมกับประเภทของเรื่อง ถ้าเป็นตารา หนังสือราชการ บทความทางวิชาการก็ใช้ ภาษาแบบแผน ข้อเขียนประเภทสารคดี บทความวิจารณ์ แสดงความคิดเห็น ฯลฯ มักนิยมใช้ภาษา ก่ึงแบบแผน และข้อเขยี นหัสคดี นวนิยาย เรื่องส้ันบางประเภทนิยมใช้ภาษาปากเพื่อความมีชีวิตชีวา สมจรงิ 2. พิจารณาให้เหมาะสมกับบุคคลผู้รับสาร ว่าผู้รับสารอยู่ในฐานะใด สนิทสนมกับผู้ส่ือสารถึงขนาดใช้ ภาษาปากได้หรือไม่ บางครั้งภาษาปากก็ยังมีหลายคา มีน้าหนักความสุภาพ หยาบคายไม่เท่ากันอีก ผเู้ ขยี นกต็ อ้ งพยายามใช้ดุลยพินิจในการเลอื กระดับของภาษาให้เหมาะสมกับบุคคลผูร้ บั สาร 3. พิจารณาให้เหมาะสมกบั กาลเทศะและความแพร่หลายของขอ้ เขียน บางครั้งกับบุคคลคนเดียว เมื่อเป็น จดหมายส่วนตัวจากเพ่ือนถึงเพื่อนใช้ภาษาอย่างหน่ึง แต่ถ้าเพ่ือนนั้นเป็นผู้อานวยการกอง และเราจะ เขียนติดต่อในเร่ืองราชการ เราก็ต้องใช้ภาษาระดับหนึ่งต่างจากเดิมคือ จดหมายท่ีเขียนส่วนตัวอาจใช้ ภาษาปาก ภาษาก่ึงแบบแผน แต่ถ้าเป็นจดหมายราชการก็ต้องใช้ภาษาแบบแผนจึงจะเหมาะสม ถูกตอ้ ง นอกจากลักษณะของภาษาในการเขียนที่ดีดังกล่าวมาแล้ว งานเขียนท่ีดีต้องมีคุณสมบัติอย่างอ่ืนอีกคือ ต้องมีคุณภาพ คุณค่าและคุณธรรม เพราะมิฉะน้ันแล้ว งานเขียนนั้นๆ นอกจากจะไม่ได้ให้อะไรแก่ผู้อ่านและ สังคมแล้ว ยังจะมีส่วนทาให้จิตใจของผู้คนในสังคมตกต่าตามไปด้วย (ประภัสสร เสวิกุล 2552:309 อ้างถึงใน จริ วัฒน์ เพชรรตั น์ และอมั พร ทองใบ 2556:59 )
15 | บ ท เ ร่ิ ม ต้ น แ ห่ ง ก า ร ส่ื อ ส า ร ด้ ว ย ก า ร เ ขี ย น อาจกล่าวโดยสรุปได้ว่า ลักษณะของภาษาในการเขียนที่ดีน้ันควรจะมีลักษณะท่ีถูกต้องตามระเบียบแบบ แผนของภาษาไทยท่ีมีการบัญญัติไว้ การเลือกใช้คา ประโยค สานวนโวหาร คาพังเพย สุภาษิต การแบ่งวรรค ตอนรวมถึงการเขียนย่อหน้า ก็ควรจะมีลักษณะที่เหมาะสม ชัดเจน ง่ายต่อการทาความเข้าใจของผู้อ่าน ส่วนเนื้อ เรื่องก็ควรจะมีการร้อยเรียงให้เป็นไปตามลาดับ มีเอกภาพในแต่ละย่อหน้าและมีสัมพันธภาพระหว่างย่อหน้า เขา้ ใจงา่ ย ไม่วกวน รวมถงึ สารัตถะที่ปรากฏควรจะให้คุณค่าและสร้างคุณธรรม สร้างประโยชน์ให้เกิดขึ้นแก่ผู้อ่าน ได้ ขั้นตอนการเขยี น อลิสา วานิชดี (2551:41 อ้างถึงในจิรวัฒน์ เพชรรัตน์ และอัมพร ทองใบ 2555:296) กล่าวว่า กระบวนการเขยี นอาจแบง่ เปน็ 3 ขนั้ ตอน คือ ขั้นเตรยี มการเขยี น ข้นั ลงมือเขยี น และขัน้ ปรับปรงุ รา่ งงานเขยี น จิรวฒั น์ เพชรรัตน์ และอัมพร ทองใบ (2555:297-297) กล่าวถึงส่วนประกอบต่างๆของกระบวนการ เขยี น ซึ่งได้จากการประมวลความคดิ ของนักวิชาการหลายท่าน ไว้วา่ 1. การคิด การเขียนเป็นการถ่ายทอดความคิดและความรู้สึกไปสู่ผู้อื่น ฉะน้ันการคิดกับการเขียนจึงมี ความสัมพันธ์กันจะแยกจากกันมิได้ การคิดเป็นขั้นตอนที่อยู่ในใจ แต่การเขียนเป็นขั้นตอนท่ีแสดง ออกมาให้ปรากฏ และหากการคิดไม่เป็นระบบหรือคิดไม่ตรงจุด การเขียนก็ไม่เป็นระบบ หรือสื่อไม่ ตรงตามจุดประสงค์ที่ต้ังใจไว้ด้วย ผู้เขียนจึงต้องคิดให้แจ่มแจ้งเสียก่อน เมื่อคิดได้แจ่มแจ้งแล้ว จึง เลือกถ้อยคามาใชใ้ ห้ได้ความหมายตามที่ตอ้ งการ กระบวนการคิดเพ่ือให้การเขียนสัมฤทธิ์ผล ได้แก่ เตรียมคิดว่าจะเขียนเร่ืองอะไร เตรียม ศึกษาหาความรู้ท่ีจะเขียนด้วยการอ่าน-การฟัง คิดในสิ่งที่รู้ภายในหัวข้อท่ีจากัด มีใจความสาคัญ เพียงเรื่องเดียว จัดลาดับความคิด เรียงลาดับก่อน-หลังอย่างสมเหตุสมผล เตรียมหาข้อมูลเพ่ือให้ กระชับและตรงประเดน็ 2. กาหนดจุดมุ่งหมายในการเขียน ผู้เขียนต้องตอบตนเองให้ได้ว่า จะเขียนเพ่ือจุดมุ่งหมายอะไรและ เขียนใหใ้ ครอา่ น จุดม่งุ หมายในการเขียนไดแ้ ก่ เพ่อื แสดงความคิดเห็น เพ่ือเล่าเรื่องจากประสบการณ์ เพื่อความบันเทิง เพ่ือโน้มน้าวใจ เพ่ืออธิบายให้เกิดความรู้และความเข้าใจ หรือเพื่อบันทึกเรื่องราว ตา่ งๆทีส่ นใจ เปน็ ตน้ การตั้งจุดมุ่งหมายท่ีแตกต่างกันจะทาให้ประเด็นหลักของงานเขียนเรื่องเดียวกันต่างกันไป ด้วย เช่น ต้งั จดุ มงุ่ หมายเพ่อื เล่าเรื่อง “เยาวชนเที่ยวเตร่ในเวลากลางคนื ” ประเด็นหลัก คือ เล่าเรื่อง ตามทพ่ี บเหน็ เยาวชนเท่ียวเตร่ในเวลากลางคนื วา่ พบท่ีใดบ้าง พบในลักษณะใด โดยไม่แสดงทรรศนะ
16 | บ ท เ ร่ิ ม ต้ น แ ห่ ง ก า ร สื่ อ ส า ร ด้ ว ย ก า ร เ ขี ย น ต่อสิง่ ทีพ่ บ เป็นต้น สว่ นการตัง้ จดุ มุง่ หมายว่า จะเขียนให้ใครอ่านนั้นจะทาให้ผู้เขียนกาหนดแนวการ ใชภ้ าษา การเสนอตวั อย่างและการเสนอความคดิ ให้สอดคล้องกับกลุม่ ผู้อา่ นได้ 3. เลือกเรื่องและกาหนดขอบเขตของเร่ืองท่ีจะเขียน ผู้ขียนควรเลือกเร่ืองท่ีตนสนใจ เร่ืองที่เป็น ประโยชน์ เร่ืองท่ีกาลังเป็นที่สนใจของคนในสังคม เป็นต้น อย่างไรก็ตามผู้เขียนควรเลือกเรื่องที่ตนมี ความรแู้ ละความพร้อมมากทส่ี ดุ ส่วนการกาหนดขอบเขตของเร่ือง ผู้เขียนต้องกาหนดขอบเขตอย่าให้กว้างหรือแคบเกินไป ทั้งนี้ข้ึนอยู่กับจุดมุ่งหมายของผู้เขียน และให้เหมาะสมกับข้อจากัดต่างๆ เช่น เวลา ข้อมูล จานวน หน้าที่เขียนและผู้อ่าน การกาหนดจุดมุ่งหมายในการเขียน เพ่ือให้มีแนวทางในการเขียนสอดคล้อง กบั ขอบเขตของเรอ่ื ง 4. การรวบรวมข้อมูล ข้อมูลท่ีนามาใช้ประกอบการเขียน อาจมาจากแหล่งต่างๆ ได้แก่ จากการอ่าน การฟัง การดู การพูดคุยสนทนา หรือจากเอกสาร หนังสือ วารสาร นิตยสาร หนังสือพิมพ์ วิทยานิพนธ์ แบบสอบถาม ตัวบุคคล การสังเกต รวมท้ังวิทยุ โทรทัศน์ อินเทอร์เน็ต ไมโครฟิล์ม ไมโครคอมพิวเตอร์ ซ่งึ ไดบ้ ันทกึ ขอ้ มูลเก็บไว้ 5. การเขียนโครงเร่ือง โครงเรื่องจะช่วยให้ผู้เขียนเขียนเร่ืองอย่างมีทิศทาง ไม่สับสนหรือวกไปวนมา ท้งั นผ้ี ู้เขยี นอาจเสนอประเดน็ ความคิดด้วย คา วลี หรือประโยค เพ่ือเป็นแนวทางในการลาดับเรื่อง ก็ได้ การวางโครงเร่ืองเป็นการเรียบเรียงความคิดว่าจะเขียนเร่ืองอะไร ได้เน้ือหาครบถ้วนหรือไม่ การวางโครงเรอ่ื งมีขน้ั ตอนดงั น้ี 5.1 รวบรวมแนวคิดของเรือ่ งท่ีจะเขยี นและตรวจสอบวา่ ครบถ้วนหรอื ไม่ 5.2 คัดเลอื กเฉพาะแนวความคิดที่สาคัญและเกยี่ วข้องกับเร่ืองทจ่ี ะเขียนเทา่ นนั้ 5.3 จัดเรียงลาดับแนวคิดท่ีได้ตามลาดับข้ันตอน เช่น ตามลาดับเวลา ตามลาดับเหตุผล ตามลาดับสถานท่ี ไม่วกวนจนก่อใหเ้ กดิ ความสับสน 5.4 จัดโครงสร้างตามรูปแบบของการประเภทการเขียนนั้นๆ เช่น การเขียนเรียงความต้อง ประกอบด้วย คานา เนอื้ เร่ือง สรปุ เป็นตน้ โครงเร่ืองที่ดีต้องอยู่ภายในขอบข่ายที่กาหนดไว้และไม่ซ้าซ้อนกัน คือ ไม่กล่าวซ้ากับ ตอนท่ีกล่าวมาแล้ว เป็นตน้
17 | บ ท เ ร่ิ ม ต้ น แ ห่ ง ก า ร สื่ อ ส า ร ด้ ว ย ก า ร เ ขี ย น 6. การเรียบเรียงเร่ือง เม่ือผู้เขียนได้วางโครงเรื่องและมีข้อมูลในการเขียนเพียงพอแล้ว พยายามลงมือ เขียน-เรยี บเรียงเร่อื งโดยคานึงถึงระดบั ภาษา-การใชค้ า-การใช้โวหาร และสานวนตา่ งๆ 7. อ่านทบทวนตรวจทานและแก้ไข เม่ือจบการเขียนทุกครั้ง ต้องอ่านทวนอีกอย่างน้อยสองคร้ังเสมอ เพื่อให้เรื่องท่ีเขียนมีความถูกต้องและสมบูรณ์ยิ่งขึ้น ถ้ามีข้อบกพร่องหรือผิดพลาดจะต้องแก้ไขให้ดี และถูกต้องที่สุดกอ่ นเผยแพรอ่ อกไป ปรีชา ช้างขวัญยืน (อ้างถึงใน คณาจารย์ คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏลาปาง 2557:97) จัดขั้นตอนในการเขียนไว้ 4 ขน้ั ดังน้ี 1. การคิดให้เข้าเร่ือง หมายถึง กระบวนกาทางความคิดที่จะนาเร่ืองราวต่างๆ มาเขียน โดยมีท่ีมาและ แหล่งข้อมูลพร้อม สามารถบอกได้ว่าจุดสาคัญของเร่ืองคืออะไร จะถ่ายทอดได้อย่างไร การคิดให้ เข้าเร่ืองประกอบด้วยการคดิ ทเ่ี ปน็ ระบบ คอื ก. คดิ ในสิ่งท่รี ู้ ข. คดิ และเขียนในหวั ขอ้ ท่ีจากัด ค. การให้ความกระจา่ งในความคิด 2. การจัดระเบียบและเรียบเรียงความคิด คือ เรียบเรียงความคิดให้ผู้อ่านเกิดความรู้สึกร่วม และเข้าใจ เหตกุ ารณแ์ ละเร่ืองราวตา่ งๆ ได้อย่างตอ่ เนอื่ ง มคี วามสัมพันธ์อนั ดี 3. กระชับเนื้อความ หมายถึง การเขียนที่ใช้ภาษากระชับรัดกุม ตั้งประเด็นการเขียนไว้ชัดเจนว่าจะ เขยี นอะไร มอี งคป์ ระกอบและรายละเอียดอย่างไร มขี อ้ เทจ็ จรงิ สนบั สนนุ หรือไมเ่ พยี งใด 4. การเสนอความคิด หมายถึง การเสนอความคิดด้วยภาษาท่ีชัดเจน แจ่มแจ้ง สามารถถ่ายทอด ความคิดให้ผ้อู ่านเขา้ ใจดว้ ยว่าเราคิดอะไร ท้ังนี้ความคิดทนี่ าเสนอน้ันจะต้องมีความสอดคล้องกันทุก ยอ่ หน้า ทง้ั รายละเอยี ด ความคิดเห็น ทัศนคติ และมตี ัวอยา่ งประกอบชัดเจน
18 | บ ท เ ร่ิ ม ต้ น แ ห่ ง ก า ร ส่ื อ ส า ร ด้ ว ย ก า ร เ ขี ย น ธนู ทดแทนคุณ (2555:22) ได้เสนอแนะขั้นตอนการเริ่มต้นเขียนและพัฒนาตนเองให้เป็นผู้ที่เขียน หนงั สอื ได้ดแี ละมีประสิทธิภาพ จดั ทาในรูปแบบบนั ได 10 ขน้ั ในการฝึกเขียน ดังนี้ 10. พฒั นางานเขยี นของตนเองอยา่ งตอ่ เนอ่ื ง 9. ตรวจสอบความถกู ต้องของงานเขียนก่อนเผยแพร่ 8. ให้คนใกล้ชิดหรือผ้รู ู้ชว่ ยอา่ นและยอมรับคาวิจารณ์ คาตชิ ม 7. ทดลองเขยี นงานทมี่ ีรูปแบบยากขนึ ้ เร่ือยๆ บางครัง้ ควรลองเขียนโดย ใช้ถ้อยคาหรือศพั ท์ยากๆ บ้าง เชน่ เขยี นคากลา่ วถวายพระพร 6. เขยี นบอ่ ยๆ เขียนทกุ ครัง้ ทอี่ ยากเขยี น ใช้ศลิ ปะในการเขียนเพื่อถา่ ยทอดอรรถรส เลอื กเฟ้ นถ้อยคา ใช้โวหารภาพพจน์ ดาเนนิ เร่ืองแบบการเขียนนวนยิ าย 5. ฝึกเขยี นโดยเริ่มจากแรงบนั ดาลใจด้วยการเขียนงานทง่ี า่ ยๆกอ่ น เชน่ เขียนเรียงความ ยอ่ ความ จดหมาย ฯลฯ 4. ศกึ ษาลกั ษณะรูปแบบงานเขียนแตล่ ะชนดิ ให้เข้าใจอยา่ งถอ่ งแท้กอ่ นเร่ิมเขยี น ควรกาหนด โครงเรื่องหรือหวั ข้อยอ่ ยๆ ของเรื่องไว้เพื่อเขยี นให้ได้ตามนนั้ 3. ยดึ ถือนกั เขยี นทตี่ นชอบเป็ นแบบอยา่ งในการดาเนินรอยตาม เลยี นแบบได้ แตอ่ ยา่ ลอกเลียนงาน เขียนเป็ นอนั ขาด โดยเฉพาะงานเขยี นของกวีซไี รต์ 2. เม่อื อา่ นเจอถ้อยคาประทบั ใจ ควรสร้างธนาคารคาของตนเอง (Words Bank) เพอ่ื เก็บถ้อยคา ประทบั ใจทสี่ ละสลวยเหลา่ นนั้ ไว้ใช้ในงานเขยี นของตนเอง 1. มองโลกในแง่ดี มคี วามคดิ ริเร่ิมสร้างสรรค์ รักการอา่ น ขวนขวายหาอา่ นงานเขียนทกุ ประเภท ติดตาม ขา่ วสารและความเป็ นไปของโลกอยเู่ สมอ กล่าวโดยสรุปได้ว่าขั้นตอนการเขียนสามารถแบ่งออกเป็น 3 ขั้นหลักๆ คือ ข้ันก่อนการเขียน ข้ันเขียน และขั้นหลังการเขียน โดยในขั้นก่อนการเขียนนั้น ผู้เขียนจะต้องเตรียมตัวเองให้พร้อมในเรื่องของข้อมูล ภาษา และความคิดมุมมองในเร่ืองต่างๆ ขั้นเขียนจะเป็นข้ันท่ีผู้เขียนวางโครงเรื่องหรือหัวข้อย่อยต่างๆ เพ่ือให้เห็น ภาพรวมของงานเขยี นต้งั แต่ตน้ จนจบ เลือกใช้ถอ้ ยคาภาษาและโครงสรา้ งประโยคให้สามารถถ่ายทอดสิ่งที่ผู้เขียน
19 | บ ท เ ริ่ ม ต้ น แ ห่ ง ก า ร ส่ื อ ส า ร ด้ ว ย ก า ร เ ขี ย น ต้องการจะสื่อสารออกมา ข้ันหลังการเขียนจะเป็นข้ันของการตรวจทานความถูกต้องของข้อมูลและความ สละสลวยของภาษาที่ปรากฏในงานเขียน โดยผู้เขียนจะตรวจทานด้วยตนเองหรือให้ผู้อื่นช่วยตรวจทานและ วพิ ากยว์ จิ ารณ์งานเขียนกย็ อ่ มได้ เพ่ือให้เกิดการปรับปรุงและพัฒนางานเขียนต่อไป โดยในทุกๆข้ันตอนน้ันผู้เขียน ควรจะฝกึ ฝนอยา่ งต่อเน่ืองเพ่ือเกิดความชานาญในการส่อื สารผ่านการเขยี นน่นั เอง. กิจกรรมทบทวน บทที่ 1 บทเร่มิ ตน้ แห่งการสอ่ื สารดว้ ยการเขยี น ใหน้ ักศึกษาตอบคาถามตอ่ ไปน้ี 1. การเขยี นมหี มายความว่าอยา่ งไร จงอธิบายตามความเข้าใจของทา่ น (2 คะแนน) 2. การตงั้ จุดมุง่ หมายในการเขยี นมีความสาคัญเช่นไร จงอธบิ ายตามหลักวิชาการ (2 คะแนน) 3. ทา่ นคดิ วา่ งานเขียนท่ดี ีควรมีลักษณะเช่นไร (2 คะแนน) 4. จงอธิบายลกั ษณะของภาษาทด่ี ใี นงานเขยี น พร้อมยกตัวอยา่ งพอสังเขป (2 คะแนน) 5. ท่านจะมีวธิ ีการในการฝกึ ฝนทักษะการเขียนใหช้ านาญไดอ้ ย่างไร (2 คะแนน)
Search
Read the Text Version
- 1 - 19
Pages: