Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore v_3_sc_sc_162

v_3_sc_sc_162

Published by krudawny, 2017-01-22 01:33:19

Description: v_3_sc_sc_162

Search

Read the Text Version

คำอธิบำยรำยวชิ ำวทิ ยำศำสตร์วิทยำศำสตร์พนื้ ฐำน ช้ันมธั ยมศึกษำปี ที่ 1ว 21102 วทิ ยำศำสตร์พนื้ ฐำน เวลำ 60 คำบ ศึกษา วเิ คราะห์ ช้นั บรรยากาศ ผลของรงั สีจากดวงอาทติ ยต์ ่อบรรยากาศ อุณหภมู ิอากาศ ความดนัอากาศ ความช้ืนอากาศ ลม เมฆ ฝน พายฟุ ้ าคะนอง พายหุ มุนเขตรอ้ น มรสุม การพยากรณ์อากาศ เอลนีโญลานีญา การเปลี่ยนแปลงอุณหภมู ิอากาศของโลก มลพษิ ทางอากาศ การบอกตาแหน่งและการเปล่ียนตาแหน่งของวตั ถุ ปริมาณเวกเตอร์และปริมาณสเกลาร์ อตั ราเร็วและความเร็วของวตั ถุ การใชก้ ลอ้ งจุลทรรศน์ เซลลข์ องสิ่งมีชีวติ การลาเลียงสารเขา้ และออกจากเซลล์ การลาเลียงน้าและธาตอุ าหารของพชืการสงั เคราะห์ดว้ ยแสง การสืบพนั ธุแ์ ละการเจริญเติบโตของพชื การตอบสนองของพชื ความกา้ วหนา้ ของเทคโนโลยชี ีวภาพเกี่ยวกบั พชื โดยใชก้ ระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ การสืบเสาะหาความรู้ การสารวจตรวจสอบ การสืบคน้ ขอ้ มลูและการอภปิ ราย เพอื่ ใหเ้ กิดความรู้ ความคดิ ความเขา้ ใจ สามารถส่ือสารส่ิงที่เรียนรู้ มีความสามารถในการตดั สินใจ นาความรูไ้ ปใชใ้ นชีวติ ประจาวนั มีจติ วทิ ยาศาสตร์ จริยธรรม คุณธรรม และค่านิยมท่ีเหมาะสมรหัสตวั ชี้วดัว 1.1 ม.1/1, ม.1/2, ม.1/3, ม.1/4, ม.1/5, ม.1/6, ม.1/7, ม.1/8, ม.1/9, ม.1/10, ม.1/11, ม.1/12, ม.1/13ว 4.1 ม.1/1, ม.1/2ว 6.1 ม.1/1, ม.1/2, ม.1/3, ม.1/4, ม.1/5, ม.1/6, ม.1/7ว 8.1 ม.1/1, ม.1/2, ม.1/3, ม.1/4, ม.1/5, ม.1/6, ม.1/7, ม.1/8, ม.1/9รวมท้งั หมด 31 ตัวชี้วดั

โครงสร้ำงรำยวิชำวิทยำศำสตร์ กลุ่มสำระกำรเรียนรู้วทิ ยำศำสตร์รหัส ว 21101 ช้ันมัธยมศึกษำปี ที่ 1หน่วย ชื่อหน่วย มำตรฐำน สำระสำคญั / เวลำ นำ้ หนกัที่ กำรเรียนรู้ กำรเรียนรู้ /ตวั ชีว้ ดั ควำมคดิ รวบยอด (ช่ัวโมง) คะแนน1. บรรยากาศ ว 6.1 ม.1/1, ม.1/2 การศึกษาส่วนประกอบของ 15 15 อากาศ อุณหภมู ขิ องอากาศและ ช้นั บรรยากาศ สมบตั ิของอากาศ ไดแ้ ก่ ความดนั อากาศ และ ความช้ืนของอากาศ2. ลมฟ้ าอากาศ ว 6.1 ม.1/3, ม.1/4, ปรากฏการณ์ลมฟ้ าอากาศ ไดแ้ ก่ 15 15 ม.1/5, ม.1/6, การเกิดลม พายหุ มนุ เขตร้อน ม.1/7 พายฟุ ้ าคะนอง มรสุม และน้าใน บรรยากาศ อุตุนิยมวทิ ยา และ การพยากรณอ์ ากาศ การเปล่ียนแปลงอุณหภมู ิของ โลกเก่ียวกบั ปัจจยั ที่มผี ลต่อการ เปล่ียนแปลงอุณหภมู ขิ องโลก ผลกระทบจากการเปล่ียนแปลง อุณหภูมิของโลกและวธิ ีป้ องกนั แกไ้ ขเพ่อื รักษาสมดุลธรรมชาติ โดยใชว้ ิธีการและทกั ษะ กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ และเช่ือมโยงระหว่างส่ิงที่ เรียนรู้กบั ชีวติ ประจาวนั ได้ สอบกลางภาค 20

หน่วย ช่ือหน่วย มำตรฐำน สำระสำคญั / เวลำ น้ำหนัก ที่ กำรเรียนรู้ กำรเรียนรู้ /ตัวชี้วัด ควำมคดิ รวบยอด (ช่ัวโมง) คะแนน 3. การเคลื่อนท่ี ว 4.1 ม.1/1, ม.1/2 การศกึ ษาแรง ปริมาณสเกลาร์ 10 10 4. หน่วยของ สิ่งมชี ีวติ ปริมาณเวกเตอร์ และปริมาณ5. การดารงชีวิต การเคล่ือนที่ของวตั ถุ โดยใช้ ของพชื วธิ ีการและทกั ษะกระบวนการ ทางวิทยาศาสตร์ และ เชื่อมโยงระหวา่ งสิ่งท่เี รียนกบั ชีวิตประจาวนั ได้ ว 1.1 ม.1/1, ม.1/2, การศกึ ษาส่ิงมชี ีวิตเซลลเ์ ดียว 10 10 ม. 1/3, ม.1/4, ส่ิงมชี ีวติ หลายเซลล์ หน่วย 10 10 ม.1/5, ม.1/6, พ้ืนฐานของส่ิงมชี ีวิต ลกั ษณะ ม.1/7, ม.1/8, โครงสร้างและหนา้ ท่ขี อง ม.1/9, ม.1/10, เซลลพ์ ืชและเซลลส์ ตั ว์ ม.1/11,ม.1/12. ม.1/13 การลาเลียงในพชื การแพร่ ว 8.1 ม.1/1, ม.1/2, ม.1/3, ม.1/4, การออสโมซิส การสืบพนั ธุ์ ม.1/5, ม.1/6, และการตอบสนองต่อส่ิงเร้า ม.1/7, ม.1/8, ของพืช การสังเคราะห์ดว้ ย ม.1/9 แสงและเทคโนโลยี ชีวภาพ เพ่อื เพ่ิมผลผลิตของพืชใน ทอ้ งถ่ินโดยใชว้ ิธีการและ ทกั ษะกระบวนการทาง วทิ ยาศาสตร์ และเช่ือมโยง ระหว่างส่ิงที่เรียนกบั ชีวิต ประจาวนั สอบปลายภาค 20 รวมตลอดภาคเรียน 100

หน่วยกำรเรียนรู้ท่ี 1 บรรยำกำศ1.1 ช้ันบรรยำกำศบรรยากาศ หมายถึง อากาศท่ีอยรู่ อบตวั เรา ต้งั แต่พน้ื ดินข้นึ ไปจนถึงระดบั สูง ๆ ในทอ้ งฟ้ าประมาณ 600 กิโลเมตรอากาศเป็นของผสมประกอบดว้ ยแกส๊ ต่าง ๆ ไอนา้ เขม่า ควนั ไฟ และอนภุ าคต่าง ๆ ปะปนอยู่อากาศเป็ นสสาร มีน้าหนกั มีตวั ตน ตอ้ งการทอี่ ยแู่ ละสมั ผสั ได้ อากาศประกอบดว้ ยก๊าซชนิดตา่ ง ๆ อากาศแหง้ มีส่วนประกอบดงั น้ี คอื1. แก๊สไนโตรเจน ( N2 ) 78.084 %2. แกส๊ ออกซิเจน ( O2 ) 20.946 %3. แกส๊ คาร์บอนไดออกไซด์ ( CO2 ) 0.033 %4. แก๊สอ่ืนๆ (อาร์กอน ,นีออน ฮีเลียม มีเทน (Ar2) 0.937 % เช่น นีออน (Ne) ฮีเลียม (He) คริพตอน (Kr) ไฮโดรเจน(H2) โอโซน (O3) มีเทน (CH4) พวกน้ีมีปริมาณนอ้ ยมาก จึงใชห้ น่วยเป็ น ppm( หมายถึง ส่วนในลา้ นส่วน ยอ่ มาจาก Part Per million )กา๊ ซต่าง ๆ ในบรรยากาศมีความสาคญั ตอ่ ส่ิงมีชีวติ กา๊ ซไนโตรเจนมีมากทสี่ ุด อตั ราส่วนระหวา่ งก๊าซไนโตรเจนตอ่ ก๊าซออกซิเจน คือ 3.7 ตอ่ 1 กา๊ ซไนโตรเจนทาใหก้ า๊ ซออกซิเจนในอากาศจางลงเพอื่เหมาะแก่การหายใจส่วนผสมของอากาศในบริเวณตา่ ง ๆ มีไม่เท่ากนั บางแห่งอากาศช้ืนมีไอน้ามาก บางแห่งมีฝ่ นุ ควนัไฟมาก บางแห่งก็มีโอโซนอยมู่ าก นอกจากน้ีส่วนผสมของอากาศยงั เปล่ียนไปตามเวลาตา่ ง ๆ อีกดว้ ยหากพจิ ารณาอากาศทไี่ ม่มีไอน้า จะพบวา่ มีสดั ส่วนของแกส๊ ต่าง ๆ คงท่ีต้งั แต่ระดบั ผวิ โลก จนถึงระดบั สูงข้ึนไป ประมาณ 80 กิโลเมตร1.1 ช้ันบรรยำกำศช้นั ของบรรยากาศ นกั วทิ ยาศาสตร์แบง่ ช้นั ของบรรยากาศที่ห่อหุม้ โลกเราน้ีตามลกั ษณะต่าง ๆ ท่ีเหมาะสม เช่น แบ่งตามอุณหภมู ิ แบ่งตามสมบตั ิของก๊าซที่มีอยู่

1. นักอุตนุ ิยมวทิ ยำกำรแบ่งช้ันบรรยำกำศตำมกำรเปลยี่ นอุณหภูมติ ำมควำมสูงแบ่งได้ 4 ช้ัน ภำพแสดงกำรแบ่งช้ันบรรยำกำศตำมกำรเปลี่ยนแปลงอณุ หภูมติ ำมควำมสูง แบ่งได้ 4 ช้ัน 1. โทรโพสเฟียร์ (Troposphere) บรรยากาศช้นั น้ีมีความสูงถึงประมาณ 10 กิโลเมตร มีอุณหภมู ิลดลงเมื่อความสูงเพม่ิ ข้ึน อุณหภมู ิลดลงประมาณ 6.5 ๐C ต่อกิโลเมตร มีเมฆ หมอก ฝน หิมะลูกเห็บ พายุ และมีกา๊ ซที่จาเป็นต่อการดารงชีวติ โดยมีดวงอาทติ ยเ์ ป็ นแหล่งพลงั งาน 2. สตราโตสเฟียร์ (Stratosphere) บรรยากาศช้นั น้ีอยสู่ ูงกวา่ ช้นั โทรโพสเฟี ยร์ จนสูงสุดประมาณ 45 กิโลเมตร เร่ิมตน้ จากอุณหภมู ิคงทจี่ นถึงความสูง 20 กิโลเมตร หลงั จากน้นั อุณหภมู ิจะเพมิ่ ข้นึ ตามความสูง บรรยากาศช้นั น้ีมีความเขม้ ขน้ ของโอโซนสูงสุดในกิโลเมตรท่ี 25 มีประโยชน์ในการดูดกลืนรังสีอลั ตราไวโอเลต 3. มีโซสเฟียร์ (Mesosphere) บรรยากาศช้นั น้ีอยสู่ ูงข้ึนไปอีกจนสูงสุดประมาณ 80กิโลเมตร มีอุณหภมู ิลดลงตามความสูง เป็ นช้นั สุดทา้ ยท่ีมีส่วนผสมของแก๊สคงที่ และเมื่อมีวตั ถนุ อกโลกผา่ นเขา้ มาจะเริ่มเกิดการเผาไหม้ 4. เทอร์โมสเฟียร์ (Thermosphere) บรรยากาศช้นั น้ีอยสู่ ูงข้นึ ไปอีกจนถึงระดบั 400 -500 กิโลเมตร มีอุณหภมู ิสูงข้นึ อยา่ งรวดเร็ว อากาศรอ้ นจดั มีความหนาแน่นของอนุภาคตา่ ง ๆ จางมาก มีอุณหภมู ิสูงสุดถึง 1700 ํC

2. กำรแบ่งช้ันบรรยำกำศตำมลักษณะแก๊สท่ีมีอยู่ หรือตำมส่วนผสมของอำกำศแบ่งได้ 4 ช้ัน 1. โทรโพสเฟียร์ (Troposphere) เป็ นช้นั บรรยากาศจากระดบั พน้ื ดินถึง 10 กิโลเมตร ช้นั น้ีมีส่วนประกอบสาคญั คอื ไอน้า 2. โอโซโนสเฟี ยร์ (Ozonosphere) อยเู่ หนือโทรโพสเฟี ยร์จนสูงถึง 50 - 55 กิโลเมตร มีแกส๊ โอโซนมาก 3. ไอโอโนสเฟียร์ (Ionosphere) เป็ นช้นั แกส๊ ตา่ ง ๆ อยใู่ นลกั ษณะทเี่ ป็นอนุภาคประจไุ ฟฟ้ า(Ions) สูงสุดประมาณ 600 กิโลเมตร สามารถสะทอ้ นคลื่นวทิ ยุ AM ได้ 4. เอกโซสเฟียร์ ( Exosphere ) อยนู่ อกไอโอโนสเฟี ยร์ เป็ นบรรยากาศมีอุณหภมู ิสูงมากแกส๊ ต่าง ๆ เจือจางมาก มีระดบั ความสูงอยทู่ ี่ประมาณ 600 – 1000 กิโลเมตร เปรียบเทียบช้ันบรรยำกำศ ทแ่ี บ่งโดยอณุ หภูมิกบั ส่วนผสมของอำกำศ ช้นั ของ แบ่งตำมอณุ หภูม(ิ กรมอตุ )ุ แบ่งตำมส่ วนผสมของอำกำศบรรยากาศ1 โทรโพสเฟียร์ ( Troposphere ) โทรโพสเฟียร์ ( Troposphere ) ความสูง กิโลเมตรที่ 1 - 10 ความสูง กิโลเมตรที่ 1 - 102 สตราโตสเฟียร์ ( Stratosphere ) โอโซโนสเฟี ยร์ ( Ozonosphere ) ความสูง กิโลเมตรท่ี 11 - 45 ความสูง กิโลเมตรท่ี 11 - 503 มีโซสเฟี ยร์ ( Mesosphere ) ไอโอโนสเฟียร์ ( Ionosphere ) ความสูง กิโลเมตรที่ 46 - 80 ความสูง กิโลเมตรท่ี 50 - 6004 เทอร์โมสเฟียร์ ( Thermosphere ) เอกโซสเฟียร์ ( Exosphere ) ความสูง กิโลเมตรท่ี 81 ข้ึนไป ความสูง กิโลเมตรท่ี 600 - 10001.2 ผลของรังสีจำกดวงอำทิตย์ต่อบรรยำกำศโลกไดร้ ับพลงั งานจากรงั สีของดวงอาทิตยท์ ่ีแผม่ ายงั โลกซ่ึงรงั สีบางส่วนจะมีการสะทอ้ นกลบั สู่อวกาศ บางส่วนจะถูกดูดกลนื่ โดยแก๊สตา่ ง ๆ ในบรรยากาศ และส่วนทเี่ หลือจะลงมาถึงผวิ โลก

ภาพแสดงการดูดกลืนและสะทอ้ นรงั สีจากดวงอาทติ ยท์ ีแ่ ผม่ ายงั โลก สรุป 1. รังสีจากดวงอาทติ ย์ ถูกดูดกลืนโดยพ้นื ผวิ โลก 51 % 2. รงั สีจากดวงอาทิตย์ ถูกดูดกลืนโดยบรรยากาศ 19 % 3. รังสีจากดวงอาทติ ย์ สะทอ้ นกลบั โดยบรรยากาศ 6 % 4. รงั สีจากดวงอาทติ ย์ สะทอ้ นกลบั โดยเมฆ 20 % 5. รังสีจากดวงอาทิตย์ สะทอ้ นกลบั จากพ้นื ผวิ โลก 4 % พ้นื ผวิ โลกที่แตกตา่ งกนั จะสามารถดูดกลืนและสะทอ้ นรังสีไดแ้ ตกต่างกนั จากการทดลอง การดูดกลืน และการคายความร้อน ของทราย ดิน และน้า ดงั ภาพ ทราย ดิน น้า

ตาราง 1 แสดงผลการทดลอง เร่ือง การดูดกลืนความรอ้ น ชนิด อุณหภูมิ (๐C) อุณหภมู ิ(๐C) หลงั นาไปตงั ไวก้ ลางแดด เป็นเวลา 5 นาทีของวสั ดุ ก่อนการทดลอง วดั ทกุ ๆ 1 นาที นาทที ่ี 1 นาทีท่ี 2 นาทีที่ 3 นาทที ี่ 4 นาทีที่ 5ทราย 25 27 29 31 33 36ดิน 25 26 27 28 30 32น้า 25 25 26 27 28 29ตาราง 2 แสดงผลการทดลอง เร่ือง การคายความรอ้ น ชนิด อุณหภมู ิ (๐C) อุณหภมู ิ(๐C) หลงั นามาต้งั ไวใ้ นร่ม เป็ นเวลา 5 นาทีของวสั ดุ ก่อนการ วดั ทุก ๆ 1 นาที ทดลอง นาทีที่ 1 นาทที ่ี 2 นาทที ี่ 3 นาทที ่ี 4 นาทที ี่ 5ทราย 36 34 32 29 27 25ดิน 32 30 29 28 27 26น้า 29 29 29 28 27 27 1.3 องค์ประกอบของลมฟ้ ำอำกำศ สภาพพ้นื ผวิ โลกแตล่ ะแห่งไม่เหมือนกนั บางแห่งเป็ นพน้ื ดิน บางแห่งเป็ นพน้ื น้า ดงั น้นั การรับพลงั งานความร้อนจากดวงอาทิตยจ์ งึ แตกตา่ งกนั เป็ นผลใหอ้ ากาศทีอ่ ยเู่ หนือบริเวณดงั กล่าวมีอุณหภมู ิ และความกดอากาศตา่ งกนั ทาใหอ้ ากาศเกิดการเคลื่อนทข่ี ้นึ ลมฟ้ าอากาศ คอื สภาวะของบรรยากาศ ณ สถานทใ่ี ดใดในช่วงเวลาหน่ึง ลมฟ้ าอากาศมีการเปล่ียนแปลงอยตู่ ลอดเวลา เช่น พายฟุ ้ าคะนอง พายลุ ูกเห็บ ลมกระโชก 1.3.1 อุณหภูมขิ องอำกำศ จากการวดั อุณหภมู ิของอากาศทีร่ ะดบั ความสูงจากผวิ โลก 10 กิโลเมตร พบวา่ อุณหภมู ิของอากาศจะลดลงตามระดบั ความสูงท่เี พมิ่ ข้ึน ทาใหบ้ รรยากาศในระดบั สูงจะเยน็ กวา่ บรรยากาศ ในระดบั สูงจะเยน็ กวา่ บรรยากาศเหนือพน้ื ดิน จากการศกึ ษาอตั ราการเปล่ียนแปลงของอุฯหภมู ิตามความสูงในบรรยากาศช้นั น้ี พบวา่ โดยเฉลี่ยอุณหภมู ิจะลดลงประมาณ 6.5๐C ตอ่ กิโลเมตร

ตารางความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งความสูงจากระดบั น้าทะเลกบั อณุ หภมู ิ ความสูงจากระดบั น้าทะเล(km) อุณหภมู ิของอากาศ(๐C) 0 27 0.09 25.3 1.50 18.2 3.14 8.0 4.40 2.2 5.85 -6.1 7.56 -17.6 9.65 -32.3เกณฑ์อณุ หภูมิของประเทศไทย ฤดูหนำวพจิ ำรณำจำกอณุ หภูมิต่ำสุดในแต่ละวนั ดังนี้ อากาศหนาวจดั อุณหภมู ิต่ากวา่ 8.0 ๐C อากาศหนาว อุณหภูมิระหวา่ ง 8.0 ๐C - 15.9 ๐C อากาศเยน็ อุณหภูมิระหวา่ ง 16.0 ๐C - 22.9 ๐C ฤดูร้อนพิจำรณำจำกอุณหภูมิสูงสุดในแต่ละวนั อากาศร้อน อุณหภูมิระหวา่ ง 35.0 ๐C - 39.9 ๐C อากาศรอ้ นจดั อุณหภูมิระหวา่ ง 40.0 ๐C ข้ึนไปสิ่งทม่ี ผี ลต่ออุณหภมู ิของอำกำศบริเวณผิวโลก 1. รังสีจากดวงอาทติ ยท์ ่ีผวิ โลกดูดกลืนไว้ 1.1 กลางวนั มีการดูดกลืน และคายความรอ้ น 1.2 กลางคืน ไม่มีการดูดกลืน มีแต่การคายความร้อน สรุป กลางวนั มีการคายความร้อนมากกวา่ กลางคนื 2. สภาพแวดลอ้ ม บริเวณทมี่ ีตน้ ไมม้ าก จะมอี ุณหภูมิต่ากวา่ บริเวณท่ีมีตน้ ไมน้ อ้ ยหรือไม่มีเลย

3. สภาพโดยทว่ั ไปของบรรยากาศ เช่นปริมาณเมฆ1.3.2 ควำมดนั อำกำศ1. อากาศมีแรงดนั แรงดนั อากาศจะกระทาตอ่ มวลสารทุกอยา่ งบนโลก2. แรงดนั อากาศกระทาต่อพน้ื ทใ่ี หญ่ จะมีค่าแรงดนั มากกวา่ แรงดนั อากาศท่ีกระทาตอ่ พน้ื ทเ่ี ลก็3. ค่าของแรงดนั อากาศต่อหน่ึงหน่วยพ้นื ท่ีรองรับแรงดนั น้นั คอื คา่ ความดนั อากาศ หรือ ความดนับรรยากาศ ศพั ทอ์ ุตุนิยมวทิ ยาเรียก ความกดอากาศ4. วธิ ีวดั ความดนั อากาศ วดั เป็นความสูงของอของเหลวทีอ่ ากาศดนั ใหข้ ้ึนไปในหลอดแกว้ ต้งั ตรงความดนั 1 บรรยากาศ คอื ความดนั อากาศที่ดนั ใหป้ รอทข้ึนไปไดส้ ูง 760 มิลลิเมตร5. หน่วยความดนั อากาศ มีดงั น้ี 1 บรรยากาศ = 760 มิลลิเมตรของปรอท หรือ 760 mmHg = 76 เซนติเมตรของปรอท หรือ 76 cmHg 1 ปาสคาล (pa) = 1 นิวตนั /ตารางเมตร ( N/m2 ) 1 บรรยากาศ = 1.013 x 105 นิวตนั /ตารางเมตร ( N/m2 ) 1 บาร์ = 1,000 มิลลิบาร์ (mb) = 105 N/m 2 1 บรรยากาศ = 1,013.25 มิลลิบาร์ (mb)6. ท่ีระดบั ความสูงเดียวกนั ความดนั อากาศเทา่ กนั (เมื่ออุณหภมู ิเทา่ กนั ) และทร่ี ะดบั ความสูงต่างกนั ความดนั อากาศตา่ งกนั เมื่อความสูงเพม่ิ ข้นึ ความดนั อากาศมีค่าลดลง7. เม่ือความสูงจากระดบั น้าทะเลเพมิ่ ข้นึ ความหนาแน่นอากาศลดลง ความดนั อากาศกม็ ีคา่ ลดลงดว้ ย ความดนั อากาศจะลดลงประมาณ 1 มิลลิเมตร ของปรอท ทกุ ๆ ระยะความสูง 11 เมตรจากระดบั น้าทะเล8. ถา้ ความสูงจากระดบั น้าทะเลเปล่ียนไป 297 เมตร หรือ 27 มิลลิเมตรปรอท จุดเดือดของน้าจะเปล่ียนไป 1oC9. โมเลกุลของแกส๊ คอื หน่วยยอ่ ยทเ่ี ล็กทสี่ ุดของแกส๊ น้นั ๆ และจานวนโมเลกุลอากาศในหน่ึงหน่วยปริมาตร คอื ความหนาแน่นของอากาศเพอ่ื ใหท้ ราบคา่ ความดนั อากาศ นกั วทิ ยาศาสตร์จึงไดส้ ร้างเครื่องมือสาหรับวดั ความดนั อากาศข้นึ มา เรียกวา่ บารอมิเตอร์ ซ่ึงมีหลายชนิด ดงั น้ี

1. บารอมิเตอร์ปรอทแบบง่าย (Barometer) ลกั ษณะ เป็ นหลอดแกว้ หลกั การสร้าง ใชห้ ลกั การทีอ่ ากาศสามารถดนั ของเหลวใหเ้ ขา้ ไปในหลอดแกว้ ได้ 2. แอนิรอยดบ์ ารอมิเตอร์ (Aneroid Barometer) ลกั ษณะ เป็ นตลบั โลหะบาง ภายในเกือบเป็ น สุญญากาศ หลกั การสรา้ งอากาศจะดนั ผวิ ของตลบั โลหะ เม่ือความดนั อากาศอากาศเปล่ียนแปลง ถา้ ความดนั อากาศภายนอกเพมิ่ ข้นึ จะดนั ใหต้ ลบั โลหะยบุ ตวั ลงจากปกติ และถา้ ความคนั อากาศภายนอกลดลง ตลบัโลหะจะพองตวั ข้ึนมากก่าปกติ และจะอ่านคา่ ความดนั อากาศไดจ้ ากเขม็ ช้ีบนหนา้ ปัด 3. บารอกราฟ (Barograph) พฒั นามา จากแอนิรอยดม์ ิเตอร์บารอมิเตอร์ แต่จะมีเขม็ ช้ี ท่มี ีปากกาบนั ทึกความดนั อากาศต่อเนื่องกนั ลงบนกระดาษกราฟทตี่ ลอดเวลาดว้ ยลานนาฬกิ า

4. อลั ตมิ ิเตอร์ (Altimeter) พฒั นามาจากแอนิรอยดบ์ ารอมิเตอร์ ใชว้ ดั ความสูง โดยอ่านค่าจากหนา้ ปัดบอกเป็นระดบั ความสูง ใชส้ าหรบั ติดตวั นกั โดดร่ม และใชใ้ นเครื่องบินเพอ่ื บอกระดบั ความสูงท่ีเครื่องบินอยหู่ ่างจากระดบั น้าทะเล หลกั การสรา้ ง สรา้ งข้นึ โดยใชห้ ลกั การเมื่อความสูงเพมิ่ ข้ึน ความดนั และความหนาแน่นของ อากาศจะมคี า่ ลดลง ควำมดนั อำกำศทรี่ ะดับควำมสูงต่ำง ๆ กนั อากาศเป็นสสารจงึ มีมวลและปริมาตร ในระดบั ต่า อากาศจะมีมวลมาก ความหนาแน่นมาก และมีความดนั อากาศสูง เม่ือระดบั ความสูงเพมิ่ ข้นึ ความหนาแน่นของอากาศจะลดลงข้อควรจำ 1. ท่รี ะดบั น้าทะเล ความดนั อากาศปกตมิ ีค่าเทา่ กบั ความดนั อากาศท่ีสามารถดนั ปรอทใหส้ ูง 76 cmหรือ 760 mm หรือ 30 นิ้ว 2. เม่ือระดบั ความสูงเพม่ิ ข้ึน ความกดดนั ของอากาศจะลดลง 1 mm.Hg ทกุ ๆ ระยะความสูง 11เมตร หรือทกุ ๆ ระยะความสูง 1,000 ฟุต ระดบั ปรอทจะลดลง 1 น้ิว นกั วทิ ยาศาสตร์ไดน้ าหลกั การน้ีไปใชค้ านวณหาระดบั ความสูง และไดพ้ ฒั นาเคร่ืองมือวดัความดนั อากาศทเี่ รียกวา่ บารอมิเตอร์ ไปเป็นเครื่องมือวดั ความสูงทเี่ รียกวา่ แอลติมิเตอร์ 1.3.3 ลม ลม (Wind) คอื มวลของอากาศท่ีเคลื่อนทไ่ี ปตามแนวราบ สภาพพ้นื โลกในแต่ละแห่งไม่เหมือนกนั บางแห่งเป็ นพ้นื ดิน บางแห่งเป็ นพ้นื น้า ดงั น้นั การรับพลงั งานความรอ้ นจากดวงอาทิตยจ์ ึงตา่ งกนั เป็นผลใหอ้ ากาศท่อี ยเู่ หนือพ้นื ดินและพน้ื น้ามีอุณหภมู ิและความกดอากาศ ทาใหเ้ กิดการเคล่ือนท่ีของอากาศข้นึ ซ่ึงจะส่งผลใหส้ ภาวะต่างๆ ในบรรยากาศเปล่ียนแปลงไป เช่นทาใหเ้ กิดการเคลื่อนทขี่ องความรอ้ น ความช้ืน เป็ นตน้ ลมจะเกิดข้นึ เม่ืออากาศในสองบริเวณมีอุณหภูมแิ ตกต่างกนั เม่ืออากาศไดร้ บั ความร้อนจะขยายตวัทาใหค้ วามหนาแน่นของอากาศลดลง อากาศร้อนจึงลอยตวั สูงข้ึนอากาศที่มีอุณหภมู ิต่ากวา่ จากบริเวณ

ขา้ งเคียงจะเคลื่อนทเี่ ขา้ แทนท่ี ความแตกต่างของอุณหภมู ิของอากาศจึงเป็ นสาเหตุหน่ึงทีท่ าใหเ้ กิดลม หรือกล่าวไดว้ า่ ลมจะพดั จากบริเวณท่มี ีอากาศเยน็ ไปสู่บริเวณทมี่ ีอากาศรอ้ น อุณหภมู ิของอากาศ ความหนาแน่นของอากาศ และความกดอากาศมีความสมั พนั ธก์ นั โดยบริเวณทม่ี ีอากาศรอ้ น ความหนาแน่นของอากาศจะนอ้ ยลง จงึ มีความกดอากาศต่า ส่วนบริเวณที่มีอากาศเยน็ มีความหนาแน่นของอากาศมากกวา่ จงึ มีความกดอากาศสูง ดงั น้นั จึงกล่าวไดอ้ กี อยา่ งหน่ึงวา่ ลมเกิดข้ึน จากความแตกต่างของความกดอากาศ โดยลมจะพดั จากบริเวณทีม่ ีความกดอากาศสูงเขา้ สู่บริเวณทม่ี ีความกดอากาศต่ากวา่หย่อมควำมกดอำกำศ (Pressure areas) 1. หยอ่ มความกดอากาศสูง ( High pressure areas ) หมายถึง บริเวณท่ีมีความกดอากาศสูงกวา่บริเวณขา้ งเคียง ทางอุตุนิยมวทิ ยาใชต้ วั อกั ษร H แทนบริเวณทีม่ ีความกดอากาศสูงในแผนที่อากาศ บริเวณทม่ี ีความกดอากาศสูงน้ีจะมีสภาพทอ้ งฟ้ าแจ่มใส และอากาศหนาวเยน็ 2. หยอ่ มความกดอากาศต่า ( Law pressure areas ) หมายถึงบริเวณท่มี ีความกดอากาศต่ากวา่บริเวณขา้ งเคียง ทางอุตุนิยมวทิ ยาใชต้ วั อกั ษร L แทนบริเวณทม่ี ีความกดอากาศต่าในแผนทอี่ ากาศ บริเวณทม่ี ีความกดอากาศต่าน้ีทอ้ งฟ้ าจะมีเมฆมาก และถา้ หากมีความกดอากาศต่ามากก็จะเกิดพายดุ ีเปรสชนั่ และอาจรุนแรงข้ึนเป็นพายโุ ซนรอ้ นได้เครื่องมอื วัดควำมเร็วลมเคร่ืองมือทใี่ ชใ้ นการวดั กระแสลม มีดงั น้ี 1. วนิ เวนด์ หรือศรลม ใชว้ ดั ทศิ ทางลม ลกั ษณะเป็ นลกู ศรท่ีมีหางเป็นแผน่ ใหญก่ วา่ ลูกศรมาก เมื่อลมพดั มาปะทะหางลูกศรจะเกิดแรงผลกั หวั ลูกศรข้ึน หวั ลูกศรจงึ ช้ีไปในทิศทางทล่ี มพดั มา 2. อะนิโมมิเตอร์ คอื เครื่องวดั อตั ราเร็วลม ลกั ษณะเป็ นกรวยกน้ มนกลมคร่ึงซีกทาดว้ ยโลหะเบา 3-4ถว้ ยตดิ อยทู่ ่ีปลายกา้ น ซ่ึงหมุนไดอ้ ิสระ เมื่อลมพดั ปะทะกรวยจะหมุนไปรอบแกนกลาง จานวนรอบท่ีหมุน

แสดงถึงความเร็วของลม และเราสามารถ อ่านคา่ ความเร็วของลมไดจ้ ากตวั เลข ท่หี นา้ ปัดของเครื่อง 3. แอโรแวน คอื เคร่ืองมือท่ีวดั ท้งั ทศิ ทางและอตั ราเร็วลมซ่ึงมีรูปร่างคลา้ ยเครื่องบินไม่มปี ี กปลายดา้ นใบพดั จะช้ีไปทางที่ ลมพดั แสดง ทศิ ทางของลม และการหมุนของใบพดั แสดงอตั ราเร็วลม โดยจะแสดงทีห่ นา้ ปัดของเคร่ืองวดั เครื่องวดั ความเร็วลม หรืออะนิโมมิเตอร์ชนิดของลม ลมแบ่งออกเป็นชนิดตา่ ง ๆ ไดด้ งั น้ี ลมประจาปี หรือลมประจาภูมิภาคต่าง ๆ เป็นลมท่เี กิดจากความกดอากาศที่มอี ยเู่ ดิมตลอดปีเน่ืองจากบริเวณข้วั โลกและบริเวณเสน้ ศูนยส์ ูตรไดร้ ับความร้อนจากดวงอาทติ ยไ์ ม่เทา่ กนั ทาใหเ้ กิดลมพดัผา่ นส่วนต่าง ๆ ของโลกเป็นประจา ประกอบกบั การเบี่ยงเบนเนื่องจากการหมุนของโลกเป็ นไปอยา่ งสม่าเสมอ เช่น บริเวณซีกโลกใตจ้ ะมีลมพดั จากทศิ ตะวนั ออกเฉียงใตไ้ ปยงั ทิศตะวนั ตกเฉียงเหนือ เรียกวา่ลมสินคา้ ลมประจำถน่ิ คอื ลมท่พี ดั เป็นประจาในพ้นื ทหี่ น่ึง ๆ คือ ลมบกและลมทะเล เกิดจากความแตกต่างของความดนั อากาศบริเวณทะเลและแผน่ ดิน ลมภูเขา ลมหุบเขา เกิดจากความแตกต่างของความดนั อากาศ บริเวณหุบเขาและภเู ขา ลมสินคา้ เกิดจากความแตกต่างของความดนั อากาศ บริเวณละตจิ ูดต่าง ๆ ของโลก

ลมทะเล เป็ นลมทีเ่ กิดข้นึ ในเวลากลางวนั โดยพ้นื ดินรบั ความร้อนไดเ้ ร็วกวา่ พน้ื น้าอากาศเหนือพน้ื ดินมีอุณหภมู ิสูงกวา่ จงึ ลอยตวั สูงข้ึน อากาศเหนือพ้นื น้าทม่ี ีอุณหภมู ิต่ากวา่ จงึ เคลื่อนเขา้มาแทนท่ี ทาใหเ้ กิดลมพดั จากทะเลเขา้ สู่ฝั่ง เรียกวา่ ลมทะเล ลมบก เป็ นลมท่ีเกิดข้ึนในเวลากลางคนื โดยพ้นื ดินคายความร้อนไดเ้ ร็วกวา่ พน้ื น้า อากาศเหนือพน้ื น้าซ่ึงมีอุณหภมู ิสูงกวา่ จะลอยตวั สูงข้ึน ส่วนอากาศเหนือพน้ื ดินซ่ึงมีอุณหภมู ิต่ากวา่ จงึ เคลื่อนเขา้มาแทนที่ ทาใหเ้ กิดลมพดั จากบกไปสู่ทะเล ชาวประมงจะใชป้ ระโยชนจ์ ากลมชนิดน้ีในการออกเรือสู่ทะเล

อตั ราเร็วลม ลักษณะทสี่ ังเกตได้เมือ่ เกดิ ลมทอ่ี ัตรำเร็วต่ำงๆ(กิโลเมตร/ชวั่ โมง) ลกั ษณะทส่ี งั เกตได้ นอ้ ยกวา่ 1 1-5 ลมสงบ ควนั ลอยข้นึ ตรง ๆ 6 – 11 ควนั ลอยตามลมแตศ่ รลมไม่หนั ไปตามทศิ ลม 12 – 19 รูส้ ึกลมพดั ที่ใบหนา้ ใบไมแ้ กวง่ ไกว ศรลมหนั ไปตามทิศลม 20 – 28 ใบไมแ้ ละกิ่งไมเ้ ลก็ ๆ กระดกิ ธงปลิว 29 – 38 มีฝ่นุ ตลบ กระดาษปลิวกิ่งไมเ้ ล็กขยบั เขยอ้ื น 39 – 49 ตน้ ไมเ้ ล็กแกวง่ ไกวไปมา มีระลอกน้า 50 – 61 ก่ิงไมใ้ หญข่ ยบั เขยอ้ื น ไดย้ นิ เสียงหวดี หววิ ใชร้ ่มลาบาก 62 – 74 ตน้ ไมใ้ หญ่ท้งั ตน้ แกวง่ ไกว เดินทางไม่สะดวก 75 – 88 กิ่งไมห้ กั ลมตา้ นการเดิน อาคารทไี่ ม่มนั่ คงหกั พงั หลงั คาปลิว 89 – 102 ตน้ ไมถ้ อนรากลม้ เกิดความเสียหายมาก(ไม่ปรากฏบ่อยนกั ) มากกวา่ 103 เกิดความเสียหายทว่ั ไป(ไม่คอ่ ยปรากฏ) 1.3.4 ควำมชื้นอำกำศ (Humidity) 1. ความช้ืนของอากาศ (Humidity) หมายถึง การท่ีอากาศมไี อน้าเขา้ ไปผสมอยู่ อากาศทอ่ี ณุ หภูมิสูงจะมีไอน้าเขา้ ไปปนอยมู่ ากกวา่ อากาศทอ่ี ุณหภมู ิต่า 2. การตรวจสอบความช้ืนของอากาศโดยใชส้ ารโคบอลต์ คลอไรด์ - ถา้ อากาศมีความช้ืนสูง สารน้ีจะใหส้ ีชมพู - ถา้ อากาศมีความช้ืนต่า สารน้ีจะใหส้ ีน้าเงินม่วง - ถา้ อากาศปราศจากความช้ืน สารน้ีจะใหส้ ีน้าเงิน 3. อากาศอมิ่ ตวั ดว้ ยไอน้า (Saturated Vapour ) หมายถึง สภาพอากาศท่ีอุณหภูมิหน่ึงทร่ี ับไอน้าไว้เตม็ ท่ีแลว้ ไม่สามารถรบั ไอน้าไดอ้ ีก ทอี่ ุณหภมู ิตา่ ง ๆ กนั อากาศอ่มิ ตวั ดว้ ยไอน้า มีดงั ต่อไปน้ีตำรำง 1

อณุ หภูมิ ํC อำกำศอ่ิมตวั g/m3 40 48.212 30 30.039 20 17.118 10 9.330 0 4.835 -5 3.244 -10 2.154 -15 1.395 -20 0.892 ไซครอมเิ ตอร์

อณุ หภมู กิ ระเปาะแห้ง (๐ c)ตำรำงหำค่ำควำมชื้นสัมพัทธ์ ผลตา่ งของอุณหภูมิของเทอร์มอมิเตอร์ กระเปาะแหง้ และกระเปาะเปี ยก (๐C) 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15 2 84 68 52 37 22 7 4 85 71 57 43 29 16 6 86 73 60 48 35 24 11 8 87 75 63 51 40 29 19 8 10 88 77 66 55 44 34 24 15 6 12 89 78 68 58 48 39 29 21 12 14 90 79 70 60 51 42 34 26 18 10 16 90 81 71 63 54 46 38 30 23 15 8 18 91 82 73 65 57 49 41 34 27 20 14 7 20 91 83 74 66 59 51 44 37 31 24 18 12 6 22 92 83 76 68 61 54 47 40 34 28 22 17 11 6 24 92 84 77 69 62 56 49 43 37 31 26 20 15 10 5 26 92 85 78 71 64 58 51 46 40 34 29 24 19 14 10 28 93 85 78 72 65 59 53 48 42 37 32 27 22 18 13 30 93 86 79 73 67 61 55 50 44 39 35 30 25 21 17 32 93 86 80 74 68 62 57 51 46 41 37 32 28 24 20 34 93 87 81 75 69 63 58 53 48 43 39 35 30 26 23 36 94 87 81 75 70 64 59 54 50 45 41 37 33 29 25 38 94 88 82 76 71 66 61 56 51 47 43 39 35 31 27 40 94 88 82 77 72 67 62 57 53 48 44 40 36 33 29

วธิ ีการหาค่าความช้ืนสมั พทั ธ์ โดยใชเ้ ทอร์มอมิเตอร์กระเปาะเปี ยก กระเปาะแหง้ 1. อ่านค่าของอณุ หภมู ิกระเปาะแหง้ แลว้ ไปอ่านคา่ จากตาราง แถวที่ 1 แนวต้งั ลากเสน้ แนวนอนไปทางขวา. 2. หาผลต่างของอุณหภูมิของเทอร์มอมิเตอร์ กระเปาะแหง้ และกระเปาะเปี ยก แลว้ ไปอ่านค่าจากตาราง แถวที่ 1 แนวนอน ลากเสน้ ลงมาในแนวด่งิ 3. เสน้ ท้งั 2 ตดั กนั ตรงไหน น้นั คอื คา่ ความช้ืนสมั พทั ธ์วธิ ีบอกค่ำควำมชื้นของอำกำศ บอกได้ 2 วิธี คอื1. ควำมชื้นสัมบูรณ์ ( Absolute Humidity ) หมายถึง อตั ราส่วนระหวา่ งมวลของไอน้าในอากาศกบัปริมาตรของอากาศน้นั ท่ีอุณหภูมิหน่ึง ความช้ืนสมั บูรณ์ = มวลของไอนำ้ าในอากาศ ปริมาตรของอากาศ หน่วยของความช้ืนสมั บรู ณ์ คอื g/m32. ควำมชื้นสัมพัทธ์ (Relative Humidity) เป็ นปริมาณเปรียบเทยี บมวลของไอน้าที่มีอยจู่ ริงในอากาศขณะน้นั กบั มวลของไอน้าอ่มิ ตวั ทอ่ี ุณหภูมิและปริมาตรเดียวกนั คดิ ค่าออกมาเป็ นเปอร์เซ็นต์ ความช้ืนสมั พทั ธ์ = ปครวิมาามณชไืน้อสนมั ้ำบารู อณิ่ม์ ตวั 100ตวั อย่ำง ที่อุณหภูมิ 30 ํC มีไอน้าอยจู่ ริงเพยี ง 25 กรัมต่อลูกบาศกเ์ มตร ถา้ ปริมาณไอน้าอิ่มตวั ขณะน้นั มีค่า 30 กรัมต่อลูกบาศกเ์ มตร จะมีค่าความช้ืนสมั พทั ธเ์ ป็นเท่าใด ความช้ืนสมั พทั ธ์ = 25 กรมั ต่อลูกบาศกเ์ มตร  100 30 กรมั ต่อลูกบาศกเ์ มตร = 83.3 เปอร์เซ็นต์ หมำยเหตุ ใหน้ กั เรียนสังเกตวา่ มวลของไอน้าทม่ี ีอยจู่ ริงและมวลของไอน้าในอากาศอ่ิมตวั ท่ีอุณหภมู ิ 30 ํC น้นั มีค่าประมาณ 30 กรมั ต่อลูกบาศกเ์ มตรเท่าน้นั การสมมตติ วั เลขใด ๆ ทีเ่ กินกวา่ 100กรัมต่อลูกบาศกเ์ มตรน้นั ไม่ถูกตอ้ งตามความจริง แตเ่ ป็นการสมมติเพอ่ื ใชแ้ สดงวธิ ีคานวณเท่าน้นั - ถา้ อากาศมีความช้ืนสมั พทั ธม์ าก เช่น 80 - 100 % แสดงวา่ ไอน้าในอากาศมีปริมาณมาก การทจ่ี ะตากผา้ ใหแ้ หง้ ทาไดย้ าก น้าจากแหล่งต่าง ๆ ระเหยไดน้ อ้ ย ทาใหร้ ู้สึกอึดอดั เหนียวตวั ความช้ืนสมั พทั ธท์ ี่พอเหมาะ คอื 60 %

- เม่ือดินและน้ารบั ความรอ้ นจากแสงแดด ในการทีจ่ ะทาใหอ้ ุณหภูมิเพมิ่ เทา่ กนั น้าใชเ้ วลามากกวา่และเม่ือทาใหอ้ ุณหภูมิของดินและน้าลดอุณหภมู ิลงมาเท่ากนั น้าตอ้ งใชเ้ วลานานกวา่ กล่าวงา่ ย ๆ คือ ดินร้อนเร็ว เยน็ เร็ว น้าร้อนชา้ เยน็ ชา้ - กลางวนั อากาศเหนือพ้นื ดินมอี ุณหภูมิสูงกวา่ อากาศเหนือพ้นื น้า กลางคืนอากาศเหนือพน้ื ดินมีอุณหภมู ิต่ากวา่ อากาศเหนือพ้นื น้า อากาศเหนือพน้ื ดินและพ้นื น้าจงึ มีอุณหภมู ิตา่ งกนั ท้งั กลางวนั และกลางคืน - อุณหภูมิเมื่ออากาศมีคา่ ความช้ืนสมั พทั ธร์ อ้ ยละ 100 เรียกอุณหภูมิน้ีวา่ จดุ นำ้ ค้ำง ซ่ึงไอน้าในอากาศจะเร่ิมควบแน่นกลายเป็ นละอองน้ าขนาดเลก็ 1.3.5 เมฆและฝน น้าในบรรยากาศมีอยทู่ ้งั 3 สถานะ ในสถานะแกส๊ คอื ไอน้า ในสถานะของเหลวคือหยดน้าฝน และในสถานะของแขง็ คอื หิมะและลูกเห็บ ไอน้าในบรรยากาศมีลกั ษณะคลา้ ยกบั แกส๊ ชนิดอนื่ ๆ คอื มองไม่เห็นดว้ ยตาเปล่า แต่เม่ืออยใู่ นสภาวะท่เี หมาะสม ไอน้าซ่ึงอยใู่ นสถานะแก๊สจะเปลี่ยนสถานะเป็ นของแขง็ หรือของเหลวได้ ลกั ษณะเช่นน้ีแตกตา่ งจากแก๊สชนิดอื่น ๆ ถา้ อุณหภูมิของอากาศเท่ากบั จุดน้าคา้ ง ไอน้าจะกลน่ั ตวั เป็นหยดน้า และถา้ อุณหภมู อิ ากาศต่ากวา่ จุดเยอื กแขง็ ซ่ึงมกั จะพบในในบริเวณท่ีสูงข้นึ ไปในบรรยากาศ ไอน้าจะกลายเป็ นผลึกน้าแขง็ เล็ก ๆ เมฆ (Clouds) คอื น้าในอากาศเบ้อื งสูงทอ่ี ยใู่ นสถานะเป็ นหยดน้า และผลึกน้าแขง็ อาจมีอนุภาคของของแขง็ ท่ีอยใู่ นรูปของควนั และฝ่นุ ท่แี ขวนลอยอยใู่ นอากาศรวมอยดู่ ว้ ย เมฆ (Clouds) เกิดจากไอน้าในบรรยากาศกลนั่ ตวั เป็นละอองน้าเลก็ ๆ เมื่ออุณหภมู ขิ องอากาศอยใู่ นระดบั จดุ น้าคา้ งหรือไอน้าทกี่ ลายเป็ นผลึกน้าแขง็ เม่ืออุณหภูมิของอากาศต่ากวา่ จดุ เยอื กแขง็ 1. ชนิดของเมฆ การทีเ่ รามองเห็นเมฆมีรูปร่างต่าง ๆ หรืออยทู่ รี่ ะดบั ความสูงตา่ ง ๆ ข้นึ อยกู่ บั สภาพอากาศขณะน้นั หรือทก่ี าลงั จะเกิดข้นึ เมฆบางชนิดเกิดข้นึ เม่ือสภาพอากาศดีเท่าน้นั ในขณะท่เี มฆบางชนิดจะพาฝน หรือพายฝุ นฟ้ าคะนองมาดว้ ย ดงั น้นั การรวบรวมขอ้ มูลทไี่ ดจ้ ากการสงั เกตเมฆลกั ษณะตา่ ง ๆ จะช่วยใน การพยากรณ์อากาศล่วงหนา้ ได้

กำรสังเกตชนิดของเมฆ จากลกั ษณะเมฆ สามารถแบ่งเมฆออกไดเ้ ป็น 3 กลุ่ม ใหญ่ ๆ คือ 1. เมฆกอ้ น มีชื่อวา่ ควิ มูลสั ( CUMULUS ) หมายถึง เมฆเป็นกอ้ นกระจุก 2. เมฆแผน่ หรือเมฆช้นั สเตรตสั ( STRATUS ) หมายถึง เมฆเป็นช้นั ๆ 3. เมฆทเ่ี ป็นร้ิว ๆ คลา้ ยขนสตั ว์ ซีร์รัส (Cirrus) เมฆชนิดน้ีมลี กั ษณะบาง ๆ มองดูคลา้ ยขน นกสีขาว

เมฆทน่ี ักเรียนควรรู้จัก 1. ซีร์โรสเตรตสั (Cirrostratus) เมฆชนิดน้ีมีลกั ษณะเป็ นแผน่ ๆ โปร่งแสงประกอบดว้ ยผลึกน้าแขง็ มกั ปกคลุมทว่ั ทอ้ งฟ้ า และสำมำรถทำให้เกิดพระอำทิตย์หรือดวงจันทร์ทรงกลดได้ 2. นิมโบสเตรตสั (Nimbostratus) เมฆชนิดน้ีมีรูปแบบเป็นช้นั หนาทึบ สีเทาดา มีฐานท่ไี ม่เรียบสามารถบดบงั ดวงอาทติ ยไ์ ดม้ ิด และทาใหเ้ กิดฝนตกพร่า ๆ เป็ นเวลำนำน จึงมกั เรียกเมฆชนิดน้ีอีกชื่อหน่ึงวา่เมฆฝน 3. ควิ มูโลนิมบสั (Cumulonimbus) เมฆชนิดน้ีมีขนาดใหญ่ แน่น เป็นแผน่ หนา และมีลกั ษณะคลา้ ยภเู ขาขนาดใหญห่ รือรูปทงั่ มักทำให้เกดิ ฝนตกหนัก ลมแรง และเกดิ พำยุฟ้ ำคะนอง บางคร้ังอาจรุนแรงจนกลายเป็นพายทุ อร์นาโด

- เมฆระดบั สูงประกอบดว้ ยน้าแขง็ เกือบท้งั หมด เพราะอุณหภูมิท่ีระดบั น้ีต่ากวา่จดุ เยอื กแขง็ - เมฆท่ีระดบั ปานกลางจะประกอบดว้ ยผลึกน้าแขง็ และละอองน้า - เมฆทีร่ ะดบั ต่าจะประกอบดว้ ยละอองน้าท้งั หมด นักอุตนุ ิยมวทิ ยำได้แบ่งเมฆออกเป็ น 3 ประเภท ดังนี้ 1. เมฆระดบั สูง (High Altitude) เป็ นเมฆทพี่ บไดใ้ นระดบั ความสูงมากกวา่ 6,000 เมตรข้นึ ไป ซ่ึง ประกอบดว้ ยผลึกน้าแขง็ เป็ นส่วนใหญ่ มี 4 ชนิด คือ 1.1 ซีร์โรควิ มูลสั (Cirrocumulus) เมฆชนิดน้ีมีรูปแบบเป็นกอ้ นกระจุกเล็ก ๆ แผเ่ ป็นแนวสี ขาว ลกั ษณะคลา้ ยคลนื่ หรือเกล็ดปลา ไม่มีเงาเมฆ ประกอบดว้ ยผลึกน้าแขง็ หรือบางคร้ังอาจเป็ นหยด น้าท่เี ยน็ จดั 1.2 คิวมูโลนิมบสั (Cumulonimbus) เมฆชนิดน้ีมีขนาดใหญ่ แน่น เป็นแผน่ หนา และมีลกั ษณะคลา้ ยภูเขาขนาดใหญห่ รือรูปทง่ั มกั ทาใหเ้ กิดฝนฟ้ าคะนองหรือพายขุ ้ึนได้ และบางคร้งั อาจรุนแรงจนกลายเป็นพายทุ อร์นาโด 1.3 ซีร์โรสเตรตสั (Cirrostratus) เมฆชนิดน้ีมีลกั ษณะเป็ นแผน่ ๆ โปร่งแสงประกอบดว้ ย ผลึกน้าแขง็ มกั ปกคลุมทวั่ ทอ้ งฟ้ า และสามารถทาใหเ้ กิดพระอาทิตยห์ รือดวงจนั ทร์ทรงกลดได้

1.4 ซีร์รัส(Cirrus) เมฆชนิดน้ีมีลกั ษณะบาง ๆ มองดูคลา้ ยขนนกสีขาว มกั เป็ นร้ิวโคง้ ๆยาวพาดกลางทอ้ งฟ้ า ประกอบดว้ ยผลึกน้าแขง็ เมฆชนิดน้ีเป็ นสญั ญาณแสดงวา่ อากาศกาลงั จะเลวลง 2. เมฆระดบั กลาง (Middle Altitude) เป็ นเมฆทีม่ ีความสูงอยรู่ ะหวา่ ง 2,000 ถึง 6,000 เมตรเมฆประเภทน้ีส่วนใหญป่ ระกอบไปดว้ ยน้า มี 3 ชนิด คือ 2.1 คิวมูลสั (Cumulus) เมฆชนิดน้ีมีส่วนฐานแบน ส่วนบนนูนแน่นข้นึ คลา้ ยดอกกะหล่าขนาดใหญ่ เม่ือมีแสงส่องกระทบจะเห็นเป็นแสงสวา่ งสีขาว ส่วนฐานมกั มีสีเขม้ เมฆชนิดน้ีไม่กอ่ ใหเ้ กิดฝนและจะพบในวนั ทที่ อ้ งฟ้ าแจ่มใส แดดจดั เมฆคิวมูลสั ที่มีขนาดใหญอ่ าจจะเปล่ียนแปลงไปเป็ นเมฆคิวมูโลนิมบสั ได้

2.2 อลั โตคิวมูลสั (Altocumulus) มีรูปแบบคลา้ ยคลื่นในทะเล มีสีขาวและเทา มีเงาเมฆประกอบดว้ ยหยดน้าเป็ นส่วนใหญ่ และบางคร้ัง อาจมีผลึกน้าแขง็ อยดู่ ว้ ย 2.3 อลั โตสเตรตสั (Altostratus) เมฆชนิดน้ีมีรูปแบบคลา้ ยม่านสีฟ้ า หรือสีเทาปกคลุมทอ้ งฟ้ าเป็ นบริเวณกวา้ ง สามารถมองเห็นแสงอาทติ ยล์ อดออกมาไดโ้ ดยไม่ทาใหเ้ กิดพระอาทิตยท์ รงกลด 3. เมฆระดบั ต่า (Law Altitude ) เป็ นเมฆท่พี บไดใ้ นระดบั ต่ากวา่ 2,000 เมตร ส่วนใหญ่ประกอบดว้ ยน้า แตอ่ าจพบหิมะและผลึกน้าแขง็ อยดู่ ว้ ย มี 3 ชนิด คอื 3.1 สเตรตสั (Stratus) เมฆชนิดน้ีมีสีเทาและทอดตวั ใกลก้ บั พ้นื ผวิ โลก มลี กั ษณะเป็นแผน่แต่บางคร้งั อาจพบเป็นแบบหยอ่ ม เมฆชนิดน้ีมกั ก่อใหเ้ กิดฝนตกปรอย ๆ และฝนละออง

3.2 นิมโบสเตรตสั (Nimbostratus) เมฆชนิดน้ีมีรูปแบบเป็นช้นั หนาทบึ สีเทาดา มีฐานที่ไม่เรียบ สามารถบดบงั ดวงอาทิตยไ์ ดม้ ิด และอาจทาใหม้ ีฝนหรือหิมะตกตอ่ เน่ืองกนั นานๆ เป็ นชว่ั โมงๆ จึงมกั เรียกเมฆชนิดน้ีอีกช่ือหน่ึงวา่ เมฆฝน 3.3 สเตรโตควิ มูลสั (Stratocumulus) เมฆชนิดน้ีมีสีขาวหรือสีเทา ส่วนฐานของเมฆจะคอ่ นขา้ งกลมมากกวา่ แบน และสามารถก่อตวั ข้ึนจากเมฆทีเ่ ป็นสเตรตสั เดิม หรือจากการท่เี มฆชนิดคิวมูลสั กระจายตวั ออก ส่วนบนจะมีลกั ษณะค่อนขา้ งแบนลักษณะของท้องฟ้ ำโดยใช้ปริมำณเมฆเป็ นเกณฑ์ลกั ษณะทอ้ งฟ้ า ปริมาณเมฆแจม่ ใส มีเมฆนอ้ ยกวา่ 1/10 ของ ทอ้ งฟ้ าโปร่ง มีเมฆ 1/10 แต่ไม่เกิน 3/10มีเมฆบางส่วน มากกวา่ 3/10 แตไ่ ม่เกิน 5/10มีเมฆเป็ นส่วนมาก มากกวา่ 5/10 แตไ่ ม่เกิน 8/10มีเมฆมาก มากกวา่ 8/10 ถึง 9/10เมฆเตม็ ทอ้ งฟ้ า 10/10

หยำดนำ้ ฟ้ ำ (Precipitations) หยาดน้าฟ้ า หมายถึงน้าท่อี ยใู่ นสถานะของแขง็ หรือของเหลว ที่ตกลงมาจากบรรยากาศสู่พ้นื โลกหรืออาจกล่าวไดว้ า่ หยาดน้าฟ้ าเป็นส่วนหน่ึงของวฎั จกั รของน้า ทีต่ กลงมาสู่พน้ื โลกในรูปแบบตา่ ง ๆ ไดแ้ ก่ฝน หิมะ ลูกเห็บ น้าคา้ ง น้าคา้ งแขง็ และหมอกกำรเกิดฝน ลูกเห็บ และหิมะ อากาศสามารถอมุ้ น้าทม่ี าจากการระเหย กลายเป็ นไอจากแหล่งต่าง ๆ ไดใ้ นปริมาณจากดั ค่าหน่ึงเมื่อปริมาณไอน้าในอากาศเทา่ กบั คา่ สูงสุดท่ีเราเรียกวา่ อยใู่ นสภาวะอิ่มตวั น้นั ไอน้าทเี่ พม่ิ มากกวา่ น้ี จะเกิดกระบวนการกลนั่ ตวั เป็ นหยดน้ามีขนาดโตข้นึ ก็จะตกลงมาเป็ นฝน ตอนบนของเมฆคิวมูโลนิมบสั และเมฆอลั โตสเตรตสั มีอุณหภมู ิต่ากวา่ จดุ เยอื กแขง็ ไอน้าส่วนใหญ่จะอยใู่ นรูปของผลึกน้าแขง็ และเน่ืองจากตรงกลางของกอ้ นเมฆมีอุณหภูมิสูงกวา่ ผลึกน้าแขง็ ทเี่ คล่ือนท่ีข้นึลงระหวา่ งช้นั ของกอ้ นเมฆจงึ ถูกหุม้ ดว้ ยหยดน้าท่ีมีความเยน็ จดั ผลึกน้าแขง็ ที่หุม้ ดว้ ยหยดน้าเหล่าน้ีจงึ มีขนาดโตข้ึนเร่ือย ๆ จนหนกั พอทีจ่ ะตกผา่ นกระแสลมท่ีพดั สวนทางข้นึ ไปและตามทางที่ตกลงมา ผลึกน้าแขง็ จะชนกบั อนุภาคของเมฆและขยายขนาดโตข้นึ 1. ถา้ อุณหภมู ิของอากาศบริเวณพ้นื ผวิ โลกต่ากวา่ จดุ เยอื กแขง็ ผลึกน้าแขง็ ทต่ี กลงมา จะตก ลงมาในรูปของหิมะ (Snow)

2. แต่ถา้ อากาศเหนือพน้ื ผวิ โลกอุ่น ผลึกน้าแขง็ จะหลอมเหลวกลายเป็ นหยดน้าฝน (Rain) เกณฑป์ ริมาณน้าฝนฝนเล็กนอ้ ย 0.1 – 10.0 มิลลิเมตรฝนปานกลาง 10.1 – 35.0 มิลลิเมตรฝนหนกั 35.1 – 90.0 มิลลิเมตรฝนหนกั มาก 90.1 มิลลิเมตรข้ึนไป 3. และถา้ กระแสอากาศพดั ข้ึนค่อนขา้ งแรง ผลึกน้าแขง็ อาจเคล่ือนทขี่ ้นึ ลงในกอ้ นเมฆหลายรอบระหวา่ งเคลื่อนท่ขี ้นึ ลงน้ี ผลึกน้าแขง็ จะมีขนาดโตข้ึนเร่ือย ๆ ในที่สุดกจ็ ะตกลงมาเป็ น ลูกเห็บ (Hail) ลูกเห็บ คือน้าแขง็ ท่อี ยใู่ นเมฆคิวมูโรนิมบสั ขนาดใหญ่ ที่ถูกกระแสลมพดั วนอยภู่ ายในเมฆเป็นเวลานาน จนกระทงั่ มีขนาดใหญ่มากพอ ทเ่ี ม่ือตกลงมาแลว้ ละลายไม่หมดกอ่ นถึงพน้ื ในประเทศไทยอากาศบริเวณผวิ โลกสูงกวา่ จุดเยอื กแขง็ น้าฟ้ าท่ตี กในประเทศไทยส่วนใหญ่คือฝนส่วนประเทศในเขตหนาว บางฤดูอุณหภูมิอากาศบริเวณผวิ โลกต่ากวา่ จุดเยอื กแขง็ จึงเกิดหิมะได้ ละอองน้าในเมฆมีเสน้ ผา่ นศนู ยก์ ลางประมาณ 20 ไมโครเมตร ขณะทห่ี ยดน้าฝนมีเสน้ ผา่ นศนู ยก์ ลางประมาณ 2,000 ไมโครเมตร หรือหยดน้าฝนมีเสน้ ผา่ นศนู ยก์ ลางเป็ น 100 เท่า ของละอองน้า หรือมีปริมาตรเป็น 1 ลา้ นเทา่ ของละอองน้าในเมฆน้นั เองกำรวดั ปริมำณน้ำฝน ปริมาณน้าฝน หมายถึง ระดบั ความลึกของน้าฝนในภาชนะทีร่ องรบั น้าฝน ท้งั น้ีภาชนะทร่ี อบรบัน้าฝนจะตอ้ งวางใหอ้ ยใู่ นแนวระดบั และวดั ในช่วงเวลาทกี่ าหนดดว้ ย ปริมาณน้าฝนไม่สามารถวดั ไดโ้ ดยตรงเป็นปริมาตรหรือน้าหนกั แตใ่ ชห้ น่วยของความลึกเช่นเดียวกบั การวดั น้าบนพ้นื ผวิ โลก และนิยมอ่านคา่ ปริมาณน้าฝนในหน่วยของมิลลิเมตร เคร่ืองมือวดัปริมาณน้าฝน เรียกวา่ เครื่องวดั ปริมาณน้าฝน เรียกวา่ เครื่องวดั น้าฝน (rain gauge)ซ่ึงมีอยหู่ ลายแบบ เช่น

1. เครื่องวดั น้าฝนแบบทรงกระบอก หยดน้าฝนท่ีตกลงมาจะถูกเก็บไวก้ ่อนทจ่ี ะมาถึงพน้ื ดิน โดยฝนจะตกลงสู่กรวยท่ีมีดา้ นสูงชนั แลว้ไหลลงสู่ขวดเกบ็ น้าฝนทเ่ี ก็บไวจ้ ะถูกนามาวดั ดว้ ยกระบอกตวงท่มี ีมาตรวดั กากบั อยู่ มาตรวดั ทใี่ ชว้ ดั ข้นึ อยู่กบั พ้นื ที่ของปากกรวย ทาใหว้ ดั ตวั เลขของน้าฝนต่อหน่วยพน้ื ที่ได้ 2. เครื่องวดั น้าฝนแบบบนั ทกึ หรือแบบอตั โนมตั ิ ในท่หี ่างไกลเป็ นไปไม่ไดท้ ่ีจะตรวจวดั ฝนทุก ๆ วนั เครื่องวดั น้าฝนแบบถงั กาลกั น้าจะวดั น้าฝนเองในแตล่ ะวนั และทาใหข้ วดเกบ็ น้าแหง้ เตรียมพร้อมท่ีจะใชใ้ นการวดั คร้งั ต่อไป ปริมาณท่ีเกบ็ ไดจ้ ะถูกบนั ทกึ ไวบ้ นมว้ นกระดาษโดยอตั โนมตั ิเครื่องวดั น้าฝนแบบทรงกระบอก เครื่องวดั น้าฝนแบบบนั ทกึ หรือแบบอตั โนมตั ิ

แบบทดสอบหน่วยกำรเรียนรู้ที่ 1 เร่ือง บรรยำกำศ1. ในช่วงระยะความสูงจากระดบั น้าทะเล 0 - 10 กิโลเมตร อุณหภูมิของอากาศเป็ นอยา่ งไร1. ความสูงลด อุณหภูมิลด 3. ความสูงเพม่ิ อุณหภูมิลด2. ความสูงลด อุณหภูมิคงที่ 4. ความสูงเพม่ิ อุณหภูมิเพม่ิ2. อากาศในช่วงความสูง 0 - 10 กิโลเมตรจากระดบั น้าทะเล เรียกวา่ ช้นั บรรยากาศอะไร1. เมโซสเฟี ยร์ 2. โทรโพสเฟียร์3. โอโซโนสเฟี ยร์ 4. สตราโตสเฟียร์3. ในบรรยากาศ มีแก๊สไนโตรเจน ประมาณเท่าใด1. 78.084 % 2. 78.84 % 3. 78.8 % 4. 78 %4. บรรยากาศช้นั โอโซโนสเฟี ยร์ท่มี ีกา๊ ซโอโซนมากน้นั สูงจากพน้ื ดินประมาณเท่าใด1. 1 - 5 กิโลเมตร 2. 2 - 20 กิโลเมตร3. 10 - 50 กิโลเมตร 4. 20 - 200 กิโลเมตร5. บรรยากาศช้นั ท่ีเราอาศยั อยนู่ ้ีเรียกวา่ ช้นั อะไร1. ช้นั ไบโอสเฟียร์ 2. ช้นั เมโซสเฟี ยร์3. ช้นั โทรโพสเฟี ยร์ 4. ช้นั สตราโตสเฟียร์6. ลกั ษณะสาคญั ของบรรยากาศช้นั ท่ีเราอาศยั อยเู่ ป็นอยา่ งไร1. อุณหภมู ิคงท่ีตลอด 2. อุณหภมู ิเพมิ่ เม่ือความสูงเพมิ่3. อุณหภมู ิลดลงเมื่อความสูงเพม่ิ 4. อุณหภูมิลดลงเมื่อความสูงลดลง7. การวดั อุณหภมู ิของบรรยากาศในระดบั สูง เช่น 5 - 10 กิโลเมตรน้นั ใชอ้ ุปกรณ์อะไรในการวดั1. ยงิ จรวดข้นึ ไปวดั2. ใหค้ นนงั่ บอลลูนข้นึ ไปวดั3. ผกู เทอร์มอมิเตอร์ไปกบั เครื่องบิน4. ส่งบอลลูนตดิ เคร่ืองวดั แลว้ ส่งขอ้ มูลมาทางวทิ ยุ

8. ขอ้ ใดเป็ นขอ้ ความทสี่ รุป ไม่ถูกตอ้ ง1. บรรยากาศในช้นั โทรโพสเฟี ยร์ เมื่อความสูงเพมิ่ ข้ึนอากาศจะเยน็ ลง2. บรรยากาศที่อยใู่ กลพ้ ้นื ดินมีอุณหภูมิสูงกวา่ บรรยากาศทส่ี ูงข้ึนไป3. ที่สูง 10 กม. จากพน้ื ดิน อุณหภูมิแปรผกผนั กบั ความสูง4. ทีส่ ูง 10 กม. จากพน้ื ดิน ความหนาแน่นของอากาศไม่เปลี่ยนแปลง9. เพราะเหตุใดพ้นื น้าจึงรับและคายความรอ้ นไดช้ า้ กวา่ พน้ื ดิน1. น้าอยตู่ ่ากวา่ ดิน 2. น้ามีพลงั งานจลนม์ าก3. น้ามีความรอ้ นแฝงต่า 4. น้ามีความจุความร้อนมากกวา่10. ใชก้ ระป๋ องนม 2 ใบ ขนาดเทา่ กนั ใส่ดินและน้าประมาณ 2 ใน 3 ส่วน ต้งั ไวก้ ลางแดด10 นาที แลว้ ยกมาวางไวใ้ นท่ีร่ม อุณหภูมิของแต่ละกระป๋ องจะเป็ นอยา่ งไร1. อุณหภมู ิของน้าลดลงมากกวา่ เดิม2. อุณหภมู ิของดินลดลงมากกวา่ น้า3. อุณหภมู ิของดินและน้าลดลงเท่ากนั4. อุณหภูมิของดินและน้าข้นึ อยกู่ บั ความช้ืนสมั พทั ธ์11. ลกั ษณะของภมู ิประเทศตามขอ้ ใด จึงจะมีอุณหภูมิคอ่ นขา้ งสูงในตอนกลางวนั และกลางคนืจะคอ่ นขา้ งเยน็1. ท่ีราบสูงติดกบั ทะเล 2. ที่ราบลุ่มตดิ กบั ทะเล3. หุบเขา 4. ทะเลทราย12. สาเหตสุ าคญั ท่ที าให้เกิดลมตามธรรมชาตคิ ืออะไร1. ปริมาณไอน้าของท่ี 2 แห่งต่างกนั2. ความกดอากาศของท่ี 2 แห่งตา่ งกนั3. มวลอากาศของท่ี 2 แห่งตา่ งกนั4. ปริมาตรอากาศของที่ 2 แห่งต่างกนั13. ขอ้ ใดเป็นความสมั พนั ธข์ อง ความสูง ความดนั และความหนาแน่นของอากาศ1. ความสูงเพมิ่ ข้นึ ความหนาแน่นเพม่ิ ความดนั ลด2. ความสูงเพม่ิ ข้ึน ความหนาแน่นลด ความดนั ลด3. ความสูงเพม่ิ ข้ึน ความหนาแน่นเพมิ่ ความดนั เพมิ่4. ความสูงเพมิ่ ข้ึน ความหนาแน่นลด ความดนั เพม่ิ

14. ขอ้ ใดจบั คูค่ วามสมั พนั ธร์ ะหวา่ งช้นั บรรยากาศกบั ลกั ษณะอากาศในช้นั น้นั ๆ ไดถ้ ูกตอ้ ง1. โทรโพสเฟียร์-อุณหภูมิจะลดลงเมื่อระดบั ความสูงเพม่ิ ข้นึ2. โอโซโนสเฟี ยร์-มี CFC หนาแน่นมาก3. สตราโตสเฟี ยร์-มีไอน้าและฝ่นุ ละอองมากทส่ี ุด4. ไอโอโนสเฟียร์-เป็ นช้นั ทีต่ ิดกบั อวกาศ ก๊าซตา่ งๆ จงึ แตกตวั เป็นประจไุ ฟฟ้ า15. ลาดบั ความหนาแน่นของอากาศในช้นั บรรยากาศจากสูงสุดไปต่าสุดจะเป็ นไปตามขอ้ ใดก. โทรโพสเฟี ยร์ ข. ไอโอโนสเฟียร์ ค. โอโซโนสเฟียร์1. ก ข ค 2. ข ก ค 3. ค ก ข 4. ก ค ข16. อากาศในหอ้ งขนาดกวา้ ง 2 เมตร ยาว 6 เมตร สูง 4 เมตร มีความหนาแน่น 1.5 กิโลกรัมต่อลูกบาศกเ์ มตร จะมีมวล ก่ีกิโลกรมั1.18 2. 36 3. 72 4. 8017. หนูนิดวดั ความดนั บนยอดเขาแห่งหน่ึงได้ 460 มิลลิเมตรของปรอท อยากทราบวา่ หนูนิดอยู่สูงจากระดบั น้าทะเล เทา่ ใด1. 2.2 กิโลเมตร 2. 3.3 กิโลเมตร3. 4.4 กิโลเมตร 4. 5.5 กิโลเมตร18. หนูนิดปี นข้ึนไปบนยอดเขาแห่งหน่ึงตม้ น้า น้าเดือดท่อี ุณหภูมิ 90 องศาเซลเซียส ความดนัอากาศบนยอดเขามีค่าเท่าใด1. 490 mmHg 2. 590 mmHg3. 690 mmHg 4. 790 mmHg19. ภูเขาลูกหน่ึงสูงจากระดบั น้าทะเล 1485 เมตร ขอ้ ใดใดกล่าวถูก1. น้าจะเดือดทีอ่ ุณหภูมิ 97 ๐C และความดนั ของอากาศจะเพม่ิ ข้นึ 27 mmHg2. น้าจะเดือดท่อี ุณหภูมิ 97 ๐C และความดนั ของอากาศจะลดลง 27 mmHg3. น้าจะเดือดทอ่ี ุณหภมู ิ 95 ๐C และความดนั ของอากาศจะลดลง 135 mmHg4. น้าจะเดือดทีอ่ ุณหภูมิ 95 ๐C และความดนั ของอากาศจะเพมิ่ ข้นึ 135 mmHg20. ส่ิงใดตอ่ ไปน้ีท่ีไม่มีในตารางอ่านคา่ ความช้ืนของอากาศ1. อุณหภูมิจากเทอร์มอมิเตอร์กระเปาะแหง้2. อุณหภมู ิจากเทอร์มอมิเตอร์กระเปาะเปี ยก3. คา่ รอ้ ยละของความช้ืนสมั พทั ธใ์ นอากาศ4. ผลต่างของอุณหภูมิจากเทอร์มอมิเตอร์กระเปาะแหง้ และเปี ยก

เฉลยหน่วยกำรเรียนรู้ที่ 1 บรรยำกำศข้อ 1 2 3 4 ข้อ 1 2 3 4 ข้อ 1 2 3 4 ข้อ 1 2 3 41.  6.  11.  16. 2.  7.  12.  17. 3.  8.  13.  18. 4.  9.  14.  19.5.  10.  15.  20. 






Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook