Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore สรุปผลการจัดกิจกรรมโครงการค่ายอาสายุวกาชาด ประจำปีงบประมาณ 2562

สรุปผลการจัดกิจกรรมโครงการค่ายอาสายุวกาชาด ประจำปีงบประมาณ 2562

Description: สรุปผลการจัดกิจกรรมโครงการค่ายอาสายุวกาชาด ประจำปีงบประมาณ 2562

Search

Read the Text Version

สรุปผลการจดั กิจกรรม โครงการคา่ ยอาสายุวกาชาด หลกั สูตรพ้นื ฐานยุวกาชาด รุน่ ที่ 4800 / พย.43 ระหว่าง วนั ที่ 9 - 12 เดอื น กรกฎาคม พ.ศ. 25ย62 ณ ศูนย์การเรียนชมุ ชนชาวไทยภเู ขา “แม่ฟ้าหลวง” บา้ นน้าคะ ต.ผาช้างนอ้ ย อ.ปง จ.พะเยา ศูนยก์ ารศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยอ้าเภอปง สา้ นกั งานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยจงั หวัดพะเยา

1 คำนำ สรุป ผลการด ำเนิ น โค รงการค่ ายอาสายุว กาช าด ห ลั กสูตรพ้ื น ฐาน ยุวกาช าด รุ่นท่ี 4800/พย.43 เพ่ือเสริมสร้างความเข้าใจในหลักการและอุดมการณ์ของกาชาด ในด้านมนุษยธรรม การดูแลสุขภาพอนามัย รวมถึงการบริการอาสาสมคั รและการส่งเสริมการมสี ัมพันธภาพท่ีดี บำเพ็ญประโยชน์ ต่อสังคม และเห็นประโยชน์ส่วนรวม สามารถนำประสบการณ์ตรงที่ได้รับไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้ โดยการจัดการศึกษาพน้ื ฐานนอกระบบ เปน็ กจิ กรรมท่ีพัฒนาใหผ้ ้เู รยี นมีคุณภาพทางการศึกษา ทางด้านทักษะ ความรู้ และการพัฒนาคุณภาพชีวิต สร้างสรรค์ พัฒนาความเป็นอัจฉริยะให้เกิดขึ้นต่อตนเอง การจัด กระบวนการเรียนรู้ตาม พ.ร.บ. การศึกษาปัจจุบัน ต้องเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ โดยมีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมการ เรียนรู้ตลอดชวี ิตของนักศึกษาในด้านวิชาการ เพ่ือใหน้ ักศึกษามีคุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงคส์ ามารถดำรงชีวติ ใน สังคมเปน็ คนเก่งและดมี ชี ีวติ อยูใ่ นสงั คมอย่างมีความสุข ศูน ย์การศึกษ าน อกระบ บ และการศึกษ าตามอัธยาศัยอำเภ อป งจึงได้สรุป ผล การดำเนนิ งานโครงการดังกล่าวเพ่ือรายงานให้ภาคเี ครอื ข่ายและผู้ท่เี ก่ยี วข้องทราบต่อไป ศูนยก์ ารศึกษานอกระบบและการศกึ ษาตามอัธยาศัยอำเภอปง สงิ หาคม 2562

สารบญั 2 คำนำ หน้า สารบัญ ก บทที่ 1 บทนำ ข บทท่ี 2 เอกสารท่ีเกี่ยวข้อง 1 บทที่ 3 วธิ ดี ำเนินการ 2 บทท่ี 4 ผลท่เี กดิ ข้ึน 34 บทท่ี 5 สรปุ อภิปราย และข้อเสนอแนะ 35 ภาคผนวก 41 - รปู ภาพ - เอกสาร

3 บทที่ 1 บทนำ 1.1 ความเปน็ มาและความสำคัญ ด้วยสำนักงานยุวกาชาด มีภารกิจในการปลูกฝังและเผยแพร่ให้เยาวชนเป็นคนดี มีความรู้คู่ คุณธรรม และพึ่งพาได้ อีกท้ังยังเสริมสร้างความเข้าใจในหลักการและอุดมการณ์ของกาชาด ในด้าน มนุษยธรรม การดูแลสุขภาพอนามัย รวมถึงการบริการอาสาสมัครและการส่งเสริมการมีสัมพันธภาพที่ดี บำเพ็ญประโยชน์ต่อสังคม และเห็นประโยชน์ส่วนรวมเป็นที่ต้ัง ดังนั้น สำนักงานยุวกาชาด จึงได้เชิญชวน หน่วยงานพัฒนาเยาวชนชมรมอาสา ยวุ กาชาด และเยาวชนเข้าร่วมกิจกรรมกับสภากาชาดไทยอย่างต่อเนือ่ ง โดยเฉพาะกิจกรรมที่ทำประโยชน์ให้แก่ส่วนรวมและมุง่ ดำเนินงานตามพระราชกรณียกจิ และพระราชดำรขิ อง สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาสยามบรมราชกุมารี อุปนายิกาผู้อำนวยการสภากาชาดไทย เพ่ือร่วมบำเพ็ญ ประโยชน์ถวายเป็นพระราชกุศล และเพ่ือเป็นการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน ผู้สูงอายุ เด็ก และ เยาวชนผ้ดู อ้ ยโอกาส ให้มคี วามเป็นอยทู่ ่ีดีข้นึ รวมถงึ เปน็ การปลูกจติ อาสาให้เยาวชนเป็นอาสาสมัครทเี่ ป็นคนดี มคี ุณธรรม และพ่งึ พาได้ ศูนยก์ ารศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยอำเภอปง ได้ตระหนกั ถึงความสำคัญของการ ปลูกฝังและเผยแพร่ให้เยาวชนเป็นคนดี มีความรู้คู่คุณธรรมและพ่ึงพาได้ จึงได้จัดทำ “โครงการค่ายอาสายุว- กาชาด หลักสูตร พ้ืนฐานยุวกาชาด” ขึ้น เพ่ือเสริมสร้างความเข้าใจในหลักการและอุดมการณ์ของกาชาด ใน ด้านมนุษยธรรม การดูแลสุขภาพอนามัย รวมถึงการบริการอาสาสมัครและการส่งเสริมการมีสัมพันธภาพที่ดี บำเพ็ญประโยชน์ต่อสังคม และเห็นประโยชน์ส่วนรวม สามารถนำประสบการณ์ตรงท่ีได้รับไปประยุกต์ใช้ใน ชีวิตประจำวันได้ 1.2. วตั ถุประสงค์ 4.1 เพ่อื เป็นการเผยแพร่อดุ มการณ์ของกาชาดและยุวกาชาด 4.2 เพอ่ื ใหเ้ ยาวชนมีความรู้ความเข้าใจในเรื่องการกาชาดและยวุ กาชาด ตระหนักถงึ หน้าท่คี วาม รบั ผดิ ชอบที่จะช่วยเหลือสังคมและสว่ นรวม 4.3 เพอ่ื เป็นการเสรมิ สร้างความศรทั ธาและเจตคติทด่ี ีต่อกิจการกาชาดและยุวกาชาด 1.3. เปา้ หมาย เชิงปรมิ าณ - นกั ศกึ ษา กศน.อำเภอปง ภาคเรียนที่ 1/2562 จำนวน 60 คน - คณะครู กศน.อำเภอปง จำนวน 28 คน เชิงคณุ ภาพ นักศึกษาการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน มีความจงรักภักดี ในสถาบันพระมหากษัตริย์ มีความรู้ความ เข้าใจท่ีถูกต้องในอุดมการณ์ของกาชาดและยุวกาชาด สามารถนำความรู้และประสบการณ์ที่ได้รับไป ประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวนั ให้เกิดประโยชน์ต่อตนเอง ครอบครวั สังคม และดำรงชีวิตในสังคมร่วมกับผู้อื่นได้ อยา่ งมีความสขุ 1.4. ระยะเวลา วนั ที่ 9 - 12 กรกฎาคม 2562

4 บทที่ 2 เอกสารที่เกีย่ วข้อง ประวัติกาชาดสากล ผู้ให้กำเนิดสภากาชาดสากล คือ นายอังรี ดูนังต์ (Henry Dunant) ชาวสวิตเซอร์แลนด์เขาเกิดเมื่อ วันท่ี 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2371 ณ กรุงเจนีวา ในครอบครัวขุนนางตระกูลสูง ดูนังต์เป็นนักท่องเท่ียวเขา เดินทางไปแสวงหาโชคลาภในทวีปแอฟริกาเหนือ 2 ครั้ง ในการเดินทางครัง้ ที่ 2 เขาผ่านไปทางภาคเหนือของ อิตาลี ทห่ี มบู่ ้านซอลเฟริโน (Solferino) ณ ท่นี ี้เองเขาไดเ้ ห็นการสูร้ บระหว่างทหารฝรงั่ เศส ซง่ึ เขามาช่วยอติ าลี รบกับออสเตรียเขาเห็นทหาร 40,000 จากจำนวน 400,000 คน บาดเจ็บล้มตายโดยไม่มีผู้ใดช่วยเหลือ ด้วย แรงบันดาลใจครั้งนี้ เขาจึงคิดท่ีจะสร้างองค์การอาสาสมัครเพื่อดูแลทหารบาดเจ็บในยามสงครามขึ้นจาก ความคิดของอังรี ดูนังต์ เมื่อวันท่ี 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2406 ได้มีการจัดตั้ง \"คณะกรรมการระหว่างประเทศ เพื่อบรรเทาทุกขท์ หารบาดเจ็บ\" (International Committee for the Relief of Wounded Combatants) ซ่ึงคณะกรรมการชุดน้ีได้รับการปรับปรุงให้เป็นสภากาชาดสากล (International Commitee of the Red Cross) และได้เจรญิ เปน็ ปกึ แผ่นเรอ่ื ยมาจนถงึ ปัจจบุ ัน ยุวกาชาด เกิดขึ้นจาก มติท่ีประชุมสหพันธ์สภากาชาดและสภาเส้ียววงเดือนแดงระหว่าง ประเทศ เม่ือค.ศ. 1919 (พ.ศ. 2462) โดยที่ประชุมได้มีขอ้ เสนอแนะวา่ “สภากาชาดทุกชาติควรจัดต้ังกาชาด สำหรับเด็ก เพ่ือฝึกอบรมเยาวชนให้รู้จกั การกินดี อยู่ดี รักษาสุขภาพอนามัย มีความเมตตาสงสารเพ่ือนมนุษย์ ด้วยกัน ไม่ว่าชาติ ศาสนาใด ๆ มีศรัทธาเสียสล ะ และบำเพ็ญประโยชน์แก่สังคม โดยจัดกิจกรรมและ ดำเนินการให้สอดคล้องกับระบบการศึกษาของแต่ละประเทศ” ในเวลาต่อมากาชาดสำหรับเด็กจึงได้ถกู จดั ต้ัง ขึ้นในหลายประเทศ เช่น บัลแกเรีย เชคโกสโลวาเกีย ฮังการี นิวซีแลนด์ โปแลนด์ ยูโกสลาเวีย ฝร่ังเศส ญี่ปุ่น โรมาเนีย และสวเี ดน เปน็ ต้น

5 สภากาชาดไทย สำหรบั ประเทศไทยในรัชสมัยพระบาทสมเดจ็ พระมงกุฎเกลา้ เจา้ อยู่หัว ทรงมพี ระบรมราชโองการ แตง่ ต้ัง จอมพลสมเดจ็ พระเจ้านอ้ งยาเธอ เจ้าฟา้ บรพิ ัตรสขุ ุมพันธ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต ใหด้ ำรง ตำแหน่งอปุ นายกสภากาชาดสยาม ในการนเี้ จา้ ฟ้าบริพัตรสขุ ุมพันธ์ กรมพระนครสวรรคว์ รพนิ ติ ไดท้ รงรบั หลกั การจากการประชมุ เม่ือพ.ศ. 2 4 6 2 ทเ่ี สนอแนะให้กาชาดประเทศตา่ ง ๆ จดั ตั้งกาชาดสำหรบั เดก็ ขึน้ วนั ที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2465 กจิ การ ยุวกาชาด จึงได้รับการก่อตั้งขนึ้ โดยใช้ชอ่ื ว่า“อนสุ ภากาชาด สยาม” รบั เด็กอายุ 7 - 18 ปี เข้าเปน็ สมาชิก ท้งั น้ี เจ้าฟ้าบรพิ ัตร สขุ ุมพนั ธ์ กรมพระนครสวรรคว์ รพิ นติ ได้ทรงมีพระนพิ นธ์เกี่ยวกับอนสุ ภากาชาดสยาม ดังน้ี “อนสุ ภากาชาด” ฝึกสอนเด็กซง่ึ เข้าเปน็ สมาชิกทั้งชายและหญิง 1. ใหร้ จู้ กั รกั ษาอนามยั ของตนเอง คือ รู้วธิ ปี ระพฤตใิ ห้เปน็ ทางบำรงุ กำลงั ร่างกายใหแ้ ข็งแรง สมบูรณ์ หลบหลกี ปอ้ งกนั โรคภัยไขเ้ จ็บทั้งหลาย 2. ได้มุ่งทำประโยชนใ์ หแ้ ก่ผูอ้ ่ืนต้งั แต่ผู้อยู่ในครัวเรือนเดยี วกัน ตลอดถงึ บุคคลภายนอกและ หมู่ คณะประชาชน ให้รูว้ ิธกี ารวา่ สิง่ ใดควรทำ และพึงทำอย่างไร เช่น ปรนนิบตั ิพยาบาล บิดามารดา ชว่ ยคนเจ็บ ปจั จุบนั ทันดว่ น ชว่ ยรกั ษาความสะอาด และปกป้องส่งิ ทจ่ี ะเปน็ เชื้อใหเ้ กิดโรค

6 3. ให้รู้หน้าท่ขี องพลเมือง อนั จะต้องชว่ ยกนั ทำการเพื่อประโยชนส์ ุขแก่ชมุ นมุ ชน 4. ใหร้ คู้ ิด รจู้ ักการในอันจะรวมแรงกันในหมู่คณะ ทำประโยชน์เกื้อกูล บรรเทาทุกข์แก่ผู้ทต่ี ก ทกุ ข์ได้ยาก อนาถาต้ังแตต่ ้น แตใ่ นพวกเดก็ ดว้ ยกนั ขึน้ ไป ซึ่งย่อมจะเป็นกำลงั ทำได้ยง่ิ กว่าจะทำแตล่ ำพังบุคคล 5. เพาะเปน็ นิสัยใหเ้ ป็นผมู้ ีจติ ใจกอปรดว้ ยเมตตากรณุ าแกเ่ พอื่ นมนษุ ย์ กตัญญู รูส้ นองคุณท่านผู้ มีบุญคุณมบี ดิ า มารดา เป็นต้น หลังจากได้มีการก่อต้ังกิจการอนุสภากาชาดสยามขึ้นในเดือนมกราคมแล้วน้ัน ต่อมาวันที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2465 ได้มีการเปิดหมู่อนุสภากาชาดสยามเป็นแห่งแรกข้ึน ณโรงเรียนราชินีโดยหม่อมเจ้า หญิงพิจิตรจิราภา เทวกุล พระอาจารย์ใหญ่ของโรงเรียนราชินี ทรงดำรงตำแหน่งนายกหมู่คนแรก และได้ทรง นิพนธ์บทเรียนเป็นบทละครเก่ียวกับการรักษาอนามัย การละเล่นเบ็ดเตล็ดซ่ึงแฝงคติธรรม ให้สมาชิกได้แสดง ในพิธีเข้าประจำหมู่และในงานกาชาด เช่น บทละครเร่ือง ยายกับหลาน ใครฆ่าเช้ือโรค ต้นไม้กาชาด นายพรานกบั นกเขา กินนรรำ เป็นต้น นอกจากนี้ในวันรุ่งข้ึน 30 มีนาคม 2465 หมู่ยุวกาชาดแห่งท่ี 2 ได้เปิด ดำเนินการข้นึ ณ โรงเรียนเบญจมราชาลยั ในพระบรมราชูปถมั ภ์ซงึ่ เปดิ ทำการสอนในหลักสูตรฝกึ หดั ครู จึงนับ ไดว้ ่าโรงเรียนเบญจมราชาลัยเป็นหมู่ยุวกาชาดแหง่ แรกในโรงเรียนสงั กดั สามัญศึกษา ทั้งนี้หมู่ยุวกาชาดทั้งสอง แห่งได้ร่วมกนั จดั ให้มีพธิ เี ข้าประจำหมเู่ ปน็ ครงั้ แรก ของการดำเนินงานอนสุ ภากาชาดสยาม การจดั ต้ังหมู่อนุสภากาชาดข้ึนในครง้ั นน้ั มีวัตถุประสงค์เพ่ือให้เป็นแบบอย่างแก่โรงเรยี นอ่ืน ๆ โดยการ จัดหลักสูตรและกิจกรรม เน้นการปลูกฝังเรื่องความเสียสละ การรู้จักบำเพ็ญประโยชน์แก่เพ่ือนมนุษย์ รู้จัก การรักษาอนามัยของตนเองและส่วนรวม และในปี 2465 นั้นไดเ้ ร่ิมมีการจดั พิมพ์วารสารยุวกาชาดข้ึน โดยเมื่อ เริ่มแรกนั้นใช้ช่ือว่า “อนุสภากาชาดอุปกรณ์” ต่อมาเปลี่ยนเป็น “หนังสือพิมพ์อนุกาชาด” “วารสาร อนกุ าชาด” และ “วารสารยุวกาชาด”ตั้งแต่ป2ี 521 จนถงึ ปัจจุบนั ในวันที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2515 สภากาชาดไทยได้อนุมัติให้จัดกิจกรรม อนุกาชาดนอกโรงเรียน แก่ เยาวชนอายุระหว่าง 13 - 25 ปี ท่ีไม่ได้ศึกษาอยู่ในสถานศึกษา แต่เนื่องจากขาดงบประมาณ จึงยังไม่ได้ ดำเนินการใด ๆ พ.ศ. 2521 เปลี่ยนช่ือ “อนุกาชาด” เป็น “ยุวกาชาด” และขยาย อายุสมาชิกจาก 7 - 18 ปี เปน็ 7 -25 ปี เพราะ ต้องการให้นักเรียน นักศึกษา ท่ีเรียนอยู่ในระดับอาชีวศึกษาและอุดมศึกษา ทั้งในสถานศึกษาและ นอกสถานศึกษา รวมถงึ เยาวชนทีด่ อ้ ยโอกาสทางการศึกษาได้เข้าร่วมเปน็ สมาชิก พ.ศ. 2522 กองยุวกาชาด ได้เร่ิมดำเนินงานยุวกาชาดนอกโรงเรียน ซึ่งชะลอการดำเนนิ การมาตัง้ แต่ ปี พ.ศ. 2515 โดยมุ่งสนับสนุนให้เยาวชนท่ีไม่มีโอกาสศึกษาในสถานศึกษา ได้มีโอกาสฝึกหลักการและ อุดมการณ์ของกาชาด ฝึกฝนวิชาชีพและวิชาการต่าง ๆที่จะเป็นต่อการดำรงชีวิต เพ่ือท่ีจะได้นำความรู้ไป พัฒนาตนเอง ครอบครัว ชุมชนและประเทศชาติต่อไป ในการนี้ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราช กุมารี อุปนายิกาผู้อำนวยการสภากาชาดไทย ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯพระราชทานผ้าผูกคอให้แก่ยุว กาชาดนอกโรงเรียนการ ดำเนินการน้ีส่งผลให้ยุวกาชาดนอกโรงเรียนขยายอย่างกว้างขวางออกไปสู่ ศูนย์ พัฒนาและสงเคราะห์ชาวเขาและกรมราชทัณฑ์ ปรับเปล่ียนตำแหน่ง หัวหน้ากองยุวกาชาด เป็น ผูอ้ ำนวยการกองยุวกาชาด

7 พ.ศ. 2537 กรมราชทัณฑ์ เห็นคุณค่าของกิจกรรมยุวกาชาด ท่ีสามารถส่งผลต่อการกล่อมเกลา จติ ใจของเยาวชนในเรือนจำและทัณฑสถาน ซ่ึงเป็นเยาวชนผู้ด้อยโอกาส ให้เขาเหล่านั้นเห็นคุณค่าของตนเอง ท่ีมีตอ่ สังคม มองเห็นความหวังของชวี ติ ที่จะกา้ วพ้นพนั ธนาการไปสูอ่ ิสระดว้ ยความม่นั คงทาง จติ ใจ และกลบั สู่ สังคมได้อย่างเช่ือม่ันว่า ตนเองจะสามารถเป็นคนดีของสังคมได้เฉกเช่นเยาวชนอื่น ๆ จึงเกิดการอบรมยุว กาชาดนอกโรงเรียนในทัณฑสถานข้ึน เป็นคร้ังแรก ณ ทัณฑสถานบำบัดพิเศษหญิงธัญบุรี จังหวัดปทุมธานี และจากการดำเนินการอบรมในคร้ังน้ัน กรมราชทัณฑ์ได้ขยายผลไปยังทัณฑสถานหญิงอีก 6 แห่งทั่วประเทศ จนกระท่ังในพ.ศ. 2542 กรมราชทณั ฑ์จึงได้ประกาศเปน็ นโยบายให้นำกิจกรรมยวุ กาชาดนอกโรงเรียนไปจัดให้ กบั เยาวชนชาย - หญงิ ในเรือนจำ และทัณฑสถานตา่ ง ๆ ทั่วประเทศจนกระท่ังปัจจบุ นั พ.ศ. 2539 กองยุวกาชาด ได้จัดให้มี โครงการอาสายุวกาชาดอุดมศึกษา ขึ้น โดยมุ่งหวังให้ระดมพลัง หนุ่มสาวในสถานศึกษาระดับอุดมศึกษา เข้าร่วมกิจกรรมเพื่อสังคมในรูปแบบ “อาสาสมัคร” ของ กองยุว กาชาด พ.ศ. 2540 เปลีย่ นชอ่ื กองยุวกาชาด สภากาชาดไทย เปน็ สำนกั งานยุวกาชาด สภากาชาดไทย พ.ศ. 2542 สมเด็จ พระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารีอุปนายิกาผู้อำนวยการสภากาชาดไทย ทรงพระ ราชทานปฎิญญาของสภากาชาดไทย ในการประชุมสภากาชาดและสภาเสี้ยววงเดือนแดงระหว่าง ประเทศ คร้ังที่ 27 ซึ่ง จัดข้ึนระหว่างวันที่ 31 ตุลาคม - 6 พฤศจิกายน 2542 ณ กรุงเจนีวา ประเทศ สวิตเซอร์แลนด์ ซ่ึงมีสาระสำคัญตอนหนึ่งเกี่ยวข้องกับการดำเนินงานของยุวกาชาด คือ “จะเผยแพร่กฎหมาย มนุษยธรรมระหว่างประเทศสู่สถาบันการศึกษา ทั้งของพลเรือนและทหาร” และ “จะเร่ิมโครงการในระดับ รากหญ้า โดยร่วมกับยุวกาชาดในการเผชิญกับปัญหาสำคัญ ๆ ที่คุกคามเยาวชนในปัจจุบัน โดยเฉพาะปัญหา ยาเสพติดและสุขภาพเจริญพันธุ์” ทำให้มีการปรับหลักสูตรยุวกาชาดเพื่อให้สอดคล้องกับปฎิญญาดังกล่าว และยดึ ถือเป็นส่วนหน่ึงของกจิ กรรมการเรียนการสอนของยวุ กาชาดจนถงึ ปจั จบุ ัน พ.ศ. 2546 รัฐบาลได้ปฏิรูประบบราชการ มีการยุบรวมหน่วยงานเพ่ือให้เกิดความชัดเจนในภารกิจ หน้าที่ ในการน้ี กรมพลศึกษาซึ่งดูแลกิจการยุวกาชาดมาตั้งแต่เร่ิมแรก ได้ถูกรวมกับกระทรวงการท่องเที่ยว และกีฬา และให้งานลูกเสือ ยุวกาชาด และสารวัตรนักเรียน ไปอยู่ในสังกัดของสำนักงานปลัดกระทรวง ศึกษาธิการ และยกระดับให้เป็น สำนักการลูกเสือ ยุวกาชาด และกิจการนักเรียน พร้อมกับย้ายที่ทำการจาก สนามศุภชลาศัย ไปยังกระทรวงศึกษาธิการ ส่วนสำนักงานยุวกาชาด สภากาชาดไทย ได้ย้ายกลับสู่ สภากาชาดไทยเม่ือเดือนกันยายน 2546 มีท่ีทำการ ณ ตึกจิรกิติ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2546 รองศาสตราจารย์ นายแพทย์พินิจ กุลละวณิชย์ ได้รับการแต่งตั้งเป็น ผู้อำนวยการสำนักงานยุวกาชาด สภากาชาดไทย นับเป็น ผู้อำนวยการคนแรกของสำนกั งานยุวกาชาดทเี่ ปน็ เจ้าหน้าทสี่ ังกัดสภากาชาดไทย ดังน้ันจะเห็นได้ว่านับแต่พ.ศ.2546 เป็นต้นมา กิจการยุวกาชาดอยู่ในความรับผิดชอบของ 2 หน่วยงานคือ สำนักงานยุวกาชาด สภากาชาดไทย และ สำนักการลูกเสือ ยุวกาชาด และกิจการนักเรียน สำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ โดยทั้ง 2 หน่วยงาน ยังคงประสานการดำเนินงานในส่วนท่ีเก่ยี วข้องอย่าง ใกล้ชดิ

8 พ.ศ. 2550 สภากาชาดไทยจงึ ออกข้อบังคับสภากาชาดไทย แกไ้ ขเพ่ิมเตมิ พุทธศักราช 2550 หมวดท่ี 9 ยุวกาชาด มีสาระสำคัญดังน้ี “วตั ถปุ ระสงคข์ องยุวกาชาด : เพือ่ ฝกึ อบรมใหเ้ ยาวชนชายและหญิง 1. มอี ดุ มคติในศานตสิ ุข มคี วามจงรักภกั ดีต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ 2. มีความรู้ ความชำนาญในการรักษาอนามยั ของตนเองและของผู้อ่ืน ตลอดจนการพัฒนาตนเอง ทางร่างกาย จติ ใจ คณุ ธรรม และธำรงไว้ซึ่งเอกลักษณ์ทางวฒั นธรรมของชาติ 3. มคี วามรู้ ความเข้าใจในหลกั การและอดุ มการณ์กาชาด มคี ณุ ธรรม จริยธรรม และมีจติ ใจเมตตา กรุณาต่อเพื่อนมนุษย์ 4. บำเพญ็ ตนให้เป็นประโยชนต์ อ่ ผูอ้ ืน่ ชุมชน สงั คม และประเทศชาติ 5. มจี ิตสำนกึ ในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิง่ แวดล้อม 6. มสี ัมพันธภาพและมิตรภาพทดี่ ตี ่อบุคคลทว่ั ไป “กจิ การยุวกาชาดอยูใ่ นความดูแลและกำกับทั่วไปของสภากาชาดไทย โดยมีกระทรวงศกึ ษาธิการเป็น หน่วยงานทใ่ี หค้ วามรว่ มมืออยา่ ง ใกล้ชิด และให้การสนบั สนนุ โดยการจดั หนว่ ยงานรองรับ” เยาวชนที่เปน็ ยุวกาชาด แบง่ ออกเปน็ 2 ประเภท ดังน้ี 1. สมาชิกยวุ กาชาด ไดแ้ ก่ เยาวชนอายุระหว่าง 7 ปี ถงึ 18 ปี ทีก่ ำลังศึกษาอยู่ในสถานศึกษา หรือ เยาวชนทกี่ ำลงั ศึกษาอยใู่ นระดบั ประถมศกึ ษาถึงมธั ยมศึกษาตอนปลาย และเลือกเรยี นยุวกาชาดตามหลักสูตร การเรียนการสอนยุวกาชาดของกระทรวง ศึกษาธิการ 2. อาสายวุ กาชาด ไดแ้ ก่ เยาวชนอายุระหว่าง 15 ปี ถึง 25 ปี หรือเยาวชนทีก่ ำลังศึกษาอย่ใู นระดับ มธั ยมศึกษาตอนปลายถึงระดับอดุ มศึกษาหรอื เทียบเท่า ทั้งในสถานศึกษาและนอกสถานศึกษา ซ่ึงมีความ สนใจสมคั รเปน็ อาสายุวกาชาด ไดผ้ า่ นการอบรมหลกั สตู รพ้ืนฐานยุวกาชาด และสงั กดั ชมรมอาสายวุ กาชาด สญั ลกั ษณข์ องยวุ กาชาด เป็นรปู กากบาทสีแดง บนพืน้ ขาวลอ้ มรอบด้วยวงกลมสนี ำ้ เงิน รปู กากบาทเป็นรูปส่เี หล่ียมจัตรุ สั 5 รูป ประกอบกัน วงกลมสีน้ำเงินมีความหนาของเส้นวงกลมเท่ากับครึง่ หน่ึงของรูปส่ีเหลี่ยมจัตุรัส ขอบวงกลมด้าน ในห่างจากเส้นขอบด้านบน ด้านลา่ ง และด้านข้างของกากบาท มีอัตราส่วนเท่ากับครึ่งหนึ่งของส่ีเหลี่ยมจัตุรัส เช่นกนั

9 เคร่ืองหมายกาชาด... สัญลักษณแ์ หง่ มนุษยธรรม สัญลกั ษณข์ องกาชาด คอื เครื่องหมาย กากบาทแดง และ เส้ยี ววงเดือนแดง มีจุดมงุ่ หมายของการใช้เครื่องหมาย 2 ประการ คอื การใช้สัญลักษณเ์ พ่ือการคมุ้ ครอง ค้มุ ครองบคุ คล เชน่ แพทย์ พยาบาล เจ้าหนา้ ที่อาสาสมัคร เชลยศกึ ผูบ้ าดเจ็บทงั้ ทหารและพลเรือน คุ้มครองอาคาร เช่น สถานที่ ทรัพยส์ นิ ยานพาหนะ ตลอดท้ังอุปกรณก์ ารแพทย์และอุปกรณใ์ นการ ช่วยเหลือผูป้ ระสบภัยจากสงคราม การใช้สญั ลักษณเ์ พ่ือการบ่งช้ี บ่งชถี้ ึงการช่วยเหลือบรรเทาทุกขเ์ มื่อเกิดภัยพบิ ตั ติ า่ งๆ ห้ามนำเครื่องหมายกาชาดไปใช้ หากมิไดร้ ับ อนญุ าตจากสภากาชาด หรอื องค์กรกาชาด และเสยี้ ววงเดือนแดงระหว่างประเทศ แตเ่ นื่องจากบางครงั้ สัญลักษณ์กาชาด และเสีย้ ววงเดอื นแดง อาจถูกมองว่าส่ือความหมายทางวฒั นธรรม ศาสนาหรอื การเมือง ซง่ึ เป็นอนั ตรายต่อ หนว่ ยบริการทางการแพทย์ของกองกำลงั ทหาร ตลอดจนบุคลากรที่ทำงานดา้ นมนุษยธรรม ในเดอื นธนั วาคม พ.ศ. 2548 กลุ่มองค์กรกาชาดฯ จึงมีการเสนอแนวคดิ ใหม้ ีการใชส้ ญั ลักษณ์เพ่ิมเติม คอื ครสิ ตลั แดง (Red Crystal) เพื่อเพ่มิ ความยืดหยนุ่ ในการใช้สญั ลักษณแ์ ละยตุ ิปัญหาการใชส้ ญั ลกั ษณ์ท่ี แตกตา่ งกันหลายรูปแบบ นอกเหนือไปจากสญั ลักษณ์กาชาด และเสีย้ ววงเดือนแดง ประวตั เิ ครือ่ งหมายกาชาด ค.ศ. 1859 นายองั รี ดูนงั ต์ ได้เหน็ เหตกุ ารณ์การสรู้ บท่ีเมืองซอลเฟอริโน ณ ท่ีน้นั มีทหารบาดเจบ็ จำนวนมากที่ถูกทอดทง้ิ ใหต้ ายโดยปราศจากการดูแลรักษาและ ร่างกายก็ถกู ปล่อยให้ ถกู โจรกรรมลกั ทรพั ยส์ ่งิ ของไป สาเหตหุ น่งึ ท่หี น่วยแพทย์ทหารไม่สามารถใหก้ ารช่วยเหลือได้กเ็ พราะไมม่ ี เครอื่ งหมายบนเคร่ืองแบบที่จะแสดงตนใหฝ้ า่ ยสู้รบเห็นไดโ้ ดยง่าย ค.ศ. 1863 ได้มีการประชุมนานาชาติที่นครเจนวี า เพ่ือหาหนทางแก้ไขจดุ อ่อนในการขาดประสิทธภิ าพของ บริการทางการแพทย์ของกองทัพ ในสนามรบ ที่ประชมุ ไดร้ ับรองใหใ้ ช้กาชาดบนพ้ืนขาวเป็นเครอ่ื งหมายพิเศษ อนั เดน่ ชัด สำหรบั สมคมบรรเทาทุกขท์ ีท่ ำหน้าท่ชี ว่ ยเหลอื ทหารบาดเจบ็ ซง่ึ ต่อมาคือสภากาชาดและสภาเสยี้ ว วงเดือนแดงประจำชาติต่างๆ ค.ศ. 1864 ไดม้ ีการรบั รองอนุสัญญาเจนวี าฉบบั เร่มิ แรก และมีการรบั รองกาชาดบนพ้ืนขาวอยา่ งเปน็ ทางการ ว่าเป็นเครื่องหมายพเิ ศษอนั เดน่ ชัดสำหรับหน่วยบรกิ ารทางการแพทยข์ องกองทพั ค.ศ. 1876 ในสงครามระหวา่ งรัสเซยี และตรุ กี ในคาบสมุทรบอลขา่ น จกั รวรรดิออตโตมานตกลงใจใช้ เคร่อื งหมายเสย้ี ววงเดอื นแดงบนพนื้ ขาวแทนเครื่อง หมายกาชาด ประเทศอยี ิปตด์ ำเนนิ รอยตาม ต่อมา เปอรเ์ ซยี ขอใช้รูปสงิ โตแดงกับดวงอาทิตย์บนพ้ืนขาว ประเทศเหล่าน้ีได้มีข้อสงวนไวใ้ นอนุสัญญาเจนวี า และ ต่อมาเคร่ืองหมายพิเศษเหล่านไี้ ดถ้ ูกนำมาเขยี นไวใ้ นอนุสญั ญา ปี คศ.1929

10 ค.ศ. 1949 ข้อ 38 ของอนุสัญญาเจนีวา ฉบับทีห่ นง่ึ ปี ค.ศ. 1949 ยืนยันใหเ้ ครื่องหมายกาชาด เสี้ยววงเดอื น แดง สงิ โตแดงกับดวงอาทิตย์บนพน้ื ขาวเป็นเครอ่ื งหมายคุ้มครองสำหรบั หน่วยบริการ ทางการแพทยท์ หาร และมใิ ห้เครอ่ื งหมายอนื่ ใดนอกเหนอื จากนี้ ค.ศ. 1980 สาธารณรฐั อิสลามอิหร่านตกลงใจให้ยกเลิกรูปสิงโตแดงกับดวงอาทิตยแ์ ละใหใ้ ชเ้ ส้ยี ววงเดือนแดง แทน ค.ศ. 1982 สหพนั ธ์สภากาชาดและสภาเสยี้ ววงเดอื นแดงระหวา่ งประเทศไดร้ ับกาชาดและเสีย้ ววงเดอื นแดง บนพื้นขาว เปน็ เคร่ืองหมายของสหพันธฯ์ องค์กรกาชาดและเส้ียววงเดือนแดงระหว่างประเทศ ประกอบด้วย 1. คณะกรรมการกาชาดระหว่างประเทศ (The International Committee of the Red Cross หรอื ICRC) 2. สหพนั ธ์สภากาชาดและสภาเส้ยี ววงเดือนแดง ระหว่างประเทศ (The International Federation of Red Cross and Red Crescent Societies) หรือ Federation 3. สภากาชาดประจำชาติ / สภาเสยี้ ววงเดือนแดง ประจำชาติ (The National Red Cross / Red Crescent Societies / Red Crystal

หลกั การกาชาด 11 1. มนุษยธรรม (Humanity) กาชาด เกดิ ขน้ึ มาจากความ ปรารถนาทจ่ี ะนำความชว่ ยเหลือ โดยมเิ ลอื กปฏบิ ตั มิ าส่ผู ้บู าด เจบ็ ใน สนามรบ กาชาดเพียรพยายามทั้งใน ฐานะระหวา่ งประเทศและใน ระดับชาตเิ พื่อป้องกัน และบรรเทา ความทกุ ข์ทรมานของมนุษย์ไมว่ า่ จะ พบได้ในทใ่ี ด ความมงุ่ ประสงค์ของ กาชาดได้แกก่ ารค้มุ ครองชวี ติ และ สขุ ภาพ และการประกนั ความ เคารพนับถอื ต่อมนุษยชน กาชาด ส่งเสริมความเข้าใจ มติ รภาพ ความ ร่วมมอื ระหวา่ งกัน และสนั ตภิ าพ ยงั่ ยนื ระหวา่ งประชากรท้ังมวล 2. ความไม่ลำเอยี ง (Impartiality) กาชาดไม่เลือกปฏิบัติในเรอื่ ง สัญชาติ เชอื้ ชาติ ความเชอื่ ถือทาง ศาสนา ช้นั วรรณะ หรอื ความ คิดเห็นทางการเมือง กาชาดเพียร พยายามอย่างเดยี วทจ่ี ะบรรเทา ความทุกขท์ รมาน โดยให้การปฏบิ ัติ เปน็ ลำดับแรกต่อกรณคี วามทุกข์ ยากท่เี ร่งดว่ นที่สุด 3. ความเป็นกลาง (Neutrality) เพ่อื ทจี่ ะได้รบั ความไว้วางใจสืบ ต่อไปจากทุกฝา่ ย กาชาดไม่อาจเข้า กบั ฝา่ ยหนึง่ ฝา่ ยใดในการสู้รบ หรือ เกยี่ วข้องไม่วา่ ในเวลาในการขัดแย้ง ซ่งึ มลี กั ษณะทางการเมือง เชอื้ ชาติ ศาสนา และลทั ธินยิ ม

12 4. ความเป็นอิสระ (Independence) กาชาดเป็นอสิ ระ สภากาชาดแม้จะ มีสว่ นชว่ ยเหลือในบริการด้าน มนุษยธรรมของรฐั บาลของตน และ อยูใ่ นบังคบั แห่งกฎหมายของ ประเทศตน จะต้องธำรงความเปน็ อสิ ระอยู่ต่อไป เพ่ือที่จะสามารถ ปฏบิ ตั ิตามหลักการกาชาดได้ทุก เวลา 5. บรกิ ารอาสาสมัคร (Voluntary Service) กาชาดเป็นองคก์ ารอาสาสมัครในการ บรรเทาทกุ ข์ โดยไม่มีความปรารถนา ผลประโยชนใ์ นประการใด ๆ 6. ความเป็นเอกภาพ (Unity) ในประเทศพึงมสี ภากาชาดได้เพียง แห่งเดยี ว สภากาชาดตอ้ งเปิดใหก้ บั คนทว่ั ไป สภากาชาดต้องปฏิบัตงิ าน ดา้ นมนุษยธรรมตลอดทวั่ ดนิ แดน ของตน 7. ความเปน็ สากล (Universality) กาชาดเปน็ สถาบันสากล ซ่งึ สภากาชาดทัง้ มวลสังกัดอย่ใู นฐานะ เท่าเทียมกัน และมสี ่วนความ รับผดิ ชอบและหนา้ ที่เท่าเทียมกันใน การช่วยเหลือซงึ่ กันและกนั

13 กฏหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ....IHL ความคิดของ อังรี ดูนังต์ นอกจากการริเร่ิมให้มีการก่อต้ังองค์กรกาชาดระหว่าง ประเทศและสภากาชาดประจำชาติแล้ว ความคิดของเขาอีกประการหน่ึงคือ การกำหนดข้อตกลง ร่วมกันระหว่างประเทศ เพื่อการปกป้องคุ้มครองชีวิตและศักด์ิศรีความเป็นมนุษย์ในยามสงคราม หรือการขัดกันทางอาวุธ ที่เรียกว่า \"กฏหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ\" (International Humanitarian Law) หรือ IHL ซึ่งมีต้นกำเนิดมาจาก อนุสัญญาเจนีวา 4 ฉบับ เพื่อการคุ้มครอง ทหารและพลเรือน ตลอดทั้ง พิธีสารเพิ่มเติม เพ่ือให้ครอบคลุมการช่วยเหลือผู้ประสบภัยจาก สงครามและความขดั แยง้ ทางอาวธุ มากยิง่ ขึน้ อนุสญั ญาเจนวี า อนสุ ัญญาเจนวี า เปน็ สาระสำคัญของ IHL ในการคุ้มครองและชว่ ยเหลือผู้ประสบภยั จากสงคราม และการขดั กันทางอาวุธ ผลการประชุมทางการทตู ระหว่างประเทศ เมือ่ ปี พ.ศ.2492 ได้มีการลงนามรับรองอนสุ ัญญา 4 ฉบบั คือ อนสุ ญั ญา ฉบับท่ี 1 วา่ ดว้ ยการคุม้ ครองและช่วยเหลือทหารบาดเจ็บ เจ็บปว่ ยในสงคราม อนสุ ัญญา ฉบบั ที่ 2 วา่ ด้วยการคมุ้ ครองและชว่ ยเหลอื ทหารบาดเจบ็ เจ็บป่วยในสงครามทางทะเล อนุสัญญา ฉบับท่ี 3 ว่าดว้ ยการกำหนดสถานภาพและการปฏบิ ตั ติ อ่ เชลยศึก อนุสัญญา ฉบับที่ 4 วา่ ด้วยการคมุ้ ครองและชว่ ยเหลอื พลเรือนในเขตพ้ืนที่ทม่ี ีการขัดกนั ทางอาวุธ พธิ สี ารเพิ่มเตมิ พธิ ีสารเพิ่มเติม (The Additional Protocols) คอื ข้อกฏหมาย IHL ท่ขี ยายความเพมิ่ เตมิ อนุสัญญาเจนีวา เพื่อให้มีประสิทธภิ าพในการปกป้องชวี ติ และศักดิ์ศรีของเพื่อนมนุษย์ โดยเฉพาะ กลุ่มพลเรือน ใหไ้ ดร้ บั การคุ้มครองมากยิ่งข้ึน จงึ มกี ารลงนามรบั รองพธิ ีสารเพิม่ เติม2 ฉบับ ในปี 1949 ไดแ้ ก่ พธิ สี ารเพม่ิ เติม ฉบับท่ี 1 การคุ้มครองพลเรอื นซง่ึ ได้รับผลกระทบจากการขัดกันทางอาวุธ ระหว่างประเทศ ครอบคลมุ ถงึ ทรพั ย์สนิ ของพลเรือน อปุ กรณร์ ักษาพยาบาล แพทย์ พยาบาล เจา้ หนา้ ท่บี รรเทาทุกข์และกำหนด วธิ ีการใชอ้ าวุธในการทำสงคราม พิธสี ารเพ่มิ เตมิ ฉบับที่ 2 การคุ้มครองพลเรอื นซึ่งได้รับผลกระทบจากการขดั แย้งที่มใิ ชร่ ะหวา่ งประเทศ เชน่ สงครามกลาง เมอื ง การขัดแขง้ ระหว่างฝา่ ยรัฐบาลและฝ่ายกบฏ และภายหลงั ในวันที่ 8 ธนั วาคม 2005 ได้ ปรับปรุงอนุสัญญาเพิ่มเติม ฉบบั ที่ 3 พธิ ีสารเพม่ิ เติม ฉบับที่ 3 ว่าดว้ ยการรบั รองสญั ลกั ษณ์ใหม่ คอื Red Crystal เป็นสัญลักษณ์ เพ่มิ เติมทมี่ ีความสำคัญเท่ากับเคร่ืองหมายกาชาด และเสี้ยววงเดอื นแดง เปน็ สัญลกั ษณ์ที่แสดง ความเป็นกลาง ไมจ่ ำกดั เชือ้ ชาติ ศาสนา ลทั ธิทางการเมอื ง ความร้เู ร่อื งยาเสพตดิ

14 1. ความหมายของยาเสพตดิ ยาเสพตดิ หมายถงึ สารใดก็ตามทีเ่ กดิ ขึน้ ตามธรรมชาติ หรือสารท่ีสังเคราะห์ข้ึน เม่อี นำเข้าส้รู า่ งกาย ไม่ว่าจะโดยวิธรี บั ประทาน ดม สบู ฉดี หรือดว้ ยวิธีการใด ๆ แล้ว ทำให้เกดิ ผลตอ่ ร่างกายและจิตใจ นอกจากน้ี ยังจะทำให้เกิดการเสพตดิ ได้ หากใชส้ ารน้ันเปน็ ประจำทุกวัน หรือวันละหลาย ๆ ครงั้ ลักษณะสำคญั ของสารเสพตดิ จะทำใหเ้ กิดอาการ และอาการแสดงตอ่ ผ้เู สพดงั น้ี 1. เกดิ อาการดอ้ื ยา หรอื ตา้ นยา และเมือ่ ติดแล้ว ตอ้ งการใช้สารน้ันในประมาณมากขนึ้ 2. เกิดอาการขาดยา ถอนยา หรืออยากยา เม่ือใช้สารนัน้ เทา่ เดิม ลดลง หรอื หยดุ ใช้ 3. มคี วามตอ้ งการเสพทัง้ ทางร่างกายและจิตใจ อย่างรุนแรงตลอดเวลา 4. สุขภาพร่างกายทรดุ โทรมลง เกดิ โทษตอ่ ตนเอง ครอบครัว ผอู้ ืน่ ตลอดจนสังคม และ ประเทศชาติ 2. ประเภทของยาเสพตดิ ยาเสพติด แบ่งได้หลายรปู แบบ ตามลักษณะตา่ ง ๆ ดงั นี้ 1. แบ่งตามแหลง่ ท่เี กดิ ซ่งึ จะแบ่งออกเปน็ 2 ประเภท คอื 1.1 ยาเสพตดิ ธรรมชาติ (Natural Drugs) คือยาเสพติดท่ผี ลิตมาจากพชื เชน่ ฝน่ิ กระทอ่ ม กัญชา เป็นตน้ 1.2 ยาเสพตดิ สังเคราะห์ (Synthetic Drugs) คือยาเสพตดิ ทผี่ ลติ ขน้ึ ด้วยกรรมวิธีทางเคมี เช่น เฮโรอนี แอมเฟตามีน เป็นต้น 2. แบง่ ตามพระราชบัญญตั ิยาเสพตดิ ใหโ้ ทษ พ.ศ.2522 ซึง่ จะแบง่ ออกเปน็ 5 ประเภท คือ 2.1 ยาเสพตดิ ใหโ้ ทษ ประเภทท่ี 1 ได้แก่ เฮโรอีน แอลเอสดี แอมเฟตามนี หรือยาบา้ ยาอี หรือยาเลฟิ 2.2 ยาเสพติดให้โทษ ประเภทท่ี 2 ยาเสพติดประเภทนี้สามารถนำมาใช้เพ่ือประโยชน์ทาง การแพทย์ได้ แต่ตอ้ งใช้ภายใต้การควบคุมของแพทย์ และใช้เฉพาะกรณีท่จี ำเป็นเทา่ นั้น ไดแ้ ก่ ฝ่ิน มอรฟ์ นี โคเคน หรอื โคคาอีน โคเคอนี และเมทาโดน 2.3 ยาเสพตดิ ใหโ้ ทษ ประเภทที่ 3 ยาเสพติดประเภทนเ้ี ปน็ ยาเสพติดใหโ้ ทษทีม่ ียาเสพตดิ ประเภทท่ี 2 ผสมอยู่ดว้ ย มปี ระโยชนท์ างการแพทย์ การนำไปใชเ้ พื่อจดุ ประสงค์อืน่ หรือเพื่อเสพติด จะมี บทลงโทษกำกบั ไว้ ยาเสพติดประเภทน้ี ได้แก่ ยาแกไ้ อ ท่มี ตี ัวยาโคเคอีน ยาแก้ท้องเสีย ท่มี ีฝิน่ ผสมอยดู่ ว้ ย ยาฉดี ระงบั ปวดต่าง ๆ เชน่ มอร์ฟีน เพทดิ นี ซงึ่ สกดั มาจากฝิ่น 2.4 ยาเสพติดใหโ้ ทษ ประเภทท่ี 4 คอื สารเคมีที่ใชใ้ นการผลติ ยาเสพติดใหโ้ ทษ ประเภทท่ี 1 หรือประเภทท่ี 2 ยาเสพติดประเภทนี้ไมม่ กี ารนำมาใชป้ ระโยชน์ในการบำบดั โรคแต่อย่างใด และมี บทลงโทษกำกบั ไวด้ ้วย ได้แก่น้ำยาอะเซตคิ แอนไฮไดรย์ และ อะเซติลคลอไรด์ ซงึ่ ใช้ในการเปล่ียนมอรฟ์ ีน เปน็ เฮโรอนี สารคลอซูไดอเี ฟครีน สามารถใช้ในการผลิตยาบา้ ได้ และวตั ถุออกฤทธิต์ ่อจติ ประสาทอกี 12 ชนิด ทส่ี ามารถนำมาผลิตยาอีและยาบ้าได้ในยาเสพติดประเภทที่ 1 ถงึ 4 ไดแ้ ก่ ทกุ ส่วนของพืชกญั ชา ทกุ สว่ นของพชื กระท่อม เห็ดขี้ควาย เป็นตน้ 3. แบ่งตามการออกฤทธต์ิ ่อจติ ประสาท ซึง่ แบ่งออกเป็น 4 ประเภท คือ 3.1 ยาเสพตดิ ประเภทกดประสาท ได้แก่ ฝนิ่ มอรฟ์ นี เฮโรอนี สารระเหย และยา กล่อมประสาท

15 3.2 ยาเสพติดประเภทกระตนุ้ ประสาท ไดแ้ ก่ แอมเฟตามนี กระท่อม และ โคคาอนี 3.3 ยาเสพตดิ ประเภทหลอนประสาท ได้แก่ แอลเอสดี ดเี อ็มพี และ เห็ดขีค้ วาย 3.4 ยาเสพติดประเภทออกฤทธ์ิผสมผสาน กลา่ วคือ อาจกดกระตนุ้ หรือ หลอนประสาทได้ พรอ้ ม ๆ กัน ตวั อยา่ งเช่น กัญชา 4. แบง่ ตามองค์การอนามัยโลก ซงึ่ แบ่งออกได้เป็น 9 ประเภท คือ 4.1 ประเภทฝ่ิน หรือ มอรฟ์ ีน รวมทั้งยาทมี่ ฤี ทธิค์ ลา้ ยมอรฟ์ นี ได้แก่ ฝน่ิ มอรฟ์ ีน เฮโรอีน เพทดิ ีน 4.2 ประเภทยาปทิ เู รท รวมทงั้ ยาท่ีมฤี ทธ์ิทำนองเดยี วกัน ได้แก่ เซโคบารป์ ิตาล อะโมบาร์ ปิตาล พาราลดไี ฮด์ เมโปรบาเมท ไดอาซีแพม เปน็ ต้น 4.3 ประเภทแอลกอฮอล ไดแ้ ก่ เหลา้ เบียร์ วสิ ก้ี 4.4 ประเภทแอมเฟตามีน ได้แก่ แอมเฟตามีน เมทแอมเฟตามีน 4.5 ประเภทโคเคน ไดแ้ ก่ โคเคน ใบโคคา 4.6 ประเภทกญั ชา ได้แก่ ใบกญั ชา ยางกญั ชา 4.7 ประเภทใบกระท่อม 4.8 ประเภทหลอนประสาท ไดแ้ ก่ แอลเอสดี ดีเอน็ ที เมสตาลีน เมลัดมอนงิ่ กลอร่ี ตน้ ลำโพง เหด็ เมาบางชนดิ 4.9 ประเภทอนื่ ๆ นอกเหนือจาก 8 ประเภทข้างต้น ได้แก่ สารระเหยต่าง ๆ เช่น ทิน เนอร์ เบนซนิ นำ้ ยาล้างเล็บ ยาแกป้ วด และบุหรี่ 3. วธิ ีการเสพยาเสพติด กระทำได้หลายวธิ ี ดงั นค้ี ือ 3.1 สอดใตห้ นังตา 3.2 สูบ 3.3 ดม 3.4 รับประทานเข้าไป 3.5 อมไวใ้ ตล้ ้ิน 3.6 ฉีดเขา้ เหงือก 3.7 ฉีดเขา้ เสน้ เลอื ด 3.8 ฉีดเขา้ กลา้ มเนอื้ 3.9 เหนบ็ ทางทวารหนัก 4. ยาเสพติดท่ีแพรร่ ะบาดในประเทศไทย ไดแ้ ก่ 4.1 ยาบ้า 4.2 ยาอี ยาเลิฟ หรอื เอก็ ซ์ตาซี 4.3 ยาเค 4.4 โคเคน 4.5 เฮโรอนี 4.6 กัญชา 4.7 สารระเหย 4.8 แอลเอสดี

16 4.9 ฝ่นิ 4.10 มอรฟ์ ีน 4.11 กระทอ่ ม 4.12 เหด็ ขค้ี วาย 5. สาเหตขุ องการตดิ ยาเสพติด มหี ลายประการ ดังนี้คือ 5.1 อยากลอง อยากรู้ อยากเห็น อยากสัมผัส ซึง่ เปน็ สญั ชาตญาณอย่างหนึง่ ของมนุษย์ โดย คิดว่า \"ไม่ติด\" แต่เม่ือลองเสพเขา้ ไปแล้วมักจะติด 5.2 ถูกเพื่อนชกั ชวน ส่วนใหญพ่ บในกลมุ่ เยาวชน ทำตามเพื่อน เพราะต้องการ การยอมรับ จากเพื่อนฝูง หรือถูกชกั จูงว่าใชแ้ ลว้ ทำใหส้ มองปลอดโปร่ง หรอื ใช้แลว้ ทำใหข้ ยนั จึงเหมาะแก่การเรียน และ การทำงาน 5.3 ถกู หลอกลวง โดยอาศัยรปู แบบสสี นั สวยงาม ทำให้ผูร้ บั ไม่อาจทราบได้ว่า ส่ิงที่ตนไดร้ ับ เป็นยาเสพติด 5.4 ใช้เพื่อลดความเจบ็ ปวดทางกาย อนั เน่ืองมาจากโรคภัยไขเ้ จ็บ จนเกิดการตดิ ยา เพราะ ใชเ้ ปน็ ประจำ 5.5 เกดิ จากความคนอง และขาดสตยิ ง้ั คดิ ทง้ั ๆ ทร่ี ู้วา่ เปน็ ยาเสพติด แต่อยากแสดง ความ เกง่ กล้า อวดเพื่อน จึงชวนกันเสพจนตดิ 5.6 ภาวะส่งิ แวดลอ้ มรอบตัว เอ้อื อำนวยที่จะสง่ เสรมิ และผลักดนั ใหห้ ันเขา้ หายาเสพติด เชน่ ครอบครวั แตกแยก สมาชิกในครอบครัวขาดความเข้าใจซึง่ กนั และกัน ภาวะเศรษฐกิจบีบบงั คับให้ทำเพ่ือความ อย่รู อด อยากรวยเร็ว หรือพักอาศัยอยู่ ในแหล่งทีม่ ีการเสพและค้ายาเสพติด 6. โทษ/พษิ ภัย ของยาเสพติด การใช้ยาเสพตดิ มโี ทษและพิษภัยรอบตัว นอกจากจะส่งผลกระทบในทางไมด่ โี ดยตรงตอ่ ตัวผู้เสพ แล้ว ทง้ั ทางร่างกายและจติ ใจ ยงั สง่ ผลกระทบทางอ้อมไปยังครอบครวั ผเู้ สพ ตลอดจนเศรษฐกจิ สงั คม และ ประเทศชาติอกี ด้วย บทลงโทษเก่ียวกับยาเสพตดิ ให้โทษ - ผู้จำหน่ายหรอื มเี ฮโรอีนไวใ้ นครอบครอง นำ้ หนักไมเ่ กนิ 100 กรัม จำคุกต้งั แต่ 5 ปี ถงึ ตลอดชวี ติ และปรบั ตง้ั แต่ 50,000-500,000 บาท เกิน 100 กรัม ประหารชวี ติ หรอื จำคุกตลอดชีวิต - มเี ฮโรอนี ไวใ้ นครอบครอง โทษจำคุกตั้งแต่ 1-10 ปี และปรบั ต้งั แต่ 10,000-100,000 บาท - ผเู้ สพเฮโรอนี มีโทษจำคกุ ต้งั แต่ 6 เดอื น - 10 ปี และปรับตงั้ แต่ 5,000-100,000 บาท - มีกัญชาไวใ้ นครอบครองเพื่อจำหน่าย โทษจำคุกต้ังแต่ 2-15 ปี และปรับตั้งแต่ 20,000-150,000 บาท - ผใู้ ดเสพกญั ชา จำคุกไมเ่ กนิ 1 ปี และปรบั ไม่เกนิ 10,000 บาท - มกี ญั ชาไว้ในครอบครอง โทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี และปรบั ไม่เกิน 50,000 บาท - ผลติ (ปลูก) กญั ชา จำคุกอยา่ งต่ำ 2 ปี และปรับอย่างต่ำ 20,000-150,000บาท สารระเหย สารเสพติด ผดิ กฎหมาย 7. วิธสี งั เกตุอาการผู้ตดิ ยาเสพติด จะสังเกตว่าผูใ้ ดใชห้ รอื เสพยาเสพติด ใหส้ ังเกตจากอาการและการเปลี่ยนแปลงท้งั ทางรา่ งกาย และ จติ ใจดังต่อไปนี้ 7.1 การเปลยี่ นแปลงทางร่างกาย จะสงั เกตไดจ้ าก

17 7.1.1 สขุ ภาพรา่ งกายทรดุ โทรม ซูบผอม ไม่มแี รง อ่อนเพลีย 7.1.2 รมิ ฝปี ากเขียวคลำ้ แหง้ และแตก 7.1.3 รา่ งกายสกปรก เหง่ือออกมาก กล่นิ ตวั แรงเพราะไม่ชอบอาบน้ำ 7.1.4 ผวิ หนังหยาบกร้าน เป็นแผลพุพอง อาจมีหนองหรือน้ำเหลือง คล้ายโรคผิวหนัง 7.1.5 มีรอยกรีดด้วยของมีคม เปน็ รอยแผลเป็นปรากฏทบ่ี รเิ วณแขน และ/หรอื ทอ้ งแขน 7.1.6 ชอบใสเ่ ส้ือแขนยาว กางเกงขายาว และสวมแวน่ ตาดำเพื่อปิดบงั มา่ นตาท่ี ขยาย 7.2 การเปลย่ี นแปลงทางจิตใจ ความประพฤตแิ ละบุคลิกภาพ สงั เกตุไดจ้ าก 7.2.1 เปน็ คนเจา้ อารมย์ หงดุ หงิดงา่ ย เอาแต่ใจตนเอง ขาดเหตุผล 7.2.2 ขาดความรบั ผิดชอบต่อหน้าที่ 7.2.3 ขาดความเชือ่ ม่นั ในตนเอง 7.2.4 พดู จากรา้ วร้าว แมแ้ ต่บิดามารดา ครู อาจารย์ ของตนเอง 7.2.5 ชอบแยกตัวอยู่คนเดยี ว ไม่เขา้ หน้าผอู้ นื่ ทำตัวลกึ ลบั 7.2.6 ชอบเขา้ ห้องน้ำนาน ๆ 7.2.4 ใชเ้ งนิ เปลอื งผดิ ปกติ ทรัพย์สนิ ในบา้ นสูญหายบอ่ ย 7.2.5 พบอปุ กรณ์เกย่ี วกบั ยาเสพติด เช่น หลอดฉีดยา เขม็ ฉีดยา กระดาษตะกวั่ 7.2.6 มว่ั สมุ กบั คนที่มีพฤตกิ รรมเกีย่ วกับยาเสพตดิ 7.2.7 ไม่สนใจความเปน็ อยขู่ องตนเอง แตง่ กายสกปรก ไม่เรียบร้อย ไมค่ ่อยอาบน้ำ 7.2.8 ชอบออกนอกบา้ นเสมอ ๆ และกลับบ้านผิดเวลา 7.2.9 ไมช่ อบทำงาน เกยี จครา้ น ชอบนอนตืน่ สาย 7.2.10 มีอาการวติ กกงั วล เศรา้ ซึม สหี นา้ หมองคล้ำ 7.3 การสงั เกตอุ าการขาดยา ดงั ต่อไปนี้ 7.3.1 น้ำมูก นำ้ ตาไหล หาวบ่อย 7.3.2 กระสับกระส่าย กระวนกระวาย หายใจถ่ี ปวดทอ้ ง คลื่นไส้ อาเจียน เบอ่ื อาหาร นำ้ หนักลด อาจมีอุจาระเป็นเลือด 7.3.3 ขนลกุ เหง่อื ออกมากผดิ ปกติ 7.3.4 ปวดเมื่อยตามรา่ งกาย ปวดเสยี วในกระดูก 7.3.5 มา่ นตาขยายโตขนึ้ ตาพร่าไม่สแู้ ดด 7.3.6 มีอาการสน่ั ชัก เกร็ง ไขข้ นึ้ สูง ความดนั โลหิตสูง 7.3.7 เป็นตะคริว 7.3.8 นอนไมห่ ลับ 7.3.9 เพอ้ คลุม้ คลงั่ อาละวาด ควบคุมตนเองไม่ได้ 8. การตรวจพสิ จู นห์ าสารเสพตดิ ในรา่ งกาย การตรวจหาสารเสพตดิ ในร่างกาย แบ่งออกเป็น 2 ข้ันตอน 8.1 การตรวจขั้นต้น : ราคาถูก ได้ผลเรว็ มชี ดุ ตรวจสำเร็จรปู ความแม่นยำในการตรวจปาน กลาง สดวกในการนำไปตรวจนอกสถานท่ี 8.2 การตรวจขน้ั ยนื ยัน : เป็นการตรวจทีใ่ ห้ผลแม่นยำ แต่ใชเ้ วลาตรวจนาน ค่าใช้จ่ายสูง การปอ้ งกนั การติดยาเสพติด

18 1. ปอ้ งกนั ตนเอง ไม่ใช้ยาโดยมิไดร้ ับคำแนะนำจากแพทย์ และจงอย่าทดลองเสพยาเสพตดิ ทุกชนิดโดย เด็ดขาด เพราะติดงา่ ยหายยาก 2. ปอ้ งกนั ครอบครัว ควรสอดส่องดูแลเด็กและบุคคลในครอบครัวหรือที่อย่รู วมกัน อย่าให้เก่ยี วข้องกบั ยาเสพตดิ ต้องคอยอบรมสงั่ สอนใหร้ ถู้ งึ โทษและภัยของยา-เสพตดิ หากมีผเู้ สพยาเสพติดในครอบครัวจงจดั การ ให้เขา้ รักษาตัวทโ่ี รงพยาบาลให้หาย เดด็ ขาด การรักษาแต่แรกเริ่มติดยาเสพตดิ มโี อกาสหายได้เร็วกว่าทป่ี ล่อย ไว้นานๆ 3. ป้องกนั เพ่ือนบ้าน โดยช่วยช้ีแจงใหเ้ พือ่ นบา้ นเข้าใจถงึ โทษและภยั ของยาเสพติด โดยมิให้เพื่อนบา้ น ร้เู ท่าไม่ถึงการณต์ ้องถูกหลอกลวง และหากพบวา่ เพอ่ื นบ้านตดิ ยาเสพติด จงช่วยแนะนำใหไ้ ปรักษาตัวท่ี โรงพยาบาล 4. ป้องกันโดยให้ความร่วมมอื กับทางราชการ เมือ่ ทราบวา่ บา้ นใดตำบลใด มียาเสพติดแพรร่ ะบาดขอให้ แจ้งเจ้าหน้าท่ีตำรวจทุกแห่งทุกท้องทท่ี ราบ หรือท่ีศนู ย์ปราบปรามยาเสพตดิ ใหโ้ ทษ กรมตำรวจ (ศปส.ตร.) โทร. 252-7962 , 252-5932 และที่สำนักงานคณดะกรรมการปอ้ งกันและปราบปรามยาเสพตดิ (สำนักงาน ป.ป.ส.) สำนักนายกรฐั มนตรี โทร. 245-9350-9 สถานบำบดั 1. โรงพยาบาลตำรวจ แผนกจิตเวช กรุงเทพฯ โทร.2528111-7 2. โรงพยาบาลพระมงกฎุ เกล้า แผนกจติ เวช กรุงเทพฯ โทร.2461946 3. โรงพยาบาลธัญญารักษ์ อ.ธญั บุรี จ.ปทุมธานี โทร.5310080-8 4. โรงพยาบาลสมเด็จพระปิน่ เกล้า กรุงเทพฯ โทร.4681116-20 5. โรงพยาบาลทหารเรือกรุงเทพฯ โทร. 4112191 6. ศูนยบ์ รกิ ารสาธารณสขุ กรงุ เทพฯ ลุมพนิ ี ซอยปลุกจิตต์ ถ.วิทยุ โทร.2512970 7. ศนู ย์บรกิ ารสาธารณสุข กรุงเทพฯ ส่ีพระยา โทร.2364055 8. สำนักสงฆ์ถ้ำกระบอก จ.สระบรุ ี 9. สำนักสงฆถ์ ำ้ เขาทะลุ จ.ราชบรุ ี ยา ไอซ์(ice) น้อยคนนกั ที่จะได้สัมผสั ..เน่อื งดว้ ยราคาท่แี พง และต้องนำเขา้ จาก ต่างประเทศ มกั จะใช้กนั ในกลุม่ คนมเี งิน มีการศึกษา ในรูปแบบปารต์ ี้ยาตามสถานทีต่ ่างๆ ยา ไอซ(์ ice) หรอื เมทแอมเฟตตามีน(Metamphetamine) เปน็ อนพุ ันธห์ นงึ่ ของยาบ้า มโี ครงสร้างทางเคมีคลา้ ยๆ กัน ยา ไอซ(์ ice) มีลักษณะของเม็ดยาเปน็ ผลึกคล้ายนำ้ แข็งจึงเปน็ ทมี่ าของชื่อยา ไอซ์ ความบรสิ ุทธ์ิของยาค่อนขา้ งสูง ออกฤทธ์แิ รงกวา่ ยาบา้ มาก จงึ มคี นเรยี กว่า\"หวั ยาบ้า\" ยาบา้ (Amphetamine) เปน็ สารกระตนุ้ อย่างแรง ทีม่ ีผลตอ่ ระบบประสาทส่วนกลาง ซ่ึงมกี าร แสดงผลคล้ายสาร อะดรนี าลีน(adrenaline หรอื epinephrine) ซึ่งมีอยู่ในรา่ งกายแต่ให้ผลในการกระตุ้น ยาวนานกว่าสารอะดรนี าลินของร่างกายมาก แอมเฟตตามีน แมจ้ ะเป็นสารท่ีผดิ กฏหมาย แตก่ ็มีการใช้ทางการแพทย์ เน่ืองจาก เปน็ ยาท่ใี ช้รกั ษาอาการ hyperactivity(สมาธสิ ้นั ) ในเด็ก, โรคอว้ น และ Narcolepsy(เปน็ อาการ หลบั อย่างกะทนั หนั และก็มักจะหลับอย่างชนิดท่ฝี นื ลูกตาฝืนใจ), รวมถงึ ความผิดปกตเิ ก่ียวกับ การหลับ แอมเฟตตามีน สามารถรับประทาน สูดดม และฉีด ช่ืออ่นื ของแอมเฟตตามนี ได้แก่ speed, uppers, white crosses, dexies, bennies, black beauties,crystal and crank

19 อาการผดิ ปกติที่เกดิ จากการเสพยาบา้ (Amphetamine) ผูเ้ สพจะมีอาการพูดมาก อารมณ์ดี ครน้ื เครงกว่าปกติ นำ้ หนกั ตวั ลด มเี หง่ือออก มากกวา่ เดิม ไดย้ นิ และเหน็ ภาพหลอน นอนไม่หลบั ใจสนั่ คลืน่ ไส้ อาเจียน ท้องเสยี ตืน่ เต้น กระวนกระวาย มพี ฤติกรรมก้าวร้าวและทำลาย ควบคุมสติไมไ่ ด้ ในกรณีทเี่ สพเกนิ ขนาดอาจ มีอาการหัวใจเตน้ ผิดปกติ ความดันโลหติ สูง สับสน ชัก หรอื หมดสติได้ รปู พรรณของยาบ้าที่นำไปใชเ้ สพ ยาบ้าจะมีลกั ษณะเปน็ เมด็ หรือแคปซูลเหมือนยารักษาโรคทวั่ ไป ส่วนใหญจ่ ะเสพ โดยการกลนื เม็ดลงไปในกระเพาะอาหาร หรือเสพโดยการเผาไฟแลว้ สูบควันซง่ึ เปน็ วิธที ี่ได้รบั ความนิยมมากท่ีสดุ ใน หมู่นักเสพวัยรุ่นไทย ส่วนรปู แบบท่ีมีลักษณะเป็นผงละเอยี ดสีขาวจะเสพ โดยวิธีสดู ผงยาเข้าโพรงจมกู และรูปแบบท่เี ปน็ สารละลายใสบรรจใุ นหลอดแกว้ จะเสพโดยวธิ ฉี ดี เขา้ หลอด เลือดดำ ระยะเวลาการออกฤทธิ์ วิธีการสบู ควนั หรือไอระเหย ออกฤทธิท์ นั ที วิธีสดู ผงยาเข้าโพรงจมูก ออกฤทธภิ์ ายใน 3-5 วินาที วิธฉี ีดเขา้ หลอดเลือดดำ \" 15-30 วินาที วิธีกิน \" 30 นาที โดยสามารถออกฤทธิ์ได้อยา่ งยาวนาน 8-24 ชั่วโมง ดงั นัน้ การเสพซ้ำหลายๆ คร้ังใน 1 วัน จะส่งผลให้ปรมิ าณเมทแอมเฟตามีนในเลือดสงู ขนึ้ อาการประสาทหลอนและ คลุม้ คลง่ั จึงมักปรากฏใหเ้ หน็ ในหมู่ผู้เสพท่เี สพซ้ำวนั ละหลายคร้ังเปน็ ส่วนใหญ่ หวั ยาบา้ (Metamphetamine) เป็นรูปแบบหน่ึงของแอมเฟตตามีน ที่มีฤทธิรุนแรงทีส่ ุด ซ่ึงครั้งหนึ่งเคยใช้ อยา่ งกว้างขวางในหลายประเทศ ปจั จบุ นั เปน็ ยาที่หา้ มใชอ้ ยา่ งเด็ดขาด แม้ว่าจะทำไดง้ ่าย ในครัวเรอื น(homemade) จะมีลกั ษณะเป็นผงสีขาวละเอียด เป็น crystal หรอื chunks สขี องยาจะมีต้งั แต่ขาวถึงเหลอื ง เสพโดยการกนิ สดู ดม หรือ ฉดี เข้าเสน้ เมทแอมเฟตตามนี มชี ื่อเรียกอืน่ ๆ เชน่ crank, crystal, meth, speed, go-fast, go, crystalmeth, zip, chris, cristy, ice ความร้เู รอื่ งการบริหารจดั การขยะ ขยะมูลฝอย คืออะไร ขยะหรือขยะมูลฝอย (Refuse or Solid Waste ) หมายถึง ของเสียท่ีอยู่ในรูปของแข็ง ซึ่งอาจจะมี ความชื้นปะปนมาด้วยจำนวนหน่ึง ขยะท่ีเกิดข้ึนจากอาคารท่ีพักอาศัย สถานท่ีทำการโรงงานอุตสาหกรรม หรือตลาดสดก็ตามจะมีปริมาณและลักษณะแตกต่างกันออกไป โดยปกติแล้ววัตถุต่างๆ ท่ีถูกทิ้งมาในรูปของ ขยะนั้น จะมีทั้งอินทรีย์สารและอนินทรีย์สาร สารวัตถุต่างๆเหล่าน้ีบางชนิดก็สามารถย่อยสลายได้ด้วย จุลินทรยี ์ในเวลาอันรวดเรว็ โดยเฉพาะพวกเศษอาหารเศษพืชผัก แต่บางชนดิ ก็ไม่อาจจะย่อยสลายได้เลย เช่น พลาสตกิ เศษแก้ว เป็นตน้ ประเภทขยะมูลฝอย

20 1.ขยะอินทรีย์ คือ ขยะท่ีเน่าเสียและย่อยสลายได้เร็ว สามารถนำมาทำปุ๋ยหมักได้ เช่น เศษผัก เปลือกผลไม้ เศษอาหาร ใบไม้ เศษเนอื้ สัตว์ ฯ 2. ขยะรีไซเคิล คือ ของเสียบรรจุภัณฑ์หรือวัสดุเหลือใช้ ซึ่งสามารถนำกลับมาใช้ประโยชน์ใหม่ได้ เช่น แก้ว กระดาษ กระป๋องเคร่อื งดืม่ เศษพลาสตกิ เศษโลหะ อลมู เิ นียม ยางรถยนต์ กล่องเครอื่ งดม่ื แบบยูเอชที ฯ 3. ขยะท่ัวไป คือ ขยะประเภทอื่นนอกเหนือจากขยะย่อยสลาย ขยะรีไซเคิล และขยะอันตราย มีลักษณะ ยอ่ ยสลายยาก และไมค่ ้มุ คา่ สำหรับการนำกลับไปใชป้ ระโยชนใ์ หม่ เช่น หอ่ พลาสติกใส่ขนม ถุงพลาสติกบรรจุ ผงซักฟอก พลาสติกห่อลูกอม ซองบะหมี่ก่ึงสำเร็จรูป ถุงพลาสติกเป้ือนอาหาร โฟมเป้ือนอาหาร ฟอยล์ เป้ือนอาหาร ซองหรอื ถงุ พลาสตกิ สำหรับบรรจุเคร่อื งอปุ โภคด้วยวิธีรดี ความรอ้ น ฯ 4. ขยะอันตราย คือ ขยะท่ีอาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อสง่ิ แวดลอ้ ม หรืออาจทำใหเ้ กิดอันตรายต่อบุคคล สัตว์ พืช เช่น หลอดฟลูออเรสเซนต์ ถา่ นไฟฉาย แบตเตอรีโ่ ทรศพั ทเ์ คลื่อนที่ ภาชนะทใี่ ชบ้ รรจสุ ารกำจัดแมลง หรือวัชพืช กระป๋องสเปรยบ์ รรจุสีหรือสารเคมี ฯ แหล่งกำเนิดขยะมลู ฝอย แบง่ ตามแหลง่ กำเนดิ ได้ดงั น้ี 1. ของเสยี จากอุตสาหกรรมของเสยี อนั ตรายท่ัวประเทศไทย 73 % มาจากระบบอตุ สาหกรรมส่วน ใหญ่ยงั ไม่มกี ารจดั การท่ีเหมาะสมโดยทงิ้ กระจายอยู่ตามส่งิ แวดล้อมและทง้ิ ร่วมกับมลู ฝอย รฐั บาลได้ กอ่ ตง้ั

21 ศนู ย์กำจัดกากอุตสาหกรรมขึ้นแหง่ แรกที่แขวงแสมดำเขตบางขุนเทียน เร่มิ เปิดบรกิ ารตั้งแต่ 2531 ซ่ึงกเ็ พียง สามารถกำจดั ของเสยี ได้บางส่วน 2. ของเสยี จากโรงพยาบาลและสถานทีศ่ ึกษาวจิ ยั ของเสียจากโรงพยาบาลเปน็ ของเสียอันตรายอยา่ ง ยงิ่ เช่น ขยะติดเชอ้ื เศษอวัยวะจากผปู้ ว่ ย และการรักษาพยาบาล รวมท้ังของเสยี ท่ี ปนเปื้อนสารกัมมันตรงั สี สารเคมี ได้ทิง้ ส่สู ่ิงแวดล้อมโดยปะปนกบั มูลฝอยส่งิ ปฏิกลู เปน็ การเพ่ิมความเส่ียงใน การแพร่กระจายของเช้ือโรคและสารอันตราย 3. ของเสยี จากภาคเกษตรกรรม เช่น ยาฆ่าแมลง ป๋ยุ มูลสัตวน์ ้ำท้ิงจากการทำปศสุ ตั ว์ ฯลฯ 4. ของเสยี จากบา้ นเรือนแหล่งชมุ ชน เชน่ หลอดไฟ ถา่ นไฟฉาย แบตเตอร่ี แก้ว เศษอาหาร พลาสตกิ โลหะ หินไม้ กระเบือ้ ง หนัง ยาง ฯลฯ 5. ของเสยี จากสถานประกอบการในเมือง เชน่ ภตั ตาคาร ตลาดสด วดั สถานเรงิ รมย์ สาเหตุที่ทำใหเ้ กดิ ปัญหาขยะมลู ฝอย 1.ความมักง่ายและขาดความสำนกึ ถึงผลเสยี ทีจ่ ะเกิดขน้ึ เป็นสาเหตุทพี่ บบ่อยมาก ซงึ่ จะเหน็ ไดจ้ าก การท้งิ ขยะลงตามพ้ืน หรือแหล่งน้ำ โดยไม่ทิง้ ลงในถงั รองรับทีจ่ ัดไวใ้ หแ้ ละโรงงานอุตสาหกรรมบางแห่ง ลักลอบนำสง่ิ ปฏกิ ลู ไปท้งิ ตามที่วา่ งเปลา่ 2.การผลติ หรือใช้สิง่ ของมากเกนิ ความจำเปน็ เชน่ การผลิตสินคา้ ท่ีมีกระดาษหรือพลาสติกหมุ้ หลาย ช้ัน และการซื้อสินคา้ โดยห่อแยกหรอื ใสถ่ ุงพลาสติกหลายถุง ทำให้มีขยะปริมาณมาก 3.การเก็บและทำลายหรือนำขยะไปใช้ประโยชน์ไม่มีประสิทธิภาพ จึงมีขยะตกคา้ ง กองหมกั หมมและ ส่งกลน่ิ เหมน็ ไปทั่วบริเวณจนกอ่ ปัญหามลพิษใหก้ บั ส่งิ แวดลอ้ ม ปญั หาจากสภาพสง่ิ แวดล้อมขยะมลู ฝอย

22 ขยะมลู ฝอย กอ่ ใหเ้ กดิ ปัญหาสงิ่ แวดลอ้ ม เม่ือมขี ยะมูลฝอยจำนวนมาก แต่ชุมชนไม่สามารถเกบ็ ขน และกำจดั ขยะมลู ฝอยไดอ้ ย่างหมดจดหรอื จดั การขยะมูลฝอยอยา่ งไม่ถูกสุขลักษณะ ดังนั้นขยะมลู ฝอยจึงเป็น สาเหตุใหเ้ กิดปัญหาสิง่ แวดล้อม ดังนี้ คอื 1. อากาศเสยี เกดิ จากการเผาขยะมลู ฝอยกลางแจ้ง ก่อให้เกดิ ควนั และสารพิษทางอากาศทำให้ คณุ ภาพอากาศเส่อื มโทรม 2. นำ้ เสีย เกดิ จากกองขยะมลู ฝอยบนพื้น เม่ือฝนตกลงมาบนกองขยะมูลฝอยจะเกิดนำ้ เสีย มีความ สกปรกมาก ซ่ึงจะไหลลงสแู่ หล่งน้ำ ทำให้เกดิ ภาวะมลพิษของแหลง่ น้ำ 3. แหลง่ พาหะนำโรค เกิดจากการกองขยะมลู ฝอยบนพืน้ เป็นแหล่งเพาะพันธุข์ องหนู และแมลงวนั เป็นตน้ 4. เหตุรำคาญและความไม่นา่ ดู เกดิ จากการเกบ็ ขนขยะมูลฝอยไม่หมด รวมทง้ั การกองขยะมูลฝอยบน พ้นื ซึ่งจะสง่ กลนิ่ เหม็นรบกวนประชาชนและเกิดภาพไม่สวยงาม ไม่เปน็ สุนทรยี ภาพ การคัดแยกขยะและการรีไซเคิลขยะเพ่ือลดภาวะโลกร้อน ขยะ หรอื มูลฝอย หรือ ของเสีย เป็นเหตุสำคญั ประการหนึง่ ที่ก่อให้เกิดปญั หาสิ่งแวดล้อม และมีผล ตอ่ สุขภาพอนามัย มูลฝอยหรอื ของเสียกำลงั มีปรมิ าณเพมิ่ มากขึ้นทุกปี เพราะสาเหตุจากการเพมิ่ ของประชากร การขยายตัวทางเศรษฐกิจและทางอุตสาหกรรม นับเป็นปัญหาที่สำคัญของชุมชนซ่ึงต้องจัดการและแก้ไข ปริมาณกากของเสียและสารอันตราย ได้แก่ ขยะมูลฝอย ส่ิงปฏิกูล และสารพิษท่ีปนเปื้อนอยู่ในแหล่งน้ำ ดิน และอากาศ ตลอดจนบางสว่ นตกค้างอย่ใู นอาหาร ทำให้ประชาชนท่ัวไปเสยี่ งต่ออันตรายจากการเปน็ โรคต่างๆ เช่น โรคมะเร็ง และโรคผิดปกติทางพนั ธกุ รรม เป็นต้น ขยะ เป็นปัญหาใหญ่อันดับหนึ่งในสังคมปัจจุบนั กรุงเทพมหานครมีปรมิ าณขยะสูงถึง 8.5 พนั ตนั ต่อ วนั หากคิดเฉล่ียเป็นรายบุคคลแล้ว 1 คนจะกอ่ ใหเ้ กิดขยะในปรมิ าณ 0.8 - 1 กิโลกรัมต่อวัน จึงเป็นภาระหนัก ของ กทม. ในการกำจัดขยะเหล่าน้ัน ปริมาณขยะท่ีเกิดขึ้นมากมายนี่เองส่งผลให้มีขยะตกค้างเป็นจำนวนมาก ในแต่ละวันส่งผลกระทบต่อสงิ่ แวดลอ้ มและสภาพความเป็นอยู่ในสังคมมากมาย ได้แก่ - บา้ นเมืองสกปรกไมน่ ่ามอง เสียทัศนยี ภาพ ส่งกล่ินเหม็นรบกวน - เปน็ แหล่งเพราะพันธ์ุสตั วแ์ ละพาหนะนำโรคต่าง ๆ เชน่ หนู แมลงสาบ แมลงวัน ท้งั ยงั เป็นแหล่ง แพรเ่ ชือ้ โรคโดยตรง เช่น อหวิ าตกโรค อจุ จาระรว่ ง บดิ โรคผิวหนัง บาดทะยกั โรคทางเดินหายใจ เปน็ ต้น - ทำให้เกิดการปนเปื้อนของสารพษิ เช่น ตะกั่ว ปรอท ลงส่พู ้ืนดนิ และแหลง่ น้ำ - ทำให้แหลง่ น้ำเน่าเสยี - ทอ่ ระบายนำ้ อุดตนั อันเป็นสาเหตุของปัญหาน้ำทว่ ม - เป็นแหล่งกำเนิดมลพษิ ทางอากาศ เช่น ฝุน่ ละออง เขม่า ควัน จากการเผาขยะ และเกดิ ก๊าช มเี ทนจากการฝงั กลบขยะ - ขยะบางชนดิ ไมย่ ่อยสลาย และกำจดั ได้ยาก เช่น โฟม พลาสตกิ ทำให้ตกค้างสูส่ ่ิงแวดล้อม

23 โครงการรณรงค์ให้ประชาชนทุกคนร่วมกันคัดแยกขยะ จึงเกดิ ข้ึนเพอ่ื เป็นแนวทางในการลดปรมิ าณ ขยะทอี่ อกมาจากบา้ นเรือน สำนักงานและสถานทต่ี ่าง ๆ ในชมุ ชน สาเหตทุ ่ที ำใหเ้ กดิ ปญั หาขยะมลู ฝอย 1. ความมักงา่ ยและขาดความสำนึกถึงผลเสยี ทจี่ ะเกิดข้นึ เปน็ สาเหตทุ ่ีพบบ่อยมาก ซ่ึงจะเห็นไดจ้ าก การท้ิงขยะลงตามพื้น หรือแหล่งน้ำ โดยไม่ท้ิงลงในถังรองรับที่จัดไว้ให้ และโรงงานอุตสาหกรรมบางแห่ง ลักลอบนำส่ิงปฏิกูลไปท้งิ ตามทวี่ า่ งเปล่า 2. การผลิตหรือใช้ส่ิงของมากเกินความจำเป็น เช่น การผลิตสินค้าท่ีมีกระดาษหรือพลาสติกหุ้ม หลายชัน้ และการซ้อื สนิ ค้าโดยห่อแยกหรือใส่ถงุ พลาสตกิ หลายถุง ทำใหม้ ขี ยะปรมิ าณมาก 3. การเก็บและทำลาย หรือนำขยะไปใช้ประโยชน์ไม่มีประสิทธิภาพ จึงมีขยะตกค้าง กองหมักหมม และส่งกลิน่ เหม็นไปทัว่ บริเวณจนกอ่ ปญั หามลพิษใหก้ บั ส่ิงแวดล้อม ประเภทของขยะสามารถแบ่งออกเป็น 3 ประเภท คือ 1. ขยะเศษอาหาร พืช ผัก ผลไม้ หรือท่ีแต่เดิม กทม. เรียกว่า ขยะเปียก ได้แก่ เศษอาหาร พืช ผัก เปลอื ก ผลไม้ อนิ ทรียวัตถุท่ียอ่ ยสลายเน่าเปือ่ ยง่าย มีความช้ืนสงู และส่งกลนิ่ เหมน็ ได้รวดเร็ว 2. ขยะยังใช้ได้หรือเรียกว่าขยะรีไซเคิล หรือที่ แต่เดิม กทม. เรียกว่า ขยะแห้ง ได้แก่ พวก แก้ว กระดาษ โลหะ พลาสติก เศษผา้ ฯลฯ ซึ่งเราสามารถเลือกวสั ดุทย่ี ังมปี ระโยชนก์ ลับมาใช้ใหม่ไดอ้ กี 3. ขยะท่ีมีพิษภัยอันตรายซ่ึงเกิดจากบ้านเรือน กทม. ได้ตั้งถังสีเทาฝาสีส้ม ไว้สำหรับให้ประชาชน นำขยะทีพ่ ิษภัยอันตรายซึ่งเกิดจากบ้านเรือนมาท้ิง โดยตั้งไว้ตามสถานีบริการน้ำมัน และสถานที่อื่น ๆ ซ่ึงขยะ พวกนี้ ได้แก่ หลอดไฟ และหลอดฟลูออเรสเซนต์ท่ีเสียแล้ว แบตเตอรี่รถยนต์ และถ่านไฟฉายที่หมดอายุ กระป๋องยาฆ่าแมลง และยาปราบศัตรูพชื ภาชนะใส่แลกเกอร์ และทินเนอร์ ภาชนะใส่น้ำมันเคร่ือง และน้ำมัน เบรก น้ำยาทำความสะอาดสุขภัณฑ์ ยารักษาโรค ที่เสื่อมคุณภาพ ฯลฯ รวมท้ังได้จัดให้มีวันท้ิงของเหลือใช้ เพ่ือใหป้ ระชาชนนำขยะประเภทน้ีมาท้ิงจากน้นั กจ็ ะจ้างบริษัทเอกชนนำไปทำลายอย่างถูกหลักวชิ าการต่อไป วธิ ีการทส่ี ำคัญของขบวนการกำจัดขยะน้ี มีอยู่ 3 ส่วนคอื 1. การคัดแยกขยะ 2. การจัดเก็บขยะ 3. การกำจดั ขยะ

24 การรีไซเคิล \"รีไซเคลิ \" คือ การนำเอาของเสียท่ีผ่านการใช้แล้วกลับมาใชใ้ หม่ท่ีอาจเหมือนเดิม หรอื ไม่เหมือนเดิม ก็ได้ \"การรีไซเคิล\" เป็นหน่ึงในวิธีการลดขยะ ลดมลพิษให้กับสภาพแวดล้อม ลดการใช้พลังงานและลดการใช้ ทรัพยากรธรรมชาติของโลกไม่ให้ถูกนำมาใช้สิ้นเปลืองมากเกนิ ไปวสั ดุทสี่ ามารถรีไซเคลิ ได้ ไดแ้ ก่ กระดาษ แก้ว กระจก อลูมิเนียม และพลาสติก ประโยชนท์ ี่ไดจ้ ากการรีไซเคิล 1. ชว่ ยลดภาระในการกำจัดกากของเสียจากกระบวนการทางอตุ สาหกรรม 2. ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายได้อย่างน้อยครึ่งหนึ่งของค่าใช้จ่ายในการซื้อสารเคมีใหม่ เพราะสามารถ ใชผ้ ลติ ภัณฑ์รีไซเคิลทดแทนได้ 3. ช่วยรัฐประหยัดเงนิ ตรา เพราะเคมีภณั ฑส์ ่วนใหญ่ต้องนำเขา้ จากต่างประเทศ 4. ชว่ ยให้การจดั เก็บของเสียมรี ะเบยี บ จนสามารถสร้างวัฒนธรรมใหมใ่ ห้เกดิ ขน้ึ ในสงั คมไทย 5. ช่วยลดปัญหาในการจัดหาพ้ืนท่ีสำหรับการฝังกลบ และลดปริมาณมลพิษที่เกิดจากการเผาไหม้ กากของเสีย 6. ชว่ ยใหโ้ รงงานท่ีต้องการสรา้ งระบบการจดั การสิง่ แวดลอ้ ม ISO 14000 เปน็ ไปไดง้ า่ ยยิง่ ข้ึน 7. ชว่ ยให้เกิดความตระหนักในการใช้ทรัพยากรของโลกด้วยความประหยดั และคมุ้ ค่า ประเภทของวสั ดุ วัสดุหรือเศษวัสดุที่สามารถนำมาประดิษฐ์เป็นส่ิงของต่าง ๆ มีมากมาย อาจจะแบ่งเป็นประเภท ต่างๆ ดงั นี้ 1. กระดาษ เช่น กระดาษสี กระดาษย่น กระดาษห่อของขวัญ ถุงกระดาษ กระดาษภาพต่าง ๆ ปฏิทนิ กลอ่ งขนาดตา่ ง ๆ 2. ผ้าและอุปกรณ์เย็บปักถักร้อย เช่น ผ้าและเศษผ้า ลูกไม้ไหม ด้าย กระดุม ริบบิ้น หลอดด้าย ต่างๆ 3. ผลติ ภัณฑ์จากแกว้ และกระเบอื้ ง เช่น ขวดขนาดตา่ ง ๆ แกว้ จาน ชาม ถว้ ย แจกัน กระปกุ โถ 4. วสั ดแุ ละเศษวัสดอุ ื่น ๆ เชน่ ฝาขวด โฟม ฟาง เปลือกหอย กระปอ๋ ง เป็นต้น การเลือก การเลือกใช้วสั ดุหรือเศษวสั ดุมาประดิษฐ์ส่ิงของตา่ ง ๆ น้นั ควรคำนึงถึงสง่ิ ต่อไปนี้ 1. การประดิษฐว์ ัสดหุ รอื เศษวัสดุเป็นของเล่น จะตอ้ งเลือกวัสดุท่มี ีความปลอดภยั ไม่แหลมคม หรือ แตกงา่ ย มคี วามคงทนและขนาดพอเหมาะ เช่น กระดาษแข็ง กระปอ๋ งไม้ ไม้ หลอดได้ เป็นต้น 2. การประดิษฐ์วัสดุหรือเศษวัสดุเป็นของใช้ จะต้องเลอื กวัสดุที่คงทนตอ่ การใช้งาน ขนาดเหมาะสม เชน่ ไม้ ผา้ เป็นต้น 3. การประดิษฐ์วัสดุหรือเศษวัสดุเป็นของตกแต่ง จะต้องเลือกวัสดุสีสวยงาม สีสดใส ขนาด พอเหมาะกับงานทจี่ ะประดิษฐ์ เช่น กระดาษสี กระดาษย่น ฟาง เป็นตน้

25 ความร้เู รอ่ื งการป้องกันและบรรเทาสาธารณภยั กรมป้องกนั และบรรเทาสาธารณภยั ให้ความหมายของ สาธารณภัยไว้ว่า หมายถงึ ภัยหรอื อันตราย ที่ทำ ใหเ้ กดิ ความสญู เสยี ท้ังชวี ิต ทรัพยส์ ินและส่งิ อนื่ ๆ อย่างรุนแรง ประกอบดว้ ยลักษณะดังนี้ 1. ภยั ท่ีเกิดขนึ้ กับคนหมู่มาก 2. อาจเกิดขน้ึ ได้ทุกเวลาหรอื ทุกสถานที่อย่างกะทนั หนั หรอื คอ่ ย ๆ เกดิ ขน้ึ 3. เปน็ อันตรายต่อชวี ติ และรา่ งกายของประชาชน 4. เกดิ ความเสียหายแก่ทรัพย์สนิ ของประชาชนหรอื รฐั 5. เกิดความต้องการในส่ิงจำเป็นพ้นื ฐานอยา่ งรีบด่วนสำหรับผู้ประสบภยั สาธารณภัย แบง่ ตามลกั ษณะการเกิดหรือสาเหตุได้เป็น 2 ประเภท คือ สาธารณภัย ธรรมชาติ และสาธารณภยั จากมนษุ ย์ ได้แก่ 1.2.1 สาธารณภัยธรรมชาติ (Natural Disaster) เป็นสาธารณภยั ที่เกดิ ข้ึนเองตามธรรมชาติ มัก เกิดขึ้นตามฤดูกาลเป็นสว่ นใหญ่ แต่บางครง้ั อาจเกิดขึ้นโดยกะทันหนั ก่อใหเ้ กิดความเสยี หายแก่ชวี ติ รา่ งกาย จิตใจ ทรพั ย์สนิ และสิ่งแวดลอ้ มต่าง ๆ ซง่ึ ได้แก่ 1) อุทกภัย เปน็ ภัยอันเกดิ จากภาวะนำ้ ทว่ มจากพายุ ฝนตกหนกั พายุหมนุ การทำลายป่า การทรดุ ตัว ของดนิ ลักษณะอาจเปน็ นำ้ ท่วมเฉยี บพลนั หรอื แบบค่อยเป็นคอ่ ยไป 2) วาตภยั คอื ภยั ทีเ่ กดิ จากแรงลมและพายุ สามารถแบ่งลกั ษณะของวาตภยั ไดต้ ามความเร็ว ลม สถานท่ีทเ่ี กดิ วาตภัย เชน่ พายฟุ ้าคะนอง พายุดีเปรสช่นั พายุโซนร้อน พายุไตฝ้ ุ่น 3) อคั คภี ยั คือภัยทเ่ี กดิ จากเพลงิ ไหม้ เป็นภัยที่ก่อใหเ้ กิดความสญู เสยี ทง้ั ชีวติ และทรัพย์สนิ มีแนวโนม้ ในการเกดิ ขน้ึ บ่อยและสรา้ งความสญู เสยี มากขน้ึ ทกุ ปี 4) อากาศหนาวผิดปกติ เช่น ในภาคเหนอื และภาคตะวันออกเฉยี งเหนือของประเทศไทย ซง่ึ มภี ูมิ ประเทศเปน็ ทรี่ าบสงู ประกอบกบั ไดร้ ับอทิ ธิพลจากลมมรสุม ที่พัดพาความหนาวเยน็ จากจีน เขา้ สพู่ ื้นท่ี ดงั กลา่ ว ทำใหป้ ระชาชนท่ีอยู่บรเิ วณหุบเขา และเชงิ เขาไดร้ ับความหนาวเยน็ ซ่งึ พบวา่ ในบางปีของฤดูหนาว จะมีอุณหภูมติ ่ำมาก 5) ภัยแลง้ เป็นภัยที่ทำให้เกดิ ความอดอยาก ขาดแคลน เนื่องจากการขาดนำ้ ในประเทศไทยมกั เกดิ จากขาดฝน ความแหง้ แล้งของพืน้ ท่ีกอ่ ให้เกดิ ผลเสยี ในการผลติ ผลทางการเกษตร 6) แผน่ ดนิ ถลม่ ในประเทศไทยมกั พบแผน่ ดินถล่มเกิดขึ้นเน่ืองจากมฝี นตกหนักมาก เกิดจากดินบริเวณ ภูเขาอมุ้ นำ้ ไวจ้ นเกิดการอิ่มตัว และไม่สามารถอุ้มน้ำไว้ไดอ้ ีกจึงพังทลายลงมา ซึง่ ส่วนมากจะเกดิ พร้อมกับ อทุ กภัย 7) การระบาดของโรค เช่น อหวิ าตกโรค โรคฉี่หนู 8) ภัยจากฝงู สตั วแ์ ละแมลง 1.2.2 สาธารณภัยจากมนุษย์

26 เปน็ สาธารณภยั ที่เกิดจากการกระทำของมนุษย์ โดยอาจเกดิ จากสิ่งประดษิ ฐ์ของมนุษย์ ท่ีประดษิ ฐเ์ พ่อื ความสขุ สบาย หรือเพื่อประหัตประหารกนั เช่น 1) ภยั จากการจราจร ได้แก่ ทางอากาศ ทางบก ทางนำ้ ทางราง 2) ภยั จากการประกอบอาชีพ ทงั้ ภาคเกษตรกรรมและอตุ สาหกรรม เช่น อบุ ัตเิ หตุจากการใช้ เคร่ืองมือเครื่องจักร อุบัติเหตุจากความร้อน อบุ ตั เิ หตุจากการตกจากทส่ี ูง อุบตั เิ หตจุ ากความไม่เป็น ระเบยี บ เปน็ ตน้ 3) ภยั จากความไมส่ งบของประเทศ เช่น การจลาจล การปฏิวัติ การกอ่ วินาศกรรม การก่อการ รา้ ย สงคราม ซึง่ ผลที่ทำใหเ้ กดิ สาธารณภยั จากสงคราม จะรุนแรงหรอื ไม่ขน้ึ อยู่กบั ผลรา้ ยของอาวุธทีน่ ำมา ประหตั ประหารกัน เชน่ นวิ เคลียร์ เช้ือโรค หรอื สารเคมี เปน็ ตน้ 4) ภยั จากไฟฟ้า อัคคีภยั ทำให้เกิดการบาดเจบ็ สูญเสยี ชีวิตจากแผลไหม้ ความร้อน ควนั ไฟ การขาดอากาศ 5) ภยั จากวัตถุอนั ตราย ได้แก่ ภยั จากวัตถุอันตรายทีใ่ ช้ใน อุตสาหกรรม การเกษตร สาธารณสุข อุปโภคและบริโภค 6) ภยั จากความเจรญิ ทางเทคโนโลยี ความเจริญก้าวหน้าดงั กลา่ ว จะมคี วามเสีย่ งสูงมากข้นึ เม่อื เกิดสาธารณภยั เช่น เม่ือเกิดไฟไหม้ของอาคารสงู ระบบการเคลือ่ นย้ายยอ่ มชา้ และมีความยงุ่ ยากซับซ้อน กว่าอาคารปกติ รวมทง้ั เกดิ พิษจากสารเคมที ีใ่ ชก้ ับเฟอร์นเิ จอรข์ องอาคาร หรือแม้กระทงั่ เคร่ืองใช้ประจำ สำนักงาน เชน่ คอมพวิ เตอร์ น้ำยาลบคำผิด ฯลฯ การมีมาตรการความปลอดภัยทดี่ ี ก็อาจจะเปน็ ความเส่ยี ง เมื่อเกดิ สาธารณภยั เช่น ประตูท่ีใช้ระบบเปดิ ปดิ อัตโนมัติ หรอื ลิฟท์ท่ีขัดข้อง สรปุ ได้วา่ สาธารณภยั หมายถึง ภยั หรืออนั ตรายท่ีเกิดขึ้นกับคนหมู่มาก ในทุกเวลาหรอื ทุกสถานท่ี อาจ เกดิ ขนึ้ อยา่ งกะทันหนั หรือค่อย ๆ เกิดข้ึนก็ได้ มีทั้งภยั ที่เกดิ ข้นึ เองตามธรรมชาติ และเกิดขนึ้ จากมนุษย์ เมือ่ เกดิ ข้ึนแลว้ ทำใหเ้ กิดความสญู เสียท้งั ชวี ติ ทรพั ยส์ ิน และส่ิงอนื่ ๆ อยา่ งรุนแรง เกดิ ความต้องการในส่งิ จำเป็น พื้นฐานอย่างรบี ดว่ นสำหรบั ผปู้ ระสบภยั 1.3 ภัยพิบัติ (Disaster) หมายถึง อุบัติภัยขนาดใหญ่ อันจะทำให้เกิดการบาดเจ็บล้มตายและสูญเสียทรัพย์สินเป็นจำนวนมาก หรือเหตุการณ์ท่ีเกดิ ขึ้นโดยทันทีทันใด และมีผลทำให้เกิดความเสยี หายต่อทรัพย์สินและร่างกายหรือชีวิต เป็น ผลทำให้เกิดความสับสนวุ่นวายต่อบุคคล เกิดการเปล่ียนแปลงของสภาพแวดล้อม กระทบถึงความต้องการ อาหาร ท่ีอยอู่ าศัย เส้ือผา้ ยารกั ษาโรค นอกจากนย้ี ัง หมายถึง สาธารณภยั อันไดแ้ ก่ อัคคภี ัย วาตภัย อุทกภัย ภัยแล้ง ภาวะฝนแล้ง ฝนท้งิ ช่วง ฟ้าผ่า ภัยจากลูกเห็บ ภัยอันเกิดจากไฟป่า ภัยจากโรคหรือการระบาดของแมลงหรือศัตรูพืชทุกชนิด อากาศ หนาวจัดจนสตั ว์ต้องสูญเสียชวี ิต ภยั สงคราม และภัยอันเนือ่ งมาจากการกระทำของผกู้ ่อการร้าย ตลอดจนภัย

27 อืน่ ๆ อนั มมี าเป็นสาธารณะ ไม่ว่าเกิดจากธรรมชาตหิ รือมผี ้ทู ำใหเ้ กดิ ขึ้นซึง่ ก่อใหเ้ กิดอันตรายแก่ชวี ติ ร่างกาย ของประชาชน หรือความเสียหายแก่ทรัพยส์ นิ ของประชาชนหรือรัฐ หมายถึง ภัยที่เกิดจากภัยธรรมชาติ หรือการกระทำของมนุษย์ ซึ่งก่อให้เกิดอันตรายต่อชีวิต และสร้าง ความเสยี หายตอ่ ทรัพยส์ นิ เศรษฐกิจและสิง่ แวดล้อม จนเกนิ ความสามารถทชี่ มุ ชน จะรับมอื หรือจัดการเองได้ จากที่กล่าวมาแล้วสรุปได้ว่า ภัยพิบัติ หมายถึง อุบัติภัยขนาดใหญ่ ทำให้เกิดการบาดเจ็บล้ม ตายและสูญเสียทรพั ย์สนิ เป็นจำนวนมาก หรอื เหตุการณ์ที่เกดิ ข้นึ โดยทันทีทนั ใด ที่มีผลทำให้เกดิ ความเสียหาย ตอ่ ทรพั ยส์ ินและร่างกายหรอื ชีวิต ส่งผลให้เกิดความสับสนวุ่นวายต่อบุคคลหมู่มาก เกิดการเปล่ียนแปลงของ สภาพแวดล้อม กระทบถึงความตอ้ งการอาหาร ท่ีอยู่อาศัย เสอ้ื ผ้า ยารกั ษาโรคจนเกินความสามารถทชี่ มุ ชนจะ รับมือหรือจัดการเองได้ 1.4 สวัสดภิ าพ (Safety) “สวัสดิภาพ” หรอื “ความปลอดภยั ” มผี ู้ให้ความหมายไวด้ ังนี้ ความปลอดภัยหมายถงึ การท่รี า่ งกายปราศจากอุบตั ิเหตุใดๆ หรอื ทรพั ยส์ นิ ปราศจากความเสยี หายใด ๆ สวสั ดภิ าพ หรือความปลอดภัย หมายถงึ การปราศจากภยั และอนั ตรายที่มีโอกาสจะเกดิ ขนึ้ สวัสดิภาพ หมายถึง การปราศจากภยันตราย ปราศจากการบาดเจ็บ หรือตาย รวมทั้งสูญเสียทรัพย์สิน ของมีค่าหรือเสียเวลาไป ส่วนความปลอดภัย หมายถึง ร่างกาย ตลอดจนทรัพย์สินอยู่เป็นปกติสุขดี ไม่เกิด อบุ ัตเิ หตุ ปราศจากความเสียหาย สมาคมสุขศึกษา พลศึกษา และสันทนาการแห่งประเทศสหรัฐอเมริกาได้ให้ไว้คือ สวัสดิภาพ หมายถึง ปราศจากภยนั ตรายหรอื ปราศจากจากบาดเจบ็ หรอื การตาย ทรพั ยส์ นิ เสียหาย หรือทำใหเ้ สยี เวลาทม่ี คี า่ ไป สวัสดิภาพ หรือ ความปลอดภัย นัน้ ไม่เพียงแต่หมายถึงการไม่มีอุบัติเหตเุ กดิ ข้ึนเท่าน้ัน แต่สวสั ดิภาพยัง มคี วามหมายรวมทัง้ การดำรงชีวิตอยู่อยา่ งสขุ กาย สุขใจ ไมเ่ สี่ยงภัย มคี วามมนั่ ใจในการประกอบกิจกรรมตา่ งๆ และมกี ารเตรยี มป้องกันภยั ไว้ลว่ งหน้า อย่างถกู ต้อง เหมาะสม และสม่ำเสมออกี ด้วย จากความหมายที่ได้มีผู้ให้ไว้ข้างต้น พอสรุปได้ว่า สวัสดิภาพ หรือความปลอดภัย หมายถึงการไม่มี อุบัติเหตุเกิดขึ้น ตลอดจนการปราศจากโอกาสท่ีจะมีอุบัติเหตุเกิดขึ้น ทรัพย์สินปราศจากความเสียหาย หรือ เสียเวลาที่มคี ่าไป รวมทั้งการดำรงชีวติ อยู่อย่างปกติสุขดีทั้งกายและใจ ไมเ่ ส่ียงภัยมีความม่ันใจในการประกอบ กจิ กรรมต่างๆ และมีการเตรยี มป้องกันภัยไวล้ ่วงหนา้ อย่างถูกต้องเหมาะสมและสมำ่ เสมออีกดว้ ย 1.5 สวัสดศิ กึ ษา (Safety Education) มีผ้ใู ห้ความหมายของคำวา่ สวัสดศิ กึ ษา ดงั น้ี สวสั ดศิ ึกษา หมายถึง การศึกษาแขนงหน่ึงที่ศึกษาถึงเรอ่ื งความปลอดภัย ปอ้ งกันมิให้อบุ ัติเหตุเกิดขน้ึ แก่ ตนเองและบุคคลอืน่ และเพ่ือใหป้ รับตนเองในเรอ่ื งความปลอดภัย ได้ทุกสถานการณ์อกี ด้วย สวัสดศิ ึกษา หมายถงึ กระบวนการจัดการเรียนการสอน และประสบการณ์ ให้ผู้เรียนได้พัฒนาความรู้ มี ทัศนคติหรือจิตสำนึกของความปลอดภัย และรู้จักปฏิบัติตนให้พ้นภัย ทั้งน้ีเพื่อลดอัตราเสี่ยง ของการเกิด อบุ ตั เิ หตุให้นอ้ ยลงมากที่สดุ การสอนสวสั ดิศกึ ษา จึงเปน็ การให้บุคคลรูจ้ กั ป้องกนั ตนเองจากอบุ ัตเิ หตุ ป้องกนั ผู้อื่นจากอบุ ตั ิเหตุ และ ปลูกฝักจิตสำนึกของความปลอดภัย หรอื สวสั ดนิ ิสยั ใหเ้ กดิ ขนึ้ สวัสดิศึกษา หมายถึง การให้การศึกษาเรื่องการขจัดอันตรายและการป้องกันอุบัติเหตุอันจะก่อให้เกิด ความเสียหายต่อร่างกาย และทรัพย์สินท้ังของตนเองและบุคคลอื่นในทุกสภาวการณ์ อีกทั้งยังทำให้สามารถ ดำเนินชีวติ อยใู่ นสังคมไดด้ ้วยความปลอดภัย ปราศจากอบุ ัตเิ หตุ ก่อใหเ้ กิดสวัสดินิสัยข้ึน

28 สรปุ ไดว้ า่ สวสั ดศิ ึกษา เปน็ วชิ าท่วี า่ ด้วยการใหก้ ารศึกษาแกบ่ คุ คล ใหม้ ีความรู้มีทัศนคติหรอื จิตสำนึกของ ความปลอดภัย ปลกู ฝงั สวัสดินิสัยให้เกิดขึ้น โดยให้รู้ถึงสาเหตุของการเกดิ อุบัติเหตุวธิ กี ารป้องกันไม่ใหอ้ ุบตั ิเหตุ เกิดขึ้นแก่ตนเองหรือบุคคลอ่ืน รวมทั้งแนวทางปฏิบัติท่ีทำให้เกิดความปลอดภัย เพื่อให้สามารถปฏิบัติตนให้ พ้นภัยได้ในทุกสถานการณ์ ท้ังน้ีเพ่ือลดอัตราเสี่ยงของการเกิดอุบัติเหตุ ให้น้อยลงท่ีสุด อีกทั้งยงั ทำให้สามารถ ดำเนนิ ชวี ิตอยูใ่ นสงั คมได้ด้วยความปลอดภยั การป้องกนั อุบตั ิเหตุในบ้าน การป้องกันอุบตั ิเหตุในบ้านหรือท่ีพักอาศยั ไม่วา่ จะเปน็ ตึกแถว แฟลต อาคารชุดต่างๆ สิง่ สำคัญก็คือ การ ที่ทุกคนตระหนักถึงอันตราย ทราบสาเหตุของการเกิดอุบัติเหตุ และมีความปรารถนาความเต็มใจ ในการท่ีจะ ป้องกัน หรือความเสี่ยงของการเกิดอุบัติเหตุให้น้อยลง ซึ่งวิธีการป้องกันอุบัติเหตุในบ้าน อาจกระทำได้ ดงั ตอ่ ไปนี้ 1. การป้องกันในด้านบคุ คล 2. การปอ้ งกันในด้านสง่ิ แวดลอ้ ม การป้องกนั ในดา้ นบุคคล การป้องกันอบุ ัตเิ หตใุ นดา้ นบคุ คล สามารถกระทำได้ดงั น้ี 1. การศึกษาหาความรู้ เกยี่ วกบั อนั ตราย สาเหตุ และการป้องกันอบุ ตั ิเหตภุ ายในบ้าน 2. การรกั ษาสุขภาพให้ร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์ หากสภาพร่างกายบกพร่องก็ควรรีบแก้ไข เช่น สายตาส้ัน หูพกิ าร เปน็ ตน้ 3. การทำจิตใจให้เบิกบานอยู่เสมอ หากเจ็บป่วยหรือไม่สบายใจ ควรหยุดพักไม่ควรทำกิจกรรมใด ๆ ภายในบ้าน 4. การระมดั ระวงั ในการทำงาน มีสติ และทำงานด้วยความตั้งใจ จะชว่ ยป้องกันอบุ ัติเหตไุ ด้ 5. การฝึกอบรม หรือให้ความรู้ในการปฏิบัติ เพ่ือความปลอดภัยในบ้าน ได้แก่สมาชิกทุกคนในบ้าน โดยเฉพาะเดก็ ผู้สงู อายุ และคนพกิ าร การปอ้ งกันดา้ นสิ่งแวดลอ้ มการปอ้ งกันอุบัติเหตุในบา้ นในดา้ นสงิ่ แวดลอ้ ม สามารถกระทำได้ดังนี้ 1. การออกแบบบ้าน เครื่องใช้ภายในบ้าน และการก่อสร้าง ควรคำนึงถึงความปลอดภัย เป็นหลักสำคัญ บา้ นไมค่ วรสร้างตดิ ถนนใหญ่ ประตูทางเข้าไมค่ วรมีมมุ อับ หรอื มตี ้นไม้ใหญ่ใกล้ตัวอาคาร ควรออกแบบบ้านให้ ถูกต้องตามสุขลักษณะ การก่อสร้างจะต้องถูกต้องตามกฎเกณฑ์ทางด้านวิศวกรรม รวมทั้งใช้วัสดุก่อสร้างที่มี ความแข็งแรง คงทน สวยงาม และไม่เป็นเช้ือเพลงิ ไดง้ า่ ย 2. การออกกฎหมายท่ีเก่ียวข้องกับการป้องกันอุบัติเหตุภายในบ้าน เช่น กฎหมายเกี่ยวกับการออกแบบ บ้านท่ีถูกสุขลักษณะ และปลอดภัย กฎหมายเกี่ยวกับการก่อสร้างบ้าน กฎหมายเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้อยู่ อาศัยในบ้าน กฎหมายเก่ียวกับการผลิตอุปกรณ์เครื่องใช้ภายในบ้าน เพ่ือความปลอกภัย ฯลฯ ทั้งน้ีจะต้องให้ ประชาชนทุกคนปฏบิ ตั ิตามกำหมายอยา่ งเครง่ ครดั และมีบทลงโทษเมอ่ื กระทำผดิ กฎหมายดว้ ย 3. การจัดวางสิ่งของ เครอ่ื งใช้ต่างๆ ภายในบ้านให้เป็นระเบียบเรยี บร้อย แยกเป็นหมวดหมู่ และแยกเป็น สดั สว่ น โดยเฉพาะสารพิษ สารเคมหี รืออปุ กรณ์เครือ่ งใช้ท่แี หลมคมเปน็ อนั ตราย ควรใหพ้ น้ มือเดก็ 4. การดูแลบำรุงรักษาบ้าน บริเวณบ้านและสนามหญ้าให้สะอาดถูกสุขลักษณะ ไม่สกปกรกรุงรัง เป็น แหลง่ เพาะพันธ์เุ ชอ้ื โรคและทอี่ ย่อู าศัยของสัตว์ และไมเ่ ป็นหลุมบ่อ 5. การสำรวจความปลอดภัยที่บ้าน ควรจัดทำแบบสำรวจความปลอดภัยท่ีบ้าน เพื่อเป็นการตรวจ สภาพแวดล้อมภายในบ้าน บริเวณบ้าน ห้องตา่ งๆ และเครือ่ งมือเคร่ืองใช ห้ ากพบว่าอยู่ในสภาพท่ีไม่ปลอดภัย หรือมีการชำรุดทรดุ โทรม กจ็ ะได้แกไ้ ขหรอื ซอ่ มแซม เพ่ือป้องกันอันตรายทอ่ี าจเกดิ ขึ้น

29 ความรู้เร่ืองโภชนาการกบั สขุ ภาพ โภชนาการ หมายถึง อาหารท่ีเรารับประทานเข้าไป แล้วร่างกายนำเอาไปใช้ เพ่ือการทำหน้าที่อย่าง สม่ำเสมอของอวัยวะที่สำคัญ เช่น หัวใจ ปอด เป็นต้น นอกจากน้ียังนำไปใช้เพ่ือสร้างความเจริญเติบโตของ ร่างกาย การซ่อมแซมส่วนท่ีสึกหรอของร่างกาย เราสามารถแบ่งอาหารออกเป็นประเภท โดยอาศัยหลักทาง โภชนาการ ได้เป็นโปรตีน คาร์โบไฮเดรต ไขมัน วิตามิน เกลือแร่ และน้ำ ซึ่งมีส่วนสำคัญต่อการทำงานของ ร่างกายไม่ยง่ิ หยอ่ นไปกวา่ กนั โดยโปรตีน คาร์โบไฮเดรต และไขมัน เม่ือรบั ประทานเข้าไปร่างกายจะเผาผลาญ ทำให้เกิดพลังงานได้ ส่วนพวกวิตามิน เกลือแร่ และน้ำ จะเป็นองค์ประกอบท่ีมีความสำคัญในการทำให้วงจร การทำงานต่างๆ ของร่างกาย ดำเนินต่อไปได้เป็นปกติ ดังนั้นเราทุกคนถา้ หวังทีจ่ ะให้ร่างกายมีสุขภาพท่ีดี ควร จะต้องสนใจที่จะเรียนรู้ และปฏิบัติตามวิธกี ารรับประทานอาหารให้ถูกหลักโภชนาการ ไม่มใี ครมาชว่ ยท่านได้ ถา้ ทา่ นไม่ลงมือปฏิบัตเิ อง นอกจากน้ีควรรกั ษานำ้ หนักตัวให้อยใู่ นเกณฑป์ กติ ทุกคนควรชัง่ น้ำหนักตนเองอยา่ ง น้อยเดือนละครั้ง ถ้าผอมไปก็กินอาหารที่มีประโยชน์ น้ำหนักจะได้เพ่ิม ถ้าอ้วนไปก็กินให้น้อยลง ร่วมกับการ ออกกำลงั กายให้มากขึน้ ไมล่ ะเลยตนเองถงึ ข้นั เกดิ ภาวะแทรกซ้อนจากอ้วน หรือผอมแลว้ ความสำคัญของอาหารกับสุขภาพ 1. กิจกรรมของมนุษย์ในแต่ละวันจำเป็นต้องใช้พลังงาน และสารอาหารที่ร่างกายได้รับจากการรับประทาน อาหารในแต่ละมื้อ การรู้จักเลือกรับประทานอาหารให้เหมาะสมกับความต้องการของร่างกาย จะช่วยให้ รา่ งกายเจริญเติบโตอย่างเตม็ ท่ีสมบูรณ์ และมีสขุ ภาพรา่ งกายทแ่ี ข็งแรง 2. โภชนาการเป็นการศกึ ษาความสมั พันธร์ ะหว่างอาหารกบั กระบวนการต่างๆ ท่ีเก่ียวข้องกบั สุขภาพและการ เจริญเติบโตของส่ิงมีชีวิต หากสภาพร่างกายได้รับอาหารท่ีมีสารอาหารครบ และเพียงพอต่อความต้องการ ร่างกายสามารถนำสารอาหารเหล่าน้ันไปใช้ได้อย่างเต็มท่ี เรียกว่าภาวะโภชนาการท่ีดีแต่ถ้าร่างกายได้รับ สารอาหารท่ีไม่ครบถ้วน และไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย จะเรียกว่าภาวะโภชนาการที่ไม่ดี หรื อ ทพุ โภชนาการ 3. ภาวะโภชนาการต่ำ เป็นสภาวะของร่างกายที่ขาดอาหาร ได้รับสารอาหารต่ำกว่าท่ีร่างกายต้องการ หรือ รบั ประทานอาหารไม่ไดเ้ นื่องจากสาเหตตุ ่างๆ ทำให้เกิดโรคขาดสารอาหาร 4. ภาวะโภชนาการเกิน เป็นสภาวะของร่างกายทีไ่ ดอ้ าหาร และสารอาหารเกินความตอ้ งการของร่างกาย ทำ ให้เกิดการสะสมจนเกิดโทษแกร่ ่างกาย ผลทางรา่ งกายของภาวะโภชนาการ 1. ขนาดของร่างกาย ปจั จัยที่มีอิทธิพลต่อขนาดของรา่ งกาย ได้แก่ พันธุกรรม และส่งิ แวดล้อม พนั ธุกรรมเปน็ สิ่งทีไ่ ม่สามารถเปล่ียนแปลงได้ แตส่ ภาพแวดลอ้ ม เช่น การรบั ประทานอาหาร เราสามารถปรับปรงุ ได้ โดย เลอื กรบั ประทานอาหารให้เพียงพอ และเหมาะสมต่อความต้องการของร่างกาย ก็จะทำใหก้ ารเจรญิ เตบิ โตของ รา่ งกายเปน็ ปกติ 2. ภมู ิตา้ นทานโรค ผ้ทู ไี่ ด้รบั สารอาหารครบถว้ นตามความตอ้ งการของร่างกาย จะทำใหร้ ่างกายสามารถสรา้ ง ภูมิคมุ้ กนั โรคต่างๆได้ หรือหากไดร้ ับเชื้อโรค ก็สามารถฟนื้ ตัวไดเ้ ร็ว 3. ไม่แกก่ ่อนวยั และอายุยนื เม่ือรา่ งกายมีภมู ิคุ้มกันโรค ความเส่ยี งทีจ่ ะเสยี ชีวติ ก่อนวัยอันสมควรก็ลดน้อยลง การบรโิ ภคอาหารเพื่อสุขภาพ

30 1. รบั ประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ทุกวัน ไม่รับประทานอาหารที่ซ้ำซาก ควรรับประทานอาหารทีห่ ลากหลาย เพือ่ ใหไ้ ด้สารอาหารครบตามท่ตี อ้ งการ 2. รบั ประทานอาหารที่สะอาดและปลอดภัย เพื่อป้องกันการปนเป้ือนของส่ิงที่เป็นพิษที่มีอยู่ในอาหาร ท่ีอาจ กอ่ ใหเ้ กิดอนั ตรายต่อตวั ผู้บริโภค อาหารปนเปื้อนได้จากหลายสาเหตุ คือ จากเชื้อโรค และพยาธติ ่างๆ สารเคมี ท่ีเป็นพิษหรือสารปนเปื้อน หรือโลหะหนักที่เป็นอันตราย ท้ังนี้อาจเกิดจากกระบวนการผลิต ปรุง ประกอบ และจำหน่ายอาหารที่ไม่ถูกสุขลักษณะ หรอื สิ่งแวดล้อมท่ีไม่เหมาะสม เชน่ แผงลอยริมบาทวิถี การใช้สารปรุง แต่งอาหารไม่ได้มาตรฐาน การใช้สารเคมีในการถนอมอาหาร การใช้สารเคมีกำจดั ศัตรูพืชในปริมาณมาก เป็น ตน้ หลกั การในการเลอื กกินอาหารที่สะอาด ปราศจากการปนเปอ้ื น ควรเลอื กกนิ อาหารท่สี ด สะอาด ผลติ จาก แหล่งที่เช่ือถือได้ มีเครื่องหมายรับรองคุณภาพ มีกลิ่น รส และสีสันตามธรรมชาติ ในการปรุงอาหารใน ครัวเรือน ควรเลือกซื้ออาหารท่ีสด สะอาด มาปรุง ล้างทำความสะอาด ก่อนนำไปปรุงประกอบ ใช้ภาชนะ อุปกรณ์ที่สะอาดปลอดภัย ล้างเก็บถูกสุขลักษณะ มีพฤติกรรมบริโภคท่ีถูกสุขลักษณะ คือ ล้างมือก่อนบริโภค ใช้ช้อนกลาง การเลือกซื้ออาหารปรุงสำเร็จ อาหารถุง ควรเลือกซื้อจากร้านจำหน่ายอาหาร หรือแผงลอยท่ีถูก สุขลักษณะ ปรุงสุกใหม่ มีการปกปิดป้องกันแมลงวัน บรรจุในภาชนะทีสะอาดปลอดภัยมีการใช้อุปกรณ์หยิบ จับ หรือตักอาหารแทนการใชม้ ือ 3. รบั ประมานอาหารไขมนั พอเหมาะ เพ่ือป้องกนั การสะสมไขมนั มากเกนิ ไป 4. รับประทานอาหารท่มี เี ส้นใยอาหารอยา่ งสม่ำเสมอ เพ่ือช่วยระบบการขับถา่ ย และลดไขมันในเลอื ด ควรกิน ใยอาหารอย่างสมำ่ เสมอ ใยอาหารทำให้การขับถา่ ยอจุ จาระเปน็ ไปตามปกติ และปอ้ งกนั โรคหลายชนดิ ด้วย 5. ระมัดระวังการรับประทานอาหารท่ีมีสารก่อมะเร็ง เช่น อาหารประเภททอด ย่าง เผา หรืออาหารท่ีไหม้ เกรียม 6. ลดปริมาณ และระดับการรับประทานอาหรรสจัด เช่น หวานจัด เปร้ียวจัด เค็มจัด เผ็ดจัด เพราะจะทำให้ เกิดการระคายเคืองต่อเย่ือบุทางเดินอาหาร และอาจก่อโรค เช่น โรคอ้วน โรคเบาหวาน โรคไต โรคกระเพาะ เป็นต้น 7. หลกี เลยี่ งเครือ่ งดมื่ ที่มแี อลกอฮอล์ และน้ำอัดลม เพราะเส่ียงตอ่ การเป็นโรคต่างๆ เช่น โรคตับแข็ง โรคแผล ในกระเพาะอาหาร โรคมะเร็ง ฟันผุ โรคเบาหวาน เป็นต้น การดื่มเครื่องดื่มท่ีมีแอลกอฮอล์นำไปสู่การเกิด อุบัตเิ หตบุ นท้องถนนการเจ็บปว่ ยด้วยโรคตา่ งๆ เชน่ ความดันโลหิตสูง ตับแข็ง โรคกระเพาะ เป็นตน้ เคร่ืองดื่ม ที่มีแอลกอฮอล์ ไดแ้ กส่ รุ า เบียร์ ไวน์ บรั่นดี กระแช่ ฯลฯ จงึ ควรหลีกเลยี่ งเครอ่ื งดมื่ ดงั กล่าว ระวงั เร่ืองด่มื เหล้า แม้ว่าเหล้าท่ีกินจะถูกเผาผลาญให้กำลังงานได้ก็จริง แต่เราไม่จัดเหล้าเป็นสารอาหาร เพราะผลที่ได้ไม่คุ้มกับ อันตรายท่ีเหล้าคุกคามสุขภาพ คนติดเหล้ามักเป็นโรคขาดสารอาหารได้หลายชนิด เช่น โรคขาดโปรตีน และ แคลอรี โรคเหน็บชา เม่ือกนิ เหลา้ ไปนานๆ ตบั ถูกทำลาย ยงิ่ ทำให้การขาดสารอาหารรนุ แรงมากขึ้น กนิ อาหารใหค้ รบ 5 หมู่ 1. กินอาหารหลัก 5 หมู่ใหค้ รบ ได้แก่ อาหารพวกเนื้อสตั ว์ ไข่ นม และถ่วั เมลด็ แห้ง อาหารประเภทนจ้ี ะให้ โปรตีน ไขมัน วติ ามนิ และเกลอื แร่ อาหารพวกขา้ ว เผอื ก มนั และนำ้ ตาล ให้กำลังงาน และโปรตนี แต่ ปริมาณ และคุณภาพของโปรตนี ดอ้ ยกวา่ พวกเนื้อสัตว์ เฉพาะน้ำตาลให้แตก่ ำลังงานอยา่ งเดียวผกั และผลไม้ ใหว้ ติ ามนิ และเกลือแรห่ ลายชนิดตลอดจนใยอาหารด้วย ส่วนไขมนั เปน็ แหล่งอาหารท่ีใหก้ ำลังงานท่ีดี และ

31 นำ้ มันพชื บางชนดิ ให้กรดไลโนเลอกิ ด้วย ในแตล่ ะวันถ้ากนิ อาหารท้งั 5 หมู่ ใหค้ รบถว้ นโอกาสท่ีจะขาด สารอาหารย่อมเปน็ ไปไดย้ าก และไมต่ ้องไปหายาบำรุงมากินให้เสียเงนิ 2. กินอาหารแต่ละหมู่ใหห้ ลากหลาย เพือ่ ให้ร่างกายรบั สารอาหารตา่ งๆ ครบในปริมาณทเี่ พียงพอกับความ ตอ้ งการ ถา้ กนิ อาหารไมค่ รบทง้ั 5 หมู่ หรอื กินอาหารซ้ำซากเพยี งบางชนดิ ทกุ วันอาจทำให้ไดร้ บั สารอาหาร บางประเภทไมเ่ พยี งพอหรือมากเกินไป หมั่นดูแลน้ำหนักตัว น้ำหนักตัวเปน็ เครอื่ งบง่ ช้สี ำคญั ทบ่ี อกถึงภาวะ สุขภาพ แต่ละคนจะต้องมรน้ำหนักที่เหมาะสมตามวยั และได้สดั สว่ นกบั ความสงู ของตนเอง การรักษาน้ำหนัก ตัว การรักษาน้ำหนักตัวใหอ้ ยู่ในเกณฑ์โดยการกินอาหารให้เหมาะสมควบคูไ่ ปกับการออกกำลังการอย่าง สม่ำเสมอ ถ้าน้ำหนกั ต่ำกวา่ เกณฑป์ กติ หรือผอมไปจะทำร่างกายอ่อนแอ เจ็บป่วยง่าย ประสทิ ธภิ าพการเรยี น และการทำงานด้อยลงกวา่ ปกติ หากมีน้ำหนักมากกวา่ ปกติหรอื อว้ นไป จะมีการเสีย่ งสูงต่อการเกดิ โรคหวั ใจ เบาหวาน ความดนั โลหิตสูง และโรคมะเร็งบางชนดิ 3. ทุกคนควรชัง่ น้ำหนกั วัดส่วนสงู เดอื นละครั้ง เพ่ือประเมินวา่ อยใู่ นเกณฑ์ปกติหรอื ไม่ ในเดก็ ใช้คา่ น้ำหนัก ตามเกณฑ์อายุ หรอื ค่านำ้ หนักตามเกณฑ์ส่วนสงู เปรยี บเทยี บกับเกณฑม์ าตรฐาน ในผ้ใู หญ่ ใชด้ ัชนมี วลกายเปน็ เกณฑ์ ค่าระหว่าง 18.5-22.9 อยู่ในเกณฑป์ กติ คา่ ตำ่ กวา่ 18.5 ถือว่าผอม หรอื นำ้ หนักตำ่ กว่าเกณฑ์ คา่ อยู่ ระหว่าง 23-29.9 น้ำหนักเกินหรอื อว้ น ค่าตัง้ แต่ 30 ขนึ้ ไป ถอื วา่ เป็นโรคอ้วน บทที่ 3 วธิ กี ารดำเนนิ การ จำนวน 60 คน 3.1 กลุ่มเปา้ หมาย เป้าหมายเชิงปรมิ าณ นกั ศึกษา กศน.อำเภอปง ภาคเรยี นที่ 1/2562

32 บุคลากร กศน.อำเภอปง จำนวน 27 คน เป้าหมายเชิงคุณภาพ. นักศึกษาการศึกษาขั้นพื้นฐาน มีความจงรักภักดี ในสถาบันพระมหากษัตริย์ มีความรู้ความ เข้าใจ ที่ถูกต้องในอุดมการณ์ของกาชาดและยุวกาชาด สามารถนำความรู้และประสบการณ์ท่ีได้รับไป ประยุกต์ใช้ในชวี ิตประจำวันให้เกดิ ประโยชนต์ ่อตนเอง ครอบครัว สังคม และดำรงชีวิตในสังคมร่วมกับผู้อ่ืนได้ อย่างมีความสุข 3.2 ขั้นตอนดำเนินการ 1. ขน้ั วางแผน(Plan) - สำรวจกลุ่มเปา้ หมาย - วเิ คราะห์ขอ้ มูล 2. ขน้ั ดำเนินการ(Do) -ลงทะเบียน -จัดอบรม 3. ขั้นตรวจสอบ(Check) -นเิ ทศตดิ ตามผล -สรุปและรายงานผลการดำเนินงาน 4. ข้ันปรบั ปรุงแก้ไข(Action) -นำผลการสรปุ มาปรบั ปรุงแก้ไข 3.3 เคร่อื งมือทีใ่ ชใ้ นการประเมนิ เครือ่ งมอื ท่ีใช้ในการประเมนิ คร้ังนี้ คอื แบบสอบถามความพึงพอใจหลงั จากเสรจ็ ส้นิ โครงการ 3.4 การเก็บรวบรวมข้อมลู 1. ขอ้ มูลจากใบลงทะเบียนผเู้ ขา้ รว่ มโครงการคา่ ยอาสายุวกาชาด หลักสูตร พน้ื ฐานยุวกาชาด 2. ขอ้ มลู จากแบบสอบถามความพึงพอใจ โดยการแจกใหผ้ เู้ ขา้ ร่วมโครงการ จำนวน 61 ชุด 3.5 การวิเคราะห์ข้อมูล ผู้ประเมินได้ใช้วิธีการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณ และเชิงคุณภาพ ในเชิงปริมาณใช้สถิติพรรณนา ในการวเิ คราะห์ข้อมลู และใช้โปรแกรมทางคอมพิวเตอรใ์ นการประมวลผลขอ้ มูล บทที่ 4 ผลทเี่ กิดขึน้ ขอ้ มูลท่ัวไป

33 ตารางที่ 1 จำนวนรอ้ ยละของเพศ ผเู้ ขา้ รว่ มหลักสูตร ร้อยละ 61.76 เพศ จำนวน/คน 27.94 ชาย 42 100.00 หญิง 19 รวม 61 แผนภูมแิ สดงเพศของผูต้ อบแบบสอบถาม 31% 69% ชาย หญิง ตารางท่ี 2 จำนวนรอ้ ยละของอายผุ เู้ ข้าร่วมหลักสูตร

34 ชว่ งอายุ จำนวน/คน ร้อยละ 15 - 20 ปี 21 - 25 ปี 38 62.30 26 ปขี ึ้นไป 23 37.70 0 0.00 รวม 61 100.00 แผนภูมแิ สดงช่วงอายุของผู้เข้าร่วมหลกั สูตร 100 จำนวน/คน 90 รอ้ ยละ 80 70 21 - 25 ปี 26 ปีขนึ้ ไป รวม 60 50 40 30 20 10 0 15 - 20 ปี ตารางที่ 3 รอ้ ยละของระดับการศกึ ษาของผเู้ ขา้ รว่ มหลกั สูตร

35 ระดบั การศึกษา จำนวน/คน ร้อยละ ประถมศึกษา 3 4.41 ม.ตน้ 27 39.71 ม.ปลาย 31 45.59 รวม 61 100.00 แผนภูมิแสดงระดบั การศกึ ษาของผ้ตู อบแบบสอบถาม จำนวน/คน รอ้ ยละ 100.00 61 39.71 45.59 27 31 3 4.41 ม.ตน้ ม.ปลำย รวม ประถมศึกษำ ตารางท่ี 4 จำนวนร้อยละของความพึงพอใจต่อหลักสูตรของผตู้ อบแบบสอบถาม

36 ระดบั ความพึงพอใจ ที่ รายการ จำนวน มาก จำนวน มาก จำนวน ปาน จำนวน น้อย จำนวน นอ้ ย คน ที่สดุ คน คน กลาง คน คน ทีส่ ุด 1 ด้านหลักสูตร ท่านได้เสนอความตอ้ งการเขา้ ร่วมกจิ กรรมตามหลกั สตู ร 43 70.49 13 21.31 5 8.20 2 เนอื้ หาหลักสตู รมคี วามเหมาะสมและเป็นประโยชน์ต่อผูเ้ ข้าร่วม กิจกรรม รอบโลกกบั กาชาด และกฎหมายมนุษยธรรมระหวา่ งประเทศ 41 67.21 18 29.51 2 3.28 กาชาดไทยและยวุ กาชาด 48 78.69 12 19.67 1 1.64 บทบาทหนา้ ที่ของอาสายุวกาชาด 54 88.52 5 8.20 2 3.28 หมโู่ ลหติ 54 88.52 7 11.48 การดแู ลผสู้ งู อายุ 49 80.33 12 19.67 รกั การอา่ น 46 75.41 12 19.67 3 4.92 สขุ ภาวะ 52 85.25 9 14.75 โภชนาการ 51 83.61 10 16.39 ยาเสพติด 50 81.97 11 18.03 เศรษฐกิจพอเพยี งและสงิ่ แวดลอ้ ม 45 73.77 12 19.67 4 6.56 ประชาธิปไตย 50 81.97 9 14.75 2 3.28 อาสาสมัครยุวกาชาดนอกโรงเรียน 55 90.16 6 9.84 ประวัตศิ าสตร์ชาติไทย 52 85.25 9 14.75 การผายปอด 45 73.77 12 19.67 4 6.56 ช่วยคนสำลกั 45 73.77 12 19.67 4 6.56 ขา แขน หกั 48 78.69 11 18.03 2 3.28 หมดสติ 49 80.33 11 18.03 1 1.64 ดา้ นการจดั กระบวนการเรยี นรู้ 3 ส่อื /วสั ดุ อุปกรณป์ ระกอบกจิ กรรมการเรียนรู้เหมาะสม 52 85.25 9 14.75 4 สอื่ /วัสดุ อปุ กรณ์ ประกอบการเรยี นรมู้ เี พยี งพอกับความ 49 80.33 12 19.67 ตอ้ งการ 5 การใชแ้ หลง่ เรยี นร/ู้ ภมู ิปัญญาในทอ้ งถนิ่ ประกอบกจิ กรรมการ 48 78.69 13 21.31 2 3.28 เรียนรู้ 6 ด้านวิทยากร วิทยากรผสู้ อนมคี วามรู้ ความชำนาญและประสบการณต์ รง ตามหลกั สูตร รอบโลกกับกาชาด และกฎหมายมนษุ ยธรรมระหว่างประเทศ 42 68.85 16 26.23 3 4.92 กาชาดไทยและยวุ กาชาด 46 75.41 12 19.67 3 4.92 บทบาทหนา้ ทขี่ องอาสายุวกาชาด 52 85.25 7 11.48 2 3.28 การดแู ลผสู้ ูงอายุ 53 86.89 8 13.11 รักการอา่ น 49 80.33 10 16.39 2 3.28 สุขภาวะ 53 86.89 8 13.11 โภชนาการ 54 88.52 7 11.48 ยาเสพตดิ 52 85.25 10 16.39 เศรษฐกิจพอเพยี งและส่ิงแวดล้อม 49 80.33 10 16.39 2 3.28 ประชาธิปไตย 42 68.85 19 31.15 อาสาสมคั รยุวกาชาดนอกโรงเรยี น 53 86.89 8 13.11 ประวัติศาสตร์ชาติไทย 49 80.33 12 19.67 ระดบั ความพึงพอใจ ท่ี รายการ จำนวน มาก จำนวน มาก จำนวน ปาน จำนวน น้อย จำนวน น้อย คน ท่ีสดุ คน คน กลาง คน คน ทสี่ ดุ การปฐมพยาบาลเบอื้ งตน้ การผายปอด 43 70.49 14 22.95 4 6.56 50 81.97 11 18.03

37 ช่วยคนสำลกั 49 80.33 12 19.67 ขา แขน หกั 53 86.89 8 13.11 หมดสติ 49 80.33 12 19.67 7 ดา้ นคุณภาพของผรู้ ับบรกิ าร ทา่ นมีความรคู้ วามเข้าใจในเนอื้ หากิจกรรมเข้าค่ายครั้งน้ี รอบโลกกับกาชาด และกฎหมายมนุษยธรรมระหวา่ งประเทศ 41 67.21 18 29.51 2 3.28 กาชาดไทยและยวุ กาชาด 48 78.69 12 19.67 1 1.64 บทบาทหน้าท่ขี องอาสายุวกาชาด 51 83.61 10 16.39 หมู่โลหิต 47 77.05 14 22.95 การดแู ลผู้สงู อายุ 49 80.33 12 19.67 รกั การอ่าน 49 80.33 9 14.75 3 4.92 สุขภาวะ 51 83.61 10 16.39 โภชนาการ 49 80.33 12 19.67 ยาเสพติด 52 85.25 9 14.75 เศรษฐกิจพอเพยี งและสิง่ แวดล้อม 48 78.69 13 21.31 ประชาธิปไตย 49 80.33 12 19.67 อาสาสมคั รยุวกาชาดนอกโรงเรยี น 52 85.25 9 14.75 ประวตั ิศาสตร์ชาตไิ ทย 46 75.41 15 24.59 การผายปอด 48 78.69 11 18.03 2 3.28 ชว่ ยคนสำลกั 46 75.41 12 19.67 3 4.92 ขา แขน หกั 51 83.61 8 13.11 2 3.28 หมดสติ 47 77.05 12 19.67 2 3.28 8 ทา่ นสามารถนำความรู้ไปใชป้ ระโยชน์ดา้ นใด 1. พัฒนาตนเอง 49 80.33 12 19.67 2. ถา่ ยทอดแกค่ นในครอบครวั 52 85.25 9 14.75 3. ปรบั ใชใ้ นชวี ิตประจำวนั 58 95.08 3 4.92 4. ขยายผลในชมุ ชน 48 78.69 13 21.31 5. อ่นื ๆ ระบ.ุ ............................... 0000

ดา้ นหลกั สูตร แผนภูมิแสดงระดบั ความพงึ พอใจต เน้ือหาหลักสตู รมีความเหมาะสมและเป็นประโยชน์ต่อผเู้ ข้าร่วมกจิ กรรม 100 กาชาดไทยและยวุ กาชาด 90 หมโู่ ลหิต 80 70 รกั การอ่าน 60 โภชนาการ 50 เศรษฐกจิ พอเพียงและสง่ิ แวดล้อม 40 อาสาสมัครยุวกาชาดนอกโรงเรยี น 30 การผายปอด 20 ขา แขน หกั 10 ดา้ นการจดั กระบวนการเรยี นรู้0 ส่อื /วสั ดุ อุปกรณ์ ประกอบการเรียนรู้มเี พียงพอกบั ความตอ้ งการ ดา้ นวิทยากร1 2 345 6 รอบโลกกับกาชาด และกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ บทบาทหน้าท่ีของอาสายวุ กาชาด รักการอ่าน โภชนาการ

เศรษฐกจิ พอเพยี งและสิง่ แวดล้อม ตอ่ หลักสตู รของผตู้ อบแบบสอบถาม อาสาสมคั รยุวกาชาดนอกโรงเรยี น การปฐมพยาบาลเบือ้ งตน้ ชว่ ยคนสาลกั หมดสติ รอบโลกกับกาชาด และกฎหมายมนษุ ยธรรมระหว่างประเทศ บทบาทหน้าท่ีของอาสายุวกาชาด การดูแลผู้สงู อายุ สขุ ภาวะ ยาเสพติด ประชาธิปไตย ประวตั ศิ าสตร์ชาติไทย ช่วยคนสาลกั หมดสติ 1. พัฒนาตนเอง 3. ปรับใชใ้ นชีวติ ประจาวัน 5. อืน่ ๆ ระบุ................................ ระดบั ความพึงพอใจ จานวน คน ระดบั ความพึงพอใจ มาก ทสี่ ดุ 38 ระดบั ความพงึ พอใจ จานวน คน ระดับความพึงพอใจ มาก คน ระดบั ความพงึ พอใจ จานวน คน ระดับความพงึ พอใจ ปานกลาง คน ระดับความพงึ พอใจ จานวน คน ระดบั ความพงึ พอใจ น้อย คน ระดับความพึงพอใจ จานวน คน ระดับความพึงพอใจ น้อย ท่ีสุด 78

39 บทที่ 5 สรุป อภปิ รายและข้อเสนอแนะ ในการกิจกรรมโครงการค่ายอาสายุวกาชาด หลกั สูตร พื้นฐานยุวกาชาด มวี ัตถุประสงค์ 3 ประการ คือ 1 เพ่อื เปน็ การเผยแพร่อดุ มการณข์ องกาชาดและยวุ กาชาด 2 เพื่อใหเ้ ยาวชนมีความรู้ความเข้าใจในเรื่องการกาชาดและยุวกาชาด ตระหนักถึงหน้าที่ความ รบั ผดิ ชอบท่ีจะช่วยเหลือสังคมและสว่ นรวม 3 เพอื่ เปน็ การเสริมสร้างความศรัทธาและเจตคติท่ดี ีตอ่ กจิ การกาชาดและยวุ กาชาด สรปุ ลักษณะทัว่ ไปของกลุม่ เปา้ หมาย พบวา่ ส่วนมากเป็นเพศชายมีจำนวน 42 คน คดิ เปน็ รอ้ ยละ 61.76 อายุระหวา่ ง 15-20 ปี จำนวน 38 คน คดิ เปน็ ร้อยละ 62.30 ระดบั การศึกษาส่วนใหญ่เป็นระดบั มัธยมศกึ ษา- ตอนปลาย จำนวน 31 คน คิดเป็นรอ้ ยละ 45.59 ผลทีไ่ ด้จากการวิเคราะห์ความพงึ พอใจจากแบบสอบถามดังนี้ ท่านได้เสนอความต้องการเขา้ ร่วมกจิ กรรมตามหลกั สตู ร อย่ใู นระดบั มากทสี่ ุด ร้อยละ 70.49 ดา้ นหลักสตู ร เนือ้ หาหลักสตู รมีความเหมาะสมและเป็นประโยชน์ตอ่ ผูเ้ ข้าร่วมกจิ กรรม รอบโลกกับกาดชาด อยู่ในระดับมากทส่ี ุด รอ้ ยละ 67.21 กาชาดไทยและยุวกาชาด อยู่ในระดบั มากทีส่ ดุ ร้อยละ 78.69 บทบาทหน้าท่ขี องอาสายวุ กาชาด อยู่ในระดบั มากทสี่ ุด รอ้ ยละ 88.52 หมู่โลหติ อยใู่ นระดบั มากท่ีสุด ร้อยละ 88.52 การดูแลผสู้ งู อายุ อยู่ในระดบั มากทส่ี ดุ รอ้ ยละ 80.33 รักการอ่าน อยใู่ นระดับมากทส่ี ุด รอ้ ยละ 75.41 สุขภาวะ อยูใ่ นระดับมากที่สุด ร้อยละ 85.25 โภชนาการ อยู่ในระดบั มากที่สุด ร้อยละ 83.61 ยาเสพตดิ อยู่ในระดบั มากทส่ี ดุ รอ้ ยละ 81.97 เศรษฐกจิ พอเพียงและสิ่งแวดลอ้ ม อยใู่ นระดับมากทส่ี ุด รอ้ ยละ 73.77 ประชาธปิ ไตย อยใู่ นระดบั มากที่สุด ร้อยละ 81.97 อาสาสมคั รยวุ กาชาดนอกโรงเรยี น อยใู่ นระดับมากทส่ี ุด ร้อยละ 90.16 ประวตั ิศาสตรช์ าตไิ ทย อย่ใู นระดับมากที่สดุ ร้อยละ 85.25 การผายปอด อยูใ่ นระดับมากท่สี ุด ร้อยละ 73.77 การช่วยคนสำลกั อยใู่ นระดับมากที่สดุ รอ้ ยละ 73.77 ขา แขน หัก อยใู่ นระดบั มากที่สุด รอ้ ยละ 78.69 หมดสติ อยูใ่ นระดบั มากทส่ี ดุ รอ้ ยละ 80.33 ดา้ นการจัดกระบวนการเรยี นรู้ สอ่ื /วสั ดุ อปุ กรณป์ ระกอบกิจกรรมการเรยี นรเู้ หมาะสม อยู่ในระดับมากทส่ี ดุ รอ้ ยละ 85.25 สื่อ/วสั ดุ อุปกรณ์ ประกอบการเรยี นรูม้ เี พียงพอกบั ความต้องการ อย่ใู นระดับมากท่สี ุด ร้อยละ 80.33 การใชแ้ หลง่ เรียนร้/ู ภูมปิ ญั ญาในทอ้ งถ่ินประกอบกจิ กรรมการเรียนรู้ อยใู่ นระดบั มากท่สี ดุ รอ้ ยละ 78.69

40 ดา้ นวิทยากร วทิ ยากรผู้สอนมคี วามรู้ ความชำนาญและประสบการณต์ รงตามหลกั สูตร รอบโลกกับกาดชาด อยู่ในระดับมากทส่ี ดุ ร้อยละ 68.85 กาชาดไทยและยุวกาชาด อยใู่ นระดบั มากที่สุด รอ้ ยละ 75.41 บทบาทหนา้ ที่ของอาสายวุ กาชาด อยใู่ นระดบั มากที่สดุ ร้อยละ 85.25 การดแู ลผสู้ ูงอายุ อยใู่ นระดับมากทส่ี ดุ รอ้ ยละ 86.89 รักการอา่ น อยู่ในระดบั มากทส่ี ุด ร้อยละ 80.33 สขุ ภาวะ อยใู่ นระดบั มากท่ีสดุ ร้อยละ 86.89 โภชนาการ อยใู่ นระดบั มากที่สุด รอ้ ยละ 88.52 ยาเสพตดิ อยู่ในระดับมากที่สุด ร้อยละ 85.25 เศรษฐกจิ พอเพียงและสง่ิ แวดลอ้ ม อยู่ในระดับมากทส่ี ดุ ร้อยละ 80.33 ประชาธปิ ไตย อยใู่ นระดบั มากที่สุด ร้อยละ 68.85 อาสาสมัครยุวกาชาดนอกโรงเรียน อยู่ในระดับมากที่สดุ รอ้ ยละ 86.89 ประวัติศาสตร์ชาตไิ ทย อย่ใู นระดับมากที่สุด รอ้ ยละ 80.33 การปฐมพยาบาลเบอ้ื งตน้ อยใู่ นระดบั มากที่สดุ ร้อยละ 70.49 การผายปอด อยู่ในระดบั มากทส่ี ุด รอ้ ยละ 81.97 การช่วยคนสำลัก อยใู่ นระดบั มากที่สุด รอ้ ยละ 80.33 ขา แขน หกั อยใู่ นระดบั มากทส่ี ุด รอ้ ยละ 86.89 หมดสติ อยู่ในระดับมากทส่ี ุด ร้อยละ 80.33 ดา้ นคณุ ภาพของผู้รับบริการ ท่านมคี วามรคู้ วามเข้าใจในเน้อื หากิจกรรมเขา้ คา่ ยครัง้ นี้ รอบโลกกบั กาดชาด อยใู่ นระดบั มากที่สุด ร้อยละ 67.21 กาชาดไทยและยุวกาชาด อยู่ในระดับมากที่สดุ รอ้ ยละ 78.69 บทบาทหน้าท่ีของอาสายวุ กาชาด อยใู่ นระดบั มากทส่ี ดุ รอ้ ยละ 83.61 หมู่โลหิต อยู่ในระดับมากที่สุด รอ้ ยละ 77.05 การดูแลผสู้ ูงอายุ อยู่ในระดับมากทสี่ ดุ รอ้ ยละ 80.33 รกั การอ่าน อยใู่ นระดบั มากทส่ี ดุ ร้อยละ 80.33 สุขภาวะ อยใู่ นระดบั มากที่สุด ร้อยละ 83.61 โภชนาการ อยใู่ นระดับมากที่สุด ร้อยละ 80.33 ยาเสพตดิ อยใู่ นระดบั มากที่สดุ ร้อยละ 85.25 เศรษฐกิจพอเพียงและสิง่ แวดล้อม อยใู่ นระดบั มากที่สดุ รอ้ ยละ 78.69 ประชาธปิ ไตย อยใู่ นระดับมากที่สุด ร้อยละ 80.33 อาสาสมคั รยวุ กาชาดนอกโรงเรยี น อยู่ในระดับมากท่ีสุด ร้อยละ 85.25 ประวัตศิ าสตรช์ าติไทย อยู่ในระดับมากทส่ี ุด รอ้ ยละ 75.41 การผายปอด อยู่ในระดับมากทส่ี ุด ร้อยละ 78.69 การชว่ ยคนสำลกั อยู่ในระดับมากทีส่ ุด ร้อยละ 75.41 ขา แขน หกั อยใู่ นระดับมากทสี่ ดุ ร้อยละ 83.61 หมดสติ อยใู่ นระดบั มากที่สดุ ร้อยละ 77.05 ทา่ นสามารถนำความรู้ไปใช้ประโยชนด์ ้านใด อยู่ในระดับมากทส่ี ดุ รอ้ ยละ 80.33 1. พัฒนาตนเอง อยใู่ นระดบั มากที่สุด ร้อยละ 85.25 2. ถ่ายทอดแก่คนในครอบครวั อยใู่ นระดบั มากที่สดุ รอ้ ยละ 95.08 อยใู่ นระดบั มาก รอ้ ยละ 78.69 3. ปรับใชใ้ นชีวติ ประจำวัน 4. ขยายผลในชมุ ชน 5. อื่น ๆ ระบุ................................

41 อภิปรายผล ผเู้ ข้าร่วมโครงการ จำนวน 61 คน เกนิ ตามเป้าหมายท่ีวางไว้ จดุ เด่น ผเู้ ข้าร่วมโครงการสามารถนำไปปรับใชใ้ นชวี ติ ประจำวันได้ ขอ้ เสนอแนะ 1. ควรจดั กจิ กรรมเข้าค่ายอาสายุวกาชาดอย่างตอ่ เนื่อง 2. เพมิ่ กจิ กรรมให้หลากหลาย 3. ขยายเครอื ข่ายสมาชิกชมรมอาสายุวกาชาด

42 ภาคผนวก

43 กิจกรรมโครงการค่ายอาสายุวกาชาด หลักสตู รพื้นฐานยุวกาชาด ร่นุ ท่ี 4800/พย.43 ระหวา่ งวันที่ 9 ถงึ 12 เดือน กรกฎาคม พ.ศ. 2562 ณ ศนู ยก์ ารเรียชุมชนชาวไทยภเู ขา “แม่ฟา้ หลวง” บา้ นนำ้ คะ ตำบลผาชา้ งนอ้ ย อำเภอปง จังหวดั พะเยา

44

45

46

47

48