Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore หลักสูตรศถานศึกษา ม.ต้น กศน.อำเภอไชยปราการ

หลักสูตรศถานศึกษา ม.ต้น กศน.อำเภอไชยปราการ

Published by puilovely_99, 2023-08-10 13:25:15

Description: หลักสูตรศถานศึกษา ม.ต้น กศน.อำเภอไชยปราการ

Search

Read the Text Version

43 คําอธิบายรายวชิ าบังคบั สาระความรพู๎ นื้ ฐาน วิชาภาษาไทย มาตรฐานที่ รหสั รายวชิ า ระดบั มธั ยมศกึ ษาตอนตน๎ หนวํ ยกติ 2.1 พท21001 รายวชิ า 5 ภาษาไทย 5 รวม

44 คาํ อธบิ ายรายวิชา พท21001 ภาษาไทย จาํ นวน 4 หนํวยกติ ระดับมธั ยมศกึ ษาตอนตน๎ มาตรฐานท่ี 2.1 มคี วามร๎ู ความเข๎าใจ และทักษะพื้นฐานเกยี่ วกบั ภาษาและการสื่อสาร การฟงั การดู 1. สามารถสรุปความ จับประเด็นสําคัญของเร่ืองท่ฟี ังและดู 2. วเิ คราะห๑ แยกแยะข๎อเทจ็ จริง ข๎อคิดเห็นและจุดประสงค๑ของเรื่องท่ีฟังและดู 3. สามารถแสดงทรรศนะและความคิดเห็นตํอผูพ๎ ูดอยํางมีเหตุผล 4. มีมารยาทในการฟัง และดู การพดู 1. สามารถพูดนําเสนอความร๎ู แสดงความคิดเห็น สรา๎ งความเขา๎ ใจ โน๎มนา๎ วใจ ปฏเิ สธ เจรจาตํอรองด๎วยภาษากิริยาทําทางทส่ี ภุ าพ ในโอกาสตํางๆ ไดอ๎ ยํางเหมาะสม 2. มีมารยาทในการพูด การอาํ น 1. สามารถอาํ นได๎อยํางมปี ระสิทธิภาพ 2. จับใจความสําคัญ แยกข๎อเท็จจริงและข๎อคิดเหน็ จากเรื่อง ท่ีอาํ น 3. สามารถอาํ นหนังสือและสื่อสารสนเทศได๎อยาํ งกว๎างขวาง เพื่อพัฒนาตนเอง 4. มีมารยาทในการอํานและนิสัยรักการอําน การเขยี น 1. สามารถเลือกใชภ๎ าษาในการนําเสนอตามรูปแบบของงานเขียนประเภทตํางๆ ได๎อยําง สรา๎ งสรรค๑ 2. สามารถใช๎แผนภาพความคิด จัดลาํ ดับความคิด เพื่อพัฒนา งานเขียน 3. สามารถแตํงบทร๎อยกรองตามความสนใจได๎ถูกต๎องตามหลักไวยากรณ๑และลักษณะคํา ประพนั ธ๑ 4. สามารถเขียนสื่อสารเรื่องราวตํางๆ ได๎ 5. มีมารยาทในการเขียนและนิสยั รกั การเขียน หลกั การใชภ๎ าษา 1. ร๎ูและเข๎าใจชนิด และหนา๎ ที่ของคํา พยางค๑ วลี ประโยค และสามารถอําน เขยี นได๎ ถูกต๎อง ตามหลักเกณฑ๑ของภาษา 2. สามารถใชเ๎ คร่ืองหมายวรรคตอน อักษรยํอ คําราชาศัพท๑ 3. สามารถวิเคราะห๑ความแตกตาํ งระหวํางภาษาพูดและภาษาเขยี น 4. ร๎ูและเข๎าใจสํานวน สุภาษิต คาํ พงั เพยในการพูดและเขียน วรรณคดี วรรณกรรม 1. รู๎และเข๎าใจความแตกตํางของวรรณคดี วรรณกรรมปจั จบุ ันและวรรณกรรมท๎องถ่ิน ตลอดจนเห็นคุณคํา ศึกษาและฝึกทกั ษะเกีย่ วกบั เรอ่ื งดังตํอไปนี้

45 การฟงั การดู การสรุปความ จบั ประเด็นสําคัญของเรื่องท่ีฟัง ดู และมีมารยาทในการฟังและดู การพูด การพูดนําเสนอความรู๎ ความคิดเห็น โน๎มน๎าวใจ ปฏิเสธเจรจาตํอรอง และมารยาท ในการพูด การอาํ น การอํานออกเสียงและอํานในใจท้งั ร๎อยแก๎ว และร๎อยกรอง การแยกแยะข๎อเท็จจริง ข๎อคิดเห็น และจุดมํุงหมายของเร่ืองท่ีอําน ตลอดจนมารยาทในการอําน การเขยี น การใชแ๎ ผนภาพความคิด จดั ลําดับความคิดกํอนการเขียน การแตํงบทร๎อยกรองประเภท กลอนส่ี กลอนสุภาพ การเขยี นสื่อสารเร่ืองราวตํางๆ และการเขยี นรายงาน การค๎นคว๎า อ๎างอิง ตลอดจนมารยาทในการเขียน หลกั การใชภ๎ าษา ชนดิ และหน๎าท่ีของคํา พยางค๑ วลี ประโยค การใช๎เคร่ืองหมายวรรคตอน อักษรยํอ พจนานุกรม คําราชาศัพท๑ ความแตกตํางและความหมายของสาํ นวน สภุ าษิต คําพังเพย วรรณคดแี ละวรรณกรรม ความแตกตํางและคุณคําของวรรณคดี วรรณกรรมปัจจบุ ันและวรรณกรรมท๎องถิ่น การจดั ประสบการณก๑ ารเรียนรู๎ จัดประสบการณ๑หรือสถานการณ๑ในชวี ิตประจาํ วันให๎ผ๎ูเรียนได๎ศึกษา คน๎ ควา๎ โดยการฝกึ ปฏบิ ัติจรงิ เปน็ รายบุคคลหรือกระบวนการกลุํมเก่ียวกับทักษะการฟัง การดู การพูด การอําน การเขียน และหลักการใช๎ ภาษา การวดั และประเมนิ ผล การสังเกต การฝึกปฏบิ ตั ิ การทดสอบ (แบบทดสอบ) และการประเมินชิ้นงานในแตํละกจิ กรรม

46 รายละเอยี ดคาํ อธิบายรายวชิ า พท21001 ภาษาไทย จาํ นวน 4 หนวํ ยกติ ระดบั มธั ยมศกึ ษาตอนตน๎ มาตรฐานท่ี 2.1 มคี วามร๎ู ความเขา๎ ใจ และทักษะพื้นฐานเกย่ี วกับภาษาและการส่ือสาร ท่ี หวั เรอื่ ง ตวั ชวี้ ดั เนอ้ื หา จาํ นวน (ชว่ั โมง) 1. การฟงั การดู 1. สรุปความ จับประเดน็ สําคัญของ 1. สรุปความ จบั ประเดน็ (10) 2 เร่ืองท่ีฟงั และดู สําคญั ของเรื่องที่ฟังและ ดู 2 2. การพดู (10) 4 2. วิเคราะห๑ความนําเชื่อถือจากการ 2. หลักการจับใจความ 2 3. การอาํ น (40) ฟัง และดสู ่ือโฆษณาและขาํ วสาร สําคัญของเรือ่ งที่ฟังและดู 2 6 ประจําวันอยํางมีเหตุผล 3. การวิเคราะห๑ข๎อเทจ็ จริง 2 3. วจิ ารณ๑การใชน๎ ํา้ เสียง กริ ิยา ข๎อคิดเหน็ และสรุปความ 4 ทาํ ทาง ถ๎อยคําของ ผูพ๎ ูดอยํางมี 4. การมมี ารยาทในการฟงั 16 เหตุผล และดู 4. ปฏบิ ัตติ นเป็นผู๎มีมารยาท ในการฟัง และดู 1. พูดนาํ เสนอความร๎ู ความ 1. สรุปความ จับประเด็น คิดเหน็ สร๎างความเข๎าใจ โนม๎ สาํ คัญของเรื่องทพี่ ูดได๎ นา๎ วใจ ปฏเิ สธ เจรจาตอํ รอง 2. การพูดนาํ เสนอความรู๎ ดว๎ ยภาษากิรยิ าทาํ ทาง ที่สภุ าพ ความคดิ เหน็ และ การพูด 2. ปฏิบตั ติ นเปน็ ผ๎ูมีมารยาท ในโอกาสตํางๆ เชํน ในการพูด - พูดแนะนาํ ตนเอง - พูดกลําวต๎อนรับ - พูดกลําวขอบคุณ - พูดโน๎มนา๎ วใจ - พดู ปฏเิ สธ - พดู เจรจาตํอรอง - พูดแสดงความคิดเห็น 3. การมมี ารยาทในการพูด 1. เขา๎ ใจความสําคัญ หลักการ 1. ความสําคัญ หลักการ และจดุ มุงํ หมายของการอาํ นทง้ั และจดุ มุงํ หมายของการ อาํ นออกเสียงและอาํ นในใจ อํานออกเสียงและ การ 2. อํานออกเสยี งคํา ข๎อความ อํานในใจ บทสนทนา เร่ืองสน้ั บทร๎อย 2. การอาํ นรอ๎ ยแก๎ว กรอง และบทร๎องเลํน บทกลํอม 2.1 การอาํ นออกเสียง เด็ก 2.2 การอํานข๎อความ

47 ท่ี หวั เร่อื ง ตวั ชว้ี ดั เน้อื หา จาํ นวน 4. การเขียน (20) (ชว่ั โมง) 3. อธิบายความหมายของคํา บทความ เร่ืองสัน้ และบท และข๎อความทอ่ี าํ น กลํอมเด็ก 4. ปฏบิ ัติตนเป็นผู๎มมี ารยาทใน 2.3 การอํานจับใจความ การอํานและมีนสิ ยั รักการอาํ น สําคัญ 2.4 การอํานเพื่อแสดง ความคิดเห็นและ สรปุ ความ 3. การอํานร๎อยกรอง 12 3.1 การอํานคําคล๎องจอง บทกลํอมเด็ก นิทาน เพลง พนื้ บ๎าน 3.2 การอํานกลอนสุภาพ 4. การเลือกอํานหนังสือและ 4 ประโยชน๑ของการอําน 5. การสรา๎ งนสิ ยั รักการอําน 4 และมารยาทในการอํานท่ีดี 1. เขา๎ ใจหลักการเขียน และ 1. หลักการเขียน 2 เหน็ ความสาํ คญั ของการเขียน ความสําคัญของการเขยี น 2. รู๎จกั อกั ษรไทย เขยี นสะกดคํา 2. การเขยี นอักษรไทย 2 และรค๎ู วามหมายของคาํ (พยญั ชนะ สระ วรรณยุกต๑ คาํ คลอ๎ งจอง และประโยค ตวั เลขไทย) 3. เขียนสื่อสารในชีวิตประจําวัน 3. การเขยี นสะกดคําและ 2 จดบนั ทึก โดยใช๎คาํ ถูกต๎อง ความหมายของคํา ชัดเจน 4. การเขียนส่อื สาร 4 4. เขียนเรียงความ ยอํ ความ - การเขียนประวัติตนเอง จดหมาย ได๎ตามรูปแบบ - การเขยี นบนั ทึก 5. เขียนรายงานการค๎นคว๎า ประจาํ วัน สามารถอา๎ งอิงแหลงํ ความรู๎ - การเขยี นเลาํ เรื่อง ขําว 6. กรอกแบบรายการตํางๆ เหตกุ ารณ๑ 7. ปฏบิ ตั ิตนเป็นผูม๎ ีมารยาทใน 5. การเขยี นตามรปู แบบ 4 การเขยี นและมีการจดบนั ทึก - การเขียนเรียงความ อยํางสมํา่ เสมอ - การเขยี นยํอความ - การเขยี นจดหมาย (การใช๎จดหมาย อิเล็กทรอนิกส๑)

48 ท่ี หวั เรอื่ ง ตวั ชวี้ ดั เนื้อหา จาํ นวน (ชว่ั โมง) 6. การเขียนรายงานการ 2 คน๎ ควา๎ และอ๎างอิงความร๎ู 7. การเขียนกรอกรายการ 2 (แบบฟอรม๑ ) 8. การปฏิบัติตนเปน็ ผู๎มี 2 มารยาท ในการเขยี นและมี นสิ ยั รกั การเขียน 5. หลกั การใช๎ภาษา 1. อธิบายการใชเ๎ สียง และ 1. เสยี งและรปู อักษรไทย 1 (20) รปู อกั ษรไทย อักษร 3 หมูํ (พยญั ชนะ สระ และ และการผนั วรรณยกุ ต๑ได๎ วรรณยกุ ต๑) 2. อธิบายเกีย่ วกับคํา การสะกด 2. การผันอักษร 3 หมํู 3 คาํ พยางค๑ และประโยคไดถ๎ กู ต๎อง (ไตรยางศ)๑ 3. ใช๎เครือ่ งหมายวรรคตอนและ 3. พยางค๑และคาํ 1 อกั ษรยํอไดถ๎ ูกต๎อง 4. คําในมาตราตัวสะกด 9 2 4. บอกประโยชน๑การใช๎ มาตรา พจนานกุ รม 5. ชนดิ และหน๎าท่ีของคํา 7 3 5. บอกความหมายของสาํ นวน ชนดิ คําพงั เพย สุภาษิต คําราชาศัพท๑ 6. โครงสร๎างและชนดิ ของ 2 คําสภุ าพ และนาํ ไปใช๎ได๎ถกู ต๎อง ประโยค เหมาะสม 7. เครือ่ งหมายวรรคตอน 1 6. บอกลักษณะคําไทยคําภาษา 8. การใช๎พจนานุกรม 1 ถ่ิน และคําภาษาตํางประเทศ 9. ความหมายและการใช๎ 3 ที่มใี ช๎ในภาษาไทย สาํ นวน คาํ พงั เพย สภุ าษติ คําราชาศพั ทแ๑ ละคําสุภาพ 10. การใช๎ภาษาท่ี 1 เหมาะสม กับบุคคล สถานการณ๑ วฒั นธรรม ประเพณี 11. ลกั ษณะของคาํ ไทย คํา 2 ภาษาถิน่ คําภาษา ตาํ งประเทศท่ีมีใชใ๎ น ภาษาไทย 6. วรรณคดี 1. อธบิ ายถงึ ประโยชน๑ 1. เรอ่ื งราว นทิ าน นิทาน 5 วรรณกรรม (20) และคณุ คําของนิทาน นิทาน พ้ืนบา๎ นและวรรณกรรม

49 ที่ หวั เรอื่ ง ตวั ชวี้ ดั เนือ้ หา จาํ นวน (ชว่ั โมง) พื้นบา๎ น วรรณกรรม ทอ๎ งถน่ิ และวรรณกรรมในท๎องถ่นิ 2. เรือ่ งราววรรณคดที ่ีมี 15 ความหลากหลาย - กลอนบทละคร(สังข๑ ทอง) - กลอนนิทาน(พระอภัย มณ)ี - กลอนเสภา (ขุนช๎าง ขนุ แผน)

50 วชิ าภาษาตาํ งประเทศ

51 วชิ าภาษาตาํ งประเทศ (ภาษาองั กฤษ) เปาู หมายการเรยี นรู๎ ระดบั มธั ยมศกึ ษาตอนตน๎ 1. เขา๎ ใจเกยี่ วกับภาษาทาํ ทาง ฟงั พดู อาํ น เขยี น ด๎วยประโยคทีซ่ ับซ๎อนใน ชีวติ ประจําวัน และงานอาชีพ 2. จดั ระบบความสัมพันธข๑ องการตดิ ตํอสือ่ สาร ด๎วยประโยคท่ีซับซ๎อนใน ชวี ิตประจาํ วัน และงานอาชีพ 3. มีทกั ษะท่ีถกู ต๎องตามหลกั ภาษา วฒั นธรรม และกาลเทศะของเจ๎าของภาษา

52 มาตรฐานการเรยี นรรู๎ ะดบั ผลการเรยี นรท๎ู ค่ี าดหวงั

53 มาตรฐานการเรยี นร๎ูระดบั ผลการเรยี นรทู๎ ค่ี าดหวงั มาตรฐานท่ี 2.1 มีความรูค๎ วามเข๎าใจ และทกั ษะพื้นฐานเกี่ยวกับภาษาและการสือ่ สาร มาตรฐานการเรยี นรู๎ ผลการเรยี นรู๎ทค่ี าดหวงั มีความรู๎ ความเข๎าใจ ทักษะและเจตคติ 1. เข๎าใจเกย่ี วกับภาษา ทําทาง ฟงั พดู อาํ น เกย่ี วกับ ภาษาทําทาง การฟัง พูด อาํ น เขยี น เขยี น ด๎วยประโยคท่ีซบั ซ๎อนในชีวติ ประจําวัน ภาษาตาํ งประเทศ ด๎วยประโยคทซ่ี บั ซ๎อนใน และงานอาชีพ ชีวิตประจําวัน และงานอาชีพของตนได๎ ถูกต๎อง 2. จัดระบบความสัมพนั ธข๑ องการตดิ ตํอส่อื สาร ตามหลักภาษาวัฒนธรรม และกาลเทศะของ ดว๎ ยประโยคที่ซับซ๎อนในชวี ิตประจาํ วันและ เจ๎าของภาษา งานอาชพี 3. มีทกั ษะท่ีถูกต๎องตามหลักภาษา วัฒนธรรม และกาลเทศะของเจ๎าของภาษา

54 คาํ อธบิ ายรายวชิ าบังคบั และ รายละเอยี ด คาํ อธบิ ายรายวชิ าบงั คบั ระดับมธั ยมศกึ ษาตอนตน๎

55 คาํ อธิบายรายวิชาบงั คบั สาระความรพ๎ู นื้ ฐาน (ภาษาตํางประเทศ) มาตรฐานที่ รหสั รายวชิ า ระดบั มธั ยมศกึ ษาตอนตน๎ หนวํ ยกติ 2.1 พต 21001 รายวชิ า พต 21001 ภาษาอังกฤษในชีวติ ประจําวัน 3 รวม

56 คําอธิบายรายวชิ า พต 21001 ภาษาอังกฤษในชวี ติ ประจาํ วัน จาํ นวน 4 หนวํ ยกติ ระดบั มธั ยมศกึ ษาตอนต๎น มาตรฐานการเรยี นร๎ูระดับ มคี วามร๎ู ความเข๎าใจ ทักษะและเจตคติเกยี่ วกับ ภาษาทําทาง การฟงั พูด อําน เขียน ภาษาตํางประเทศ ด๎วยประโยคที่ซบั ซ๎อนในชวี ติ ประจําวนั และงานอาชีพของตนได๎ ถูกต๎องตามหลักภาษา วฒั นธรรม และกาลเทศะของเจา๎ ของภาษา ศึกษาและฝกึ ทกั ษะเกย่ี วกบั เรอื่ งดงั ตอํ ไปน้ี 1. การใช๎ภาษาทําทางในการส่ือความหมาย วิธีการรับ-ตอบโทรศัพท๑อยํางงําย ๆ การแสดง ความรู๎สึกดีใจ เสียใจ เข๎าใจ พอใจ ไมํพอใจ ให๎กําลังใจ สนใจ และไมํสนใจ วิธีการพูดแทรก พูดขอบคุณและ การตอบรับ วิธีการพูดแสดงความคิดเห็น ความต๎องการ และการเสนอให๎ความชํวยเหลือผู๎อ่ืนพร๎อมกับการ ตอบรับ รวมท้ังลักษณะของประโยคบอกเลํา ประโยคคําถาม ประโยคปฏิเสธ ประโยคคําส่ัง และประโยคอุทาน ซงึ่ ใชใ๎ นชวี ติ ประจําวนั ในสถานการณ๑ตําง ๆ 2. ลักษณะและการใช๎ ประโยคความรวม (Compound Sentence) Past Tense ในรูปตําง คํากริยา คํากริยาวิเศษณ๑ คําสันธาน และคําอุทาน โดยสามารถนําไปใช๎ในการเลําเร่ืองราวเกี่ยวกับ ชีวติ ประจาํ วันและการประกอบอาชีพ การอํานขําวสารข๎อมูลจากสื่อประเภทตํางๆ การอํานสลากสินค๎าและ การตีความหมายของสัญลักษณ๑ตํางๆ ได๎อยํางถูกต๎องและเหมาะสมกับสถานการณ๑ รวมทั้งเข๎าใจการใช๎ Internet เพอ่ื สืบคน๎ ขอ๎ มลู การจดั ประสบการณ๑การเรยี นร๎ู 1. ฝกึ ฟัง พูด อําน เขียน ภาษาองั กฤษในสถานการณ๑ตําง ๆ โดยใช๎สถานการณจ๑ ําลอง และ /หรือส่ือที่เหมาะสม 2. ฝึกฟัง พูด อาํ น เขียน จากสถานการณจ๑ ําลองโดยใช๎สื่อตําง ๆ ทีเ่ หมาะสม และสอดคล๎องกบั สถานการณ๑ การวดั และประเมนิ ผล 1. ตรวจสอบจากการนําไปใช๎ไดถ๎ ูกต๎องและเหมาะสมตามสถานการณ๑ 2. สามารถใชภ๎ าษาในการสื่อสารได๎ถูกต๎องและเหมาะสมกบั สถานการณ๑

57 รายละเอยี ดคาํ อธบิ ายรายวชิ า พต21001 ภาษาองั กฤษในชวี ติ ประจาํ วนั จาํ นวน 4 หนวํ ยกติ ระดบั มธั ยมศกึ ษาตอนตน๎ มาตรฐานท่ีการเรยี นรร๎ู ะดับ มีความรู๎ ความเข๎าใจ ทักษะและเจตคติเก่ียวกับ ภาษาทําทาง การฟัง พูด อําน เขียน ภาษาตํางประเทศ ด๎วยประโยคที่ซับซ๎อนในชีวิตประจําวัน และงานอาชีพของตนได๎ ถูกต๎องตามหลักภาษา วฒั นธรรม และกาลเทศะของเจา๎ ของภาษา ท่ี หวั เรอื่ ง ตวั ชวี้ ดั เนอื้ หา จาํ นวน (ชว่ั โมง) 1 ภาษาทําทาง เข๎าใจและใช๎ภาษาในการสอ่ื สาร 1. ภาษาตามมารยาท 15 ในการสือ่ สารใน ในชีวติ ประจาํ วนั สังคมเพ่ือสร๎าง ชวี ติ ประจาํ วนั ความสมั พนั ธร๑ ะหวําง (Language in บคุ คลในสถานการณ๑ตํางๆ daily life) ดงั นี้ 1.1 การทักทาย การกลําวลา เชํน - Good morning. - Good afternoon. - Good evening. - Hi / Hello. - How are you? - How are you today? - I’ m fine, thank you and you? - Nice to see you. - Nice to see you too. - Glad to see you. - Glad to see you too. - Good bye. Bye. - See you soon. - See you on…(Day)… 1.2 การแนะนําตนเอง และผู๎อื่น เชนํ

58 ท่ี หวั เร่อื ง ตวั ชว้ี ดั เน้อื หา จาํ นวน (ชว่ั โมง) Pat: Hello, I’m Pat. Suda : Hi, my name is Suda. How do you do? หรือ A: Bob, this is John, my friend from New Zealand. B: How do you do? Nice to meet you. John: How do you do? Nice to meet you, too. etc. 1.3 การกลาํ วขอบคุณ และตอบรบั เชํน - Thank you for your help. - Thank you very much for your kindness. - Thank you for your invitation. etc. 1.4 การพูดขออนุญาต และตอบรับ - May I interrupt you for a moment? - May I come in? - Can I borrow your pen? - (It’s) my pleasure. - Don’t mention it. - Yes, you can. etc. 1.5 การพูดขอโทษและ

59 ท่ี หวั เร่อื ง ตวั ชว้ี ดั เนื้อหา จาํ นวน (ชว่ั โมง) ตอบรับ - I’m very sorry to be late. - I’m lost your box, I’m so sorry. - Forget it. - Don’t worry. - It doesn’t matter. etc. 1.6 การพดู แทรกอยําง สุภาพ เชนํ - Excuse me, sir. Could you speak louder? - Excuse me, madam. - Could you show me that book? etc. 2. ภาษาทาํ ทางที่ใช๎ใน 5 โอกาสตาํ งๆ ดงั นี้ 2.1 ทําทางท่ีสือ่ ความหมายทางภาษา เชนํ กวกั มือ = Come here. โบกมือ = Bye-bye. ชู 2 น้วิ = Victory ผายมือ = This way, please. etc. 2.2 ทําทางการปฏิบัติ ตามวัฒนธรรมของเจ๎าของ ภาษา เชํน - Hand Shaking.

60 ที่ หวั เรื่อง ตวั ชว้ี ดั เน้ือหา จาํ นวน (ชวั่ โมง) - Waving good-bye. - Good-bye hug/kiss - Good night hug/kiss etc. 2.3 คําศพั ท๑ จํานวน ประโยคและทาํ ทางทใี่ ช๎ สอ่ื สารในโอกาสตาํ ง ๆ เชํน - Merry Christmas. - Happy New Year. - Happy Valentine’s. - Happy Birthday. - Congratulations on your graduation. - Thanks. - Thank you very much. - The same to you. - Many happy returns. etc. 2 การโต๎ตอบ รบั -ตอบ โทรศัพทอ๑ ยาํ งงาํ ย ๆ ได๎ 1. คําศัพท๑ สาํ นวน ประโยค 10 โทรศพั ท๑ ตาํ งๆ ท่ใี ชใ๎ นการสอ่ื สารใน (Telephone การรบั โทรศัพทอ๑ ยํางงําย Conversation) รวมกัน การรบั ฝากขอ๎ ความ ทางโทรศัพท๑ - Is Miss/Mrs./Mr. Robert home? - I’m speaking. - He / She is out.

61 ที่ หวั เร่อื ง ตวั ชว้ี ดั เน้อื หา จาํ นวน (ชวั่ โมง) 3 การแสดง ความร๎สู กึ - He / She will be ตําง ๆ (Expression back soon. Would you of feelings) like to wait? etc. 2. การรบั ฝากข๎อความทาง โทรศัพท๑ A: Hello, may I speak to Mrs. Wanida? B: Sorry, she’s not here now. Would you like to leave her a massage? A: My name is Somsri. Please tell her to call me to 02-728-8888. etc. ใช๎ภาษาองั กฤษในการแสดง 1. คํา วลี ประโยค บท 10 ความร๎สู กึ ได๎ (ดใี จ/เสยี ใจ/เข๎าใจ/ สนทนาท่แี สดงอารมณ๑ พอใจ/ไมํพอใจ/ให๎กําลงั ใจ/ ความร๎ูสึกตาํ งๆ สนใจ/ไมสํ นใจ) 1.1 เข๎าใจ/ไมเํ ขา๎ ใจ - Oh, I see. - get it now. - I beg your pardon. - Pardon me. Can you say that again? - I don’t understand that. - I don’t get it. etc. 1.2 พอใจ/ไมํพอใจ - That’s great. / That’s bad. - How wonderful! - How awful!

62 ท่ี หวั เร่อื ง ตวั ชว้ี ดั เน้อื หา จาํ นวน (ชวั่ โมง) - I am so pleased to hear that. - I am afraid I don’t like it. 1.3 สนใจ/ไมํสนใจ - I’m interested in....................... - I’m not interested in....................... - I don’t care (about that) .................... - I have no idea. etc. - I love/like/enjoy it. - I am disappointed to see that. etc. 1.4 ให๎กาํ ลังใจ/เหน็ ใจ/ ปลอบใจ - Don’t worry. - Cheer up. - Take it easy. - Relaxed. - You will be fine. - Well done. - You did a good job. etc. 1.5 ดีใจ/เสยี ใจ - I’m glad that you can come. - I’m so pleased to see you. - I’m glad to hear from you.

63 ที่ หวั เรอื่ ง ตวั ชว้ี ดั เนอ้ื หา จาํ นวน (ชว่ั โมง) - I’m so sorry for being late. - I’m terribly sorry for..................... - Sorry, it’s my fault. - Please forgive me for being late. etc. 4 การพดู แสดง พูดแสดงความคดิ เหน็ และแสดง ภาษาเพื่อแสดงความ 20 ความคดิ ความต๎องการ รวมท้งั การเสนอ คิดเหน็ ความตอ๎ งการ รปู แบบ 1. การแสดงความคิดเห็น ตาํ ง ๆ (เห็นดว๎ ย/ไมเํ ห็นดว๎ ย/ (Expression of ยอมรับ/ ไมํยอมรบั ) opinion, ideas A: The weather in / wishes / Bangkok is hotter than offering Singapore. helps, etc.) B: I think so. / I don’t think so. / I agree with you. A: Living in Bangkok is not so pleasant, don’t you think that? B: Yes, but living in rural areas is less convenient. etc. 2. การแสดงความต๎องการ และตอบรับ เชนํ - I’d like some more coffee. - I want to go to........................ - I wish you should go with me.

64 ที่ หวั เร่อื ง ตวั ชว้ี ดั เนือ้ หา จาํ นวน (ชวั่ โมง) 5 ประโยคตาํ งๆ รจู๎ ักลกั ษณะของประโยคใน ใน ภาษาองั กฤษ (ประโยคบอกเลาํ / - I need........................ ภาษาองั กฤษ ประโยคคาํ ถาม/ประโยคปฏเิ สธ/ (Different ประโยคคําสั่ง/ประโยคอุทาน) - Yes, .................please Types of และสามารถนําไปใชใ๎ น English ชวี ติ ประจาํ วนั ได๎ do. / Sure. Sentences) etc. 3. การแสดงความชวํ ยเหลือ และบริการผ๎ูอ่ืน รวมท้งั ตอบรบั เชนํ - What can I do for you? - Can I help you? - Need some help? - If you need anything, please tell me. /Let me know. - Certainly. - Yes, of course. - I’m afraid................ Sorry, but.................. etc. ประโยค/สวํ นประกอบของ 20 ประโยคชนดิ ตาํ ง ๆ และ รปู แบบการจดั ลาํ ดบั คาํ ใน ประโยค 1. ประโยคบอกเลํา โครงสรา๎ งของประโยคบอก เลํา Subject + Verb เชํน - Bob smokes. หรอื Subject + Verb + Complement

65 ท่ี หวั เร่อื ง ตวั ชว้ี ดั เนือ้ หา จาํ นวน (ชวั่ โมง) เชํน - They are students. หรือ Subject + Verb + Object. เชนํ - Suda likes John. 2. ประโยคคาํ ถาม คําทีใ่ ช๎ในการตั้งคําถาม ไดแ๎ กํ Who, When, Where, Why, What, Whom, How เชํน - What is your name? - Where do you teach? - When did he leave school? - How do you like it? etc. 3. ประโยคปฏเิ สธ รูปแบบประโยคปฏิเสธและ คํากริยาที่ใช๎ เชํน - They are not farmer. - He doesn’t like Bobby. - I don’t want to go with him. etc. 4. ประโยคคาํ สั่งรูปแบบ ประโยคคาํ สงั่ /กลมํุ คําที่ใช๎ และตวั อยาํ ง ประโยค เชนํ - Come here. - Let’s go now.

66 ที่ หวั เรื่อง ตวั ชวี้ ดั เนือ้ หา จาํ นวน (ชวั่ โมง) 6 ประโยคความ ร๎จู กั ลกั ษณะของ Compound รวม Sentence และสามารถนําไปใช๎ - Open the door, (Compound ในชวี ิตประจาํ วนั ได๎ Sentence) please. - Please sit down. - Come here right now. etc. 5. ประโยคอทุ าน รปู แบบประโยคอุทานและ ตวั อยํางประโยค เชํน - Oh! My god. - Oh, my god! How marvelous! What a wonderful party! etc. 1. สํวนประกอบของ 40 Compound Sentence (Independent Clause) 2. ประโยค 2 ประโยคมา รวมกนั ด๎วยคาํ เชื่อมท่ี เหมาะสม คือ and, but, or เชนํ - We tried our best but we lost the game. - Both they and we tried hard. I’ll go to the cinema or visit my parent. 3. การเช่ือมประโยคใหเ๎ ปน็ Compound Sentence โดยใช๎เคร่ืองหมาย/คาํ เช่อื ม ตํอไปนี้ 3.1 , (Comma) + คาํ สันธาน เชํน

67 ท่ี หวั เรอ่ื ง ตวั ชวี้ ดั เน้อื หา จาํ นวน (ชวั่ โมง) - They tried their best, yet they didn’t succeed. ; (Semicolon) ใช๎ในกรณี ท่มี เี คร่ืองหมายอืน่ ๆ อยูํ ด๎วยหลายแหํง เชํน - I also bought her a new car ; I have not yet, nowhere, given it to her. Correlative Conjunction ไดแ๎ กํคํา ตํอไปน้ี both…….and……… either……. or………. neither…. nor……… not only...........but also......... เชํน - Neither did he listen, nor did he improve. - Not only the English teacher get him a bad grade, but also the social teacher did so. 7 Past Tense ใช๎ Past Tense ในรูปแบบ Past Tense ในรปู แบบ 40 ตําง ๆ ได๎ ตาํ งๆ 1. Past Simple Tense Subject + V2 Subject +wwearse +V3 1.1 เหตุการณท๑ ี่เกิดขึน้ ใน อดตี และจบลงไปแลว๎ กํอน

68 ท่ี หวั เรื่อง ตวั ชว้ี ดั เน้ือหา จาํ นวน (ชว่ั โมง) พูดประโยคน้นั เชนํ - He spoke. - She came here yesterday. 1.2 แสดงการกระทําที่ กระทําเป็นประจาํ ในอดตี โดยมคี ําที่แสดงความบํอย ความเป็นประจาํ อยูํด๎วย เชํน - He always got up late when he was young. 2. Past continuous tense Subject + was/were + V ing + conj. + Subject + V2 กลาํ วถึงเหตกุ ารณ๑ 2 อยาํ ง ในอดีต โดยขณะท่ี เหตกุ ารณ๑หน่ึงดาํ เนนิ อยํูมี อีกเหตุการณ๑แทรกเข๎ามา - เหตกุ ารณ๑ท่ีดําเนินอยํู ใช๎ Past continuous tense - เหตุการณ๑ทเ่ี กดิ ใหมํ แทรกเข๎ามาใช๎ Past simple tense - คําทเ่ี ชื่อมเหตุการณ๑ท่ี สองเขา๎ ดว๎ ยกนั คือ when หรอื while เชนํ - I was reading a book when she came in. - While I was reading a book, she came in.

69 วชิ าคณติ ศาสตร๑

70 สาระความรพ๎ู นื้ ฐาน วชิ าคณติ ศาสตร๑ เป็นสาระเก่ียวกับภาษาและการสอื่ สาร คณิตศาสตร๑ วิทยาศาสตร๑และเทคโนโลยี มาตรฐานการเรยี นรู๎ มาตรฐานท่ี 2.1 มคี วามรู๎ความเขา๎ ใจ และทกั ษะพ้นื ฐานเกยี่ วกบั ภาษาและการส่อื สาร มาตรฐานท่ี 2.2 มีความรู๎ความเขา๎ ใจ และทักษะพน้ื ฐานเกี่ยวกบั คณิตศาสตร๑ วิทยาศาสตร๑ และเทคโนโลยี

71 วิชาคณติ ศาสตร๑ เปาู หมายการเรยี นร๎ู ระดบั มธั ยมศกึ ษาตอนตน๎ 1. วเิ คราะหค๑ วามคิด กระบวนการและเหตุผลคณิตศาสตร๑เพื่อนาํ ไปใชใ๎ นชีวิตประจาํ วัน 2. เห็นความสัมพันธ๑ของการคิด กระบวนการและเหตุผลอยํางเป็นระบบระเบียบ 3. ปฏิบตั ิการคดิ กระบวนการและเหตุผลคณิตศาสตร๑ตามขน้ั ตอนท่ีถูกต๎อง

72 มาตรฐานการเรยี นรรู๎ ะดบั ผลการเรยี นรท๎ู ค่ี าดหวงั

73 มาตรฐานการเรียนรูร๎ ะดบั ผลการเรียนรท๎ู ค่ี าดหวงั มาตรฐานที่ 2.2 มคี วามรค๎ู วามเขา๎ ใจ และทกั ษะพื้นฐานเกย่ี วกับคณิตศาสตร๑ วทิ ยาศาสตร๑และเทคโนโลยี มาตรฐานการเรยี นรู๎ ผลการเรยี นรท๎ู คี่ าดหวงั คณติ ศาสตร๑ 1. ระบุ หรือยกตวั อยํางเกย่ี วกับจํานวนและการ มคี วามรู๎ ความเขา๎ ใจเกยี่ วกบั จาํ นวน ดาํ เนนิ การ เศษสวํ น และทศนิยม เลขยกกาํ ลงั และการดําเนนิ การ เศษสํวนและทศนยิ ม เลข อตั ราสวํ น สดั สวํ น และร๎อยละ การวัด การหา ยกกาํ ลัง อัตราสวํ นสดั สวํ น และรอ๎ ยละ การวัด ปริมาตรและพ้นื ทผ่ี วิ คอํู นั ดบั และกราฟ ปริมาตรและพนื้ ทผ่ี วิ คอูํ ันดบั และกราฟ ความสมั พันธ๑ ระหวาํ งรปู เรขาคณติ สองมติ แิ ละ ความสัมพันธร๑ ะหวาํ งรปู เรขาคณติ สองมติ ิและ เรขาคณิตสามมติ ิ สถิติและ ความนําจะเปน็ เรขาคณิตสามมติ ิ สถิติและความนําจะเป็น 2. สามารถคดิ คาํ นวณและแก๎โจทยป๑ ัญหาท่ีใช๎ ในชีวติ ประจาํ วัน

74 คาํ อธบิ ายรายวชิ าบังคบั และ รายละเอยี ด คาํ อธบิ ายรายวชิ าบงั คบั ระดับมธั ยมศกึ ษาตอนตน๎

75 คาํ อธิบายรายวิชาบงั คบั สาระความรพ๎ู นื้ ฐาน มาตรฐานท่ี รหสั วชิ า ระดบั ประถมศกึ ษา หนวํ ยกติ 2.2 พค 21001 รายวชิ า 4 4 คณติ ศาสตร๑ รวม

76

77 คําอธิบายรายวิชา พค21001 คณติ ศาสตร๑ จาํ นวน 4 หนวํ ยกติ ระดบั มัธยมศกึ ษาตอนตน๎ มาตรฐานที่ 2.2 มคี วามร๎ูความเขา๎ ใจ และทักษะพ้นื ฐานเกี่ยวกบั คณิตศาสตร๑ วทิ ยาศาสตร๑ และเทคโนโลยี มีความร๎ู ความเขา๎ ใจเก่ียวกบั จาํ นวนและการดาํ เนนิ การ เศษสํวนและทศนยิ ม เลขยกกําลัง อตั ราสวํ นสัดสวํ น และร๎อยละ การวดั ปรมิ าตรและพื้นที่ผิว คํอู ันดับและกราฟ ความสัมพันธ๑ระหวํางรูป เรขาคณติ สองมิตแิ ละเรขาคณิตสามมิติ สถติ แิ ละความนําจะเปน็ ศึกษาและฝึกทกั ษะเกยี่ วกบั เร่อื งดงั ตอํ ไปน้ี จาํ นวนและการดาํ เนินการ จาํ นวนเต็มบวก จํานวนเต็มลบ และศนู ย๑ การเปรยี บเทียบจาํ นวนเต็ม การบวก ลบ คูณและหารจาํ นวนเต็ม สมบัตขิ องจํานวนเตม็ และการนําไปใช๎ เศษสวํ นและทศนยิ ม ความหมายของเศษสํวนและทศนยิ ม การเขียนเศษสวํ นและทศนิยม และ เขยี นทศนิยมซํา้ เปน็ เศษสํวน การเปรียบเทยี บเศษสวํ นและทศนยิ ม การบวก ลบ คณู หาร เศษสํวนและ ทศนิยม โจทยป๑ ัญหาหรือสถานการณเ๑ ก่ียวกบั เศษสํวนและทศนิยม เลขยกกาํ ลงั ความหมายของเลขยกกําลัง การเขยี นแสดงจาํ นวนในรปู สัญกรณ๑วทิ ยาศาสตร๑ การคูณ และการหารเลขยกกําลงั ท่มี ฐี านเดียวกนั และเลขชีก้ ําลงั เปน็ จํานวนเต็ม อตั ราสวํ น สดั สวํ น และร๎อยละ การแกโ๎ จทย๑ปญั หาเก่ียวกับอตั ราสํวน สดั สวํ นและรอ๎ ยละ การวดั หนํวยความยาว พื้นที่ การหาพืน้ ที่ของรูปเรขาคณติ การแก๎ปญั หา หรือสถานการณ๑ใน ชวี ติ ประจําวนั โดยใชค๎ วามรเ๎ู กี่ยวกับพ้นื ที่และการคาดคะเน ปรมิ าตรและพน้ื ทผี่ วิ การหาพ้นื ท่ีผิว และปรมิ าตรของปริซึมทรงกระบอก การหาปรมิ าตรของ พีระมิด กรวย และทรงกลม การเปรยี บเทยี บหนํวยปรมิ าตร การแก๎โจทยป๑ ญั หาเก่ียวกับพน้ื ทผี่ วิ และปรมิ าตร คํูอนั ดบั และกราฟ คูํอันดับและกราฟ การนําไปใช๎ ความสมั พนั ธข๑ องรปู เรขาคณติ สองมติ แิ ละสามมติ ิ ภาพของรปู เรขาคณิตสองมติ ทิ เี่ กิดจากการ คล่ีรูปเรขาคณิตสามมิติ ภาพทีไ่ ด๎จากการมองทางดา๎ นหนา๎ ดา๎ นขา๎ งหรือด๎านบนของรปู เรขาคณติ สาม มติ ิ การวาดหรอื ประดษิ ฐ๑รปู เรขาคณติ ที่ประกอบข้นึ จากลูกบาศก๑ สถิติ การเกบ็ รวบรวมขอ๎ มลู การนําเสนอข๎อมูล การหาคํากลางของข๎อมูล การเลือกใช๎คํากลาง ของข๎อมูล การอาํ น การแปลความหมายและการวเิ คราะห๑ขอ๎ มูล การใชข๎ อ๎ มลู สารสนเทศ ความนาํ จะเป็น การทดลองสุํมและเหตุการณ๑ การหาความนาํ จะเปน็ ของเหตุการณ๑และการนําไปใช๎

78 การจดั ประสบการณก๑ ารเรยี นรู๎ จัดประสบการณ๑หรือสถานการณ๑ในชีวิตประจําวันให๎ผ๎ูเรียนได๎ศึกษาค๎นคว๎า โดยการปฏิบัติจริง ทดลอง สรุป รายงาน เพื่อพัฒนาทักษะ/กระบวนการในการคิดคํานวณ การแก๎ปัญหา การให๎เหตุผล การส่อื ความหมายทางคณติ ศาสตร๑และนาํ ประสบการณ๑ด๎านความร๎ู ความคิด ทักษะกระบวนการที่ได๎ไป ใช๎ในการเรียนรู๎สิ่งตําง ๆ และใช๎ ในชีวิตประจําวันอยํางสร๎างสรรค๑ รวมท้ังเห็นคุณคําและมีเจตคติท่ีดี ตํอคณิตศาสตร๑ สามารถทํางานอยํางเป็นระบบระเบียบ มีความรอบคอบ มีความรับผิดชอบ มวี จิ ารณญาณและมีความเชอื่ มัน่ ในตนเอง การวดั และประเมนิ ผล ใชว๎ ธิ ีการท่ีหลากหลายตามสภาพความเป็นจริงให๎สอดคลอ๎ งกับเนื้อหาและทักษะทีต่ ๎องการวัด

79 รายละเอยี ดคาํ อธบิ ายรายวชิ า พค21001 คณติ ศาสตร๑ จาํ นวน 4 หนวํ ยกติ ระดบั มธั ยมศกึ ษาตอนตน๎ มาตรฐานที่ 2.2 มคี วามร๎ูความเข๎าใจ และทักษะพ้ืนฐานเก่ียวกับคณิตศาสตร๑ วทิ ยาศาสตร๑ และเทคโนโลยี ท่ี หวั เรื่อง ตวั ชว้ี ดั เน้อื หา จาํ นวน (ชว่ั โมง) 1 จาํ นวนและ 1. ระบหุ รือยกตวั อยาํ งจาํ นวน 1. จํานวนเต็มบวก จํานวน 3 การดําเนนิ การ เตม็ บวก จํานวนเต็มลบ และศูนย๑ เต็มลบ และศนู ย๑ (25) ได๎ 2. การเปรียบเทยี บจาํ นวน 3 2. เปรียบเทียบจาํ นวนเต็มได๎ เต็ม 3. บวก ลบ คูณ หาร จาํ นวนเต็ม 3. การบวก ลบ คณู และ 13 และอธบิ ายผลท่ีเกิดขึน้ ได๎ หารจาํ นวนเต็ม 4. บอกสมบตั ิของจํานวนเต็มและ 4. สมบตั ขิ องจํานวนเต็ม 6 นาํ ความร๎ูเกี่ยวกับสมบตั ิของ และการนาํ ไปใช๎ จาํ นวนเต็มไปใชไ๎ ด๎ 2 เศษสวํ นและ 1. บอกความหมายของเศษสํวน 1. ความหมายของ 1 ทศนยิ ม และทศนิยมได๎ เศษสวํ นและทศนยิ ม (22) 2. เขียนเศษสวํ นในรูปทศนิยม 2. การเขียนเศษสํวนด๎วย 2 และเขยี นทศนิยมซํ้าในรปู ทศนยิ ม และการเขียน เศษสวํ นได๎ ทศนิยมซ้าํ เป็นเศษสํวน 3. เปรยี บเทียบเศษสํวนและ 3. การเปรียบเทยี บ 2 ทศนิยมได๎ เศษสวํ นและทศนยิ ม 4. บวก ลบ คณู หาร เศษสวํ น 4. การบวก ลบ คณู หาร 12 และทศนยิ มได๎ และอธิบายผลที่ เศษสวํ นและทศนิยม เกดิ ขน้ึ ได๎ 5. โจทยป๑ ัญหาหรือ 5 5. นําความรเ๎ู กยี่ วกับเศษสวํ น สถานการณ๑เกย่ี วกับ และทศนิยมไปใชแ๎ ก๎โจทย๑ปัญหา เศษสํวนและทศนยิ ม รวมทัง้ สถานการณเ๑ กย่ี วกับความ นําจะเป็นได๎ 3 เลขยกกําลงั 1. บอกและเขียนเลขยกกาํ ลงั ทีม่ ี 1. ความหมายของเลขยก 2 (13) เลขชีก้ ําลงั เปน็ จํานวนเต็มแทน กาํ ลัง จํานวนทก่ี ําหนดให๎ได๎ 2. การเขยี นแสดงจํานวน 4 2. บอกและนําเลขยกกาํ ลงั มาใช๎ ในรปู สญั กรณ๑วิทยาศาสตร๑ ในการเขียนแสดงจํานวนใน 3. การคูณและการหาร 7 รปู สญั กรณว๑ ทิ ยาศาสตรไ๑ ด๎ เลขยกกําลังทีม่ ีฐาน

80 ท่ี หวั เร่อื ง ตวั ชวี้ ดั เนื้อหา จาํ นวน 4 อัตราสวํ นและ (ชวั่ โมง) 3. คณู และหารของเลขยกกําลังที่ เดียวกนั และเลขชก้ี าํ ลัง ร๎อยละ 5 (20) มีฐานเดยี วกนั และเลขชก้ี ําลงั เป็นจาํ นวนเต็ม 3 5 การวัด 5 เป็นจํานวนเตม็ ได๎ 7 6 ปรมิ าตรและ พืน้ ทีผ่ ิว (16) 1. กาํ หนดอตั ราสวํ นได๎ 1. อตั ราสวํ น 1 1 2. คํานวณสดั สํวนได๎ 2. สดั สวํ น 2 4 3. หาคําของร๎อยละได๎ 3. รอ๎ ยละ 2 4. แก๎โจทย๑ปัญหาในสถานการณ๑ 4. การแกโ๎ จทยป๑ ญั หา 3 ตาํ งๆ เก่ียวกบั อตั ราสวํ น สดั สํวน เกี่ยวกบั อตั ราสวํ น สดั สํวน 2 5 และรอ๎ ยละได๎ และรอ๎ ยละ 2 2 1. เปรียบเทยี บหนวํ ยความยาว 1. การเปรียบเทยี บหนํวย 2 พน้ื ที่ในระบบเดียวกันและตําง ความยาวพืน้ ท่ี ระบบได๎ 2. การเลือกใชห๎ นํวยการวัด 2. เลือกใชห๎ นํวยการวัดเกยี่ วกบั เก่ยี วกบั ความยาวและพนื้ ท่ี ความยาวและพนื้ ท่ีไดอ๎ ยําง 3. การหาพ้ืนท่ีของรปู เหมาะสม เรขาคณิต 3. หาพนื้ ที่ของรปู เรขาคณิตได๎ 4. การแกโ๎ จทยป๑ ัญหา 4. แกโ๎ จทยป๑ ญั หาเกยี่ วกับพ้ืนท่ี เกย่ี วกับพื้นทีใ่ น สถานการณ๑ตํางๆ ใน สถานการณ๑ตํางๆ ชวี ิตประจาํ วนั ได๎ 5. การคาดคะเนเวลา 5. อธบิ ายวธิ ีการคาดคะเนและนาํ ระยะทาง ขนาด นํา้ หนัก วิธกี ารไปใชใ๎ นการคาดคะเนเวลา ระยะทาง ขนาด นํ้าหนักได๎ 1. อธบิ ายลักษณะและสมบัติของ 1. การหาพื้นท่ผี วิ และ ปริซึม พรี ะมิด ทรงกระบอก ปริมาตรของปรซิ มึ กรวย ทรงกลม หาปรมิ าตรและ 2. การหาปรมิ าตรและ พื้นที่ผวิ ของปรซิ ึมได๎ พื้นท่ีผิวของทรงกระบอก 2. หาปริมาตรและพืน้ ท่ีผิวของ 3. การหาปริมาตรของ ทรงกระบอกได๎ พีระมิด กรวยและทรงกลม 3. หาปรมิ าตรของพีระมิด กรวย 4. การเปรียบเทยี บหนวํ ย และทรงกลมได๎ ปริมาตร 4. เปรียบเทยี บหนวํ ย ความจุ 5. การแกโ๎ จทย๑ปญั หา หรือหนํวยปริมาตรในระบบ เกี่ยวกับปริมาตรและพื้นที่ เดียวกนั หรอื ตํางระบบ และ ผวิ เลือกใชห๎ นํวยการวดั เก่ียวกบั 6. การคาดคะเนปริมาตร

81 ที่ หวั เรือ่ ง ตวั ชวี้ ดั เนอ้ื หา จาํ นวน (ชวั่ โมง) ความจหุ รอื ปริมาตรได๎อยาํ ง และพื้นทผ่ี วิ เหมาะสม 5. ใชค๎ วามรู๎เกยี่ วกับปริมาตรและ พ้ืนทผ่ี ิว แกป๎ ญั หาในสถานการณ๑ ตํางๆ ได๎ 6. ใชก๎ ารคาดคะเนเกีย่ วกบั ปรมิ าตรและพืน้ ที่ผิวใน สถานการณต๑ ํางๆ ได๎อยําง เหมาะสม 7 คูอํ นั ดบั และ 1. อํานและอธิบายความหมายคูํ 1. คูอํ ันดบั 2 กราฟ (8) อันดับได๎ 2. กราฟ 3 2. อํานและแปลความหมายกราฟ 3. การนาํ คอูํ ันดับและ 3 บนระนาบพิกดั ฉากที่กําหนดให๎ กราฟไปใช๎ ได๎3. เขียนกราฟแสดงความ เกย่ี วขอ๎ งของปรมิ าณสองชดุ ท่ี กําหนดให๎ได๎ 8 ความสัมพนั ธ๑ 1. อธิบายลักษณะของรปู 1. ภาพของรูปเรขาคณิต 4 ระหวาํ งรูป เรขาคณติ สามมิติจากภาพสองมิติ สองมติ ิที่เกิดจากการคล่ี เรขาคณิตสอง ทกี่ ําหนดให๎ได๎ รูปเรขาคณิตสามมติ ิ มติ ิและสามมติ ิ 2. ระบภุ าพสองมิตทิ ่ีไดจ๎ ากการ 2. ภาพของมิตทิ ี่ได๎จาก 4 (10) มองดา๎ นหน๎า ด๎านข๎าง ดา๎ นบน การมองดา๎ นหน๎า ดา๎ นขา๎ ง ของรูปเรขาคณิตสามมิติที่ หรือดา๎ นบนของรูป กําหนดใหไ๎ ด๎ เรขาคณิตสามมติ ิ 3. วาดหรอื ประดิษฐร๑ ปู เรขาคณิต 3. การวาดหรือประดิษฐ๑ 2 ทีป่ ระกอบข้นึ จากลกู บาศก๑ เมอ่ื รูปเรขาคณิตทีป่ ระกอบข้นึ กําหนดภาพสองมิติท่ไี ดจ๎ ากการ จากลูกบาศก๑ มองทางดา๎ นหน๎า ดา๎ นข๎าง หรอื ดา๎ นบนได๎ 9 สถติ ิ (21) 1. เกบ็ รวบรวมขอ๎ มลู ทเี่ หมาะสม 1. การรวบรวมข๎อมูล 2 ได๎ 2. การนําเสนอข๎อมลู 6 2. นําเสนอขอ๎ มูลในรปู แบบที่ 3. การหาคํากลางของ 7 เหมาะสมได๎ ขอ๎ มูล 3. การหาคํากลางของข๎อมูลท่ี ไมํ 4. การเลอื กใช๎คํากลาง 2 แจกแจงความถี่ได๎ ของขอ๎ มูล

82 ที่ หวั เร่ือง ตวั ชวี้ ดั เนื้อหา จาํ นวน (ชว่ั โมง) 4. เลอื กและใช๎คํากลางของข๎อมูล 5. การอําน การแปล 2 ทก่ี าํ หนดให๎ไดอ๎ ยํางเหมาะสม ความหมายและ 5. อําน แปลความหมาย และ การวิเคราะห๑ข๎อมลู วเิ คราะห๑ข๎อมลู จากการนําเสนอ 6. การใช๎ข๎อมลู สารสนเทศ 2 ขอ๎ มลู ท่ีกาํ หนดให๎ได๎ 6. อภิปรายและใหข๎ ๎อคิดเหน็ เก่ียวกับข๎อมูลขําวสารทางสถิตทิ ี่ สมเหตสุ มผลได๎ 10 ความนาํ จะเปน็ 1. หาความนาํ จะเปน็ ของ 1. การทดลองสํุม และ 3 (15) เหตุการณ๑จากการทดลองสุํมทผ่ี ล เหตุการณ๑ แตํละตวั มีโอกาสทีจ่ ะเกิดขนึ้ เทาํ ๆ กันได๎ 2. การหาความนําจะเปน็ 7 2. ใช๎ความร๎ูเก่ียวกับความนําจะ ของเหตุการณ๑ เป็นในการคาดการณไ๑ ด๎อยําง 3. การนําความนําจะเปน็ 5 สมเหตุสมผล ของเหตุการณต๑ ํางๆ ไปใช๎ 3. ใชค๎ วามร๎เู ก่ยี วกับความนําจะ เปน็ ประกอบการตดั สินใจได๎

83 วิชาวิทยาศาสตร๑

84 สาระความรพ๎ู นื้ ฐาน วิทยาศาสตร๑ สาระความรู๎พ้นื ฐาน เป็นสาระเกี่ยวกับภาษาและการส่ือสาร คณิตศาสตร๑ วิทยาศาสตร๑ และเทคโนโลยี มาตรฐานการเรียนร๎ู มาตรฐานที่ 2.1 มคี วามร๎ูความเข๎าใจ และทักษะพ้ืนฐานเกี่ยวกับภาษาและการสือ่ สาร มาตรฐานท่ี 2.2 มีความร๎ูความเข๎าใจ และทักษะพื้นฐานเก่ียวกบั คณิตศาสตร๑ วทิ ยาศาสตร๑ และเทคโนโลยี

85 วิชาวทิ ยาศาสตร๑ เปาู หมายการเรยี นรู๎ ระดับมัธยมศกึ ษาตอนตน๎ 1. เข๎าใจกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร๑และเทคโนโลยีส่ิงมีชวี ิต และส่ิงแวดล๎อม สารเพื่อชวี ติ แรงและพลังงานเพ่ือชีวิต ดาราศาสตร๑เพ่ือชีวิต 2. มจี ิตวิทยาศาสตร๑ คุณธรรม จริยธรรม และคาํ นิยมที่เหมาะสมในการดําเนินชีวิต 3. มคี วามสามารถในการตัดสนิ ใจอยํางถูกต๎องตามกระบวนการทางวิทยาศาสตร๑ เพ่ือการดําเนนิ ชีวิตประจําวัน

86 มาตรฐานการเรยี นรรู๎ ะดบั ผลการเรยี นรท๎ู ค่ี าดหวงั

87 มาตรฐานการเรียนรรู๎ ะดบั ผลการเรยี นร๎ทู ค่ี าดหวงั มาตรฐานที่ 2.2 มีความร๎ูความเข๎าใจและทักษะพนื้ ฐานเกย่ี วกับคณิตศาสตร๑ วิทยาศาสตร๑ และเทคโนโลยี มาตรฐานการเรยี นรู๎ ผลการเรยี นรูท๎ คี่ าดหวงั วทิ ยาศาสตรแ๑ ละเทคโนโลยี 1. ใชค๎ วามร๎ูและกระบวนการทางวิทยาศาสตร๑ มคี วามร๎ู ความเขา๎ ใจ ทักษะ และเห็น วิธีการทางวิทยาศาสตร๑ ทกั ษะกระบวนการทาง คณุ คําเกี่ยวกบั กระบวนการทางวิทยาศาสตร๑ วทิ ยาศาสตร๑ เจตคติทางวิทยาศาสตร๑ และทํา เทคโนโลยี ส่ิงมชี ีวิต ระบบนเิ วศ โครงงานวิทยาศาสตร๑ได๎ ทรพั ยากรธรรมชาติและสง่ิ แวดล๎อม ในท๎องถ่ิน 2. อธิบายเก่ียวกบั เซลล๑ กระบวนการดาํ รงชวี ติ และประเทศ สาร แรง พลงั งาน กระบวนการ ของพืช และระบบตํางๆ ของสัตว๑ เปลี่ยนแปลงของโลก และดาราศาสตร๑ มจี ติ 3. อธบิ ายเกย่ี วกับความสัมพันธ๑ระหวําง วทิ ยาศาสตร๑และนําความร๎ไู ปใช๎ประโยชนใ๑ น ส่งิ มีชวี ิตกับสิ่งแวดล๎อม ในระบบนเิ วศ การ การดาํ เนนิ ชีวิต ถํายทอดพลังงาน การใช๎ ปัญหา การดแู ลรกั ษา และการอนรุ ักษ๑ทรัพยากร ธรรมชาตแิ ละส่ิงแวดล๎อมของทอ๎ งถนิ่ และประเทศ 4. อธบิ ายเก่ยี วกบั โลก และบรรยากาศ ปรากฏการณ๑ทางธรรมชาติ การกระทําของ มนุษย๑ท่ีมีผลตํอการเปล่ยี นแปลงของโลกใน ปจั จบุ ัน การปอู งกนั ภยั ทีเ่ กิดจากปรากฏการณ๑ ทางธรรมชาติ 5. อธบิ ายเก่ยี วกับสมบตั ิทางกายภาพและทาง เคมีของสาร การจําแนกสาร กรด เบส ธาตุ สารประกอบ สารละลาย และของผสม และใช๎ สารและผลิตภัณฑใ๑ นชีวิตประจาํ วนั ได๎อยาํ ง ถกู ต๎องและปลอดภยั ตํอชวี ิต 6. อธบิ ายเกี่ยวกับแรง และการใชป๎ ระโยชน๑ ของแรง 7. เกย่ี วกบั พลังงานไฟ ฟาู การตอํ วงจรไฟฟาู เครอ่ื งใช๎ไฟฟูาในชวี ิตประจําวัน แสงและสมบัติ ของแสง เลนส๑ ประโยชน๑และโทษจากแสง การเปลีย่ นรูปพลังงาน พลงั งานความร๎อนและ แหลงํ กําเนิด การนําพลงั งานไปใช๎ประโยชน๑ใน ชีวิตประจาํ วนั และการอนุรักษ๑พลังงานได๎ 8. อธิบายเกยี่ วกบั ดวงดาว และการใช๎ประโยชน๑

88

89 คาํ อธบิ ายรายวชิ าบังคบั และ รายละเอยี ดคาํ อธบิ ายรายวชิ าบงั คบั ระดับมธั ยมศกึ ษาตอนตน๎

90 คําอธิบายรายวชิ าบงั คับ สาระความรพู๎ ืน้ ฐาน มาตรฐานที่ รหสั รายวชิ า ระดบั มธั ยมศกึ ษาตอนตน๎ หนวํ ยกติ 2.2 พว 21001 รายวชิ า 4 4 วิทยาศาสตร๑ รวม

91 คาํ อธิบายรายวิชา พว21001 วทิ ยาศาสตร๑ จํานวน 4 หนํวยกติ ระดบั มธั ยมศกึ ษาตอนต๎น มาตรฐานการเรยี นรร๎ู ะดบั มีความร๎ู ความเข๎าใจ ทักษะ และเห็นคุณคําเก่ียวกับกระบวนการทางวิทยาศาสตร๑ เทคโนโลยี ส่ิงมีชีวิต ระบบนิเวศ ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล๎อม ในท๎องถิ่นและประเทศ สาร แรง พลังงาน กระบวนการเปลี่ยนแปลงของโลก และดาราศาสตร๑ มีจิตวิทยาศาสตร๑และนําความรู๎ไปใช๎ประโยชน๑ในการ ดาํ เนินชีวิต ศกึ ษาและฝกึ ทักษะเก่ยี วกบั เรอื่ งตํอไปน้ี 1. กระบวนการทางวิทยาศาสตร๑ และเทคโนโลยี ธรรมชาติของวิทยาศาสตร๑ กระบวนการทางวทิ ยาศาสตร๑ วธิ ีการทางวิทยาศาสตร๑ ทักษะ กระบวนการทางวิทยาศาสตร๑ เจตคติทางวิทยาศาสตร๑ เทคโนโลยี และโครงงานวทิ ยาศาสตร๑ 2. สง่ิ มชี วี ติ และส่งิ แวดล๎อม เซลล๑ กระบวนการดาํ รงชวี ิตของพืชและสตั ว๑ ระบบนเิ วศ โลก บรรยากาศ ปรากฏการณ๑ ทางธรรมชาติ ทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล๎อม 3. สารเพอื่ ชวี ติ การจําแนกสาร ธาตุและสารประกอบ สารละลาย กรด-เบส สารและผลิตภัณฑ๑ในชวี ติ 4. แรงและพลงั งานเพือ่ ชวี ติ แรงและการใชป๎ ระโยชน๑ของแรง งานและพลังงาน 5. ดาราศาสตรเ๑ พอ่ื ชวี ติ ดวงดาวกับชวี ติ เพื่อให๎ผ๎ูเรียนเกดิ ความรู๎ ความเข๎าใจ ความคิด และทักษะ มี ความสามารถในการตดั สินใจ นาํ ความร๎ูไปใช๎ในชวี ิตประจําวัน มจี ิตวทิ ยาศาสตร๑ คุณธรรม จริยธรรม และคํานิยมที่เหมาะสม การจดั ประสบการณก๑ ารเรยี นร๎ู ใหผ๎ เู๎ รียน ศึกษา คน๎ คว๎า สํารวจ ตรวจสอบ ทดลอง จําแนก อธิบาย อภิปราย นําเสนอด๎วยการจัด กระบวนการเรียนรด๎ู ๎วยการพบกลํุม การสอนเสริม การเรยี นรู๎ดว๎ ยตนเอง การรายงาน การศกึ ษา จาก แหลํงเรียนร๎ู ประสบการณ๑ตรงโดยใช๎สถานการณ๑จริง ปรากฏการณ๑ธรรมชาติ และประสบการณ๑จาก ผูเ๎ รยี น การวดั และประเมนิ ผล ประเมินจากการสงั เกต การอภิปราย การสัมภาษณ๑ ทักษะปฏิบัติ รายงานการทดลอง การมีสํวน รํวมในกิจกรรมการเรียนรู๎ ผลงาน การทดสอบ การประเมิน การนําไปใชป๎ ระโยชนใ๑ นชวี ติ ประจําวัน

92 รายละเอียด คาํ อธบิ ายรายวิชา พว21001 วทิ ยาศาสตร๑ จาํ นวน 4 หนวํ ยกติ ระดับมธั ยมศกึ ษาตอนต๎น มาตรฐานท่กี ารเรยี นรร๎ู ะดับ มีความร๎ู ความเข๎าใจ ทักษะ และเห็นคุณคําเกี่ยวกับกระบวนการทางวิทยาศาสตร๑ เทคโนโลยี สิ่งมีชีวิต ระบบนิเวศ ทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล๎อม ในท๎องถิ่นและประเทศ สาร แรง พลังงาน กระบวนการเปล่ียนแปลงของโลก และดาราศาสตร๑ มีจิตวิทยาศาสตร๑และนําความรู๎ไปใช๎ประโยชน๑ ในการดาํ เนินชวี ติ ที่ หวั เรอ่ื ง ตวั ชวี้ ดั เนือ้ หา จาํ นวน (ชวั่ โมง) 1 กระบวนการทาง วทิ ยาศาสตร๑ และเทคโนโลยี 1.1 กระบวนการ 1. อธิบายธรรมชาตแิ ละ 1. กระบวนการทาง 5 ทางวทิ ยาศาสตร๑ ความสาํ คญั ของวทิ ยาศาสตร๑ วทิ ยาศาสตร๑ และเทคโนโลยี และเทคโนโลยไี ด๎ 1.1 ความหมายและ 2. อธบิ ายกระบวนการทาง ความสาํ คัญของวทิ ยาศาสตร๑ วทิ ยาศาสตร๑ วิธกี ารทาง และเทคโนโลยี วทิ ยาศาสตร๑ ทักษะ 1.2 กระบวนการทาง กระบวนการทางวทิ ยาศาสตร๑ วทิ ยาศาสตร๑ และเจตคติทางวทิ ยาศาสตร๑ได๎ 1.2.1วิธกี ารทาง 3. นําความรู๎ และกระบวนการ วิทยาศาสตร๑ 5 ข้ัน ทางวทิ ยาศาสตร๑ไปใชแ๎ กป๎ ัญหา 1.2.2 ทักษะกระบวน ตํางๆ ได๎ การทางวิทยาศาสตร๑ 13 4. อธบิ ายความหมาย ทกั ษะ ความสําคัญ และความสมั พนั ธ๑ 1.2.3 เจตคตทิ าง ของเทคโนโลยตี ํอชีวติ และ วิทยาศาสตร๑ 6 ลักษณะ สังคมได๎ 2. เทคโนโลยี 5. นาํ ความรู๎ และเลอื กใช๎ 2.1 ความหมาย และ เทคโนโลยไี ด๎อยํางเหมาะสม ความสัมพันธ๑ของ วทิ ยาศาสตร๑และเทคโนโลยี 6. เลอื กใช๎วัสดุ และอปุ กรณ๑ทาง ตํอชีวติ และสังคม วทิ ยาศาสตร๑ได๎อยํางถูกต๎องและ 2.2 ความกา๎ วหนา๎ ของ เหมาะสม เทคโนโลยใี นปจั จบุ นั 7. เกดิ เจตคติทางวทิ ยาศาสตร๑ 2.3 เทคโนโลยีกบั การ 8. มีจติ วทิ ยาศาสตร๑ ประกอบอาชีพ และการ


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook