หนา้ 1 จาก 14
หนา้ 2 จาก 14จุดประสงคก์ ารเรยี นรู้ 1. บอกระบบทางเดนิ อาหารสตั ว์ 2. เลือกใชอ้ าหารสาหรับสตั วแ์ ต่ละชนิดได้ถูกต้องตามหลักการ 3. ผสมอาหารเพอื่ ใช้เลีย้ งสตั วไ์ ดต้ ามหลกั การและกระบวนการ อาหารสตั ว์ หมายถงึ ส่งิ ทส่ี ตั วก์ นิ เขา้ ไปแล้วไมเ่ ป็นอนั ตรายต่อสัตว์ สามารถยอ่ ยและดูดซึมในรา่ งกายสัตว์ สตั วส์ ามารถนาไปใชป้ ระโยชนไ์ ด้ อาหารท่ใี ชเ้ ล้ยี งสตั วม์ ที ้งั อาหารหยาบและอาหารขน้ สตั วแ์ ตล่ ะชนดิ แตล่ ะประเภทจะมคี วามต้องการอาหารแตกตา่ งกัน ทง้ั น้ขี ึน้ กับลกั ษณะของระบบทางเดนิ อาหารของสัตว์1. ประโยชนข์ องอาหารสตั ว์ เม่ือสัตวก์ นิ อาหารเข้าสรู่ า่ งกาย ร่างกายสามารถนาอาหารไปใชป้ ระโยชน์ไดด้ งั นี้ 1.1 ทาใหร้ า่ งกายดารงชีพไดต้ ามปกติ 1.2 ช่วยในการเจรญิ เตบิ โต 1.3 ช่วยในการสืบพันธุ์ 1.4 ช่วยในการสร้างผลผลติ2. สว่ นประกอบของอาหารสัตว์ อาหารสัตว์ประกอบด้วยโภชนะ 6 ชนิด คอื นา้ โปรตีน คาร์โบไฮเดรต ไขมัน วติ ามินและแร่ธาตุ 2.1 นา้ (Water) น้าเป็นส่วนประกอบท่ีสาคัญของพชื และสัตว์ ในพืชอาหารสัตวจ์ ะมนี า้ เป็นสว่ นประกอบประมาณ 70-90 เปอร์เซน็ ต์ สว่ นในอาหารข้นจะมีน้าเปน็ ส่วนประกอบประมาณ 10-15 เปอรเ์ ซน็ ต์ ในรา่ งกายสตั ว์จะมนี า้ เป็นส่วนประกอบประมาณ 50-80 เปอร์เซน็ ต์ โดยสตั ว์อายุน้อยจะมนี า้ มากกว่าสัตวอ์ ายุมาก สัตว์จะดารงชวี ติ อยูไ่ ม่ไดถ้ า้ ขาดนา้ ถึงแม้วา่ นา้ จะไมม่ ีคณุ คา่ ทางอาหาร แตน่ ้ามีความสาคัญอย่างยิง่ ตอ่ ร่างกายสัตว์ น้าจะเข้าไปทาหน้าท่ตี ่างๆ ที่สาคญั ในร่างกาย เช่น ช่วยในการย่อยและดูดซมึ อาหาร ช่วยควบคมุ อุณหภมู ริ า่ งกายให้คงที่ช่วยในการกาจดั ของเสียออกจากร่างกาย และเป็นส่วนประกอบของสว่ นต่างๆ ในรา่ งกายสัตว์
หน้า 3 จาก 14 2.2 โปรตนี (Protein) โปรตีนเป็นสารอาหารทีจ่ าเปน็ ตอ่ ร่างกายสตั ว์ทุกชนดิ โปรตีนเปน็ ส่วนประกอบของอวยั วะในร่างกาย เม่อื สัตว์กินโปรตนี เข้าสูร่ ่างกาย โปรตนี จะถกู ยอ่ ยสลายจนเหลืออนุภาคเลก็สุดเรียกว่ากรดอะมิโน (Amino Acid) ร่างกายจึงจะดูดซึมไปใช้ประโยชนไ์ ด้ สตั ว์แต่ละชนิดแต่ละประเภท แต่ละขนาด มคี วามต้องการโปรตนี ไม่เท่ากนั สัตวก์ ระเพาะรวมตอ้ งการโปรตนี ในอาหารนอ้ ยกวา่ สัตวก์ ระเพาะเดี่ยวและสัตวป์ กี สตั ว์กาลงั ใหผ้ ลผลติ ตอ้ งการโปรตนีมากกว่าสตั ว์ธรรมดา และสัตวอ์ ายุน้อยตอ้ งการโปรตนี สงู กว่าสัตวอ์ ายุมาก 2.3 คารโ์ บไฮเดรต (Carbohydrate) ในอาหารสัตวส์ ว่ นใหญม่ ีคารโ์ บไฮเดรตมากกวา่ 70 เปอร์เซ็นต์ของอาหารทัง้ หมดคาร์โบไฮเดรตเป็นสารอาหารทใ่ี หพ้ ลงั งานตอ่ สตั ว์ อาหารจากพืชมคี าร์โบไฮเดรตเกอื บทกุ สว่ นเชน่ ในเมลด็ ในรากและเยอ่ื ใย ส่วนในรา่ งกายสตั วจ์ ะพบคารโ์ บไฮเดรตอยนู่ อ้ ยมากโดยท่ัวไปสัตวจ์ ะใช้คาร์โบไฮเดรตเปน็ แหลง่ พลังงาน ร่างกายจะนาคาร์โบไฮเดรตไปใช้ประโยชนไ์ ด้เม่อื คารโ์ บไฮเดรตถกู ย่อยเปน็ หนว่ ยทีเ่ ลก็ ทส่ี ุด เรยี กว่ากลูโคส (Glucose) เทา่ นน้ั 2.4 ไขมนั และนา้ มัน (Fat and Oil) ส่วนประกอบทัว่ ไปของไขมนั และนา้ มนั เหมือนคาร์โบไฮเดรต แต่จะใหพ้ ลังงานสงู กว่าคาร์โบไฮเดรต 2.25 เท่า ไขมันและนา้ มันไมล่ ะลายน้าแต่ละลายในอเี ทอร์ (Ether) และคลอโรฟอร์ม (Chloroform) ในสตั วไ์ ขมันจะอยูใ่ นรูปของแขง็ ในอณุ หภูมหิ อ้ ง ส่วนในพชื จะพบอยู่ในรูปนา้ มันซึง่ จะอยู่ในรปู ของเหลวในอุณหภมู ิห้อง หน่วยที่เล็กทส่ี ดุ ของไขมนั ท่ีรา่ งกายสามารถดูดซึมไปใชป้ ระโยชนไ์ ดเ้ รยี กว่ากรดไขมัน (Fatty Acid) ไขมนั จะมีอยู่ทวั่ ไปในอาหาร ในส่วนของตน้ และใบพชื จะมีไขมันไมม่ าก แตจ่ ะมมี ากในเมลด็ พืชบางชนดิ เช่น พืชตระกูลถ่ัวและเน้อื มะพร้าว สว่ นในสัตว์จะมีไขมนั มากหรือน้อยข้นึ อยู่กับอายุและความอ้วนผอมของสัตว์ ไขมนั นอกจากจะเป็นแหลง่ พลงั งานเหมอื นคาร์โบไฮเดรตแล้ว ยงั เป็นฉนวนกนั ความเยน็ จากภายนอก ทาใหร้ ่างกายอบอนุ่ และเปน็ ฉนวนหอ่ ห้มุ ป้องกันการกระทบกระเทอื นของอวัยวะตา่ งๆ นอกจากน้ียงั มหี นา้ ที่เปน็ ตัวละลายวิตามนิ อกี ด้วย 2.5 วติ ามิน (Vitamin) วติ ามินมีความจาเปน็ อยา่ งมากตอ่ การดารงชพี และการเจรญิ เตบิ โต เม่ือเทยี บกับสารอาหารชนิดอื่นรา่ งกายสตั ว์ต้องการวติ ามินน้อยมาก แตเ่ พอ่ื ให้สตั ว์มีความเป็นอยู่ตามปกตมิ ีสุขภาพดี สัตว์จะตอ้ งได้รบั วติ ามินเพยี งพอกบั ความตอ้ งการ วิตามนิ แบ่งตามสภาพการละลายได้ 2 กลุม่ คือ วิตามนิ ทล่ี ะลายในไขมนั ได้แก่ วติ ามินเอ วติ ามินดี วิตามนิ อี และวติ ามินเควิตามนิ ทลี่ ะลายในนา้ ได้แก่ วติ ามินซแี ละวิตามินบีรวม (B-Complex) 2.6 แรธ่ าตุ(Mineral) แร่ธาตุเป็นส่วนของโภชนะท่ไี มเ่ ผาไหมต้ อ่ ไป หรือเรยี กอกี อยา่ งหนงึ่ วา่ เถ้า (Ash) ท่ีจาเป็นต่อร่างกายสตั วม์ ีอยู่ประมาณ 15 ชนิด แบง่ ออกไดเ้ ปน็ 2 กลุ่มคอื กลุ่มทีส่ ตั วต์ อ้ งการมาก ไดแ้ ก่แคลเซยี ม (Ca) ฟอสฟอรสั (P) โซเดียม (Na) คลอรีน (Cl) โปแตสเซียม (K)
หน้า 4 จาก 14กามะถนั (S) และแมกนเี ซยี ม (Mg) กลุ่มทีส่ ตั วต์ อ้ งการนอ้ ย ได้แก่ เหล็ก (Fe) แมงกานสี(Mn) สงั กะสี (Zn) ทองแดง (Cu) ไอโอดีน (I) โมลิบดินมั (Mo) ซลี ีเนียม (Se) และโคบอลล์ (Co)3. ประเภทและชนดิ ของอาหารสตั ว์ 3.1 อาหารหยาบ (Roughage) อาหารหยาบท่ีใช้เลีย้ งสัตวโ์ ดยทว่ั ไปได้จากพชื 2 ชนดิ คือพชื ตระกูลหญา้ และพืชตระกลูถั่ว พชื ทง้ั 2 ชนดิ น้จี ะมอี ยูโ่ ดยท่วั ไปในธรรมชาติ ถา้ เกษตรกรเล้ยี งสัตว์พวกโค กระบือ แพะและแกะ จานวนไมม่ ากนักกไ็ ม่จาเป็นต้องปลูกพืชอาหารสตั ว์ แตถ่ า้ เลี้ยงสัตว์จานวนมากก็ต้องปลกู พชื อาหารสัตว์ การปลกู พืชอาหารสัตว์เพอ่ื ใหไ้ ด้ประโยชน์เต็มท่ี พิจารณาคณุ สมบตั ติ ่อไปนีค้ ือ ตอ้ งเป็นพชื ทปี่ ลกู ง่าย ขยายพันธไ์ุ ด้ง่ายและรวดเรว็ มคี ณุ คา่ ทางอาหารสงู ทนต่อการเหยียบย่าสัตวช์ อบกินและใหผ้ ลผลิตสูง โดยคุณค่าทางอาหารและผลผลิตของอาหารหยาบจะตา่ หรอื สงูขนึ้ อย่กู ับปัจจัยหลายประการ เชน่ พืชตระกูลถ่วั จะมคี ณุ ค่าทางอาหารสูงกว่าพชื ตระกลู หญ้าพชื อ่อนจะมเี ปอร์เซน็ ตโ์ ปรตีน วติ ามนิ และแรธ่ าตุสงู กวา่ พืชแก่ ดนิ มคี วามอดุ มสมบรู ณส์ ูงพืชอาหารสตั ว์ที่ปลูกยอ่ มมีคุณภาพสูงด้วยและการจดั การในทุ่งหญา้ ทาได้ถกู ต้องเหมาะสม พืชอาหารสัตว์นั้นจะมีคณุ ค่าทางอาหารมาก เจริญเตบิ โตไดด้ ี และใหผ้ ลผลิตสงู 3.1.1 พนั ธพุ์ ชื ตระกลู หญา้ ทน่ี ยิ มปลกู ในประเทศไทย 1) หญ้าขน (Mauritius or Para Grass) หญา้ ขนเป็นหญา้ ทป่ี ลกู ครั้งเดยี วใช้ประโยชน์ได้หลายปี มีขนทผ่ี วิ ใบมาก ลาตน้ กลวงเหมือนต้นขา้ ว เปน็ เถาเลอ้ื ย ขึน้ ไดใ้ นดินทุกประเภท แตใ่ ห้ผลผลติ ดีในดินรว่ นปนเหนยี ว ปลกู โดยการหว่านเถาแก่ซึ่งสับเป็นท่อนสน้ั ตดิขอ้ 2-3 ข้อ ลงบนดินซ่ึงเตรียมไวเ้ ปน็ อยา่ งดีแล้วไถกลบ เม่อื หญ้าอายไุ ด้ไม่น้อยกวา่ 80 วันจึงปล่อยสัตว์ลงแทะเลม็ ครงั้ แรกได้ 2) หญา้ ซิกแนล (Signal Grass) หญ้าซิกแนลมีลักษณะโดยทว่ั ไปเหมือนหญา้ขน ต่างกนั ทหี่ ญา้ ซกิ แนลลาต้นตัน จดั เป็นหญ้าท่ีปลกู แล้วใช้ประโยชน์ได้หลายปี เปน็ หญา้ ที่ทนต่อสภาพแหง้ แลง้ ไดด้ ีกว่าหญ้าขนแตค่ ณุ ภาพด้อยกวา่ หญา้ ซิกแนลมี 2 สายพันธ์ุ คอื สายพนั ธทุ์ มี่ ีลาต้นตั้งไมเ่ ลอ้ื ยเหมือนหญา้ ขนเรยี กว่า “ซกิ แนลตั้ง” ส่วนอีกสายพันธุ์มลี าต้นเปน็เถาเลอ้ื ยเหมอื นกับหญา้ ขนเรียก “ซิกแนลนอน” ซ่งึ เป็นพันธทุ์ โ่ี คชอบกิน เหมาะท่ีจะปล่อยให้สตั วล์ งแทะเลม็ เพราะมีใบมากกวา่ นิยมปลกู โดยการแยกกอปลกู 3) หญา้ รซู ่ี (Ruzi Grass) เป็นหญ้าท่ปี ลกู แล้วใชป้ ระโยชนไ์ ด้หลายปี แตกกอและมีเถาสัน้ ก่ึงแผก่ ง่ึ ต้ังตรง ลกั ษณะลาต้นมีขนปกคลมุ นอ้ ยกว่าหญ้าขนแต่มใี บดกกว่า ตามใบและแผ่นใบมีขนขาวปกคลมุ หนาและนมุ่ กวา่ หญา้ ขนเป็นหญา้ ทีท่ นตอ่ อากาศร้อนและความแหง้ แลง้ ไดด้ ี ทนตอ่ การแทะเลม็ และเหยยี บยา่ ปลกู โดยแยกกอหรือใชเ้ มล็ดก็ได้ นยิ มใชเ้ มลด็ปลูกมากกวา่ เพราะสะดวกและเมล็ดมีเปอรเ์ ซ็นต์ความงอกสูง ใชอ้ ตั รา 2 กิโลกรัมตอ่ ไร่
หนา้ 5 จาก 14 4) หญ้ากินนี (Guinea Grass) หญ้ากินนีจัดเปน็ หญ้าท่ปี ลูกแล้วใช้ประโยชน์ได้หลายปีเช่นเดียวกับหญ้าขนและหญา้ ซิกแนล มลี กั ษณะการเจรญิ เติบโตแบบกอพุ่ม หญา้กินนีจะมีใบยาวกว่าหญ้าท้ังสองชนิดทกี่ ล่าวมาแล้วมกี อสงู ประมาณหนงึ่ เมตรถงึ หน่ึงเมตรครงึ่ ขึ้นได้ดใี นดนิ ร่วนปนทราย ปลูกโดยการใชก้ อทม่ี ีรากตดิ หรอื อาจใชเ้ มล็ดก็ได้ นยิ มตัดสดมาเลย้ี งสตั ว์ เหมาะสาหรบั ทาหญ้าหมกั 5) หญา้ เนเปยี ร์ (Napier Grass) เป็นหญา้ ประเภทคา้ งปี มีลกั ษณะเป็นกอ ถ้าปลอ่ ยทิ้งไว้จะแตกเป็นกอใหญม่ าก ใบมลี กั ษณะยาวเรียวคล้ายใบอ้อยแต่ความกวา้ งของใบน้อยกว่า เปน็ หญ้าท่ปี ลกู งา่ ย สตั วช์ อบกิน ใหผ้ ลผลติ ตอ่ ไร่สงู ข้นึ ไดด้ ีในดนิ ร่วนปนเหนยี วปลูกโดยใชท้ ่อนพันธุ์ นิยมตัดสดมาเล้ยี งสัตว์ เหมาะสาหรับทาหญา้ หมักหญ้าขน (Para Grass) หญา้ รซู ่ี (Ruzi Grass) หญา้ กินนี (Guinea Grass) หญา้ เนเปยี ร์ (Napier Grass)ภาพ แสดงตัวอยา่ งพืชอาหารสตั ว์ตระกลู หญา้ทม่ี า : คานึง หนดู าษ
หนา้ 6 จาก 14 3.1.2 พันธพุ์ ชื ตระกลู ถว่ั ทนี่ ิยมปลกู ในประเทศไทย 1) ถ่ัวลาย (Centrosema) เป็นถ่วั ทน่ี ิยมปลกู คลมุ ดนิ โดยเฉพาะชาวสวนยางพารา จดั เป็นถั่วประเภทเลอื้ ย ใบและเถาคอ่ นขา้ งเล็ก ใบไม่มีขนใบกรอบโคชอบกนิ ทนความแหง้ แล้งและการเหยยี บย่าของโคไดด้ ี จดั เป็นพชื คา้ งปี นยิ มปลูกโดยใช้เมล็ดหว่านในท่งุ หญา้ ให้ขนึ้ รวมกับหญ้าโดยเฉพาะหญา้ ขนและหญ้าซิกแนล กอ่ นปลูกควรเร่งความงอกของเมลด็ โดยแช่น้าร้อน 70 องศาเซลเซียส นาน 1-2 นาที แล้วนาออกผ่ึงแดดใหแ้ ห้ง เกบ็ ไว้หว่านเมอื่ ต้องการปลูกหรอื แช่ในนา้ อุ่นทิ้งไวข้ า้ มคนื จงึ นาไปหว่าน 2) ถั่วสะไตโล (Stylo) จดั เป็นถัว่ พ่มุ ขนาดกลาง เป็นถัว่ ประเภทค้างปี ขึ้นไดด้ ีในสภาพดินท่ัวๆ ไป ปลูกโดยหว่านเมลด็ 1.5 กิโลกรัมตอ่ ไร่ แต่เมลด็ งอกชา้ และต้นกลา้ โตช้าจงึ ไมค่ ่อยนิยมในปจั จุบนั 3) ถั่วทาวสวลิ สะไตโล (Townsville Stylo) อยู่ในตระกลู เดียวกับสะไตโลแต่เปน็พืชปีเดยี ว คอื เมอื่ ผลิตเมลด็ แลว้ ต้นเดิมก็ตายไป เปน็ ถว่ั ท่แี พรพ่ นั ธไุ์ ดด้ ีมากในแหลง่ ท่เี ปน็ ดินทราย ขยายพันธ์โุ ดยหวา่ นเมลด็ 2 กิโลกรมั ต่อไร่ แต่ต้องหวา่ นเมล็ดลงบนผิวดินโดยไม่ตอ้ งกลบเมล็ด เพราะการกลบเมลด็ ทาให้เมล็ดงอกน้อยมาก เป็นถ่วั ท่ีเหมาะสาหรบั ทาหญ้าแหง้และทาทงุ่ หญ้าเล้ยี งสัตว์ 4) ถั่วเซอราโตร (Siratro) เปน็ ถ่ัวประเภทค้างปมี เี ถาเล้อื ยเช่นเดียวกับถ่วั ลายแตม่ ีลักษณะเป็นพชื อวบน้ามากกว่าถัว่ ลาย ทนแล้งได้ดพี อสมควร ขยายพันธุ์โดยใชเ้ มล็ด 2.5กิโลกรัมตอ่ ไร่ 5) ถ่วั ฮามาตา้ (Hamata) มีชอื่ เรยี กอกี อยา่ งว่าถัว่ เวอราโนเปน็ ถ่วั พมุ่ เตย้ี ปรับตวัเขา้ กบั ดินเลวไดด้ ี ติดเมล็ดดี แพร่พันธ์ุเร็วโคชอบกนิ ใชห้ วา่ นปรับปรงุ ทุ่งหญา้ เลย้ี งสัตว์สาธารณะ คันนาและริมถนน เป็นถวั่ ทที่ นตอ่ การเหยียบยา่ ได้ดีแตไ่ มท่ นต่อร่มเงา ขยายพันธุ์โดยใชเ้ มลด็ หวา่ นอัตรา 2 กโิ ลกรมั ตอ่ ไร่ ภาพแสดงตวั อย่างถั่วฮามาตา้ ที่มา : คานึง หนูดาษ
หน้า 7 จาก 14 3.1.3 การเกบ็ ถนอมพชื อาหารสตั ว์ พืชอาหารสัตวน์ อกจากจะให้สตั ว์กนิ ในรปู อาหารหยาบสดแลว้ หากบางฤดูกาลในชว่ งท่พี ืชอาหารสตั ว์มีความอุดมสมบูรณ์และมีมากเกนิ ความตอ้ งการของสตั ว์ ผูเ้ ลี้ยงสตั ว์สามารถเก็บถนอมพืชอาหารสัตว์เหล่านัน้ ไวใ้ ช้เลี้ยงสัตว์ในยามขาดแคลนได้ ซึ่งสามารถทาได้โดยตัดหญ้ามาผ่ึงแดดใหแ้ ห้งพอเหมาะเรียกวา่ “หญา้ แหง้ ” หรอื ตัดหญา้ มาหมักในหลมุ อดั ให้แนน่ ปดิ ไมใ่ ห้อากาศผา่ นเข้าออกไดเ้ รยี กว่า “หญ้าหมัก” 1) หญ้าแหง้ (Hay) หญ้าแหง้ หมายถงึ พืชอาหารสัตวท์ ท่ี าใหแ้ ห้งเหลือความชืน้ ไม่เกนิ 15 เปอร์เซ็นต์ โดยคณุ คา่ ทางอาหารสตั วล์ ดลงน้อยท่สี ุด หญ้าแหง้ ทาโดยเกยี่ วหญา้ ท่มี ีลาตน้ เลก็ มีใบมาก เช่นหญ้ารซู ่ี หญา้ ขน หญ้าแพงโกล่า มาผ่งึ แดดไว้ 1-2 แดดหากไมม่ ีแดด อาจมดั หญา้ ทเ่ี กี่ยวใหเ้ ป็นฟอ่ นเล็ก ๆ แล้วผง่ึ บนราวใต้ถนุ บา้ น หม่ันกลบั หญ้าบ่อย ๆ หญา้ จะแหง้ ภายใน 3-4 วนั หญา้ แห้งสนิทดแี ล้วกใ็ ชเ้ ชือกมดั เปน็ ฟ่อน แล้วนาไปเก็บบนโรงเรือน หญา้ แห้งท่ีคณุ ภาพดคี วรมีลักษณะดงั น้ี คือ ทาจากพชื ทีไ่ ม่อ่อนหรือแกเ่ กินไปตากแหง้ สนิทไม่มรี าข้ึน ไม่แห้งกรอบจนใบรว่ ง มีใบเหลืออยมู่ าก และมีสเี ขยี วอย่มู าก ภาพแสดงการอดั พชื อาหารสตั ว์แบบฟอ่ นสีเ่ หลีย่ ม ท่ีมา : คานงึ หนดู าษ 2) หญ้าหมัก (Silage) หญา้ หมัก หมายถึง พืชอาหารสัตว์ตา่ งๆ ท่ีเก็บไว้ ในท่ีไม่มีอากาศในสภาพความชืน้ สงู ซึ่งสามารถเก็บไดเ้ ปน็ เวลานานโดยสว่ นประกอบและคณุ คา่ทางอาหารไมเ่ ปลีย่ นแปลง การทาหญ้าหมักคอ่ นข้างจะยุ่งยากกว่าการทาหญ้าแห้ง กล่าวคอืจะตอ้ งมีหลมุ หรือภาชนะหมักท่ีไม่ร่ัวจนน้าไหลเขา้ หรือซมึ ออกได้ หลมุ หรือภาชนะหมกั ทีม่ ีปริมาตร 1 ลกู บาศก์เมตร สามารถจุหญ้าหมกั ได้ 500-750 กโิ ลกรมั ขึ้นอยกู่ บั การอัดหญา้ วา่แน่นมากหรือนอ้ ยแค่ไหน นอกจากนี้ขน้ึ อยู่กับชนดิ และความแก่ออ่ นของหญา้ ดว้ ย ถ้าเล้ียงสัตวจ์ านวนไมม่ ากนยิ มทาหญา้ หมกั ใส่ถุงพลาสติกสดี าขนาด 30 x 40 นวิ้ หญา้ ทเ่ี หมาะสมในการทาหญา้ หมกั ควรเป็นหญา้ ทีล่ าต้นใหญ่ อวบนา้ เช่น หญ้ากนิ นี หญา้ เนเปียร์ ตน้ขา้ วโพดและต้นข้าวฟ่าง โดยมขี น้ั ตอนการทาหญ้าหมกั ดังน้ี
หน้า 8 จาก 14 (1) สับหญ้าเปน็ ท่อนสัน้ ๆ มคี วามยาว 2-3 นิว้ (2) ปรับสภาพของหญา้ ใหเ้ หมาะสม คอื ถ้าหญ้าออ่ นเกินไปกต็ ้องผงึ่ แดดใหเ้ หยี่ วหรอื เติมวสั ดุแหง้ อื่นๆ เชน่ ใช้ราข้าวมาผสมจนมสี ง่ิ แห้งประมาณ 65 เปอรเ์ ซน็ ต์หากหญ้าแห้งเกินไป ต้องเติมน้าใหไ้ ดร้ ะดับสิง่ แหง้ 65 เปอรเ์ ซน็ ต์ เชน่ กนั (3) อดั หญ้าท่ีสับและปรบั ระดับสิ่งแหง้ แล้วลงในหลุมหรอื ภาชนะหมกั ให้แน่นท่สี ุดเทา่ ทีจ่ ะทาได้ โดยอัดเปน็ ชั้นๆ จนเต็ม (4) ปิดหลุมหรือภาชนะหมกั อย่าใหอ้ ากาศผ่านเขา้ ออกได้ (5) หมักไวใ้ นสภาพนน้ี าน 21 วัน แลว้ จงึ เปดิ เล้ียงสตั วไ์ ด้ โดยเปดิ เอาแค่เพียงพอเลย้ี งสัตวใ์ นคร้งั หน่งึ ๆ เทา่ นน้ั (6) ตรวจคณุ ภาพโดยหญ้าหมกั ท่มี ีคณุ ภาพดีควรมลี กั ษณะดงั น้ีคือ ไม่มีราขึน้ มีกลนิ่ หอมชวนกิน สเี หลืองปนเขยี ว ไม่ดาคลา้ ไม่มีกล่ินเหม็น ไม่เปร้ยี วมากเกินไปและไมแ่ ฉะเกินไป 3.2 อาหารขน้ อาหารข้นมีความสาคัญมากสาหรับสัตวป์ ีกและสกุ รโดยทัว่ ไปอาหารขน้ หรือวตั ถดุ บิอาหารสตั ว์แบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท คือ วัตถุดบิ ท่ีใหพ้ ลงั งาน และวตั ถุดิบท่ีให้โปรตนี 3.2.1 วตั ถุดบิ ทใี่ หพ้ ลงั งาน เป็นวัตถดุ บิ ทมี่ แี ป้งเป็นสว่ นประกอบประมาณ 70-80 เปอรเ์ ซน็ ต์ มีโปรตนี ตา่ประมาณ 8-12 เปอรเ์ ซ็นต์ และโปรตีนมกั มคี ุณภาพต่า วตั ถดุ ิบประเภทนที้ ่ีนยิ มใช้ได้แก่ 1) ปลายขา้ ว (Broken rice) เป็นผลพลอยได้จากการสขี า้ ว มีแป้งและน้าตาลคอ่ นข้างสูงสามารถใชแ้ ทนขา้ วโพดได้ในสตู รอาหาร มโี ปรตีนประมาณ 8 เปอรเ์ ซน็ ต์ 2) ราละเอียด (Rice polish) มโี ปรตีนประมาณ 12 เปอรเ์ ซน็ ต์ มีไขมนั สงู ถา้เกบ็ ไวน้ านจะทาใหม้ กี ลนิ่ หืน ดงั นั้นในการเลี้ยงสัตว์ควรใชร้ าละเอยี ดใหม่ และหากวา่ รามีราคาแพงต้องระวังการปลอมปน 3) ราหยาบ (Rice bran) ทงั้ ราหยาบและราละเอยี ดเป็นผลพลอยไดจ้ ากการสีขา้ วเชน่ กนั แตร่ าหยาบมโี ปรตนี ประมาณ 8 เปอรเ์ ซน็ ต์และมเี ยือ่ ใยสูง 4) ขา้ วโพด (Corn) เปน็ อาหารท่สี ตั ว์ชอบกิน ขา้ วโพดทีม่ สี เี หลอื งจะมี สารต้นกาเนดิ วติ ามินเออยสู่ งู (Carotene) ขา้ วโพดมีโปรตนี ประมาณ 8 เปอรเ์ ซน็ ต์ ในประเทศไทยนยิ มใช้เมลด็ ข้าวโพดที่บดละเอียดพอสมควรมาใช้เล้ียงสัตว์ เพราะจะชว่ ยให้สตั วย์ ่อยได้เต็มท่ีและเมอื่ ผสมกบั วัตถุดบิ อน่ื ๆ กจ็ ะคลกุ เคลา้ ไดเ้ ป็นอย่างดี 5) มันเสน้ (Cassava meal) มันเส้นคอื การนาหัวมนั สาปะหลังมาสบั ตากแดดใหแ้ ห้ง มันเส้นเปน็ อาหารทม่ี คี ารโ์ บไฮเดรตสงู มีโปรตนี ตา่ ประมาณ 2 เปอร์เซ็นต์ เหมาะที่จะใชเ้ ปน็ แหลง่ พลังงานในสตู รอาหารสัตว์
หนา้ 9 จาก 14 6) กากน้าตาล (Molasses) เปน็ ผลพลอยไดจ้ ากการผลติ น้าตาลทราย ซงึ่ เป็นส่วนที่ไม่ตกผลึก มีลักษณะเหนยี ว หวาน และมีคุณสมบตั เิ ปน็ ยาระบายออ่ นๆ มโี ปรตนี อยู่ประมาณ 3-7 เปอร์เซน็ ต์ นยิ มใช้ผสมกบั อาหารอน่ื ๆ เพอ่ื เพมิ่ ความน่ากิน ปลายขา้ ว ราละเอยี ดข้าวโพดบด มนั เส้นภาพแสดงตวั อยา่ งวตั ถุดิบอาหารสัตว์ ประเภทให้พลังงาน ท่ีมา : คานงึ หนูดาษ 3.2.2 วตั ถุดบิ ทใ่ี หโ้ ปรตนี วัตถดุ บิ ท่ใี หโ้ ปรตีนเป็นวัตถดุ ิบอาหารสัตวท์ ่มี รี ะดับโปรตีนสูงและเป็นโปรตีนทมี่ ีคณุ ภาพค่อนข้างดี วัตถุดบิ ประเภทน้แี บง่ ออกไดเ้ ป็น 2 กล่มุ ตามแหล่งท่มี าคือ วตั ถดุ บิโปรตีนจากสัตว์ และวตั ถดุ ิบโปรตนี จากพืช 1) วัตถดุ บิ โปรตนี จากสตั ว์ เป็นแหลง่ โปรตนี ซ่งึ มคี ณุ ภาพดีกว่าโปรตนี จากพชืไดแ้ ก่ (1) ปลาปน่ (Fish meal) มโี ปรตนี ประมาณ 50-60 เปอร์เซน็ ต์ ข้ึนอยู่กบัชนดิ ของปลา และข้นั ตอนการผลิต มีธาตแุ คลเซยี มและฟอสฟอรัสสงู มีวิตามินบีสงู ปลาป่นมคี วามนา่ กนิ สตั วช์ อบกนิ ไมน่ ิยมผสมในอาหารโครดี นม เพราะมีกลิ่นแรงทาให้นา้ นมมีกล่นิ คาวปลา
หน้า 10 จาก 14 (2) เนอ้ื ปน่ (Meat scrap) เน้ือป่นเป็นวัตถดุ บิ อาหารสตั ว์ทไ่ี ดจ้ ากการปน่ เนอ้ืหรือเศษเนือ้ ทเี่ หลือทงิ้ จากโรงฆ่าสัตว์ แต่ไมค่ วรมเี ขา ขน กบี มูลสตั ว์ หรอื เศษอาหารปนมาและถ้าหากมปี ริมาณฟอสฟอรสั สูงเกิน 4.4 เปอร์เซ็นต์ ถือว่าเปน็ เนอ้ื และกระดกู ป่น เนอ้ื ปน่มโี ปรตีนประมาณ 50 เปอร์เซ็นต์ มีระดบั แคลเซียมและฟอสฟอรสั สูง (3) แกลบกงุ้ (Shrimp meal) เป็นส่วนท่เี หลือทง้ิ จากการทากุง้ แหง้ และกุ้งกระปอ๋ ง ประกอบด้วยสว่ นหวั กงุ้ และเปลอื กก้งุ มีโปรตีนประมาณ 33-37 เปอรเ์ ซน็ ต์ มีธาตุแคลเซยี มสงู ประมาณ 5-27 เปอร์เซ็นต์ กล่นิ หอมนา่ กนิ ปรมิ าณของโปรตีนไม่แนน่ อนข้นึ อยู่กับแคลเซยี ม ถ้าแคลเซยี มสงู โปรตนี จะตา่ นอกจากน้ีแกลบก้งุ มีเกลอื ในปริมาณสูง (4) หางนมผง (Skim milk powder) เป็นส่วนของนา้ นมทีแ่ ยกเอาไขมันออกแล้วนาไประเหยนา้ ออก มโี ปรตนี 33 เปอรเ์ ซน็ ต์ เปน็ โปรตีนทมี่ คี ณุ ภาพดี ย่อยง่าย หางนมผงมีราคาแพง ถ้าใชป้ รมิ าณมากทาใหต้ น้ ทุนค่าอาหารสูง 2) วัตถดุ บิ โปรตนี จากพชื (1) กากถวั่ เหลอื ง (Soybean oil meal) เปน็ ผลพลอยไดจ้ ากโรงงานสกัดน้ามันถั่วเหลือง มโี ปรตีนประมาณ 42-48 เปอร์เซน็ ต์ คุณภาพโปรตนี ดีรองจากปลาป่น มีระดบั แคลเซยี มและฟอสฟอรัสตา่ ขาดแคโรทีนและไวตามนิ ดี (2) กากถว่ั ลสิ ง (Peanut oil meal) เปน็ ผลพลอยไดจ้ ากการนาเมลด็ ถ่วั ลสิ งซึ่งไดแ้ กะเปลือกออกแลว้ ไปสกดั หรอื อัดเอานา้ มันออก มีโปรตีนประมาณ 45 เปอร์เซ็นต์ แต่คณุ ภาพของโปรตีนดอ้ ยกวา่ กากถั่วเหลือง ถา้ กากถั่วลิสงมีเยื่อใยเกิน 7 เปอรเ์ ซ็นต์ แสดงว่ามีการปนเปลือกเขา้ ไปด้วย (3) ใบกระถนิ ปน่ (Leuceana leaf meal) ใบกระถินล้วน ๆ มโี ปรตีนสูงประมาณ 20-24 เปอรเ์ ซ็นต์ มเี ยอ่ื ใยสูง มีสารพิษไมโมซนิ (Mimosin) ทเ่ี ป็นพิษต่อสตั ว์ ถา้ใช้ในระดับสูงจะทาให้สตั ว์โตชา้ ขนร่วงและความสมบรู ณพ์ ันธุ์ต่า ใบกระถินยกั ษม์ ีสารไมโมซนิ ต่ากวา่ ใบกระถนิ บ้าน แตถ่ า้ ตากแดดหรือทาให้แห้งสารพษิ จะลดลง (4) กากเมลด็ ฝา้ ย (Cotton seed meal) เป็นผลพลอยไดจ้ ากการสกดั นา้ มนัเมลด็ ฝา้ ย มีโปรตนี สงู ประมาณ 41 เปอร์เซ็นต์ คณุ ภาพโปรตีนตา่ กวา่ กากถ่วั เหลอื งและในกากเมล็ดฝ้ายมีสารพิษท่เี รียกวา่ กอสซปิ อล (Gossypol) ซึง่ มผี ลทาใหส้ ตั วเ์ จรญิ เตบิ โตชา้ ลง (5) กากปาลม์ นา้ มนั (Palm Kernel seed meal) เป็นผลพลอยได้จากการสกัดน้ามนั ปาลม์ มี 2 ชนิด คือ กากปาล์มชนิดไมก่ ะเทาะเปลือก มโี ปรตนี ประมาณ 8เปอร์เซ็นต์ แต่มีเย่ือใยสูง 22-30 เปอร์เซ็นต์ และกากปาลม์ ชนิดกะเทาะเปลือก มโี ปรตีนประมาณ 16-18 เปอรเ์ ซน็ ต์ และมีเย่อื ใยประมาณ 14-15 เปอร์เซ็นต์ เหมาะท่ีจะใช้เลี้ยงสกุ ร
หนา้ 11 จาก 14ภาพแสดงตัวอย่างวตั ถุดบิ อาหารสตั ว์ ประเภทโปรตนีปลาปน่ กากปาลม์ นา้ มนั กากถวั่ เหลอื ง ใบกระถนิ ปน่ ที่มา : คานงึ หนูดาษ4. การผสมอาหารสตั ว์ การผสมอาหารสัตวเ์ ป็นการนาวตั ถดุ บิ หลาย ๆ อย่างมาผสมรวมกนั เพือ่ ให้ไดเ้ ปอร์เซ็นต์โปรตนี ตามตอ้ งการ มีท้งั การผสมดว้ ยมือสาหรับธุรกจิ เล้ียงสัตวข์ นาดเล็กและการผสมดว้ ยเคร่ืองผสมสาหรับธรุ กจิ ขนาดใหญ่ ยกตัวอย่างเช่นตอ้ งการผสมอาหารสกุ รรุ่นซงึ่ ต้องการโปรตนี 16 เปอรเ์ ซ็นต์ จานวน 100 กโิ ลกรัม โดยใชว้ ตั ถุดิบดังตอ่ ไปน้ี1) ปลาป่น จานวน 3.0 กโิ ลกรัม2) กากถั่วเหลืองจานวน 14.6 กิโลกรมั3) ปลายขา้ ว จานวน 50.4 กิโลกรัม4) ราละเอียด จานวน 30.0 กโิ ลกรมั5) กระดกู ป่น จานวน 1.0 กโิ ลกรัม6) เกลือ จานวน 0.5 กิโลกรมั7) พรีมิกซ์ จานวน 0.5 กิโลกรมั
หน้า 12 จาก 14 ขั้นตอนการผสมอาหาร การผสมด้วยเครอ่ื งจะไมม่ ีปัญหาเพราะข้นั ตอนไมซ่ บั ซอ้ น ในท่นี ้ีจะกลา่ วเฉพาะการผสมอาหารดว้ ยมอื เท่านน้ั 1. บดวัตถุดบิ ที่ใชท้ งั้ หมดให้มีอนุภาคเท่า ๆ กนั 2. นาวัตถุดบิ ท่ีใช้จานวนน้อยมาผสมใหเ้ ข้ากนั ในทนี่ ้ีได้แก่ พรมี ิกซ์ เกลือและกระดูกปน่ เมอื่ ผสมเขา้ กนั ดแี ลว้ จงึ นาไปผสมกับปลาป่นอกี ครงั้ หนึง่ 3. เทวัตถดุ ิบทใี่ ช้ปรมิ าณมากท่ีสุดไวช้ ้ันลา่ งสดุ ตามด้วยวัตถดุ ิบที่ใชป้ ริมาณน้อยตามลาดบั จนถงึ วตั ถุดบิ ท่ใี ชน้ ้อยท่สี ุดอยูช่ ั้นบนสุด ในทน่ี ้ใี ห้เทปลายขา้ วไวล้ า่ งสดุ ตามดว้ ยราละเอียด กากถว่ั เหลอื ง และวตั ถุดิบที่ผสมไวก้ ่อนในข้อท่ี 2. อยู่ช้นั บนสดุ ใหก้ องอาหารมีลกั ษณะเปน็ รปู ปริ ามิด 4. ใช้จอบหรือพลัว่ คลกุ เคลา้ สว่ นผสมท้งั หมดใหเ้ ข้ากนั 5. บรรจกุ ระสอบ พร้อมกับบันทกึ รายละเอยี ด โดยเฉพาะระยะของสตั วท์ ใ่ี ช้อาหารสูตรนเ้ี ปอรเ์ ซ็นตโ์ ปรตีนและวนั ท่ผี สมไวข้ ้างกระสอบ เช่นอาหารสุกรรนุ่ โปรตนี 16 % วนั ทีผ่ สม16 / 06 / 52 เสรจ็ แล้วเกบ็ ในสถานทท่ี ่มี ีอากาศถา่ ยเทสะดวกไมโ่ ดนแดดและฝน5. ระบบทางเดนิ อาหารของสตั ว์ ระบบทางเดินอาหารของสัตว์ทกุ ชนิดจะเริม่ ตน้ จากอาหารเข้าสูป่ ากและผา่ นขบวนการยอ่ ยเม่อื ยอ่ ยเสร็จแลว้ เหลอื สิ่งสุดทา้ ยเรียกวา่ กากก็จะถกู ขบั ออกทางทวารหนกั เหมือนกัน แตถ่ า้พิจารณาถึงสว่ นประกอบในระบบทางเดินอาหารของสัตว์แลว้ พบวา่ สตั ว์มีระบบทางเดินอาหารอยู่ 3 แบบ คือ ระบบทางเดินอาหารของสัตว์กระเพาะเดย่ี ว ระบบทางเดินอาหารของสัตว์กระเพาะรวม และ ระบบทางเดินอาหารของสตั วป์ กี 5.1 ระบบทางเดนิ อาหารของสตั วก์ ระเพาะเด่ยี ว สตั วก์ ระเพาะเด่ยี วทมี่ ีความสาคัญทางเศรษฐกจิ ได้แก่ สุกร ระบบทาง เดินอาหารของสกุ รประกอบไปด้วยปาก (Mouth) หลอดอาหาร (Esophagus) กระเพาะ (Stomach) ลาไส้เล็ก(Small intestine) ลาไสใ้ หญ่ (Large intestine) ลาไสใ้ หญส่ ่วนปลาย (Rectum) และทวารหนกั (Anus) แตถ่ า้ เปน็ สัตว์กระเพาะเดี่ยวทก่ี นิ หญ้าเป็นอาหารหลัก เชน่ กระต่าย ไสต้ ิง่(Caecum) จะขยายใหญ่เพ่อื ใชย้ อ่ ยอาหารพวกเย่ือใยเช่นเดียวกับสตั ว์กระเพาะรวม 5.2 ระบบทางเดนิ อาหารของสตั วก์ ระเพาะรวม สตั ว์กระเพาะรวมที่มีความสาคัญทางเศรษฐกิจ ไดแ้ ก่ โค กระบอื แพะ และแกะ จะมีระบบทางเดินอาหารโดยท่วั ไปเช่นเดยี วกับสัตวก์ ระเพาะเดย่ี ว แต่มคี วามแตกต่างกนั อยู่บ้างคอืในส่วนกระเพาะของสัตว์กระเพาะรวมจะแบ่งออกเป็นส่ีสว่ นแต่ละส่วนมชี อื่ เรียกแตกต่างกันออกไป คอื
หนา้ 13 จาก 14 กระเพาะสว่ นท่ี 1 เรยี กวา่ กระเพาะรเู มน (Rumen) หรือ กระเพาะผ้าขร้ี วิ้ กระเพาะสว่ นที่ 2 เรียกว่า กระเพาะเรทตคิ วิ ลมั (Reticulum) หรอื กระเพาะรังผึ้ง กระเพาะสว่ นที่ 3 เรียกวา่ กระเพาะโอมาซมั (Omasum) หรือกระเพาะสามสบิ กลบี กระเพาะส่วนที่ 4 เรยี กวา่ กระเพาะอะโบมาซมั (Abomasum) หรือ กระเพาะแท้ ในกระเพาะท้งั ส่สี ่วนมีเพยี งกระเพาะสว่ นท่ี 4 เทา่ นั้นทมี่ ีน้าย่อยออกมายอ่ ยอาหารเหมอื นกบั สัตว์กระเพาะเดีย่ ว 5.3 ระบบทางเดนิ อาหารของสตั วป์ กี สัตวป์ กี จะมปี ากแตกตา่ งไปจากปากของสตั วก์ ระเพาะเดยี่ วและสัตว์กระเพาะรวม คือสัตวป์ กี มเี พยี งจงอยปากสาหรับจิกอาหารเขา้ สปู่ าก แตไ่ ม่มีฟนั สาหรับเคี้ยวอาหารให้ละเอียดกอ่ นกลืน ทาให้ระบบทางเดินอาหารผดิ ไปจากสัตว์สองประเภทแรก คอื เมือ่ อาหารเขา้ สปู่ าก(Beak) หลอดอาหาร (Esophagus) จะเกบ็ อาหารไว้ในกระเพาะพัก (Crop) จึงจะส่งเขา้ สูก่ ระเพาะแท้ (Proventriculus) ภายหลงั หากกระเพาะแทย้ อ่ ยอาหารนั้นไมไ่ ด้ อาหารจะถกู ส่งเข้าสู่กระเพาะบด (Gizzard หรอื Ventriculus) กระเพาะบดจะทาหนา้ ทีบ่ ดอาหารจนละเอียดอาหารจึงเข้าสู่ลาไส้เล็ก ไส้ใหญ่ และขับกากอาหารออกทางทวารหนกั (Cloaca) ต่อไป1 หลอดอาหาร (Esophagus) 5 ลาไส้เล็ก (Small intestine)2 กระเพาะพัก (Crop) 6 ลาไส้ใหญ่ (Large intestine)3 กระเพาะอาหาร (Proventriculus) 7 ไสต้ งิ่ (Caeca)4 กระเพาะบด (Gizzard) 8 ทวารหนัก (Cloaca)ภาพ แสดงระบบทางเดนิ อาหารของสตั ว์ปีก (ไก่) ทมี่ า : นริ นาม (ม.ป.ป.)
หน้า 14 จาก 14สรปุ วตั ถดุ ิบอาหารสตั วแ์ ต่ละชนิดจะมคี ุณค่าทางอาหารแตกตา่ งกันไป ดังน้นั การนาวัตถุดิบมาเป็นอาหารสัตวจ์ ะตอ้ งไมก่ าหนดตายตัวว่าจะใช้วัตถดุ บิ ชนิดไหนเลี้ยงสตั ว์อะไร แตก่ ารใช้วตั ถดุ บิ มาเปน็ อาหารสัตว์ท่ีถกู ตอ้ งควรนาวัตถุดบิ หลายชนดิ มาผสมกัน เพ่อื ใหไ้ ดโ้ ภชนะเพยี งพอแก่ความต้องการของสัตว์ชนดิ นั้นๆ และในขณะเดียวกนั จะต้องใชว้ ตั ถดุ ิบในสดั ส่วนทถ่ี กู ตอ้ ง คอื ไมม่ ากเกินไปจนเกิดอนั ตรายตอ่ สตั ว์แบบฝึกหดั /คาถามท้ายบท 1. หากนักศกึ ษาเล้ียงโคนม จานวน 50 แม่ นกั ศึกษาเลอื กใช้อาหารสาหรับโคนมอยา่ งไร 2. จงอธิบายให้เขา้ ใจวา่ ในสภาพเศรษฐกจิ ปจั จุบนั การผสมอาหารเพอื่ ใช้เลย้ี งสัตว์ดว้ ยตนเองมผี ลดีผลเสยี อยา่ งไร 3. ระบบทางเดนิ อาหารสตั วก์ ระเพาะรวมมคี วามแตกตา่ งจากระบบทางเดนิ อาหารสัตว์กระเพาะเดยี่ วอยา่ งไร อธบิ ายแหลง่ ความรเู้ พม่ิ เตมิเกยี รติศกั ด์ิ กลา่ เอม, เกียรตสิ รุ ักษ์ โภคสวัสดิ,์ วิรัช สขุ สาราญ และฉายแสง ไผแ่ ก้ว. (2548). หญา้ แหง้ . พิมพ์คร้ังท่ี 3. กรุงเทพฯ : ชุมนุมสหกรณก์ ารเกษตรแห่ง ประเทศไทย.เกียรตศิ ักด์ิ กลา่ เอม, เกยี รติสุรักษ์ โภคสวัสดิ,์ วริ ัช สุขสาราญ และฉายแสง ไผ่แกว้ . (2548). หญ้าหมกั . พมิ พค์ รงั้ ท่ี 3. กรุงเทพฯ : ชุมนมุ สหกรณ์การเกษตรแหง่ ประเทศไทย.คณาจารย์ มหาวทิ ยาลัยเกษตรศาสตร์. (2532). รวมเรอ่ื งโคเนอ้ื . พมิ พค์ รั้งท่ี 3. นครปฐม : ศูนย์สง่ เสริมและฝึกอบรมการเกษตรแหง่ ชาต.ิ
Search
Read the Text Version
- 1 - 14
Pages: