บทที่ 3 อาหารสัตว์จุดประสงค์การเรียนรู้ 1. บอกระบบทางเดินอาหารสตั ว์ 2. เลือกใชอ้ าหารสาหรบั สตั วแ์ ตล่ ะชนดิ ไดถ้ ูกตอ้ งตามหลกั การ 3. ผสมอาหารเพื่อใชเ้ ล้ยี งสตั วไ์ ดต้ ามหลกั การและกระบวนการ อาหารสตั ว์ หมายถงึ สิง่ ทสี่ ตั วก์ นิ เขา้ ไปแลว้ ไมเ่ ป็นอนั ตรายตอ่ สตั ว์ สามารถยอ่ ยและดดู ซึมในร่างกายสตั ว์ สตั ว์สามารถนาไปใชป้ ระโยชน์ได้ อาหารที่ใชเ้ ล้ียงสัตว์มีท้งั อาหารหยาบและอาหารขน้ สตั วแ์ ตล่ ะชนดิ แตล่ ะประเภทจะมคี วามตอ้ งการอาหารแตกตา่ งกนั ท้งั น้ีข้นึ กบั ลกั ษณะของระบบทางเดินอาหารของสตั ว์1. ประโยชน์ของอาหารสัตว์ เม่ือสตั ว์กนิ อาหารเขา้ สรู่ า่ งกาย ร่างกายสามารถนาอาหารไปใชป้ ระโยชนไ์ ดด้ งั น้ี 1.1 ทาใหร้ า่ งกายดารงชีพไดต้ ามปกติ 1.2 ชว่ ยในการเจริญเตบิ โต 1.3 ชว่ ยในการสืบพนั ธ์ุ 1.4 ชว่ ยในการสรา้ งผลผลิต2. ส่ วนประกอบของอาหารสัตว์ อาหารสตั วป์ ระกอบดว้ ยโภชนะ 6 ชนดิ คือ น้า โปรตนี คาร์โบไฮเดรต ไขมนั วิตามิน และแร่ธาตุ 2.1 นา้ (Water) น้าเป็นสว่ นประกอบที่สาคัญของพืชและสตั ว์ ในพืชอาหารสตั ว์จะมีน้าเป็ นสว่ นประกอบประมาณ 70-90 เปอร์เซน็ ต์ สว่ นในอาหารขน้ จะมนี ้าเป็นสว่ นประกอบประมาณ 10-15 เปอร์เซ็นต์ ในร่างกายสตั วจ์ ะมีน้าเป็นสว่ นประกอบประมาณ 50-80 เปอร์เซ็นต์ โดยสตั ว์อายุนอ้ ยจะมนี ้ามากกวา่ สตั วอ์ ายมุ าก สตั ว์จะดารงชวี ิตอยูไ่ มไ่ ดถ้ า้ ขาดน้า ถึงแมว้ ่าน้าจะไมม่ ีหลกั การเล้ยี งสตั ว์ : อาหารสตั ว์ 51
คณุ คา่ ทางอาหาร แตน่ ้ามคี วามสาคญั อยา่ งยง่ิ ตอ่ ร่างกายสัตว์ น้าจะเขา้ ไปทาหนา้ ท่ีต่างๆ ท่ีสาคญั ในร่างกาย เชน่ ชว่ ยในการยอ่ ยและดูดซมึ อาหาร ชว่ ยควบคมุ อุณหภูมิร่างกายใหค้ งท่ีชว่ ยในการกาจดั ของเสียออกจากรา่ งกาย และเป็นสว่ นประกอบของสว่ นตา่ งๆ ในร่างกายสตั ว์ 2.2 โปรตีน (Protein) โปรตนี เป็นสารอาหารท่ีจาเป็นตอ่ รา่ งกายสตั วท์ กุ ชนิด โปรตนี เป็นสว่ นประกอบของอวยั วะในรา่ งกาย เม่อื สตั ว์กนิ โปรตนี เขา้ สรู่ ่างกาย โปรตีนจะถูกยอ่ ยสลายจนเหลืออนุภาคเล็กสุดเรียกวา่ กรดอะมโิ น (Amino Acid) รา่ งกายจงึ จะดูดซึมไปใชป้ ระโยชน์ได้ สตั ว์แตล่ ะชนิดแตล่ ะประเภท แตล่ ะขนาด มีความตอ้ งการโปรตีนไมเ่ ทา่ กนั สตั ว์กระเพาะรวมตอ้ งการโปรตีนในอาหารนอ้ ยกวา่ สตั ว์กระเพาะเด่ยี วและสตั วป์ ีก สตั ว์กาลงั ใหผ้ ลผลิตตอ้ งการโปรตนี มากกว่าสตั วธ์ รรมดา และสตั ว์อายุนอ้ ยตอ้ งการโปรตีนสงู กวา่ สตั ว์อายมุ าก 2.3 คาร์โบไฮเดรต (Carbohydrate) ในอาหารสตั ว์สว่ นใหญม่ ีคาร์โบไฮเดรตมากกวา่ 70 เปอร์เซ็นต์ของอาหารท้ังหมดคาร์โบไฮเดรตเป็นสารอาหารทีใ่ หพ้ ลงั งานตอ่ สตั ว์ อาหารจากพืชมีคาร์โบไฮเดรตเกอื บทุกสว่ น เชน่ ในเมล็ด ในรากและเยอื่ ใย สว่ นในร่างกายสัตว์จะพบคาร์โบไฮเดรตอยูน่ อ้ ยมากโดยทวั่ ไปสตั วจ์ ะใชค้ าร์โบไฮเดรตเป็นแหลง่ พลงั งาน ร่างกายจะนาคาร์โบไฮเดรตไปใชป้ ระโยชนไ์ ดเ้ ม่อื คาร์โบไฮเดรตถกู ยอ่ ยเป็นหนว่ ยทเ่ี ลก็ ทสี่ ดุ เรียกวา่ กลโู คส (Glucose) เทา่ น้นั 2.4 ไขมนั และน้ามนั (Fat and Oil) สว่ นประกอบทว่ั ไปของไขมนั และน้ามนั เหมอื นคาร์โบไฮเดรต แตจ่ ะใหพ้ ลังงานสูงกวา่ คาร์โบไฮเดรต 2.25 เทา่ ไขมนั และน้ามนั ไมล่ ะลายน้าแต่ละลายในอีเทอร์ (Ether) และคลอโรฟอร์ม (Chloroform) ในสตั ว์ไขมนั จะอยใู่ นรูปของแข็งในอุณหภูมิหอ้ ง ส่วนในพืชจะพบอยูใ่ นรูปน้ามนั ซ่งึ จะอยูใ่ นรูปของเหลวในอุณหภูมิหอ้ ง หน่วยท่ีเล็กท่ีสุดของไขมันท่ีร่างกายสามารถดดู ซมึ ไปใชป้ ระโยชน์ไดเ้ รียกวา่ กรดไขมัน (Fatty Acid) ไขมนั จะมีอยูท่ วั่ ไปในอาหาร ในสว่ นของตน้ และใบพชื จะมไี ขมนั ไมม่ าก แตจ่ ะมมี ากในเมล็ดพืชบางชนิด เช่น พืชตระกลู ถวั่ และเน้อื มะพร้าว สว่ นในสตั วจ์ ะมไี ขมนั มากหรือนอ้ ยข้ึนอยู่กบั อายุและความอว้ นผอมของสตั ว์ ไขมนั นอกจากจะเป็นแหลง่ พลงั งานเหมือนคาร์โบไฮเดรตแลว้ ยงั เป็ นฉนวนกนัความเยน็ จากภายนอก ทาใหร้ ่างกายอบอนุ่ และเป็นฉนวนหอ่ หมุ้ ป้องกนั การกระทบกระเทือนของอวยั วะตา่ งๆ นอกจากน้ยี งั มีหนา้ ทเ่ี ป็นตวั ละลายวติ ามินอีกดว้ ย52 หลกั การเล้ยี งสตั ว์ : อาหารสตั ว์
2.5 วติ ามนิ (Vitamin) วิตามินมีความจาเป็นอยา่ งมากตอ่ การดารงชีพและการเจริญเติบโต เมอ่ื เทียบกบั สารอาหารชนิดอน่ื รา่ งกายสตั ว์ตอ้ งการวิตามนิ นอ้ ยมาก แตเ่ พอ่ื ใหส้ ัตว์มีความเป็ นอยูต่ ามปกติมีสุขภาพดี สตั ว์จะตอ้ งไดร้ บั วิตามนิ เพยี งพอกบั ความตอ้ งการ วิตามนิ แบง่ ตามสภาพการละลายได้ 2 กลมุ่ คือ วติ ามนิ ทีล่ ะลายในไขมัน ไดแ้ ก ่วติ ามินเอ วิตามินดี วิตามินอี และวิตามินเควติ ามินท่ีละลายในนา้ ไดแ้ ก ่วิตามนิ ซีและวิตามินบรี วม (B-Complex) 2.6 แร่ธาตุ (Mineral) แร่ธาตเุ ป็นสว่ นของโภชนะทีไ่ มเ่ ผาไหมต้ อ่ ไป หรือเรียกอีกอยา่ งหน่ึงวา่ เถา้ (Ash) ที่จาเป็นตอ่ รา่ งกายสตั วม์ อี ยปู่ ระมาณ 15 ชนดิ แบง่ ออกไดเ้ ป็น 2 กลมุ่ คือกลุ่มทส่ี ัตว์ต้องการมากไดแ้ กแ่ คลเซียม (Ca) ฟอสฟอรสั (P) โซเดียม (Na) คลอรีน (Cl) โปแตสเซียม (K) กามะถัน (S)และแมกนีเซยี ม (Mg) กลุ่มท่ีสัตว์ตอ้ งการน้อย ไดแ้ ก ่เหลก็ (Fe) แมงกานีส (Mn) สงั กะสี (Zn)ทองแดง (Cu) ไอโอดนี (I) โมลิบดนิ มั (Mo) ซีลีเนียม (Se) และโคบอลล์ (Co)3. ประเภทและชนดิ ของอาหารสัตว์ 3.1 อาหารหยาบ (Roughage) อาหารหยาบที่ใชเ้ ล้ียงสตั ว์โดยทวั่ ไปไดจ้ ากพืช 2 ชนิดคือพืชตระกลู หญ้าและพืชตระกลู ถว่ั พืชทง้ั 2 ชนดิ น้จี ะมีอยโู่ ดยทว่ั ไปในธรรมชาติ ถา้ เกษตรกรเล้ยี งสตั ว์พวกโค กระบือแพะ และแกะ จานวนไมม่ ากนกั กไ็ มจ่ าเป็นตอ้ งปลูกพชื อาหารสตั ว์ แตถ่ า้ เล้ยี งสตั วจ์ านวนมากกต็ อ้ งปลูกพืชอาหารสตั ว์ การปลกู พชื อาหารสตั ว์เพ่อื ใหไ้ ดป้ ระโยชน์เต็มท่ี พิจารณาคณุ สมบตั ิตอ่ ไปน้ีคือ ต้องเป็นพืชทป่ี ลูกง่าย ขยายพนั ธไ์ุ ดง้ า่ ยและรวดเร็ว มคี ณุ คา่ ทางอาหารสงู ทนตอ่ การเหยยี บยา่ สตั ว์ชอบกนิ และใหผ้ ลผลิตสงู โดยคณุ คา่ ทางอาหารและผลผลิตของอาหารหยาบจะต่า หรือสูงข้นึ อยกู่ บั ปัจจยั หลายประการ เชน่ พืชตระกลู ถวั่ จะมีคณุ คา่ ทางอาหารสูงกว่าพืชตระกลู หญ้าพชื ออ่ นจะมเี ปอร์เซน็ ต์โปรตีน วติ ามินและแรธ่ าตุสูงกวา่ พชื แก ่ดินมีความอดุ มสมบูรณ์สูงพืชอาหารสตั ว์ทป่ี ลูกยอ่ มมคี ณุ ภาพสูงดว้ ยและการจดั การในทงุ่ หญ้าทาได้ถูกต้องเหมาะสม พืชอาหารสตั ว์นน้ั จะมีคณุ คา่ ทางอาหารมาก เจริญเติบโตไดด้ ี และใหผ้ ลผลติ สูงหลกั การเล้ยี งสตั ว์ : อาหารสตั ว์ 53
3.1.1 พนั ธ์ุพชื ตระกูลหญา้ ทนี่ ยิ มปลูกในประเทศไทย 1) หญ้าขน (Mauritius or Para Grass) หญา้ ขนเป็นหญา้ ที่ปลูกคร้ังเดียวใช้ประโยชน์ไดห้ ลายปี มีขนท่ีผวิ ใบมาก ลาตน้ กลวงเหมือนตน้ ขา้ ว เป็นเถาเล้ือย ข้ึนไดใ้ นดินทุกประเภท แตใ่ หผ้ ลผลติ ดีในดินร่วนปนเหนยี ว ปลูกโดยการหวา่ นเถาแกซ่ ่งึ สบั เป็นท่อนส้ัน ติดขอ้ 2-3 ขอ้ ลงบนดนิ ซ่งึ เตรียมไวเ้ ป็นอยา่ งดแี ลว้ ไถกลบ เมื่อหญา้ อายุไดไ้ มน่ อ้ ยกวา่ 80 วนั จึงปลอ่ ยสตั วล์ งแทะเล็มคร้ังแรกได้ 2) หญ้าซิกแนล (Signal Grass) หญา้ ซิกแนลมีลกั ษณะโดยทว่ั ไปเหมือนหญา้ขน ตา่ งกนั ทหี่ ญา้ ซกิ แนลลาตน้ ตนั จดั เป็นหญา้ ทปี่ ลกู แลว้ ใชป้ ระโยชนไ์ ดห้ ลายปี เป็ นหญ้าที่ทนตอ่ สภาพแหง้ แลง้ ไดด้ กี วา่ หญา้ ขนแตค่ ณุ ภาพดอ้ ยกวา่ หญ้าซิกแนลมี 2 สายพันธุ์ คือสายพนั ธุ์ทมี่ ลี าตน้ ต้งั ไมเ่ ล้อื ยเหมือนหญา้ ขนเรียกวา่ “ซิกแนลตง้ั ” สว่ นอีกสายพนั ธุ์มลี าตน้ เป็ นเถาเลอ้ื ยเหมือนกบั หญา้ ขนเรียก “ซกิ แนลนอน” ซ่งึ เป็นพนั ธท์ุ โี่ คชอบกนิ เหมาะทจ่ี ะปลอ่ ยใหส้ ตั ว์ลงแทะเล็มเพราะมีใบมากกวา่ นยิ มปลกู โดยการแยกกอปลกู 3) หญ้ารูซ่ี (Ruzi Grass) เป็นหญา้ ทปี่ ลกู แลว้ ใชป้ ระโยชน์ไดห้ ลายปี แตกกอและมเี ถาส้นั กง่ึ แผก่ ง่ึ ต้งั ตรง ลกั ษณะลาตน้ มขี นปกคลุมนอ้ ยกวา่ หญา้ ขนแตม่ ีใบดกกวา่ ตามใบและแผน่ ใบมีขนขาวปกคลมุ หนาและนมุ่ กวา่ หญา้ ขนเป็นหญา้ ท่ที นต่ออากาศร้อนและความแหง้ แลง้ ไดด้ ี ทนตอ่ การแทะเลม็ และเหยยี บย่า ปลกู โดยแยกกอหรือใชเ้ มล็ดกไ็ ด้ นิยมใช้เมล็ดปลูกมากกวา่ เพราะสะดวกและเมล็ดมเี ปอร์เซน็ ตค์ วามงอกสูง ใชอ้ ตั รา 2 กโิ ลกรมั ตอ่ ไร่ 4) หญ้ากนิ นี (Guinea Grass) หญา้ กนิ นีจดั เป็นหญา้ ท่ีปลกู แลว้ ใช้ประโยชน์ไดห้ ลายปีเชน่ เดยี วกบั หญา้ ขนและหญา้ ซกิ แนล มีลกั ษณะการเจริญเติบโตแบบกอพุ่ม หญา้กนิ นีจะมีใบยาวกวา่ หญา้ ทง้ั สองชนดิ ทีก่ ลา่ วมาแลว้ มีกอสงู ประมาณหน่งึ เมตรถงึ หน่งึ เมตรคร่ึงข้ึนไดด้ ใี นดินรว่ นปนทราย ปลกู โดยการใชก้ อท่ีมรี ากติดหรืออาจใชเ้ มล็ดกไ็ ด้ นิยมตดั สดมาเล้ยี งสตั ว์ เหมาะสาหรบั ทาหญา้ หมกั 5) หญ้าเนเปียร์ (Napier Grass) เป็นหญา้ ประเภทคา้ งปี มลี กั ษณะเป็ นกอ ถ้าปลอ่ ยทิ้งไวจ้ ะแตกเป็นกอใหญม่ าก ใบมีลกั ษณะยาวเรียวคลา้ ยใบออ้ ยแตค่ วามกวา้ งของใบนอ้ ยกวา่ เป็นหญา้ ท่ีปลกู งา่ ย สตั ว์ชอบกนิ ใหผ้ ลผลติ ตอ่ ไรส่ ูง ข้ึนไดด้ ใี นดนิ ร่วนปนเหนยี วปลูกโดยใชท้ อ่ นพนั ธุ์ นยิ มตดั สดมาเล้ยี งสตั ว์ เหมาะสาหรับทาหญา้ หมกั54 หลกั การเล้ยี งสตั ว์ : อาหารสตั ว์
หญา้ ขน (Para Grass) หญ้ารูซ่ี (Ruzi Grass)หญ้ากนิ นี (Guinea Grass) หญา้ เนเปี ยร์ (Napier Grass)ภาพที่ 3.1 แสดงตวั อยา่ งพืชอาหารสตั ว์ตระกลู หญา้ภาพโดย : คานงึ หนูดาษ 3.1.2 พนั ธ์พุ ืชตระกูลถั่วทนี่ ยิ มปลูกในประเทศไทย 1) ถั่วล าย (Centrosema) เป็ นถวั่ ท่ีนิยมปลูกคลุมดินโดยเฉพาะชาวสวนยางพารา จดั เป็นถว่ั ประเภทเล้ือย ใบและเถาคอ่ นขา้ งเล็ก ใบไมม่ ีขนใบกรอบโคชอบกนิ ทนความแหง้ แลง้ และการเหยยี บย่าของโคไดด้ ี จดั เป็นพชื คา้ งปี นิยมปลูกโดยใชเ้ มล็ดหวา่ นในทุง่หญา้ ใหข้ ้ึนรวมกบั หญา้ โดยเฉพาะหญา้ ขนและหญา้ ซกิ แนล กอ่ นปลูกควรเร่งความงอกของเมลด็ โดยแชน่ ้ารอ้ น 70 องศาเซลเซียส นาน 1-2 นาที แลว้ นาออกผ่งึ แดดใหแ้ หง้ เกบ็ ไวห้ วา่ นเมอ่ื ตอ้ งการปลกู หรือแชใ่ นน้าอุน่ ทิง้ ไวข้ า้ มคืนจงึ นาไปหวา่ น 2) ถั่วสะไตโล (Stylo) จดั เป็นถวั่ พมุ่ ขนาดกลาง เป็ นถวั่ ประเภทคา้ งปี ข้ึนไดด้ ีในสภาพดนิ ทว่ั ๆ ไป ปลูกโดยหวา่ นเมล็ด 1.5 กโิ ลกรมั ตอ่ ไร่ แตเ่ มลด็ งอกชา้ และตน้ กลา้ โตช้าจึงไมค่ อ่ ยนยิ มในปัจจบุ นัหลกั การเล้ยี งสตั ว์ : อาหารสตั ว์ 55
3) ถั่วทาวสวลิ สะไตโล (Townsville Stylo) อยใู่ นตระกลู เดียวกบั สะไตโลแต่เป็นพชื ปีเดยี ว คอื เมือ่ ผลิตเมลด็ แลว้ ตน้ เดมิ กต็ ายไป เป็ นถว่ั ท่ีแพร่พนั ธ์ไุ ดด้ มี ากในแหล่งที่เป็ นดินทราย ขยายพนั ธุ์โดยหวา่ นเมล็ด 2 กโิ ลกรัมตอ่ ไร่ แตต่ อ้ งหวา่ นเมล็ดลงบนผิวดินโดยไมต่ อ้ งกลบเมล็ด เพราะการกลบเมลด็ ทาใหเ้ มล็ดงอกนอ้ ยมาก เป็นถวั่ ท่ีเหมาะสาหรับทาหญา้ แหง้ และทาทงุ่ หญา้ เล้ยี งสตั ว์ 4) ถั่วเซอราโตร (Siratro) เป็ นถว่ั ประเภทคา้ งปีมีเถาเลอ้ื ยเชน่ เดียวกบั ถวั่ ลายแตม่ ลี กั ษณะเป็นพชื อวบน้ามากกวา่ ถว่ั ลาย ทนแลง้ ไดด้ ีพอสมควร ขยายพนั ธุ์โดยใช้เมล็ด 2.5กโิ ลกรัมตอ่ ไร่ 5) ถ่ัวฮามาตา้ (Hamata) มีชื่อเรียกอีกอยา่ งวา่ ถวั่ เวอราโนเป็ นถ่วั พุ่มเต้ียปรับตวั เขา้ กบั ดนิ เลวไดด้ ี ติดเมล็ดดี แพร่พนั ธ์ุเร็วโคชอบกนิ ใชห้ วา่ นปรับปรุงทุง่ หญ้าเล้ียงสตั วส์ าธารณะ คันนาและริมถนน เป็ นถว่ั ที่ทนต่อการเหยียบย่าไดด้ ีแตไ่ มท่ นต่อร่มเงาขยายพนั ธุโ์ ดยใชเ้ มลด็ หวา่ นอตั รา 2 กโิ ลกรมั ตอ่ ไร่ ภาพที่ 3.2 แสดงตวั อยา่ งถวั่ ฮามาตา้ ภาพโดย : คานึง หนดู าษ56 หลกั การเล้ยี งสตั ว์ : อาหารสตั ว์
3.1.3 การเก็บถนอมพชื อาหารสัตว์ พืชอาหารสตั ว์นอกจากจะให้สัตว์กนิ ในรูปอาหาร หยาบสดแลว้ หากบางฤดูกาลในชว่ งทพ่ี ชื อาหารสตั ว์มคี วามอุดมสมบรู ณ์และมีมากเกนิ ความตอ้ งการของสตั ว์ ผูเ้ ล้ียงสตั ว์สามารถเกบ็ ถนอมพืชอาหารสตั ว์เหลา่ นน้ั ไวใ้ ชเ้ ล้ียงสตั วใ์ นยามขาดแคลนได้ ซ่ึงสามารถทาไดโ้ ดยตดั หญา้ มาผ่งึ แดดใหแ้ หง้ พอเหมาะเรียกวา่ “หญา้ แหง้ ” หรือตดั หญา้ มาหมกั ในหลุมอดั ใหแ้ นน่ ปิดไมใ่ หอ้ ากาศผา่ นเขา้ ออกไดเ้ รียกวา่ “หญา้ หมกั ” 1) หญ้าแห้ง (Hay) หญ้าแห้ง หมายถึง พืชอาหารสัตว์ท่ีทาให้แหง้ เหลือความชืน้ ไมเ่ กนิ 15 เปอร์เซ็นต์ โดยคณุ คา่ ทางอาหารสตั ว์ลดลงนอ้ ยทส่ี ุด หญา้ แหง้ ทาโดยเกย่ี วหญา้ ท่มี ีลาตน้ เล็กมใี บมาก เชน่ หญา้ รูซี่ หญา้ ขน หญา้ แพงโกลา่ มาผ่งึ แดดไว้ 1-2 แดดหากไม่มีแดด อาจมดั หญา้ ที่เกย่ี วใหเ้ ป็นฟ่อนเล็ก ๆ แลว้ ผ่งึ บนราวใตถ้ ุนบา้ น หมนั่ กลบั หญา้ บอ่ ย ๆ หญ้าจะแหง้ ภายใน 3-4 วนั หญา้ แหง้ สนิทดแี ลว้ กใ็ ชเ้ ชอื กมดั เป็นฟ่อน แลว้ นาไปเกบ็ บนโรงเรือน หญา้ แหง้ ทค่ี ณุ ภาพดคี วรมลี กั ษณะดงั น้ี คอื ทาจากพชื ท่ีไมอ่ อ่ นหรือแกเ่ กนิ ไปตากแหง้ สนิทไมม่ รี าข้ึน ไมแ่ หง้ กรอบจนใบร่วง มใี บเหลืออยมู่ าก และมีสเี ขียวอยมู่ าก ภาพท่ี 3.3 แสดงการอดั พชื อาหารสตั ว์แบบฟ่อนส่เี หลย่ี ม 57 ภาพโดย : คานงึ หนดู าษหลกั การเล้ยี งสตั ว์ : อาหารสตั ว์
2) หญ้าหมกั (Silage) หญา้ หมกั หมายถงึ พชื อาหารสตั วต์ า่ งๆ ท่เี กบ็ ไว้ ในท่ีไมม่ ีอากาศในสภาพความช้นื สงู ซ่งึ สามารถเกบ็ ไดเ้ ป็นเวลานานโดยสว่ นประกอบและคุณค่าทางอาหารไมเ่ ปล่ียนแปลง การทาหญา้ หมกั คอ่ นขา้ งจะยงุ่ ยากกวา่ การทาหญ้าแห้ง กลา่ วคือจะตอ้ งมหี ลุมหรือภาชนะหมกั ทีไ่ มร่ ่ัวจนน้าไหลเขา้ หรือซึมออกได้ หลุมหรือภาชนะหมักท่ีมีปริมาตร 1 ลูกบาศกเ์มตร สามารถจุหญา้ หมกั ได้ 500-750 กโิ ลกรัม ข้ึนอยูก่ บั การอดั หญ้าวา่แนน่ มากหรือนอ้ ยแคไ่ หน นอกจากน้ขี ้ึนอยูก่ บั ชนิดและความแกอ่ อ่ นของหญา้ ดว้ ย ถา้ เล้ยี งสตั ว์จานวนไมม่ ากนยิ มทาหญา้ หมกั ใสถ่ งุ พลาสติกสีดาขนาด 30 x 40 น้ิว หญ้าที่เหมาะสมในการทาหญา้ หมกั ควรเป็นหญา้ ทีล่ าตน้ ใหญ่ อวบน้า เชน่ หญา้ กนิ นี หญา้ เนเปียร์ ตน้ ขา้ วโพดและต้นขา้ วฟ่าง โดยมีขน้ั ตอนการทาหญา้ หมกั ดงั น้ี (1) สบั หญา้ เป็ นทอ่ นส้นั ๆ มคี วามยาว 2-3 นิ้ว (2) ปรับสภาพของหญา้ ใหเ้ หมาะสม คือ ถา้ หญา้ ออ่ นเกนิ ไปกต็ อ้ งผ่งึ แดดใหเ้ ห่ยี วหรือเติมวสั ดุแหง้ อ่ืนๆ เชน่ ใชร้ าขา้ วมาผสมจนมสี ิ่งแหง้ ประมาณ 65 เปอร์เซ็นต์ หากหญา้ แหง้ เกนิ ไป ตอ้ งเติมน้าใหไ้ ดร้ ะดบั สงิ่ แหง้ 65 เปอร์เซน็ ต์ เชน่ กนั (3) อดั หญา้ ที่สบั และปรับระดบั สิง่ แหง้ แลว้ ลงในหลุมหรือภาชนะหมกัใหแ้ นน่ ท่ีสดุ เทา่ ทจี่ ะทาได้ โดยอดั เป็นช้นั ๆ จนเตม็ (4) ปิดหลุมหรือภาชนะหมกั อยา่ ใหอ้ ากาศผา่ นเขา้ ออกได้ (5) หมกั ไวใ้ นสภาพน้นี าน 21 วนั แลว้ จงึ เปิดเล้ยี งสตั ว์ได้ โดยเปิดเอาแค่เพียงพอเล้ยี งสตั วใ์ นคร้ังหน่งึ ๆ เทา่ น้นั (6) ตรวจคณุ ภาพโดยหญา้ หมกั ทมี่ ีคณุ ภาพดคี วรมีลักษณะดงั น้ีคือ ไม่มีราข้นึ มกี ลิ่นหอมชวนกนิ สเี หลืองปนเขียว ไมด่ าคล้า ไม่มีกล่ินเหม็น ไมเ่ ปร้ียวมากเกนิ ไปและไมแ่ ฉะเกนิ ไป58 หลกั การเล้ยี งสตั ว์ : อาหารสตั ว์
3.2 อาหารข้น อาหารขน้ มคี วามสาคญั มากสาหรบั สตั วป์ ีกและสกุ รโดยทวั่ ไปอาหารขน้ หรือวัตถุดิบอาหารสตั ว์แบง่ ออกไดเ้ ป็น 2 ประเภท คือ วตั ถุดิบท่ใี หพ้ ลงั งาน และวตั ถดุ ิบท่ีใหโ้ ปรตนี 3.2.1 วัตถดุ ิบทใ่ี ห้พลังงาน เป็นวตั ถุดบิ ท่มี แี ป้งเป็นสว่ นประกอบประมาณ 70-80 เปอร์เซ็นต์ มีโปรตีนต่าประมาณ 8-12 เปอร์เซ็นต์ และโปรตีนมกั มีคณุ ภาพตา่ วตั ถุดิบประเภทน้ที ีน่ ิยมใชไ้ ดแ้ ก ่ 1) ปลายข้าว (Broken rice) เป็นผลพลอยไดจ้ ากการสีขา้ ว มแี ป้งและน้าตาลคอ่ นขา้ งสงู สามารถใชแ้ ทนขา้ วโพดไดใ้ นสตู รอาหาร มีโปรตนี ประมาณ 8 เปอร์เซน็ ต์ 2) ราละเอียด (Rice polish) มีโปรตนี ประมาณ 12 เปอร์เซ็นต์ มีไขมนั สูง ถ้าเกบ็ ไวน้ านจะทาใหม้ ีกลน่ิ หืน ดงั นน้ั ในการเล้ียงสตั วค์ วรใช้ราละเอียดใหม่ และหากว่ารามีราคาแพงตอ้ งระวงั การปลอมปน 3) ราหยาบ (Rice bran) ทง้ั ราหยาบและราละเอยี ดเป็นผลพลอยได้จากการสีขา้ วเชน่ กนั แตร่ าหยาบมโี ปรตีนประมาณ 8 เปอร์เซน็ ต์และมีเยอื่ ใยสูง 4) ข้าวโพด (Corn) เป็นอาหารทส่ี ตั วช์ อบกนิ ขา้ วโพดที่มีสีเหลืองจะมี สารตน้ กาเนดิ วิตามนิ เออยสู่ งู (Carotene) ขา้ วโพดมีโปรตีนประมาณ 8 เปอร์เซ็นต์ ในประเทศไทยนิยมใชเ้ มล็ดขา้ วโพดทบี่ ดละเอยี ดพอสมควรมาใชเ้ ล้ยี งสตั ว์ เพราะจะชว่ ยใหส้ ตั ว์ย่อยได้เต็มท่ีและเมือ่ ผสมกบั วตั ถุดิบอื่นๆ กจ็ ะคลุกเคลา้ ไดเ้ ป็นอยา่ งดี 5) มนั เส้น (Cassava meal) มนั เสน้ คือการนาหวั มนั สาปะหลงั มาสบั ตากแดดใหแ้ หง้ มนั เสน้ เป็นอาหารทมี่ คี าร์โบไฮเดรตสูง มโี ปรตีนตา่ ประมาณ 2 เปอร์เซน็ ต์ เหมาะที่จะใชเ้ ป็นแหลง่ พลงั งานในสตู รอาหารสตั ว์ 6) กากนา้ ตาล (Molasses) เป็นผลพลอยไดจ้ ากการผลิตน้าตาลทราย ซ่ึงเป็ นสว่ นทไี่ มต่ กผลึก มลี กั ษณะเหนียว หวาน และมคี ุณสมบตั ิเป็ นยาระบายออ่ นๆ มีโปรตีนอยู่ประมาณ 3-7 เปอร์เซน็ ต์ นิยมใชผ้ สมกบั อาหารอน่ื ๆ เพื่อเพิ่มความนา่ กนิหลกั การเล้ยี งสตั ว์ : อาหารสตั ว์ 59
ปลายข้าว ราละเอยี ดข้าวโพดบด มนั เส้ นภาพที่ 3.4 แสดงตวั อยา่ งวตั ถดุ บิ อาหารสตั วป์ ระเภทใหพ้ ลงั งานภาพโดย : คานึง หนดู าษ 3.2.2 วัตถดุ บิ ทใ่ี ห้โปรตีน วตั ถดุ ิบทีใ่ หโ้ ปรตีนเป็ นวตั ถุดิบอาหารสตั ว์ท่ีมีระดับโปรตีนสูงและเป็ นโปรตนี ที่มีคณุ ภาพคอ่ นขา้ งดี วตั ถุดิบประเภทน้ีแบง่ ออกได้เป็ น 2 กลุ่ม ตามแหลง่ ท่ีมาคือวตั ถดุ บิ โปรตนี จากสตั ว์ และวตั ถดุ บิ โปรตนี จากพืช 1) วตั ถุดบิ โปรตนี จากสัตว์ เป็นแหลง่ โปรตีนซ่งึ มคี ณุ ภาพดกี วา่ โปรตนี จากพืชไดแ้ ก ่ (1) ปลาป่ น (Fish meal) มีโปรตนี ประมาณ 50-60 เปอร์เซ็นต์ ข้ึนอยู่กบัชนิดของปลา และขน้ั ตอนการผลติ มีธาตุแคลเซียมและฟอสฟอรัสสูง มวี ติ ามินบีสูง ปลาป่ นมีความนา่ กนิ สตั วช์ อบกนิ ไมน่ ิยมผสมในอาหารโครีดนม เพราะมีกลิ่นแรงทาใหน้ ้านมมีกลิ่นคาวปลา60 หลกั การเล้ยี งสตั ว์ : อาหารสตั ว์
(2) เน้ือป่ น (Meat scrap) เนอ้ื ป่นเป็นวตั ถุดิบอาหารสัตว์ที่ได้จากการป่ นเน้อื หรือเศษเนอ้ื ที่เหลอื ทง้ิ จากโรงฆ่าสตั ว์ แตไ่ มค่ วรมเี ขา ขน กบี มลู สตั ว์ หรือเศษอาหารปนมา และถา้ หากมปี ริมาณฟอสฟอรัสสงู เกนิ 4.4 เปอร์เซน็ ต์ ถอื วา่ เป็นเนือ้ และกระดูกป่น เน้ือป่นมโี ปรตีนประมาณ 50 เปอร์เซน็ ต์ มีระดบั แคลเซียมและฟอสฟอรัสสงู (3) แกลบก้งุ (Shrimp meal) เป็นสว่ นที่เหลือทง้ิ จากการทากุง้ แหง้ และกุง้กระป๋ อง ประกอบดว้ ยสว่ นหวั กงุ้ และเปลือกกงุ้ มโี ปรตีนประมาณ 33-37 เปอร์เซ็นต์ มีธาตุแคลเซยี มสูงประมาณ 5-27 เปอร์เซน็ ต์ กล่ินหอมนา่ กนิ ปริมาณของโปรตนี ไมแ่ นน่ อนข้ึนอยู่กบั แคลเซยี ม ถา้ แคลเซียมสูงโปรตนี จะต่านอกจากน้แี กลบกงุ้ มีเกลือในปริมาณสงู (4) หางนมผง (Skimmilk powder) เป็ นสว่ นของน้านมท่ีแยกเอาไขมันออกแลว้ นาไประเหยน้าออก มีโปรตีน 33 เปอร์เซ็นต์ เป็นโปรตีนท่ีมีคณุ ภาพดี ยอ่ ยง่าย หางนมผงมรี าคาแพง ถา้ ใชป้ ริมาณมากทาใหต้ น้ ทุนคา่ อาหารสูง 2) วตั ถุดบิ โปรตนี จากพืช (1) กากถ่ัวเหลือง (Soybean oil meal) เป็นผลพลอยได้จากโรงงานสกดัน้ามนั ถวั่ เหลือง มโี ปรตนี ประมาณ 42-48 เปอร์เซ็นต์ คณุ ภาพโปรตีนดีรองจากปลาป่น มรี ะดบัแคลเซียมและฟอสฟอรัสต่า ขาดแคโรทนี และไวตามนิ ดี (2) กากถั่วลิสง (Peanut oil meal) เป็นผลพลอยไดจ้ ากการนาเมล็ดถว่ั ลสิ งซ่ึงไดแ้ กะเปลือกออกแลว้ ไปสกดั หรืออดั เอาน้ามนั ออก มโี ปรตนี ประมาณ 45 เปอร์เซ็นต์ แต่คณุ ภาพของโปรตนี ดอ้ ยกวา่ กากถวั่ เหลือง ถา้ กากถว่ั ลิสงมีเย่อื ใยเกนิ 7 เปอร์เซ็นต์ แสดงว่ามีการปนเปลอื กเขา้ ไปดว้ ย (3) ใบกระถินป่ น (Leuceana leaf meal) ใบกระถินลว้ น ๆ มีโปรตีนสูงประมาณ 20-24 เปอร์เซ็นต์ มีเย่ือใยสูง มสี ารพิษไมโมซนิ (Mimosin) ที่เป็ นพิษตอ่ สตั ว์ ถ้าใช้ในระดบั สงู จะทาใหส้ ตั วโ์ ตชา้ ขนรว่ งและความสมบรู ณ์พนั ธตุ์ ่า ใบกระถินยกั ษ์มีสารไมโมซินตา่ กวา่ ใบกระถนิ บา้ น แตถ่ า้ ตากแดดหรือทาใหแ้ หง้ สารพษิ จะลดลง (4) กากเมล็ดฝ้าย (Cotton seed meal) เป็นผลพลอยไดจ้ ากการสกดั น้ามันเมลด็ ฝ้าย มีโปรตีนสูงประมาณ 41 เปอร์เซ็นต์ คณุ ภาพโปรตนี ตา่ กวา่ กากถวั่ เหลืองและในกากเมลด็ ฝ้ายมีสารพิษที่เรียกวา่ กอสซปิ อล (Gossypol) ซ่งึ มีผลทาใหส้ ตั วเ์ จริญเตบิ โตชา้ ลงหลกั การเล้ยี งสตั ว์ : อาหารสตั ว์ 61
(5) กากปาล์มนา้ มัน (PalmKernel seed meal) เป็นผลพลอยได้จากการสกดั น้ามนั ปาล์ม มี 2 ชนิด คือ กากปาล์มชนิดไม่กะเทาะเปลือก มีโปรตีนประมาณ 8เปอร์เซน็ ต์ แตม่ ีเย่อื ใยสูง 22-30 เปอร์เซ็นต์ และกากปาล์มชนิดกะเทาะเปลือก มีโปรตีนประมาณ 16-18 เปอร์เซ็นต์ และมเี ยื่อใยประมาณ 14-15 เปอร์เซน็ ต์ เหมาะทจ่ี ะใชเ้ ล้ยี งสุกรปลาป่ น กากปาล์มนา้ มนักากถั่วเหลือง ใบกระถินป่ นภาพท่ี 3.5 แสดงตวั อยา่ งวตั ถุดบิ อาหารสตั ว์ประเภทโปรตนีภาพโดย : คานึง หนูดาษ62 หลกั การเล้ยี งสตั ว์ : อาหารสตั ว์
4. การผสมอาหารสัตว์การผสมอาหารสตั ว์เป็นการนาวตั ถุดิบหลาย ๆ อยา่ งมาผสมรวมกนั เพื่อให้ไดเ้ ปอร์เซ็นต์โปรตนี ตามตอ้ งการ มีทง้ั การผสมดว้ ยมือสาหรับธรุ กจิ เล้ียงสตั ว์ขนาดเล็กและการผสมดว้ ยเคร่ืองผสมสาหรับธุรกจิ ขนาดใหญ่ ยกตวั อยา่ งเช่นต้องการผสมอาหารสุกรรุ่นซ่ึงตอ้ งการโปรตนี 16 เปอร์เซน็ ต์ จานวน 100 กโิ ลกรัม โดยใชว้ ตั ถุดิบดงั ตอ่ ไปน้ี1) ปลาป่น จานวน 3.0 กโิ ลกรัม2) กากถว่ั เหลอื ง จานวน 14.6 กโิ ลกรัม3) ปลายขา้ ว จานวน 50.4 กโิ ลกรัม4) ราละเอียด จานวน 30.0 กโิ ลกรัม5) กระดูกป่น จานวน 1.0 กโิ ลกรมั6) เกลือ จานวน 0.5 กโิ ลกรัม7) พรีมกิ ซ์ จานวน 0.5 กโิ ลกรมั ข้นั ตอนการผสมอาหาร การผสมดว้ ยเครื่องจะไมม่ ีปัญหาเพราะขน้ั ตอนไมซ่ บั ซอ้ น ในที่น้จี ะกลา่ วเฉพาะการผสมอาหารดว้ ยมือเทา่ นน้ั 1. บดวตั ถุดบิ ท่ใี ชท้ ้งั หมดใหม้ ีอนุภาคเทา่ ๆ กนั 2. นาวตั ถุดบิ ท่ีใชจ้ านวนนอ้ ยมาผสมใหเ้ ขา้ กนั ในทนี่ ้ไี ดแ้ ก ่พรีมิกซ์ เกลอื และกระดูกป่น เม่ือผสมเขา้ กนั ดีแลว้ จงึ นาไปผสมกบั ปลาป่นอกี คร้งั หน่งึ 3. เทวตั ถดุ ิบทใ่ี ชป้ ริมาณมากทส่ี ดุ ไวช้ น้ั ลา่ งสดุ ตามด้วยวัตถุดิบที่ใชป้ ริมาณนอ้ ยตามลาดบั จนถงึ วตั ถุดบิ ที่ใชน้ อ้ ยท่ีสดุ อยชู่ ้นั บนสุด ในทน่ี ้ใี หเ้ ทปลายขา้ วไวล้ า่ งสุด ตามด้วยราละเอยี ด กากถว่ั เหลอื ง และวตั ถุดิบที่ผสมไวก้ อ่ นในขอ้ ที่ 2. อยูช่ ้ันบนสุดให้กองอาหารมีลกั ษณะเป็นรูปปิรามดิ 4. ใชจ้ อบหรือพลวั่ คลกุ เคลา้ สว่ นผสมท้งั หมดใหเ้ ขา้ กนั 5. บรรจกุ ระสอบ พร้อมกบั บนั ทกึ รายละเอยี ด โดยเฉพาะระยะของสัตว์ท่ีใช้อาหารสูตรน้ีเปอร์เซน็ ต์โปรตีนและวนั ทีผ่ สมไวข้ า้ งกระสอบ เชน่ อาหารสกุ รรุ่น โปรตีน 16 % วนั ท่ีผสม 16 / 06 / 52 เสร็จแลว้ เกบ็ ในสถานท่ีทม่ี ีอากาศถา่ ยเทสะดวกไมโ่ ดนแดดและฝนหลกั การเล้ยี งสตั ว์ : อาหารสตั ว์ 63
5. ระบบทางเดนิ อาหารของสัตว์ ระบบทางเดนิ อาหารของสตั วท์ กุ ชนดิ จะเร่ิมตน้ จากอาหารเขา้ สปู่ ากและผา่ นขบวนการย่อยเม่อื ยอ่ ยเสร็จแลว้ เหลอื สิง่ สดุ ทา้ ยเรียกวา่ กากกจ็ ะถูกขับออกทางทวารหนกั เหมือนกนั แต่ถา้พิจารณาถึงสว่ นประกอบในระบบทางเดินอาหารของสตั ว์แลว้ พบวา่ สตั ว์มรี ะบบทางเดินอาหารอยู่ 3 แบบ คอื ระบบทางเดนิ อาหารของสตั ว์กระเพา ะเด่ียว ระบบทางเดินอาหารของสัตว์กระเพาะรวม และ ระบบทางเดนิ อาหารของสตั วป์ ีก 5.1 ระบบทางเดนิ อาหารของสัตว์กระเพาะเด่ียว สตั ว์กระเพาะเดีย่ วท่ีมีความสาคญั ทางเศรษฐกจิ ไดแ้ ก ่สกุ ร ระบบทาง เดินอาหารของสุกรประกอบไปดว้ ยปาก (Mouth) หลอดอาหาร (Esophagus) กระเพาะ (Stomach) ลาไสเ้ ล็ก(Small intestine) ลาไสใ้ หญ่ (Large intestine) ลาไสใ้ หญ่สว่ นปลาย (Rectum) และทวารหนัก(Anus) แตถ่ า้ เป็นสตั ว์กระเพาะเดีย่ วทก่ี นิ หญา้ เป็นอาหารหลกั เชน่ กระตา่ ย ไสต้ ่ิง (Caecum)จะขยายใหญเ่ พ่ือใชย้ อ่ ยอาหารพวกเย่ือใยเชน่ เดียวกบั สตั ว์กระเพาะรวม 5.2 ระบบทางเดินอาหารของสัตว์กระเพาะรวม สตั วก์ ระเพาะรวมท่มี คี วามสาคญั ทางเศรษฐกจิ ไดแ้ ก ่โค กระบือ แพะ และแกะ จะมีระบบทางเดินอาหารโดยทวั่ ไปเชน่ เดยี วกบั สตั วก์ ระเพาะเดีย่ ว แตม่ คี วามแตกตา่ งกนั อยบู่ า้ งคือในสว่ นกระเพาะของสตั วก์ ระเพาะรวมจะแบง่ ออกเป็นสี่สว่ นแตล่ ะสว่ นมชี อ่ื เรียกแตกตา่ งกนัออกไป คอื กระเพาะสว่ นที่ 1 เรียกวา่ กระเพาะรูเมน (Rumen) หรือ กระเพาะผา้ ข้ีร้ิว กระเพาะสว่ นที่ 2 เรียกวา่ กระเพาะเรทตคิ ิวลมั (Reticulum) หรือ กระเพาะรงั ผ้ึง กระเพาะสว่ นที่ 3 เรียกวา่ กระเพาะโอมาซมั (Omasum) หรือกระเพาะสามสบิ กลบี กระเพาะสว่ นท่ี 4 เรียกวา่ กระเพาะอะโบมาซมั (Abomasum) หรือ กระเพาะแท้ ในกระเพาะทง้ั ส่ีสว่ นมเี พียงกระเพาะสว่ นที่ 4 เทา่ น้ันท่ีมีน้ายอ่ ยออกมาย่อยอาหารเหมือนกบั สตั วก์ ระเพาะเด่ยี ว64 หลกั การเล้ยี งสตั ว์ : อาหารสตั ว์
5.3 ระบบทางเดนิ อาหารของสัตว์ปี ก สตั ว์ปีกจะมปี ากแตกตา่ งไปจากปากของสตั ว์กระเพาะเด่ยี วและสตั วก์ ระเพาะรวม คือสตั วป์ ีกมเี พยี งจงอยปากสาหรบั จิกอาหารเขา้ สปู่ าก แตไ่ มม่ ีฟันสาหรับเค้ียวอาหารใหล้ ะเอียดกอ่ นกลนื ทาใหร้ ะบบทางเดินอาหารผิดไปจากสตั วส์ องประเภทแรก คอื เม่ืออาหารเข้าสู่ปาก(Beak) หลอดอาหาร (Esophagus) จะเกบ็ อาหารไวใ้ นกระเพาะพกั (Crop) จึงจะสง่ เขา้ สู่กระเพาะแท้ (Proventriculus) ภายหลงั หากกระเพาะแทย้ อ่ ยอาหารนน้ั ไมไ่ ด้ อาหารจะถูกส่งเขา้ สู่กระเพาะบด (Gizzard หรือ Ventriculus) กระเพาะบดจะทาหนา้ ท่ีบดอาหารจนละเอียด อาหารจึงเขา้ สลู่ าไสเ้ ล็ก ไสใ้ หญ่ และขบั กากอาหารออกทางทวารหนกั (Cloaca) ตอ่ ไป1 หลอดอาหาร (Esophagus) 5 ลาไสเ้ ล็ก (Small intestine)2 กระเพาะพกั (Crop) 6 ลาไสใ้ หญ่ (Large intestine)3 กระเพาะอาหาร (Proventriculus) 7 ไสต้ ่ิง (Caeca)4 กระเพาะบด (Gizzard) 8 ทวารหนกั (Cloaca)ภาพท่ี 3.6 แสดงระบบทางเดินอาหารของสตั วป์ ีก (ไก)่ทม่ี า : นิรนาม (ม.ป.ป.)หลกั การเล้ยี งสตั ว์ : อาหารสตั ว์ 65
สรปุ วตั ถุดบิ อาหารสตั วแ์ ตล่ ะชนิดจะมีคณุ คา่ ทางอาหารแตกตา่ งกนั ไป ดงั น้นั การนาวตั ถุดบิ มาเป็นอาหารสตั ว์จะตอ้ งไมก่ าหนดตายตวั วา่ จะใชว้ ตั ถุดบิ ชนิดไหนเล้ยี งสตั วอ์ ะไร แตก่ ารใชว้ ตั ถุดิบมาเป็นอาหารสตั ว์ทีถ่ ูกตอ้ งควรนาวตั ถดุ ิบหลายชนดิ มาผสมกนั เพื่อใหไ้ ดโ้ ภชนะเพยี งพอแกค่ วามตอ้ งการของสตั ว์ชนิดน้นั ๆ และในขณะเดียวกนั จะตอ้ งใชว้ ตั ถุดบิ ในสดั ส่วนท่ีถกู ตอ้ ง คือ ไมม่ ากเกนิ ไปจนเกดิ อนั ตรายตอ่ สตั ว์แบบฝึ กหัด/คาถามท้ายบท 1. หากนกั ศึกษาเล้ยี งโคนม จานวน 50 แม่นกั ศึกษา เลือกใช้อาหารสาหรับโคนมอยา่ งไร 2. จงอธิบายใหเ้ ขา้ ใจวา่ ในสภาพเศรษฐกจิ ปัจจุบนั การผสมอาหารเพื่อใช้เล้ียงสัตว์ดว้ ยตนเองมีผลดผี ลเสียอยา่ งไร 3. ระบบทางเดนิ อาหารสตั ว์กระเพาะรวมมีความแตกตา่ งจากระบบทางเดินอาหารสตั ว์กระเพาะเดี่ยวอยา่ งไร อธิบายแหล่ งความร้เู พมิ่ เตมิเกยี รติศกั ด์ิ กลา่ เอม, เกยี รตสิ ุรักษ์ โภคสวสั ด์,ิ วิรัช สุขสาราญ และฉายแสง ไผแ่ กว้ . (2548). หญ้าแห้ง. พิมพค์ ร้ังที่ 3. กรุงเทพฯ : ชมุ นมุ สหกรณ์การเกษตรแหง่ ประเทศไทย.เกยี รติศกั ด์ิ กลา่ เอม, เกยี รตสิ ุรักษ์ โภคสวสั ด์,ิ วริ ชั สขุ สาราญ และฉายแสง ไผแ่ กว้ . (2548). หญ้าหมัก. พิมพ์คร้งั ท่ี 3. กรุงเทพฯ : ชมุ นมุ สหกรณ์การเกษตรแหง่ ประเทศไทย.คณาจารย์ มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์. (2532). รวมเรื่องโคเน้ือ. พิมพ์คร้งั ที่ 3. นครปฐม : ศนู ย์สง่ เสริมและฝึกอบรมการเกษตรแหง่ ชาติ.66 หลกั การเล้ยี งสตั ว์ : อาหารสตั ว์
Search
Read the Text Version
- 1 - 16
Pages: