หนา้ 1 จาก 21
หนา้ 2 จาก 21จดุ ประสงคก์ ารเรยี นการสอน 1. บอกหลกั การสุขาภบิ าลสัตว์ได้ 2. จัดการเลีย้ งสตั วใ์ หญ่ไดถ้ กู ตอ้ งตามหลักการและกระบวนการ 3. จัดการเลย้ี งสตั วเ์ ล็กไดถ้ ูกตอ้ งตามหลักการและกระบวนการ 4. จดั การเลย้ี งสัตว์ปีกได้ถกู ตอ้ งตามหลักการและกระบวนการ การจัดการเป็นปัจจัยที่มบี ทบาทต่อการผลิต หรอื การประกอบกิจการใหไ้ ดร้ ับความสาเรจ็ ผู้จัดการจะเป็นผูค้ วบคมุ วางแผนการดาเนนิ การจดั การสุขาภิบาล การตดั สินใจ เช่นจะจัดการในเร่อื งใด ในช่วงไหน ควรดาเนนิ การดว้ ยวิธใี ด จานวนเท่าใด เปน็ ต้น ซึ่งการตัดสินใจในการจดั การต้องเปน็ ทางเลอื กทด่ี ีที่สดุ เพือ่ ใหผ้ ลการตดั สนิ ใจนัน้ ไปปรากฏผลในทางปฏิบตั ิ1. การสุขาภบิ าลสตั ว์ การสขุ าภบิ าลสตั ว์ เป็นการปฏบิ ตั ใิ ด ๆ ต่อสัตว์ทัง้ ทางตรงและทางอ้อม เพอ่ื ให้สตั วม์ ีสุขภาพดีมีความตา้ นทานโรคสูง ให้ผลผลิตสูง ตลอดจนถงึ การปฏบิ ตั เิ พอื่ ไม่ใหส้ ตั ว์เกิดโรคตา่ งๆ ข้นึ หรือทาให้โรคทกี่ าลังระบาดอยู่นัน้ ยุตลิ งโดยเรว็ ไมแ่ พร่กระจายออกไป หลักท่วั ไปทใี่ ช้ในการสขุ าภิบาลสตั ว์ คอื หลักในการปอ้ งกนั โรค และการควบคมุ โรค ซง่ึสามารถทาไดด้ งั นีค้ ือ 1.1 หากจาเปน็ ตอ้ งนาสัตวจ์ ากท่ีอื่นเข้าฟารม์ ตอ้ งแยกเลีย้ งดไู ว้ต่างหากในบริเวณท่ีหา่ งไกลจากสตั วท์ ีม่ อี ยเู่ ดมิ พอสมควร เพอ่ื รอดูวา่ สัตว์ทีน่ ามาใหมน่ ัน้ มโี รคตดิ มาหรอื ไม่ โดยทั่วไปนิยมแยกสตั ว์ไว้ดอู าการใช้เวลาไม่น้อยกวา่ 15 วนั หรือจนแน่ใจว่าสตั ว์ชุดใหม่ทจี่ ะนาเขา้ฟารม์ ปราศจากโรคจึงนาเขา้ มาเลยี้ งรวมกันได้ 1.2 ต้องเลยี้ งสัตว์ใหม้ ปี ริมาณทเ่ี หมาะสมต่อพื้นทโี่ รงเรือน ไมแ่ ออดั จนเกินไป 1.3 ไม่ควรเลยี้ งสัตว์ทีม่ อี ายแุ ตกต่างกนั ไว้ในคอกเดียวกัน 1.4 ไมค่ วรเลยี้ งสตั วต์ า่ งชนิดกันไว้ร่วมกัน 1.5 ฉดี วคั ซนี ใหต้ รงตามโปรแกรมและถกู ต้องตามหลักการใชว้ ัคซีนแตล่ ะชนิด 1.6 ตรวจสขุ ภาพสัตว์ที่เลี้ยงเป็นประจา 1.7 อาหารและนา้ ท่ีใหส้ ัตว์กนิ ต้องมีคณุ ภาพ และเพยี งพอกับความตอ้ งการ
หน้า 3 จาก 21 1.8 ควรมีรั้วลอ้ มรอบบรเิ วณฟารม์ เล้ยี งสัตว์ และควรให้มที างเขา้ ออกเพียงทางเดยี ว เพ่ือเป็นการควบคมุ ปอ้ งกันไม่ให้สัตวท์ ่เี ป็นพาหะนาโรคอ่นื ๆ ตลอดจนรถบรรทุกสัตว์เข้าไปในบริเวณฟาร์ม 1.9 ต้องสรา้ งโรงเรือนให้ถกู สขุ ลกั ษณะเพอื่ ปอ้ งกนั ความร้อน หนาว ฝนและสภาพของดนิ ฟ้าอากาศท่เี ปลย่ี นแปลงไป นอกจากนี้โรงเรอื นท่ีดนี ้นั ยังช่วยใหส้ ัตว์มสี ขุ ภาพดี ยังช่วยป้องกันการตดิ ต่อของพยาธิได้ด้วยและต้องมีการจดั หมวดหมู่ของโรงเรอื นอยา่ งถกู ต้อง เพ่อื ป้องกนัการแพร่ระบาดของโรคและสะดวกในการจดั การ 1.10 จดั การสงิ่ แวดล้อมรอบตวั สัตว์ให้มีความสะอาดและปราศจากเชอ้ื โรคโดยการถมท่ลี มุ่ต่าอย่าให้มีน้าขงั จดั การบริเวณทรี่ กให้โลง่ เพ่ือใหอ้ ากาศถ่ายเทได้สะดวกและไม่เปน็ ท่อี ยู่ของพาหะนาโรค หากเกดิ โรคระบาดตอ้ งใชย้ าฆ่าเชอื้ โรคกบั สง่ิ รอบๆ ตวั สตั ว์ 1.11 จัดระบบหมนุ เวียนท่งุ หญา้ เลย้ี งสัตว์เพอ่ื ตดั วงจรโรคพยาธิ 1.12 หากมสี ัตวป์ ่วยดว้ ยโรคตดิ ตอ่ เกดิ ขน้ึ ควรทาลายสัตว์ป่วยเหลา่ นัน้ ใหห้ มดโดยมีหลักการทาลายและกาจัดซากสตั ว์ดังนี้ 1.12.1 อย่าทิง้ ซากสัตวล์ งในนา้ หรือใกล้ลาธารเพราะโรคอาจแพรไ่ ปกบั นา้ ได้ 1.12.2 อยา่ ใช้ซากสตั ว์ไปทาอาหารให้สัตว์อ่นื กนิ 1.12.3 อยา่ ปล่อยใหแ้ มลงเกาะหรอื เจาะไชซากสตั ว์จนกวา่ จะมีการทาลายทถี่ กู วิธี 1.12.4 อยา่ เปดิ ผา่ ซากสัตวโ์ ดยผู้ทม่ี ใิ ชส่ ัตวแพทย์ เพราะจะทาใหเ้ ชอื้ โรคแพร่ กระจายเปน็ สาเหตขุ องการเกิดโรคระบาดได้ 1.12.5 ควรกาจัดซากสัตวใ์ กลเ้ คียงบริเวณที่สัตว์ตายมากท่สี ุดเพอื่ ปอ้ งกันเช้ือโรคขยายพืน้ ทีก่ ว้างออกไป 1.12.6 ใช้ยาฆ่าเชอื้ ทกุ จุดท่สี มั ผสั กบั ซาก เพื่อปอ้ งกนั การแพร่ระบาดของโรค2. การจัดการเลยี้ งสตั ว์เศรษฐกจิ 2.1 การจดั การเลย้ี งสตั วใ์ นกลมุ่ สตั วใ์ หญ่ สตั วใ์ นกลมุ่ สตั วใ์ หญท่ ส่ี าคญั ทางเศรษฐกิจได้แก่โคและกระบือ ซงึ่ จะมหี ลกั การจัดการและเลยี้ งโดยทว่ั ไปจะคล้ายๆ กัน หลักการจัดการเลยี้ งสตั ว์ในกลุ่มสตั ว์ใหญท่ ี่สาคญั มีดังน้ี 2.1.1 การจดั การพอ่ แมพ่ นั ธุ์ พ่อแมพ่ นั ธุ์สตั ว์ใหญท่ ่จี ะนามาเลย้ี งต้องมาจากสายพนั ธทุ์ ด่ี ี มลี ักษณะตรงตามสายพันธุ์ โครงร่าง กว้าง ยาวและลกึ มองดแู ล้วไดส้ ดั ส่วนสวยงาม ลักษณะพ่อพนั ธ์ุตอ้ งมีอวัยวะเพศ (ลงึ ค์) วางในแนวเสน้ ก่งึ กลางของลาตวั ไมเ่ บีย่ งไปด้านซา้ ยหรือด้านขวา เม็ดอัณฑะท้งั สองจะตอ้ งมขี นาดเท่ากนั และตอ้ งอยใู่ นถุงหุ้มท่หี ยอ่ นยานพอดี ไมช่ ดิ หรอื ห่างลาตัวมากเกนิ ไป ส่วนแมพ่ นั ธ์ตุ ้องมีลักษณะเตา้ นมท่ีแสดงถึงการใหน้ มมาก หวั นมทง้ั สี่ไม่รวมเป็นกระจกุ หัวนมตอ้ งไม่บอด อวยั วะเพศตอ้ งใหญ่ กว้าง วางอยู่ในตาแหน่งท่เี หมาะสมคือห่างจากทวารหนักพอสมควรเพ่ือสะดวกในการคลอด การจัดการพอ่ แม่พนั ธุ์ควรพิจารณาถึงแหลง่ ทมี่ าของพอ่ แม่พนั ธแ์ุ ละการจดั การเล้ียงดูพอ่ แมพ่ ันธุ์
หน้า 4 จาก 21 1) แหลง่ ทม่ี าของพอ่ แมพ่ นั ธุ์ ผู้เลยี้ งสามารถจัดหาพอ่ แมพ่ ันธุ์สัตวม์ าจาก 2ทางดว้ ยกนั คอื เลือกซอื้ มาจากที่อ่นื และคัดสตั ว์ใหญภ่ ายในฝงู ไว้ทาพนั ธ์ุ การเลือกซ้ือจากท่อี ่ืนสว่ นใหญ่เปน็ การซอื้ หามาเพื่อเริ่มตน้ ทาฟารม์ ใหมห่ รือขยายฟาร์มเก่าให้ใหญย่ ิง่ ข้ึน การเลือกซ้ือพ่อแมพ่ ันธ์มุ าจากทอี่ นื่ นี้ นอกจากจะดโู ครงร่างแล้วจะต้องดูบนั ทึกพันธป์ุ ระวตั ปิ ระกอบ การตัดสินใจจึงจะได้สตั ว์ท่ีดีมาทาพันธุ์ ส่วนการคดั สัตว์ใหญ่ภายในฝูงไวท้ าพันธนุ์ ั้น เป็นวิธกี ารที่ประหยัด วิธนี ้นี อกจากจะลงทุนตา่ แล้วยงั ไดแ้ มพ่ นั ธ์ุทผ่ี เู้ ลยี้ งม่นั ใจในคุณภาพอีกดว้ ย ส่วนพ่อพนั ธ์เุ พ่อื เป็นการปอ้ งการการผสมแบบเลือดชิดควรใช้วธิ กี ารผสมเทยี มหรือหาซ้ือเพศผจู้ ากแหล่งอน่ื มาทาพ่อพนั ธ์ุ 2) การเล้ียงดูพ่อแมพ่ ันธ์ุ สตั ว์พ่อแม่พันธทุ์ ุกชนิดอาศัยหลกั การเดียวกันในการเล้ียงดูคอื พอ่ แม่พันธุท์ ี่เลยี้ งจะต้องไม่อ้วนหรือผอมจนเกนิ ไปและจะต้องเล้ยี งสุขภาพของพอ่แม่พันธุ์ใหด้ ซี ่งึ จะมีผลตอ่ ความสมบูรณพ์ นั ธุ์ ดังน้นั จงึ ตอ้ งเอาใจใส่เปน็ พเิ ศษในเรือ่ งของอาหารเสริม วติ ามิน และเกลอื แร่ 2.1.2 หลกั การจดั การผสมพันธุ์ 1) หลักทคี่ วรยดึ ถอื ปฏิบัตใิ นการผสมพนั ธุ์โคกระบือ (1) โคพอ่ พันธุค์ วรใช้ผสมพันธุค์ รง้ั แรกเมือ่ อายหุ นง่ึ ปีคร่ึงถึงสองปี และควรใชก้ ระบอื พอ่ พันธ์ุผสมครัง้ แรกเม่ืออายุ 2-3 ปี (2) โคแม่พนั ธุค์ วรได้รบั การผสมพนั ธค์ุ ร้งั แรกเมือ่ อายหุ นงึ่ ปคี ร่งึ หรอืน้าหนกั สองในสามของนา้ หนักโตเต็มท่ี สว่ นกระบือควรผสมพนั ธคุ์ ร้ังแรกเมื่ออายปุ ระมาณสองปีครง่ึ (3) แมโ่ คและกระบอื ทมี่ ีสุขภาพสมบรู ณ์และไม่ตง้ั ท้อง จะแสดงอาการเปน็สัดโดยเฉลีย่ ทกุ 21 วนั โดยแมโ่ คกระบือจะแสดงอาการกระวนกระวายกว่าปกติ ไล่ขึน้ ทบั ตวั อ่นืหรอื ยอมให้ตัวอ่นื ขน้ึ ทบั อวยั วะเพศจะบวมกว่าเดมิ และอาจมีเมือกใสไหลออกมา (4) ถา้ พบแมโ่ คกระบอื แสดงอาการเปน็ สัดและยนื นิ่งตอนเชา้ ควรผสมในตอนเย็น ถ้าพบอาการเปน็ สดั และยนื น่งิ ตอนเย็น ควรผสมตอนเช้าของวันรงุ่ ขึ้น (5) แม่พันธคุ์ วรจะได้รบั การผสมพันธ์หุ ลังคลอดลูกแล้ว 60-90 วนั 2) วิธกี ารผสมพันธ์ุ การผสมพนั ธม์ุ ี 3 วิธี ซ่ึงแตล่ ะวิธีมที ้ังขอ้ ดีและขอ้ เสยี ที่ตา่ งกนั ผู้เล้ยี งหรือผู้จดั การตอ้ งเลือกวธิ กี ารผสมให้เหมาะสมกบั ระบบของฟารม์ (1) การผสมแบบปล่อยพอ่ พันธ์ุคมุ ฝงู การผสมโดยวธิ นี ี้ทาได้โดยการใช้พอ่พันธุป์ ลอ่ ยรวมอยูใ่ นฝงู แม่พนั ธใุ์ นสดั ส่วนทีเ่ หมาะสม เกษตรกรที่มีแม่พันธ์ุจานวนมากนยิ มการผสมดว้ ยวิธีนี้ การผสมวธิ ีนี้ผู้เลี้ยงไมต่ ้องคอยสังเกตการเป็นสดั ของแมพ่ นั ธุ์ เม่อื ถึงเวลาที่เหมาะสมพอ่ พนั ธุจ์ ะเขา้ ผสมกบั แม่พนั ธ์ุเอง แต่ไมส่ ามารถกาหนดวนั คลอดไดแ้ นน่ อน (2) การผสมแบบจูงเข้าผสม การผสมโดยวิธีนีพ้ ่อพนั ธ์จุ ะไดร้ บั การแยกเล้ยี งตา่ งหาก เม่อื แม่พันธ์เุ ป็นสดั และอยู่ในระยะยอมให้ผสมคอื ยนื น่ิงยอมใหต้ วั อ่นื ขน้ึ ทับแลว้ กจ็ ะ
หนา้ 5 จาก 21จูงแม่พันธุ์มาใหพ้ อ่ พันธุผ์ สมหรอื จงู พอ่ พันธ์ไุ ปผสมกับแม่พนั ธุ์ก็ไดแ้ ล้วแต่ความสะดวกในการจดั การ การผสมวธิ ีนี้มีขอ้ ดคี อื กาหนดวนั คลอดได้คอ่ นข้างแนน่ อน พอ่ พนั ธุจ์ ะมีสุขภาพดกี วา่การผสมแบบแรกและพ่อพันธจ์ุ านวน 1 ตัว สามารถผสมกบั แมพ่ ันธไุ์ ดจ้ านวนมากตัวกวา่ แบบแรก การผสมวิธีนีม้ ีข้อเสียคือผเู้ ลีย้ งตอ้ งเสียเวลาจดั การเลี้ยงพ่อพันธ์ุเพ่มิ ขึน้ กวา่ แบบแรกและผู้เลีย้ งตอ้ งคอยสงั เกตการเปน็ สดั ของแมพ่ ันธ์ุ เพราะถา้ พลาดทาใหแ้ มพ่ นั ธไ์ุ ดร้ บั การผสมช้าไปอีกหนึง่ วงรอบการเปน็ สัด (3) การผสมเทียม เป็นวธิ ีที่ไดร้ บั ความนยิ มคอ่ นขา้ งมากในปจั จุบัน การผสมวธิ ีนี้ทาไดโ้ ดยการนานา้ เช้ือของพอ่ พนั ธม์ุ าสอดใส่เข้าไปในอวัยวะเพศของเพศเมียหรอื ของแม่พนั ธ์ใุ นระยะเวลาที่เหมาะสม (12-18 ชั่วโมงหลังจากแมโ่ คเรม่ิ ยืนน่งิ ยอมใหต้ วั อื่นขึน้ ขี่)การผสมวิธีนี้มขี ้อดคี ือไมต่ อ้ งมีภาระในการเล้ยี งดพู ่อพันธ์ุ กาหนดวนั คลอดไดค้ อ่ นข้างแน่นอนเลอื กใชพ้ อ่ พนั ธ์ดุ ไี ด้ตามต้องการและได้รบั บรกิ ารฟรจี ากหนว่ ยงานทีร่ บั ผิดชอบโดยตรง มีขอ้ เสยี คอื หากเจ้าหน้าท่ีผูร้ บั ผดิ ชอบในการผสมขาดความชานาญอาจจะทาให้เกิดปัญหาต่อระบบสืบพนั ธแุ์ ละการผสมตดิ ของแม่พนั ธุ์ได้ นอกจากนผี้ ้เู ลีย้ งยงั ตอ้ งคอยสงั เกตการเปน็ สัดของแม่พนั ธ์ุ เพราะถ้าพลาดทาให้แม่พนั ธุ์ไดร้ บั การผสมช้าไปอีกหนง่ึ วงรอบ ภาพ แสดงวิธีการลว้ งผสมเทียมโคกระบอื ท่ีมา : คานึง หนูดาษ 2.1.3 การตรวจการตง้ั ทอ้ ง เม่ือแม่พนั ธโุ์ คได้รบั การผสมไปแลว้ เพอ่ื เป็นการยนื ยันว่าการผสมในครง้ั น้ันผสมติดหรือไม่ ผู้เลยี้ งตอ้ งตรวจเชค็ โดยวธิ ตี อ่ ไปน้ี 1) การสังเกตวงรอบการเป็นสัด โคและกระบือจะมวี งรอบการเป็นสดั หา่ งกันโดยเฉล่ยี 21 วัน หลงั จากผสมไปแลว้ ผ้เู ลีย้ งต้องคอยสงั เกตอาการเป็นสดั ในวงรอบการเป็นสดั ต่อไป ถา้ หลงั จากผสมไปแล้ว 18-22 วนั แม่พนั ธุต์ วั นนั้ ไมแ่ สดงอาการเปน็ สัดสันนษิ ฐานว่า การผสมในคร้งั นัน้ นา่ จะผสมติดและอาจสงั เกตต่อไปอกี 2-3 วงรอบการเปน็ สัด จึงจะยืนยันไดแ้ นน่ อนว่าการผสมคร้งั นั้นตดิ จริงหรอื ไม่ 2) การล้วงตรวจภายใน หลังจากผสมไปแล้วประมาณ 2 เดือนถา้ ผเู้ ลย้ี งมีความชานาญกส็ ามารถลว้ งตรวจทางช่องทวารหนักเพอื่ คลาหาปีกมดลูก ปกี มดลูกดา้ นทลี่ ูกอ่อนฝงั ตวั อย่จู ะมีขนาดใหญก่ ว่าขา้ งที่ลูกอ่อนไม่ฝังตวั
หน้า 6 จาก 21 2.1.4 การจดั การชว่ งอมุ้ ทอ้ ง หลงั จากโคแม่พนั ธไุ์ ด้รับการผสมพนั ธ์ไุ ปแลว้ จะอุ้มท้องอยู่นานเฉลย่ี ประมาณ282 วนั จึงจะถงึ กาหนดคลอด (325 วัน สาหรบั กระบอื ) ในเดอื นแรกหลงั จากผสม ตอ้ งคอยระมดั ระวงั เป็นพิเศษ เพราะลกู ออ่ นทีเ่ ริม่ ฝังตวั อาจจะหลุดและแท้งได้ หลังจากนั้นผเู้ ลย้ี งก็เล้ียงไปตามปกติใหอ้ าหารใหค้ รบถว้ นและเพียงพอแก่ความตอ้ งการ คอยระมัดระวงั อย่าให้ไดร้ ับการกระทบกระเทอื น ไมว่ า่ การบงั คบั เพอ่ื จัดการต่างๆ การฉีดวัคซนี บางชนดิ การฉดี ยาหรอื ใหย้ าถ่ายพยาธิบางชนิดล้วนเปน็ สาเหตทุ าให้แท้งลูกได้ท้งั ส้นิ ลกู ในท้องจะเจริญเติบโตรวดเรว็ ในชว่ ง 2 เดอื นก่อนคลอด ดังนั้นในชว่ งนแ้ี ม่โคกระบอื ควรได้รบั การเอาใจใสเ่ ลี้ยงเร่ืองอาหารเปน็ พิเศษ แตต่ ้องระวงั อย่าให้แมพ่ ันธอ์ุ ้วนเกินไป เพราะจะทาใหค้ ลอดยาก 2.1.5 การจดั การชว่ งคลอด หลงั ผสมพนั ธุแ์ ลว้ สามารถกาหนดวันคลอดได้โดยนาตัวเลข 10 ไปบวกกบัตวั เลขวนั ทีผ่ สม นาตัวเลข 9 ไปบวกกบั ตัวเลขเดือนท่ผี สม และนาตัวเลข 0 ไปบวกกับเลขปีพ.ศ. ทผ่ี สม เมื่อรวมกนั แล้วผลทไ่ี ด้ คอื วัน เดือน และปี ทเี่ ปน็ กาหนดคลอดโดยประมาณของโคตัวน้ัน สว่ นกระบือกใ็ ชห้ ลกั การเดยี วกนั เพียงแตเ่ ปลี่ยนตวั เลขทจ่ี ะนาไปบวก โดยนาตวั เลข20 ไปบวกกบั ตวั เลขวนั ท่ผี สม นาตัวเลข 10 ไปบวกกบั เดอื นทีผ่ สม และนาตวั เลข 0 ไปบวกกับเลขปี พ.ศ. ท่ผี สม เมื่อผู้เล้ียงสามารถกาหนดวันคลอดโคกระบือ ทาให้เกษตรกรสามารถวางแผนการจดั การชว่ งคลอดไดถ้ ูกต้อง ถา้ หากคิดกาหนดคลอดไมไ่ ด้ก็สามารถสังเกตได้ดว้ ยสายตาเพราะประมาณ 2-3 สปั ดาหเ์ มื่อแมโ่ คและกระบอื ใกลก้ าหนดคลอด จะแสดงอาการอุ้ยอ้ายมากขึ้น กระดกู เชิงกราน อวัยวะเพศและเต้านมเร่ิมหย่อนและขยายตัวมากข้ึน ควรแยกแมโ่ คกระบือออกจากฝงู เขา้ สู่คอกคลอดซึง่ เป็นคอกทแ่ี หง้ สะอาด มีวสั ดรุ องพืน้ มอี าหารและนา้ ให้กินตลอดเวลา เม่อื ถงึ ระยะ 2-3 วนั กอ่ นคลอดกระดูกเชงิ กรานจะหยอ่ นตัวมากทาให้ผิวหนังสองข้างของบริเวณโคนหางหยอ่ นจมลกึ ลง อวัยวะเพศเรมิ่ ขยายบวม เริม่ มีน้าเมอื กไหล ภาพแสดงทา่ คลอดปกตขิ องโค ที่มา : คานึง หนูดาษ ขบวนการคลอดจะเร่ิมจากแมโ่ คและกระบอื มีอาการกระวนกระวายเดนิ วนไปมาลม้ ลงนอน แลว้ ลุกข้นึ บ่อยๆ ถุงน้าคร่าจะถูกดนั ออกมา ตามด้วยขาคูห่ นา้ สว่ นหวั ส่วนไหล่และสว่ นอกของลกู ผ่านช่องคลอดออกมา เม่ือลกู ผา่ นออกมาถงึ คร่ึงตวั แลว้ ลูกจะไหลออกมาเองโดยง่าย ปกติโคจะคลอดเองโดยไม่ต้องชว่ ยเหลอื การคลอดเลย แต่ถ้าลกู คาอย่ใู นชอ่ งคลอดนาน
หน้า 7 จาก 212-3 ช่ัวโมงก็มคี วามจาเป็นต้องชว่ ยดงึ โดยจัดใหอ้ ยใู่ นท่าคลอดที่ถกู ตอ้ ง คือ ขาค่หู นา้ เหยยี ดตรงออกมา สว่ นหัววางอยบู่ นขาค่หู น้า แลว้ พยายามชว่ ยดึงออกมาตามแรงเบ่งอยา่ ดงึ ฝืนแรงเบง่ เพราะทาใหแ้ ม่โคได้รบั อนั ตรายและเกดิ อาการมดลกู ปลิ้นทะลักได้ ภายหลงั ลูกคลอดออกมาแลว้ 4-5 ช่ัวโมง รกจะถกู ขับออกมา ถา้ ภายใน 12ชัว่ โมงรกยงั ไม่ถูกขบั ออกมาแสดงวา่ รกค้าง ตอ้ งตามสตั วแพทย์หรือผูร้ ้มู าช่วยล้วงเอารกออกและรักษาภายในต่อไป 2.1.6 การจดั การเลยี้ งลกู โคกระบอื หลงั คลอด ทนั ทที ่ีลูกคลอดออกมาถ้าแม่พันธส์ุ ขุ ภาพสมบรู ณก์ ารคลอดไมม่ ีปญั หา แม่พนั ธุ์จะเลียทาความสะอาดลกู ผู้เลีย้ งไม่ตอ้ งเขา้ ไปชว่ ยเหลือก็ได้ แตใ่ นกรณที ่ีคลอดยากหลังจากคลอดแล้วตอ้ งไดร้ ับการชว่ ยเหลือเพราะแมพ่ นั ธุ์จะออ่ นเพลยี มากไม่สามารถลกุ ขึ้นยืนเลียลูกและให้ลกู ดูดนา้ นมเหลอื งได้ เมอ่ื ลกู ลกุ ขน้ึ ยืนไดค้ วรตัดสายสะดอื ให้เหลอื สัน้ 2-3 น้วิ หลังตัดสายสะดอื แล้วใชย้ าฆา่ เชอื้ ทาและหยอดใสช่ ่องสายสะดือเพอ่ื ปอ้ งกันการติดเช้ือ ประมาณ 10วันสายสะดือจะหลุดเอง หลังจากคลอดควรช่วยให้ลกู โคกระบอื ไดก้ ินนา้ นมเหลือง (Colostrum) โดยเร็วท่สี ุดภายใน 6 ชว่ั โมง เพราะรา่ งกายสามารถดูดซมึ นา้ นมเหลอื งผ่านทางผนังลาไส้ไปใชไ้ ดด้ ีแตถ่ ้าปล่อยไวน้ านถึง 36 ชั่วโมงลูกยังไม่ได้กนิ นา้ นมเหลืองทาให้มสี ุขภาพเสือ่ มโทรมและตายได้ การจัดการอนื่ ๆ ในชว่ งน้ี นอกจากการตดั สายสะดอื และใหล้ ูกกินนา้ นมเหลอื งแล้ว ผ้เู ลย้ี งต้องชัง่ นา้ หนัก และทาเครอื่ งหมายโดยการติดปา้ ยเบอรห์ แู ละหรือตดั เบอรห์ ู และหรอื สกั เบอรห์ เู พ่อื สะดวกในการบนั ทกึ ประวัติ 2.1.7 การจดั การเลย้ี งแมแ่ ละลกู โคกระบอื ในระยะเลยี้ งลกู หลงั จากคลอดแลว้ ผเู้ ลี้ยงจะต้องจัดการอาหารให้มโี ภชนะครบถว้ นและเพยี งพอแกค่ วามตอ้ งการ เพื่อให้แมพ่ ันธุม์ ีนา้ นมมากพอแก่การเลย้ี งลูก และอาหารทไ่ี ด้รบั ส่วนหน่งึจะเสรมิ สร้างระบบสืบพันธุ์ใหม้ คี วามสมบูรณพ์ ร้อมทจี่ ะรับการผสมพันธใุ์ นระยะเวลาอันรวดเร็วโดยปกตแิ ลว้ แม่โคกระบือและลกู จะเริม่ สมบรู ณห์ ลงั จากคลอด 2-3 สัปดาห์และมดลกู จะกลบั เข้าอูต่ ามปกติ 6-8 สปั ดาห์หลงั คลอดและสามารถผสมพันธ์ใุ หมไ่ ด้ในช่วง 2-3เดอื นหลงั คลอด โดยในขณะลูกโคกระบอื อยกู่ ับแม่ควรจดั การดงั น้ี 1) ถา่ ยพยาธคิ ร้งั ที่ 1 เมือ่ อายุ 3 สปั ดาห์และถ่ายซ้าคร้ังที่ 2 เม่ืออายุ 10สปั ดาหห์ รือ 2 เดือนครึง่ และต่อไปทาซา้ ทกุ 6 เดอื น 2) ฉดี วคั ซนี ปอ้ งกนั โรคแท้งติดตอ่ ในลูกเพศเมยี อายุ 3-8 เดอื น 3) ฉดี วัคซีนป้องกนั โรคปากและเท้าเป่อื ยเมอื่ ลกู โคอายุ 4 เดอื น และฉีดซ้าทกุ4 เดือน 4) ฉีดวคั ซนี ปอ้ งกันโรคคอบวม เม่อื ลกู อายุ 6 เดอื น และฉดี ซา้ ทกุ 6 เดือน 5)
หน้า 8 จาก 21 2.1.8 การจดั การเลยี้ งลกู โคกระบอื หยา่ นม การเลย้ี งลกู โคกระบือในชว่ งแรกควรปล่อยใหล้ ูกอยกู่ ับแมอ่ ยา่ งอิสระ ลูกโคกระบอื จะเริม่ หดั กินหญ้าเมอ่ื อายุ 1-2 เดอื นและกินหญา้ ไดเ้ ตม็ ทเ่ี มื่ออายุ 4-5 เดอื น การจัดการในช่วงน้นี อกจากจะใหก้ ินหญา้ อยา่ งเตม็ ท่แี ล้วควรจัดหาอาหารเสริมให้กนิ ดว้ ยลูกโคกระบือจะไดส้ มบรู ณย์ ง่ิ ขน้ึ ทาให้ความต้องการน้านมลดลงเรอ่ื ยๆ เม่ือเหน็ ว่าลูกโคกระบือกนิหญ้าไดเ้ ต็มท่ีและมีความสมบรู ณด์ ีแลว้ ควรทาการหย่านมโดยปกติจะหยา่ นมเมือ่ อายุ 6-7เดือนตามสภาพความสมบูรณ์ ถา้ สุขภาพอ่อนแอมากอาจยืดเวลาไปหย่านมเมือ่ อายุ 8 เดือนก็ได้ แต่จะทาใหส้ ุขภาพของแม่ทรุดโทรมมากขึน้ ส่งิ ที่ต้องจัดการช่วงหย่านมมีดังนีค้ อื ชง่ัน้าหนัก ตอนลกู เพศผู้ ทาเคร่ืองหมายแบบถาวรโดยการตีเบอรข์ ้าง ฉดี วคั ซนี ปอ้ งกันโรคปากและเทา้ เปอื่ ย เมื่ออายุได้ 8 เดือนและวัคซีนปอ้ งกนั โรคคอบวม เมอ่ื อายไุ ด้ 1 ปี และคดั เลอื กโคกระบือออกเปน็ 2 กลุ่มๆ ที่มีลกั ษณะดีแยกเลี้ยงไวเ้ ป็นพ่อแม่พนั ธ์ุ ทีม่ ลี กั ษณะไมด่ แี ยกเลยี้ งเพอ่ื ขนุ ขายเปน็ โคกระบือเน้ือ 2.1.9 การจดั การเลย้ี งโคกระบอื รนุ่ ลูกโคกระบอื ที่หย่านมแลว้ เจ้าของอาจจะขายไปจากฝูงหรือเลีย้ งไวต้ ่อไปเพ่อื ขายเป็นพ่อแมพ่ ันธ์ุ โดยท่วั ไปมวี ิธกี ารเล้ยี งอยู่ 3 รปู แบบ คือ 1) เลยี้ งแบบปล่อยตามธรรมชาติในแปลงหญ้า การเล้ยี งโดยวธิ นี เ้ี ปน็ การปลอ่ ยให้ลงไปหากินในแปลงหญา้ ตามธรรมชาติ การเจริญเติบของโคกระบอื จะชา้ แตล่ งทุนน้อยไม่เหมาะสาหรับโคกระบอื ทเี่ ลยี้ งไวเ้ พื่อใช้เปน็ พ่อแมพ่ นั ธุ์ เพราะการเจริญเติบโตของระบบสืบพันธไุ์ มส่ มบรู ณเ์ ท่าที่ควร ทาให้ความสมบรู ณพ์ ันธุต์ า่ กวา่ โคกระบือท่เี จริญเติบโตตามปกติ 2) เลีย้ งแบบปลอ่ ยตามธรรมชาติในแปลงหญ้าและใหอ้ าหารเสริม การเลีย้ งโดยวธิ นี ี้นอกจากจะใหก้ นิ อาหารหยาบเต็มทีแ่ ลว้ จะตอ้ งใหอ้ าหารขน้ เสริมดว้ ยทุกวันในชว่ งฤดูฝนอาจเสรมิ นอ้ ยกวา่ ในฤดูแล้ง ยกตัวอย่างเชน่ ในฤดฝู นใช้อาหารข้นเสรมิ เพยี ง 1 กโิ ลกรมั ต่อตวั ต่อวนั แต่ในฤดแู ล้งอาจเสรมิ ถงึ 1.5 กโิ ลกรมั ตอ่ ตัวต่อวนั จึงจะเพยี งพอท่ีจะให้โคกระบอืสมบรู ณไ์ ด้ การเลีย้ งโดยวิธนี ี้เหมาะสาหรบั การเล้ยี งไวใ้ ชเ้ ปน็ พ่อแมพ่ ันธุ์ โดยเฉพาะโคกระบือเพศเมียเพราะทาให้ความสมบูรณ์พนั ธุ์สูงผสมได้เร็วแตถ่ ้าเล้ียงเป็นโคกระบือเนื้อธรรมดาจะไม่คุ้มกบั การลงทุน 3) การขุนโคกระบอื ไดแ้ ก่การเลย้ี งด้วยอาหารท่ีมีคณุ ภาพดเี พื่อให้โคกระบอืเจรญิ เติบโตอย่างรวดเรว็ และได้เนอื้ ตามท่ีตลาดต้องการ 2.1.10 การจดั การเลย้ี งโคกระบอื สาว นยิ มทาในกลมุ่ โคกระบอื ท่เี กบ็ ไว้เป็นพ่อแม่พนั ธ์ุ จดุ ประสงค์การเลี้ยงโคกระบอืสาวจึงเลีย้ งเพ่ือไวท้ าพันธหุ์ รือขายเป็นแมพ่ ันธโ์ุ ดยเฉพาะการเลย้ี งดจู งึ นิยมเล้ยี งแบบให้กนิอาหารเตม็ ท่แี ล้วเสริมดว้ ยอาหารข้นในสัดสว่ นท่ีเหมาะสมเพื่อให้เตบิ โตเร็วระบบสบื พันธ์ุสมบูรณ์ และผสมพันธุไ์ ด้เร็ว
หนา้ 9 จาก 212.1.11 การจดั การโดยทวั่ ไป 1) การกาจัดพยาธภิ ายใน พยาธภิ ายในทพ่ี บภายในร่างกายสัตว์ เชน่ พยาธิไส้เดือน พยาธิตวั ตดื และพยาธใิ บไม้ในตับ นยิ มกาจัดพยาธิภายในครง้ั แรกเมอื่ ลกู โคกระบืออายุ 3 สปั ดาหแ์ ละครงั้ ท่ี 2 เมอื่ อายุ 10 สปั ดาห์ โดยวธิ ีการกรอกหลงั จากนั้นทาซา้ ทกุ 6 เดอื นหรืออย่างน้อยปีละ 1 คร้งั โดยวธิ ีการฉีด 2) การกาจดั พยาธภิ ายนอก พยาธภิ ายนอกคือพยาธทิ ี่พบอย่ภู ายนอกรา่ งกายสัตว์ เช่น หมดั ไร เหา และเห็บ การกาจัดพยาธภิ ายนอกมอี ยู่หลายวิธี ควรเลอื กปฏบิ ตั ิตามความเหมาะสมกบั เวลาและจานวนสัตว์ เชน่ การใชม้ ือเกบ็ ออก การใชผ้ า้ จ่มุ นา้ ยาเชด็ ตามตัวการพ่นยาใหท้ วั่ ตวั สตั ว์ ใช้เคร่อื งพน่ ยาแรงดนั สงู แลว้ ไลต่ อ้ นโคกระบอื ทั้งฝูงผา่ นซองพ่นยาและไลต่ อ้ นโคกระบือท้งั ฝูงลงบอ่ น้ายา เปน็ ตน้ 3) การทาวัคซนี วัคซีนหมายถึงสารละลายของจลุ นิ ทรีย์ทีม่ ชี วิ ิตอยูห่ รือตายแลว้ หรอื ส่งิ ใดก็ได้ที่ได้มาจากจุลนิ ทรยี เ์ มอ่ื ฉดี หรือนาเขา้ ส่รู า่ งกายสัตว์จะสามารถกระตนุ้ ให้ร่างกายสร้างภมู คิ ุ้มกนั ทต่ี ่อต้านกับจุลินทรียช์ นดิ เดียวกัน วคั ซนี สาหรบั โคกระบอื ทกุ ชนดิ ทาโดยวธิ กี ารฉดี เข้าสรู่ ่างกาย การทาวัคซนี ตอ้ งทาตามโปรแกรมท่วี างไว้อยา่ งเครง่ ครัด ตารางแสดงโรคระบาดที่จาเปน็ ต้องทาวัคซนี ในโคกระบอืช่ือโรค อายโุ คทีค่ วรฉีด ระยะคุ้มโรคโรคปากและเท้าเป่ือย 4 เดือนข้นึ ไป 4 เดอื นโรคคอบวม 6 เดอื นขึ้นไป 6 เดือนโรคแท้งตดิ ตอ่ 3-8 เดอื น เฉพาะลกู โคกระบอื เพศเมยี ตลอดชีวิต 4) การตอน การตอนโคกระบือ เป็นวธิ ีการทที่ าใหเ้ ม็ดอัณฑะ (Testis) ไม่สามารถผลติ อสุจไิ ด้ การตอนโคมอี ยหู่ ลายวธิ ที น่ี ยิ มมากทีส่ ุดในปัจจุบันคือการตอนโดยใช้คีมหนบี เสน้ เลือดและท่อนาน้าเชอื้ ทาให้เมด็ อณั ฑะฝ่อลบี มขี ั้นตอนการตอนโดยเริม่ จากล้มโคกระบือลงนอนแลว้ มดั ขาทง้ั 4 ใหแ้ นน่ จากน้นั ใชม้ อื บบี ดันกล่มุ เสน้ เลือด ทอ่ ส่งน้าเช้อื และเส้นประสาทข้างใดข้างหนง่ึ ใหอ้ ยชู่ ดิ ถุงอัณฑะ จงึ หนบี คมี ลงบนกลุ่มเส้นเลอื ดนน้ี าน 3 วนิ าทีหรอื ใชม้ อื คลาเม็ดอณั ฑะถา้ อุณหภูมลิ ดลงจนเม็ดอัณฑะเย็นถอื ว่าใช้ได้ เสรจ็ แล้วจึงปฏบิ ตั ิในทานองเดยี วกันกบั กล่มุ เส้นเลอื ดอกี ข้างหนง่ึ โดยรอยแผลทง้ั สองข้างตอ้ งเยื้องกันประมาณ 1น้วิ หลงั จากเสร็จการตอนแล้วเชด็ ยาฆา่ เชือ้ และใสย่ าป้องกันแมลงวนั วางไข่และระวงั อย่าให้ตาแหน่งท่ีตอนโดนน้า 3 วนั เมด็ อัณฑะจะฝอ่ ลีบไปในท่สี ุด 5) การทาลายเขา ในอดีตโคกระบือจะใชเ้ ขาเปน็ อาวธุ ปอ้ งกันตวั แตเ่ ขาโคกระบอื เปน็ อนั ตรายต่อผูเ้ ล้ียงผู้เกยี่ วข้องและโคกระบอื ในฝูงเดียวกนั ในปจั จุบนั นิยมทาลายเขาทง้ิ ไป ซึง่ มีอย่หู ลายวิธตี ามขนาดของเขา เชน่ ใช้สารเคมที า ใชห้ ลอดควักเขา ใช้หัวแรง้ จ้ีการตัดดว้ ยมีด เลอ่ื ยหรือคีมตดั เขาเปน็ ตน้ นอกจากการใช้สารเคมที าปมุ่ เขาแล้ว การทาลายเขาวธิ ีอนื่ ๆ ไม่วา่ จะใช้คมี ตดั การตัดดว้ ยมดี หรอื เลือ่ ย จะตอ้ งใชห้ ัวแรง้ จเ้ี ขาทั้งน้ัน เพราะการใช้หัว
หน้า 10 จาก 21แร้งนอกจากทาลายเซลล์ปุ่มเขาแลว้ ยงั ใชใ้ นการห้ามเลือดอีกดว้ ย การทาลายเขาโดยใชห้ วั แรง้ จ้ีสามารถทาไดโ้ ดยบงั คับโคกระบอื โดยล้มลงนอนมัดให้แน่น ใชห้ วั แร้งท่เี ผาไฟจนแดงกดทาบลงไปบนปมุ่ เขา กดและยกเป็นจงั หวะเพื่อป้องกนั มใิ หเ้ จบ็ ปวดเกินไปถา้ หวั แร้งเย็นเปลย่ี นเอาหัวแรง้ อนั ใหมเ่ ขา้ มาจีต้ ่อจนปุ่มเขาแห้ง ในกรณปี มุ่ เขายาวมากแลว้ ใหต้ ัดปมุ่ เขาท้งิ กอ่ นการตัดปุม่ เขาทย่ี งั ออ่ นอยู่นิยมใช้มดี ปาดโดยดึงคร้ังเดยี วใหข้ าดหรือใช้คีมตดั เขาก็ไดเ้ มื่อตดั เขาแลว้ จึงใชห้ วั แร้งจ้ีจนเซลล์ปุ่มเขาถูกทาลายหมดเชน่ กัน 6) การทาเคร่ืองหมาย มีจุดประสงค์เพือ่ ให้สะดวกในการจดจา การทาเคร่ืองหมายโคกระบือมที ้งั แบบชัว่ คราวและแบบถาวร หากเปน็ ลกู โคกระบอื นิยมทาแบบชว่ั คราวโดยการติดป้ายเบอร์หูเม่ือโตเตม็ ทีแ่ ล้วจงึ จะทาแบบถาวรคอื การตเี บอรโ์ ดยอาจจะตีเบอร์ร้อนหรือเบอร์เยน็ (1) การทาเครอ่ื งหมายโคโดยตดิ ป้ายเบอร์หู สามารถทาไดโ้ ดยบงั คบั โคกระบอื ให้อยู่น่งิ ใชย้ าฆ่าเชื้อทาใบหบู รเิ วณท่จี ะตดิ เบอร์โดยบรเิ วณท่จี ะติดตอ้ งไมต่ รงเสน้ เลือดและอย่ใู นตาแหน่งท่ีเมื่อโคกระบือกระดิกหแู ล้วเบอรจ์ ะต้องไม่ตีถกู นยั นต์ าใชเ้ บอร์ซง่ึ สอดใส่ในคีมหนบี เรยี บรอ้ ยแลว้ หนีบใหต้ ดิ แน่นกับหู (2) การทาเคร่ืองหมายโคกระบอื โดยการตเี บอร์ร้อน สามารถทาได้โดยล้มโคกระบอื ลงนอนแล้วมดั ใหแ้ นน่ ใชเ้ หลก็ ตเี บอรซ์ ่งึ เผาไฟจนร้อนแตย่ งั ไมแ่ ดงประทับลงบนผวิ หนังของโคกระบือตรงบรเิ วณทต่ี ้องการนาน 2-3 วนิ าที ระวังอย่าให้เหล็กตเี บอร์ไถลหรือเคลอื่ นทเี่ พราะทาใหอ้ ่านตวั เลขไมอ่ อกเสรจ็ แล้วทาบรเิ วณทต่ี เี บอรด์ ้วยวาสลนี 2.1.12 การเลยี้ งดโู คกระบอื โดยทว่ั ๆ ไป 1) หากใชน้ มผงเลีย้ งลูกโคกระบือ ใช้นมผง 1 กิโลกรมั ละลายน้าอุ่น 8-10กิโลกรัมแล้วใหล้ กู โคกระบือกนิ ในปรมิ าณวนั ละ 8-10 เปอร์เซน็ ต์ของน้าหนักตัว 2) โคกระบอื กนิ อาหารหยาบสดและหรอื หญา้ หมกั วันละ 8-10 เปอรเ์ ซน็ ต์ของน้าหนักตัวและโคกระบอื กนิ อาหารหยาบแหง้ ได้วันละ 2.5-3 เปอรเ์ ซ็นต์ของนา้ หนักตวั 2.2 การจดั การเลยี้ งสตั วใ์ นกลมุ่ สตั วเ์ ลก็ สตั ว์ในกลุ่มสตั วเ์ ลก็ ได้แกส่ กุ ร แพะ แกะและกระต่ายแต่ทมี่ ีความสาคัญมากที่สุดในปัจจบุ นั ไดแ้ ก่ “สกุ ร” ในทน่ี จี้ ะกล่าวถึงการจัดการสกุ รเพยี งอย่างเดียว 2.2.1 การจดั การสขุ าภบิ าลโรงเรอื นสุกร โรงเรอื นสกุ รมคี วามสาคัญมากเพราะสุกรจะตอ้ งอาศัยอยูใ่ นโรงเรือนตลอดเวลาต้องทาความสะอาดโรงเรือนถือเป็นการสุขาภิบาลท่สี าคัญต้องทาทกุ วัน เพราะการรกั ษาความสะอาดทาให้สกุ รอยสู่ บายและมโี อกาสติดเชื้อโรคนอ้ ยลง การทาความสะอาดโรงเรอื นสกุ รพอจะแบง่ ได้ดงั นี้
หนา้ 11 จาก 21 1) การทาความสะอาดภายในโรงเรือน (1) ใช้พลั่วตักมลู สกุ รออกใหภ้ ายในโรงเรือนสะอาดเสมอ (2) ใชไ้ ม้กวาดกา้ นมะพร้าวกวาดโรงเรือนทแ่ี ห้งใหส้ ะอาด (3) หากโรงเรือนสุกรเปยี กใหใ้ ช้นา้ ล้างพรอ้ มทัง้ ขัดถูให้สะอาด 2) การทาความสะอาดภายนอกโรงเรือนสกุ ร (1) ดคู วามสะอาดบรเิ วณรางระบายมูลและบอ่ เกบ็ มูลให้สะอาดและไมส่ ง่กลิน่ เหมน็ (2) บริเวณพ้ืนทม่ี นี ้าขังตอ้ งถมใหห้ มดปอ้ งกันไมใ่ ห้พยาธภิ ายนอกวางไข่ (3) ต้องจดั การบรเิ วณรอบๆ โรงเรอื นให้เตยี นโลง่ ไมใ่ ห้เป็นทอ่ี ยู่ของงูตะขาบหรือตวั เบยี นภายนอกอื่นๆ 2.2.2 การจดั การเมื่อนาสุกรเขา้ ฟารม์ เมอ่ื เราจะนาสุกรจากทอ่ี ื่นเข้าฟาร์มตอ้ งทาความสะอาดโรงเรอื นและอุปกรณ์เตรียมไวใ้ ห้พร้อม การเตรยี มโรงเรอื นนน้ั ให้ทาความสะอาดโดยใช้ผงซักฟอกหรอื โซดาไฟหลงั จากนนั้ ใชย้ าฆ่าเชอื้ โรคพ่นหรือราดแล้วทงิ้ ไว้ให้แห้งอยา่ งนอ้ ย 3-5 วัน ภายในคอกควรมที ี่ใหน้ า้ และอาหารไวเ้ รยี บรอ้ ยโดยใชร้ างอาหาร 1 รางต่อสุกร 5 ตวั และทใ่ี หน้ า้ อตั โนมัติ 1 อันตอ่สุกร 10 ตวั 2.2.3 การจดั การผสมพนั ธส์ุ กุ ร 1) การตรวจการเปน็ สดั แม่สกุ รจะเป็นสัดคร้งั แรกเมอ่ื อายุ 5-6 เดือนน้าหนกั ประมาณ 80-100กิโลกรัมและจะเปน็ สัดทกุ ๆ 21 วนั โดยแสดงอาการเปน็ สดั ดังนีค้ ือกระวนกระวาย กนิ อาหารลดลง ตามดมก้นสุกรตวั อืน่ พยายามปีนสุกรตวั ข้างเคียง อวัยวะเพศบวมแดง มนี ้าเมอื กหล่อลนื่ ยืนน่งิ ไม่เคล่ือนไหว หตู งั้ ร้องเสียงดังในลาคอและยอมรับให้ตวั ผู้ข้นึ ทับ 2) การผสมพันธ์สุ กุ ร (1) พอ่ พนั ธสุ์ กุ รหนุ่มเรมิ่ ใช้ผสมได้เมื่ออายุ 8 เดือนขนึ้ ไป การใช้ผสมต้องใช้ตามขดี ความสามารถของพอ่ พนั ธค์ุ ือพ่อพันธ์ุอายุ 8-12 เดือนใชผ้ สมพนั ธุส์ ัปดาห์ละ 2 ครงั้และพ่อพนั ธ์อุ ายุ 12 เดือนขึน้ ไปใช้ผสมพันธุส์ ัปดาหล์ ะ 3 ครัง้ (2) แม่สกุ รสาวควรผสมพนั ธุเ์ มือ่ นา้ หนักไม่น้อยกวา่ 120 กิโลกรัมอายุไม่นอ้ ยกวา่ 7 เดือนคร่งึ (3) เมอ่ื พบว่าแม่พันธ์ุเปน็ สดั และยอมรับการผสมให้นาพ่อพนั ธุ์มาผสมทันทีโดยแม่สกุ รสาวใหผ้ สมห่างกันทกุ 12 ช่ัวโมงจนกว่าแมพ่ นั ธจ์ุ ะไมย่ อมใหผ้ สม ส่วนแมส่ ุกรหยา่นมใหผ้ สมคร้ังที่ 1 และคร้ังท่ี 2 หา่ งกนั 24 ช่วั โมง แล้วผสมซ้าทุก 12 ชวั่ โมง จนกว่าแม่พนั ธจุ์ ะไม่ยอมใหผ้ สม การผสมต้องผสมใหไ้ ดม้ ากครง้ั ท่สี ดุ หรอื อยา่ งน้อยไม่ควรต่ากวา่ 3 ครง้ัจะชว่ ยใหเ้ ปอรเ์ ซน็ ตก์ ารผสมติดสงู และขนาดครอกเกดิ กใ็ หญ่กว่าด้วย โดยปกติอตั ราสว่ นจานวนพอ่ แม่สุกรน้นั จะใช้พอ่ พันธ์ุ 1 ตวั ต่อแม่พันธ์ุ 12 ตวั
หนา้ 12 จาก 21 2.2.4 การจดั การแมส่ กุ รกอ่ นคลอด แมส่ ุกรอ้มุ ท้องนาน 114 วัน กอ่ นถึงกาหนดคลอดจะตอ้ งเตรยี มคอกคลอดและเตรยี มแม่สกุ รดงั นี้ 1) คอกคลอดควรเปน็ คอกที่มเี นือ้ ทท่ี ี่สามารถเลยี้ งลูกสกุ รตงั้ แตค่ ลอดถงึ ลูกหย่านมและจะต้องมที ีป่ อ้ งกนั ไมใ่ ห้แมส่ ุกรทบั ลกู ไดโ้ ดยทางปฏบิ ัตแิ ลว้ ที่คลอดของแมส่ ุกรจะมีเน้ือที่จากดั แต่เพยี งให้แมส่ กุ รยนื และนอนไดเ้ ทา่ นั้น 2) คอกคลอดควรมีรางนา้ รางอาหารทีแ่ มส่ กุ รจะดื่มและกนิ ไดโ้ ดยสะดวก 3) กอ่ นนาแมส่ กุ รเข้าคอกคลอดควรทาความสะอาดด้วยโซดาไฟโดยใช้ โซดาไฟ1 กิโลกรมั ผสมนา้ รอ้ น 1 ลิตร 4) ควรทาความสะอาดหรอื ลา้ งตัวแม่สกุ รดว้ ยสบกู่ อ่ นนาเขา้ คอกคลอดโดยเฉพาะบริเวณใต้ท้องและซอกขาหลงั ควรทาความสะอาดใหห้ มดจด 5) กอ่ นนาแม่สกุ รเขา้ คอกคลอดควรปูวัสดรุ องพน้ื ไว้พร้อม 6) นาแม่สกุ รเข้าคอกคลอดกอ่ นที่จะคลอด 5-7 วัน 7) กอ่ นคลอด 3-4 วนั จะตอ้ งลดอาหารลงเหลือครง่ึ หนึ่งของจานวนท่ีให้ปกติอาหารท่ีใหค้ วรเป็นอาหารที่ช่วยในการระบายท้องอย่างอ่อน และกอ่ นคลอด 12 ช่ัวโมงจะตอ้ งหยุดใหอ้ าหาร แต่ต้องมนี า้ ไวใ้ หก้ นิ ตลอดเวลา 8) ไฟสาหรบั กกลกู สกุ รใชไ้ ฟขนาด 60-100 วตั ต์ โดยแขวนสงู จากพน้ื ประมาณ50 เซนตเิ มตร 2.2.5 การคลอดลกู และการจดั การลกู สกุ รหลงั คลอด 1) อุปกรณท์ ่ีจะต้องเตรียมให้พร้อมกอ่ นแม่สุกรคลอด คอื เชอื กสาหรับผกู สายสะดือ กรรไกรหรอื มีดสาหรบั ตัดสายสะดือ คีมตัดเขยี้ วหรอื ฟันของลกู สุกร ทิงเจอร์ไอโอดนี และสาลี 2) ขณะแมส่ ุกรคลอดควรเฝ้าอย่างใกล้ชดิ สุกรคลอดลกู ไดห้ ลายท่า เชน่ อาจจะเอาหัวออกมา หรอื ขาหลังออกมากอ่ นกไ็ ด้ 3) ตามปกติแลว้ สุกรจะคลอดลูกหมดภายใน 2-4 ช่วั โมง 4) รกของแม่สุกรจะถูกขบั ออกมาหลังจากคลอดลกู ได้จานวนหนึง่ และจะถูกขบัออกมาอีกหลงั จากคลอดลูกหมดภายใน 2-4 ชวั่ โมงถ้านานเกนิ ไป 12 ชวั่ โมงถอื ว่ารกค้างในกรณรี กคา้ งควรใชฮ้ อรโ์ มนอ๊อกซีโตซินฉีดใหแ้ มส่ ุกรพร้อมด้วยยาปฏชิ วี นะ 5) หลังจากลูกสกุ รคลอดใหร้ ีบเอานา้ เมอื กในปาก จมูกออกทันที เพื่อปอ้ ง กนัลกู สุกรสาลกั ถ้าลูกสุกรไม่หายใจให้ใชม้ อื นวดเบาๆ บริเวณซ่โี ครง เมื่อลกู สุกรคลอดออก มาใหม่ๆ ควรใชผ้ า้ เชด็ ตามส่วนตา่ งๆ ของลูกสุกรใหแ้ ห้งโดยเรว็ 6) การตัดสายสะดือ ควรตดั ใหห้ ่างจากพน้ื ท้องประมาณ 2.5-3 เซนตเิ มตร แลว้ทาดว้ ยทงิ เจอร์ไอโอดีน 7) ต้องตัดเขยี้ วของลกู สกุ รเพ่อื ป้องกนั แม่สกุ รเกดิ บาดแผลทีเ่ ตา้ นมในขณะทล่ี ูกสุกรกนิ นมแม่ และเพ่ือปอ้ งกนั การเกิดบาดแผลเนอ่ื งจากลูกสกุ รกัดกัน 8) ต้องใหล้ ูกสกุ รไดร้ ับน้านมเหลอื งอยา่ งเร็วหลงั จากคลอด
หนา้ 13 จาก 21 9) ในกรณที ี่แม่สุกรให้ลูกมากเกินจานวนเต้านมควรนาลูกสุกรท่ีเกินไปฝากเล้ียงกับแม่สุกรตวั อื่น สาเหตทุ ีท่ าให้แมส่ กุ รคลอดยากอาจเน่ืองมาจากสภาพผิดปกตขิ องแม่สกุ ร เชน่ช่องเชิงกรานแคบกวา่ ปกติ แม่สุกรอว้ นเกินไป อณุ หภมู ิในโรงเรือนสงู เกินไป แม่สุกรท้องผูกแมส่ กุ รไดร้ บั อาหารไมส่ มดลุ หรอื นอกจากนี้อาจจะมีสาเหตจุ ากความผิดปกตขิ องลกู สุกรในครรภ์ ไดแ้ ก่ลกู สุกรอยูใ่ นทา่ ผดิ ปกติ เปน็ ต้น 2.2.6 การจดั การลกู สุกร ข้ันตอนการจดั การลูกสุกรหลงั จากลกู สุกรคลอดออกมาและผา่ นขั้นตอนการจดั การหลังคลอดเรยี บร้อยแลว้ ให้ดาเนนิ การตอ่ ไปนี้ 1) เปลีย่ นวสั ดรุ องพืน้ ใหม่ เปดิ ไฟกกลกู สกุ รตลอดเวลาอยา่ งนอ้ ย 7 วนั และต่อไปเปดิ ไฟกกเมอื่ อากาศเย็นลงกวา่ ปกติ เชน่ ฝนตก 2) เมอ่ื ลูกสุกรอายไุ ด้ 2 วนั ให้ธาตเุ หล็กคร้ังที่ 1 โดยฉีด 1 มลิ ลิลติ รสาหรบั ตัวทส่ี มบรู ณแ์ ละ 2 มิลลิลติ รสาหรับตวั ทไ่ี มส่ มบูรณ์ 3) ลูกสกุ รอายุ 7-10 วัน ฝกึ ให้กนิ อาหารอาหารลกู สุกรออ่ น 4) อายุ 9-14 วนั ตอนลูกสุกรเพศผู้ 5) อายุ 15 วัน ใหธ้ าตเุ หลก็ ครง้ั ท่ี 2 6) อายุ 28 วนั หย่านมตวั ทีส่ มบรู ณแ์ ละใหอ้ าหารลูกสกุ รอ่อนตอ่ อกี 3-5 วนัสว่ นตวั ทไ่ี ม่สมบรู ณ์ใหก้ ินนมต่อไปโดยใหก้ ินกับแม่ตัวเดิมหรือนาไปฝากใหแ้ ม่สุกรตัวอน่ื เลี้ยงแทนก็ได้ 7) ทาความสะอาดคอกและเปลย่ี นวสั ดุรองพืน้ ทุกวนั 2.2.7 การตอนสกุ ร การตอนสุกรนิยมตอนลูกสกุ รเพศผสู้ าหรบั ขุนหรือสุกรพันธ์ุที่ถกู คัดทิง้ เพอ่ื จะให้ไดเ้ นอื้ สกุ รท่ีไม่มกี ล่นิ เม่ือนาเนื้อสกุ รไปปรุงอาหาร การตอนนิยมตอนสกุ รอายุ 9-14 วนั เพราะสะดวกในการจดั การและสกุ รเครียดน้อย 1) อปุ กรณท์ ี่ใช้ในการตอนได้แก่ มดี ผา่ ตัด คมี หนีบเสน้ เลือด เชอื กสาหรับบงั คบั สุกร ดา้ ยสาหรับผกู ทอ่ นา้ เชื้อ สาลี ทงิ เจอร์ไอโอดนี และยาโรยแผลปอ้ งกนั แมลงวนั 2) ขนั้ ตอนการตอนสุกร (1) บงั คบั สกุ รให้อยู่น่งิ หากตอนคนเดยี วใหจ้ บั สุกรนอนหงายทอ้ งบนท่ีนอนรูปตัววีแลว้ ใชเ้ ชอื กมัดให้แน่น (2) ทาความสะอาดบริเวณทีจ่ ะตอนด้วยน้าสะอาดและน้ายาฆ่าเชือ้ (3) ใช้มีดผา่ ตดั ผา่ ถงุ หุม้ อัณฑะให้ถึงเมด็ อัณฑะ ปลน้ิ เมด็ อณั ฑะออกมา (4) ใช้ด้ายผูกทอ่ นานา้ เชอ้ื ให้แนน่ หนีบดว้ ยคมี ห้ามเลือดแลว้ ตดั ทอ่ นานา้เชือ้ ระหวา่ งด้ายท่ีผกู กบั เมด็ อัณฑะใหข้ าดโดยตาแหน่งท่ผี ูกควรอย่ชู ิดด้านใน (5) ตอนอัณฑะเมด็ ตอ่ ไปโดยปฏบิ ตั เิ ชน่ เดยี วกบั เมด็ แรก
หนา้ 14 จาก 21 (6) เม่อื เสรจ็ แลว้ ใช้ทิงเจอร์ทาบรเิ วณแผลทีผ่ า่ แลว้ โรยดว้ ยยาปอ้ งกันแมลงเปน็ อนั ว่าสิ้นสุดการตอน 2.2.8 การทาเครอื่ งหมายสกุ ร การทาเครื่องหมายสกุ รที่นยิ มมี 2 วิธีคือการทาเครื่องหมายโดยการสักเบอรห์ ูและการตดั เบอรห์ ู 1) การทาเครือ่ งหมายโดยการสกั เบอร์หนู ิยมสักใบหดู ้านใน การทาเครอื่ งหมายวธิ ีน้ีต้องใช้เครอ่ื งมอื สกั หู (Ear Tattoo) ซ่งึ เป็นเข็มแหลมแสดงตัวเลขส่วนใหญ่มอี ยู่ 4หลกั (4 แถว) กอ่ นทาเครื่องหมายจะตอ้ งเรยี งตัวเลขใหไ้ ดเ้ บอร์ตามทต่ี อ้ งการแลว้ นาไปกดลงบนใบหดู า้ นในทไ่ี มม่ ีขนระวังอย่าใหถ้ ูกกระดูกออ่ นและเส้นเลือด หลังจากกดเบอร์ลงไปแล้วนาหมกึ ปา้ ยบรเิ วณที่สกั ให้ท่ัวเบอรก์ จ็ ะติดอย่นู านอา่ นไดช้ ดั เจน 2) การทาเคร่อื งหมายโดยการตดั เบอรห์ ู ทาไดโ้ ดยการนาคีมคีบตัดเบอร์หูไปตัดบรเิ วณใบหใู หเ้ ป็นรปู ตัววีหรอื รูปตัวยถู ้าตดั ริมใบหดู ้านล่างจะเปน็ รปู ตัววีคว่า (Λ) หรอื ยูควา่(∩) ถา้ ตัดรมิ ใบหดู า้ นบนจะเปน็ รูปตวั วีหรือตวั ยปู กติ การกาหนดตาแหน่งตัวเลขมอี ยู่หลายแบบ โดยท่ัวไปจะกาหนดตวั เลขเป็นเลขส่หี ลัก โดยเร่มิ นบั ตงั้ แตห่ ลักหน่วย หลักสบิ หลกั ร้อยและหลักพนั โดยแบง่ ส่วนของใบหูออกเป็น 3 ส่วน ดังนค้ี อื สว่ นปลายใบหูตาแหน่ง เลข 3ส่วนกลางใบหูตาแหนง่ เลข 9 ส่วนโคนใบหูตาแหน่งเลข 1 และหากสุกรหันหน้าเข้าหาผูท้ าเคร่อื งหมายกาหนดให้ใบหซู ้ายดา้ นลา่ ง เป็นเลขหลกั หนว่ ย ใบหขู วาด้านล่างเป็นเลขหลกั สิบใบหูขวาดา้ นบนเป็นเลขหลักรอ้ ยและใบหซู า้ ยดา้ นบน เป็นเลขหลักพนั 2.2.9 การจดั การเลย้ี งดสู ุกร 1) การให้อาหารแมส่ ุกรอมุ้ ท้อง (1) ใหอ้ าหารมีโปรตีน 12-13 เปอรเ์ ซน็ ต์ แบง่ ใหอ้ าหารวนั ละ 2 คร้ังและให้กินหญา้ ทกุ วนั หลังจากผสมพนั ธใุ์ หอ้ าหารปกติ 1.2-1.5 กโิ ลกรมั ต่อตัวต่อวนั จนถงึ อายุ 84 วนั (2) ชว่ ง 30 วนั กอ่ นคลอด ใหอ้ าหาร 1.5-3.5 กโิ ลกรมั ต่อตวั ตอ่ วันใกลค้ ลอด3 - 4 วันลดให้ตามปกติ (1.2-1.5 กิโลกรมั ตอ่ ตวั ตอ่ วัน) (3) ก่อนคลอด 12 ชว่ั โมงจะตอ้ งหยดุ ให้อาหารแต่ต้องมีนา้ ไว้ใหก้ ินตลอดเวลา 2) การให้อาหารแม่สกุ รเลยี้ งลกู (1) ให้อาหารท่ีมโี ปรตีน 13-14 เปอร์เซ็นต์ (2) ครอกท่ีมลี กู นอ้ ยกว่า 6 ตวั ให้อาหารแม่สกุ รวนั ละ 1.5-3.0 กโิ ลกรมั (3) ครอกทมี่ ีลูกเกนิ 6 ตัว คอ่ ย ๆ เพ่ิมอาหารในสัปดาห์ที่ 2 ใหอ้ าหารแม่สกุ รประมาณ 2 กิโลกรมั และเพิ่มให้อีกประมาณ 0.3 กิโลกรัมตอ่ ลูกสกุ ร 1 ตวั (4) ก่อนหย่านม 3-5 วันเร่มิ ลดปรมิ าณอาหารลงจนวนั หย่านมให้อาหารแม่สุกรเพียงเล็กน้อย หลงั จากหยา่ นม 2-3 วันจึงใหอ้ าหารมากขน้ึ เพ่อื ให้แม่เตรียมความพร้อมในการผสมครั้งตอ่ ไป
หน้า 15 จาก 21 3) การใหอ้ าหารพ่อสกุ ร ให้อาหารทีม่ โี ปรตีน 13-14 เปอร์เซน็ ตห์ รือมากกว่าเลก็ น้อยโดยใหป้ รมิ าณ 1-1.2 เปอรเ์ ซ็นต์ของนา้ หนกั ตวั และให้หญา้ สดทกุ วัน 4) การให้อาหารลูกสุกรดูดนม ให้ลกู สุกรหัดกินอาหารพิเศษต้งั แตอ่ ายุ 7-10 วนัโดยให้กนิ ตลอดเวลาและใหบ้ อ่ ยครง้ั อาหารทใี่ ห้มโี ปรตนี ประมาณ 20 เปอร์เซน็ ต์ มเี ถา้ และเยอื่ใยต่า นยิ มใช้อาหารที่มผี ลติ ภัณฑ์นมเป็นส่วนประกอบ 5) การให้อาหารสกุ รเลก็ (1) สกุ รน้าหนักประมาณ 10-20 กโิ ลกรัมให้สกุ รกนิ เตม็ ที่ (2) สกุ รนา้ หนัก 20-60 กิโลกรัม ให้อาหารทมี่ ีโปรตีน 14-16 เปอรเ์ ซ็นต์ ถ้าอาหารราคาแพงและสุกรมชี วี ติ ราคาตา่ อาจจากัดอาหารโดยเริ่มจากัดอาหารเมอื่ สุกรมีน้าหนกัมากกวา่ 30 กโิ ลกรัม โดยให้กนิ วนั ละ 1.0-1.5 กิโลกรมั 6) การให้อาหารสุกรร่นุ และสุกรขุน สกุ รทีม่ นี ้าหนกั 60-100 กิโลกรมั ให้อาหารทีม่ ีโปรตีน 13-14 เปอรเ์ ซน็ ต์ หากต้องการขุนเพอื่ จะได้จาหนา่ ยออกเร็วควรให้อาหารให้เตม็ ที่ 7) การให้อาหารสกุ รทดแทนหรือสกุ รท่จี ะเกบ็ ไวท้ าพนั ธ์ุ เรม่ิ จากดั อาหารเมื่อสกุ รมีนา้ หนกั ประมาณ 60 กิโลกรัม โดยใหอ้ าหารทม่ี โี ปรตนี ประมาณ 15-16 เปอร์เซน็ ต์ปรมิ าณ 1.0-1.1 กโิ ลกรมั ต่อวนั สาหรบั เพศผู้ และ1.2-1.3 กิโลกรมั ต่อวัน สาหรบั เพศเมยีจนถึงระยะผสมพันธ์ุ 2.2.10 การคดั เลอื กสกุ ร 1) คดั ลกั ษณะตามคณุ สมบตั ทิ ่ีดขี องสกุ ร (1) ลาตวั ยาว กว้างและลกึ โคง้ รับกับสะเอวและไหล่ หลังโค้งพองามรบั กับสะเอวและไหล่ แนวพืน้ ทอ้ งไดร้ ะดบั (2) บรเิ วณสะโพกตอ้ งใหญ่และเน้ือแน่น สขี ้างเรียบ ลกึ และเนอ้ื เตม็ ซอกขาลึก (3) คาง ศีรษะเรยี บไมเ่ ห็นหนังหย่อนยาน หนา้ ตามลี ักษณะตรงตามพนั ธุ์ไมโ่ ตและไมเ่ ล็กเกนิ ไป (4) ไหลเ่ ทลาดรับกับสว่ นคอและส่วนหลัง (5) สะโพกตึงกลมรบั กับดา้ นขา้ งและบั้นทา้ ย บรเิ วณบั้นท้ายลาดเทลงมาจดหางแตพ่ องาม (6) ขาตั้งตรงไม่สน้ั หรอื ยาวเกนิ ไป 2) การคดั เลอื กสุกรทาเปน็ แมพ่ นั ธ์ุ (1) จะต้องเป็นสกุ รทม่ี ลี ักษณะทวั่ ๆ ไปดี (2) ควรมีเตา้ นมทีส่ มบูรณจ์ านวนไมน่ อ้ ยกว่า 12 เตา้ เตา้ นมไมย่ านเกนิ ไปและเต้านมควรจะอย่ขู ้างหนา้ มากท่ีสุดเทา่ ที่จะมากได้ (3) หัวนมใหญเ่ ห็นชัดและตั้งอยู่ห่างเทา่ ๆ กัน
หน้า 16 จาก 21 (4) มีพันธุ์ประวตั ิดโี ดยพจิ ารณาจาก พ่อ แม่ ญาตพิ ีน่ อ้ งให้ลูกครอกใหญ่อตั ราการตายหลังคลอดตา่ น้าหนกั แรกคลอดและนา้ หนกั เมื่อหยา่ นมสูง เลย้ี งลูกเกง่ อตั ราการเจรญิ เติบโตเรว็ และประสทิ ธภิ าพการใช้อาหารสูง คุณภาพของซากดมี ีเน้ือมาก 3) การคดั เลือกสุกรตัวผู้ทาเปน็ พอ่ พันธ์ุ (1) จะตอ้ งเป็นสกุ รทมี่ ีลกั ษณะทั่วๆ ไปดี (2) อวัยวะสืบพันธจ์ุ ะตอ้ งเจรญิ เติบโตเตม็ ทีเ่ มด็ อัณฑะมขี นาดเทา่ กนั (3) พ่อสกุ รควรมลี กั ษณะเปน็ ตวั ผูท้ ่เี ปน็ นกั ผสมพนั ธุ์อย่างเตม็ ท่ี ต้องมีความแข็งแรง หัวกว้าง คอเป็นสัน ลาตัวเตม็ ไปดว้ ยกลา้ มเนอื้ มีอารมณค์ กึ คะนองตลอดเวลา (4) ควรจะเลอื กสุกรตัวผ้ทู ม่ี าจากครอกใหญ่ (5) ศกึ ษาพนั ธปุ์ ระวตั ขิ องสกุ รตวั ทจี่ ะทาเป็นพ่อพันธ์ุคอื ญาตพิ น่ี อ้ งฝ่ายตวัเมียของสุกรตัวน้ันจะต้องมเี ต้านมไมน่ ้อยกว่า 12 เต้า เล้ยี งลูกเก่ง ลกู ดก โตเร็ว ประสทิ ธิภาพการใช้อาหารสงู นา้ หนักแรกคลอดและหยา่ นมสงู เปน็ ตน้ 2.2.11 การดแู ลสขุ ภาพและการรักษาโดยทว่ั ไป 1)การนาสกุ รเขา้ ออกจากคอกต้องใชร้ ะบบเข้าพรอ้ มกนั ออกพรอ้ มกัน 2)การดูแลสุขภาพสุกรผ้เู ลีย้ งต้องเข้าไปเดินดูถงึ ตวั สุกรทกุ ตวั ทกุ วนั 3)หากพบสกุ รตวั ใดปว่ ยหรือแสดงอาการผดิ ปกตผิ ้เู ลี้ยงตอ้ งรบี ดาเนนิ การ หรอืแกป้ ญั หาอย่างทนั ทที ันใดและดาเนินการคดั ทงิ้ สุกรทีม่ ีปัญหาให้เรว็ เพ่ือลดต้นทนุ 4)ถา้ อากาศร้อน ต้องทาการลา้ งคอกทกุ 3-7 วัน 5)ลูกสุกรที่เขา้ คอกใหม่ตอ้ งหัดให้ถ่ายเปน็ ทีเ่ พ่ือไมใ่ หค้ อกแฉะไม่ใหข้ ้ีลงรางและสะดวกต่อการแซะขี้ โดยตอ้ งทาการแซะข้ลี ูกสุกรเขา้ ใหม่ 2-3 คร้ังตอ่ วัน 6)ถา้ ลมโกรกตอ้ งตดิ ม่านบัง 7)หลงั จากขายเสร็จตอ้ งรีบจัดการคอกโดยเร็ว 2.3 การจดั การเลย้ี งสตั วใ์ นกลมุ่ สตั วป์ กี 2.3.1 การจดั การโรงเรอื น โรงเรอื นสัตวป์ ีกโดยทว่ั ไปมีความกว้างอยา่ งน้อย 6 เมตร แตไ่ มค่ วรเกิน 10เมตร สว่ นความยาวตามจานวนสัตวท์ ่เี ลยี้ งแตไ่ มค่ วรยาวเกนิ 100 เมตร ภายในโรงเรอื นอาจแบง่ กนั้ เป็นห้องเพ่อื ให้สะดวกในการจัดการรอบๆ โรงเรือนกั้นดว้ ยตาข่ายขนาดไมค่ วรเกิน1x1 น้ิว ถา้ ชอ่ งตาขา่ ยใหญ่จะปอ้ งกนั นก หนหู รอื สัตวพ์ าหะนาโรคมาส่สู ตั วป์ กี ท่ีเลยี้ งไม่ได้ 1) หลักการพิจารณาในการสรา้ งโรงเรือน (1) ขนาดโรงเรือนตอ้ งเหมาะสมกบั ชนดิ และประเภทสัตวป์ กี ท่ีเลย้ี ง (2) สามารถป้องกันแดดไดด้ ี ลมไมโ่ กรกและฝนไมส่ าด (3) การถา่ ยเทอากาศดีภายในโรงเรอื นไม่อับชนื้ (4) ไมม่ ฝี ุ่นละออง
หนา้ 17 จาก 21 2) การจัดการโรงเรือนสตั วป์ ีก ก่อนนาสตั ว์ปกี เขา้ โรงเรอื นจะตอ้ งเตรียมโรงเรือนใหพ้ รอ้ มโดยปฏิบัตดิ ังนี้ (1) ถ้าเปน็ โรงเรอื นท่เี คยเล้ยี งสัตวป์ กี มากอ่ นแลว้ ตอ้ งกาจดั มูลและสง่ิ ปฏิกลูภายในโรงเรือนออกใหห้ มด (2) ปดั กวาดหยากไยห่ รอื ฝ่นุ ผงให้ทวั่ ทกุ ซอกทกุ มุม (3) ลา้ งทาความสะอาดขดั ถูใหส้ ะอาดทส่ี ุดเท่าทจ่ี ะทาได้ (4) พน่ ยาฆา่ เชื้อโรคใหท้ ่วั จนมัน่ ใจว่าโรงเรือนปราศจากเชื้อโรคจรงิ ๆ (5) นาวัสดรุ องพ้ืนเขา้ ปูในโรงเรือน ความหนาประมาณ 5-8 เซนติเมตร 2.3.2 การจดั การดา้ นผสมพนั ธุ์ 1) ควรทาใหพ้ อ่ แมพ่ ันธ์แุ ขง็ แรงปราศจากโรคโดยเฉพาะโรคซึง่ สามารถถ่ายทอดทางไข่ฟักได้ เชน่ โรคขี้ขาว 2) ถา่ ยพยาธพิ ่อ แมพ่ นั ธุ์ 3) ใช้สดั สว่ นของพ่อพันธแุ์ ละแม่พันธ์ใุ ห้ถกู ตอ้ ง เช่นไกใ่ ชพ้ อ่ พนั ธ์ุ 1 ตวั ตอ่ แม่พนั ธุ์ 8-10 ตัว เป็ดใชพ้ อ่ พันธุ์ 1 ตวั ต่อแม่พันธ์ุ 5-7 ตวั และนกกระทาใช้พ่อพนั ธ์ุ 1 ตวั ต่อแม่พนั ธ์ุ 2-3 ตวั เปน็ ต้น 4) ปรับสภาพโรงเรือนให้มีอณุ หภมู เิ หมาะสมคือโรงเรอื นต้องมอี ุณหภูมิไม่เกิน29.5 องศาเซลเซียสหรือ 85 องศาฟาเรนไฮต์ 5) เลือกฤดกู าลผสมพันธุใ์ ห้เหมาะสมคือ ไมค่ วรผสมพนั ธ์ุในฤดรู อ้ นหรือช่วงที่อณุ หภมู ิร้อนจัดเกนิ ไป 2.3.3 การเกบ็ รกั ษาไขก่ อ่ นเขา้ ฟกั 1) ควรเกบ็ ไข่บ่อยๆ อยา่ งนอ้ ยวนั ละ 3 ครงั้ และไม่เก็บไวน้ านเกิน 10 วัน 2) ไขฟ่ ักต้องสะอาดหากบรเิ วณใดสกปรกควรใชผ้ ้าหรือกระดาษทรายละเอียดทาความสะอาด 3) ไข่ทเี่ ก็บไว้ควรวางเอาด้านปา้ นขึ้นหรือวางในแนวนอนราบก็ได้ 4) เกบ็ ไขใ่ นท่ีอากาศถา่ ยเทสะดวกและอุณหภมู ิต่าประมาณ 10-15.5 องศาเซลเซียสหรอื 50-60 องศาฟาเรนไฮต์ 2.3.4 การฟกั ไขแ่ ละการสอ่ งไข่ ปัจจบุ นั หากจะเลี้ยงสตั ว์ปีกเป็นธรุ กิจนยิ มฟักไขด่ ว้ ยเคร่ืองมากกว่าใหส้ ตั วป์ ีกฟักไข่เองตามธรรมชาติ เพราะการฟกั ไขโ่ ดยใชเ้ คร่อื งฟักนั้นสามารถฟักไข่ไดค้ ร้ังละมากๆ ทาให้สะดวกในการจัดการ 1) ลกั ษณะของไข่ท่นี ามาฟกั (1) มขี นาดเหมาะสมคอื ไม่เลก็ หรือใหญเ่ กนิ ไปเชน่ ไขไ่ ก่ควรมีนา้ หนักอยู่ระหวา่ ง 50-65 กรมั เป็นตน้ (2) ต้องมีผิวเรยี บไม่ขรุขระ ไม่บบุ หรอื แตกรา้ ว (3) ต้องมรี ูปทรงไม่บิดเบยี้ ว
หนา้ 18 จาก 21(4) ต้องไม่เปน็ ไขแ่ ฝด(5) ช่องอากาศภายในไขต่ อ้ งไม่หลดุ ลอย2) อายุการฟกั ไข่ สัตว์ปกี แต่ละชนิดจะมีอายุการฟกั ไข่แตกตา่ งกันไปดังแสดงในตารางตาราง แสดงอายุการฟกั ไขแ่ ละน้าหนักไข่ของสัตวป์ กี บางชนดิชนิดสัตวป์ กี อายุการฟกั (วนั ) น้าหนักไข(่ กรมั )ไก่ 21 45-65เปด็ 28 70-90เปด็ เทศ 33-37 70-90 100-200หา่ น 30-32 11-17นกกระทาญี่ปุ่น 17-19 1,500-1,900 70-120นกกระจอกเทศ 42ไก่งวง 28ท่ีมา : อาวธุ (2538) 3) ขน้ั ตอนการฟักไขโ่ ดยใชเ้ ครื่องฟัก (1) เชค็ ความพร้อมในการใช้งานของเคร่อื ง (2) รมตฟู้ กั และไขเ่ พื่อฆา่ เชอื้ โรค นยิ มใชฟ้ อร์มาลนิ เข้มขน้ จานวน 40มิลลลิ ติ ร ผสมกบั ดา่ งทบั ทิม 20 กรมั ต่อพื้นท่ี 100 ลกู บาศก์ฟตุ ใช้เวลา 15 นาที (3) ใส่นา้ ในอุปกรณ์ใส่นา้ ทอี่ ย่ใู นเครอ่ื งฟัก (4) เปดิ เดินเครื่องเพอ่ื ควบคุมอณุ หภูมใิ ห้ได้ตามต้องการ 37.77-39.44 องศาเซลเซยี สหรือ 100-103 องศาฟาเรนไฮต์ สาหรับเคร่อื งฟกั แบบถาดไข่ช้ันเดยี ว (5) เมอื่ อุณหภมู คิ งทีแ่ ล้วใสไ่ ข่ฟกั เข้าไปโดยวางดา้ นปา้ นอยู่ด้านบนหรอื วางในแนวนอนกไ็ ด้ (6) เปิดชอ่ งระบายอากาศให้เหมาะสม (7) กลับไข่อยา่ งน้อยวันละ 3 ครั้ง (8) สอ่ งไขเ่ พื่อคัดไข่ทไ่ี มม่ ีเชอ้ื และไข่เช้อื ตายออกจากตูฟ้ ัก (9) เมื่อลกู ออกเป็นตัวและขนแห้งดแี ลว้ ยา้ ยออกมาใสก่ รงกก (10) ทาความสะอาดตฟู้ ักหลงั เสร็จสิ้นการฟกั 4) การส่องไข่ การสอ่ งไข่คอื การนาไข่มาทาบกบั แสงในทม่ี ืดเพื่อมองสภาพภายในของไขว่ ่าอยใู่ นสภาพใดทาให้สามารถคัดไขไ่ มม่ เี ชอ้ื และไขเ่ ช้อื ตายออกท้ิงกอ่ นท่ไี ข่จะเสียและแตกส่งกลน่ิ เหมน็ อยใู่ นตู้ฟกั นิยมส่องครัง้ แรกเมือ่ ไข่ฟกั อายุ 7 วนั คร้ังที่ 2 เมอ่ื ไขฟ่ ักอายุ 14 วนั โดยไข่มเี ชื้อท่ีฟักไปได้ 7 วนั มเี ส้นเลอื ดสแี ดงสดใสประสานกันเปน็ ร่างแหเชอื้ลกู ไก่เคล่ือนไหวขณะสอ่ ง หากจรดปากเครอื่ งสอ่ งนานสกั หน่อยจะเห็นเชื้อลูกไกด่ ้ินไปมา
หน้า 19 จาก 21เมอ่ื ไข่ฟกั อายุ 14 วัน เชือ้ ลกู ไกโ่ ตข้ึนดูคอ่ นข้างมืดทึบชอ่ งอากาศโตข้ึนเชื้อลูกไกเ่ คลอื่ นไหวได้หัวใจเตน้ และหากสอ่ งอกี คร้งั เมอ่ื อายุ 18 วันพบว่าเนื้อที่คร่ึงฟองไข่หรอื กว่านนั้ ทบึ แสงเหน็เส้นเลือดตอน ลา่ งชดั อาจเหน็ ลูกไกก่ าลังเคล่ือนไหว 2.3.5 การจดั การลกู ไกร่ ะยะกก 1) กอ่ นลูกไกม่ าถึงห้องกกตอ้ งอนุ่ เคร่ืองกกจนแน่ใจว่าความอบอนุ่ คงท่ตี ามตอ้ งการ ตรวจดวู สั ดรุ องพน้ื ใหเ้ รียบรอ้ ย ปพู น้ื ด้วยกระดาษหรอื กระสอบ ใต้ฝาชีกกมอี าหารโปรยบางๆ บนถาดและมีนา้ ท่ชี ายเคร่ืองกกให้พร้อมก่อนลูกไกล่ งกกควรใหว้ ิตามนิ ในนา้ กิน 3วนั แรกและในเวลาต่อมาหากสังเกตเห็นลกู ไก่ซึมไม่ประเปรียว 2) ทนั ทีที่ใส่ลกู ไก่ลงกกหัดใหก้ ินน้ากนิ อาหาร ควรใหม้ แี สงสว่างให้ลกู ไกเ่ ห็นที่กนิ น้าและอาหาร พอลกู ไกม่ ีอายมุ ากขึ้นจงึ เลอ่ื นรางอาหารและรางนา้ มาไว้ในลานวง่ิ ช่วยไมใ่ ห้ท่นี อนแฉะสกปรก 3) ในช่วง 3-7 วันแรกของการกกควรมที ี่กน้ั สงู 30 เซนติเมตร กนั้ ห่างจากชายกกประมาณ 60 เซนตเิ มตรถงึ 1 เมตร เพ่อื ป้องกนั ลกู ไก่ห่างความอบอุ่นทีก่ ัน้ นจ้ี ะตอ้ งเลอื่ นหา่ งจากชายกกออกไปเรื่อยๆ ในวนั ต่อมา 4) ต้องคอยตรวจรักษาความอบอุ่นใหบ้ อ่ ยคร้ังท่ีสุด โดยการดูปรอทและสงั เกตจากอาการของลูกไกไ่ ปพร้อมๆ กัน หากลูกไกน่ อนราบไมส่ มุ ทบั กันไมม่ เี สียงร้องผดิ ปกตถิ อื ว่าความอบอุ่นพอดี 5) คอยเติมอาหารให้อยู่ในระดับ 1 ใน 3 ของความลกึ ของรางเสมอไมค่ วรเตมิครงั้ ละมากๆ เพราะจะทาใหเ้ กิดความสูญเสีย 6) ล้างภาชนะใสน่ า้ วนั ละ 1-2 คร้งั ระวังอยา่ ให้นา้ หมดหรือเปียกแฉะพ้ืนกกเพราะจะเป็นสาเหตใุ หไ้ ก่เปน็ โรคได้งา่ ย 7) เม่อื พบไก่ปว่ ยและไกอ่ ่อนแอให้แยกออกทาลาย 2.3.6 การตดั ปากลกู ไก่ การตัดปากมีความสาคญั ตอ่ การเลีย้ งไกม่ าก เพราะการตดั ปากจะลดปญั หาการจกิ กันในฝูง เพิม่ ประสทิ ธิภาพการใชอ้ าหาร สามารถใช้พ้ืนที่โรงเรอื นไดเ้ ตม็ ท่ี การเจริญเตบิ โตสม่าเสมอและอตั ราการแลกเนื้อดี การตดั ปากท่ีเหมาะสมคอื ช่วงลกู ไกอ่ ายุ 6-9 วนั 2.3.7 การใหว้ คั ซนี การให้วัคซนี จัดเปน็ การสขุ าภบิ าลสัตวอ์ ยา่ งหนึง่ การใหว้ คั ซนี สัตว์ปกี ทาได้หลายวิธีได้แก่การพน่ การหยอด การแทงปีก การฉีดเข้ากลา้ มเนื้อและการละลายใหก้ นิ 1) การให้วคั ซีนโดยวธิ พี น่ การพน่ หรือการสเปรย์วัคซนี นยิ มทากบั ลูกสตั ว์ปีกท่ีเพิง่ ออกจากไขใ่ หม่ๆ ส่วนใหญ่บริษัทผผู้ ลิตลูกไกจ่ ะทาวคั ซนี นมี้ าเรียบร้อยแลว้ เช่นวัคซีนโรคมาเรก็ ซ์ในไก่ไข่
หนา้ 20 จาก 21 2) การให้วคั ซีนโดยการฉดี เขา้ ใต้ผวิ หนงั การให้โดยวิธีนท้ี าโดยฉีดเขา้ ใต้ผิวหนังบรเิ วณต้นคอ นยิ มทากบั ลูกไกอ่ ายุ 1 วนั เช่นวคั ซีนโรคมาเรก็ ซ์ในไก่ไข่ 3) การใหว้ ัคซีนโดยวิธกี ารหยอด วิธีการหยอดสามารถหยอดไดท้ ง้ั ทางจมกู ตาและปาก เชน่ วคั ซนี ป้องกนั โรคนิวคาสเซลิ และหลอดลมอักเสบใหโ้ ดยหยอดตาหรือหยอดจมูกวคั ซีนป้องกนั โรคกัมโบโรใหโ้ ดยวธิ ีหยอดปากเป็นต้น 4) การให้วัคซนี โดยวธิ กี ารแทงปกี การแทงปีกทาไดโ้ ดยใช้เข็มคู่จุ่มวคั ซนี ท่ีละลายแล้วแทงตรงผนงั ปีกของไกบ่ รเิ วณทไ่ี ม่มีเสน้ เลอื ด แทงให้ทะลุแลว้ ดงึ เขม็ กลับถือว่าสิ้นสดุ การทาวัคซีนโดยวธิ ีนี้ เช่นวัคซีนป้องกนั โรคฝีดาษไก่ 5) การให้วคั ซีนโดยวิธีฉดี เข้ากลา้ มเนอ้ื วัคซีนที่ใหโ้ ดยวิธนี ไ้ี ด้แกว่ คั ซนี ปอ้ งกันโรคอหวิ าต์เป็ด ไก่ ทาได้โดยเขยา่ ใหเ้ ขา้ กัน ดูดวัคซนี ในปริมาตรตามที่ฉลากกาหนด ฉดี เข้าไปบรเิ วณกล้ามเนอ้ื อก 6)การใหว้ คั ซีนโดยวธิ ีละลายนา้ การใหว้ คั ซีนโดยวธิ นี ีต้ อ้ งคานึงถงึ หลักปฏบิ ตั ิอยา่ งเคร่งครดั จึงจะไดผ้ ลดี ปัจจัยหลักที่ทาให้การให้วัคซนี โดยวธิ ีนป้ี ระสบผลหรอื ไมค่ ือ “นา้ ”เพราะนา้ ท่ีใช้เป็นตวั ทาละลายวัคซีนต้องมีสภาพเปน็ กลางและไม่มยี าฆ่าเชื้อปะปนอยู่ การทาให้นา้ มสี ภาพเปน็ กลางทาได้โดยใช้นมผงสกัดไขมัน (Skim Milk Powder) ในสัดส่วนนมผงสกัดไขมัน 4 กรัมผสมน้าท่ีนามาละลายวัคซีน 1 ลิตรสามารถแก้ปัญหาสภาพน้าได้ วคั ซีนที่นยิ มละลายนา้ ไดแ้ ก่ วคั ซนี นิวคาสเซิล วคั ซนี หลอดลมอักเสบและวัคซีนกมั โบโร 2.3.8 การจดั การทวั่ ไปในการเลย้ี งไก่ 1) ต้องมีโรงเรือนดี คอื ระบายอากาศไดด้ ีและมีอณุ หภูมพิ อเหมาะ 2) ไกอ่ ยู่อย่างสบายไมห่ นาแน่นจนเกินไป 3) อาหารทใ่ี ช้เลย้ี งมคี ณุ ภาพและตรงตามความตอ้ งการของไก่ในแต่ละอายุ 4) มนี า้ สะอาดใหไ้ กอ่ ย่างเพยี งพอ 5) ไก่ไดร้ ับแสงเพยี งพอตรงตามความต้องการในแต่ละช่วงอายุ 6) ตอ้ งตรวจสุขภาพไกอ่ ยา่ งทั่วถงึ ทุกวนั 7) มีการบนั ทกึ และจดั ทาบญั ชอี ยเู่ ป็นประจา
หน้า 21 จาก 21สรุป การจัดการที่ดยี อ่ มทาใหก้ ารเลีย้ งสัตว์ประสบความสาเร็จ ในทางตรงกนั ขา้ มหากการจัดการไมด่ กี ็จะทาให้การเลี้ยงสตั วน์ ั้นประสบกบั ความลม้ เหลว ดังน้ัน “การจัดการ” คือหัวใจสาคญั ของการเลย้ี งสัตว์แบบฝกึ หดั ทา้ ยบท/คาถามท้ายบท 1. การปอ้ งกนั และควบคุมโรคมคี วามสาคัญต่อการเลย้ี งสตั วอ์ ยา่ งไร อธบิ าย 2. การจดั การ มคี วามสาคญั อย่างไรต่ออาชีพการเล้ยี งสตั ว์แหล่งความรเู้ พมิ่ เตมิกนกวรรณ ศรที ศั นีย์, บรรณาธิการ. (2541). กระตา่ ย. สมทุ รปราการ : ไฟว์อีดิเตอร์.คณาจารย์ มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์. (2532). รวมเรอ่ื งโคเนอ้ื . พมิ พ์คร้ังที่ 3. นครปฐม : ศนู ย์ส่งเสรมิ และฝึกอบรมการเกษตรแหง่ ชาต.ิถวลั ย์ วรรณกุล. (2542). การเลยี้ งและการปอ้ งกนั รกั ษาโรคแพะ. กรุงเทพฯ : สัตว์ เศรษฐกจิ แมกกาซนี .ปฐม เลาหเกษตร. (2540). การเลย้ี งสตั วป์ กี . พิมพค์ รั้งท่ี 3. นนทบุร.ี : สหมติ รออฟเซท.ประสบ บูรณะมานสั . (2535). สกุ รและการรกั ษาโรค. พิมพ์ครั้งที่ 5. กรุงเทพฯ : ไทย วฒั นาพานชิ .มานิตย์ เทวรักษพ์ ทิ ักษ.์ (2536). การจดั การฟารม์ สตั วป์ กี . พิมพ์ครง้ั ท่ี 4. เชยี งใหม่ : ดาวยอดชาย ทองไทยนันท์, สมภพ จติ ตประไพ, ธรรมรตั น์ รจุ ิราวงศ,์ สว่าง องั กุโร และ สนิ ชัย เรอื งไพบลู ย์. (2542). การเลย้ี งควาย. พมิ พค์ รั้งท่ี 2. ม.ป.ท. (เอกสาร คาแนะนา กรมปศสุ ตั ว์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์)ยอดชาย ทองไทยนนั ท์ และคณะ. (2549). การเลย้ี งโคเนอื้ . พมิ พค์ รงั้ ท่ี 5. กรุงเทพฯ : ชมุ นมุ สหกรณก์ ารเกษตรแห่งประเทศไทย. (เอกสารคาแนะนา กรมปศสุ ตั ว์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์)สรุ ชน ต่างววิ ฒั น,์ อารกั ษ์ ชัยกลุ และสวุ ทิ ย์ อโนทัยสินทว.ี (2546). การเลยี้ งแพะ. พมิ พค์ ร้งั ท่ี 6. กรุงเทพฯ : ชมุ นุม สหกรณก์ ารเกษตรแหง่ ประเทศไทย.สวุ รรณ เกษตรสวุ รรณ และคณาจารยม์ หาวิทยาลยั เกษตรศาสตร.์ (3535). การเลย้ี งไก.่ พมิ พค์ รั้งท่ี 7. กรงุ เทพฯ : ประชาชน.สวุ ิทย์ อโนทยั สนิ ทว.ี (2545). การเลย้ี งแกะ. กรงุ เทพฯ : ชมุ นมุ สหกรณก์ ารเกษตรแห่ง ประเทศไทย. (เอกสารคาแนะนา กรมปศุสัตว์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์)
Search
Read the Text Version
- 1 - 21
Pages: