Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore นรต.

นรต.

Published by cholpussorn, 2020-04-24 00:09:49

Description: นรต.

Search

Read the Text Version

พมิ พ์คร้งั เดียว เปิดโปงเบ้ืองหลังชีวิตโหด มันส์ ฮา แบบฉบับนักเรยี นนายรอ้ ยตารวจ ทค่ี ณุ จะไม่สามารถหาอา่ นได้จากหนังสอื เลม่ ไหน 1 โดย ร้อยต่ำรวจโทส่ที ศิ อ่ำถนอม (หมวดเบนซ์)

นรต. : วถิ ลี กู ผชู้ าย สไตล์สภุ าพบรุ ษุ ©สงวนลิขสทิ ธ์ติ ามพระราชบญั ญัตลิ ิขสิทธ์ิ พทุ ธศักราช 2537 แตง่ และพสิ จู นอ์ กั ษร โดย รอ้ ยตา่ รวจโทสที่ ศิ อ่าถนอม ราคา 249 บาท 99 บาท จัดจา่ หนา่ ยทาง E-Book เท่านนั้ 2

จรงิ ๆแล้ว ไม่ใชอ่ าชีพในฝันของผมซกั เท่าไหรห่ รอกครับ ต้ังแต่ เดก็ ๆ ผมอยากเป็น “ทหาร” มากกวา่ ... แต่ปัญหาคอื สอบทหารไม่ติด และกไ็ ม่ใชว่ ่าไมต่ ดิ ทหารแล้ว จะติดตารวจ ... ตอนสอบเขา้ โรงเรียนเตรยี มทหาร ตอน ม.4-ม.5 นั้น ... ผมสอบไม่ติด เลยซักเหล่าเดียว เส้นทางชวี ติ กอ่ นรับราชการของผมออกจะประหลาดๆซักเล็กน้อย กว่า จะได้เป็น ‘นกั เรยี นนายร้อย’ ก็สบั สนตัวเองอยเู่ ป็นพักๆ ... หนงั สือเล่มนผ้ี มตง้ั ใจเขียนขึน้ เพื่อส่ือให้ท่านผู้อ่าน หรือประชาชนที่รัก ทกุ ทา่ น ไดเ้ กดิ ความรู้สกึ ใกล้ชดิ กับคนในอาชพี ทเ่ี กิดมาเพ่ือคุกคามสทิ ธเิ สรภี าพ ของประชาชนอย่างพวกผม ว่าแทท้ ่จี รงิ แล้ว พวกผมไมใ่ ช่เทวดามาจากไหน ... ตารวจก็เป็นแค่ประชาชนคนหนึ่ง ท่ีมันมีหน้าท่ีต่อประชาชนด้วย กันเอง … 3

หลายคร้ังผมแอบงอนเลก็ นอ้ ย ทีใ่ ครๆพากันดถู ูกตารวจชั้นประทวนตัว เล็กๆ โดยใช้คาว่า “แค่” เป็นแอดเจ๊กทีฟ (adj.) อาทิเช่นพูดว่า แค่หมู่ แค่จ่า แค่ ดาบ ... ( แม้ว่าเม่ือผมเรียนจบมาแล้วก็มีโอกาสได้ล้ิมลองคาว่า “แค่หมวด” เหมือนกัน ... ) ถามวา่ ทาไมผมถึงแอบงอน? ... นั่นก็เพราะว่า การท่ีประเทศประเทศน้ีจะ ผลติ “ตารวจ” ออกมาให้ประชาชนด่าทอไดแ้ ต่ละคนนัน้ มันไมใ่ ชเ่ รอ่ื งง่าย ทกุ วนั นี้ ‘คุณค่า’ ของตารวจดูหมิ่นเหม่ เหมือนขาข้างหน่ึงเหยียบอยู่ บนแทน่ รบั รางวัล แต่อกี ขา้ งหนง่ึ เหยียบอยูบ่ นบ่อขยะ ... ผมอยากใหป้ ระชาชนทุกคนเขา้ ใจ “ตารวจ” และเข้าใจการทางานของเราที่ มันต้องกระทบกระทง่ั กับประชาชนโดยธรรมชาติ หนังสอื เลม่ นี้เขียนถึงอุปสรรคขวากหนามของการท่ีเด็กหนุ่มคนหนึ่ง ตัดสินใจอยา่ งแน่วแนท่ ่ีจะผันชีวิตของตัวเองจาก ‘นักศึกษามหาวิทยาลัย’ มาสู่ ความเป็น “นายตารวจสัญญาบัตร” ผ่านเรื่องราวและความทรงจาแบบโหด มนั ส์ ฮา ทงั้ ใน “โรงเรียนนายสิบ” และ “โรงเรียนนายร้อย” ทเี่ มอ่ื ทา่ นไดอ้ า่ นแลว้ อาจจะ ‘IN’ ไปด้วยเสมือนได้สัมผัส ชีวิตนกั เรียนตารวจดว้ ยตวั ของทา่ นเอง 4

ขอเชญิ เสพย์ “นรต.วิถลี ูกผชู้ าย สไตล์สุภาพบรุ ษุ ” ใหเ้ ตม็ อารมณ์ ...แล้วคณุ จะรกั ตารวจมากกว่าท่ีเคยรกั ... -หมวดเบนซ-์ น.77 นรต.64 5

6

จัว่ หวั ว่า ‘บงึ บวั ’ ... ไม่ไดห้ มายความว่าผมเป็นลูกอ๊อดแต่ประการใด ... ผมเองก็เป็นเหมือนเด็กผู้ชายท่ัวๆไป ที่มี ‘ความฝันบู๊ๆ’ เป็นของ ตัวเอง ฝันของคนอน่ื เปน็ ยังไง เร่ิมมตี งั้ แตเ่ ม่อื ไหร่ ผมไม่ทราบ ... แตฝ่ นั ของ ผมชดั เจนมาตงั้ แต่ทผ่ี มจาความได้ ... แม้เด็กผู้ชายส่วนใหญ่จะชอบเล่น ‘ตารวจจับผู้ร้าย’ แต่ผมชอบเล่น ‘ทหารไทยรบพม่า’ มากกว่า … แน่นอน ... น้องชายผมเล่นเป็น ‘พมา่ ’ ทกุ ครง้ั 7

จะด้วยยีนส์ความเป็น ‘นักรบ’ ของพ่อถูกถ่ายทอดมาถึงผมต้ังแต่ เยาว์วัยหรืออย่างไรก็ไม่ทราบ ต้ังแต่เด็กๆผมคิดแต่ว่าโตขึ้นจะเป็น ‘ทหาร’ เหมือนพอ่ ไมเ่ คยคดิ จะสนใจอาชีพอน่ื เลย พ่อผมเปน็ นักรบครับ เปน็ ท้งั ทหารเสือพระยาสุรสีห์ (กองพลทหาร ราบท่ี 9) เป็นท้ังทหารเสือราชินี (กรมทหารราบที่ 21 รักษา พระองค์) เป็นท้ังทหารพราน (กรมทหารพรานท่ี 13) รบราฆ่าฟัน ต่อสู้ปกป้องประเทศชาติมาต้ังแต่สงครามเวียดนาม จนถึงสงคราม ปราบปรามผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ ก่อนที่จะลาออกจากราชการ เมือ่ ผมอายุได้ 6 ขวบ ในยศ ‘จา่ สบิ เอก’ ทกุ เร่อื งราวท่พี อ่ เคยเลา่ ใหฟ้ งั ผมจาไดด้ ี ... เวลาท่ีพ่อและเพ่ือนๆพูดคุยกันถึงเรื่อง ‘สนามรบ’ ผมก็มักจะ ‘เสือก’ เขา้ ไปนง่ั อยู่ในวงสนทนาดว้ ยแทบทุกครัง้ … ‘ทหารเก่า’ มกั เลา่ เรือ่ งราวความบา้ บน่ิ ในสมรภมู ิให้ชาวบ้านชาวช่อง ฟงั อยู่เสมอๆ 8

“เอ็งเห็นรอยนี่มั้ย?” พ่อพูดพร้อมกับถกขากางเกงโชว์แผลเป็นรูป วงกลมขนาดประมาณเหรียญบาทใหเ้ พ่ือนๆดู ผมชะโงกผ่านเพ่ือนๆ พอ่ เขา้ ไปดูด้วยความสนใจตามประสาเดก็ “โห...” เพ่ือนพ่อเร่ิมฮือฮาถามไถ่ท่ีมาของบาดแผล “โดนอะไรมา เหรอพี่” พ่อผมพยักหน้าง่ึกๆ “จาได้มั้ย ปี 2524 ยุทธการผาเมืองเผด็จศึก ปราบปรามผู้ก่อการร้ายคอมมวิ นสิ ตอ์ าเภอหลม่ สกั ” เพ่อื นๆพ่อพยักหน้า “นี่พ่ีปะทะกับขา้ ศกึ แล้วโดนยงิ มาเหรอ” พ่อผมยิ้มมุมปากเลก็ นอ้ ยแบบคนที่แกป่ ระสบการณ์ “ปา่ ว!” พอ่ ปฏิเสธทนั ควนั ด้วยน้าเสยี งแขง็ กรา้ ว ท่ามกลางความมึน งงทเี่ กิดขน้ึ ภายในวงสนทนา “ตอนนั้นไมไ่ ดไ้ ป ลงมาอยู่กองร้อย ... กนิ เหลา้ ... เมา ... เพ่ือนเอา บุหร่จี ี้” !! อมื ... นกั รบจริงๆ ... 9

อนั ที่จริงจะบอกวา่ ลักษณะพ่อผมเปน็ คนโมเ้ ก่งกไ็ ด้ครบั ... แต่ทกุ ครง้ั ท่ีพอ่ พูดเร่อื งไปรบ ... เนอ้ื หามันไม่เคยเปล่ียนไปเลย ไมเ่ ลย...แม้แตน่ ้อย แมพ้ ่อจะยิงมุกบ้าง หักมุมบ้าง แต่พ่อก็มักจะเล่าเร่ืองจริงๆตบท้าย ทกุ ครง้ั และมนั กไ็ มเ่ คยผดิ เพ้ียนไป ไมว่ า่ จะเล่าซ้าซกั กร่ี อบ ผมไมไ่ ดส้ มองดีเลิศอะไร แต่เป็นคนจดจารายละเอียด ... วัน เวลา สถานท่ี จานวนคน เหตกุ ารณ์ ... ผมจาไดห้ มด เรื่องราวทพี่ ่อเล่า ไมเ่ คยข้อมลู ผิดเพี้ยน ... ช่วงหลังๆก่อนทพี่ อ่ ของผมจะเสียชีวิตด้วยโรคหัวใจ ผมได้รู้จักเพื่อน เก่าๆของพ่อมากขึ้น ทุกคนพูดถึงพ่อผมไปในทิศทางเดียวกัน “จ่า โมทย์คือทหารกล้า ท่ีเคยเสี่ยงเป็นเส่ียงตายในสมรภูมิตัวจริงเสียง จรงิ ” 10

ผมจะมีความสุขมากเวลาที่ไปต่างจังหวัดกับพ่อ การที่พ่อขับรถไป พรอ้ มๆกบั เลา่ เรือ่ งตอนที่เป็นทหารไปนั้น มันทาให้ผมรู้สึกว่ากาลัง ถูกเตมิ ไฟฝนั ทีละน้อย ทลี ะนอ้ ย ... ผมอยากเป็นอย่างพ่อ อยากไปรบอยากพ่อ อยากเก่ง อยากกล้า อยากเป็นวรี บุรษุ อยากเปน็ ทหารอย่างพอ่ แตเ่ ช่อื มั้ยครบั ... พ่อไม่เคยสนับสนุนให้ผมเปน็ ทหารเลย ทุกครั้งท่ีบอกว่าอยากเป็นทหาร พ่อจะค้านตลอด ไม่เคยเห็นด้วย เลยแม้แต่คร้ังเดียว และจะพูดเสมอๆว่า “มันหมดยุคแล้ว มันหมด ยุคแล้ว” ... แตผ่ มก็ยังถอื ว่าผมเปน็ เด็กท่โี ชคดีนะครับ ที่พ่อแม่ไม่เคยบังคับเร่ือง เสน้ ทางชีวิต หรอื วา่ เห็นความฝนั ของผมเปน็ เรือ่ งเพ้อเจอ้ แมว้ า่ พ่อจะไมส่ นับสนนุ ให้ผมเปน็ ทหารนกั กต็ าม แต่พ่อก็อุตส่าห์หา เงนิ หาทองมาให้ผมเข้าโรงเรียนตวิ คอรส์ นึงหลายหม่ืน 11

ผมเรียน ป.1-ม.3 ที่โรงเรียนอัสสัมชัญ สาโรง (ซ่ึงตอนน้ีมันเปลี่ยน ช่ือเป็นอัสสมั ชัญ สมุทรปราการ ... (เพื่อ???)) และมาต่อ ม.ปลายที่ โรงเรียนปทุมคงคา ... โรงเรียนอัสสัมชัญ สาโรง ในสมัยนั้นเป็นโรงเรียนชายล้วน สังคม อัสสัมชัญเป็นสังคมที่ดีมาก มีมาตรฐานสูงในหลายๆเร่ือง บางคน อาจเรยี กว่าเปน็ ‘โรงเรียนคุณหนู’ หรือ ‘โรงเรยี นไฮโซ’ แต่ในทัศนะ ของผมคดิ วา่ มันไมใ่ ช่ มันเปน็ โรงเรียนที่มี ‘สภาพแวดล้อมดี’มากกว่า พ้นื ฐานทางครอบครวั ของเด็กส่วนมากในโรงเรียน ทาให้โรงเรียนนี้ เป็น ‘โรงเรียนผู้ดี’ ท่ีเม่ือลูกหลานของท่านได้มาเรียนแล้ว ผมกล้า รบั ประกันว่า ถา้ ครอบครัวอบอุ่น และช่วง ม.1-ม.3 ตัวเด็กไม่ใฝ่ชั่ว สภาพแวดล้อมของอัสสัมชัญจะทาให้เด็กคนนั้นเป็นผู้ใหญ่ท่ีมี คุณภาพมาก อนั ทจี่ รงิ ผมได้โควตาให้เรียนต่อ ม.4 ที่อัสสัมชัญ แต่ตอนน้ันธุรกิจ ของครอบครวั ไดร้ บั ผลกระทบจาก ‘วิกฤตการณ์ 2540’ ทาให้ผมไม่ มที ุนทรัพยเ์ พยี งพอทีจ่ ะเรยี นโรงเรียนเอกชนต่อไปได้ 12

ลกู คนโตของปา้ ผมคนนงึ พาผมไป ‘ฝาก’ กบั โรงเรยี นเกา่ ของเขา ... พชี่ ายของผมคนนี้ เปน็ roll model (ซึ่งเด็กสมัยน้ีกระแดะเรียกผิดๆ วา่ ‘idol’) ของผมตง้ั แตเ่ ด็ก ตอนน้ันพ่ีเขาเพ่ิงเรียนจบวิศวะมาใหม่ๆ ในสายตาของผม ‘พแ่ี นท’ เปน็ คนเกง่ คนดี มคี ุณภาพ และผมเลือก ให้เป็นแบบอย่าง ผมจึงเช่ือม่ันว่าโรงเรียนท่ีพี่แนทพาไปฝากน้ันจะ ทาให้ผมเปน็ ได้อย่างพแ่ี นท ที่ผมใช้คาว่า ‘ฝาก’ ก็เพราะว่าพ่ีแนทพาไป ‘ฝาก’ จริงๆ ผมไม่ได้ สอบข้อเขียน ไมไ่ ด้สอบสัมภาษณ์ ไมไ่ ด้อะไรท้ังสิ้น อยู่ดีๆก็มีช่ือเป็น นักเรยี นสายวิทย์ห้องบ๊วยหน้าตาเฉย วันที่ผมเห็นโรงเรียนใหม่ของผมคร้ังแรก ผมมั่นใจล้านเปอร์เซ็นต์ คราวนก้ี ูมีแฟนแน่ ... เพราะดูช่อื โรงเรยี นแลว้ นา่ จะหญิงเยอะ วันปฐมนิเทศ ก่อนออกจากบ้านผมเศร้าพอสมควรกับการต้อง เปลย่ี นจากกางเกงสนี า้ เงินดดู ี มาเปน็ กางเกงสกี ากีเดก็ วัด แตก่ ค็ ดิ 13

วา่ ไม่เป็นไร…ท่ีโรงเรียนคงจะสนุกและบรรยากาศดี เพราะวันนี้เรา จะได้เรยี นกบั เดก็ ผูห้ ญิงครัง้ แรกในชวี ิต พอไปถึงโรงเรียนในตอนเชา้ ... ผมประแปง้ จากบา้ นมาจนหน้านวล ฉีดน้าหอมราคาถูกให้พอมีกล่ิน เดินเกก๊ เต็มกาลังผ่านเขา้ ประตโู รงเรยี น มองไปทางไหนกเ็ ห็นแต่ เด็ก ม.ต้นวิ่งไลต่ บกบาลเพอื่ น หมานอนเกา หู คุณครยู นื รับไหว้ ตอนนั้นเครื่องหมายคาถามผุดข้ึนมากลางเซเรเบลรัม ‘ทาไมมีแต่ เด็กผู้ชาย(วะ)?’ แถมหน้าตาก็ดุดัน ดูไม่เป็นมิตรเหมือนเพื่อน ท่อี สั สัม ผมแอบคิดในใจวา่ ผหู้ ญิงแต่งตัวชา้ เรอ่ื งเยอะ กว่าจะออกจากบ้าน กค็ งสาย อาจจะมาช้ากวา่ เดก็ ผู้ชายบ้างอะไรบา้ ง ... แตพ่ อเคารพธงชาติ มองไปทางไหนมันกย็ งั หาไม่เจอซักคน ... เอ๊ะหรอื วา่ จะเขา้ แถวแยกเพศ? 14

ผมตัดสินใจหันไปถามเพ่ือนท่ีเข้าแถวต่อจากผม “นายๆ ... พวก นกั เรยี นหญงิ ไปเข้าแถวท่ีไหนอ่ะ” ไอ้หมอน่ันทาหน้าตกใจกับคาถามของผม แล้วมันก็ตอบผมอย่าง สุภาพท่สี ดุ เท่าที่ชีวิตมันเคยพูดมา “xxxเหอะ! โรงเรียนน้ีมีผู้หญิงที่ ไหนวะ!” สนิ้ ประโยคของมนั เหมือนผมจะสิ้นใจตามไปด้วย ... ‘ปทมุ คงคาไมม่ ีนักเรียนหญงิ !!’ ท่านผูอ้ ่านทีเ่ คารพอาจสงสัยว่าผมนีม่ นั บ้ากามอะไรนักหนา แค่ไม่มี ผูห้ ญิงในโรงเรียน ทาเหมือนจะเป็นจะตาย ทา่ นลองเข้ามานั่งในดวงใจน้อยๆของผมสมัยเด็กๆดสู ิครับ ... ตอนเดก็ ๆคดิ แบบนจี้ รงิ ๆนะครบั ... ผมเรียนอัสสัมชัญมา 9 ปีเต็มๆ อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดี เคยชนิ กบั ชวี ติ ผู้ดี มีทัศนคตมิ าโดยตลอดว่า โรงเรียนรฐั บาล มัน “ย้ี!!!รัฐบาล” ... 15

อัสสัมชัญเลิศ อัสสัมชัญเจ๋ง อัสสัมชัญเก่ง อัสสัมชัญหรู ... อะไร ประมาณนั้น ไอ้การที่จะตอ้ ง ‘ทาใจ’ ไปเรยี นโรงเรยี นรัฐบาล มนั กว็ า่ หนักแล้ว ยังจะต้องใส่กางเกงสีกากีอีก ท้ังๆท่ีโรงเรียนรัฐใส่กางเกงดา เยอะแยะ เปลีย่ นจากกางเกงน้าเงินเป็นดายังพอได้ แตน่ ่ีลดเกรดลง ไปถงึ ขนั้ ‘กางเกงกากี’ ... มนั เครยี ด มันอาย มนั หดหู่ ... สารพัดจะ คดิ โรงเรียนเก่าอยู่ใกลๆ้ ต่ืนหกโมงครึ่งมรี ถโรงเรียนมารับ โรงเรียนใหม่ ต้องต่ืนตีห้าแล้วเดินฝ่าความมืดของซอยบ้านระยะทางประมาณ หน่งึ กิโล ออกไปโบกรถมอเตอร์ไซคว์ ินใหไ้ ปสง่ ปากซอยใหญ่เพื่อทีจ่ ะ รอรถเมล์เท่ียวแรกซ่งึ เปน็ โอกาสทองโอกาสเดยี วท่ีจะได้‘นั่ง’ ไม่ต้อง ห้อยโหนเปน็ ชะนกี ลางกรุง ... แลว้ ไหนจะเร่ืองเพื่อนทเ่ี คยมีแตล่ กู ผู้ดี มาจากครอบครัวท่ีมีพ้ืนฐาน ดี กลายมาเป็นเพ่ือนที่‘หลากหลาย’ มที ้งั เดก็ ทม่ี าจากชุมชนแออัด มี ทั้งอันธพาล ทงั้ เดก็ แวนซ์ เด็กเดฟ คาพดู คาจาก็หมาไม่แดก ... 16

‘Season Change’ ของผมครงั้ น้ีมนั ‘หนัก’ จริงๆครบั ... มีเร่ืองเดียวท่ีน่าจะเป็นการเปล่ียนแปลงในทางท่ีดี ... ก็คือการได้ เรียนกับเดก็ ผหู้ ญิงบา้ ง ยอมรับเลยครบั ว่าช่วงแรกๆเรียนปทุมคงคาด้วยความ ‘โคตรจะไม่มี ความสุข’ แตพ่ ออยไู่ ปอยู่มา ... ไอ้ทศั นคตเิ ดก็ นอ้ ยไร้สาระเหล่านั้นก็ค่อยๆถูก แทนทด่ี ว้ ยความเขา้ ใจใน ‘วถิ ีลกู ผชู้ าย สไตล์ปทุมคงคา’ ผมเรม่ิ เขา้ กบั เพอื่ นไดม้ ากขึ้น จนกลายเปน็ ผนู้ ากลุ่มแบบกรายๆ ... แมจ้ ะมเี พือ่ นเรียก‘คุณหนู’บ้าง แต่ก็เป็นการหยอกล้อตามธรรมดา วิสัยที่เราเคยเรียนโรงเรียนคุณหนูมาก่อน ไม่ได้เรียกเพราะคิดว่า เราอ่อนแอ งอ้ งแง้ง ... ผมคอ่ ยๆเรียนรู้ว่า ไม่วา่ จะสังคมไหน มันย่อมมีดใี นตวั ของมนั เอง อสั สัมชญั ดแี บบนึง ปทมุ คงคากด็ อี ีกแบบนึง 17

‘โรงเรียนลูกผู้ชาย’ แห่งนี้สร้างให้ผมมีจิตใจที่แข็งแกร่ง อดทนอด กลัน้ และเข้าใจความเป็นจรงิ ของผคู้ นในสงั คมมากยงิ่ ขนึ้ ประเพณีแปลกๆ เชน่ การจงใจโยนจานลงพน้ื เพ่ือให้เมอ่ื มีเสียงจาน แตกในโรงอาหารขณะพักเท่ียงแล้ว นักเรียนน้อยใหญ่มักจะโห่ร้อง ก้องโรงอาหารด้วยสรรพเสียงดุจเดรัจฉาน ซ่ึงจริงๆแล้วเหตุการณ์ แบบน้ันอาจจะดู‘ถ่อย’สาหรับคนภายนอก แต่คุณไม่อาจหาชมได้ จากโรงเรียนไหน และไม่อาจมที ฤษฎใี ดมาอธบิ ายพฤติกรรมแบบน้ี หรือการทีน่ ่ังเรยี นอยดู่ ีๆกเ็ กดิ ไม่อยากเรียนกันขน้ึ มา นกั เรียนต่างก็ พากันแล้วปีนรั้วโรงเรียนออกไปนอกโรงเรียนแบบไม่แคร์สื่อ ซึ่งถ้า มองไกลๆจะดูเหมอื นนนิ จา‘ฝูง’หนึ่งกาลังปีนกาแพง ภาพแบบน้ีคุณ ก็อาจไม่สามารถหาชมไดจ้ ากโรงเรียนไหน หรือจะเป็นชว่ งเปลีย่ นคาบ ช่วงว่าง หรือช่วงพักเท่ียง นักเรียนบาง พวกก็จะมาน่ังทาระเบิดเล่น ผมจาได้ว่าคร้ังนึงตอน ม.4 นั่งเรียน ฟสิ กิ ส์อยู่ มีเสียงระเบดิ ดงั ขน้ึ กลางสนามบอล อาจารย์ซงึ่ กาลงั สอน 18

อยู่ก็หยดุ พูดไปแป๊บนงึ แลว้ ก็พดู ตอ่ หน้าตาเฉยว่า “อัดไม่ดี เสียงไม่ แนน่ ” หลังจากที่ผมเร่ิมปรับตัวจนเห็นทุกอย่างในโรงเรียนปทุมคงคาเป็น เรือ่ งน่าร่นื เริงใจหมดแล้ว ความเป็นปทุมคงคาก็ค่อยๆทาให้ผมรู้สึก เท่ เท่ที่เรียนโรงเรียนชายล้วน เท่ที่เรียนโรงเรียนเก่าแก่อายุเกิน 100 ปี และเทใ่ นความร้สู ึกหลายๆอยา่ ง แตก่ ระนั้นกต็ าม ผมกย็ งั ตั้งใจว่าจะเรียนปทุมคงคาแคป่ ีเดียว เพราะ จะตอ้ งสอบเข้าโรงเรยี นเตรียมทหารใหไ้ ด้ บอกลาเพ่อื นๆเสรจ็ สรรพ ตั้งแตต่ ้นเทอม ช่วง ม.4 ก่อนสอบ ตารางชีวิตของผมแน่นมาก ทุกวันหลังเลิกเรียน ผมจะนั่งรถจากเอกมัยไปเล่นกีฬาท่ีหัวหมาก ... กลับมาน่ังคิดถึง ตอนนัน้ เรานีโ่ คตรอดึ และกีฬาท่ีผมเลือกเล่นก็คือ‘มวย’ ด้วยเพราะผมเห็นว่านักมวย แขง็ แรง ผมอยากแขง็ แรงจะไดพ้ รอ้ มสาหรับการเปน็ นักเรียนทหาร 19

เสาร์-อาทิตย์ไปเรียนติวที่หลังราม ... ซ่ึงในโปรแกรมของโรงเรียน ตวิ นน้ั วันเสาร์ช่วงเช้าจะติวรา่ งกาย มีวิ่ง วา่ ยนา้ กายบริหาร 8 ท่า ท่ีใช้สอบเข้าโรงเรียนเตรียมทหาร เสาร์บ่ายเรียนวิชาการ อาทิตย์ วชิ าการเต็มวนั 1 ปี เต็มๆที่ผมอยกู่ บั วงจรชีวติ แบบนี้ ซึง่ ตอนน้ัน‘พลังเหลือ’ก็เลยไม่ รู้สกึ เหน่ือยเลย แตพ่ อสอบครั้งแรก ... ไมต่ ิดเลยทง้ั 4 เหล่า ไมเ่ ป็นไร ... เอาใหม่อีกปี ชวี ติ ม.5 กเ็ หมือน ม.4 เป๊ะ ... แต่เพิ่มเติมคือพอละครก่อนข่าวจบ ประมาณทุ่มกว่าๆ ผมจะอาบน้า แล้วรีบโดดขึ้นเตียง นอนอ่าน หนงั สอื จนสีท่ มุ่ กว่าๆก็จะหลับไป ก่อนสอบ 1 เดือน ผมเข้าค่ายกินนอนกับโรงเรียนติว ก่อนสอบ 1 อาทิตยม์ ีการสอบ Pre-Test จากนักเรียนร่วม 200 กว่าคน ผมสอบ ได้ท่ี 10 ... มนั่ ใจล้านเปอรเ์ ซ็นต์ปีนีไ้ ม่มีพลาด 20

โทรหาพ่อ หาแมเ่ รียบรอ้ ย ... แต่ ... ก็ยงั ไม่ตดิ อีกเชน่ เคย ... เศร้ามาก เสยี ใจร้องไหอ้ ยู่ 1 คนื เต็มๆ แต่พอ่ ไม่ว่าซกั คา ไม่พูดถึงมัน เลย พดู สัน้ ๆแคว่ ่า “ไม่เปน็ ไร วชิ าที่ตวิ มาก็เอาไปสอบเข้ามหาลัย ไม่ ตอ้ งไปสนใจมันหรอกทหารตารวจ” จากที่เคยโม้ไวว้ า่ จะอยูป่ ทุมคงคาแค่ปีเดียว ... บัดนี้ก็เลยเป็นอันอยู่ ยาวครบ 3 ปี สรปุ แลว้ ชวี ิตผมเรยี นชายล้วน 12 ปเี ตม็ ๆ … แตค่ วามฝนั ในการเปน็ ทหารของผมไม่จบแค่นน้ั นะครับ ... หลังจากที่สอบเตรยี มทหารไม่ติด ผมไม่นึกถึงชีวิตมหาวิทยาลัยของ ผมเลย ผมกลบั ตัง้ ใจแนแ่ น่วว่าจะเขา้ โรงเรียนนายสบิ ทหารบก 21

จริงๆแล้วเพราะผมแอบทราบมาว่า นักเรยี นนายสิบทหารบกที่มีผล การเรียนดีประมาณ 20 อันดับแรก จะได้รับการคัดเลือกให้เข้า เรยี นในโรงเรียนเตรยี มทหาร ... แม้ว่าจะดูเหมือนเสียเวลามากท่ีจะต้องเรียนจบ ม.6 สอบเข้า โรงเรยี นนายสบิ เรียนนายสบิ 1 ปี แล้วเข้าไปเรียนเตรียมทหารอีก 3 ปี ถึงจะเข้าโรงเรยี นนายร้อย จปร. เรียนอกี 4 ปี จงึ จะจบ ... แต่เปา้ หมายผม‘ชดั ’ ... ผมจะตอ้ งเป็นทหารให้ได้ การท่ีจะได้ติดดาว เปน็ รอ้ ยตรตี อนอายุ 26-27 ไม่ได้ทาใหเ้ ป้าหมายของผมเสียไป ... ผมจึงเรียน ม.6 ด้วยความสบายใจ ไม่เครียด เพราะไม่คิดจะเข้า มหาวทิ ยาลยั เลย อาจารยแ์ นะแนวบอกวา่ ผมบ้า ... แต่ ... ก็มีเหตุการณ์พลิกผันอีกครั้ง ... เม่ือตอนนั้นผมเร่ิมรู้อะไร เกี่ยวกับตารวจมากขึ้น รู้ว่าตารวจไม่ได้มีแค่ตารวจโรงพัก มันมี หน่วยพิเศษอื่นๆอีกมากมาย มีงานหลายด้าน ไม่ใช่แค่รับแจ้งความ โบกรถ จับคนร้ายฯลฯ และทีส่ าคญั คือรู้ว่า นายสิบตารวจท่มี อี ายุไม่ 22

เกิน 25 ปี สามารถสอบแข่งขันเพอ่ื เขา้ เป็นนักเรียนนายร้อยตารวจ ได้ โดยไม่ต้องผ่านโรงเรยี นเตรยี มทหาร ... ช่วงน้ันผมต้องชั่งน้าหนัก ‘ความเส่ียง’ ระหว่างการเป็นทหารกับ ตารวจวา่ แบบไหนจะเส่ยี งมากนอ้ ยกวา่ กนั ... ถ้าเปน็ นายสิบทหาร แล้วเกดิ ผมไมไ่ ด้เปน็ คนเก่ง 20 คนแรกของรุ่น ล่ะ ... ผมกห็ มดสทิ ธ์ิเป็นนักเรยี นนายร้อยไปตลอดชีวิต แต่ถ้าเป็นนายสิบตารวจ ผมจะสอบเข้าโรงเรียนนายร้อยได้จนถึง อายุ 25 ถ้าเป็นสอบนายสิบตารวจตั้งแต่ครั้งแรกท่ีสามารถสอบได้ คอื เดือนตุลา 2547 เท่ากับว่าผมจะเรียนจบนายสิบตอนอายุ 20 ปี และสามารถสอบได้ต้ังแต่อายุ 20 ถึง 25 ... คือมีโอกาสสอบเป็น นักเรียนนายร้อยไดถ้ ึง 5 ครั้ง ใจน่ะ...อยากเปน็ ทหารมากกวา่ อยู่แล้วครับ แต่ความเสีย่ งมากนอ้ ยกวา่ กนั ถงึ 5 เท่า ... 23

ผมยอมรับว่าตอนนั้นหาทางออกให้ชีวิตไม่ได้เลย ถามพ่อ พ่อก็ไม่ เห็นด้วย ไม่อยากให้เป็นนายสิบทหาร ยิ่งตารวจยิ่งเกลียดเข้าไส้ ถามแมแ่ ม่กแ็ ล้วแต่ลกู ... ผมคิดวนไปวนมาอยูอ่ ยา่ งน้จี นเอนทรานซค์ รง้ั ที่ 1 เดอื นตุลา 2546 และในขณะท่ีเพื่อนๆซ่ึงเรียนสายวิทย์มาด้วยกัน ต่างคร่าเคร่งกับ การอ่านหนังสือสอบฟิสิกส์ เคมี ชีวะ คณิต1 แต่ผมซ่ึงสอบได้ท่ี 1 ของห้องแทๆ้ กลบั ชวิ ๆกับการสอบ วิทยาศาสตร์กายภาพ ภาษาไทย ภาษาองั กฤษ สังคม และคณติ 2 ... จริงๆผมอยากย้อนกลับไปขอบคุณตัวผมเองท่ีมี‘เป้าหมาย’ชัด มา ตง้ั แตเ่ ด็กๆ ทาให้ผมไมเ่ คยต้องปวดหัวกับคาถามท่ีน่าราคาญใจของ เด็ก ม.ปลายสายวิทย์ที่เรียนเก่ียวกับการเคล่ือนท่ีของวัตถุ พัสดุ เครอ่ื งกล พลงั งานจลน์ พลังงานศกั ย์ วา่ ‘เรียนไปทาไม’ ผมรตู้ ัวเองดีว่าผมเรียนสายวิทย์ไปเพื่อใช้สอบ ‘เตรียมทหาร’ ไม่ได้ เรยี นไปเพอ่ื ‘เอนทรานซ์’ 24

ฉะนั้นแลว้ เมื่อผม‘หลดุ ’จากเตรียมทหารไปแล้ว จึงไม่มีความจาเป็น ใดๆทจี่ ะตอ้ งไปใชว้ ิชาสายวิทย์ในการเอนทรานซ์ พอเอนทรานซ์รอบแรกจบ ... เรอื่ งมันกย็ งั ไมจ่ บ ราวๆปลายปี ผมไปสมคั รสอบเปน็ นักเรียนนายสบิ ทหารบก ... แต่ปัญหาก็คือว่า วันที่สอบนายสิบทหารบก ดันไปตรงกันกับวัน สอบวชิ าหลักของเอนทรานซ์ ... คนเป้าหมายชัดอย่างผม จึงเลือกท่ีจะไปสอบเอนทรานซ์ ... อ้าววววว ทาไม?! ก่อนสอบนายสิบ 1 คืน ผมนั่งคุยกับตัวเองครับว่าจริงๆแล้ว ผม อยากเปน็ ‘ทหาร’ หรอื ‘นกั เรียนนายรอ้ ย’ กันแน่ 25

แนน่ อนครบั ใจลกึ ๆบอกวา่ ‘เปน็ ทหาร’ แต่ถ้าเลือกสอบนายสิบทหารแล้วไม่ได้รับคัดเลือกให้เป็นนักเรียน เตรียมทหารเพ่ือทีจ่ ะเป็นนักเรยี นนายร้อยต่อไป ... ซ่งึ โอกาสมันก็มี อยู่แค่คร้ังเดียว พลาดแล้วพลาดเลย แก้ตัวไม่ได้น้ัน ... ผมจะทา ยังไง ผมก็ตอ้ งเปน็ ‘นายสิบ’ไปตลอดชวี ิต ... แต่ถ้าหากโฟกัสไปท่ีความเป็น ‘นักเรียนนายร้อย’ ก็คือมองมาทาง ตารวจ ผมมีโอกาสที่จะสอบเป็นนายร้อยได้ถึง 5 คร้ังดูบ้าง ... แน่นอนผมมโี อกาสทาฝนั ให้เป็นจรงิ ได้มากกวา่ แม้ใจจรงิ ๆจะไม่เคยชอบตารวจ ไม่อยากทางานในโรงพักเลย ... แต่ มันก็ยังแอบมี ‘ตารวจตระเวนชายแดน’ ให้ผมได้เลือกเพ่ือที่จะทา หน้าท่ี ‘อยา่ งทหาร’ แบบท่ีผมชอบ ปญั หาคอื ถา้ ผมเลือก ‘ทหาร’ ไมเ่ ลือก ‘นักเรียนนายร้อย’ … เท่ากับ ว่า ผมตดั โอกาสหรือริดรอนโอกาสของตัวเองในการเป็น ‘นักเรียน นายร้อย’ มั้ย? 26

แต่ท้ายท่ีสุดแล้ว ... ผมประมวลเรื่องราวทั้งหมดท่ีผ่านมาในชีวิต ทบทวนเร่อื งความฝนั ช่งั นา้ หนักกับความกตัญญู นึกถึงหน้าพ่อแม่ ท่ีเห็นผมเป็น ‘ทหาร’ กับที่เห็นผมเป็น ‘นักเรียนนายร้อย’ ไม่ว่า เหลา่ ใดกต็ าม ... ภาพพอ่ แมใ่ นจินตนาการมนั ‘แตกต่างกันลิบโลก’ … ฉะนัน้ แล้วในเชา้ วันร่งุ ขึน้ ผมจึงเลือกท่ีจะไปเอนทรานซ์ ตดั สินใจลบ ความคิดเร่อื งการเปน็ ทหารออกไปจากสมองจนหมดสิน้ ... ตั้งใจแน่วแน่ว่าจะสอบเป็น ‘นักเรียนพลตารวจ’ ทันทีท่ีเปิดสอบ เพือ่ เปน็ สะพานใหเ้ ราก้าวไปสคู่ วามเป็น ‘นกั เรยี นนายรอ้ ย’ ให้จงได้ แต่ธรรมเนียมของการสอบนักเรียนพลตารวจน้ันจะเปิดรับช่วง เดือนตุลาคม ... น่ันหมายความว่าหลังจากท่ีผมเรียนจบ ม.6 จะมี ชว่ งฟรอี ยู่ประมาณ 8 เดอื นซ่งึ ผมต้องหาอะไรทา 27

และเมื่อคะแนนเอนทรานซ์ประกาศ ผมจึงต้องเลือกที่เรียนไป พลางๆก่อน เพอื่ รอสอบตารวจในเดอื นตลุ า ความรู้สกึ ตอนเลือกคณะ มนั เปน็ อะไรท่ไี มท่ าลายสุขภาพจิตของผม เลยแม้แต่น้อย ... ผมเลือกด้วยความสบายใจ เพราะไม่ได้คิดว่า จะต้องมาโฟกัสชีวิตที่การเอนทรานซ์อยู่แล้ว ผมเลือกตาม step ที่ คดิ ว่าปลอดภัยทส่ี ดุ … อันดับ 1 เลอื กเวอ่ ร์ๆ เผื่อฟลคุ ... ผมเลือกรัฐศาสตร์ จฬุ า อันดับ 2 เลอื กแบบพอสสู ี คะแนนเกนิ ปที แ่ี ลว้ มาไมม่ าก ... ผลเลือก ครุศาสตร์ จุฬา (เอกครอู นบุ าลด้วยนะ) อันดับ 3 เลือกที่ได้ต้องติดแน่ๆ ติดชัวร์ๆ ... แต่ตอนแรกผมยังไม่ ตดั สนิ ใจว่าจะเอาทีไ่ หนดี จึงเวน้ วา่ งไว้ 1 อันดบั อบั ดบั 4 เลอื กแบบอนั ดับ 3 แต่ต้องชัวร์กว่าประมาณ 800 เท่า ... ปนี นั้ ผมเลอื กสังคมวทิ ยา ธรรมศาสตร์ ปัญหาคาใจคือ‘อันดับท่ี 3’นีแ่ หละ่ ครับ ว่าจะเอาท่ไี หนดี ... 28

เพ่ือนผมคนนึงเรียนเก่งระดับนิพพาน (คือสูงกว่าเทพขึ้นไปอีก 16 ชั้นฟ้า) อันดับ 1,2 เลือกหมอจุฬากับเชียงใหม่ อันดับ 3 เลือกบัญชีจุฬา อันดับ 4 เลอื กหมอหมาทไ่ี หนไม่รู้จาไม่ได้ ผมร้ดู วี ่ามันอยากเป็นหมอ แต่สงสัยว่าทาไมมันทะล่ึงเลือก “บัญชี” ไว้ในตาแหนง่ ท่ตี ้องสอบตดิ ชัวรๆ์ อย่างอนั ดับ 3 คาตอบทไ่ี ดร้ ับคอื … “หญงิ เยอะ”! สาหรับผม ด้วยความม่ันใจสุดชีวิตว่าจะได้ไปเดินเล่นๆ 8 เดือนใน จฬุ าฯแน่นอน ... ก็เลยใช้ทฤษฎีเดียวกับมัน “อักษร ศิลปากร” คอื ความเป็นไปไดส้ ูงสุด ... 29

ชื่อคณะก็บอกอยู่ว่า “ผู้หญ๊ิง ผู้หญิง” อีกท้ังชื่อมหาลัยก็ย่ิงการัน ตีความเปน็ “ติสต์” สาวๆท่ีนี่คงบาดใจไมแ่ พท้ ี่ใดในโลก หลงั จากยืน่ คะแนน ... ผมรอลุ้น พร้อมกับการเดินโม้ไปท่ัวหมู่บ้าน ว่าจะได้เรยี นครูท่จี ุฬา วนั ประกาศผล ... เพื่อนผมคนนั้นติดที่มันเลือกไว้อันดับ 1 “แพทย์ จฬุ า” สมใจ ส่วนผม ... กลับเอนทรานส์ติดคณะท่ีได้เลือกไว้ตามทฤษฎีของมัน “อกั ษร ศลิ ปากร” ... และความซวยก็มาเยือนขนาดหนัก ... เพราะผมไม่รู้เลยจริงๆ สาบานเลยว่าไม่ได้เขียนเอาฮา คาถามแรกที่ผุดขึ้นมากลางเซเร เบลลมั ของผมคอื “มันเรยี นเกี่ยวกบั อะไรวะ” คาถามตอ่ มา “กูจะบอกพอ่ กยู งั ไงวะ” 30

โ ช ค ดี ที่ ป ร ะ เ ท ศ น้ี ใ น วั น นั้ น มี ส า ย ไ ฟ เ บ อ ร์ อ อ พ ติ ก อิ น เ ต อ ร์ เ น ท ความเร็วสูงมาถึงบ้านผมแล้ว ผมก็เลยรีบหาข้อมูลเก่ียวกับคณะนี้ อย่างเรง่ ด่วน เพื่อให้คาตอบกับตัวเองและพอ่ แล้วก็ไดค้ วามว่า คณะอักษรฯไมไ่ ดเ้ รยี นเก่ียวกบั ท่ีมาของ ก.ไก่ ที่ไป ของ ฮ.นกเอย้ี ง แต่มนั คอื ชอื่ คณะทเี่ รยี นเก่ียวกับ ‘ภาษา’ นน่ั เอง ผมเดินออกจากห้องนอนไปบอกพ่อ ท่ีกาลังน่ังทางานอดิเรกอยู่ “พ่อ ... หนไู ด้เรียนทตู ” พอ่ หนั หน้าขวับ ... ถามทนั ที “คณะอะไรวะเรียนเปน็ ทตู ” “อักษร ... เรียนภาษา เรียนจบไปสอบทตู ได้” “อกั ษรจุฬาเหรอ” “เปลา่ ...ศิลปากร” ผมแข็งใจตอบ พอ่ ตะลึง “นนั่ มันเรียนขดุ ซาก เรียนวาดรปู ” “ไม่ใช!่ ” ผมเถียง “เดยี๋ วน้ีเขามีคณะอนื่ ๆ วิศวะ เภสัชกม็ ีแล้ว” 31

พ่อพยักหน้า 2-3 ที ... จังหวะน้ีแหล่ะเป็นจังหวะท่ีผมลุ้นท่ีสุด เพราะไม่รู้ว่าพอ่ จะผิดหวงั ม้ยั ทผี่ มไม่ตดิ จุฬา พ่อค่อยๆย้มิ แลว้ พดู ว่า “เออดี ... อยตู่ รงสนามหลวงน่ีเอง” ในใจพ่อจะคดิ ยังไงก็ไมอ่ าจทราบได้ครับ ... แต่ผมรู้ว่าผมโชคดีจริงๆ ท่เี กิดมาเปน็ ลูกพ่อ ‘พ่อ’ทไี่ มเ่ คยติเตียนเร่ืองเส้นทางชีวิตของผมเลย แมแ้ ต่ครัง้ เดยี ว แต่ ... คณะอักษรศาสตร์ เรียนที่วิทยาเขตพระราชวังสนามจันทร์ นครปฐม ... พ่อบน่ ตลอดทางท่ขี บั รถไปส่งเพอ่ื รายงานตัว “ไอ้ห่า ... แทนที่จะเลอื กในกรุงเทพ พ่อตอ้ งมาเสียค่าเชา่ หอใหอ้ กี ” เอวังด้วยประการฉะนี้แล 32

หลังจากทผี่ มเรยี นโรงเรยี นชายล้วนท่ีปราศจากเพ่ือนผหู้ ญิงมาถึง 12 ปี ซง่ึ จริงๆแล้วมนั ไมน่ อ้ ยเลยนะครบั ถ้าเราคานวณว่ามนุษย์มอี ายขุ ัย แค่ 80 ปี ... ระยะเวลาแหง่ ความอับเฉาของผมปาเข้าไปถึง 1 ใน 7 ของเวลาชวี ติ แล้ว คณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร ต้ังอยู่ท่ีวิทยาเขต พระราชวงั สนามจันทร์ จงั หวดั นครปฐม เมอื งเล็กๆแต่มีสีสัน Landmark ของเมืองนี้คือองค์พระปฐมเจดีย์ ซึ่งถ้ามองในมุมของ การท่องเทยี่ ว พระปฐมเจดยี ์คอื สถานทศ่ี กั ด์ิสทิ ธิ์ เป็นที่ประดิษฐาน พระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้า พระร่วงโรจฤทธิ์ และ พระพุทธรูปปางต่างๆรอบฐานพระเจดีย์อีก 100 กว่าองค์ และที่ สาคญั คอื เปน็ เจดยี ท์ สี่ ูงที่สดุ ในโลก 33

แตถ่ ้ามองในมมุ ของนักศกึ ษาศลิ ปากร ... ทนี่ ่ีคือ แหล่งบนบานขอ เกรด ขอคู่ และเปน็ แหล่งอาหารมอ้ื เยน็ ท่ีใหญท่ ี่สุดในโลก รนุ่ ผมมีจานวนนักศกึ ษาประมาณ 700 คน เป็นผ้หู ญิง 600 กว่าคน ที่เหลอื 82 คนเปน็ ผู้ชาย (แต่ไอท้ เ่ี ป็นชายจริงๆ ไมใ่ ช่สักแตว่ า่ เป็น มนษุ ยเ์ พศชายนั้นมแี ค่ไม่ถึง 30 คน) ผู้ชายกลายเปน็ ‘ชนกลุ่มนอ้ ย’ ท่ีมวี ฒั นธรรมการแยกไปว้ากเปน็ การเฉพาะ สว่ นผหู้ ญงิ เค้าจะไมว่ า้ ก ให้รอ้ งเพลงเชียรอ์ ยา่ งเดยี ว การว้ากชายจะเร่ิมตน้ ขึ้นหลังจากซ้อมเชียร์รวมกันทงั้ รนุ่ ตง้ั แต่ชว่ ง 5 โมงเย็นเสร็จเรยี บรอ้ ย พอประมาณใกล้ๆ 1 ท่มุ นกั ศึกษาชายจะถูก ตอ้ นไปหลงั คณะ ไปปลูกฝงั ความเป็นร่นุ ความเปน็ \"ผ้ชู ายอกั ษร\" ถึงเวล่าว้าก รุ่นพี่จะทาหน้าตาแอ๊บโหดออกมาด่าเรา สลับกับการ สอนรอ้ งเพลงเฉพาะผูช้ าย ตง้ั ฉายาให้ ให้แสดงความสามารถพิเศษ ให้รอ้ งราทาเพลงบ้าบอคอแตก ใครทาไม่ได้ หรือทาอะไรไม่ถูกใจรุ่น พี่ เพื่อนๆในรุน่ กจ็ ะตอ้ งรบั ผิดชอบร่วมกัน ท่าทาโทษก็มีดันพ้ืน ลุก นงั่ อะไรไปตามเรือ่ งตามราว 34

ถ้าน้องทาไม่ได้ทาไม่ดี พ่ีปี 2 ปี 3 ก็จะโดนแทน มีการสร้าง สถานการณ์ประมาณว่ารุ่นพีย่ อมทาแทนน้องได้ทุกอยา่ ง น้องละ่ ทา ให้พ่ีบ้างได้มั้ย อารมณ์ประมาณเพลง “พี่มีแต่ให้” อะไรประมาณ นั้น รุ่นพี่ที่สร้างสถานการณ์ก็เป็นพวกเรียนเอกละคร เรื่องน้าตาน่ีไม่ ตอ้ งห่วงเรยี กปุ๊บมาป๊ับ ไอ้พวกเราพอเห็นน้าตารุ่นพี่เราก็ใจอ่อน อินในบท ร้องไห้ น้าตา ไหลตาม อีก 2 - 3 อาทิตย์ต่อมา ก็ถงึ วันท่ีวา้ กจะต้องจบพิธี เมื่อเพื่อนในรุ่น ได้พิสูจน์ความสามัคคีให้รุ่นพี่เห็น คืนสุดท้ายมีการผูกข้อมือข้อตีน กันตามธรรมเนยี ม มากน้อยแลว้ แต่ศรัทธา ใครรักพ่ีหน่อยก็ผูกแม่ง ทั้งแขน ผูกยาวยันหัวไหล่ แขนซ้ายไม่พอ ไปต่อแขนขวา แขนขวา หมดก็ผูกคอ ตอนท่ีโดนว้าก เป็นคร้ังที่ 2 ในชีวิตนับจากการไปเขาชนไก่ ท่ีถูก ทรมานสังขาร ถกู สัง่ ทาโทษ ... 35

ตอนนัน้ คิดว่าไอท้ ่โี ดนอยู่มันหนักพอสมควรนะครับ แต่พอมาเรียน ตารวจแลว้ ... เดก็ มหาลัยรับน้องกนั ‘น่ารกั อ่ะ’ มากเลย หลังจากวา้ กจบ ชว่ งแรกๆพวกเราก็อยกู่ นั เฉพาะผชู้ ายด้วยกนั แต่ไม่ นานก็เรมิ่ จะแยกยา้ ยกันไปตามอัธยาศัยและตารางเวลาของชีวิตแต่ ละคน กลมุ่ ของผมรกั กนั เหนียวแนน่ ดี กนิ ขา้ วด้วยกันทั้ง 3 มื้อ แต่พอเริ่ม มีไอ้เพ่ือนบางคนในกลุ่มแยกตัวไปกินข้าวเย็นกับกลุ่มท่ีมีเพื่อนเป็น ผู้หญิง เพ่ือนทเี่ หลือก็เริ่มมีพฤติกรรมเบ่ียงเบนแอบไปทานข้าวเย็น กับเป้าหมายบา้ งอะไรบา้ ง เรมิ่ มกี ารแอบไปเดินเป็นคู่ๆ เสียผู้เสียคน กันไปหมด (สาหรับกลุ่มผม การไปเดินกับผู้หญิง ไปกระหนุงก ระหนิงกันถือวา่ \"เสยี คน\" ไปแล้ว) สาหรับผม มนั เป็นลูกผชู้ ายมอี ดุ มการณ์ ชอบอยู่กับเพอ่ื นผูช้ าย กลมุ่ ผูช้ ายเฮฮากว่า ถึงไหนถงึ กนั เรอ่ื งพฤติกรรมเลยี นแบบใครไม่มี สาหรบั ผม ทา่ นผ้อู า่ นท่เี คารพ ท่ผี มไม่ได้ไปเลยี นแบบใครเรอื่ งควงหญิง... ความ จรงิ กเ็ พราะผมเองแหล่ะครบั ท่ีเป็นตน้ แบบ... 36

เปน็ มนุษยค์ นแรกที่ ‘เสยี คน’ ก็แหม...ไหนๆมาอยู่ในดงท้งั ที ไอเ้ รามันกใ็ ช่วา่ จะเคยเจอชวี ิตแบบนี้ เคยแตม่ องไปทางไหนกเ็ พื่อนผู้ชาย มองไปทางไหนกช็ วนไปเลน่ เกม มองไปทางไหนกเ็ ตะบอล ชว่ งเวลา 8 เดอื นท่ีไดม้ าเดนิ เลน่ ในศิลปากรมนั ก็ต้องเรียนรูส้ งิ่ ใหม่ๆ ใหเ้ ต็มท่ีกันบ้าง ... แตถ่ ึงกระน้นั กต็ าม เรื่องแบบน้ีถา้ ไมเ่ ชือ่ อยา่ ลบหลู่ … แมเ้ ราจะอยู่ ในดงแล้วแทๆ้ แตผ่ มและผองเพอื่ นมักจะเจอเหตุการณ์แบบนีเ้ สมอ ... คือสาวอักษรนี่มันไมค่ ่อยจะชอบมองหนมุ่ อักษรเทา่ ไหร่ครับ มอง แต่พวกวทิ ยา เทคโน(คณะวศิ วะฯ ทศ่ี ลิ ปากรเรยี กว่า \"เทคโน\") จิตรกรรม สถาปตั ย์ เดก็ เดค(ย่อมาจาก \"Decorative\" หรือบา้ นเรา เรยี ก \"มณั ฑนศลิ ป์\" พวกผมบางคนแอบเรยี กวา่ \"เดก็ ถีบ\") เด็กดุ (เห็นดุๆนีไ่ ม่ใชห่ มานะครบั มันยอ่ มาจาก \"ดรุ ิยางคศาสตร์\") อะไร พวกน้ัน 37

ผชู้ ายอักษรหนา้ ตาดๆี มันไม่รจู้ กั มองกัน สาวๆมกั จะชอบคิดไปเองว่า ผชู้ ายท่มี าอยคู่ ณะนี้มนั ‘ไม่แมน’ บางคนนี่เจ็บแสบนะครับ เราจบี อยู่ดๆี พอเหน็ หนมุ่ ๆคณะอน่ื เดิน ผ่าน ก็ทากระดกี๊ ระดา๊ เหมอื นจิ้งจกหางขาด พอผมหันไปดูว่าไอ้ หน้าตาแบบไหนกนั ทส่ี าวอกั ษรมนั ชอบกันนกั ตกใจ! น่มี นั นกั ศกึ ษาหรือหวั หนา้ พรรคกระยาจก!? หวั ก็ฟูเปน็ ฝอยขัดหม้อ ลูกประคากาไรก็เต็มคอเตม็ ตัว เส้อื กล้าม ยว้ ยๆ กางเกงขากว๊ ยวนิ่ ๆ สะพายยา่ มสีเหลืองเย่ยี งพระธุดงค์ ดีนะ ท่ีไมเ่ อากลดพาดบ่า เอากาน้าหอ้ ยแขน ไม่ง้นั ผมคงจะชว่ ยเพื่อนๆ เข้าไปนมิ นตใ์ หม้ าฉนั เพลซักมอื้ ... ครน้ั ไอ้เราจะไปแต่งตวั แนวนน้ั แบบมันบา้ ง ... เราก็ไม่ ‘ตสิ ตไ์ ม่ถึง’ หลายครั้งท่ีตอ้ งนงั่ หาคาตอบอยคู่ นเดยี ววา่ เหตใุ ดไฉนหนอ สาวๆถงึ ไดช้ อบพระฤาษี แตท่ ัง้ นี้กไ็ ม่ใชว่ า่ สาวอกั ษรทกุ คนจะชอบแนวนน้ั นะครบั ... มัน บังเอญิ ท่ผี มไปชอบคนท่เี ขาชอบแบบน้นั ผมก็เลยฝงั ใจ 38

จริงๆแลว้ สาวอักษรสว่ นมาก ‘เรยี บร้อย’ครับ เพ่ือนๆในคณะของผมหลายคน เรยี บรอ้ ย นา่ รกั กุลสตรี มพี ่อมา รบั มาส่ง ... ว่ากนั ถึงเร่ือง ‘คณะอกั ษรศาสตร์’ จะไมพ่ ูดถงึ สาขาวิชาท่ีผมเรยี นก็ ไม่ได้ ก่อนอื่นต้องขอขอบคุณเพื่อนผู้หญิงคนนึงท่ีทาให้ผมหลงเสน่ห์เธอ จนตัดสนิ ใจเลือกเรียนเอกน้ีตาม ... ‘ภาษาเยอรมัน’ ตอนเลือกเอก ผมเลอื กแบบไมค่ ิดเลยครับว่าพน้ื ฐานของผมมพี ร้อม สาหรับภาษาของชนชาติทก่ี นิ เบียร์แทนนา้ นรี่ ึเปล่า ... เหตผุ ลเดียวท่ี เลือกกค็ อื จะได้นั่งเรยี นกับเพ่ือนผมคนนี้ ... ภาษาเยอรมนั นม่ี ันจะไม่คอ่ ยมีสว่ นคล้ายกับภาษาองั กฤษเทา่ ไหร่นัก นะครับ ตัวอักษรเขียนเหมือนกัน แต่สะกดและอ่านคนละแบบ อย่างตัว A B C D ภาษาอังกฤษอ่าน \"เอ บี ซี ดี\" แต่เยอรมัน อา่ น \"อา เบ เซ เด\" 39

อย่างคาว่า \"ใช่\" ภาษาอังกฤษจะเป็น \"Yes\" แต่ของเยอรมันจะ เปน็ \"Ja\" . และเร่ือง Yes กบั Ja นก่ี ท็ าเรอ่ื งให้ผมจนได้... คาบแรกทีเ่ ขา้ เรียน ผมเขา้ เรยี นสายไปประมาณคร่ึงช่วั โมง พอมาถงึ หอ้ งเรียนซึง่ เป็นหอ้ งขนาดกลาง มนี กั ศึกษานั่งอยปู่ ระมาณ 50-60 คน เพ่อื นคนทผ่ี มจีบอยู่กก็ วักมอื เรียกให้ผมเข้าไปนัง่ ท่ีว่างขา้ งๆท่ีเธอ จองไว้ให้ ทันทที ่ผี มนงั่ อาจารย์ซึ่งท่านกาลังสอนเรอื่ งอะไรอยผู่ มก็ไม่อาจ ทราบได้ ท่านหยดุ สอนแลว้ ก็เรยี กผม ผมสะดุง้ สุดตวั \"นกั ศึกษาท่เี ขา้ มาใหม่ยนื ขนึ้ ซคิ ะ\" นา้ เสียงออ่ นหวานของสตรีวยั กลางคนมนั แฝงไปดว้ ยเลห่ ก์ ลและอบุ าย ผมยังทาท่าหันซ้ายหันขวามองหาคนอ่ืนท่ีไม่ใช่ตัวผม ประมาณว่า “ใครเหรอ ใครเหรอ” ทัง้ ๆท่ีร้อู ยูเ่ ตม็ หัวใจว่าหมายถึงผม เพื่อนผ้ชู ายของผมคนหน่ึงทนี่ ั่งอยู่เก้าอข้ี า้ งหลงั สะกดิ \"มึงนัน่ แห ล่ะ!\" ผมยดื ตัวขน้ึ เหมือนจะส่อื สารกบั อาจารยว์ า่ “เคา้ เหรอ?” 40

ในขณะทีท่ า่ นกาลงั จอ้ งมา ผมส่งตาหวานพรอ้ มรอยยม้ิ ให้ แลว้ คอ่ ยๆลกุ ข้ึนยนื \"Sprechen Sie deutsch?\" (อ่านว่า \"ชเพร็ชเชน่ ซี ดอยทช\"์ ) เอา แล้วครับ...มนั มาแลว้ ครบั อาจารยเ์ ปดิ ฉากถามด้วยสาเนยี งเยอรมนั แสนไพเราะ แต่ผมฟังออก 0% ... ผมหนั ไปทางกิ๊กของผม เธอแอบช้ีใหด้ ูคาตอบในหนงั สอื ของเธอ ผม เหน็ ในหนงั สอื เล่มนัน้ ตรงปลายนว้ิ ของเธอ มนั เขียนวา่ \"Ja\" ผมเงยหน้าข้นึ ไปไปยิ้มใหอ้ าจารย์อยา่ งมั่นใจ ก่อนเอ่ยปากตอบดว้ ย สาเนียงไทยแท้ \"จะ้ …\" สน้ิ เสยี งผม...เพอ่ื นในหอ้ งรวมท้ังอาจารยข์ ากา๊ ก ปล่อยให้ผมย่นื บอื้ อยู่ทา่ มกลางความสบั สน ... ตกลงกูตอบถูกหรอื ตอบผิด สาเนยี งกใู ช่มย้ั หรอื ว่ากูออกเสยี งสน้ั ไป 41

พอหันไปมองหน้ากก๊ิ เธอก็กม้ หน้าหวั เราะอยา่ งเอาเป็นเอาตาย สิ้น สมรรถภาพในการตอบคาถามใดๆของผม ทา่ นผูอ้ า่ นทเ่ี คารพครับ...อาจารยท์ ่านถามผมวา่ \"คุณพดู ภาษาเยอรมันใช่ม้ัย\" ตามสเต็ปผมต้องตอบว่า \"ใชค่ รบั \" ซ่ึงกค็ ือคา ว่า ‘Ja’ และอคี าวา่ ‘Ja’ เนย่ี ถ้ามงึ มาเขียนใหเ้ ยาวชนในประเทศเอกราช อยา่ งไทยแลนด์อ่านแลว้ รบั รองวา่ ร้อยละ 100 มนั ตอ้ งอา่ นออก เสียงวา่ \"จา\" ไม่ว่าจะเปน็ จา้ จะ๊ จ๋า หรืออะไรกส็ ุดแล้วแต่ ตวั J! แต่มันต้องเป็น จ.จาน สะกด ไม่สามารถเป็นตัวอกั ษรอ่นื ไปได้ แตห่ ลงั จากทกุ อยา่ งเขา้ สู่ภาวะปกติ ผมจงึ ได้รบั คาเฉลยวา่ จริงๆแล้ว มนั ออกเสยี งวา่ \"ยา\" ตัว J ในภาษาเยอรมนั เทา่ กับ ย.ยกั ษ์ บา้ นเรา ไมใ่ ช่ จ.จาน ไอ้ห่า… แลว้ ใครจะไปรู้ 42

ถา้ รู้แบบนี้แตแ่ รก...ผมก็คงตอบวา่ \"ยะ่ \" ไปแล้ว ยงั ครับยงั ... เรื่องบา้ ๆของภาษาประเทศน้ีมนั ยงั ไมจ่ บเพยี งเทา่ น้ี การนบั เลข 1-10 ภาษาเยอรมนั สร้างปัญหาใหช้ วี ิตผมมาก โดยเฉพาะเลข 8 ซงึ่ ออกเสยี งยากมาก เลข \"8\" เขียนว่า \"acht\" และอ่านแบบทรมานลาคอวา่ \"ออคท์\" ซง่ึ คุณตอ้ งออกเสียงเปน็ \"ออค-ค-่ึ ทึ่\" และตอ้ งออกมาจากลาคอ ต้อง ทาใหเ้ กิดเสยี งส่นั เหมอื นขากสเลดตรงพยางค์ ‘ค’ึ่ นิดๆ จงึ จะถอื ว่า ถูกต้อง มอี ยู่ครงั้ นึง ผมไปนั่งหัดออกเสยี งคานี้อยู่ในโรงอาหารก่อนการสอบ สะกดคา ในขณะท่ีเพอ่ื นๆกาลงั กนิ ข้าวกนั อยู่ ตอนแรกก็ \"ออค-คึ่-ทึ่\" \"ออค-ค-ึ่ ท\"่ึ ดๆี อย่หู รอก แต่อา่ นไปอ่านมาส เลดชกั เยอะบวกกบั ความกวนประสาทของผม \"ออค-ค-ึ่ ท่ึ\" \"อะ-ค-ึ่ ท\"่ึ \"อะ-คึ่-ขอกกกกกกกก-ถุย!!!\" 43

สน้ิ ขากถุย ผมตกเก้าอี้ลงไปกองกับพน้ื ตรงก้นของผมมีรอยเท้าของ เพ่อื นรว่ มแกง๊ ซาวเอฟเฟคทใ์ นขณะนนั้ เป็นไปดว้ ยเสยี งกน่ ดา่ สารพดั \"ออคเอคิ ห่าอะไรวะ อุบาทวช์ ิบหาย\" เพอ่ื นๆต่างสรรเสริญเจริญพร วนิ าทนี ้นั ผมคิดอะไรไม่ออก นึกถึงอนาคต 8 เดอื นท่ตี อ้ งทนเรยี น ภาษาทรมานลาคอหา่ นี่ อีกท้งั ประกอบกบั เพอื่ นสาวทผ่ี มชอบเริม่ มี ใจออกหา่ ง เธอเริม่ ปันใจให้ไอน้ กั พรตอินเดยี ผมทรงฝอยขัดหม้อ ก่อนการสอบสะกดคา 30 นาที ผมจึงออนไลน์เข้าไปในระบบ ทะเบียนเรยี นของมหาวทิ ยาลยั ตัดสินใจยนื่ เรือ่ งขอถอนรายวิชา ภาษาเยอรมันออกจากชวี ติ ของผมทันที ส้นิ สุดกันที ไอ้ภาษาแพ้สงคราม วะ ฮา่ ฮ่าฮา่ ... 44


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook